VI บ้าน ๆ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
UPATTY
Verified User
โพสต์: 3
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1141

โพสต์

เพิ่งมาตามอ่าน ได้ข้อคิดดีๆเยอะเลยค่ะ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1142

โพสต์

UPATTY เขียน:เพิ่งมาตามอ่าน ได้ข้อคิดดีๆเยอะเลยค่ะ
ยินดีค่ะ...แวะมาบ่อยๆ นะคะ
หากคุณ UPATTY อยากมาทักทายกับเพื่อนๆ
หรือหากมีข้อมูลใดๆ อยากนำมาแบ่งปัน
ก็แวะมาฝากไว้ที่นี่ได้เสมอนะคะ ^^
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1143

โพสต์

โอกาส...ตรงหน้า..เราคว้าได้ไหม?
(Theenuch_Team Money Talk 4)

..................

ลูกชายสอบ "ทุนนักเรียนแลกเปลี่ยน US"
ของโครงการ YES ได้
แต่เพื่อนๆ หลายคนบอกว่า ทุน AFS
(ที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายกว่า) มี **ทุนฟรี**
แนะนำให้ "ทิ้งทุน YES" เพื่อสอบทุนฟรีของ AFS
..................

**ทุนฟรี**...ใครๆ ก็อยากได้ค่ะ
(แม้มีเงินพร้อมจ่าย แต่ถ้าไม่ต้องจ่าย...ย่อมดีกว่า)
.
555.PNG
666.png
ก่อนจ่ายเงินสมทบ YES (US) 393,000 บาท
จึงลองค้นเกี่ยวกับ **ทุนฟรี** AFS ดูหน่อย
ปรากฎว่า ของ AFS ถ้าไป US ผู้ปกครองต้องสมทบ
13,600 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 476,000 บาท)
................

AFS มีทุนฟรีจริงค่ะ **แต่...สำหรับ...**
1. ลูกของพนักงานที่หน่วยงานออกเงินสมทบให้
2. เด็กที่ ผู้ปกครองมีรายรับรวมกันไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน
3. ทุนรัฐบาลสหรัฐสำหรับนักเรียนไทย-มุสลิม
ส่วน "ทุนทั่วไป" พ่อแม่แบบเราๆ ต้องจ่ายเงินสมทบทุกกรณี
(ไหนๆ หาข้อมูลแล้ว...เลยเอามาฝากแฟนรายการด้วยค่ะ)
.................

ในแต่ละปีมีเด็กที่สอบผ่าน...แต่ต้องสละสิทธิ์
<<เพราะผู้ปกครองไม่มีกำลังพอที่จะจ่ายเงินสมทบ>>

จริงอยู่ การเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต
แต่คือโอกาสที่รัฐบาลหรือองค์กรไม่แสวงผลกำไร
และ host ของแต่ละประเทศที่เข้าร่วมโครงการ
อุตส่าห์จ่ายเงินตั้งต้นให้ประมาณครึ่งนึงแล้ว
ส่วนอีกครึ่งนึงนั้น พ่อแม่ของผู้รับทุนต้องสมทบเอง
................

ผู้เขียนเองไม่เห็นด้วยกับการ "กู้ยืม"
เพื่อให้ลูกได้โอกาสนี้
.
แต่ก็อยากบอกกับพ่อๆ แม่ๆ ว่า....
กว่าเราจะเลี้ยงเด็กคนนึงโตขึ้นมา
.
มีค่าใช้จ่ายต่างๆ มากมาย
"ส่วนใหญ่วางแผนล่วงหน้าได้"
แต่...ก็มี "กรณีฉุกเฉิน" อยู่บ่อยครั้ง
ลูกสอบทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนได้
ก็เป็นตัวอย่างของการ "ต้องจ่ายเงินฉุกเฉิน" ค่ะ
................

อยากบอกว่า "กรณีฉุกเฉิน" เกิดขึ้นได้เสมอ
ทั้งกับเรื่องเรียนลูกและเรื่องอื่นๆ ในชีวิต
..................

หลายคน...ได้พบ "โอกาส..ตรงหน้า"
แต่ <<ไม่สามารถ "คว้า" ไว้ได้>>
...................

ปฏิเสธไม่ได้ว่า "การไม่มีเงิน" เป็นหนึ่งในหลายปัจจัย
ที่ทำให้คนเราพลาดโอกาสดีๆ อย่างน่าเสียดาย
...................

วันนี้....หากใครมาบอกกับเราว่า "เงินไม่สำคัญ"
หรือ "มีเงินก็ใช้ซื้อความสุขไปเถอะ
จะตายวันตายพรุ่งไม่รู้
ตายเร็วขึ้นมาก็ไม่มีโอกาสได้ใช้"
.
เรายังจะเชื่อเช่นนั้นหรือไม่?
..................

ผู้เขียนไม่ได้บอกให้ผู้อ่าน "บูชาเงิน" เกินกว่าเหตุ
แต่...อยากให้มองว่า "เงินเป็นสะพาน"
ให้เราก้าวสู่โอกาสในหลายกรณี (บ้านที่มีลูกคงทราบดี)

..................

ดังนั้น....จง "หวงแหน" "เงินที่หามาได้อย่างลำบาก"
เราเรียนหนังสือหนังหาต่อเนื่องมาทั้งชีวิต
เพื่อที่จะจบมาทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน
(ทำงานแลก "เงิน" นั่นเอง)
..................

เราจะใช้เงินที่หามาอย่างยากลำบากนั้น
ให้หมดไปอย่างง่ายๆ หรือ?
เราจะไม่เก็บออม ไว้ยามฉุกเฉินบ้างหริอ?
.
เราจะไม่หาความรู้เรื่องการให้เงินทำงาน
เพื่อสร้าง passive income เพิ่มจากเงินเดือน
เพื่อยิ่งมั่นใจว่าเราจะไม่พลาดโอกาสดีๆ...ที่มีเงินเป็นสะพาน
และ (มองยาวๆ)...เพื่อให้มีเงินใช้ในวันที่เกษียณบ้างหรือ?
.................

จบด้วยคำถามมากมายให้ได้ทบทวนกันค่ะ ^^
.
ผู้อ่านมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ภาวะฉุกเฉิน
หรือเรื่อง "เงิน กับ โอกาส" ก็ได้นะคะ

><><><><><><><

หมายเหตุ - (เพิ่มเติมยาวมาก...ไม่สนใจข้ามได้ค่ะ)
นำโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS และ YES
มาฝากผู้ที่สนใจด้วยค่ะ ^^

AFS
https://www.afsthailand.org/

YES
http://www.yesthailand.org/index_th.asp

ของโครงการ YES มีทุนฟรี 5 ทุน
ที่โรงเรียนยุวทูตศึกษา (อุบลราชธานี) จ่ายสมทบให้แก่
- บุคคลทั่วไป ที่คะแนนดีเด่น 3 ทุน
- เด็กของโรงเรียนยุวทูตเอง จำนวน 2 ทุน
ผู้ก่อตั้ง รร.ยุวทูตศึกษา เป็นผู้ก่อตั้งโครงการ YES ในไทย
และท่านเองเคยเป็นเด็กยากจนมาก่อน
เมื่อมีความพร้อม...ท่านจึงตั้งใจสนับสนุนการศึกษาให้แก่เด็กๆ ตลอดมา
.................

ผู้เขียนลังเลอยู่บ้างเพราะเด็กที่ได้ทุนฟรีของ YES คะแนนสอบ 8.26 เต็ม 10
ในขณะที่ลูกชายได้คะแนน 8.16 เต็ม 10 (ถือว่าคะแนนสูงพอควร)
และลูกเพิ่งอยู่ ม.3 มีโอกาสสอบใหม่อีกหลายครั้ง
(คะแนนเฉลี่ยย้อนหลังของเด็กที่สอบ ตั้งแต่ปี 2551 อยู่ที่ 4+ )
.................

แต่คิดแบบมีเหตุผลว่า จ่ายสมทบแค่นี้ก็ประหยัดไปครึ่งนึงแล้ว
ถ้าส่งไปเองโดยไม่ใช้ทุนนักเรียนแลกเปลี่ยน...ต้องจ่ายเป็นสองเท่า
และอีกอย่างเราก็พอจ่ายไหว..เก็บทุนฟรีไว้ให้เด็กๆ ที่มีความจำเป็นกว่า...น่าจะดีกว่าค่ะ ^^
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
Nutth147
Verified User
โพสต์: 241
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1144

โพสต์

สวัสดีครับ ..... พอดีผมได้อ่านหนังสือ ชื่อ ออสการ์แมวธรรมดากับพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา อ่านแล้วนึกถึงพี่นุช (ผมไม่แน่ใจว่าพี่ทำเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยก่อนจะเสียชีวิตหรือเปล่า หรือว่าจำผิด )

ในหนังสือเป็นเรื่องของแมวในโรงพยาบาลแผนกที่ดูแลผู้ป่วยใกล้เสียชีวิต เขามักจะรู้ว่าคนไหนกำลังจะเสียชีวิตแล้วไปอยู่ดูแลก่อนคนเหล่านั้นจะจากไป อ่านไปได้ครึ่งเล่มสนุกดีครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ความจนนั้นเกิดได้จากสองสาเหตุ คือ จนเพราะไม่มี กับ จนเพราะไม่พอ
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1145

โพสต์

Nutth147 เขียน:สวัสดีครับ ..... พอดีผมได้อ่านหนังสือ ชื่อ ออสการ์แมวธรรมดากับพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา อ่านแล้วนึกถึงพี่นุช (ผมไม่แน่ใจว่าพี่ทำเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยก่อนจะเสียชีวิตหรือเปล่า หรือว่าจำผิด )

ในหนังสือเป็นเรื่องของแมวในโรงพยาบาลแผนกที่ดูแลผู้ป่วยใกล้เสียชีวิต เขามักจะรู้ว่าคนไหนกำลังจะเสียชีวิตแล้วไปอยู่ดูแลก่อนคนเหล่านั้นจะจากไป อ่านไปได้ครึ่งเล่มสนุกดีครับ
ขอบคุณมากๆ เลยค่ะน้องน้ท
ที่ยังคงมีหนังสือดีๆ มาฝากพี่
และเพื่อนๆ ในบ้านของเราเสมอเลยค่ะ ^^

น่าสนใจมากๆ ค่ะ....เดี๋ยวพี่จะไปหามาอ่านบ้างค่ะ :D
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1146

โพสต์

วิธีปฏิเสธ...เมื่อถูกยืมเงิน
(Theenuch_Team Money Talk 4)


*****************
วิธีปฏิเสธ_เมื่อถูกยืมเงิน.PNG
“เงินในกระเป๋าเรา ถ้าเราไม่หยิบออกไปเอง
ใครก็เอาไปไม่ได้”

...................

ใช้เตือนตัวเองได้หลายสถานการณ์ค่ะ
เช่น เพื่อไม่ให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
แต่...ที่จริง ถ้าใครเผลอฟุ่มเฟือย นานๆ ครั้ง
ก็ยังได้ของติดไม้ติดมือมา...คุ้มไม่คุ้ม...เป็นอีกเรื่อง
..................

แต่...ถ้าให้คนยืมเงิน แล้วไม่ได้คืนนี่สิ “จี้ดใจ” มาก
เสียทั้งเงิน เสียความรู้สึก เสียเพื่อน (อ่านเจอบ่อยมากๆ)
กรณีร้ายแรง เจอลูกหนี้นักพนัน “ล้างหนี้” อาจถึงขั้น “เสียชีวิต”
.
มีแต่เสีย กับเสีย...ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลย
....................

บางคนบอกว่า ได้ “ดอกเบี้ย” ไง
อยากให้มองยาวๆ ค่ะ
ผู้เขียนเคยเตือนแม่ของตัวเอง...แต่ไม่ได้ผล
เพราะตอนนั้นเรายังเด็ก...ใครจะฟัง
.
ตอนนี้....แม่เป็นอัลไซเมอร์ไปแล้ว
รวมยอดเงินในสัญญา...ที่ให้คนกู้ไป 2.9 ล้านบาท
.
ถ้าอยากได้คืนต้องไปฟ้องเอา...ค่าทนาย?...ค่าเสียเวลา?
ผู้เขียนไม่ได้ฟ้อง...ให้พี่สาวไปเก็บ ตามที่อยู่ในสัญญา
เจอบ้าง ไม่เจอบ้าง....ผ่อนใช้...เป็นเบี้ยหัวแตก ก็มีค่ะ

****************

มาถึงวิธี “การปฏิเสธ” ตามหัวข้อบทความ
“สั้นๆ ตรงไป ตรงมา” คือ “ไม่มีนโยบายให้ใครยืมเงิน”
พบว่าได้ผลเสมอ...ไม่จุกจิกกวนใจ ไม่มาซ้ำ ด้วยค่ะ
แถมโฆษณาต่อให้เราอีก.."อย่าไปยืมเลย...คนนี้ไม่เคยให้ใครยืม" (ฮา)
.
ถ้าตอบว่า “ช่วงนี้ไม่มีเงิน” จะถูกตื๊อ และวนกลับมายืมอีก
เพราะเขามีความหวังว่า “ช่วงที่เรามีเงิน" เราอาจให้ยืม
(หลายคนใจอ่อนจนได้....ในครั้งหลังๆ...เฮ้อ!)
……………..

สู้ตอบไปเลยว่า “มี...แต่ไม่ให้” เพราะต้องสำรองเงิน
ไว้ยามฉุกเฉินของครอบครัวเราเอง 6 เดือน – 2 ปี
....................

บางคนเสนอให้ดอกเบี้ย สูงถึง 10-20% เลย
เป็นสัญญาณให้เรารู้อีกว่า “เขาร้อนเงิน”
ผิดธรรมชาติค่ะ..ถ้าเขามีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
เขาไม่มาเสนอดอกสูงๆ ให้เรา แบบนี้หรอก
.
สันนิษฐานได้ว่า “เขายืมจนทั่วแล้ว” (เต็มวงเงินทุกสำนัก)

****************

เจ้าหนี้ใจดี มักได้เงินคืนเป็นคนสุดท้าย
(หรือ ถูกเบี้ยวหนี้...เป็นคนแรก) เสมอค่ะ
.
ไม่เถื่อนจริงปล่อยเงินกู้ไม่รุ่ง....นี่พูดเลย!

****************

ยังมี “กับดักทางใจ” ที่ “เจ้าหนี้” มัก “เสร็จลูกหนี้”
เรียกว่า “ท่าไม้ตาย_ของลูกหนี้" เลยก็ว่าได้
.
**โห..."ระดับพี่" เนี่ยนะ...ไม่มีเงิน**
**พี่เป็นคนจิตใจดี...ช่วยเหลือคนยากเสมอ**
(ฯลฯ แนวๆ นี้...ทำให้รู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือ..ได้ให้ยืม)
.
เจอแนวๆ นี้เข้าไป “คนมีระดับ” ยอมไม่ได้ / "คนจิตใจดี" ใจละลาย
บางคน....แทบไปกดบัตรเงินสดมาให้เดี๋ยวนั้น
“ตายน้ำตื้น” ก็อยาก "มีระดับ"/"จิตใจดี" อ้ะนะ...เห็นมาเยอะค่ะ
(แม่ของผู้เขียน.....ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
กล้าบอกเลยค่ะ...เพราะอยากเตือนจริงๆ)
..................

มีคนรู้จักเปิดร้านของชำเล็ก..ให้เพื่อนบ้าน (ลูกค้า) ยืมเงิน
รอบบ้านเลย...พอให้ง่าย เขาก็แนะนำต่อๆ กันมา
พอไม่มีเงินคืนก็หลบหน้า...ไม่มาซื้อของที่ร้าน
หลังๆ ตัวเองเงินขาดมือต้องไปกู้หนี้นอกระบบ
ตอนนี้..ขายของได้ ส่งให้เจ้าหนี้นอกระบบหมด
ล่าสุด..สามีที่ยังทำงานประจำทราบความจริง..."สามีขอหย่า" ค่ะ
.
ถาม...ทำไมให้คนยืมเงินง่ายจ้ง
ตอบ...ก็สงสาร..คนมายืม "เขาเห็นเราเป็นที่พึ่ง"
.
ติด "กับดักทางใจ" เข้าอย่างจังค่ะ
รับรู้ "ตัวตน" ของตัวเองว่า "เป็นที่พึ่งของคนยาก"
(ได้กล่อง...แต่ไม่ได้เงิน แถมสูญเงิน นะฮัฟ...เพื่อ ???????? )

****************

อย่าไปมีมันเลยค่ะ “ระดับ” “ตัวตน” “อัตตา”
ชีวิตจะง่ายขึ้นเยอะ
.
ในทางตรงข้าม…ถ้ามี “ระดับ” “ตัวตน” “อัตตา”
ชีวิตจะยากขึ้นเยอะ…เช่นกันค่ะ

****************

“เงินในกระเป๋าเรา ถ้าเราไม่หยิบออกไปเอง
ใครก็เอาไปไม่ได้”
.
จริงๆ ค่ะ....เชื่อเหอะ!
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1147

โพสต์

เพิ่งผ่านพ้นวันแม่
ขอนำเรื่องที่เคยเล่าถึงลูก ไว้ใน fb ส่วนตัว มาให้อ่านค่ะ
************************

ช่วงที่ลูกจะเปลี่ยนจาก G8 ไป G9 บอกลูกว่า
คุณแม่จ่ายค่าเทอมที่ รร.นานาชาติ ชื่อดังแห่งหนึ่งได้แล้วนะ
(แม้ให้ความสำคัญกับการศึกษา...แต่โดยส่วนตัวมีเกณฑ์อยู่ว่า
"ค่าเทอม" ต้องไม่เป็นสัดส่วนที่มากเกินไป
จะไม่จ่ายค่าเทอมลูก...จนต้องรัดเข็มขัด)
...........

ลูกบอกว่า เพื่อนๆ จาก AIT บางคนไปเรียนที่นี่
เป็นโรงเรียนที่ดัง และดีมาก
ถ้าคุณแม่ยินดีจ่าย....ก็จะเรียน
...........

ค่ำๆ ลูกมาบอกว่า...ไม่อยากเรียนโรงเรียนนั้นแล้ว
เพราะค้นดูจาก website ของ รร.แล้ว
พบว่า...ค่าแรกเข้า และค่าเทอมแพงมากๆๆๆๆๆๆๆ
.
คุณแม่ก็เพิ่งจ่ายค่าแรกเข้า รร.เดิม ให้ ตอน G.7
และเขามีความเห็นว่า "ความแน่นอน คือ สิ่งที่ไม่แน่นอน"
แบบที่คุณแม่เคยสอน...เสมอ
.
ดังนั้น เก็บเงินไว้ลงทุนเถอะ
ไว้เลี้ยงดูตัวเอง และเป็นฐานชีวิตให้เขาด้วย...ดีกว่า
............

เขามั่นใจว่า...
ตัวผู้เรียนเอง ก็มีความสำคัญๆ ไม่แพ้โรงเรียนดีๆ
.
เขาจะอยู่โรงเรียนเดิม (ซึ่งเป็น Inter เกรดรองๆ
ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานที่ควร เช่นกัน)
.
และเขาจะทำให้คุณแม่เห็นว่า
ตัวเขาสามารถเอาดีได้ ไม่ว่าจะเรียนที่ไหน
.................
จริง...เนอะ...คิดดีจัง...ตังค์ อยู่ครบ
แอบน้ำตาซึมค่ะวันนั้น ^^
.................
22222.PNG
ภาพกระเป๋าสตางค์ลูก...ที่เขาทำความสะอาดและตากไว้
เห็นแล้ว พูดไม่ออก....(ลูกใช้แม็กเย็บไว้...เพิ่งเห็น)
ถามว่าจะเปลี่ยนมั้ย?
ลูกบอก...ไม่เป็นไร...เขาใช้ได้...ถ้าต้องการเปลี่ยนจะบอก

**************************

เมื่อ 13 สิงหา 01.40 น. พ้นวันแม่ไม่กี่ชั่วโมง
.
ไปส่งลูก...เพื่อเดินทางไปทุนแลกเปลี่ยนที่ US (1 ปี_G.10 )
แลกเงินเสร็จ ลูกเอาใส่กระเป๋าสตางค์ใบเดิม
.
กระเป๋าสตางค์ใบนี้...เดินทางไกลไป US ด้วยค่ะ
11111.PNG
***************************

อยากปลูกฝังลูกเรื่องใด
แค่ทำสิ่งนั้นๆ ในชีวิตประจำวัน
แล้วลูกก็มักจะทำตามเอง...โดยไม่ต้องพูดสอนมากค่ะ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1148

โพสต์

พ่อแม่ยุคใหม่....คิดใหม่ ทำใหม่
(Theenuch_Team Money Talk 4)


****************

ปัจจุบัน...หลายบ้านมีลูกคนเดียว
ด้วยเหตุผลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู (ผู้เขียนก็เช่นกัน)
.
ผลที่ตามมา นอกจากต่อโครงสร้างประชากร
ของประเทศ...ซึ่งเป็นภาพใหญ่แล้ว
.
ยังมีผลต่อ “ตัวลูกคนเดียวเอง”
ในระยะยาว..อย่างคาดไม่ถึง
.................

***สมัยก่อน..พ่อแม่ มีลูกหลายคนยังเลี้ยงได้
สมัยนี้ ทำไมลูกถึงเลี้ยงพ่อแม่ไม่ได้***
.
ประโยคที่คุ้นหู้ คุ้นตา
จริงค่ะ ผู้เขียนเองก็เห็นด้วย
แต่ขอยกเว้นกรณี...ที่ตั้งใจเขียนถึงในวันนี้ค่ะ
.................

“ลูกคนเดียว” ดูแล “พ่อ” และ “แม่” (1 ต่อ 2)
ในยุคที่พ่อแม่เอาเงินในอนาคตมาใช้ได้สบายๆ
……………..

บางบ้าน....พ่อแม่เกษียณมาพร้อมหนี้บัตรเครดิต
หลายบ้าน ผ่อนบ้านเกือบหมดแล้วเชียว
แต่ กลับขอกู้เพิ่ม เมื่อธนาคารยื่นข้อเสนอให้กู้เพิ่มได้
หรือบ้านที่ผ่อนหมดแล้ว ก็เอาไปจำนองอีกตอนใกล้เกษียณ
.
เพื่อนำเงินออกมาใช้จ่าย…ในสิ่งจำเป็น (บ้าง..ไม่จำเป็นบ้าง)
……………….

หลายๆ บ้านบอกว่า....ก็กู้มาเพื่อเลี้ยงลูกนั่นแหละ
ไหนจะค่ากินอยู่ที่มาก...เพราะค่าครองชีพที่สูงขึ้น
ไหนจะค่าเรียนปกติ (และค่าเรียนพิเศษ...ที่ใครๆ เขาก็เรียนกันอีก)
.
เคยเจอหลายบ้านลูกเรียนทุกอย่าง
ทั้งวิชาการ เปียโน ว่ายน้ำ เทนนิส บัลเลต์ ฯลฯ
ไม่มีเงินในมือก็ไม่เป็นไร มีเครดิตซะอย่าง
.
“โรงเรียนเอกชน” “โรงเรียนสอนพิเศษ”
และ “โรงเรียนสอนความสามารถพิเศษ” ยุคนี้
รูดบัตรได้แทบทั้งนั้น...”เรียนก่อน ผ่อนทีหลัง”
...............

จะดีมาก หากพ่อแม่จะมีความสามารถ
ในการกลั่นกรองและพิจารณาให้ได่้ว่า
สิ่งไหนเรียนแล้วจะเปลี่ยนชีวิตลูก
ไปในทางที่ดีขึ้นได้...อย่างมีนัยสำคัญ
.
เกินจากนั้น...ก็ไม่ต้องเรียนมากหรอกค่ะ
"เปลือง" ทั้งเงิน...ทั้งเวลาพักผ่อนของลูก
และ ทั้งเวลาที่พ่อแม่ที่ต้องคอยรับส่งอีก
.
บางคนเหน็ดเหนื่อยกับการหาเงินมาเลี้ยงลูกมากๆ
ก็ให้รางวัลชีวิตตัวเอง โดยการ "เที่ยวก่อน...ผ่อนทีหลัง"
ก็มีให้เห็นเยอะอยู่...วนเป็นงูกินหางเลย...วงจรนี้
...................

เด็กๆ เดี๋ยวนี้ "เรียนเยอะ" แต่ สิ่งที่ควรเรียนรู้ที่สุด
คือ "เรื่องของการบริหารการเงินส่วนบุคคล"
กลับไม่ได้เรียน...เรื่องใหญ่ที่โรงเรียนไม่สอน
หากพ่อแม่ก็ไม่สอนอีก...แล้วใครจะสอน
...................

หลายคนบ่นติดปากว่า "มีลูกคน...จนไปหลายสิบปี"
(ถ้ากลั่นกรองมากๆ...อาจไม่จน...ตกลงมีลูกทำให้จน?
หรือ พ่อแม่มีนิสัยเอื้อต่อความยากจนเอง?)
.......................

ในที่สุด...พ่อแม่หลายบ้านเกษียณพร้อม “หนี้สินล้นพ้นตัว"
......................

การกู้เงิน หรือมีหนี้นั้นทำได้...แต่ควรเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้
หรือที่เกิดเพราะความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น
ระหว่างมีหนี้ควรประหยัด..มีเป้าหมายใช้คืนโดยเร็ว
วางแผน ปลดหนี้เก่า และไม่สร้างหนี้ใหม่ตอนใกล้เกษียณ
.....................

อ่านเจอในเวปต่างๆ (เจอเยอะขึ้นเรื่อยๆ)
เรื่องของลูกที่จบทำงานปุ๊บ
ต้องใช้หนี้ให้พ่อแม่ (หรือต้องผ่อนบ้านต่อ) ปั๊บ
.
บางคนถึงกับระบายในโลกออนไลน์ว่า “อยากตาย”
.
คนอ่านก็มาให้ความเห็นเชิงตำหนิทันทีว่า
“อกตัญญู” บ้าง “เนรคุณ” บ้าง
..................

ในความเป็นจริง
พ่อแม่ ควรวางแผนการเงินให้ดี
ใช้จ่ายให้สมฐานะแต่ต้นหรือไม่?
.
ถ้าเป็นหนี้บัตรเครดิต...นั่นคือเกินฐานะหรือไม่?
เมื่อควรจ่ายเท่าเงินที่มีในกระเป๋า
แต่กลับ...ตัดสินใจ จ่ายเกินเงินที่มี
แม้จะบอกว่าจ่ายเพื่อลูก ก็ตาม
..................

ถ้าลูกรู้ว่า..ในที่สุด เขาต้องมารับผิดชอบ
หนี้สินต่างๆ มากมายขนาดนี้
.
เขาอาจอยากบอกพ่อแม่ว่า....
- ขอใช้ของไม่แพง
- ขอไม่เรียนพิเศษตามกระแสนิยม
- ขอให้ช่วยเลี้ยงเขาแบบเขียมๆ
- ขอให้สอนเขาให้อดทน
ไม่ต้องให้ในทุกสิ่งที่ "เขาอยากได้"
แต่ให้เฉพาะ "สิ่งที่จำเป็น" ก็พอ
.
การฝึกให้ลูก "ไม่ได้ทุกอย่างที่อยาก"
ที่จริงแล้ว...เป็นภูมิต้านทานชั้นดี
ต่อ "กระแส วัตถุ/บริโภต นิยม"
ในภายภาคหน้าด้วยซ้ำ
………...........

ว่าที่จริง....ลูก หรือ พ่อแม่ กันแน่หนอ
ที่ควรมีวิจารณาญาณในเรื่องนี้ได้ดีกว่ากัน?
...................

จะดีมาก...หากพ่อแม่...
มีการวางแผนการเงินที่ดี
มีการออมมาอย่างต่อเนื่อง
(ยุคนี้น่าจะต้องเลยไปถึงการลงทุนให้งอกเงยด้วย)
เพื่อเอาไว้เป็นทุนรอนในยามเกษียณ
.
ไม่ต้องสร้างให้ลูกก็ได้...ให้เขาไปหาเอาเอง
แต่อย่าถึงกับก่อหนี้ ก่อสินไว้ให้ลูกเลย
………………

"พ่อแม่ยุคใหม่...คิดใหม่ ทำใหม่" กันเถอะค่ะ
ฝึกอดทนต่อกระแสต่างๆ ที่มาเร้า
.
ผู้เขียนรู้จักคนมากมายที่ใช้เงินในอนาคต
แต่ละเดือนจ่ายขั้นต่ำ เสียดอกเบี้ยโดยใช่เหตุ
แต่มีสถานะในโลกออนไลน์ที่ดูดีมาก
................

เลือก...กันเถอะค่ะ
ชีวิตในแต่ละวันของเรา
จะเอา “แก่น” หรือ “เปลือก”
.
หากเปรียบชีวิตเราเป็นต้นไม้
ถ้าเปลือกดูหนา พอกพูกสวยงาม
แต่แก่นข้างในกลวง หรือผุพัง
ในที่สุดต้นไม้นั้นๆ ก็จะหักโค่นง่าย
แม้เพียงสายลมเบาๆ พัดผ่าน
.................

อยากให้ลูกเป็นอย่างไรอย่าแค่บอกหรือสอน
แต่ควรทำเป็นตัวอย่าง...เด็กๆ ไม่ได้ทำแบบที่เราสอน
แต่เขาทำแบบที่เราทำค่ะ
.................

"พอเพียง" แบบคำที่พ่อสอน
ไม่ต้องไปหาชื่นชมที่คนอื่นหรอกค่ะ
"ปฏิบัติลงไปในชีวิตประจำวันของเราเองเลย"
เราจะภูมิใจ ลูกก็มีตัวอย่างที่ดีใกล้ตัวไว้ให้ชื่นชม
ถ้าทำได้จริง...โอกาสมีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้นยากค่ะ
..............

ชวนคุย ชวนคิด....ด้วยความปรารถนาดีค่ะ ^^
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1149

โพสต์

birds.PNG
ทุกอย่างเกิดแต่เหตุ
เพราะสิ่งนี้มี...สิ่งนี้จึงมี
เพราะ (พิธีกรรมปล่อยนก) มี...(การจับนกมาขัง) จึงมี
.............

ที่จริงเราควร "ซาบซึ้งใจกับนกคู่รักที่ตายตามกันไป" ตามเนื้อหาข่าว
หรือควรจะเศร้าใจกับ "พิธีกรรมปล่อยนก"
และ "ความผิดเพี้ยนในความเข้าใจเรื่องพระพุทธศาสนา" ดีนะ
.
เหตุใดนกเหล่านี้ต้องมาอยู่ในกรง จนมาเข้าสู่พิธีกรรมปล่อยนก
และต้องมาตายตามกันไป...ให้เกิดความซาบซึ้งใจแก่ผู้พบเห็นด้วย
.
หรือเราจะคิดมากเกิน...เฮ้อ!
..............

ถ้าจะปล่อยแบบให้ชีวิตจริงๆ
ควรปล่อยปลาในตลาดที่เกือบจะถูกซื้อไปเป็นอาหาร
วัว ควาย ที่กำลังจะถูกส่งไปโรงเชือด...จะดีกว่านะ
.
ไม่ใช่ปล่อย "นก" ที่เขาตั้งใจเอามาขังไว้ให้ซื้อไปปล่อย
เพื่อความบันเทิง หรือเพื่อ **พิธีกรรมทาง "พุทธ" แบบผิดๆ** เช่นนี้
..............

แท้จริงแล้ว...แก่นของพระพุทธศาสนา สอนว่าอย่างไร
พิธีกรรมปล่อยนกนี้ สะท้อนความไม่เข้าใจ
คำสอนของพระพุทธศาสนา
แถมยังเบี่ยงเบนไปสู่การรับเอาพิธิกรรมต่างๆ
มายึดเป็นหลักในการนับถือศาสนาแบบผิดๆ อีกด้วย
.

เมื่อเหตุผิดแต่ต้น....ผลก็ผิดตาม

ที่มา : http://workpointtv.com/news/21524
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1150

โพสต์

คำตอบของ "นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์"
ต่อคำถามด้านการเลี้ยงลูกที่มีผู้ถามมา...ดีมากค่ะ
อยากนำมาฝาก บ้านที่มีลูกหลาน
ยาวหน่อย...แต่มีคุณค่าทุกตัวอักษร

พยายามจัดเรียงให้อ่านง่าย...หวังว่าคงอ่านง่ายขึ้นบ้างนะคะ ^^
.
ที่มา : http://visitdrsant.blogspot.ca/2015/06/ ... t.html?m=1


*************************************

12 มิถุนายน 2558

<<<"ทุ่มเทเลี้ยงลูก แต่ทำไมสิ่งที่ได้มาจึงเป็นอย่างนี้">>>

คุณหมอสันต์คะ

เมื่อเราเลี้ยงลูกขึ้นมาคนหนึ่ง เราอยากให้เขาเป็นคนที่มีความสุขกับชีวิต และมีคุณค่าต่อสังคม
เราจะตายไปด้วยความภาคภูมิใจที่ลูกจะเป็นตัวแทนของเรา
ทำสิ่งที่เราควรจะทำแต่ยังทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ ต่อไป บนโลกใบนี้
แต่มาถึงวันนี้ หลังจากความพยายามทุ่มเทให้เวลาและพลังทั้งหมดที่เรามีให้กับการเลี้ยงลูก
สิ่งที่เราได้มาคืออะไรหรือ

ลูกที่ขี้เกียจ นอนดึก ตื่นสายเที่ยงวัน ไร้ระเบียบวินัย ไม่มีความรับผิดชอบ
อย่าว่าแต่ต่อสังคมหรือต่อครอบครัวเลย แม้กระทั่งต่อตัวเองนับ
ตั้งแต่สุขภาพและความเป็นอยู่ของตัวเองก็ไม่สนใจ
ไม่เห็นหัวจิตหัวใจของคนอื่น โดยเฉพาะของพ่อแม่ตัวเอง
มีแต่ take ไม่เคย give พ่อแม่จะไหว้วานให้ทำอะไรนิดหน่อย
เช่น แก้ปัญหาแม่เข้าไลน์กับเพื่อนไม่ได้ ทั้งที่หากเขาจะช่วยสำหรับเขามันก็ง่ายนิดเดียว
แต่แม่รอไปเถอะชาติหนึ่ง ไม่สนหรอก

กว่าจะเรียนหนังสือจบต้องกราบกรานอ้อนวอนกันแทบตาย
เรียนจบแล้วงานการก็ไม่ยอมทำ เพื่อนของพ่อเสนองานที่บริษัทของเขาให้ก็ไม่เอา
เอาแต่กิน นอน เล่นคอม แม้จะช่วยงานเล็กๆ น้อย เช่น เอาขยะไปทิ้งถังหน้าบ้าน ก็ไม่ทำ
ทิ้งให้แม่ทำเองหมด ตัวเองมีเวลาให้กับเฟสบุค อินสตาแกรม เกมส์ วิดิโอ และเพื่อน
แต่ไม่มีเวลาให้กับการช่วยงานบ้านและการรับผิดชอบตัวเองเลย

ไม่เข้าใจว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกับเราได้อย่างไร
เพื่อนบางคนเขามีปัญหาเดียวกันแต่ครอบครัวของเขาแตกแยก
ก็ยังพออธิบายได้ว่าของเขาเป็น broken family เด็กจึงมีปัญหา
แต่ของดิฉันไม่ใช่ เราเป็นครอบครัวที่เพอร์เฟค มีการศึกษา มีฐานะ
ทำทุกอย่างที่จะให้ลูกได้พบได้เห็นได้ทดลองสัมผัสสิ่งดีๆ

ให้เขาได้เรียนรู้ในหลายๆด้านทั้งศิลปะ ดนตรี กีฬา
เผื่อว่าเขาจะชอบอะไร แล้วมีความสุขกับสิ่งนั้นไปตลอดชีวิต
แต่ไม่เห็นเขามีความสุขกับอะไรสักอย่าง
วันๆเอาแต่จิ้มคอม ชอบอารมณ์เสียฮึดฮัด พูดด้วยก็ไม่พูด
ถ้าจะพูดก็พูดกระโชกโฮกฮากไม่สุภาพ ไม่เห็นใจพ่อแม่
กินแต่จั๊งฟู้ด อ้วนเผละ พอชี้ให้เห็นผลเสียต่อสุขภาพก็ว่าตายเร็วก็ไม่เห็นเป็นไร ดีเสียอีก

ทำไมลูกเราถึงออกมาเป็นอย่างนี้
ทำไมเขาถึงกลายเป็นคนที่มีชีวิตอยู่อย่างไร้ค่าโดยที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย
ตัวดิฉันเองก็รู้สึกไม่ดี เราผิดตรงไหนนะ
ทำไมเราเลี้ยงลูกออกมาแล้วทำให้เขาเป็นคนที่มีความสุขหรือมีคุณค่าไม่ได้

*************************************

<<<ตอบครับ>>>

อามิตตาพุทธ!

จดหมายของคุณทำให้นึกถึงจดหมายเก่าโบราณของตุลาการศาลคดีเยาวชนคนหนึ่ง
ที่เมืองเดนเวอร์ (สหรัฐ) ชื่อฟิลิป กิลเลียม (Philip Gilliam) ผู้อุทิศชีวิตตนเองทั้งชีวิต
ให้กับความพยายามจะช่วยเหลือวัยรุ่นมีปัญหาผ่านกระบวนการศาลคดีเยาวชน
ซึ่งจดหมายนี้เขาเขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ South Bend Tribune ที่เดนเวอร์เมื่อปี ค.ศ. 1959

หรือเกือบหกสิบปีมาแล้ว เก่ามาก เขาตั้งชื่อว่าจดหมายเปิดผนึกถึงวัยรุ่น (Open Letter to Teen-ager)
ผมขออนุญาตแปลจดหมายฉบับนั้นมาให้อ่านกันนะ

“... เราได้ยินอยู่เรื่อยที่วัยรุ่นเขาเรียกร้องกัน เช่นว่า จะให้เราทำอะไร? จะให้เราไปไหน?

คำตอบก็คือ “กลับบ้าน!”

ซ่อมหน้าต่าง ทาสีฝาหรือโต๊ะตั่งม้านั่ง กวาดใบไม้ ตัดหญ้า กวาดหิมะบนทางเดิน ล้างรถ
หัดทำอาหาร ถูพื้น ซ่อมอ่างล้างมือ ต่อเรือ หางานทำ ช่วยงานบาทหลวง
ทำงานให้กาชาด เข้าร่วมหน่วยบรรเทาทุกข์ เยี่ยมคนป่วย ช่วยคนจน เรียนหนังสือ
เมื่อทำจนหมดแล้วและยังไม่เหนื่อยก็..อ่านหนังสือ

พ่อแม่ของคุณไม่ได้ติดค้างหนี้ความบันเทิงในชีวิตต่อคุณอยู่นะ
ชุมชนหมู่บ้านหรือตำบลของคุณไม่ได้ติดค้างหนี้กิจกรรมพักผ่อนต่อคุณดอก
โลกนี้ไม่ได้เป็นหนี้อะไรคุณ แต่คุณนั่นแหละที่เป็นหนี้โลกบางอย่าง

คุณติดค้างเวลาและพละกำลังของคุณต่อโลก
เพื่อที่โลกนี้จะได้เป็นโลกที่ไม่ต้องมาตกอยู่ในภาวะสงคราม
ความยากจน การเจ็บป่วย และการทอดทิ้งกันซ้ำๆซากๆอีก

หยุดเป็นเด็กทารกร้องแหกปากแล้วรู้จักโตเสียที
ออกมาจากฝันอันละเมอเพ้อพกมาลงมือสร้างกระดูกสันหลังตัวเองให้แข็ง
และลงมือทำตัวเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชายหรือสุภาพสตรีที่แท้จริงซะ

วัยของคุณมันโตเกินพอที่จะเป็นผู้ใหญ่และรู้จักรับผิดชอบสิ่งต่างๆ
ที่พ่อแม่ทำให้คุณมานานหลายปีเสียเองแล้ว

พ่อแม่สู้ฟูมฟักโอบอุ้ม คุ้มครอง ดูแล ช่วยเหลือ ร้องขอ อ้อนวอน ขอโทษ
หรือทนอดที่จะไม่ทำอะไรให้ตัวเอง เพื่อจะให้คุณได้ประโยชน์ทุกอย่าง
พ่อแม่ทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความรักสุดหัวใจเพราะคุณเป็นยอดดวงใจของพวกเขา
แต่มาถึงวันนี้แล้วคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไปคาดหมายให้พ่อแม่มอบกายถวายชีวิตให้คุณอีกต่อไป
เพียงเพราะอีโก้แห่งความเห็นแก่ตัวที่ครอบงำสามัญสำนึกของคุณไปเสียหมดสิ้น

ในนามของสวรรค์ โตซะทีเถอะ แล้วกลับบ้านซะ!..”

จดหมายของคุณและของฟิลิปกิลเลียมเหมือนกันตรงที่
คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดว่าทำไมวัยรุ่นที่เรารักนักหนาจึงเป็นอย่างนี้
แต่ว่าไม่มีมุขใหม่ๆ ใดๆ ในการแก้ปัญหานอกเหนือไปจาก
การดุด่า ข่มขู่บังคับ ร้องขอ อ้อนวอน ซึ่งคุณเองก็ใช้ไปจนหมดแม็กแล้ว....แต่มันไม่เวอร์ค

เอาเถอะ เราเลิกพูดถึงจดหมาย มาตอบคำถามของคุณดีกว่า

*************************************

1. ถามว่าวิชาแพทย์มีวิธีแก้ปัญหาวัยรุ่นขี้เกียจไหม ตอบว่า “ไม่มีครับ”
แม้ว่าผมจะเห็นแพทย์หลายท่านใช้ยาหลายอย่างรวมทั้งยากล่อมประสาท
ยาต้านซึมเศร้า และยากันชัก รักษาวัยรุ่นขี้เกียจ
แต่นั่นเป็นการรักษาไปตามดุลพินิจส่วนตัวของแพทย์แต่ละท่าน
ไม่ใช่หลักวิชาแพทย์ที่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์สนับสนุนครับ

........................................................

2. ถามว่าทำไมคุณตั้งใจเลี้ยงลูกดีแทบตาย แต่สุดท้ายเป็นอย่างนี้ได้
ตอบว่า คำตอบที่แท้จริงอยู่ในสายลม เพราะไม่มีใครรู้จริงๆ

แต่คำตอบที่หมอสันต์จะตอบให้คุณนี้เป็นความคิดทึกทักเอาของหมอสันต์คนเดียว
ไม่ใช่หลักฐานวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่หลักวิชาแพทย์
แม้จะคิดขึ้นโดยอาศัยความรู้พื้นฐานทางการแพทย์ก็ตาม
มันเป็นเพียงเรื่องเล่าจากปากหมอแก่ขี้บ่นคนหนึ่งเท่านั้น

คือหมอสันต์ตอบว่า.....
สาเหตุที่การเลี้ยงลูกของคุณหรือของพ่อแม่คนอื่นอีกมากในสมัยนี้
ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่แต่ท้ายที่สุดไหงกลายเป็นบ้องกัญชาไปเสียได้
ก็เพราะการยำรวมกันของสาเหตุต่างๆต่อไปนี้

2.1 การทำให้เด็กบรรลุความเป็นอิสระชน (autonomy) อย่างผิดวิธี
ทำให้เขากลายเป็นคนเฉยชาต่อชีวิต ฝรั่งเรียกว่าคนขาดความบันดาลใจ

นี่เป็นคอนเซ็พท์ของผมเองนะ ซึ่งมันยาวและเข้าใจยาก คุณต้องใจเย็นๆอ่านหน่อยนะ

คือในวิชาจิตวิทยาเราเรียกวัยรุ่นแบบลูกของคุณนี้ว่าเป็นวัยรุ่นที่ขาดความบันดาลใจ (unmotivated)
แบบว่า ไร้ความใฝ่ฝันถึงวิมานฉิมพลีเมืองแก้ว หรือโอกาสจะได้ขี่ช้างขี่ม้าอะไรทั้งนั้น

ทีนี้มองจากมุมจิตวิทยา คนเรานี้ล้วนแสวงหาสุดยอดของกิเลสอย่างหนึ่งเรียกว่า autonomy
ซึ่งผมขอแปลว่าความเป็นอิสระชน แล้วความเป็นอิสระชนนี้มันพัวพันเกี่ยวข้องกับความบันดาลใจ
กล่าวคือเพราะอยากจะบรรลุความเป็นอิสระชน คนจึงมีความบันดาลใจจะทำโน่นทำนี่สารพัด
เพื่อให้บรรลุความเป็นอิสระชน เมื่อได้บรรลุแล้วความบันดาลใจจะทำโน่นทำนี่ก็หมด
เพราะกิเลสสูงสุดได้รับการสนองตอบแล้ว จะไปตอแยกับกิเลสกระจอกๆอย่างอื่นอีกทำไม

ประเด็นก็คือความเป็นอิสระชนนี้มันมีสองแบบ

แบบที่ 1. คืออิสระชนตัวจริง หมายถึงการที่คนเราได้มีโอกาสคิดอ่านทำอะไรทุกอย่างตามที่ตนเองอยากทำ
และมีความพร้อมและความสามารถที่จะรับมือกับผลลัพธ์ที่ตนเองทำไปนั้นได้ด้วยตนเอง
ไม่ว่าผลลัพธ์มันจะล้มเหลวเละตุ้มเป๊ะอย่างไรเขาก็รับมือได้หมด

ฝรั่งเรียกอิสระชนแบบนี้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นคนที่มี accountability
ซึ่งน่าเสียดายที่คำนี้ไม่มีคำแปลในภาษาไทย
ผมขออนุญาตแปลด้วยคำของผมเองว่า “ผู้ที่เชื่อฝีมือได้”
หมายความว่าอิสระชนตัวจริง ก็คือคนชอบลุยแล้วเอาตัวรอดได้ด้วยตนเอง


ซึ่งการจะเป็นคนอย่างนี้ได้ จะต้องอาศัยเวลาและประสบประการณ์
สั่งสมทักษะการเอาตัวรอด (coping skill) ไว้มากพอ จนเกิดความมั่นใจที่จะลุยเรื่องใหม่ๆด้วยตัวเอง

แบบที่ 2. คืออิสระชนตัวปลอม หมายถึง
คนที่เกิดมาแล้ว อยากคิดอ่านทำอะไรก็ได้อย่างใจไปเสียหมด
แต่....ไม่มีความพร้อมหรือความสามารถที่จะรับมือกับผลลัพธ์ที่ตนเองทำไปนั้นได้ด้วยตนเอง
คือไม่มี accountability ต้องอาศัยคนอื่น

อย่างเช่นลูกของคุณนี้เกิดมาอยากทำอะไรก็ได้ทำหมด เพราะพ่อแม่จัดให้
แต่ทำแล้วจะล้มเหลวเละตุ้มเป๊ะอย่างไรเขาไม่สามารถตามไปเช็ดไปล้างด้วยตัวเองได้นะ
เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่ได้โอกาสที่จะฝึก coping skill
ในการรับมือกับผลเสียจากการกระทำของเขาเลย เนื่องจากพ่อแม่รับมือแทนหมด
เช่น ครูสั่งให้ทำการบ้าน เขาไม่ทำ พ่อแม่ก็ทำให้
เขาทำผิดครูลงโทษ เขาก็ไม่ต้องรับหน้าเอง เพราะพ่อแม่ตามไปแก้ต่างให้

เขาได้เป็นอิสระชน แต่เป็นตัวปลอม เมื่อได้เป็นอิสระชนอยากได้อะไรก็ได้แล้ว
เขาจึงไม่มีความบันดาลใจที่จะไปเสาะหาวิมานเวียงแก้วที่ไหนอีก
เพราะที่บ้านนี่เขาได้บรรลุสุดยอดสิ่งที่มนุษย์อยากได้แล้ว ได้เป็นจักรพรรดิ
อยากได้อะไรมีขี้ข้า มีนางสนอง แล้วจะมีอะไรควรค่าแก่การเสาะหาอีกหรือ

นี่เป็นคำอธิบายของหมอสันต์ว่า ทำไมเขาจึงเป็นวัยรุ่นชนิดไม่มีแรงบันดาลใจ
หรือทำไมเป็นคนชาด้านต่อชีวิต
นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง

2.2 การที่เด็กได้รับรางวัลและการยกย่องมากเกินไป ทำให้เขากลายเป็นคนกลัวความล้มเหลว
ทุกวันนี้หากเราเดินเข้าบ้านไหนที่มีลูกเรียนระดับประถม จะเห็นโล่ห์และเหรียญรางวัล
ที่พรรณาความสามารถของเด็กเต็มตู้ไปหมด ราวกับบ้านของนักรบผู้กล้าที่ผ่านสงครามโลกมาแล้วสองครั้ง..ปานนั้น

คือการเลี้ยงเด็กสมัยนี้ ใช้วิธีแบบว่า หากจะเปรียบเป็นการสร้างนักกีฬาโอลิมปิก
ก็คือพร่ำเชิดชูเกียรติและให้เหรียญทองเขาก่อน แล้วค่อยให้เขาไปลงสนามแข่งขัน
ด้วยความเชื่อว่าการทำอย่างนั้นจะทำให้เด็กตระหนักถึงศักยภาพที่ตนเองมีและใช้ศักยภาพของตนเองได้เต็มๆ

แต่ความเป็นจริงก็คือถ้านักกีฬาโอลิมปิกได้เหรียญทองแล้ว เรื่องอะไรเขาจะลงสนามแข่งขันละครับ
เพราะลงแข่งอย่างดีที่สุดก็เสมอตัวคือชนะได้เหรียญทอง ซึ่งเขาก็ได้มาแล้ว
แต่ซวยขึ้นมาเกิดเขาแพ้ในสนามไม่ได้สักเหรียญ แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ไหนละครับ
เพราะเหรียญทองและเสียงปรบมือก็รับเอามาแล้ว

ดังนั้นการเลี้ยงเด็กให้เติบโตมาด้วยความเข้าใจว่าเขาเก่ง เขาเป็นคนพิเศษ
จะเป็นการบ่มเพาะความกลัวการล้มเหลว ซึ่งความกลัวนั้นจะแสดงออกเมื่อเป็นผู้ใหญ่

ด้วยการไม่ยอมทำอะไรที่มีความเสี่ยงต่อความล้มเหลวเลย แม้กระทั้งการจะไปสมัครงานก็ไม่ยอม
เพราะกลัวถูกคัดทิ้ง มีเส้นให้ได้เข้าไปทำโดยไม่ต้องสมัครหรือไม่ต้องสอบก็ไม่เอา
เพราะกลัวทำไม่ได้แล้วถูกไล่ออกหรือถูกเย้ยหยัน

นี่คือเหตุผลที่หมอสันต์ใช้อธิบายว่าทำไมลูกคุณจึงไม่ยอมทำอะไร เป็นอีกประเด็นหนึ่ง

2.3 การเลี้ยงเด็กโดยวิธีสร้างบรรยากาศในบ้านให้แตกต่างจากความเป็นจริงนอกบ้าน
ทำให้เกิดภาวะช็อก ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมถอยเข้ากบดานอยู่ในมุม และก้าวร้าวต่อพ่อแม่


เขียนมาถึงตรงนี้ ผมขอเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งของจีนให้ฟังนะ

ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
กษัตริย์องค์สุดท้ายของจีนชื่อผู่อี๋หรือปูยี ขึ้นเป็นกษัตริย์ด้วยอายุไม่เต็มสามปีด้วยซ้ำ
และเป็นกษัตริย์อยู่ถึงอายุราวหกปีก็เกิดการปฏิวัติโดยผู้นำซึ่งเป็นสามัญชนชื่อนายแพทย์ซุนยัดเซ็น

แต่การใช้ชีวิตในฐานะจักรพรรดิของผู่อี๋ในวังต้องห้ามก็ยังเป็นไปอย่างปกติ
ในวังเขาเรียนรู้จากครูของเขาว่าเขาเป็นจักรพรรดิ์ มีอำนาจ อยากทำอะไรก็ได้

มีอยู่วันหนึ่งผู่อี๋หนีเรียนแล้วแอบเตร็ดเตร่ไปตามซอกหลืบของวัง
ครั้นได้ยินเสียงอึกทึกนอกกำแพงก็แอบปีนกำแพงขึ้นไปดู จึงเห็นขบวนแห่ที่เกรียงไกรมาก
ซึ่งอันที่จริงเป็นขบวนอารักขานายแพทย์ซุนยัตเซ็นตามปกติ
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเหลือบเห็นเด็กโผล่หน้าพ้นกำแพงก็ชี้หน้าตวาด
เขากลัวมากต้องรีบมุดหัวหลบ เขาช็อกกับสิ่งที่เห็นนอกกำแพง
แม้จะเป็นเด็กแต่เขาก็รู้โดยทันทีว่าซุนยัตเซ็นซึ่งนั่งรถยนต์มาในขบวนนั้นเป็นคนมีอำนาจ
และเป็นที่เกรงกลัวของผู้คนอย่างแท้จริง เขาเข้าใจว่ารถยนต์เป็นที่มาของอำนาจ

เมื่อกลับมาเข้าห้องเรียนแล้ว เขายังช็อก และกลัว
เขาบอกครูว่าเมื่อโตขึ้นเขาจะต้องมีรถยนต์
และพยายามทดสอบเพื่อยืนยันว่าเขาเป็นจักรพรรดิจริงๆ หรือ
เขาถามครูว่าเขามีอำนาจสั่งทุกคนทำได้ทุกอย่างจริงหรือ ครูตอบว่าจริง
เขาจึงสั่งให้ครูกินน้ำหมึกเขียนหนังสือ ครูซึ่งภักดีต่อสถาบันกษัตริย์และรักเขาเหมือนลูก
และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขาให้มีชีวิตที่ราบรื่นในอาณาจักรเสมือนแห่งนี้
ก็กินน้ำหมึกนั้นให้เขาดูโดยไม่ลังเล เขาทดสอบอำนาจของเขาด้วยการสั่งทุบตีขันทีจนบาดเจ็บอีกหลายครั้ง

ผู่อี๋มีเวลาเรียนรู้ว่าเขาเป็นจักรพรรดิเพียงสามปีเท่านั้น
เมื่อความเชื่อที่ว่าเขาเป็นจักรพรรดิ์ถูกสั่นคลอน เขายังช็อกมาก
และมีพฤติกรรมทำร้ายคนที่รักเขาได้มากถึงขนาดนี้

ลูกของคุณมีเวลาเรียนรู้ว่าเขาเป็นจักรพรรดิในบ้าน
โดยมีข้าทาสบริวารรับใช้คือพ่อแม่ นาน ตั้งแต่เกิด จนอายุยี่สิบ
เขาถูกยกย่องว่าเป็นคนพิเศษ มีสิทธิพิเศษ
ไม่ต้องทำงานกระจอกอย่างกวาดบ้านถูพื้นซักผ้าเอาขยะไปทิ้ง
ข้าทาสบริวารคือพ่อแม่ทำให้หมด

การเลี้ยงเขาแบบนี้เป็นการสอนเขาว่า
เขาอยู่เหนืองานกระจอกน่าเบื่อหน่ายทั้งหลาย
ซึ่งเป็นการบ่มเพาะแคแรคเตอร์ของคนที่จะล้มเหลว


เพราะคนที่จะสำเร็จ ตามประสบการณ์ชีวิตของผมเอง
ต้องเป็นคนที่พร้อม และสามารถที่จะทำในสิ่งที่จริงๆ แล้วเขาก็ไม่อยากทำเท่าไหร่ได้ด้วย


การที่ลูกได้รับการเลี้ยงดูในบรรยากาศเสมือน หรือในวังจำลองนานตั้งยี่สิบปี
คุณลองประเมินสิว่าเขาจะช็อกขนาดไหนเมื่อได้เรียนรู้ว่านอกรั้วบ้านนั้นเขาไม่ใช่จักรพรรดิ
และมีโอกาสจะถูกบ้องหูโดยพลัน ถ้าเขาทำอะไรไม่เข้าท่ากับคนอื่นเข้า
แถมเมื่อเขาไปสมัครงานเขาคาดหวังว่าจะได้รับความสำคัญแต่กลับจะถูกคัดทิ้งอย่างเศษขยะแบบไม่มีใครเยื่อใย
แน่นอน เขาช็อก เขากลัว และมีใจไม่อยากยอมรับความจริงที่รับได้ยาก
เพราะเขาติดความเป็นจักรพรรดิ ติดความเป็นอิสระชน แม้จะเป็นแค่อิสระชนตัวปลอมก็ตาม
ด้านหนึ่งเขาจึงต้องหดหนีจากข้างนอกเข้ามาอยู่ข้างใน อีกด้านหนึ่งเขาต้องคอยทดสอบว่า
เขามีอำนาจเหนือข้าทาสบริพารในบ้านอยู่จริงหรือเปล่า การทรมานพ่อแม่ด้วยพฤติกรรมต่างๆจึงเกิดตามมา

ส่วนใหญ่ก็ด้วยวิธีทดสอบว่าตัวเองยังมีอำนาจที่จะทำให้พ่อแม่โกรธหรือหัวเสียได้หรือเปล่า
แต่บ่อยครั้งก็ไปไกลกว่านั้น


คนไข้รายหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่าลูกชายซึ่งตัวใหญ่มีกำลังมากฉวยผมแม่แล้วดึงเพื่อกึ่งบีบบังคับแม่ก็มี
รายที่แย่ที่สุดเล่าว่าลูกของเธอเอามีดปลายแหลมคมกริบออกมาให้แม่ดูแล้วบอกว่า
วันไหนที่ผมเบื่อชีวิตมากและจะไป ผมจะพาแม่ไปด้วยนะ
เล่นเอาคุณแม่ต้องหลบหนีไปอยู่บ้านอื่นโดยไม่ยอมให้ลูกรู้ว่าไปอยู่ที่ไหน

ทั้งหมดนี้ผมอธิบายด้วยการเดาของผมเองว่าเป็นผลจากการเลี้ยงดู
แบบทำให้บรรยากาศในบ้านแตกต่างจากนอกบ้านมากเกินไป

2.4 การเลี้ยงเด็กโดยตั้งความหวังว่าเขาจะเป็นฉัพพรรณรังสีที่จะทำให้คุณเปล่งประกายก็ดี
หรือไม่ก็เลี้ยงเด็กโดยจงใจเสี้ยมเพื่อให้เขาไปทำการใหญ่ที่คุณเคยคิดจะทำแต่ไม่มีปัญญาทำหรือไม่มีโอกาสได้ทำก็ดี

เป็นการจับคอเด็กเตี้ยยืดขึ้นเพื่อให้เขาสูงเท่าคนอื่น โดยไม่คำนึงถึงความสูงที่แท้จริงของเขา

ฝรั่งเรียกว่าเป็นการสร้าง high expectation
วิธีการเช่นนี้ก็เป็นการอุ่นเครื่องให้เด็กเติบโตไปพบกับความล้มเหลว
เพราะเมื่อใดก็ตามที่คนเราถูกคาดหวังสูงก็จะเกิดความเครียด
เมื่อใดที่ความเครียดมา เมื่อนั้นความล้มเหลวและความเพี้ยนก็จะตามมา


ความเพี้ยนนี้บ่อยครั้งก็จะเร่งเครื่องโดยพ่อแม่เอง เช่น
แทนที่จะเอาลูกเข้าโรงเรียนที่กระจอกๆแต่เหมาะกับความสามารถและพื้นฐานที่ลูกมี
กลับวิ่งเต้นเอาไปเข้าโรงเรียนหรูเริ่ดสะแมนแตน ที่ไม่เหมาะกับลูกเลย
เพียงเพราะคุณพ่อคุณแม่จะอาศัยระดับชั้นของโรงเรียนทำให้พ่อแม่ดูดีขึ้น
แบบนี้ก็เป็นเหตุผลประการที่สี่ที่ผมเดาว่าจะทำให้เกิดเด็กอย่างลูกคุณนี้ขึ้น

........................................................

3.. ถามว่าแล้วจากตรงนี้ จะไปต่ออย่างไรดี ผมขอแยกการตอบคำถามนี้ออกเป็นสองส่วนก็แล้วกันนะ

ส่วนที่ 1. เป็นคำตอบสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ยังไม่มีลูก หรือเพิ่งมีแต่ยังแบเบาะอยู่ ผมแนะนำว่า

3.1.1 ในการเลี้ยงลูก อย่าพร่ำบอกว่าเขาเป็นเด็กฉลาด เป็นเด็กเก่ง
อย่าให้รางวัลเขาพร่ำเพรื่อ โดยที่เขาไม่ได้ใช้ความพยายามทำอะไรอย่างจริงจัง อย่าให้เงินซี้ซั้วโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ให้เขาเข้าใจอยู่เสมอว่าเขาเป็นคนธรรมดา ถ้าพยายามก็สำเร็จ ถ้าไม่พยายามก็ล้มเหลว

3.1.2 อย่ายกย่องความสำเร็จจนสุดโต่ง และปฏิเสธความล้มเหลวแบบเอาหัวมุดทราย
แต่สอนให้ได้พบทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว
เปิดโอกาสให้เขาได้ cope กับความล้มเหลวจนเห็นมันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต
โดยคุณต้องอดทนดูลูกปลุกปล้ำกับความล้มเหลวของเขา
อย่าไปปักธงอย่างโง่ๆ ว่า ลูกของเราจะต้องสำเร็จลูกเดียวล้มเหลวไม่ได้


3.1.3 อย่าล้างจาน ซักผ้า ถูพื้น เทขยะแทนเขา หากคุณไม่มอบหมายให้ทำงานบ้าน
เขาจะกลายเป็นเด็กที่ “ยุ่งอยู่แต่กับการบ้านหรือเรื่องของตัวเองเหลือเกิน”
นั่นเป็นการบอกเขาว่าเขาเป็นนักกีฬาทีมชาติประจำบ้านที่มีหน้าที่ไปเอาเหรียญทองกลับมาให้ครอบครัว


เป็นการส่งข่าวสารที่ผิด ข่าวสารที่ว่าเขาเป็นคนพิเศษ
การเห็นคุณแม่อุ้มถังขยะออกไปเทเอง ไม่ได้ทำให้เขาเกิดตื้นตันด้วยความขอบคุณ
จนต้องรีบเข้าห้องขยันอ่านหนังสือและทำการบ้านมากขึ้นดอก

แต่นั่นเป็นการสอนเขาว่าเขาอยู่เหนืองานกระจอกน่าเบื่อหน่ายเหล่านี้
ซึ่งเป็นการปลูกฝังให้เขาเป็นคน "ขี้ล้มเหลว" ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำงาน
เพราะจับอะไรก็จะเป็นงานกระจอก ไม่ใช่ ไม่ชอบ ไปเสียหมด


3.1.4 อย่าทำบ้านให้เป็นวังที่แตกต่างจากโลกภายนอก
ในการเป็นพ่อแม่คนนี้ เรื่องจะป้อนข้าวป้อนน้ำหาเสื้อผ้าให้ใส่ หาเงินให้ใช้นั้นมันเป็นเรื่องง่าย
ที่ไม่สำคัญ คุณจะทำบ้างไม่ทำบ้างก็ยังได้ และยิ่งสมัยนี้แล้วคุณทำให้ขาด ดูจะดีกว่าทำให้เกิน

แต่การขีดเส้นให้ลูกได้เรียนรู้ว่า
ข้อจำกัดของการเกิดมาเป็นคนในสังคมมันอยู่ที่ตรงไหนนี่สิ...เป็นเรื่องยาก ที่สำคัญ และต้องทำ

หากคุณไม่สามารถทำตรงนี้ได้ คุณก็ยังไม่มีคุณวุฒิที่จะเป็นพ่อแม่คนได้...ภาษาหมอเรียกว่าไม่ qualified

กฎสากลของสังคมนอกบ้าน ต้องบังคับใช้กับลูกในบ้านอย่างไม่ยกเว้น
การพูดจากับผู้คนต้องสุภาพ ต้องรู้จักแสดงความเห็นใจผู้อื่น
มิฉะนั้นจะต้องถูกโต้กลับหรือลงโทษด้วยการถูกทอดทิ้ง
ทุกคนในบ้านต้องทำงาน ไม่งั้นก็ต้องได้รับผลลัพธ์ของการไม่ทำงานเหมือนสังคมนอกบ้าน


สมัยผมเรียนอยู่แม้โจ้ ครูสอนว่า “ควายมันยังอยู่ในสังคมด้วยการทำงานเล้ย”
หากพ่อแม่ไม่ทำอย่างนี้ ก็จะเป็นการบอกเขาว่าเขาเป็นคนพิเศษ มีสิทธิพิเศษ กฎของโลกข้างนอกไม่ได้บังคับใช้กับเขา
กว่าเขาจะเรียนรู้ความจริง ก็คือตอนที่เขาออกไปเจอของแข็งนอกบ้านแล้วแจ้นกลับมา
ถึงตอนนั้นเขาอาจจะไม่ออกจากบ้านไปไหนอีกเลยนาน..น มาก


3.1.5 เมื่อปักธงว่าจะเลี้ยงลูกให้เป็นคนที่มีความสุขในชีวิตและมีคุณค่าต่อสังคม
ตัวคุณเองในฐานะพ่อแม่ต้องชัดเจนก่อนว่าอะไรนำมาซึ่งความสุขในชีวิต
ซึ่งแน่นอนก็คือการมีสุขภาพกายดี-สุขภาพจิตดี

หรือพูดอีกอย่างว่า ความสุขเกิดเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะกำลังผ่อนคลาย
จิตใจกำลังปลอดโปร่งไม่ถูกครอบด้วยความคิดไร้สาระ


พิเคราะห์ให้ดีจะเห็นว่าความสุขในชีวิตเป็นเรื่องของที่นี่เดี๋ยวนี้ (here and now)

ดังนั้นตัวคุณเองในฐานะพ่อแม่ต้องเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับปัจจุบันให้ได้ก่อน
คุณจึงจะสอนลูกให้เป็นคนที่มีความสุขในชีวิตได้ ถ้าคุณเองยังเอาตัวเองไม่รอด
ผมแนะนำว่าอย่าเพิ่งมีลูกดีกว่าเพราะจะไปเข้าสูตร “ความเกิดเป็นทุกข์” ทันที


........................................................

ส่วนที่ 2. เป็นคำตอบสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ลูกเสียคนไปแล้ว
หมายความว่า ลูกอายุระดับใกล้ยี่สิบขึ้นไปแล้ว และขี้เกียจขนขึ้น
จนพูดภาษาคนไม่รู้เรื่องไปเรียบร้อยแล้ว ผมแนะนำว่า ปลงเสียเถอะแม่จำเนียร เอ๊ย..ไม่ใช่ ผมขอพูดกับคุณว่า

3.2.1 ผมปลอบใจคุณได้อย่างหนึ่งว่า
ข้อมูลทางการแพทย์บอกว่าการบรรลุวุฒิภาวะของเนื้อสมองแต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน
และแตกต่างกันได้หลายปี ผู้หญิงจะเร็วและแน่นอนกว่าผู้ชาย
ข้อมูลอันนี้ปลอบคุณได้ว่าขณะที่ลูกคนอื่นเป็นดอกโสนบานเช้า
ลูกของคุณอาจเป็นดอกคัดเค้าบานเย็น หรือเป็น late bloomer ก็ได้
ดังนั้น..เย็นไว้โยม

3.2.2 ผมปลอบใจคุณได้อีกหนึ่งอย่างว่า
ความรักที่คุณทุ่มเทให้กับลูกไปนั้น มันจะไม่สูญเปล่าหรอก มันจะไม่หายไปไหน
มันจะไปบ่มอยู่ในตัวลูกคุณแล้วท้ายที่สุดมันจะกลายเป็นความรักหรือเมตตาธรรม
ที่เขาจะถ่ายทอดไปให้คนอื่นเมื่อเวลามาถึง


คือมันเป็นธรรมชาติของคนที่เคยมีความสุขจากการได้รับความรักมาอย่างล้นเหลือ
ที่จะเติบโตไปเป็นคนมองโลกแง่ดี และมีความสุขกับการให้ความรัก ความเมตตาแก่คนอื่น
มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ คุณจะทันได้เห็นก่อนตายหรือเปล่า
ผมไม่รับประกัน แต่ผมรับประกันว่ามันจะเกิดขึ้นแน่

นี่ผมดูจากตัวผมเองนะ
ตัวผมเองเติบโตมาด้วย “ใบบุญ” จากคนอื่น โน่นบ้างนี่บ้าง
ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวันเรียนแพทย์จบ ผมเป็นแต่ผู้รับๆๆๆ ผมมีความสุขกับการ "รับ"
แล้วต่อมาถึงจุดหนึ่งผมก็เกิดอยาก "ให้" บ้าง มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
มันเกิดขึ้นเพราะผมเคยมีความสุขกับการได้รับ ผมจึงอยากจะให้ เพราะผมรู้ว่าคนได้รับจะมีความสุข
และการรู้ความจริงอันนี้ก็ทำให้ผมมีความสุขเมื่อผมได้ให้ กลไกมันประหลาดๆแบบนี้แหละ

3.2.3 คำแนะนำทั้งห้าข้อสำหรับคนที่ยังไม่มีลูกข้างบนนั้น
แม้ว่ามันจะสายไปบ้างสำหรับคุณ แต่ก็ไม่สายเกินไป
คุณก็ควรพยายามเอามาประยุกต์ใช้ในขอบเขตที่มันยังเป็นไปได้

หมายความว่า ให้คุณพยายามฝึกพยายามฝืนพาเขาออกไปสู่โลกของความเป็นจริงนอกบ้านทีละนิดๆ

3.2.4 ให้คุณสร้างเจตคติ “ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น” ขึ้นมาในใจตัวเอง
เมื่อถือม็อตโต้ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ก็หมายความว่า
ต้องเลิกความคาดหวังใดๆ ที่เคยมีต่อตัวลูกไปให้หมด
เพราะตราบใดที่พ่อแม่ยังแสดงความคาดหวังในตัวลูก
ตราบนั้นปัจจัยที่จะทำให้ลูกล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นก็จะยังอยู่
ต่อเมื่อพ่อแม่เลิกคาดหวังในตัวเขาหมดเกลี้ยงเหลือซีโร่โน่นแหละ
ความเครียดที่เป็นตัวถ่วงเขาจึงจะหมดไป แล้วเขาจึงจะมีโอกาสโผล่หัวได้


ในการสร้างเจตคติใหม่นี้ ให้คุณมองสิ่งต่างๆ ในชีวิตรอบตัวคุณ ว่ามันอยู่ในวงใดวงหนึ่งในสองวง

วงใน เป็นวงที่อยู่ในอำนาจที่คุณจะดลบันดาลได้ ก็คือใจของคุณเอง คุณจะคิดอะไรให้ตัวคุณเองเป็นสุขหรือเป็นทุกข์คุณทำได้

วงนอก เป็นวงที่มีผลกระทบต่อคุณก็จริง แต่เป็นพื้นที่ที่คุณไม่มีอำนาจไปดลบันดาลอะไรได้
ลูกของคุณอยู่ในวงนี้ กับอะไรที่อยู่ในวงนี้ คุณต้องปลงลูกเดียว แบบว่ารับรู้ เข้าใจ แล้วเฉยเสีย
อย่าไปพยายามทำมากกว่านั้น เพราะคุณไม่มีอำนาจ


3.2.6 ให้คุณเริ่มปฏิบัติการตัดสายสะดือ โดยทำเป็นขั้นเป็นตอน

ขั้นที่ 1. ประเมินคุณลูกก่อน ว่าเขาอยู่ที่ตรงไหน มีใจอยากเป็นอิสระแต่ไม่กล้า
หรือเป็นคนเสมือนเป็นอัมพาต คือติดการสิ่งพ่อแม่จนเป็นง่อยถาวร ไม่คิดไม่อ่านอะไรต่อไปทั้งสิ้น

ขั้นที่ 2. ประเมินตัวคุณ (คุณพ่อคุณแม่) เอง ว่าอะไรเป็นจุดตายของคุณ
พ่อแม่บางคนจุดตายอยู่ตื้นมาก เช่น ลูกเม้มปากไม่ยอมกินข้าว แค่เนี้ยะ!
พ่อแม่ก็บ้ารับประทานแล้ว ลูกจะเอาอะไรก็ทูนหัวให้หมดขอให้กินข้าวซักคำเถอะลูก

ในขั้นนี้ คุณต้องมองย้อนไปดูจุดตายของคุณด้วยใจยุติธรรม
ว่าอะไรเป็นเหตุให้คุณพาลูกเข้ารกเข้าพงมาจนถึงตรงนี้ได้
เพราะความรู้สึกผิดที่ทอดทิ้งเขาไปช่วงหนึ่งหรือเปล่า
เพราะความรู้สึกกลัวความล้มเหลวของตัวเองว่าเลี้ยงลูกให้เป็นผู้เป็นคนแบบชาวบ้านเขาไม่ได้หรือเปล่า
เพราะความรู้สึกคับแค้นที่ตัวเองไม่เคยได้รับในบางอย่างที่อยากได้ตอนเป็นเด็กหรือเปล่า ฯลฯ

คุณประเมินจุดตายของตัวเองทั้งหมด เขียนใส่กระดาษไว้
แล้ววางกลยุทธ์เพื่อปิดจุดตายเหล่านี้ไปทีละจุดๆ
ก่อนที่จะทำสงครามปลดแอกกับลูกบังเกิดเกล้า
นี่เป็นหลักการทางการทหารธรรมดาๆ ซึ่งทหารจีนชื่อซุนวูสอนไว้

“รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง”


ขั้นที่ 3. ตีเส้น ในขั้นนี้คือคุณต้อง “ตีเส้น” ว่า
ในการจะถอยบทบาทจากการเป็นขี้ข้า เปลี่ยนมาเป็นครู
ต่อแต่นี้ไป อะไรคือ "ได้" อะไรคือ "ไม่ได้"
เมื่อตั้งใจกำหนดขอบเขต "ได้" "ไม่ได้" มั่นเหมาะแล้ว

ต่อไปก็ต้องเปิดโต๊ะเจรจากับคุณลูก
หาจังหวะสบายๆ ง่ายๆ เอาทีละนิด ว่ากันทีละเรื่อง
ว่าต่อแต่นี้ไป พ่อกับแม่มีมิชชั่นใหม่ว่าจะช่วยให้ลูกเป็นผู้เป็นคนเสียที พ่อกับแม่จะได้ตายตาหลับ

บนมิชชั่นนี้ พ่อกับแม่กำหนดว่าต่อแต่นี้ไป พ่อแม่จะให้อะไร ไม่ให้อะไร
ถ้าอยากได้มากกว่านี้ลูกต้องทำอะไรแลกเปลี่ยน จึงจะได้


ขั้นที่ 4. ตัดสายสะดือ
หมายถึงตัดความช่วยเหลือทางการเงินที่ลูกโข่งสิงกินจากพ่อแม่
โดยค่อยๆเล็มให้งวดเข้าๆ ขั้นนี้ยากนิดหน่อย
แต่คุณต้องเลิกเล่นบทง่าย คือ “ขี้ข้า” มาเล่นบทยากคือ “ครู”
ไม่ต้องกลัวว่าลูกชายจะตายเพราะไม่มีเงิน


ในโลกความจริง ถ้าเขาไม่เรียนหนังสือ ไม่ทำงาน แม้จะไม่มีเงิน เขาก็อยู่ได้ ไม่ตายหรอก
เสื้อผ้าไม่มีไปหาขอบริจาคเสื้อผ้าเก่าเอาได้ จะไปไหนมาไหนก็ขึ้นรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี
อาหารก็กินของถูกๆ ไม่มีเงินตัดผมก็ไม่ต้องตัด ปล่อยมันยาวไปอย่างนั้นแหละ
ถ้าเขาอยากจะทำอย่างนั้นก็ให้เขาทำไป

อย่าลืมว่าคุณเป็นครูนะ ตัดสายสะดือแล้ว
ครูที่ดีก็ต้องหาจังหวะให้ลูกได้เรียนรู้ด้วย
คอยให้ feed back ในทางบวกถ้าศิษย์ทำดี หรือทางลบถ้าทำไม่ดี

ขั้นที่ 5. หนีลูก ช่าย..ย หนีไปเลย หนีเป็นพักๆ
เมื่อขี้ข้าลาพักร้อน เจ้านายก็ต้องหุงข้าวต้มแกงเอง นี่เป็นเรื่องธรรมดา
คุณต้องวางแผนไปไหนไกลๆ บ่อยเข้าๆ เช่น ไปเข้าค่ายปฏิบัติธรรมนานเป็นเดือน ถ้าลูกรบจะไปด้วยก็มาเลยลูก

กรณีคุณไปไหนนานไม่ได้เพราะติดงาน ก็ส่งลูกออกไปอยู่นอกบ้าน
เช่น ลงทุนส่งเขาไปเข้าแค้มป์ดัดสันดานระหว่างปิดเทอม
แค้มป์แบบนี้ในยุโรปและอเมริกามีแยะ ในเมืองไทยก็น่าจะมีแต่ผมไม่รู้จัก
ส่งไปแล้วคุณตัดขาดเลยนะ ปิดโทรศัพท์ อย่าตามไปโอ๋ ไปร้บใช้

คนไข้ของผมรายหนึ่งเล่าว่า
ส่งลูกชายขี้เกียจไปเข้าแค้มป์ฝึกนักเรียนเพื่อสอบเข้าเตรียมทหาร
ลูกชายโทรศัพท์มาอ้อนร้องไห้กับแม่ทุกคืนๆ จนแม่ทนไม่ไหวต้องไปรับกลับบ้าน
สรุปว่าเหลวเป๋วเหมือนเดิมเพราะหนีไม่จริง

ขั้นที่ 6. ปลง คราวนี้ ปลง ก็คือปลง คุณต้องปลงจริงๆ
คนเราเกิดมาพบกันได้ไม่นานแล้วก็ตายจากกันไป
เหมือนขอนไม้ท่อนหนึ่ง ลอยมาพบกับอีกท่อนหนึ่ง กลางทะเล แล้วแยกจากกันไป จะเอาอะไรกันนักหนา
แม้ร่างกายของเรานี้ยังไม่ใช่สมบัติของเรา จึงอย่าว่าแต่ลูกซึ่งเป็นอีกร่างอีกจิตใจหนึ่งเลย
เขาก็เป็นเขา เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หน้าที่ของเราหมดแล้ว
เขาจะใช้ชีวิตอย่างไรหรือแม้แต่จะเอาหัวเดินต่างตีน ก็ไม่ใช่กงการอะไรของเรา
มีเรื่องอะไรเป็นข่าวคราวดีร้ายมาจากเขา เราฟังแล้วก็รับรู้ เข้าใจ และเฉยเสีย...สาธุ


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์



********************************


คนเราเกิดมาพบกันได้ไม่นานแล้วก็ตายจากกันไป
เหมือนขอนไม้ท่อนหนึ่ง ลอยมาพบกับอีกท่อนหนึ่ง กลางทะเล แล้วแยกจากกันไป จะเอาอะไรกันนักหนา
แม้ร่างกายของเรานี้ยังไม่ใช่สมบัติของเรา จึงอย่าว่าแต่ลูกซึ่งเป็นอีกร่างอีกจิตใจหนึ่งเลย
เขาก็เป็นเขา เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หน้าที่ของเราหมดแล้ว
เขาจะใช้ชีวิตอย่างไรหรือแม้แต่จะเอาหัวเดินต่างตีน ก็ไม่ใช่กงการอะไรของเรา
มีเรื่องอะไรเป็นข่าวคราวดีร้ายมาจากเขา เราฟังแล้วก็รับรู้ เข้าใจ และเฉยเสีย...สาธุ


............................

โดยส่วนตัว คิดว่าเราควรคิดแบบนี้อยู่เสมอ
แม้ลูกจะเป็นคนดี เป็นเด็กปกติ
ไม่ได้เป็นคนที่แย่แบบในจดหมายที่คุณแม่ถามมา
เพราะคือ "สัจธรรมของชีวิต" เลยค่ะ
.
ถ้าคิดแบบนี้ได้แต่ต้น...
การเลี้ยงลูกแบบคาดหวัง จนกลายเป็นกดดัน
ก็จะไม่เกิดขึ้นแต่ต้น เช่นกันค่ะ
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1151

โพสต์

ขอบคุณบทความที่มาฝาก ดีมากๆครับ ขอให้คุณนุชหายไวๆนะครับ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1152

โพสต์

amornkowa เขียน:ขอบคุณบทความที่มาฝาก ดีมากๆครับ ขอให้คุณนุชหายไวๆนะครับ
ขอบคุณมากเลยค่ะพี่อมร
ล้มที่วัด ตอนไปปฏิบัติธรรม...อย่างอายเลยค่ะ 555+

อุตส่าห์ ว่าจะไปวัดเพื่อให้ดีขึ้น
เพราะที่ผ่านมาล้มบ่อยเหลือเกิน ทั้งจักรยาน และวิ่ง

ดันไปล้มที่วัดอีก...เป็นคน (หาความ) เรียบร้อย (ไม่ได้) จริงๆ เลยค่ะ ^^
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1153

โพสต์

theenuch เขียน:
amornkowa เขียน:ขอบคุณบทความที่มาฝาก ดีมากๆครับ ขอให้คุณนุชหายไวๆนะครับ
ขอบคุณมากเลยค่ะพี่อมร
ล้มที่วัด ตอนไปปฏิบัติธรรม...อย่างอายเลยค่ะ 555+

อุตส่าห์ ว่าจะไปวัดเพื่อให้ดีขึ้น
เพราะที่ผ่านมาล้มบ่อยเหลือเกิน ทั้งจักรยาน และวิ่ง

ดันไปล้มที่วัดอีก...เป็นคน (หาความ) เรียบร้อย (ไม่ได้) จริงๆ เลยค่ะ ^^
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1154

โพสต์

จริงที่สุด...(เกิน 8 บรรทัด...มีสนทนา
"ธรรมะ" และ "ธรรมดาโลก" อยู่ด้วย)
.
ถ้าแข่งกัน (ดูเหมือน) รวย
ก็ต้องใช้ชีวิตแบบคน (ดูเหมือน) รวย
แล้วจะรวยจริงยาก...หรืออาจจนลง
และมีโอกาส “จนถาวร” สูงมาก
..........

แต่หากคนจน...ใช้ชีวิตแบบคนจน
ก็มีโอกาส “รวยถาวร” ในระยะยาว
หรือ ถ้าแค่เสมอตัว...ก็ไม่จนลง ละนะ ^^
29340557_1703601333060051_2187323243235905325_n.jpg
**********************
**********************
เขียนไว้ใน fb

มีน้อง Win Chuen ถามคำถามที่ดีมาก
ตอบไว้ใน comment แต่เห็นว่ามีประโยชน์
ขอยกมาไว้ในนี้ด้วยดีกว่า...ขอบคุณน้องวินด้วยค่ะ ^^

**********************

Win : ชัดครับ ถามตรงๆ
วีไอที่มีหลายร้อยล้านพันล้าน สุขจริงไหม รบกวน

..............

ตอบ : ชอบมีคนถามแบบนี้
แต่อยากตอบค่ะ...ขอบคุณที่ถามนะคะ ^^
.
วีไอที่รู้จัก ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ เพราะคือวิถี
คือตัวตน ของพวกเราแต่ต้น

การรวยขึ้น ย่อมสบายขึ้น
และกังวลเรื่องปากท้อง (สำหรับทั้งครอบครัว) น้อยลง

ย่อมมีความสุขขึ้นบ้างอยู่แล้วเป็นธรรมดาค่ะ

จะบอกว่า มีเงินมากขึ้น ไม่สุขขึ้น
เห็นทีจะโกหก แบบไม่เนียน
.
แต่...ในที่สุดแล้ว ความสุขก็ไม่ได้มากขึ้นแบบไม่รู้จบ
ตามจำนวนเงินในครอบครองที่อาจเพิ่มขึ้นได้ไม่รู้จบ

และเชื่อว่า นักลงทุนวีไอ ที่มีวิถีแบบวีไอแท้แต่ต้น
ก็ทราบดีว่า “เราทานข้าวได้ 1 อิ่ม_ไม่ว่าจะอาหารถูกแพงแค่ไหน”

"เราขับรถได้ทีละคัน_ไม่ว่าจะมีเงินซื้อรถได้มากคันแค่ไหน"

เราจึงไม่ใช้เงินไปเพื่อซื้อวัตถุ
โดยหวังว่าจะเพิ่มความสุขให้มากกว่าคนอื่นแน่ๆ
....เพราะเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ดี ว่ามันไม่เที่ยงแท้
.
สุขแท้จริงอยู่ในตน ในจิตเล็กๆ นี้เท่านั้น
.
ว่าที่จริงภาวะ “สุขล้น หรือ สุขเกินกว่าเหตุ”
ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ ขอกลางๆ สงบๆ น่าจะดีกว่าค่ะ
...................

กลับมาเรื่อง เงินที่เพิ่มมากขึ้น...
บางทีมันก็เพิ่มขึ้นเองในอัตราเร่ง
ตามธรรมชาติของ “พลังของการทบต้น”
และ “ความขยัน ทำเหตุให้ดีแต่ต้น...
คือการใส่ใจการลงทุนให้ดีแต่ต้น
เหมือนเดิมตลอดไม่ว่าจะลงทุนไปนานแค่ไหน”

Asset มันก็จะเพิ่มขึ้นๆ ไปเอง
แบบไม่ได้ไปขวนขวายอะไรมากกว่าเดิมค่ะ ^^

******************

Win : คมมากครับ ขอบคุณพี่ เห็นภาพเลย
สมมุติความสุขที่มีทรัพย์100ล้านจะไม่เพิ่มขึ้นเท่าตัว เมื่อมี200ล้าน ...
"เมื่อฉันวิ่งไล่ตามเงิน ฉันไม่เคยรู้จักพอเสียที"

.............

ตอบ : "เมื่อฉันวิ่งไล่ตามเงิน ฉันไม่เคยรู้จักพอเสียที"
.
ใช่ค่ะ โดยทั่วไปเป็นเช่นนั้น...
.
แต่ "นักลงทุนวีไอ ไม่ได้วิ่งตามเงิน"
พวกเราแค่...ลงทุนให้ดีตามที่ควร
ตั้งแต่วันแรกๆ จนถึงวันนี้ และวันต่อๆ ไป
...ดังนั้น...ไม่ได้เหนื่อยขึ้นเลย
.
ไม่ได้วิ่งตามเงิน...แต่เงินมัน (มาวิ่งตามเรา) มากขึ้นเอง ^^
จะพอแค่นี้ ก็ไม่รู้จะทำไง...
เราหยุด "พลังของการทบตันไม่ได้"
.
ก็คงต้องโทษ "มหัศจรรย์ของการทบต้น" แล้วหละค่ะ 555+
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1155

โพสต์

**********************************

เพื่อความเป็นสิริมงคลของกระทู้ VI บ้านๆ ของเรา
เช่นเคยค่ะ...

กราบสวัสดีปีใหม่ 2562
และ ขอขอบพระคุณ "นายกโจ ลูกอิสาน"...จากใจ


**********************************
ลูกอิสาน เขียน:กราบสวัสดีปีใหม่ปี 2562 พี่น้องชาวสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่าทุกท่าน กราบสวัสดีอาจารย์ ดร.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ พี่ปรัชญา พี่ครรชิต ลุงขวด เฮียคลายเครียด พี่หมอ jfk พี่กะละมัง พี่พี พี่วัฒน์ พี่หมอพงศ์ศักดิ์ พี่หลิน พี่หนิง พี่กุ๊ก พี่หมอสามัญชน พี่พรรณ พี่ไก่ พี่มน พี่บู พี่วิบูลย์ พี่นัน พี่ตี้ พี่จรัญ พี่แมว พี่บัวดิน หมอหนึ่ง พี่เวป พี่ฉัตร พี่ชาย พีเจ๋ง พี่ประชา พี่นริศ พี่โดม พี่พอใจ พี่นุช พี่อมร พี่วรรณ พี่หน่อง พี่เล็ก น้องๆ ทีวีไอทุกคน ขอคุณพระศรีรัตนตรัย คุ้มครองให้ทุกท่านปลอดภัย มีความสุขกาย สบายใจ ตลอดปี ไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นเช่นไรครับ


แค่วันแรกที่เปิดซื้อขายหุ้นของปี 2561 ตลาดหุ้นไทยก็สามารถทำลายสถิติปิดสูงสุดตลอดกาลที่ 1753.73 จุด ได้อย่างง่ายดาย และยังคงเดินหน้าต่อจนสามารถทำจุดสุงสุดใหม่ตลอดกาลที่ 1852.51จุด ในเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนจะค่อยๆย่อตัวลงจนแตะ 1600 จุดในช่วงกลางปี แล้วเด้งขึ้นเกือบๆ แตะ 1800 จุดอีกครั้งในต้นเดือนตุลาคม ก่อนกลับมาตกหนักอีกครั้งในช่วงปลายปี โดยเฉพาะเดือนธันวาคมที่ปกติจะไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวมาก แต่ปี 2561 ดัชนีกลับตกหนัก สำหรับนักลงทุนปีนี้ ใกล้สิ้นปี ความรู้สึกเหมือนใกล้จะสิ้นใจ จบปีดัชนี SET ปิดที่ 1563.88 จุด ลดลง 190 จุดหรือ 10.82 % หากคิดรวมปันผล หรือวัดจาก SET TRI ให้ผลตอบแทนติดลบ 8.08 % ส่วนดัชนีตลาดหุ้น MAI ซึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็กลดลงถึง 34.04 % เมื่อดูในรายละเอียดจากหุ้นประมาณ 698 ตัวในตลาด มีหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกแค่ 16 % เท่านั้น ที่เหลือขาดทุนหมด ไม่มากก็น้อย และหากสังเกตสักนิดหุ้นที่มีน้ำหนักต่อดัชนีสูงบางตัวเช่น PTT PTTEP HMPRO BDMS GULF ให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก แต่ดัชนีหุ้นรวมกลับติดลบ 10.82 % นี่แสดงว่าหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดลดลงมากกว่าดัชนีมาก

สาเหตุที่ทำให้ปี 2561 ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนไม่ดี มีปัจจัยจกดดันทั้งจากภายนอกประเทศนั่นคือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาที่เปิดฉากโดยประธานาธิบดี Donald Trump กับประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศจีน รวมถึงกระแสเงินต้นทุนถูกเริ่มหมดไป Fed เริ่มมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงการลดเลิก QE ของธนาคารกลางต่าง ๆ นอกจากนั้นตลาดหุ้นไทยยังเผชิญแรงเทขายเกือบๆ 3 แสนล้านจากนักลงทุนต่างประเทศ แต่ยังดีที่มีแรงรับจากกองทุนและนักลงทุนรายย่อย ทำให้ดัชนีไม่ติดลบไปมากกว่านี้



มีหุ้น IPO เข้าใหม่ในปีนี้ลดลงเหลือประมาณ 18 บริษัท และมูลค่าตลาดรวม Market capital ณ.วันสิ้นปีของตลาดหุ้นไทยทั้งตลาด SET และ MAI รวมกันประมาณ 16.24 ล้านล้านบาท

เปรียบเทียบกับตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ปี 2561 เป็นปีที่ไม่ดีสำหรับนักลงทุน ดัชนีทั่วโลกตกพร้อมเพรียงกัน แต่อัตราการตกไม่เท่ากัน บางประเทศที่มีปัจจัยกระทบเฉพาะตัวเช่น จีน อินเดีย ตุรกี ดัชนีจะตกมากกว่าประเทศอื่น โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน รวมถึงตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลงถึง 24 % และ 15 % ตามลำดับจากประเด็นสงครามการค้ากับอเมริกา และนี่ทำให้กองทุนไทยที่ไปลงทุนในประเทศเหล่านี้มีผลการดำเนินงานที่แย่ตามไปด้วย ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุนรวมไทย กองทุนที่มีผลดำเนินการดีไปหาแย่ตามลำดับดังนี้ กองทุนอสังหา> กองทุนตราสารหนี้> กองทุน set 50 >กองทุนต่างประเทศ > กองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก

เศรษกิจไทยในปี 2561 ขยายตัวในระดับที่ดีมากในรอบหลายๆ ปี โดย GDP ขยายตัวประมาณร้อยละ 4.2 แต่การขยายตัวยังกระจุกตัวในบางกลุ่ม ธุรกิจที่ไปได้ดีเช่น ธุรกิจยานยนต์ การส่งออก ส่วนธุรกิจท่องเที่ยวยังเติบโตแต่ในอัตราที่ชะลอตัวลง จากปัญหานักท่องเที่ยวจีนลดลงจากปัญหาเรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต ส่วนกลุ่มที่ยังไม่ดีคือสินค้าเกษตร ราคาพืชผลหลายตัวยังตกต่ำ เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อย ทำให้กำลังซื้อในต่างจังหวัดย่ำแย่ ส่วนการลงทุนภาครัฐซึ่งเป็นความหวังในการกระตุ้นเศรษกิจเริ่มส่งผลต่อปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์บ้าง แต่โดยรวมการใช้จ่ายงบประมาณยังล่าช้ากว่าแผนงานมาก ทั้งที่จะเกิดการเลือกตั้งใหม่ในปี 2562 ซึ่งอาจทำให้แผนงานเหล่านี้ล่าช้าไปอีก

พอร์ตลงทุนส่วนตัวผม ให้ผลขาดทุนในปี 2561 โดยแพ้ผลตอบแทนตลาดรวมหรือ SET TRI เล็กน้อย (ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปผมจะใช้ SET TRI เป็น Benchmark เปรียบเทียบผลการลงทุน ) ซึ่งนับว่าน่าพอใจ เมื่อพิจารณาจากความจริงที่ว่า หุ้นขนาดกลางและเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผมลงทุนมาตลอดหลายปี ราคาลดลงอย่างมาก หลายๆตัวลดลง 70 % การลดลง 40-50 % เป็นเรื่องปกติ ทั้งที่ดัชนี SET ลดลงแค่ 10.82 % เท่านั้น เหตุผลที่พอร์ตลดลงน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ส่วนหนึ่งเพราะผมได้กระจายการลงทุนไปต่างประเทศประมาณ 10 % ส่วนหนึ่งเกิดจากการถือหุ้นที่ P/E ต่ำกว่าตลาดมากอยู่แล้ว ทำให้ราคาไม่ลดลงมาก และสุดท้ายคือหุ้นที่ถือบางตัวยังให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก ชดเชยกับหุ้นตัวที่ขาดทุนได้ ทั้งพอร์ตมีหุ้นประมาณ 45 บริษัท เป็นบริษัทกลางและเล็กเหมือนเช่นเคย กระจายตัวอยู่ในกลุ่มต่างๆ ตั้งแต่ market cap 4-5 หมื่นล้าน จนต่ำสุด 200 กว่าล้าน

สำหรับพอร์ตลงทุนต่างประเทศ ส่วนใหญ่คือตลาดเวียดนาม ปี 2561 ที่ผ่านมา ผมได้เพิ่มเงินลงทุนในตลาดเวียดนามอีกเล็กน้อย และยังเน้นลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กเช่นเดิม แต่พยายามเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความแน่นอนสูงมากขึ้น มีการเติบโตที่แน่นอน แต่ก็ยังมีหุ้นถูกๆ P/E ต่ำปันผลสูง ด้วยเช่นกัน จำนวนหุ้นที่ลงทุน 23 ตัว ระดับ P/E เฉลี่ยประมาณ 8 เท่า ซึ่งต่ำกว่ากลุ่มหุ้น VN30 ที่ P/E ประมาณ 14-15 เท่าโดยผลตอบแทนส่วนตัวในปีที่ผ่านมาเท่ากับ 0 ไม่ขาดทุนหรือกำไร เมื่อไม่คิดผลจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่เมื่อแปลงเป็นเงินบาท จะขาดทุนประมาณ 3 % เนื่องจากเงินด่องอ่อนตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเงินบาท 3 % เช่นกัน ผลที่ได้น่าพอใจเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามที่ลดลงเกือบๆ 10 % นี่แสดงเช่นกันว่าหุ้นที่ผมลงทุนมีความสัมพันธ์กับดัชนีหุ้นเวียดนามค่อนข้างต่ำ ปี 2562 คาดหวังว่ากลยุทธ์ลงทุนที่เน้นความรอบคอบ คัดสรรมากขึ้น น่าจะผลิดอกออกผล ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดรวมครับ ส่วนการลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยลงทุนในหุ้นแค่ตัวเดียว ให้ผลขาดทุนเกือบๆ 50 % :oops:

ในปี 2561 มีทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม โดยที่ไม่ต้องเปิดบัญชีหุ้นต่างประเทศ หรือโอนเงินไปมาให้ยุ่งยาก นั่นคือการเปิดซื้อขาย DR (Depositary Receipt) หรือตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ มีชื่อย่อในการซื้อขายในตลาดหุ้นว่า E1VFVN3001 ออกโดยหลักทรัพย์บัวหลวง มีหลักทรัพย์รับฝากเป็นกองทุนรวม ETF ที่อ้างอิงดัชนี VN30 เป็นตัวแทนของหุ้นชั้นนำ 30 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม นักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดเวียดนามจะเติบโต การซื้อ DR ตัวนี้ซึ่งเป็นตัวแทนของเวียดนาม และถือไว้ระยะยาว น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีและค่อนข้างสะดวกสบาย เพราะซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเสมือนหุ้นตัวหนึ่ง


การลงทุนเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด เพราะทุกอย่างไม่เคยเที่ยง ทุกสิ่งล้วนแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจทุกวันนี้ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะเทคโนโลยี สิ่งใหม่ทำลายล้างสิ่งเก่า แม้กระทั่งสิ่งใหม่ก็รอวันที่จะถูกแทนที่ด้วยสิ่งที่ใหม่กว่า การซื้อหุ้นสักตัวและถือยาวนานเป็น 10 ปี ดูจะเป็นสิ่งที่ไม่เข้ากับยุคสมัย เรามาดูกันว่าปี 2561 นักลงทุนได้เผชิญกับอะไร และเราสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้าง

เมื่อ disruptive เริ่มถึงจุด critical mass
กระแส disruptive technology ที่ถูกพูดถึงบ่อยๆ ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เริ่มเดินทางมาถึงจุดที่แสดงผลลัพธ์ของมันบ้างแล้ว แน่นอนว่า มันได้สร้างสิ่งใหม่ๆ และทดแทนสิ่งเก่าที่ล้าสมัย ดังนั้นย่อมมีทั้งคนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ในช่วงปี 2561 กระแสการปิดตัวของสื่อบางประเภทเกิดขึ้นในอัตราเร่ง โดยเฉพาะสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ และแน่นอนว่ามันจะไม่หยุดแค่นี้เพียงแค่กลุ่มสื่อ แต่มันจะขยายออกไป เราจะเริ่มรับรู้ผลกระทบของมันอย่างต่อเนื่อง ในฐานะนักลงทุนเราจะรับมืออย่างไร หากมองในแง่บวก นักลงทุนยังมีข้อได้เปรียบอยู่มาก เราสามารถซื้อหรือขายหุ้นได้ตลอดเวลา เรามีความยืดหยุ่น หากบริษัทมีแนวโน้มที่จะได้รับผลบวก เราซื้อ บริษัทใดที่รับผลกระทบ เราขาย ไม่เหมือนกับเจ้าของบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่ ที่มีข้อจำกัดในการซื้อและขายมากกว่า เราจะมีข้อได้เปรียบจากกระบวนการ disruptive อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อ เราต้องอย่ายึดติดกับสิ่งเดิมๆ โลกที่คุ้นเคย ทุกวันนี้โลกหมุนเร็วกว่าที่เคยเป็นเพราะมีการปฏิวัติทางไอที การที่นักลงทุนจะถือหุ้นตัวหนึ่งอย่างยาวนาน อาจไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำอีกต่อไป ในเมื่อธุรกิจที่ทำอยู่ อาจถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีใหม่อยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องตัดสินใจคือแนวโน้มบางอย่าง ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วข้ามวัน แต่กระบวนการเปลี่ยนผ่าน อาจกินเวลาหลายปี หรือเป็นสิบปี การรีบขายหุ้นเร็วไป อาจไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ ในเมื่อเรายังสามารถเก็บเกี่ยวผลกำไร ปันผล ได้อีกนาน กว่าที่มันจะตาย

ข่าวที่ค่อนข้างช็อคสำหรับนักลงทุนส่งท้ายปีคือข่าวการปิดตัวของบริษัทแฟมมิลี่ โนฮาว เจ้าของ Money Channel และนิตยสาร มันนี่ แอนด์ เวลท์ ที่น่าแปลกใจเพราะนี่คือสื่อทีวีแทบจะช่องเดียวเกี่ยวกับหุ้น และมีหน่วยงานรัฐเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง อ่านจากเหตุผลอธิบายการปิดตัวของบริษัท นอกเหนือจากโดน disrupt จากช่องทางอื่นแล้ว คงเป็นเพราะตลท.ต้องควักเนื้อทุกปี เพื่อให้บริษัทอยู่ได้ การฝืนทำเช่นนี้ทุกปี คงไม่สามารถทำได้ในระยะยาว ผลกระทบทันทีนอกจากนักลงทุนขาดสื่อหลักแล้ว คือพนักงานนับร้อยคน ที่ตกงานแบบไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัว แน่นอนว่านี่คงไม่ใช่กลุ่มสุดท้าย โลกธุรกิจที่หมุนเร็วเช่นทุกวันนี้ บริษัทที่ถูกทำลายจะโผล่ออกมาเรื่อย ๆ คนที่ทำงานประจำควรเอาเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ ความไม่สอดคล้องกันของรายรับและรายจ่าย รายจ่ายนั้นค่อนข้างตายตัวแน่นอน มากหรือน้อย แต่รายได้กลับแน่นอนน้อยกว่ามาก วันดีคืนร้ายหากตกงาน และไม่มีรายได้ทางอื่น รายได้หายไปทั้งหมด แต่รายจ่ายที่ผูกผันไว้กลับเท่าเดิม ปัญหาย่อมเกิด ดังนั้นชีวิตควรมีการเผื่อเหลือเผื่อขาด มีเงินเก็บบ้างไว้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย หนุ่มสาวยุคนี้หลายคนใช้เงินราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้ ได้มาเท่าไหร่ ต้องรับใช้ให้หมด โดยเฉพาะรายจ่ายท่องเที่ยว เที่ยวเท่าไหร่ ไม่เคยอิ่ม ไม่เคยพอ กว่าเราจะรู้ว่าเงินนั้นสำคัญ ก็ต่อเมื่อถึงวันที่เราไม่มีมัน

5 อันดับแรกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดปีนี้
ล้วนเป็นหุ้นน่าสงสัยว่าถูกปั่นราคา นี่ย่อมฉายภาพของตลาดหุ้นไทย สะท้อนการบังคับใช้กฎหมายของ ตลท.และ กลต. ตลาดทุนซึ่งควรที่จะให้รางวัลกับบริษัทที่ดี แต่สิ่งที่ปรากฏ กลับตรงกันข้าม กระเบื่องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยกลับถอยจม หากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดต่อเนื่องกันหลายๆ ปี ตลาดหุ้นจะไม่สามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งระดมที่มีประสิทธิภาพได้ เพราะนักลงทุนจะแห่ไปเล่นหุ้นปั่น แทนที่จะซื้อหุ้นพื้นฐานดี แม้ระยะหลังโดยเฉพาะยุคสมัยคุณ รพี สุจริตกุล ดำรงตำแหน่งเลขา กลต.มีการกล่าวโทษ นักปั่นหุ้นมากที่สุด เท่าที่ผมจำความได้ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นการดำเนินการหลังจากกระบวนปั่นเสร็จสิ้นไปแล้ว ความเสียหายกับนักลงทุนได้เกิดไปแล้ว การกล่าวโทษเหล่านี้ล้วนไม่ทันการณ์ เสมือนวัวหายแล้วล้อมคอก กระบวนการลงโทษส่วนใหญ่เป็นกระบวนการทางแพ่ง ที่ได้เงินคืนภาครัฐ แต่นักลงทุนที่เสียหายจากหุ้นเหล่านี้ ไม่เคยได้รับการเยียวยาเลย นอกจากคำปลอบประโลมสวยหรูที่ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” และเท่าที่ผมจำความได้ไม่เคยมีนักปั่นหุ้นต้องโทษจำคุก ส่วนใหญ่จะยอมรับโทษทางแพ่ง ยอมเสียค่าปรับ มีส่วนน้อยที่ไม่ยอมชำระ ซึ่งกลต.จะส่งเรื่องให้อัยการสั่งฟ้อง แต่ความจริงที่น่าแปลกใจคือประเทศตรูไม่เคยมีนักปั่นหุ้นถูกจำคุก น่าสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ กลต.ได้ส่งเรื่องถึงอัยการหลายครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าอัยการได้ส่งฟ้องศาลหรือไม่ หรือมีเหตุอันใดเกิดขึ้น ทำให้เรื่องที่กลต.ส่งไป จบที่อัยการ เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายควรตรวจสอบ มีอะไรเกิดขึ้นกับทั้งสองหน่วยงานหรือเปล่า หวังว่า ท่าน รื่นวดี สุวรรณมงคล ว่าที่เลขา กลต.คนใหม่ จะมีความกล้าหาญทางจริยธรรม ปฎิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อทำให้ตลาดหุ้นเป็นแหล่งระดุมทุนอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ใช่แหล่งต้มตุ๋น เช่นที่ผ่านมา นักลงทุนขอเป็นกำลังใจให้กับท่าน

ปี 2561 กลต.ได้กล่าวโทษการปั่นหุ้นและเรียกร้องให้ชำระค่าปรับ น่าจะสูงสุดในประวัติศาสตร์ โดยมีกรณีใหญ่ๆคือต้นปีมีการกล่าวโทษ 25 นักปั่นพร้อมให้ชำระค่าปรับ 890 ล้าน กับการปั่นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสื่อ 6 ตัว และในปลายปีได้กล่าวโทษ 40 คนที่สมคบคิดปั่นหุ้น AJD พร้อมให้ชำระค่าปรับจำนวนมหาศาล 1727 ล้านบาท นักลงทุนต้องจับตาว่าทั้ง 2 กรณีจะมีจุดจบเช่นเดิมหรือไม่ :idea: ส่วนนักลงทุนรายย่อยพึงสังเกต หุ้นที่เคลื่อนไหวผิดปกติทุกตัว ล้วนมีอาชญากรรม (อยู่เบื้องหลัง)

ฟองสบู่ทยอยแตก
สิ่งที่แน่นอนที่สุดของฟองสบู่คือมันจะต้องแตกสักวัน ไม่ช้าก็เร็ว สถานการณ์ในปี 2561 ที่ตลาดตกต่ำ ได้เปิดเผยสิ่งที่ถูกปกปิดเอาไว้ในยามตลาดดีๆ เหมือนน้ำที่ลด ย่อมทำให้ตอเริ่มผุด ภาวะฟองสบู่ที่เกิดขึ้นและเริ่มแตกในปีที่ผ่านมาได้แก่

ฟองสบู่หุ้นไอพีโอ ภาวะที่รุ่งเรืองติดต่อมาหลายปีของหุ้นไอพีโอ เดินทางมาถึงจุดที่ไปต่อไม่ได้ ภาพที่บริษัทต่างๆ แห่แหนเข้าตลาดหุ้น หรือมีแผนเข้าตลาดหุ้น หุ้นไอพีโอเป็นของมีค่า เป็นที่ต้องการของรายย่อยแทบทุกคน โบรคเกอร์ใช้หุ้นไอพีโอดึงดูดลูกค้า ราคาขายของหุ้นไอพีโอทุกตัวสูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นที่มีอยู่ในตลาด เมื่อเปิดซื้อขายวันแรก ราคาหุ้นยังสามารถสูงขึ้นไปอีก จากราคาที่แพงอยู่แล้ว กลายเป็นหุ้นที่ราคาแพงมาก ภาวะเช่นนี้เกิดขึ้น 2-3 ปี ติดต่อกัน แต่ในที่สุดตลาดก็เริ่มกลับมามีเหตุผล ในเมื่อมีหุ้นดีๆ ราคาถูกกว่ามาก อยู่ ในตลาดอยู่แล้ว ทำไมต้องไปซื้อหุ้นเข้าใหม่ ที่ราคาแพงแบบไร้เหตุผล นี่ทำให้หุ้นไอพีโอส่วนใหญ่เริ่มมีราคาลดลง หลายตัวราคาลดลงจนต่ำกว่าราคาไอพีโอ แต่จุดจบที่แท้จริงคือในช่วงหลัง หุ้นไอพีโอแทบทุกตัวเปิดซื้อขายที่ราคาต่ำกว่าราคาไอพีโอ เมื่อถึงจุดนี้ ใครจะกล้าซื้อหุ้นไอพีโออีกล่ะ ? คนที่สมควรรับผิดชอบต่อฟองสบู่ไอพีโอที่แตก ควรเป็นทุกฝ่าย เจ้าของเดิมที่อยากขายแพงๆ ได้เงินเข้าบริษัทที่สุด ที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้รับประกันการจัดจำหน่าย ที่อยากได้ค่าธรรมเนียม อยากได้หุ้นไอพีโอมาจูงใจลูกค้า คนจองหุ้นไอพีโอที่ผลักดันด้วยความโลภอยากได้กำไรง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนลงแรงศึกษา ขอแค่เป็นหุ้นไอพีโอ แต่หากจะให้ชี้ชัดลงไป ผมเชื่อว่าราคาขายหุ้นไอพีโอที่แพงเกินไป เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มีจุดจบเช่นนี้

ฟองสบู่หุ้นโรงไฟฟ้า หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่เป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขอให้เป็นหุ้นโรงไฟฟ้า นักลงทุนยินดีไล่ราคาจนสูงลิบลิ่ว แต่เมื่อถึงปี 2560 ต่อเนื่องถึงปี 2561 หุ้นไฟฟ้าเริ่มเดินทางใครทางมัน คู่ควรกับพื้นฐานที่ควรจะเป็นของแต่ละตัว หุ้นโรงไฟฟ้าที่ราคาแพงอย่างไร้เหตุผล คุณภาพไม่ดี สุดท้ายตลาดก็เริ่มฉลาดและให้ราคาลดลง ในขณะที่โรงไฟฟ้าที่พื้นฐานดี มีโอกาสเติบโต ราคายังไม่แพง สามารถยืนหรือราคาขึ้นไปได้อีก นี่เป็นบทเรียนว่าทุกกระแสการแห่ตามในตลาดหุ้น ล้วนมีจุดจบไม่สวย คุณจะหาซื้อหุ้นที่มีคุณสมบัติอยู่ในกระแส และราคาถูก พร้อมกันไม่ได้ เพราะถ้ามันอยู่ในกระแส ราคามันต้องแพงสะท้อนกระแสนั้นไปแล้ว

ฟองสบู่หุ้นเติบโต ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในตลาดหุ้นไทย น่าจะเป็นหุ้นเติบโต หุ้นเหล่านี้ถูกซื้อขายกันที่ราคา ระดับ P/E สูงลิ่ว สะท้อนความคาดหวังว่าจะมีการเติบโตของผลกำไรสูง หุ้นเหล่านี้มักเป็นหุ้นค้าปลีก มีสตอรี่การขยายตัวไปต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งมีประชากรกำลังซื้อสูง นักลงทุนคาดว่า หากหุ้นเหล่านี้ประสบความสำเร็จในประเทศจีน อาจจะทำให้หุ้นขึ้นไปได้หลายเท่า ซึ่งฟังดูก็มีเหตุมีผลจริง นักลงทุนที่เข้าไปซื้อหุ้นกลุ่มนี้ไว้ก่อนเนิ่นๆ ได้กำไรอย่างงามเป็นกอบเป็นกำ หลายเท่าตัว แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มไม่เป็นไปตามคาด การเติบโตน้อยกว่าความคาดหวังมาก ตลาดจีนที่หวังเอาไว้ ทำไม่ได้ตามคาด ตลาดในประเทศก็ตกต่ำ หุ้นบางตัวกำไรนอกจากไม่โต ยังลดลงด้วย และนี่เองทำให้ฟองสบู่เริ่มแตก เริ่มจากหุ้นที่อ่อนแอที่สุด ลุกลามไปหุ้นไปแข็งแกร่งปานกลาง ราคาหุ้นหลายตัวลดลงมาก จนเป็นหายนะของคนถือ กำไรที่เคยทำได้หลายปี ถูกเอาคืนภายในเวลาไม่กี่เดือน แทบทุกตัวราคาลดลงมากกว่า 50 % ปัจจัยหลักที่ทำให้ฟองสบู่แตก ประเด็นแรกเกิดจากตัวบริษัทเองที่ทำการเติบโตของ EPS ได้ลดลง ส่งผลต่อเนื่องให้ระดับ P/E ที่นักลงทุนให้สะท้อนความคาดหวังลดลง รวมถึงสภาวะตลาดรวมที่ P/E ถูกปรับลดลงด้วย บทเรียนครั้งนี้พิสูจน์อีกครั้งว่า ความเชื่อที่ว่า หุ้นคุณภาพดี มีอัตราการเติบโตสูง สามารถซื้อที่ราคาเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ต้องดู P/E เป็นเรื่องไม่จริง ในความเป็นจริงการเติบโตอย่างถาวร ต่อเนื่องยาวนาน จนทำให้ P/E ลดลงมากๆ นั้น เกิดขึ้นน้อยมาก ส่วนใหญ่มักเป็นการเติบโตชั่วครั้งชั่วคราว ที่นักลงทุนหลงคิดไปเองว่าจะยั่งยืน หุ้นที่พื้นฐานไม่ดี กับราคาที่แพง สุดท้ายก็เหมือนปราสาททราย ที่ทะลายเพียงแค่คลื่นซัดมา สิ่งที่ดูเหมือนนักลงทุนหุ้นเติบโตละเลยไปคือ margin of safety.. in MOS we trust.

ปัจจุบันยังมีฟองสบู่หลงเหลืออยู่ในหุ้นกลุ่มใดบ้าง คำตอบน่าจะเป็นกลุ่มโรงพยาบาล หุ้นในกลุ่มนี้แทบทุกตัวซื้อขายกันที่ระดับ P/E ค่อนข้างสูง โดยมีเหตุผลสนับสนุนจากแนวโน้มสังคมที่จะมีคนแก่มากขึ้น และต้องการการรักษาพยาบาล แน่นอนว่านี่เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นจริง แต่จะยาวนานแค่ไหน ไม่มีใครรู้

วิกฤติศรัทธาหุ้นขนาดกลางเล็ก
ผมมีความเชื่อมาตลอดว่า หุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาว เพราะจากตัวเลขและสถิติทำให้เชื่อเช่นนั้น ตลอด 19 ปีที่ลงทุน ผมลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้เป็นส่วนใหญ่ และได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าปกติจริง แต่ปี 2561 นี้เอง ผมได้เห็นอีกด้านของหุ้นกลางและเล็ก นั่นคือความเสี่ยงที่มากับธรรมชาติของมัน หุ้นเหล่านี้มีภูมิต้านทานต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ด้อยกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เมื่อไหร่ที่เศรษกิจไม่ดี หุ้นเหล่านี้จะถูกกระทบเป็นอันดับแรก และนั่นคือสิ่งที่ผมพบเจอในปีที่ผ่านมา นั่นยังไม่พอ เมื่อกำไรบริษัทถูกกระทบ ภาพภาวะเศรษกิจที่ไม่แน่นอน นักลงทุนก็เริ่มปรับลด P/E ของตลาดรวม เป็นอีกดาบที่ทำให้ราคาหุ้นกลางและเล็กลดลงอย่างรวดเร็ว และตามด้วยดาบต่อมา หุ้นกลางและเล็กมักถือโดยนักลงทุนรายย่อย ซึ่งอ่อนไหวต่อข่าวสารที่เข้ามากระทบมากกว่านักลงทุนสถาบัน และในปีที่ผ่านมา เกือบทั้งหมดเป็นข่าวร้าย ทำให้มีแรงขายหุ้นกลุ่มนี้ออกมามาก และดาบสุดท้าย ด้วยธรรมชาติของหุ้นกลางและเล็ก มักมีสภาพคล่องการซื้อขายน้อยกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เมื่อมีแรงขายมากกว่าปกติ แต่ไม่มีแรงซื้อ ราคาสามารถลดลงได้อย่างมาก จากแรงขายเพียงน้อยนิด ตลอดทั้งปี เราจะเห็นว่าบางวันราคาของหุ้นกลางและเล็กบางตัวลดลงกว่าตลาดมาก ทั้งที่ดัชนีลดลงนิดเดียว นั่นเพราะมีแรงขายแต่ไม่มีแรงรับ แรงขายเพียงไม่กี่แสนบาท ทำให้ราคาลดลงได้มากกว่า 5 % บางครั้งมีนักลงทุนรายใหญ่หน่อยปรับพอร์ต ขายหุ้นออกมา หุ้นตัวนั้นปรับตัวลดลงเหมือนหลอมละลาย แต่ทั้งหมด ไม่ได้ทำให้ผมเลิกความเชื่อว่าที่ว่าหุ้นกลางและเล็กให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว เพียงแต่ทำให้ผมเห็นความเสี่ยงอีกด้าน ที่ถูกปกปิดตลอดมา และเผยให้เห็นในปีที่ผ่านมา ผมยังคงเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ ด้วยความรอบคอบและระวังมากขึ้น มีกลยุทธ์ที่ดีกว่านี้ และสุดท้ายคือเข้าใจธรรมชาติของมัน วันนี้อาจไม่ใช่วันของผม แต่ผมรู้ว่ามันต้องมี

สงครามการค้า
ประเด็นที่นักลงทุนวิตก และรบกวนจิตใจตลาดปี 2561 คือสงครามการค้า ทีเปิดฉากโดยประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา กับประเทศจีน ซึ่งนี่เป็นจุดขายที่ทรัมป์ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง จนได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี นักลงทุนอาจจะโทษทรัมป์ว่าเป็นสาเหตุหลักที่ป่วนตลาดหุ้นทั้งโลกในปีที่ผ่านมา ผมเองไม่แน่ใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ แต่คิดว่ามีส่วนอยู่บ้าง เพราะก็มีปัจจัยอื่นที่ประจวบเหมาะเข้ามากระทบพร้อมๆ กันด้วย เช่นการยกเลิกมาตรการอันฉีดการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกหรือ QE กระแสการเพิ่มของดอกเบี้ย ซึ่งเกิดพร้อมกันทั้งโลก หลังจากธุรกิจเอนจอยเงินต้นทุนถูกมาหลายปี แต่ผมเชื่อว่าสงครามการค้า เป็นสิ่งที่ไม่มีใครชนะ ดังนั้นผมไม่เชื่อว่าทรัมป์จะดื้อดึงเอาสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยไม่สนอะไรทิ้งสิ้น ที่เป็นไปได้มากคือยื่นข้อเสนอขอ(จีนหรือคู่ค้า)ให้มากที่สุด ต่อรองกันไปมาก สุดท้ายได้มากหรือน้อย ย่อมดีกว่าไม่ได้ เมื่อต่อรองได้ตามที่ต้องการ ปัญหาจะจบอย่างเร็ว เหมือนกรณีปัญหานิวเคลียกับเกาหลีเหนือ ที่ตอนต้นปีข่มขู่กันไปมาจนโลกตระหนก ก่อนจะมาจับมือโอบกอดกัน ไม่กี่เดือนให้หลัง แบบงงๆ กันทั้งโลก


บทบาทของกองทุนรวมต่อตลาดหุ้น
ในปัจจุบันต้องยอมรับว่ากลุ่มนักลงทุนที่มีบทบาทชี้นำมากที่สุดในตลาดหุ้นคือกองทุนรวม จากในอดีตที่เป็นนักลงทุนต่างชาติ ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยแม้มีสัดส่วนเยอะที่สุด แต่กลับไม่มีพลังเพราะต่างคนต่างซื้อต่างขาย ปัจจุบันกองทุนรวมหุ้นมีมูลค่ารวมประมาณ 1.5 ล้านล้าน จากมูลค่าอุตสาหกรรมกองทุนรวมทั้งหมด 4.9 ล้านล้าน ปีที่ผ่านมาถือว่ากองทุนเป็นพระเอกที่ช่วยรับแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ ร่วมกับนักลงทุนรายย่อย แต่หลายครั้งการซื้อและขายหุ้นบางตัวของกองทุน ถูกตั้งคำถามว่าเหมาะสมหรือไม่ แม้แต่ภาครัฐ (เลขา กลต.คุณรพี สุจริตกุล) ตั้งคำถามหลายเป็นประเด็นที่ชวนคิด อาทิ..

* กองทุนรวมเป็นผู้ไล่ราคาซื้อและขายเสียเอง ความหมายคือกองทุนเป็นจ้าวมือหุ้นเสียเอง ดูได้จากผลตอบแทนหุ้นที่กองทุนถือ สูงกว่าผลตอบแทนกองทุนมาก นั่นแสดงว่าที่ราคาหุ้นขึ้นเพราะกองทุนไล่ซื้อ และราคาหุ้นลงเพราะกองทุนไล่ขาย สะท้อนว่ากองทุนอาจเป็นผู้เข้าซื้อหรือขายจนเป็นการไล่ราคา แต่ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่

* กองทุนรวมสร้างผลตอบแทนไม่คุ้มค่าธรรมเนียม โดยเฉพาะกองที่มีนโยบาย active เก็บค่าธรรมเนียมบริหารรายปีสูง แต่ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยได้คุ้มค่า เทียบกับกองทุนที่บริหารแบบ passive เก็บค่าธรรมเนียมต่ำกว่า แต่กลับสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าหรือเท่ากัน

ความจริงอีกประการ ที่ผู้จัดการกองทุนอาจไม่ต้องการให้คนส่วนใหญ่รู้คือ ในอดีตกองทุนมักใช้ตัวเทียบวัด (Benchmark) เป็นดัชนี SET แต่นับแต่ปี 2560 กลต.ได้บังคับให้ใช้ SET TRI เป็นตัวเทียบวัด ซึ่งดัชนีสองตัวนี้ต่างกันเท่ากับเงินปันผลหรือปีละประมาณ 3 % นี่เป็นสาเหตุที่ในอดีตกองทุนมักอ้างว่าชนะดัชนีเพราะใช้ตัวเทียบวัดที่ไม่ถูกต้อง แต่ กลต.ก็ไม่ได้บังคับให้แก้ไขตัวเลขย้อนหลัง ดังนั้นหากใครที่ดูผลตอบแทนกองทุนรวมย้อนหลัง ต้องระวังในจุดนี้ด้วย ที่พูดมาไม่ได้หมายความว่าผมมีอคติกับกองทุนรวม แต่ตรงข้าม ผมสนับสนุนกองทุนรวม เพราะนี่คือแหล่งออมเงินเพื่อการเกษียณที่ดีที่สุดในระยะยาว สำหรับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป ที่ไม่ได้มีความรู้ที่จะลงทุนเองในหุ้น

ในปี 2562 จะเป็นปีสุดท้ายที่จะมีกองทุนประหยัดภาษี LTF เพราะภาครัฐต้องสูญเสียรายได้จากการยกเว้นภาษีปีละเกือบๆ 1 หมื่นล้านบาท และคนที่ได้รับประโยชน์จากกองทุน LTF คือคนที่ฐานภาษีสูงหรือกลายเป็นกลุ่มคนมีรายได้สูงได้ประโยชน์ที่สุด ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ดังนั้นทางเลือกทดแทนที่ดูจะเหมาะสมกว่าในปัจจุบันคือการซื้อกองทุน RMF ซึ่งคล้ายคลึงกัน แต่มีเงื่อนไขที่เข้มงวดกว่า ยกเว้นแต่ภาครัฐจะออกเป็นกองทุนประหยัดภาษีแบบใหม่ เพื่อป้องกันการเทขายของเงินทุน LTF เดิมที่ครบอายุ เงินเหล่านี้อาจจะออกจากตลาดไปเลย หากไม่มีกองทุนมาทดแทน


ภาวะตลาดในปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าได้สั่นคลอนความเชื่อของนักลงทุนหลายคน ความฝันที่จะลงทุนแบบวีไอและมีอิสรภาพทางการเงินดูเลือนลางออกไป บางคนขาดทุนหนักจนมองแทบไม่เห็นแสงสว่าง แต่นี่ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้น วันที่เราอ่อนแอที่สุด อาจจะเป็นวันที่เราแข็งแกร่งที่สุด เมื่อเราผ่านมันไปได้ นี่ไม่ใช่ปีแรกที่ผมขาดทุน และคงไม่ใช่ปีสุดท้าย ทุกคนย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า ไม่มีใครจะกำไรทุกปี หรือชนะตลาดทุกปี หากใครทำได้นั่นย่อมเป็นคนแรกของโลก การเดินทางไกล ย่อมมีเหนื่อย มีพักบ้าง เป็นเรื่องแสนธรรมดา ไม่มีใครที่จะวิ่งได้ตลอดเวลา เวลาท้อแท้ หลายคนอาจจะถอดใจ จะเลิกจะถอยอย่างไร แต่คนสำเร็จย่อมไม่คิดอย่างนั้น ความล้มเหลวไม่ได้แย่เสียทีเดียว อย่างน้อยมันให้บทเรียน ทำให้เราตัวเล็กลง ไม่หยิ่งผยอง ทำให้ต้องรู้จักปรับตัว ยืดหยุ่น เพราะโลกเปลี่ยนไปทุกวัน เราขาดทุนปีที่ผ่านมา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะขาดทุนตลอดไป เราย่อมรู้ดีว่า ไม่ว่าตลาดหมีหรือตลาดกระทิง ยิ่งมันดำเนินไปเท่าไหร่ มันจะทำลายตัวมันเองมากขึ้นเท่านั้น สปริงค์ที่ยิ่งกด มันกลับยิ่งสร้างแรงดีดกลับ ..

ฝากบทกวีของเพลง “สู่เส้นชัย” มาฝากทุกท่าน

“ ทางข้างหน้าลางเลือนเหมือนว่างเปล่า
แดดจะเผาผิวผ่องเธอหมองไหม้
ที่ตรงโน้นมีหุบเหวมีเปลวไฟ
ถ้าอ่อนแอจะก้าวไปอย่างไรกัน
อนาคตนั้นช่างคดเคี้ยว
มันลดเลี้ยวเลี้ยวไปใช่สุขสันต์
ยากลำบากใช่เพียงแค่ชั่ววัน
แต่จะต้องฝ่าฟันจนวันตาย
บนหนทางแม้มีสิ่งใดขวาง
ไม่อาจกางกั้นฉันและเธอได้
หนทางนี้สัญญาอย่างมั่นใจ
ด้วยพลังยิ่งใหญ่ในศรัทธา
จะขอฝ่าฟันข้ามความทุกข์ยาก
จะลำบากเราสู้ดูเถิดหนา
จะร่วมแรงร่วมกันด้วยศรัทธา
ทางข้างหน้าสู่ชัยที่หมายปอง”




กับอีกบทกวีคลาสสิคของ Rudyard Kipling ที่วอเรนต์ บัฟเฟตต์ นำบางส่วนมาเขียนในจดหมายถึงผู้ถือหุ้น ปี 2017


if you can keep your head when all about you are losing theirs ...
If you can wait and not be tired by waiting ...
If you can think – and not make thoughts your aim ...
If you can trust yourself when all men doubt you ...
Yours is the Earth and everything that's in it.





ท่านจะทำดังเช่นนี้ได้หรือไม่
เวลาจะเป็นผู้ให้คำตอบ..




สวัสดีปีใหม่ ขอให้ MOS คุ้มครองทุกท่าน
(กระทู้นี้อ่านได้แต่ตอบไม่ได้)