บทสัมภาษณ์พิเศษ ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณจากเนชั่นสุดสัปดาห์

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
moo
Verified User
โพสต์: 1150
ผู้ติดตาม: 0

บทสัมภาษณ์พิเศษ ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณจากเนชั่นสุดสัปดาห์

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สัมภาษณ์พิเศษ / สินีพร มฤคพิทักษ์


"ทุนโลกาภิวัตน์ คือทุนที่หากินกับวิกฤติ"
ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ
"คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สนิทกับจีนมาก... คุณทักษิณ สนิทกับบุช และสิงคโปร์.. จีนยังลงเรื่องเศรษฐกิจจริงมากกว่าฟองสบู่ อเมริกากับสิงคโปร์เล่นกับเศรษฐกิจฟองสบู่มากกว่าเศรษฐกิจจริง ประเด็นคือ เราจะวิ่งตามจีน หรือวิ่งตามอเมริกา"

"คนไทยมีจุดอ่อนอันหนึ่งคือ ไม่มีการสรุปบทเรียนเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตให้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น..ไม่มีใครตั้งคำถามว่า อยู่ดีๆ คุณทักษิณใหญ่ขึ้นมาได้อย่างไร ขณะที่คนอื่นพังหมด ไม่มีใครไปค้นคว้าจริงๆ"

หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ขายหุ้นเครือชินคอร์ปทั้งหมดให้กับกองทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ อันเป็นจุดเริ่มของมรสุมชีวิตทางการเมือง นับเนื่องมากระทั่งปัจจุบัน และชื่อ 'เทมาเส็ก' ได้กลายเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในสังคมไทย

ใช่ว่าเครือชินคอร์ปเท่านั้น ที่เป็น 'สินทรัพย์' ของกองทุนสัญชาติสิงคโปร์ นิตยสาร POSITIONING ฉบับ SING LAND (เมษายน 2549) ได้กล่าวถึงธุรกิจหลักๆ ของไทยอีกหลายสาขา ที่สิงคโปร์เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ในขณะนี้ เฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็มีจำนวนถึง 34 ราย ที่บริษัทหรือกองทุนจาก 'สิงคโปร์' เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน 5 อันดับแรก แบ่งตามประเภทธุรกิจ ประกอบด้วย โทรคมนาคม ถือหุ้นในชินคอร์ปอเรชั่น และยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น, ธนาคารและสถาบันการเงิน มีหุ้นในธนาคารกรุงเทพ, กสิกรไทย, ไทยพาณิชย์, ทหารไทย, ยูโอบี ประเทศไทย, ฟินันซ่า, KTC บัตรกรุงไทย, กรุงเทพประกันภัย (ถือโดยอ้อม), ไทยรับประกันภัยต่อ

อสังหาริมทรัพย์ สิงคโปร์มีหุ้นใน ไทยพร็อพเพอร์ตี้, แลนด์แอนด์เฮ้าส์, ควอลิตี้เฮ้าส์, ลลิล พร็อพเพอร์ตี้, แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์, บางกอกแลนด์ ก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง มีหุ้นใน ชิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น, เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง, สหวิริยาสตีลอินดัสตรี โรงพยาบาล ถือหุ้นใน รพ.บำรุงราษฎร์ รพ.พญาไท และบางกอก เชน ฮอสปิตอล พลังงาน ถือหุ้นในไทยออยล์ คมนาคมขนส่ง ถือหุ้นใน AOT สื่อและบันเทิง มีจีเอ็มเอ็มแกรมมี่, อสมท, เมเจอร์ซีเนเพล็กซ์ ค้าปลีก มีห้างสรรพสินค้าโรบินสัน โฮมโปร อุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น แอ๊ดวานซ์ อะโกร, ไทยรุ่งยูเนียนคาร์, เอสวีโอเอ

ชวนให้อดคิดต่อไม่ได้ว่า ฤๅในอนาคต Thailand จะต้องเป็น 'แดนของสิงห์' จริงๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออดีตผู้นำไทยมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับสิงคโปร์ ตั้งแต่ครั้งเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ๆ กล่าวคือ ปี 2532 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งบริษัทชินวัตร ดาต้าคอม และมีบริษัทสิงคโปร์ เทเลคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร่วมถือหุ้น ปี 2533 ร่วมทุนกับสิงเทลให้บริการวิทยุติดตามตัว โฟนลิ้งค์, ปี 2548 สิงเทลเข้ามาถือหุ้นในเอไอเอส 18% และขายหุ้นทั้งหมดให้กองทุนเทมาเส็กในปี 2549 คิดเป็นมูลค่า 7.3 หมื่นล้านบาท

ในยุคที่ (อดีต) ผู้นำไทยกำลังวิ่งกวดโลกาภิวัตน์อย่างบ้าคลั่ง ให้ความสำคัญกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ เร่งทำเขตการค้าเสรีกับนานาประเทศ เพื่อหารายได้เข้าประเทศ แต่ทำไมประชาชนส่วนใหญ่กลับมีหนี้สินเพิ่มขึ้น?

ช่วงที่กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยออกมาคัดค้านการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับสิงคโปร์ พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้สรุปความว่า ไทยไม่สามารถต้านโลกาภิวัตน์ได้ อย่างไรเสียทุนข้ามชาติหรือเทมาเส็ก ก็ต้องเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

โลกาภิวัตน์คือ 'ถนนสายเดียวเท่านั้น' ที่สังคมไทยต้องมุ่งไปจริงหรือ?

วิถีแบบไหนที่เรียกว่าโลกาภิวัตน์ และประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ จะได้หรือเสียประโยชน์จากโลกาภิวัตน์กันแน่?

สัปดาห์นี้ 'เนชั่นสุดสัปดาห์' ชวนสนทนากับ ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิถีทรรศน์ เจ้าของนามปากกา 'ยุค ศรีอาริยะ' หนึ่งในผู้หยิบยกแนวคิดดังกล่าว เข้าสู่สังคมไทยตั้งแต่ปี 2537 ผ่านงานเขียน 2 เล่มคือ โลกาวิวัฒน์ 2000 และมายาโลกาภิวัตน์

"โลกาภิวัตน์ หมายถึง การเปลี่ยนยุคสมัยประวัติศาสตร์ จากยุคทุนอุตสาหกรรมเป็นใหญ่ มาสู่ทุนการเงินที่ไร้พรมแดน ทุนการเงินสมัยก่อนไม่ได้ไร้พรมแดน ทุนการเงินสมัยใหม่มีชีวิตอยู่กับการปั่น เงินพวกนี้เอาไปใช้ 'ปั่น' กำไร ไม่ใช่ 'ลงทุน' เพื่อทำกำไร มีขบวนการปั่นในหลายรูปแบบ อาจปั่นให้ตลาดหุ้นขยายตัว ซึ่งรัฐบาลไทยทำ ยกตัวอย่างเช่น การปั่นให้เกิดการขยายตัวของจีเอ็นพี ปั่นอสังหา ปั่นที่ดิน ปั่นราคาสินค้า ราคาน้ำมัน ปั่นให้ขึ้นก็ได้กำไร ปั่นให้เจ๊งก็ได้กำไร พวกทุนเหล่านี้เป็นทุนทำลายตัวเองในระยะยาว และก่อให้เกิดกลุ่มอภิมหาร่ำรวย ซึ่งเป็นคนกลุ่มเล็กๆ ขณะที่คนส่วนใหญ่จะกลายเป็น 'เหยื่อ' ของขบวนการโลกาภิวัตน์"

และนาทีนี้ ทุนโลกาภิวัตน์กำลังสยายปีกเข้าสู่ประเทศไทย ด้วยอัตราเร่งที่น่าเป็นห่วงยิ่ง!

0 0 0

0 ตามที่เคยกล่าวไว้หนังสือ 'ผ่าม่านมายาโลกาภิวัตน์' ว่าระบบโลกไม่ได้ก้าวสู่ทิศทางประชาธิปไตย แต่กระแสโลกาภิวัตน์ นำโลกสู่ยุคธนาธิปไตยไร้พรมแดน แบบเผด็จอำนาจ โลกาภิวัตน์นำสู่จุดจบของประชาธิปไตย ช่วยอธิบายแนวคิดผ่านการบริหารประเทศของคุณทักษิณ ชินวัตร ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ระบบโลกปัจจุบันก้าวสู่ธนาธิปไตยๆ เกิดขึ้นเนื่องจากการผนวกตัวของทุนใหญ่ และทุนใหญ่เชื่อมกับทุนระหว่างประเทศ เช่น กรณีคุณทักษิณ (ชินวัตร) ที่ค่อนข้างมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสิงคโปร์ เข้ามาเทคโอเวอร์ ยึดครองเศรษฐกิจประเทศไทย มันก็มีทิศทางเหล่านี้อยู่ หมายความว่า ทุนใหญ่สามารถเข้ามาตั้งพรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้ โดยการประสานร่วมมือระหว่างทุนภายในและภายนอก กลายเป็นกลุ่มทุนที่มีเงินมากกว่าทุนระดับกลาง-ย่อย ทำให้พัฒนาไปสู่ระบบซึ่งคนจำนวนน้อยเท่านั้นมีอำนาจ กำหนดทิศทางการเมือง และเศรษฐกิจของประเทศได้

0 ที่บอกว่าจะนำไปสู่จุดจบของประชาธิปไตย หมายความว่าอย่างไร

เพราะระบบประชาธิปไตยโดยตัวของมันเอง หมายถึงระบบที่มีการบลานซ์ของพลังภายในต่างๆ แต่ระบบอันนี้อำนาจทั้งหมดรวมศูนย์ คือคนมีเงินเท่านั้นที่จะควบคุมระบบทั้งหมด และเป็นคนมีเงินจำนวนน้อยด้วย นี่หมายถึงระบบโลกาภิวัตน์ เป็นระบบซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างต่างจากยุคทุนนิยมอุตสาหกรรม ระบบโลกาภิวัตน์สร้างให้เกิด อภิมหาร่ำรวย ยกตัวอย่างคุณ...พวกนี้ร่ำรวยมาก ร่ำรวยมาจากการเล่นหุ้น ปั่นที่ดิน ปั่นอสังหาริมทรัพย์ ปั่นราคาน้ำมัน และร่ำรวยอย่างรวดเร็ว คนเหล่านี้ไม่ได้ทำการผลิตจริง ขณะเดียวกันจะเกิดปรากฏการณ์เรียกว่า รวยกระจุกจนกระจาย คือชนชั้นล่างจะเป็นหนี้สินมากขึ้น คนชั้นกลาง-คนทำธุรกิจอยู่ในภาวะจนลง ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในอเมริกาด้วย

0 สรุปว่ากลุ่มคนที่ได้ประโยชน์มีแต่นักธุรกิจขนาดใหญ่

นักธุรกิจจริงๆ ก็เป็นกลุ่มที่เล่นกับเงิน พวกที่ทำการผลิตจริงไม่ได้ประโยชน์เท่าไหร่

0 มีความคิดเห็นอย่างไรที่ตอนนี้ทุนสิงคโปร์เข้ามาลงทุน หรือเทคโอเวอร์ในกิจการประเภทต่างๆ ของไทยเยอะมาก โดยเฉพาะธุรกิจธนาคารและอสังหาริมทรัพย์

ยุคโลกาภิวัตน์ คือยุคที่ทุนการเงินมีอำนาจเหนือทุนอื่นๆ เอาเงินเข้ามาเพื่อกระตุ้นให้เกิดฟองสบู่ในธุรกิจหุ้น และธุรกิจต่างๆ

0 เป็นไปได้ไหมว่าทุนข้ามชาติส่วนใหญ่เข้ามาลงทุนทำธุรกิจจริง ไม่ใช่เก็งกำไร

เจตนาจริงๆ คือปั่นให้เกิดฟองสบู่ขึ้นมา ไม่ได้เข้ามาเพื่อลงทุนอุตสาหกรรม ที่ดูคล้ายลงทุนจริงก็มีอยู่บ้าง เช่น เข้ามาปั่นอสังหา ไม่ใช่เพื่อให้ราคาเป็นไปตามกลไกทั่วไป แต่มีเจตนาเพื่อจะปั่น

0 อย่างขณะนี้มีทุนสิงคโปร์เข้ามาไทยเป็นจำนวนมาก ก็มีแนวโน้มเพื่อจะปั่นราคา

ใช่ ส่วนใหญ่เข้ามาในตลาดเงิน และที่เขาเตรียมเข้ามาใหญ่คือ ปั่นอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับคุณทักษิณ (ชินวัตร) คือขบวนการการปั่นโดยทั่วไปของทุนเหล่านี้ มันจะปั่นอยู่ 2 จุด จุดแรกปั่นในตลาดเงิน ตลาดหุ้น อีกจุดคือปั่นอสังหา เหมือนกับสมัยฟองสบู่แตก มันเริ่มต้นด้วยการปั่นตรงนี้ก่อน ปั่นที่ตลาดหุ้น พอตลาดหุ้นขึ้น ก็จะปั่นอสังหาตาม รัฐบาลชุดนี้ก่อนที่จะล้มไป เขาเตรียมที่จะปั่นอสังหา

0 ดูสัญญาณได้จากอะไร

จากการเคลื่อนเข้ามาของทุนซึ่งเตรียมที่จะปั่น มีความพยายามปั่นโดยรัฐบาล 2-3 วิธี เช่น ความคิดที่จะสร้างเมืองใหม่สุวรรณภูมิ ความคิดที่ 2 คือแผนงานสร้างรถไฟพร้อมกัน 10 สาย เจตนาเพื่อจะทำให้ราคาที่ดินสวิงขึ้นพร้อมกันทุกจุดประมาณเท่าตัว ทุกจุดที่รถไฟเข้าไป และก่อนหน้าเกิดวิกฤติการเมือง ทุนที่มาเล่นอสังหาเริ่มปั่นบ้านราคาแพง บ้านราคา 30-40 ล้านบาท นี่คือการปั่นให้เกิดขึ้น แต่ตอนนี้หยุดไป เพราะแผนงานการปั่นทั้งหมดมันชะงัก

การที่รัฐบาลบอกจะสร้างรถไฟ 10 สาย เจตนาว่ารัฐบาลจะลงทุนขนาดใหญ่ ทุกเส้นทางจะเกิดการขยับขึ้นราคา พวกที่เล่นอสังหาทั้งหมดจะได้กำไรจากขบวนการนี้

0 ความจริงแล้วรัฐบาลก็ไม่มีเงินในกระเป๋าสำหรับการก่อสร้าง

ใช่ จะเอาเงินจากต่างประเทศมาลงทุน ที่บอกว่า 'ปั่น' เพราะปกติเวลาทำแผนงานต้องทำแผนเล็กๆ สร้างรถไฟทีละสายๆ แต่การประกาศสร้างทีเดียว 10 สายนี่คือเจตนาใช้ 'ข่าว' ในกระบวนการปั่น และไปดึงต่างประเทศมาลงทุน เพื่อเปิดเงื่อนไขการระดมทุนขนาดใหญ่ ทำเป็นเรื่องอินเตอร์ นี่คือกระบวนการปั่นธุรกิจอสังหา

0 ถ้ามีการก่อสร้างจริง มันก็จะเกิดการสร้างงานในระดับหนึ่ง แรงงานก็จะได้ประโยชน์ แต่อาจารย์มองว่าวัตถุประสงค์หลักคือการปั่นราคามากกว่า

ใช่ มันก็จะกลับไปเหมือนเหตุการณ์ก่อนปี 2540 กล่าวคือ เงินไหลทะลักเข้าสู่อสังหาในกรุงเทพฯ ขบวนการปั่นกรุงเทพฯ กับสุวรรณภูมิก็จะเกิดขึ้น คนจะตื่นเหมือนกับช่วงก่อนปี 2540 และกู้เงินเข้ามาเพื่อเล่นอสังหา ในเวลาเดียวกันการปั่นอสังหาทำให้ตลาดหุ้นดีขึ้นด้วย แต่ถึงที่สุดแล้ว การปั่นอสังหาจะไปเจอปัญหาเหมือนกับปี 2540 นั่นคือปั่นจนกระทั่งพัง จุดพังปี 2540 ไม่ใช่ตลาดหุ้นแตกนะ แต่เป็นตลาดอสังหาแตก เพราะไปเล่นกันจนกระทั่งดีมานด์-ซัพพลายวิ่งสวนทางกัน ทุกคนเอาเงินซื้อเข้าไปๆ แบบเก็งกำไร จนกระทั่งแบงก์ที่ให้กู้เจ๊งเป็นทิวแถว จนต้องประกาศปิด นี่คือการปั่นอสังหา

เสร็จแล้วคนจำนวนหนึ่งก็กลายเป็นแมลงเม่า เหมือนกับการปั่นหุ้น พออสังหาพัง หุ้นก็พังตาม ขบวนการก็กลับไปแบบปี 2540 ใหม่ คือการแตกของฟองสบู่รอบ 2 หลังฟองสบู่แตก สิงคโปร์ก็เข้ามาเทคโอเวอร์ใหม่ (ช้อนซื้อของถูก) กรุงเทพฯ เกือบทั้งหมดก็กลายเป็นของสิงคโปร์

0 เรื่องราวเหล่านี้ ผู้นำไทยคิดไม่ทันเลยหรือ

อย่าลืมว่าผู้นำไทยร่วมกับสิงคโปร์ตั้งแต่นานมาแล้ว บริษัทชินวัตร ใครร่วมทุนด้วย ผมจำชื่อแน่นอนไม่ได้ (หมายถึง กลุ่มบริษัทสิงคโปร์เทเลคอม จำกัด เข้ามาถือหุ้นเพื่อให้บริการสื่อสารข้อมูลในปี 2532) เขาร่วมทุนตั้งแต่ตอนต้นแล้ว...

สิงคโปร์ขยายทุน เป้าหมายคือยึดประเทศไทย ไม่ใช่ที่อื่น เพราะมันง่ายที่สุด และคนไทยยังไม่เข้าใจกระแสโลกาภิวัตน์ๆ หมายถึง กระแสทุนจากศูนย์กลางมันแผ่อำนาจเข้ามาครอบ กิน และกินอย่างรวดเร็วด้วย โดยอาศัยการเล่นกับเศรษฐกิจฟองสบู่ ทำให้พองและแตก แล้วเทคโอเวอร์

0 แล้วคนไทยระดับประชาชนธรรมดา คนชั้นกลาง จำเป็นต้องใส่ใจกับทุนข้ามชาติไหม เพราะนายทุนชาติไหนๆ ก็น่าจะเหมือนกัน ไม่ว่าใครเข้ามาเป็นนายทุน ประชาชนก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของกิจการอยู่แล้ว

คนไทยส่วนใหญ่เป็นได้แค่ทุนแมลงเม่า ยกเว้นคุณใหญ่พอที่จะร่วมกับสิงคโปร์ ก็เป็นส่วนหนึ่งของทุนสิงคโปร์ และกินประเทศไทยอีกทอดหนึ่ง แต่ต้องเข้าใจว่าเบื้องหลังทุนสิงคโปร์ก็ไม่ใช่สิงคโปร์ แต่เป็นอเมริกา... คนส่วนใหญ่จะเจอปัญหานี้ คือในขบวนการปั่นเศรษฐกิจ คนจะถูกกระตุ้นให้ใช้เงินและลงทุน ยกตัวอย่างย้อนไปช่วงต้นของนโยบายรัฐบาลทักษิณ วิธีทำให้ตลาดหุ้นขยายตัวมีวิธีเดียวคือ ทำให้จีเอ็นพีขยายตัว (Gross National Product : ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ) การจะทำให้จีเอ็นพีขยายตัว คือ 1) ต้องใส่เงินเข้าไปและกระตุ้นให้คนบริโภคเยอะๆ เกิดนโยบายประชานิยม ถึงที่สุดประชานิยมคือให้คนเป็นหนี้กันเยอะๆ 2) ลดดอกเบี้ย เพื่อบีบให้คนเอาเงินออกมาใช้จ่าย นี่คือขบวนการกระตุ้นการบริโภค

ถามว่าแล้วคนเป็นอย่างไร คนจนจะมีภาระหนี้เต็มไปหมด คนมีเงินจำนวนหนึ่ง ก็จะมาเล่นหุ้นหรือเล่นอสังหา พวกนี้จะรวยขึ้นมาช่วงหนึ่ง ที่เกิดการบูมของตลาดหุ้นและตลาดอสังหา แต่ไม่เกิน 3 ปี พวกนี้ก็กลายเป็นแมลงเม่าหมด...

0 ถ้าเหตุการณ์เป็นไปตามสมมติฐานที่อาจารย์กล่าวคือ ฟองสบู่แตก สิงคโปร์เข้ามาช้อนซื้อกิจการของไทย แล้วประเทศไทยจะเป็นอยางไร ความเป็นรัฐชาติยังคงอยู่ไหม

ถ้าฟองสบู่แตกรอบ 2 หมายความว่า แบงก์กลายเป็นของสิงคโปร์หมด ที่ดินในกรุงเทพฯ ก็เช่นกัน

0 ในทางการเมืองจะเป็นอย่างไร

เขาก็ประสานกับกลุ่มทุนที่ร่วมอยู่ คือกลุ่มทุนชินวัตร ทุนพรรคการเมืองขนาดใหญ่ โดยการสร้างพรรคการเมืองขนาดใหญ่ คุมประเทศไทยผ่านพรรคการเมือง คนจนจะจนลงไปอีก คนชั้นกลางก็จนลง

0 ในฐานะประชาชนเราควรวิตกกังวลไหม เพราะดูเหมือนว่าอย่างไรเราก็ต้องอยู่ในโลกโลกาภิวัตน์

มันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น มีทางอื่นอีกหลายวิธี เช่น ใช้เศรษฐกิจชาติแบบมาเลเซีย หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องให้ประเทศถูกครอบโดยสิงคโปร์ หรืออเมริกา อย่างมาเลเซียอาจเล่นกับญี่ปุ่น หรือจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเขามีความสามารถในการต่อรองมากกว่า และไม่เล่นฟองสบู่เยอะ

กรณีของไทยก็เหมือนกัน คุณจะเล่นกับสิงคโปร์ อเมริกา หรือจะเล่นกับจีน

0 ดูเหมือนว่าผู้นำไทยเห็นชอบกับเส้นทางนี้ ถ้าผู้นำประเทศมาจากพรรคการเมืองอื่น ประเทศไทยอาจไม่กระโจนเข้าไปมากดังเช่นปัจจุบัน

ใช่ เพราะคนนำของรัฐบาลนี้ หมายถึงกลุ่มนำ เป็นทุนที่โตมาจากทุนฟองสบู่ และรวยมาจากฟองสบู่ เล่นค่าเงิน เล่นอะไรต่างๆ ตามจอร์จ โซรอส เล่นปลุกฟองสบู่ เล่นอสังหา เล่นค่าเงิน คือเล่นทุกอย่างที่ได้กำไร จอร์จ โซรอสมาตี ก็อยู่ฝ่ายจอร์จ โซรอส สรุปคืออยู่ฝ่ายเดียวกับสิงคโปร์ พวกนี้ก็จะได้กำไรตามกระแส

0 ข้อมูลเหล่านี้นักวิชาการ นักธุรกิจ เขาก็ทราบกันดีใช่ไหม เพียงแต่ไม่ค่อยพูดถึงกัน

คนไทยมีจุดอ่อนอันหนึ่งคือ ไม่มีการสรุปบทเรียนเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตให้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น เราเข้าใจเหตุการณ์ปี 40 แย่มาก เข้าใจว่าเป็นความผิดของคนไม่กี่คน เราไม่ได้วิเคราะห์วิจัยอย่างจริงจัง ไม่มีใครตั้งคำถามว่า อยู่ดีๆ คุณทักษิณใหญ่ขึ้นมาได้อย่างไร ขณะที่คนอื่นพังหมด ไม่มีใครไปค้นคว้าจริงๆ

0 นักการเมืองพรรคอื่นๆ หรือนักการเมืองของไทยรักไทยเอง จะคิดไม่ทันในเรื่องเหล่านี้เลยหรือ

ไม่มีทาง เพราะโลกาภิวัตน์เป็นทุนใหม่ คล้ายๆ เป็นรูปแบบของทุนพัฒนาการล่าสุด

0 คุณพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เคยพูดถึงเรื่องนี้ในช่วงที่มีการต่อสู้ระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ กับอดีตนายกฯ ทักษิณ สรุปความได้ว่า เราไม่สามารถต้านโลกาภิวัตน์ได้ ไม่ว่าอย่างไรทุนข้ามชาติหรือเทมาเส็ก ก็ต้องเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

นั่นก็ใช่ แต่ขึ้นกับว่าคุณจะดีลกับใคร ยกตัวอย่างง่ายๆ ในช่วงนี้คุณดีลกับจีนง่ายกว่า อำนาจการต่อรองสูงกว่า จีนยังเล่นทุนอุตสาหกรรมเยอะ เขาไม่เล่นฟองสบู่เท่าไหร่ และมีทุนที่พร้อมจะขยับทุนเข้ามาจำนวนมาก และความสามารถของเราในบางเรื่องยังสูงกว่าจีน ไทยเล่นกับจีนเล่นได้ตั้งหลายเรื่อง เช่น การท่องเที่ยว คนจีนต้องการเข้ามาเที่ยวเยอะ การแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการเกษตร ร่วมกับจีนเรื่องรถยนต์ จีนเริ่มบุกอุตสาหกรรมรถยนต์ รถยนต์ที่จีนผลิตอาจตามญี่ปุ่นไม่ทันก็จริง แต่จีนมีทิศทางพัฒนาการค่อนข้างน่ากลัว แม้ตลาดยุโรปก็บุกแล้ว พลังงานทดแทน เราก็สามารถแลกเปลี่ยนกับจีนได้ จีนกำลังลงทุนมหาศาลเรื่องพลังงานทดแทน เพราะมีปัญหาน้ำมัน พวกนี้ก็เป็นส่วนเศรษฐกิจที่เราสามารถเชื่อมโยงกับจีนและต่อรองได้ด้วย

จีนเป็นตลาดที่กำลังขยายตัวมากกว่าอเมริกา ถ้าถามถึงอนาคต จีนยังเป็นที่พึ่งในเชิงตลาดของไทยได้ดีกว่าด้วยซ้ำไป

0 ถ้าทุนโลกาภิวัตน์เข้ามามากๆ กลุ่มทุนชาติ ทุนท้องถิ่น จะอยู่อย่างไร เราจะเอาประเด็นความเป็นชาติไปสู้ทุนข้ามชาติได้ไหม

มันขึ้นกับกระแส คือคนไทยนี่กระแสชาตินิยมไม่แรงพอที่จะต้านกระแสการเข้ามาครอบของทุนต่างประเทศ ขณะที่บางประเทศมี เช่น มาเลเซียเขาผนึกกำลังต่อรองกับสิงคโปร์ตลอด ไม่ให้สิงคโปร์เข้ามามีอิทธิพล หมายความว่า เราต้องเล่นกระแสชาตินิยมในบางจุด เพื่อผนึกกลุ่มทุนไทยให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยใช้ผลประโยชน์ของชาติเป็นตัวตั้ง เพื่อต่อรองกับการขยายตัวหรืออิทธิพลที่เข้ามาครอบงำ อันนี้ก็เป็นประโยชน์ เหมือนกับลาวที่กันไม่ให้อิทธิพลไทยเข้าไปมาก ก็ใช้กระแสชาตินิยมบางส่วน แต่ไม่ได้ปลุกอย่างรุนแรง...

0 การที่คุณทักษิณเว้นวรรคไป ถือเป็นโชคดีของประเทศไทยระดับหนึ่ง

เป็นโชคดีมาก ไม่ใช่ระดับหนึ่ง ไม่เช่นนั้น การปั่นฟองสบู่อสังหาจะเกิดขึ้น

0 ฟันธงเลยหรือ

ใช่ และไม่เกิน 3 ปี ฟองสบู่อสังหาจะแตก

0 แสดงว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า หากคุณทักษิณกลับมาเป็นผู้นำ จะมีโอกาสเกิดฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ทำไมจะไม่มีเล่า ในเมื่อคุณทำเป็นเรื่องอินเตอร์มาก สร้างรถไฟ 10 สาย ราคาที่ดินก็ต้องพุ่งขึ้น เสร็จแล้วคุณจะสร้างเมืองสุวรรณภูมิ ต้องระดมทุนเท่าไร คุณก็สร้างข่าวขึ้นมา ไปกว้านซื้อที่ดินไว้ และเรียกสิงคโปร์ให้เอาเงินเข้ามาช่วยกันปั่น

0 ถ้าฟองสบู่แตกอีกรอบจริง สภาพและหน้าตาของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร

หน้าตาเป็นสิงคโปร์ ไม่ต้อง เฉพาะกรุงเทพฯ เป็นเซ็นเตอร์ย่อยของสิงคโปร์ ไม่ต้องพูดถึงคนไทย ซึ่งจะเป็นหนี้เต็มไปหมด

0 ความเป็นชาติ รัฐชาติ ก็ไม่มีแล้ว

ถ้าคุณยอมให้เกิดขึ้น มันก็ไม่มี แต่ถ้าคุณไม่ยอม มันก็ยังมีอยู่

0 การยอมหรือไม่ยอม ไม่ได้อยู่ที่ประชาชน เพราะทิศทางของประเทศถูกกำกับโดยหัวหน้ารัฐบาล

ผู้นำก็มีหลายฝ่าย เส้นทางระหว่างประเทศคุณมีทางเลือก ไม่ใช่ว่าไม่มี เศรษฐกิจก็มีทางเลือก การเมืองก็มี คุณจะยอมให้อเมริกาตั้งฐานทัพไหม คุณจะบอกได้ยังไงว่าการที่อเมริกาตั้งฐานทัพเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันหลีกเลี่ยงได้ คุณเชื่อมสัมพันธ์กับจีนให้ดี เอาจีนมาดุลกับอเมริกา คุณบอกได้ยังไงว่าโลกาภิวัตน์จากสิงคโปร์หลีกเลี่ยงไม่ได้ การเมืองมีทางออก เศรษฐกิจก็มีทางออกเหมือนกัน เล่นแบบไหนประเทศได้ประโยชน์ที่สุด ประชาชนได้ประโยชน์ที่สุด แต่เล่นแบบ 'ทักษิณ ชินวัตร' คือกลุ่มเขาได้ประโยชน์ที่สุด กับกลุ่มสิงคโปร์ซึ่งเป็นพันธมิตรของเขา

0 ถ้าพรรคอื่นขึ้นมาเป็นรัฐบาล หรือเป็นนักการเมืองคนอื่นในพรรคไทยรักไทยขึ้นมาเป็นผู้นำ ประเทศไทยจะยังเดินไปในทิศทางนี้ หรือชะลอตัวลง

ชะลอตัวลง มันจะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น เช่น คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สนิทกับจีนมาก...คุณทักษิณ สนิทกับบุช และสิงคโปร์ ซึ่งเป็นคนละสายความคิดกัน แนวเศรษฐกิจไม่เหมือนกัน จีนยังลงเรื่องเศรษฐกิจจริงมากกว่าฟองสบู่ อเมริกากับสิงคโปร์เล่นกับเศรษฐกิจฟองสบู่มากกว่าเศรษฐกิจจริง ประเด็นคือเราจะวิ่งตามจีน หรือวิ่งตามอเมริกา

คำถามที่คนไทยต้องเลือกคือ เราจะมีชีวิตอยู่กับเศรษฐกิจแบบไหน เลือกเป็นไทหรือเป็นทาส ถ้าเลือกเป็นทาสก็อยู่กับสิงคโปร์

0 ถึงขนาดต้องเป็นทาสเลยหรือ ไหนว่านายทุนชาติไหนๆ ก็เหมือนกัน

ไม่ใช่ เราจะเหมือนกับฟิลิปปินส์ กลุ่มคนรวยซึ่งมีอยู่นิดเดียวจะถูกคุมโดยอเมริกา นอกนั้นเป็นคนชั้นกลาง ระดับล่าง คนจนเต็มประเทศ เราจะเลือกเส้นทางแบบไหน ยกกรุงเทพฯ ให้เขาไป...

0 การทำเช่นนั้นสิงคโปร์จะได้ประโยชน์อะไร ได้พื้นที่เพิ่ม ขยายธุรกิจ หรืออะไร

ไม่ใช่ พวกนี้เป็นทุนฟองสบู่เขาก็เล่นฟองสบู่ (ไม่ได้เล่นอุตสาหกรรมจริง) ซึ่งผลประโยชน์มหาศาล อย่างปัจจุบันกลุ่มทุนฟองสบู่หันมาเล่นน้ำมัน...กระแสโลกปัจจุบัน เป็นกระแสระหว่างโลกาภิวัตน์ กับพวกต้านโลกาภิวัตน์

0 บ้านเรามีกระแสต้านโลกาภิวัตน์ไหม

มี คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ไง และขบวนการพันธมิตรทั้งหมด เป็นกระแสต้านทักษิณ และต้านโลกาภิวัตน์ด้วย ที่เขาชูธงเรื่องกู้ชาติ และพยายามผนึกพลังคนไทย เอ็นจีโอ พระ ผนึกแนวร่วมหลายฝ่ายเข้าด้วยกัน เพื่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์ นี่ก็เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของโลก ต่างจากสมัยที่สู้กันระหว่างทุนนิยมกับสังคมนิยม

0 ดังนั้น หนทางเดียวที่เราจะไม่เป็นเมืองขึ้นสิงคโปร์คือ ต้องต้านโลกาภิวัตน์ใช่ไหม

กระแสต้านโลกาภิวัตน์จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ เพราะไปสร้างดุลอำนาจขึ้นมา คือประเทศไทยผมเป็นห่วงว่าถ้าเราสวิงด้านใดด้านหนึ่งเต็มที่จะเสียประโยชน์ เกิดอันตรายในระยะยาว

0 ตามที่เคยกล่าวไว้ในหนังสือว่า การเกิดขึ้นของระบบเศรษฐกิจโลกไร้พรมแดน ทำให้เศรษฐกิจระดับชาติ เศรษฐกิจที่วางโดยรัฐ พังทลาย เป็นอวสานของรัฐชาติ สถานการณ์ประเทศไทยขณะนี้ถือว่าใกล้เคียงไหม หรือยังอีกไกล

ใกล้เคียง ในช่วงทักษิโณมิกส์ที่ผ่านมามีแนวโน้มไปทางนั้น

0 ภาพจำลองอวสานของรัฐชาติเป็นอย่างไร

มีอิทธิพลของต่างประเทศเข้ามาสูง ในการกำหนดนโยบายของประเทศ แทนที่จะยืนอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศ ของชาติ ก็ไม่ใช่ คือรัฐในอดีตในประเทศโลกที่ 3 เติบโตจากการต่อสู้ขับไล่ตะวันตก ก็ยังมีลักษณะรัฐชาติอยู่ มีผลประโยชน์ของประเทศเป็นส่วนใหญ่ อะไรคือผลประโยชน์ของประเทศที่ต้องปกป้อง ไม่ให้ต่างชาติเข้ามากอบโกย...

ถ้าเราระวังและใช้กระแสชาตินิยมขึ้นมาได้ ก็จะใช้ต่อรองผลประโยชน์ได้

0 เราจะพูดอย่างไรให้คนตระหนักในความสำคัญของเรื่องดังกล่าว

อย่าลืมว่าถ้าคุณยอมให้ประเทศไทยเป็นทุนฟองสบู่ ทั้งหมดเสียหาย จะเกิดปรากฏการณ์ฟองสบู่แตก ก็จะเกิดความเสียหาย

0 ถ้าประเทศไทยเสียหาย คนที่ปั่นและทำฟองสบู่แตก ก็ไม่น่าจะอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ได้

คุณเข้าใจผิด ทุนโลกาภิวัตน์คือทุนที่หากินกับวิกฤติ พังยิ่งดี ทุกคนเสียหายหมด แต่ตัวเขาจะร่ำรวย และจะกินไปเรื่อยๆ กินที่ดิน กินอสังหา กินธนาคาร เขาจะรวยขึ้นๆๆ เรื่อยๆ คนๆ เดียวเป็นเจ้าของประเทศ เข้าหลักข้อเขียนของคุณธีรยุทธ (บุญมี) ที่บอกว่าทักษิณกินทั้งเมือง นี่คือยุคโลกาภิวัตน์ ยุคที่ทุนจำนวนหนึ่งกินเมืองทั้งเมือง จะยกประเทศให้เขาหรือเปล่า

0 ตามที่เคยกล่าวว่า โลกกำลังถูกยึดครองโดยจักรวรรดิทางเศรษฐกิจ ศูนย์กลางของจักรวรรดิคือบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ซึ่งมีอำนาจเหนือรัฐ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงประชาชนจะอยู่อย่างรอมชอมกับทุนข้ามชาติได้ไหม

ไม่ได้เลย (ปฏิเสธทันควัน) เพราะทุนข้ามชาติรุ่นใหม่เป็นทุนกินชาติ ทุนปั่นเศรษฐกิจ คนจนตายลูกเดียว เป็นหนี้อย่างเดียว ไม่มีสิทธิเลย

0 สรุปว่าเป็นความน่ากลัวของทุนข้ามชาติ

ไม่ใช่ มันเป็นทุนโลกาภิวัตน์เป็นทุนสมัยใหม่ เขาไม่ได้มาลงทุน ไม่ได้มาจ้างงาน เขาเอาเงินมาปั่นเฉยๆ ไม่เหมือนทุนยุคเก่าที่เป็นทุนอุตสาหกรรม นั่นยังเข้ามาลงทุน เกิดการผลิต การจ้างงาน แต่นี่มาปั่นเศรษฐกิจ ปั่นอนาคต ปั่นให้คนเป็นหนี้ ให้คนเจ๊ง แล้วเขาก็รวย ไม่ได้เจ๊งตาม

0 คนจนอาจคิดว่าจะแปลกอะไร เพราะไม่ว่านายทุนกลุ่มไหนๆ เข้ามา เขาก็เป็นหนี้อยู่แล้ว

มันจะเป็นหนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คือขบวนการปั่นหนี้ถ้าไปอ่านให้ดี ยุคทักษิณมีมากที่สุด เจตนาเพื่อปั่นให้จีเอ็นพีขยายตัว ไม่มียุคไหนปั่นเท่านี้ เพราะมันเริ่มใช้เงินอนาคต ไม่ใช่แค่หนี้ภาคเอกชน ประเทศเป็นหนี้ด้วย คือเอาเงินอนาคตของรัฐมาปั่นให้จีเอ็นพีมีการเคลื่อนตัว แต่การเคลื่อนตัวก็ไม่ได้มีเจตนาเพื่อการผลิตจริง แต่เจตนาให้ตลาดหุ้นบูม คนได้คือคนที่อยู่ในตลาดหุ้นเท่านั้น

เราไม่ใช่สิงคโปร์ๆ เป็นเกาะเล็กนิดเดียว สิงคโปร์เหมือนเป็นบริษัทใหญ่ ซึ่งคนในเกาะเองกลายเป็นลูกจ้างรายได้ดี และไปเทคโอเวอร์ประเทศอื่น สิงคโปร์เป็นเซ็นเตอร์ของทุนอเมริกา ทุนยุโรปที่เข้ามาหากินในแถบนี้ เป็นเซ็นเตอร์คอยควบคุมว่าจะให้เงินไหลไปทางไหน ตรงไหนเหมาะสำหรับอะไร ตอนนี้จะปั่นอะไรที่ไหน อย่างไร อย่างเช่นเขามองประเทศไทย ทำไมมองที่อสังหา เพราะเทียบประเทศไทย กับจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ อสังหามีสิทธิปั่นขึ้น เพราะที่อื่นอิ่มตัวแล้ว แต่ของไทยยังมีโอกาสปั่นอสังหาขนาดใหญ่ในไทยได้ เขาเห็นตรงนี้อยู่นานแล้ว แผนงานสรางรถไฟ 10 สาย สร้างเมืองใหม่สุวรรณภูมิ ทั้งหมดนี้คือขบวนการ

0 ในอนาคตน้ำมันจะเป็นปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจไทยไหม

ไม่เป็น ปัจจุบันพวกนี้จำนวนหนึ่ง สิงคโปร์ อเมริกา ก็ไปปั่นราคาน้ำมันกัน สร้างสถานการณ์ระดับโลกขึ้นมา หาเรื่องไปเรื่อยเพื่อให้ราคาน้ำมันขึ้น ทุกคนไปกักตุนน้ำมัน ทุนระดับย่อยของเราบางส่วนก็ไปกักตุนน้ำมัน เช่น ตอนนี้ค่าเงิน 37 บาทต่อดอลลาร์ คุณก็ไปซื้อน้ำมันล่วงหน้าไว้ กะว่าน้ำมันจะขึ้น ก็ได้กำไรแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย รอให้น้ำมันขึ้น ศูนย์กลางบริษัทน้ำมันก็ร่ำรวยมหาศาล เป็นการปล้นโลกทั้งโลก โดยการใช้วิกฤติน้ำมัน คือสูบความมั่งคั่งจากทุกจุดของโลก เข้าสู่บรรษัทขนาดใหญ่ เป็นนักปั่นกำไร

ในประเทศไทยบางคนใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ แอบซื้อน้ำมันกักตุนไว้ ซื้อน้ำมันอนาคตไว้ บางบริษัทร่ำรวยขึ้นมา คุณรู้ตลอดเวลาว่าราคาน้ำมันต้องขึ้นสูง แต่ไม่เคยบอกประชาชน ไม่เคยคิดแก้ปัญหาน้ำมันอย่างจริงจัง ลองถามดูทำไมรัฐบาลชุดที่ผ่านมาจึงไม่คิดแก้ปัญหาน้ำมันอย่างจริงจัง

0 จะบอกว่าเป็นเพราะมีส่วนได้ส่วนเสียในบริษัทน้ำมัน

ใช่ (เน้นเสียง)...เขาเล่นทุกจุดที่ได้กำไร อะไรก็ตามที่วิกฤติแล้วได้กำไร ก็เล่น วิกฤติคือกำไร นี่คือหลักเศรษฐกิจโลกโลกาภิวัตน์ ยิ่งวิกฤติยิ่งกำไร หากินกับวิกฤติทั้งหมด เหมือนบริษัทของอเมริกันที่หากินกับวิกฤติ เกิดสงครามก็ขายอาวุธ ไปสร้างปัญหาวิกฤติน้ำมัน ก็ไปเอากำไรกับน้ำมัน คุณปั่นอสังหาขึ้น คุณก็ได้กำไร พอมันแตก คุณก็ถอนทุนมาก่อน และเทคโอเวอร์ทีหลัง ก็ได้กำไร แบงก์เจ๊งคุณก็เทคโอเวอร์ ได้ที่ดินอีกมหาศาล...ถ้าแบงก์เจ๊งหมดหมายความว่า ประเทศเป็นของคนกุมหลังแบงก์อีกที ที่ดินที่มีค่าเกือบทุกผืนก็อยู่ในมือเขา

0 โดยถูกกฎหมายด้วย

ใช่...เศรษฐกิจปัจจุบันอยู่กับฟองสบู่ ถ้าจะเล่นเศรษฐกิจฟองสบู่ มันจะค่อยๆ พองไปเรื่อยๆ แล้วแตก นี่คือเศรษฐกิจที่อันตรายสำหรับประชาชน ซึ่งเรากำลังเดินไปแบบนั้น ยังมีเศรษฐกิจอีกแบบคือเศรษฐกิจยั่งยืน เราก็ทำอุตสาหกรรม ไม่ปล่อยให้เล่นฟองสบู่มากไป ไม่ได้ห้าม แต่ทำการผลิตเป็นหลัก ประเทศยังมีกาารพัฒนาการแบบยั่งยืนได้ ขึ้นกับว่าเราจะเลือกแบบไหน อย่างจีนยังเน้นเกษตร อุตสาหกรรม เปิดตลาดฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ คือเป็นตลาดการเงิน มาเลเซียเขาก็ยังลงทุนอยู่ เกาหลีก็ไม่เล่นฟองสบู่เยอะ พวกนี้เจอประสบการณ์ปี 40 แล้ว และสรุปบทเรียนหมด

ประเทศไทยที่แย่คือไม่เคยสรุปบทเรียนปี 40 เราเป็นตัวฟองสบู่แตกตัวแรก แต่ไม่เคยสรุปบทเรียนแม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นในปี 40...



ฟองสบู่รอบใหม่.... :(
ถ้าคุณหัวเสีย คุณจะเสียหัว
ภาพประจำตัวสมาชิก
worapong
Verified User
โพสต์: 929
ผู้ติดตาม: 0

บทสัมภาษณ์พิเศษ ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณจากเนชั่นสุดสัปดาห์

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ถ้าไปเน้นอุตสาหกรรมแล้วเราจะสู้จีนได้ไหมเนี่ย ยังมีผู้เล่นหน้าใหม่อีกเยอะแยะเลยที่จะพร้อมใจกันตัดราคาเพื่อแย่งตลาด ที่จริงเศรษฐกิจแบบพอเพียงน่าจะเป็นคำตอบที่ดีนะครับ เข้าใจว่าเศรษฐกิจแบบพอเพียงจะคล้ายๆกับคอมมูนในอิสราเอล เค้าจะสร้างนิคมขึ้นมาแล้วให้แต่ละนิคมอยู่ได้ด้วยตัวเองก่อน จากนั้นเอาทรัพยากรที่เหลือมาผลิตสินค้าขาย โดยจะมีกระทรวงที่รับผิดชอบไปหาออร์เดอร์ล่วงหน้าเป็นปี แล้วจะจัดสรรกำลังการผลิตไปแต่ละคอมมูน แต่ถ้าทำครบวงจรแบบอิสราเอลคงยากมาก การเน้นให้แต่ละครอบครัวช่วยเหลือตนเองได้ก่อนจะง่ายกว่ามาก พอแต่ละครอบครัวช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว เราค่อยๆจัดเป็นกลุ่มๆ แล้วส่งเซลแมนไปหาออร์เดอร์แล้วมาจัดสรรแบ่งปันกันก็น่าจะเป็นไปได้ครับ ส่วนเรื่องทุนข้ามชาติจากบทความข้างบนนั้นผมไม่คิดว่าเราจะมีหนทางที่จะหลีกเลี่ยงมันได้ครับ มันเป็นเรื่องที่สุดจะต้านทานครับ :roll:  :roll:  :roll:
margin of safety
circle of competence
waiting for the perfect pitch
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

บทสัมภาษณ์พิเศษ ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณจากเนชั่นสุดสัปดาห์

โพสต์ที่ 3

โพสต์

จีนไม่มีฟองสบู่แน่หรือ

แล้วนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากสุดในไทยคือประเทศไหน  ใช่สิงคโปร์หรือเปล่า

แล้วสิงคโปร์ที่เข้ามาถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยเป็นเวลานานแล้ว  ไปพวกฉวยโอกาสจริงหรือ  เข้ามาเพื่อสร้างฟองสบู่จริงหรือ

แล้วนายสนธิเป็นคนต้านกระแสโลกาภิวัฒน์จริงหรือ
s3410312
Verified User
โพสต์: 180
ผู้ติดตาม: 0

บทสัมภาษณ์พิเศษ ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณจากเนชั่นสุดสัปดาห์

โพสต์ที่ 4

โพสต์

อ่านมาตั้งแต่ต้นก็ชักจะคล้อย ๆ พอมาถึง

"บ้านเรามีกระแสต้านโลกาภิวัตน์ไหม

มี คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ไง และขบวนการพันธมิตรทั้งหมด เป็นกระแสต้านทักษิณ และต้านโลกาภิวัตน์ด้วย ที่เขาชูธงเรื่องกู้ชาติ และพยายามผนึกพลังคนไทย เอ็นจีโอ พระ ผนึกแนวร่วมหลายฝ่ายเข้าด้วยกัน เพื่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์ นี่ก็เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของโลก ต่างจากสมัยที่สู้กันระหว่างทุนนิยมกับสังคมนิยม "


ชักทะแม่ง ๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
pongo
Verified User
โพสต์: 1075
ผู้ติดตาม: 0

บทสัมภาษณ์พิเศษ ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณจากเนชั่นสุดสัปดาห์

โพสต์ที่ 5

โพสต์

เดี๋ยวนี้ทางยุโรปบางประเทศก็เริ่มเห็นถึงภัยของโลกาภิวัฒน์แล้วนะครับ
เริ่มมีกฎหมายห้ามต่างชาติเข้ามาซื้อกิจการบางประเภท เช่น พวกสาธารณูปโภค
ไทยล่ะ เป็นยังไงบ้าง ยังหน้ามืดตามัวอยู่เลย
น่าจะปลูกฝังเด็กรุ่นใหม่ๆ บ้างนะครับ ว่าอย่าไปตามเห่อต่างชาติมากเกินไป
phobenius
Verified User
โพสต์: 1976
ผู้ติดตาม: 0

บทสัมภาษณ์พิเศษ ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณจากเนชั่นสุดสัปดาห์

โพสต์ที่ 6

โพสต์

เพียงคิดว่าแนวคิดค่อนข้างดีและพยายามชวนให้คิดตามเป็นอย่างมาก

แต่ผมว่า การที่อ้าง สิงคโปค์ อเมริกา กันทั้งประเทศเนี่ย มันกว้างเกินไป
อยากให้เน้น ไปเป็นจุดๆ แต่ละองค์กรไปเลย ใครครอบครองและ
นโยบายของแต่ละองค์กรนั้นนะ เน้นไปแบบไหนแล้วดูเหตุผลการครอบครองของสิงคโปร์ในประเทศอื่นบ้าง

เบื่อเห็นชอบการอ้างแบบหลักฐานน้อยๆ แล้วคิดทฤษฏีใหม่ๆขึ้นมาชวนให้เข้าข้างและต่อต้าน
โพสต์โพสต์