VI บ้าน ๆ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
Nutth147
Verified User
โพสต์: 241
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1111

โพสต์

พี่ ddoo7 ผมเองได้อ่านหนังสือ ชื่อ Chasing Daylight ไล่ล่าแสงตะวัน ผู้เขียน คือ คุณ Eugene O' Kelly CEO ของ KPMG (BIG4)
เป็นบันทึกในช่วงสุดท้ายของชีวิตหลังจากที่ท่านพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
แม้ว่าท่านเองยังคงเป็นคริสเตียนจนวาระสุดท้ายของชีวิต แต่เหมือนว่าการเจริญสมาธิช่วยท่านได้

มีทั้งบทเกี่ยวกับการเจริญสมาธิ หรือตอนที่ท่านกำลังจะจากโลกไป ก็ยังใช้ท่านั่ง
(อธิบายว่าเป็นวิธีเดียวกับพระลามะ ซึ่งคิดว่าตอนกำลังจะจากไปเราควรอยู่ในท่านั่ง)

หากสนใจ หนังสือไม่หนาเลยครับ อ่านสองวันก็จบ
ความจนนั้นเกิดได้จากสองสาเหตุ คือ จนเพราะไม่มี กับ จนเพราะไม่พอ
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
ddoo7
Verified User
โพสต์: 292
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1112

โพสต์

Nutth147 เขียน:พี่ ddoo7 ผมเองได้อ่านหนังสือ ชื่อ Chasing Daylight ไล่ล่าแสงตะวัน ผู้เขียน คือ คุณ Eugene O' Kelly CEO ของ KPMG (BIG4)
เป็นบันทึกในช่วงสุดท้ายของชีวิตหลังจากที่ท่านพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
แม้ว่าท่านเองยังคงเป็นคริสเตียนจนวาระสุดท้ายของชีวิต แต่เหมือนว่าการเจริญสมาธิช่วยท่านได้

มีทั้งบทเกี่ยวกับการเจริญสมาธิ หรือตอนที่ท่านกำลังจะจากโลกไป ก็ยังใช้ท่านั่ง
(อธิบายว่าเป็นวิธีเดียวกับพระลามะ ซึ่งคิดว่าตอนกำลังจะจากไปเราควรอยู่ในท่านั่ง)

หากสนใจ หนังสือไม่หนาเลยครับ อ่านสองวันก็จบ
ขอบคุณครับ
มีโอกาสจะหามาอ่าน ศึกษาดูครับ :mrgreen:
ความเจ็บป่วย ความตาย เป็นสิ่งอยู่คู่กับชิวิต
ต้องทำใจยอมรับให้ได้ ถึงจะทำได้ยาก เพราะเคยชิน เกิดพันธะ
ประโยชน์อย่างนึงของสมาธิ ก็คือ หมดลมพบทางดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
kotaro
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1495
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1113

โพสต์

Nutth147 เขียน:พี่ ddoo7 ผมเองได้อ่านหนังสือ ชื่อ Chasing Daylight ไล่ล่าแสงตะวัน ผู้เขียน คือ คุณ Eugene O' Kelly CEO ของ KPMG (BIG4)
เป็นบันทึกในช่วงสุดท้ายของชีวิตหลังจากที่ท่านพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
แม้ว่าท่านเองยังคงเป็นคริสเตียนจนวาระสุดท้ายของชีวิต แต่เหมือนว่าการเจริญสมาธิช่วยท่านได้

มีทั้งบทเกี่ยวกับการเจริญสมาธิ หรือตอนที่ท่านกำลังจะจากโลกไป ก็ยังใช้ท่านั่ง
(อธิบายว่าเป็นวิธีเดียวกับพระลามะ ซึ่งคิดว่าตอนกำลังจะจากไปเราควรอยู่ในท่านั่ง)

หากสนใจ หนังสือไม่หนาเลยครับ อ่านสองวันก็จบ
หนังสือเล่มนี้ เป็นหนึ่งในเล่มโปรดของผมเลย อ่านแบบวางไม่ลง แนะนำให้อ่านครับ
แต่ไม่รู้ว่ามีแปลไทยด้วย ผมซื้อมาอ่านเพราะ อยู่ใน list ของหนังสือ 100 เล่มที่ควรอ่าน

ถ้าชอบแนวนี้ มีอีกเล่มคือ the last lecture ครับ

ปล.อ่าน 2 เล่มจบแล้ว เลยคิดว่า ถ้าผมสามารถเลือกความตายได้ มะเร็งอยู่ใน ลิสต์อันดับต้นๆเลย ดีกว่าพวกที่ไปปุ๊บปั๊บ
เช่น อุบัติเหตุ หรือหัวใจวาย หรือ เส้นเลือดแตก etc . เพราะเราสามารถวางแผนการตายได้ เหมือนในผู้เขียน 2 เล่มนี้ครับ :D
“Laughter is timeless. Imagination has no age. And dreams are forever.” ― Walt Disney Company
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1114

โพสต์

ขอบพระคุณทั้ง 2 ท่านครับ

คงต้องไปหามาอ่านบ้างละครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
Nutth147
Verified User
โพสต์: 241
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1115

โพสต์

วันนี้ได้ดูคลิปการสอนการเงินของคุณ เอ (a-academy) แล้วคุณเอได้เกล่าขอบคุณ อ ไพบูรณ์ ที่มอบเงินจำนวนหนึ่ง
เป็นเงินต้นของ pay it forward

...... ผมเองได้ประโยชน์จากความรู้อันนี้มากๆจึงอยากขอบคุณ อาจารย์ด้วยอีกคนหนึ่ง
และหนึ่งในสิ่งที่พอจะทำได้ คือ การแชร์คลิปเพื่อนให้คนอื่นที่สนใจได้ลองศึกษาดูครับ
(ในห้องเราอาจจะถือว่าเป็นเรื่องรู้อยู่แล้ว แต่อาจเหมาะกับลูกๆหลานๆของพี่ๆบางคนครับ)

ความจนนั้นเกิดได้จากสองสาเหตุ คือ จนเพราะไม่มี กับ จนเพราะไม่พอ
ความรวยก็ประกอบด้วยองค์สอง คือ รวยเพราะมีมาก และ รวยเพราะพอเพียง
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1116

โพสต์

ddoo7 เขียน: ขอเชิญชวนเคุณนุช และเพื่อนๆ มาศึกษา ปฎิบัติสมาธิกัน
โดยเฉพาะนักลงทุนอย่างพวกเราต้องใช้พลังสมอง จิตใจเยอะ
ยิ่งจำเป็นต้องฝึกสมาธิ และปล่อยวางให้มากๆ

เด่วนี้ การฝึก ทำสมาธิไม่ต้องเรียน ทำในวัดแล้วนะครับ
เรียน ฝึกนอกวัดก็มี เป็นแล้วก็ปฎิบัติที่บ้าน ศูนย์ สถานที่ที่ถูกจริตเรา :D
เห็นด้วยค่ะพี่...ปกตินุชทำสมาธิเสมอ
ตอนทำงานต่างๆ ค่ะ...มุ่งมั่นอยู่กับสิ่งที่เราทำ
ไม่ได้คิดอะไรอื่นๆ...ก็เข้าข่ายการทำสมาธิอย่างหนึ่งค่ะ

และเห็นด้วยอีกเช่นกันว่านักลงทุนนั้นต้องฝึกจิตให้เข้มแข็ง
ที่ผ่านมาคิดว่า...ปัจจัยนี้มีผลให้การลงทุนของเราค่อนข้างได้ผลลัพท์ที่ดี
ออกแนว "ใจเย็นเป็นน้ำแข็ง" เลยหละ...พบว่าดีต่อการลงทุนมากเลยค่ะพี่ :D
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1117

โพสต์

kotaro เขียน:
Nutth147 เขียน:พี่ ddoo7 ผมเองได้อ่านหนังสือ ชื่อ Chasing Daylight ไล่ล่าแสงตะวัน ผู้เขียน คือ คุณ Eugene O' Kelly CEO ของ KPMG (BIG4)
เป็นบันทึกในช่วงสุดท้ายของชีวิตหลังจากที่ท่านพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
แม้ว่าท่านเองยังคงเป็นคริสเตียนจนวาระสุดท้ายของชีวิต แต่เหมือนว่าการเจริญสมาธิช่วยท่านได้

มีทั้งบทเกี่ยวกับการเจริญสมาธิ หรือตอนที่ท่านกำลังจะจากโลกไป ก็ยังใช้ท่านั่ง
(อธิบายว่าเป็นวิธีเดียวกับพระลามะ ซึ่งคิดว่าตอนกำลังจะจากไปเราควรอยู่ในท่านั่ง)

หากสนใจ หนังสือไม่หนาเลยครับ อ่านสองวันก็จบ
หนังสือเล่มนี้ เป็นหนึ่งในเล่มโปรดของผมเลย อ่านแบบวางไม่ลง แนะนำให้อ่านครับ
แต่ไม่รู้ว่ามีแปลไทยด้วย ผมซื้อมาอ่านเพราะ อยู่ใน list ของหนังสือ 100 เล่มที่ควรอ่าน

ถ้าชอบแนวนี้ มีอีกเล่มคือ the last lecture ครับ

ปล.อ่าน 2 เล่มจบแล้ว เลยคิดว่า ถ้าผมสามารถเลือกความตายได้ มะเร็งอยู่ใน ลิสต์อันดับต้นๆเลย ดีกว่าพวกที่ไปปุ๊บปั๊บ
เช่น อุบัติเหตุ หรือหัวใจวาย หรือ เส้นเลือดแตก etc . เพราะเราสามารถวางแผนการตายได้ เหมือนในผู้เขียน 2 เล่มนี้ครับ :D
Nevercry.boy เขียน:ขอบพระคุณทั้ง 2 ท่านครับ

คงต้องไปหามาอ่านบ้างละครับ
ขอ copy คุณ NB ด้วยคน...ขอบคุณทั้งสองท่านมากเลยค่ะ
จะไปหามาอ่านบ้างค่ะ :D

และขอบคุณน้องนัทด้วยสำหรับคลิปน้องเอ ศักดา ที่นำมาฝาก
น้องเอน่าชื่นชมมากๆ อย่างที่น้องนัทบอกจริงๆ ค่ะ
พี่เองก็ติดตามผลงานน้องเอเช่นกัน

และไม่สงสัยเลยว่าทำไม อาจารย์ ดร.ไพบูลย์
ท่านจึงได้กล่าวถึงและชื่นชมอยู่เสมอเลยค่ะ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1118

โพสต์

10955371_933675223386003_3794907908197485321_n.jpg
การทบทวนข้อความนี้บ่อยๆ ช่วยให้
ที่ผ่านมา บริหารเวลาได้ดี โฟกัสในสิ่งที่ควร
ตัดสิ่งที่พะรุงพะรัง ออกจากชีวิตได้มาก
.............

ตั้งแต่ตอนเรียน ตอนทำงาน จนถึงตอนนี้
แม้ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คน และสิ่งต่างๆ มากมาย
ก็ไม่เขวไปใส่ใจกับเรื่องที่มันไม่เกี่ยวกับเราจนเกินควร
บางครั้งต้องเกี่ยวเพราะความจำเป็นจริงๆ ก็แค่รับรู้
แต่พอก้าวพ้นจากสถานณการณ์นั้น...ก็เลิกสนใจเลย
.............

ว่าที่จริงเรื่องในชีวิตที่พบเจอ
น่าจะแบ่งได้เป็น 3 หมวดใหญ่ๆ

** 1) เรื่องของตัวเราเอง**
ซึ่งเรามักจะควบคุมเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้
.

2) เรื่องของเขา
**(2.1) ที่เกี่ยวกับเรา
(2.2) ที่ไม่เกี่ยวกับเรา
.
(พ่อ แม่ ลูก เพื่อน คนรอบข้าง อยู่หมวดนี้ทั้งหมด
ลูกเล็กๆ เราอาจต้องเกี่ยวกับเขามากหน่อย
แต่พอเริ่มโต...ก็มีเรื่องที่ ไม่เกี่ยวกับเรามากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกคนมี "ทาง" ของตัวเอง แม้แต่ลูกของเรา)
.

3) เรื่องของพวกเขา (กลุ่มคน สังคม)
**(3.1) ที่เกี่ยวกับเราและความสงบสุขโดยรวม
(ถ้าอยากให้ดีก็ต้องเริ่มเปลี่ยนที่ตัวเองก่อน เช่น
การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การสร้างสังคมที่สงบสุข)
(3.2) ที่ไม่เกี่ยวกับเรา
................

ตัดเรื่องที่ไม่มี * ทิ้ง เป็นลำดับต้นๆ
เรื่องที่มี * นั้นก็มาพิจารณาต่อว่า
เราเปลี่ยนแปลงมันได้หรือไม่?
ถ้าได้และมีประโยชน์ก็ค่อยทำ
ถ้าไม่ได้ หรือไม่มีประโยชน์ก็ตัดทิ้งอีกเช่นกัน

เบาสบาย...มีเวลาใส่ใจเรื่องที่ควรมากขึ้น
................

ใช้ได้ทั้งกับการเลือกหนังสือหนังหาอ่าน และทุกเรื่อง
พิจารณาว่าสิ่งเหล่านั้นสอดคล้องกับ "ภาพใหญ่ของชีวิต"
และ "เป้าหมาย" ที่เราตั้งไว้หรือไม่

.
เพราะเวลามีค่า มีจำกัด และไม่อาจย้อนคืน
(จึงมักจะเขียนบทความย้ำเรื่องคุณค่าของเวลาบ่อยๆ)
.
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1119

โพสต์

“ประหยัด” หรือ “ไม่ซื่อสัตย์” คิดดีๆ
(Theenuch_Team Money Talk 4)

..................

อ่านพบมากในโลก online กรณี “จองบ้าน”
“จองร้านเช่า” "จองของ online" ฯลฯ แล้วเปลี่ยนใจ
เพราะไปเจอที่ถูกใจกว่า...แต่ไม่อยากถูกยึดเงินจอง
มีคนช่วยตอบ/แนะนำวิธี "พูดไม่จริง" แบบฉลาดๆ เยอะเลย
อ่านแล้วเป็นห่วง กลัวคนทำตามๆ กันเยอะค่ะ...อยากบอกว่า
“ขายใบจอง” เถอะ...ถ้าขายต่อไม่ได้ต้องก็เคารพกติกา "ยอมเสียค่าจอง"
..................

ปกติผู้เขียน ชวนประหยัดอยู่เสมอ
แต่ “ประหยัด” กับ “ไม่ซื่อสัตย์” นั้น คนละเรื่องกัน
ประหยัดในส่วนของตัวเอง แต่ต้องไม่เอาเปรียบผู้อื่น
ถ้าบิดพริ้วเอง..แล้วพูดไม่จริงเพื่อขอคืนนั้นเข้าข่าย "ไม่ซื่อสัตย์" ค่ะ
....................

หากคิดดีๆ แบบ “เอาใจเขา...มาใส่ใจเรา”
จะพบว่า “ผู้จะขาย/ให้เช่า” ก็เสียโอกาสเช่นกัน
มีใครมาชอบใจและพร้อมซื้อของนั้นแค่ไหน ก็ขายไม่ได้
เพราะต้องรักษาสัญญาที่ทำไว้กับ “ผู้จะซื้อ/เช่า”
ต่างคน “ต่างได้ และ ต่างเสีย” บางอย่างค่ะ
หากผู้คนคิดแต่ได้ฝ่ายเดียว...ไม่ยอมเสียอะไรเลย
ไม่เคารพกฎกติกาพื้นฐาน...เกรงว่าสังคมจะอยู่ยาก
.................

ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัย เช่น ตกงานกะทันหัน กู้ไม่ผ่าน ฯลฯ
นั้นน่าเห็นใจ แนะนำให้ลองบอกเล่ากันซื่อๆ ค่ะ
อาจมีโอกาสได้คืนโดยเต็มใจ....ดังตัวอย่างนี้
.
มีครั้งหนึ่ง...มีคนมาเช่าคอนโดของผู้เขียน
นิติบุคคลเก็บค่าเช่าล่วงหน้าไว้ให้ตามกฎ
ผู้เช่าได้งานที่มหาวิทยาลัยใกล้ๆ...พ่อแม่มาช่วยลูกสาว
เลือกห้องที่ปลอดภัย ซื้อของและมาจัดห้องกันแต่เนิ่นๆ
แต่น่าสงสารที่ถูกเบียดจากคนมีเส้นสายเลยอดทำงาน
เขาไม่ขอค่าเช่าล่วงหน้าคืน ขอแค่ฝากของไว้ก่อน
หากมหาวิทยาลัยทางภาคอีสานตอบรับ (ใกล้ทราบผลแล้ว)
จะได้จ้างรถขนขึ้นอีสานเลย...ไม่ต้องขนกลับ กทม.ก่อน
.
ผู้เขียนตกลง...แต่ขอถือโอกาสไปทำความสะอาดครั้งใหญ่ๆ
เลยได้เห็นของที่น้องเขาฝากไว้ มีแต่ของง่ายๆ
ที่นอนบางๆ ตู้หนังสือและชุดโต๊ะทำงานราคาไม่แพง
ที่เขาเพิ่งซื้อตอนมาเช่าห้อง หม้อหุงข้าวเล็กๆ
ของใช้จิปาถะ และหนังสือจำนวนมาก
......................

แม้ไม่เคยเจอ...แต่จากน้ำเสียง และของใช้ที่เราเห็น
รู้สึกเอ็นดูและสงสาร....ภาวนาให้เขาได้งาน
วันที่มาขนของไปโคราช น้องโทรมาขอบคุณสียงเครือ
เมื่อรู้จากนิติบุคคลว่า “เจ้าของห้องไม่ยึดเงินใดๆ”
.
หลังจากนั้น...ยังได้ทราบว่า น้องได้หอที่ปลอดภัย
ใกล้ที่ทำงาน ก็สบายใจไปด้วย...น้องบอกว่า
“แม้ไม่รู้จะตอบแทนพี่อย่างไร แต่ตั้งใจไว้ว่า
วันข้างหน้าหนูจะให้โอกาสผู้อื่น แบบพี่ที่ให้โอกาสหนูค่ะ” ฟังแล้วชื่นใจ
....................

อยากบอกว่า....คนที่พร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่นยังมีอยู่มาก
แต่หากเจอการโกหก และไม่ซื่อสัตย์บ่อยเข้า
เขาเหล่านั้นอาจให้ความกรุณาแก่คนอื่นยากขึ้น
และคนที่เดือดร้อนจริงๆ ก็จะได้รับความกรุณายากขึ้น
อย่าให้สังคมเราต้องอยู่กันแบบนั้นเลยค่ะ
.....................

หมายเหตุ_สังเกตพบว่า...ถ้าเราใส่ใจรอบข้างมากพอ
เราจะพบสถานการณ์ที่ต้องเลือก
ระหว่าง Maximize หรือ Optimize บ่อยๆ
ผู้เขียนเลือกอย่างหลังเสมอ...แม้หลายครั้งอาจดูค่อยไม่ฉลาดก็ยินดีค่ะ
satit
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 274
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1120

โพสต์

คุณ theenuch ขอบคุณที่ทำให้ผมนึกถึงภาษิตนี้ที่เห็นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว

Reinhold Niebuhr Quotes

God grant me the serenity to accept the things I cannot change, the courage to change the things I can, and the wisdom to know the difference.

Reinhold Niebuhr

แต่ตลกตอนนั้นมีเขียนเพิ่มว่า and the wisdom to hide the bodies of those people i had to kill because they pissed me off
เพิ่งรู้ว่ามีมือดีต่อภาษิตเพิ่ม 555
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1121

โพสต์

satit เขียน:คุณ theenuch ขอบคุณที่ทำให้ผมนึกถึงภาษิตนี้ที่เห็นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว

Reinhold Niebuhr Quotes

God grant me the serenity to accept the things I cannot change, the courage to change the things I can, and the wisdom to know the difference.

Reinhold Niebuhr

แต่ตลกตอนนั้นมีเขียนเพิ่มว่า and the wisdom to hide the bodies of those people i had to kill because they pissed me off
เพิ่งรู้ว่ามีมือดีต่อภาษิตเพิ่ม 555
ขอบคุณเช่นกันค่ะ...ทำให้ได้รู้ที่มาเลย
ขำประโยคที่มือดีเติมเข้าไปข้างหลังด้วยค่ะ 55+
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1122

โพสต์

Nutth147 เขียน:พี่ ddoo7 ผมเองได้อ่านหนังสือ ชื่อ Chasing Daylight ไล่ล่าแสงตะวัน ผู้เขียน คือ คุณ Eugene O' Kelly CEO ของ KPMG (BIG4)
เป็นบันทึกในช่วงสุดท้ายของชีวิตหลังจากที่ท่านพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
แม้ว่าท่านเองยังคงเป็นคริสเตียนจนวาระสุดท้ายของชีวิต แต่เหมือนว่าการเจริญสมาธิช่วยท่านได้

มีทั้งบทเกี่ยวกับการเจริญสมาธิ หรือตอนที่ท่านกำลังจะจากโลกไป ก็ยังใช้ท่านั่ง
(อธิบายว่าเป็นวิธีเดียวกับพระลามะ ซึ่งคิดว่าตอนกำลังจะจากไปเราควรอยู่ในท่านั่ง)

หากสนใจ หนังสือไม่หนาเลยครับ อ่านสองวันก็จบ
http://topicstock.pantip.com/isolate/to ... 49567.html

ในพันทิปมีคนมาเขียนไว้เหมือนกันครับ
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1123

โพสต์

https://www.se-ed.com/product/ไล่ล่าแสง ... 6167060491

หรือจะซื้อเป็น pdf ก็ได้ครับ
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1124

โพสต์

ลูกขอสอบโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน (ภาคสมทบ)
>> ผลสอบได้คะแนน 8.16 เต็ม 10 <<

..............

ทีแรกนึกว่าไม่มาก...แต่สังเกตว่า
จนท.ที่โครงการดูดีใจ และยินดีด้วยมาก
พร้อมทั้งแนะนำว่า อย่าให้น้องเลือกตอนนี้เลย
ให้พามาสอบอีกครั้งที่ไม่ใช่ภาคสมทบ
เพราะคะแนนระดับนี้ มีโอกาสได้ทุนฟรีสูงมากๆ
(ภาคสมทบที่ลูกสอบนี้ ไม่มีทุนแบบฟรี)
FullSizeRender.jpg
..................
ค้นประวัติผลคะแนนสอบนี้จาก Google
ย้อนหลัง 8 ปี (51-58)

ปี 2551 - 2552
51 52.PNG
ปี 2553 - 2554
Capture.PNG
ปี 2555 - 2556
55 56.PNG
ปี 2557 - 2558
57 58.PNG
นำมาทำตารางสรุป
ให้เห็นค่า Mean และ Mode ชัดเจน...จะอ่านค่าง่ายขึ้น
Capture.PNG
พบว่า....จำนวนเด็กที่สอบปีะละหลายพันคน
ได้คะแนนถึงระดับ 8 ขึ้นไป มีไม่มาก
ส่วนใหญ่ได้คะแนน 3-6 (Mean 8 ปี = 4+)
.
จึงได้รู้ว่า...ลูกสอบได้คะแนน
สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังหลายปี มากๆ
ใช้ข้อสอบร่วมกัน ม.3 - ม.6 (ลูกอยู่ ม.3)
...................

มีความหวังเรื่องทุนฟรีขึ้นมาทันใด...รอลุ้น ^^
(ไม่ต้องจ่ายเงินเอง...ดีที่สุดค่ะ)
ลูกบอกว่าสอบครั้งหน้าน่าจะทำได้ดีขึ้น
ครั้งนี้ไม่ยังคุ้น...เป็นครั้งแรกที่สอบสนามแบบนี้
.................

มีแผนว่าถ้าเขาไปเรียนทุนแลกเปลี่ยน
และอยู่กับ host อาจให้มองหา รร.ที่ต่างประเทศ
และขอทุนบางส่วน แล้วเรียนต่อยาวๆ
ตั้งแต่ ม.ปลาย จนจบ ป.ตรี ป.โท เลยก็ได้...ถ้าเขาชอบ
(แต่พยายามหาทุนด้วย...ประหยัดเงินตัวเองได้ด้วยก็ดีค่ะ)
.................

"แข่งกับตัวเอง และ แข่งกับเกณฑ์" ค่ะ
แม้จะมีคนอสอบพร้อมๆ กันมากมายก็ไม่ได้แข่งกับใคร

อยากนำมาลงเพื่อบอกว่า...

เด็กที่ไม่เรียนพิเศษ ก็เก่งได้ค่ะ...สิ่งสำคัญมากๆ คือ "เรียนรู้อย่างมีความสุข"
ความรู้จะกระโดดเข้าสมองเอง ใช้เวลาแป๊บเดียว

แต่บางทีการไปนั่งเรียนพิเศษนานๆ โดยเด็กไม่เต็มใจนั้น
แม้ใช้เวลาไปนาน ความรู้ก็อาจเข้าสู่สมองไม่มากเท่า...เผลอๆ กระโดดออกอีกค่ะ

.................

เลี้ยงเด็กไปตามธรรมชาติ ให้เขาสนุกตามวัย

เลี้ยงเด็กวัยรุ่น ยิ่งไม่ต้องพูดเยอะ
เลี้ยงให้ "มองหน้ากัน พยักหน้าแล้วเข้าใจ" โอเคมาก

เด็กๆ ไม่ได้เชื่อฟังเรามากขึ้น ตามอัตราการ "จำ้จี้ จ้ำไช"
โดยเฉพาะเด็กที่มีความคิดเป็นของตัวเอง
.
ผู้ใหญ่อย่างพวกเราก็เช่นกัน...ใช่หรือไม่?
ลองตรวจสอบตัวเอง แป๊บ...ถ้าคำตอบคือ "ใช่"
ก็อย่าทำสิ่งนั้น คือ "การพูดซ้ำ (หรือว่า "บ่น" นั่นเอง) กับลูกวัยรุ่น
ถ้าเราไว้ใจเขา...เขามักจะทำดี ให้สมกับที่เราไว้ใจค่ะ

...............

เลี้ยงให้เขามีคุณค่าในตัวเอง แล้วเขาจะเลือกสิ่งที่มีคุณค่าให้ตัวเองค่ะ ^^
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1125

โพสต์

Picture2.png
เนื่องในโอกาสวันพ่อ..ลองย้อนคิดถึงวันเก่าๆ
พบว่าผู้ที่มีอิทธิพลต่อผู้เขียนมากที่สุดคือ "เตี่ย" นั่นเอง
..................

เตี่ยเป็นแบบอย่างของความสงบ มีเหตุผล
ไม่ฟุ่มเฟือย ฝึกให้ช่วยทำงานพิเศษตั้งแต่ยังเด็ก
คือ รับจ้างถ่ายภาพตามงานต่างๆ
เมื่อก่อนยังไม่มีกล้องดิจิตอล
คนต่างจังหวัดส่วนใหญ่ไม่ซื้อกล้องไว้ใช้
.
การทำงานพิเศษแต่เด็ก สอนให้เรามีความรับผิดชอบ
รู้คุณค่าของเงิน...ฝนจะตก แดดจะออก
เมื่อเรารับงานไว้แล้ว เราก็ต้องไปให้ตรงเวลา
(ขี่มอเตอร์ไซค์ไปถ่ายรูปตามงานบวช งานแต่ง และงานต่างๆ)
..................

อีกเรื่องที่ผู้เขียนประทับใจ และนำมาใช้ในการเลี้ยงลูก
คือ "การให้ลูกเรียนรู้อย่างมีความสุข"
พบว่าความรู้จะกระโดดเข้าสมองเอง โดยใช้เวลาแป๊บเดียว
.
เตี่ยจะไม่ค่อยมาจู้จี้ อะไรมาก
ถ้าเห็นว่าเรารับผิดชอบมากพอ ก็จะปล่อยเลยค่ะ
.
ผู้ใหญ่อย่างพวกเราก็เช่นกันใช่หรือไม่
ที่ไม่ชอบการจู้จี้ หรือถูกควบคุมเกินเหตุ
ลองตรวจสอบตัวเอง แป๊บ! ถ้าคำตอบคือ "ใช่"
ก็อย่าทำสิ่งนั้น คือ "การพูดซ้ำๆ (หรือภาษาบ้านๆ เรียกว่า "บ่น" )
กับลูกวัยรุ่น หรือแม้แต่กับคู่ชีวิต หรือใครก็ตาม
.
ให้อิสรภาพทางความคิดกับลูกเถอะค่ะ
แล้วเราจะได้เห็นศักยภาพในตัวเขา
การชี้นำทุกฝีก้าว..หรือแม้แต่การประคบประหงมที่มากเกิน
เป็นการปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์อย่างรุนแรงค่ะ
..................

เอาวิธีการของเตี่ยมาใช้เลี้ยงลูก...ผลตอบรับดีมาก
โดยเฉพาะกับลูกที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น
สรุปมาฝาก เผื่อจะมีประโยชน์ต่อแฟนรายการค่ะ
.
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1126

โพสต์

Picture3.png

ขออนุญาตนายกโจไว้ และนายกโจกรุณา
ให้นำไปโพสลงใน fb Money Talk และ fb Thaivi
เพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้อื่น

แต่...น้องกานต์ (เลขาสมาคมฯ)
เตือนว่า แม้นายกโจไม่ได้เน้นเรื่องการเมือง
แต่กลอนบทนี้เกิดขึ้นในยุคการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างเข้มข้น
และผู้เขียนเองนั้นท่านก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

อาจสุ่มเสี่ยงต่อการจะถูกเข้าใจผิด
ซึ่งพิจารณาตามคำแนะนำของน้องกานต์
ก็เห็นว่า อาจจะมีผู้ที่คิดเข้าไปเรื่องการเมืองจริงๆ

จึงลบออกจาก fb ทั้งสองแห่ง ตามข้อห่วงใยของน้องกานต์ค่ะ
................

แต่ด้วยรู้สึกถึง "คุณค่า" ของการให้กำลังใจ
ที่เปี่ยมล้นอยู่ในเนื้อหาของบทกลอน

ขอนำมาฝากในกระทู้บ้านๆ ของพวกเราดีกว่าค่ะ
................

ที่กระทู้บ้าน ๆ ของพวกเรา
ไม่มีใครเข้าใจนายกโจผิดแน่นอนค่ะ
.
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1127

โพสต์

ขอบคุณ. คุณนุชครับสำหรับบทกลอนของพี่โจ
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1128

โพสต์

เนื่องในโอกาสวันพ่อ
ผมขออนุญาตแปะเรื่องพ่อสอนลูก จากห้องวีไอหาดใหญ่ ที่พวกเราอ่านแล้วประทับใจ ไว้ห้องนี้นะฮะ
เป็นเรื่องที่ท่านลูกหินสอนลูกฮะ

เมตตาธรรมค้ำจุนโลกา ขอสันติสุขจงมีต่อโลกที่กำลังจะลุกเป็นไฟใบนี้ด้วยเทอญ..

" วันนี้ผมสอนลูกๆเรื่องนึง คิดว่าอาจจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ เลยจะเอามาแชร์นะครับ ผมถามลูกว่า ตอนนี้ใครๆก็ไปถล่มไอเอส แล้วทำไมคนกลุ่มนี้จึงยอมระเบิดฆ่าตัวเองตายได้ ผมบอกว่าแสดงว่าเค้าต้องแค้นแบบสุดขีด ไม่งั้นคงอยากที่จะยอมตาย แล้วเค้าเป็นใครมาจากไหน ส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพจากสงคราม แล้วใครเริ่มละ ผมถามลูกไปพร้อมอธิบายไปเรื่อยๆ ทำไมเค้ามาอยู่ในประเทศที่รับเค้ามาอยู่ ให้ที่อยู่ที่กินแล้วยังไปทำเค้าอีก คุยไปเรื่อยๆครับ แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ผมถามลูกว่า ทำไมผู้ก่อการร้ายบางคนถึงเดินไปกดระเบิดในจุดที่ไม่มีใครอยู่ใกล้ ผมอธิบายว่า ถ้าเราเกลียดคนกลุ่มนึงถึงขนาดที่ยอมตายได้ แล้วเดินเข้าไปหาด้วยความเกี้ยวกราด เดินกระแทกผู้คนเข้าไปกดระเบิด อาจจะมีคนๆนึงที่หันมาพูดว่า ขอโทษครับแล้วยิ้มให้ หรือบอกว่าระวังก้อนหินนะครับเดียวหกล้ม บางครั้งอาจทำให้เค้าเปลี่ยนความคิดก็ได้นะ ผมยกตัวอย่างอีกว่า ถามมีคนร้ายถือมีดจะมาปล้นไอแพดจากเรา กำลังเดินเข้ามาจะมาทำร้ายเรา ถ้าเราไม่รู้ว่าเค้าเป็นใคร แต่เห็นเค้ากำลังจะเหยียบแอ่งน้ำเน่าที่ขังอยู่ที่พื้น เราพูดออกไปว่า ระวังนะครับ มีน้ำขังอยู่เดียวหกล้มนะครับพร้อมยิ้มให้ ลูกคิดว่าเค้าจะทำยังไง ลูกผมตอบว่าเค้าก็เปลี่ยนใจไง ผมก็ถามต่อว่า กำแพงเมืองจีนยิ่งใหญ่ไหม ยานอวกาศที่สำรวจดาวอังคารละ goolgle แล้วถ้าลูกโตขึ้นแล้วสามารถสร้างอะไรสุดยอดได้จะสร้างอะไร เอาเครื่องที่วาปตัวเราไปไหนก็ได้เอาไหม ลูกๆตอบว่าก็สร้างคนไง ผมถามว่าสร้างคนยังไง ลูกก็ตอบว่าสร้างคนดีไง ผมก็รู้ว่าลูกๆเข้าใจแล้ว ผมอธิบายสรุปต่อว่า เราจะสร้างอะไรสุดยอดแค่ไหนก็ได้ สุดท้ายกาลเวลาก็จะทำให้มันหายไปเอง แต่ความดีที่เราสร้างต่างหากที่จะไม่หายไปไหน จะถูกส่งต่อเป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆเช่น ถ้ามีคนกำลังนอนเศร้าหดหู่และกำลังจะฆ่าตัวตาย พอลูกเดินผ่าน เพียงแต่ลูกๆบอกว่าคุณอาครับหิวข้าวไหม เดี๋ยวผมแบ่งให้นะ ทุกๆอย่างอาจเปลี่ยนไปก็ได้ ยังไม่นับการกระทำลูกโซ่อีกอันนึงคือ 1.เจอคนจรจัดตัวมอมแมม เรามองด้วยสายตาดูถูกแล้วพูดไปว่าสกปรกออกไปไกลๆเลย ทุเรศงานการก็ไม่ทำ การส่งต่อทางอารมณ์เกิดขึ้นแล้ว เค้ากลับบ้านด้วยความเก็บกด กินเหล้า ทำร้ายลูกเมีย พอมีปัญหาก็ขโมยของปล้นชิง ติดคุก 2.เคสเดียวกัน เราพิจารณาความเป็นจริง เค้าลำบากอยู่ เราช่วยได้ไหม สรุปถ้าได้ ทำ ซื้อของกินไปให้พร้อมเข้าไปพูดว่า ผมให้เงินพันนึงนะครับ เอาเงินไปซื้อเสื้อผ้าอาบน้ำแต่งตัวไปหางานทำสิครับ ผมว่าพี่ทำได้นะครับ อยากเอาเงินไปกินเหล้าละ ผมหาเงินมาลำบาก แต่ผมเชื่อว่าพี่ทำได้นะครับ ผมบอกลูกๆว่า แค่เนี่ยผลผลิตแห่งความดีเกิดขึ้นแล้ว มันอาจจะเปลี่ยนอนาคตเค้าให้เป็นคนดีไปเลยก็ได้ และเค้าอาจจะสอนลูกหลานต่อ ช่วยเหลือคนอื่นๆต่ออีก ลูกคิดว่าดีกว่าไหม เล่ายาวเลย จบแค่นี้ก่อนนะครับ "
samatah
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1129

โพสต์

dr1 เขียน:เนื่องในโอกาสวันพ่อ
ผมขออนุญาตแปะเรื่องพ่อสอนลูก จากห้องวีไอหาดใหญ่ ที่พวกเราอ่านแล้วประทับใจ ไว้ห้องนี้นะฮะ
เป็นเรื่องที่ท่านลูกหินสอนลูกฮะ

เมตตาธรรมค้ำจุนโลกา ขอสันติสุขจงมีต่อโลกที่กำลังจะลุกเป็นไฟใบนี้ด้วยเทอญ..
ขอบคุณมากเลยค่ะพี่หมอหนึ่ง
และขอบคุณคุณลูกหินด้วยค่ะ

ดีมากๆ เราสอนลูกแนเดียวกันเลย
ช่วยๆ กัน ส่งต่อความดีงาม และความเอื้อเฟื้อเป็นวงกว้างนะคะ

เริ่มปลูกในใจเด็กๆ จะยั่งยืนที่สุดค่ะ ^^
ภาพประจำตัวสมาชิก
theerasak24
Verified User
โพสต์: 614
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1130

โพสต์

theenuch เขียน:
Picture3.png

ขออนุญาตนายกโจไว้ และนายกโจกรุณา
ให้นำไปโพสลงใน fb Money Talk และ fb Thaivi
เพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้อื่น

แต่...น้องกานต์ (เลขาสมาคมฯ)
เตือนว่า แม้นายกโจไม่ได้เน้นเรื่องการเมือง
แต่กลอนบทนี้เกิดขึ้นในยุคการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างเข้มข้น
และผู้เขียนเองนั้นท่านก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

อาจสุ่มเสี่ยงต่อการจะถูกเข้าใจผิด
ซึ่งพิจารณาตามคำแนะนำของน้องกานต์
ก็เห็นว่า อาจจะมีผู้ที่คิดเข้าไปเรื่องการเมืองจริงๆ

จึงลบออกจาก fb ทั้งสองแห่ง ตามข้อห่วงใยของน้องกานต์ค่ะ
................

แต่ด้วยรู้สึกถึง "คุณค่า" ของการให้กำลังใจ
ที่เปี่ยมล้นอยู่ในเนื้อหาของบทกลอน

ขอนำมาฝากในกระทู้บ้านๆ ของพวกเราดีกว่าค่ะ
................

ที่กระทู้บ้าน ๆ ของพวกเรา
ไม่มีใครเข้าใจนายกโจผิดแน่นอนค่ะ
.

ขอบคุณครับ พี่นุช ว่าแต่ว่าตอนนี้พี่โจยังมีข้อความนี้ติดอยู่ข้างฝาอีกรึป่าวครับ 5555
"เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะยังคงทำสิ่งต่างๆ ต่อไปตราบใดที่มันยังให้ความรื่นรมย์และคุณก็ทำมันได้ดี"
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1131

โพสต์

theerasak24 เขียน:
ขอบคุณครับ พี่นุช ว่าแต่ว่าตอนนี้พี่โจยังมีข้อความนี้ติดอยู่ข้างฝาอีกรึป่าวครับ 5555
อันนี้..สงสัยต้องไปถามนายกโจเองเน้อ 555 ^^

แต่ที่แน่ๆ แปะไว้ในใจแน่นอนค่ะ ^^
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1132

โพสต์

ขออนุญาตยกมาไว้ตรงนี้ เผื่อมีใครหลงตาไป
และ "เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กระทู้ VI บ้านๆ ของพวกเรา" ค่ะ
ขอบคุณนายกโจมากๆ...รู้สึกซึ้งใจเกินจะกล่าวข้อความใดๆ ต่อ
อยากให้ทุกๆ คนได้อ่านค่ะ

ลูกอิสาน เขียน:ขอพื้นที่เล็กๆตรงนี้ กราบสวัสดีปีใหม่ปี 2559 พี่ๆ น้องๆ สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า ทุกท่าน กราบสวัสดีอาจารย์ ดร.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ พี่ปรัชญา พี่ครรชิต ลุงขวด เฮียคลายเครียด พี่หมอ jfk พี่กะละมัง พี่พี พี่วัฒน์ พี่หมอพงศ์ศักดิ์ พี่หลิน พี่หนิง พี่กุ๊ก พี่หมอสามัญชน พี่พรรณ พี่ไก่ พี่มน พี่บู พี่วิบูลย์ พี่นัน พี่ตี้ พี่จรัญ พี่แมว พี่บัวดิน หมอหนึ่ง พี่เวป พี่ฉัตร พี่ชาย พีเจ๋ง พี่นริศ พี่พอใจ พี่นุช พี่อมร ขอคุณพระศรีรัตนตรัย คุ้มครองให้ทุกท่านปลอดภัย สุขกาย สบายใจ พอร์ตหุ้นเฟื่องฟูลอย ตลอดปีตลอดไปครับ


ตลาดหุ้นปี 2558 เป็นปีที่ไม่น่าจดจำนักสำหรับนักลงทุน ดัชนีเซ็ทอยู่ในระดับสูงสุดตอนต้นปี และค่อยๆไหลลง และลดลงอย่างรวดเร็วในตอนสิ้นปี ดัชนีเริ่มต้นปีที่ 1497.67 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1619.77 ต่ำสุดที่ 1251.99 และปิดสิ้นปีที่ 1288.02 จุด ตลาดให้ผลตอบแทนเป็นเลขกลมๆที่ - 14% รวมเงินปันผลเฉลี่ยเป๊ะ 3 % ผลตอบแทนรวมเท่ากับ -11% ทั้งปีมีหุ้นเข้าใหม่ประมาณ 33 บริษัท เพิกถอนออกไป 7 สุทธิปลายปีมีหุ้นประมาณ 639 บริษัท ตลาดหุ้นไทยติดอันดับตลาดที่ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดใกล้เคียงกับตลาดสิงคโปร์ ในขณะกลุ่มที่ดีที่สุดคือตลาดหุ้นจีน เยอรมัน ฝรั่งเศส ให้ผลตอบแทนประมาณ 10%

ผลตอบแทนส่วนตัว ยังน่าพอใจ แม้จะลดลงตามสถาวะตลาดบ้าง ไม่มีเงินกู้ ถือหุ้นเฉลี่ย 90 กว่า% ตลอดทั้งปี Cocktail Portfolio ยังทำงานได้ดีเหมือนเดิม โดยมีหุ้นเพิ่มเป็นเฉลี่ยประมาณ 40 ตัว (ไม่รวมที่ถืออีก 15 ตัวในตลาดหุ้นเวียดนาม) ตัวที่ถือสูงสุดไม่เกิน 10% ของพอร์ต ข้อดีของการถือหุ้นหลายตัวคือมันเปิดโอกาสให้เราผิดพลาดได้พอสมควร ผลบวกจากหุ้นดีๆจะไปกลบผลขาดทุนของหุ้นที่ติดลบได้ทั้งหมด เพียงแต่เวลากำไร ต้องกำไรมากๆ เพื่อไปชดเชยกับขาดทุนน้อยๆของหุ้นหลายตัว หุ้นที่ให้ตอบแทนดีๆ ยังเป็นหุ้นเติบโต และหุ้นฟื้นตัว ส่วนหุ้นที่ทำให้ขาดทุน(หนักๆ)ส่วนใหญ่ อยู่ในกลุ่มหุ้นวัฏจักรที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ส่วนนึงที่ยังทำผลตอบแทนได้เป็นบวก ทั้งที่ตลาดติดลบ คือการใช้ตราสารอนุพันธ์บางส่วน (TFEX set 50) เพื่อปกป้องความเสี่ยงจากตลาดขาลง (มิใช่เพื่อเก็งกำไร) ประกอบกับกระจายพอร์ตไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม (6%) ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดี

เรื่องราวในตลาดหุ้นตลอดปี 2558 มีประเด็นที่น่าสนใจหลายเรื่อง ที่ควรขยายความ

ดอกไม้ในทะเลทราย แม้ในขณะที่ดัชนีลดลงพอสมควร กลับมีหุ้นหลายตัว หลายกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนที่ดี บางตัวก็ดีมากๆ เช่นกลุ่มสินเชื่อรายย่อยแบบมีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน (MTLS SAWAD KTC GL) กลุ่มท่องเที่ยว (MINT CENTEL SPA AOT) กลุ่มโรงพยาบาล (ฺBCH BDMS BH CHG) กลุ่มพลังงานบางตัว (TASCO PTG TOP IRPC) กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไป (EPG FSMART MCS BEAUTY HFT COM7) หน้าที่ของนักลงทุนคือค้นหาหุ้นเหล่านี้ แม้ไม่ใช่งานง่าย แต่มีนักลงทุนบางรายที่ยังทำได้จริงๆ หุ้นที่ราคาเพิ่มขึ้น สวนทางดัชนีตลาดรวมที่ปรับลดลง สะท้อนความจริงที่ว่าผลประกอบการคือทุกอย่าง หุ้นทุกตัวข้างต้น กำไรปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญทุกตัว การทำผลตอบแทนดีๆไม่จำเป็นต้องรอซื้อหุ้นตอนวิกฤติ(เพราะช่วงวิกฤติ มีเงินใช่จะกล้าซื้อ) การสร้างผลตอบแทนดีๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดัชนีตลาดรวม แต่ขึ้นกับการซื้อหุ้นดีๆ ในราคาที่สมเหตุสมผล

บลูชิพกลายเป็นบลูฉิบ หุ้นบลูชิพ (Blue-chip) มีที่มาจากการพนันในบ่อนคาสิโน เหรียญฟ้าหรือ Blue-chip คือเหรียญที่มีมูลค่ามากที่สุด ราคาแพงที่สุด หากนำมาเปรียบเทียบกับหุ้นก็เหมือนกับหุ้นขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่ง มั่นคง เป็นผู้นำมีชื่อเสียง กำไรไม่ผันผวน นักลงทุนมักซื้อหุ้นเหล่านี้เพราะ “คุ้นเคย มั่นคง ไว้ใจได้” ถ้าซื้อไว้ โดยเฉพาะตอนที่ตลาดมีความไม่แน่นอน คงจะไม่ขาดทุน ความเชื่อนี้ ใช้ไม่ได้ในปี 2558 หุ้นเหล่านี้ ในกลุ่มน้ำมัน (PTT PTTEP) กลุ่มธนาคาร (KBANK SCB BBL KTB) และโดยเฉพาะในกลุ่มสื่อสาร (ADVANC INTUCH DTAC) ราคาลดลงมากอย่างไม่น่าเชื่อ ความเชื่อก็คือความเชื่อ และมักจะโดนหักล้างด้วยสิ่งที่แน่นอนกว่า คือความจริง

ราคาน้ำมัน จากที่เคยขึ้นไปสุงสุด 100 กว่าเหรียญต่อบาเรล ลดลงเหลือไม่ถึง 40 เหรียญ เป็นความจริงที่ไม่น่าเชื่ออีกเรื่องนึง สาเหตุจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นมากกว่าการใช้ รวมถึงซัพพลายส่งออกใหม่จากประเทศอิหร่าน สหรัฐอเมริกา ราคาน้ำมันที่ลดลงเกินครึ่ง ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษกิจเป็นลูกโซ่ ราคาน้ำมันที่ลด ส่งผลให้สินค้าคอมโมดีตี้ ลดลงเกือบทุกชนิด กระทบกับเศรษกิจทั้งโลก ที่กระทบมากที่สุดคือประเทศที่ส่งออกน้ำมันและคอมโมดิตี้ เช่นกลุ่มตะวันออกกลาง บราซิล นอร์เว รัสเซีย ออสเตรเลีย ประเทศนำเข้าน้ำมันอย่างประเทศไทย ซึ่งควรจะได้รับผลดีจากการได้ซื้อน้ำมันที่ถูกลง กลับโดนหักล้างจากเหตุผลที่ว่า ราคาน้ำมันที่ลด ทำให้สินค้าหลักของไทย ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง ราคาลดลงด้วย ปริมาณการส่งออกก็ลดลง เพราะความต้องการของคู่ค้าต่างประเทศก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน เราเคยเชื่อว่าน้ำมันราคาแพง ทำให้เศรษกิจไม่ดี ต่อไปนี้ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่!

หุ้นคุณฆ่าวีไอ ปีที่ผ่านมา มีหุ้นหลายตัวที่นักลงทุนแนววีไอได้เข้าไปซื้อเพราะมีคุณสมบัติบางประการที่ “อาจจะ”เข้าข่ายหุ้นวีไอ แต่ต่อมาราคาได้ลดลงมาก สร้างความเสียหายอย่างหนัก พาลทำหลายคนให้เริ่มหวั่นไหวและตั้งคำถาม ว่าหลักการวีไอยังใช้ได้ดีหรือไม่ หุ้นเหล่านี้มีหลายรูปแบบ หุ้นประเภทแรก ซื้อขายที่ P/E ค่อนข้างต่ำ มีเงินปันผลดี หนี้สินไม่สูง ผู้บริหารเก่ง ดูโดนรวมก็น่าจะเป็นหุ้นที่ดี แต่อนิจจาราคาหุ้นลดลงมากกว่าครึ่ง สาเหตุเพราะเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์หรือผูกติดกับอุตสาหกรรมน้ำมัน เมื่อราคาสินค้าลดลง ผู้ผลิตก็ต้องลดการผลิต งานที่เคยมี ก็ลดหรือเลื่อน หลายโครงการยกเลิก ราคาสินค้าที่ลดลง ทำให้เกิดการขาดทุนสินค้าคงคลัง ราคาต่อหน่อยลด ปริมาณการขายก็ลด ยอดขายตก เมื่อกำไรลด P/E ที่เคยต่ำก็สูงขึ้น ปันผลลด ราคาหุ้นก็ลดเช่นกัน หุ้นประเภท 2 เป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติบางอย่างเข้าข่ายหุ้นวีไอ เป็นหุ้นที่เน้นการเติบโต นักลงทุนให้ค่าการเติบโตสูงลิ่ว จนไม่มีที่ว่างให้กับความผิดพลาด (MOS) แต่เมื่อความจริงปรากฎ หุ้นบางตัวไม่ได้มีความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริง เป็นแบรนด์สินค้าที่ลูกค้าไม่ได้มีความภักดี บางตัวได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษกิจ สินค้าเลียนแบบได้ง่าย หุ้นบางตัวถึงแม้มีการเติบโตของผลกำไร แต่ไม่ได้มากมายเท่าที่คิด ราคาหุ้นที่ขึ้นไปด้วยความหวังก็พังทลายลงมา เข้าข่ายหุ้นดี แต่ซื้อที่ราคาแพง ก็หมดตัวได้ ประเภท 3 เป็นหุ้นหลอกวีไอ บริษัที่หิวเงินและมีผู้บริหารที่ไม่ซื่อสัตย์ จะกล่าวอ้าง โอ้อวดเกินจริง ให้นักลงทุน(วีไอ) หลงเคลิบเคลิ้ม จะมีโปรเจคโน้น นี้ กำไรเท่านั้นเท่านี้ แต่พอได้เงินก็ออกลาย นำเงินไปละเลงในธุรกิจที่แปลกๆ ไม่สมเหตุสมผล ดูน่าเคลือบแคลง หากมีนักลงทุนตั้งข้อสังเกต โจมตี ก็ข่มขู่จะฟ้องร้อง แม้กระทั่ง กลต.ยังไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก

หุ้นเหล่านี้เป็นเสมือนกับดัก ที่อาจทำให้นักลงทุนเข้าใจผิด ความรู้ที่ถูกต้องจากเหล่าอาจารย์เท่านั้น ที่จะทำให้เราแยกแยะ ของแท้ออกจากของเทียมได้ การกระจายความเสี่ยง ก็สามารถช่วยปกป้องความเสียหายได้ วอร์เรนเคยพูดว่า “ความเสี่ยงเกิดจากการไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” บางคนตีความประโยคนี้ไปสุดโต่ง เลยถือหุ้นตัวเดียว เพราะคิดว่า รู้ทุกอย่าง เมื่อรู้ทุกอย่าง ก็คือไม่เสี่ยง อาจะลืมคิดไปว่า เราไม่ได้รู้ทุกอย่างในบริษัทหรือทุกอย่างในโลกนี้ ความเสี่ยงบางอย่างเรารู้ เราป้องกัน ความเสี่ยงบางอย่าง เราไม่รู้ เราจึงไม่เคยป้องกัน คนเก่งๆมากมายแต่กลับล้มเหลวเพราะประมาณความรู้ตัวเอง สูงเกินไป ต่อให้มีมากแค่ไหน ทำดีมาแค่ไหน คูณด้วย 0 มันก็หมดความหมาย

สื่อสารกลายเป็นสุสาน ดราม่าส่งท้ายปีของตลาดหุ้นไทยคือการประมูลคลื่น 4 G ของกลุ่มโทรศัพท์มือถือ ซึ่งผลที่ออกมาส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นอย่างรุนแรง เมื่อมีการทุ่มเงินประมูลกันอย่างเอาเป็นเอาตาย และมีผู้เล่นรายใหญ่ประมูลคลื่นได้ไป สิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอนย่อมส่งผลต่อการแข่งขันในอุตสาหรรมที่เคยมีแค่ 3 ราย ราคาประมูลที่สูงติดอันดับโลก ย่อมส่งผลต่อศักยภาพการทำกำไร ไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก บางบริษัทราคาลดลงถึง 1/3 ของราคาสูงสุด ที่เหลือก็ลดมากกว่าครึ่ง หลายคนที่ถือหุ้นในกลุ่มนี้ จากที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าเป็น safe heven ปันผลดี มั่นคง กลับกลายเป็นหลุมสุสานที่ฝังนักลงทุน สิ่งที่เราคิดว่าปลอดภัย ที่จริงไม่ได้ปลอดภัยจริง ความเสี่ยงที่ซ่อนเอาไว้ โผล่ออกมา หลายคนก็รับมือไม่ทันแล้ว หุ้นที่ท่านถือ มีความเสี่ยงแบบนี้หรือเปล่า โปรดระวัง น่าแปลกใจยิ่งกว่า ก่อนหน้านี้ ต้นปี ไม่เคยมีนักวิเคราะห์ กูรู คนไหน ที่ออกมาเตือน สะกิด ให้นักลงทุนรับรู้ความเสี่ยงจากการประมูลนี้เลย คนเก่งๆยังไม่รู้ ธุรกิจที่พื้นฐานกลับหน้ามือเป็นหลังเท้า ภายในเวลาไม่กี่วัน คำถามคือ นี่คือธุรกิจที่ดีแน่หรือ?


คุณค่าธรรมภิบาล ดราม่าอีกเรื่องของตลาดหุ้นไทยคือการใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้นของผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ ราคาหุ้นของบริษัทที่ว่า ลดลงอย่างมาก ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับผลประกอบการของบริษัทนั้น เห็นได้ชัดเจนว่า นักลงทุนในปัจจุบันให้คุณค่าของบริษัทที่บริหารอย่างโปร่งใส โดยผู้บริหารที่ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นนิมิตรหมายที่ดีของตลาดหุ้นไทย รวมถึงประเทศไทยด้วย นักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่ ย่อมมีทางเลือก บางคนเลือกที่จะขายหุ้นเพราะไม่สบายใจที่จะถือหุ้นที่ผู้บริหารมีปัญหาธรรมภิบาล บางคนก็เลือกที่จะถือหุ้นต่อไป เพราะไม่ได้กระทบกับพื้นฐานของบริษัทโดยตรง บางคนที่ไม่เคยถือหุ้น อาจอาศัยจังหวะที่ราคาหุ้นลดลง เข้าไปซื้อ

คนเราย่อมมีเหตุผลทุกการกระทำ มีมุมมองต่อชีวิต ต่อโลกที่ต่างกัน คนที่คิดต่างจากเรา กระทำต่างจากเรา ไม่ใช่คนผิด เพราะที่จริง เราอาจจะผิดเองก็ได้ (หรือเราทำถูกทุกอย่าง?) และบางเรื่อง ก็เป็นความเชื่อ ซึ่งไม่มีผิดหรือถูก เราอาจจะแสดงจุดยืน ความเห็นได้ แต่อย่าได้พยายามให้คนอื่น ต้องคิดเหมือนเรา การเคารพคนอื่น เราจะได้การเคารพกลับมาเช่นกัน

นอกเหนือจากกรณีของบริษัทยักษ์ใหญ่ ยังมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับธรรมภิบาล อาจโด่งดังน้อยกว่า แต่กระทบต่อกิจการชัดเจนกว่า เช่นบริษัทรับเหมาแห่งนึง ที่งบการเงินล่าสุดต้องรับรู้ผลขาดทุนจำนวนมาก จากงานก่อสร้างที่ผิดพลาด นักลงทุนรู้เมื่องบออก (หุ้นก็ลงมาแล้ว) แต่ผู้บริหารรู้มานาน ตั้งแต่ลูกค้าขอเคลมความเสียหาย คำถามคือทำไมรายการที่มีนัยสำคัญนี้ ไม่แสดงในหมายเหตุงบการเงิน อีกกรณีศึกษา เป็นหุ้นพัฒนาอสังหา มีสินทรัพย์เป็นที่ดินนับหมื่นล้าน (ไม่ใช่หมื่นบาท :evil: ) ซ่อนอยู่ในบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน ไม่มีใครรู้ ถ้าเรื่องไม่แดง จากคำสั่งศาลที่สั่งให้ชำระความเสียหายจากคดี

ปัญหาธรรมภิบาลที่เกิดจากทุกภาคส่วน ผู้บริหารที่ยักยอกเงิน กินหัวคิว ผ่านรายการซื้อขายแปลกๆ การใช้ข้อมูลภายในที่ยังไม่เผยแพร่ นักลงทุนรายใหญ่ที่มีพฤติกรรมปั่นหุ้น(หลายครั้งสมรู้กับผู้บริหาร) การเข้าหาผู้บริหารเพื่อหวังข้อมูลภายใน ร่วมมือกับโบรคเกอร์เพื่อชี้นำบทวิเคราะห์ที่ตัวเองมีส่วนได้เสีย นักลงทุนรายย่อย ที่แทบไม่มีอำนาจต่อรอง แต่หากมีโอกาสล่วงรู้ข้อมูลภายใน ก็ทำเหมือนกัน เหล่านี้เป็นเรื่องที่เราได้ฟัง ได้ยิน เป็นปกติในตลาดหุ้นไทย ทั้งที่ผิดกฎหมาย หรือไม่ผิด แต่ไม่เหมาะสม หากเรามีกฎหมายที่กำหนดบทลงโทษที่ชัดเจน เด็ดขาด การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เรื่องราวเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร (ถ้ามีก็น้อย) คำอธิบายจาก กลต.ที่คุมกฎคือ “กฎดีอยู่แล้ว แต่จะเพิ่มการบังคับใช้” อยากถามว่า ถ้ากฎดีอยู่แล้ว ทำไมยังมีคน “กล้าเสี่ยง” ที่จะทำ บทลงโทษเบาหวิวจนคุ้มค่าที่จะลองทำใช่หรือไม่ การบังคับใช้กฎหมายที่บอกว่าจะเข้มข้นขึ้น แน่ใจได้อย่างไรว่าจะทำได้ แล้วในอดีตทำไม ทำไม่ได้ เป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องทำ และควรทำให้ดี ตลาดหุ้นควรเป็นแหล่งระดมทุน ไม่ใช่บ่อนที่มีจ้าวมือ หากนักลงทุนไม่หวังพึ่งท่าน เราจะหันหน้าไปพึ่งใคร!!



Chinese Effect น่าสังเกตว่ามีหุ้นหลายตัวที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น (AOT BAFS SPA BEAUTY AAV BA CENTEL MINT) หุ้นเหล่านี้มีกำไรที่เพิ่มขึ้นส่วนทางกับเศรษกิจโดยรวมที่ไม่ดี เมื่อศึกษาลึกๆถึงสาเหตุ พบว่าบริษัทส่วนใหญ่ได้รับผลดีจากนักท่องเที่ยว เจาะจงลงไปคือนักท่องเที่ยวจีน เศรษกิจที่ขยายตัวต่อเนื่องหลายปี ทำให้ประชาชนจีนพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นชนชั้นกลางที่ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเหมือนคนอื่นๆทั่วโลก ผนวกกับการเกิดขึ้นของสายการบินราคาถูก ทำให้เกิดการไหลทะลักของนักท่องเที่ยวจีนไปต่างประเทศ ประเทศไทยได้รับผลดีอย่างชัดเจน เป็น destination ที่สำคัญ อาจะด้วยระยะเวลาเดินทางที่ไม่ไกลนัก วัฒนธรรมที่เป็นมิตร ค่าใช้จ่ายไม่แพง เราจะพบนักท่องเที่ยวจีนทุกหนทุกแห่งในประเทศไทย วัดพระแก้วคลาคล่ำแทบไม่มีที่จะเดิน ในรถไฟฟ้า เครื่องบินในประเทศ ร้านอาหาร แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยบางแห่ง บางคนอาจทำกริยาที่ไ่ม่เหมาะสมบ้าง โปรดให้อภัย :8) ถือว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้กำลังหล่อเลี้ยงประเทศไทย โดยการกิน ใช้ ซื้อของฝาก กิจการที่สามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว ย่อมได้รับผลดี พลังอำนาจซื้อของนักท่องเที่ยวจีน เป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องให้ความใส่ใจ

หุ้นขึ้น เราได้เงิน ไม่ได้บทเรียน
หุ้นลง เราได้บทเรียน แต่ไม่ได้เงิน




บทเรียนแรก ในช่วงต้นปีที่ทุกอย่างดูสดใส อยู่ในช่วงฮันนีมูนของรัฐบาลใหม่ ดัชนีผ่านตัวเลขสำคัญคือ 1600 จุด หลายคนคิดว่ามีโอกาสสูงที่ดัชนีจะผ่าน 17xx จุดสูงสุดตลอดกาลที่เคยทำไว้เมื่อประมาณ 20 ปี ที่แล้ว !! แต่ณ.จุดนั้นผมกลับรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่เคยเลย ที่ผมไม่มีหุ้นต่ำกว่ามูลค่าให้ซื้อ ณ.ตอนนั้นเป็นอย่างนั้นจริง ผมกลัว แต่ไม่ได้ทำอะไร จนกระทั่งดัชนีค่อยๆไหลลง จากสารพัดปัญหาที่รุมเร้าประเทศ ผมจะจำไว้ว่า เมื่อไหร่ที่ไม่มีหุ้น(ต่ำกว่ามูลค่า)ให้ผมซื้อ แทนที่จะดันทุรังซื้อ ผมอาจจะพิจารณาขาย หรืออย่างน้อย ต้องยกการ์ดให้สูง!! :roll:

บทเรียน 2 ตลาดหุ้นเป็นแหล่งรองรับอารมณ์ของโลกนี้ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในโลกนี้ ตลาดหุ้นจะตอบสนองไวที่สุด ทั้งปีมีเหตุการณ์สำคัญๆเช่น เหตุระเบิดที่ราชประสงค์ จีนลดค่าเงินหยวน ปัญหากรีซ เรื่องอื้อฉาวของโฟคสวาเก้น สงครามกลุ่มไอเอส ก่อการร้ายในปารีส การขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ของเฟด การขายของนักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนที่รอบรู้ ต้องรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นแน่นอน และจะเกิดขึ้นอีก การภาวนาให้ตลาดหุ้นไม่ผันผวน ราคามีแต่ขึ้นไม่มีลง เหมือนภาวนาให้โลกนี้มีแต่ผู้ชาย ท้องฟ้ามีแต่ดวงอาทิตย์ ซึ่เป็นไปไม่ได้ หากเราไม่ทำตัวเองให้อ่อนแอ เราจะกังวลทำไม (การทำตัวให้อ่อนแอเช่น การกู้เงินมาซื้อหุ้น การถือหุ้นตัวเดียว) ทั้งข่าวดี ข่าวร้าย ในตลาดหุ้นไม่เคยว่างเว้น เหมือนฤดูกาลที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา การตระหนักถึงมัน เตรียมพร้อมทั้งกายและใจ เตรียมกลยุทธิ์รับมือ พิสูจน์แล้วว่า ดีกว่าการพยายามทึกทัก ทำนาย ว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่ วันไหน ซึ่งควรเป็นงานของพระเจ้า!!

บทเรียนที่ 3 จุดที่น่ากลัวที่สุด อาจเป็นจุดที่ดีที่สุด ในวันที่มีเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ ตลาดหุ้นมีการตอบสนองอย่างรุนแรงกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างกลุ่มโรงแรมและการท่องเที่ยว ที่ชัดเจนคือไมเนอร์ คอร์ปเปอเรชั่น ซึ่งเป็นหุ้นที่มูลค่าตลาดมากที่สุด ราคาตกลงเหลือ 22 บาท ต่อมาเมื่อข่าวร้ายผ่านไป ตลาดเริ่มรับรู้ว่ากลุ่มไมเนอร์มีธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร มีการกระจายแหล่งรายได้ไปต่างประเทศค่อนข้างมาก ราคาก็ค่อยขยับฟื้นตัวขึ้นมา และปิดสิ้นปีที่ 35 บาท หากเราเข้าซื้อที่จุดที่ราคารับรู้ข่าวเต็มที่ และเชื่อว่าเป็นปัจจัยกระทบชั่วคราว ผ่านมาแค่ไม่กี่เดือน เราจะได้กำไรประมาณ 60 % จากหุ้นที่มีขนาดใหญ่ ที่ไม่ควรมีผลตอบแทนที่สูงผิดปกติเช่นนี้ ผลตอบแทนที่มากกว่าปกติ มักมาจากเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ ไม่ใช่วิกฤติ เป็นโอกาส โลภในเวลาที่คนอื่นกลัว

บทเรียนที่ 4 โลภในเวลาที่คนอื่นกลัว ใช้ไม่ได้ผลกับกรณี SSI นักลงทุนคนใดที่ไม่กลัว และเข้าไปซื้อกิจการนี้ ณ.ต้นปีที่ราคา 29 สตางค์ จะพบว่าเงินลงทุนหดหายไปถึง 90 % เพราะปลายปีราคาลดลงเหลือแค่ 3 สตางค์!! ก็คงเหมือนคำพูดของเฮียคลายเครียดที่ว่า

“จินตนาการที่มีความรู้ กับจินตนาการที่ไม่มีความรู้หนุนหลัง” ย่อมให้ผลลัพธิ์ที่ต่างกัน

บริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่รายนี้ของไทย ที่ต้องการปิดจุดอ่อนเรื่องวัตถุดิบ โดยการขยับไปทำต้นน้ำมากขึ้นคือโรงถลุง ตัวเลขทางการเงินที่ชงโดยที่ปรึกษาทางการเงินก็ดูดีเหมาะสมไปหมด จะลดต้นทุนได้กี่หรียญต่อตัน กำไรเท่าไหร่ จะคืนทุนภายในกี่ปี ภายใต้สมมุติฐานที่วางไว้ คำนวณไว้พร้อมสรรพ ใครได้ฟังแล้วก็เคลิ้ม เหล่าคนดังๆเข้าไปซื้อกันเพียบ รวมถึงผมก็ด้วย ซื้อที่ 1.19 บาท ต่ำกว่าราคาเพิ่มทุนที่ 1.2 ตั้ง 1 สตางค์ แต่กาลเวลาก็ค่อยๆเผยจุดอ่อนออกมา จุดตายคือสมมุติฐานที่อิงอยู่กับราคาสินค้าในตลาดโลก ทั้งแร่เหล็ก เหล็กแท่งบิลเล็ต ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อน เมื่อเวลาผ่านไป เหตุปัจจัยมากมาย ส่งผลต่อราคาสินค้าที่ว่า สมมุติฐานที่ดูมีเหตุผล กำไรจะมากมาย กลับกลายเป็นความจริงที่ว่าขาดทุนมหาศาล ทุกๆตันที่ผลิตขาดทุน ต่อให้ผลิตเต็ม 100% ก็ยังขาดทุน แม้ผู้บริหารใจยังสู้ เพิ่มทุนหลายรอบ ก็ฝืนความจริงไม่ได้ ผมได้ตัดขายไปที่ 80 สตางค์!! เพราะเริ่มยอมทำใจยอมรับได้ว่า “คิดผิด” ถ้าหากยังถือด้วยอีโก้ คงเหลือแต่กางเกงใน :( แต่อย่างน้อยยังได้บทเรียนบางอย่าง

- เมื่อไหร่ที่ความสามารถในการทำกำไรของกิจการ ขึ้นอยู่กับราคาสินค้าในตลาดโลก(ที่ควบคุมไม่ได้) คุณต้องระวังให้มากกว่าปกติ
- คนเก่ง คนฉลาด การศึกษาดี ก็มีวันผิดพลาด นายธนาคารที่ปล่อยกู้ ที่ปรึกษาการเงินระดับโลก นักลงทุนที่มืชื่อเสียง ไม่มีใครเฟอเฟคท์
- การหลอกตัวเอง(ว่ามันยังดี ทั้งที่ทั้งโลกรู้ว่าไม่ดี) การรับฟังแต่มุมมองแง่ดี(จากผู้บริหาร) การดื้อรั้น ถือทิฐิ เป็นศัตรูตัวฉกาจของนักลงทุน

บทเรียนที่ 5 ฟองสบู่ ไม่มีฟองสบู่ไหน ที่ไม่แตก ช้าหรือเร็วเท่านั้น ในตลาดหุ้นไทย ชัดเจนว่าฟองสบู่ในหุ้นบางกลุ่มได้แตกแล้ว เช่น กลุ่มพลังงานทดแทน หุ้นในกลุ่มนี้ตกอย่างหนัก มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ปัจจัยพื้นฐานที่รองรับ ตัวที่มีแต่ลมปาก หุ้นก็ลงหนัก ตัวที่ดีหน่อย ก็ลงน้อยหน่อย มีคำอธิบายที่ชัดเจนของบริษัทเล็กๆแห่งนึงที่แจ้งตลาด ยกเลิกการลงทุนด้านพลังงานว่า “สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากก่อนหน้านี้” ราคารับซื้อต่อหน่วยที่ลดลง การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สูงขึ้นมหาศาล สุดท้าย กำไรที่เคยมากกว่าปกติ ก็กลับมาน้อยกว่าปกติ คนที่เอากำไรในอดีต เป็นตัวแทนเพื่อคาดการณ์กำไรในอนาคต ย่อมได้ตัวเลขที่ผิดเพี้ยน ตัวเลขที่ดีดูเกินจริง ราคาหุ้นแพงเกินไป ส่วนผสมที่ลงตัวของฟองสบู่ ฟองสบู่หุ้นปั่น ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเล็กๆที่มีมูลค่าตลาดต่ำๆ เมื่อคนปั่นได้ตกลงกับเจ้าของเดิมเรียบร้อยแล้ว หรือสะสมหุ้นในมือจนมากพอ กระบวนการปั่นก็เริ่มขึ้น เป็นวิธีที่ซ้ำซาก จำเจ เหมือนละครน้ำเน่า แต่กลับได้ผลดีทุกครั้ง เพียงแต่ ตอนจบไม่ได้ happy ending เหมือนละคร แต่เป็นอย่างนี้..
รูปภาพ

ศัตรูของเราไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่มันคือตัวเราเอง ความโลภที่ควบคุมไม่ได้ การรวยอย่างง่ายๆนั้น ไม่เคยมีจริง

ฟองสบู่หุ้นไอพีโอ อาจยังไม่ได้แตกชัดเจน แค่มีรอยปริ หุ้นที่เพิ่งเข้าตลาด ยังไม่มีราคาอ้างอิง อาศัยความ “สดและซิง” ในกลุ่มหุ้นขนาดเล็ก คนที่เข้าไปซื้อหวัง “ปาฎิหาริย์” ซ้ำรอย ที่เคยเกิดขึ้นกับหุ้นใหม่บางตัว ที่มีเจ้ามือเข้าไปทำราคาให้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จนคนเข้าไปซื้อด้วย ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ความจริงคือ จ้าวมือหุ้นไม่ใช่มูลนิธิการกุศลแต่เป็นการล่อแมงเม่าเข้ากองไฟด้วยความโลภ ซื้อหุ้นด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ หวังฟลุค มันก็พิสูจน์ว่าส่วนใหญ่จะขาดทุนไม่มากก็น้อย ในกลุ่มหุ้นไอพีโอขนาดใหญ่ แต่ตั้งราคาขายในราคาที่สูงลิบ (พีอี) ทั้งที่ธุรกิจไม่ได้เติบโตขนาดนั้น ประกอบกับมูลค่าการระดมทุนที่ใหญ่ ไม่มีใครกล้าเป็นจ้าวมือ multipulate สุดท้ายราคาหุ้นก็ลดลงตามพื้นฐานที่ควรจะเป็น ตัวบ่งชี้ที่พูดกันสนุกๆ แต่เป็นเรื่องจริงคือ “หุ้นไอพีโอดีๆ ไม่เคยถึงมือรายย่อย ถ้าถึงมือรายย่อย มักจะไม่ดี”


16 ปีของการลงทุน มีบางอย่างที่ผมเชื่อมั่นขึ้นทุกวัน เชื่อทุกวินาที เชื่อโดยไม่มีข้อสงสัย ว่าหลักการลงทุนที่ดี ได้ผล มีอยู่จริง นั่นคือหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า การซื้อของ สินค้า หรือบริษัท ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น เพิกเฉย หาประโยชน์จากความผันผวน เราจะขาดทุนได้อย่างไร ผมเชื่อว่า เมื่อผมทำได้ คนอื่นก็น่าจะทำได้ โดยเฉพาะคนที่มีต้นทุนสังคมสูงกว่า แต่ความจริงที่ผมเริ่มทำใจยอมรับคืออาจไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับการเป็นนักลงทุน ในสังคมที่หลากหลาย บางคนชี้แนะเล็กน้อย ก็เข้าใจ หลายคนมีความตั้งใจ แต่ต้องเรียนรู้ หลายคนมีแต่ความปราถนา (อยากรวย) แต่ไม่อยากลงมือทำ!! ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเล็กๆน้อยๆจากผม

สำหรับคนที่อยากรวย แต่ไม่อยากลงมือทำ ไม่มีแรงพลักดันเพียงพอ ไม่ใช่ความผิดของท่าน ท่านอาจถนัดอย่างอื่น แต่ท่านก็ต้องลงทุนในหุ้นอยู่ดี หากไม่อยากเกษียณแบบอดๆอยากๆ เพียงแต่ท่านไม่ต้องลงมือทำเอง ปล่อยให้มืออาชีพบริหารเงินให้ท่าน โดยการซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น การบ้านเล็กน้อยคือต้องดูว่าฝีมือการบริหารงานในอดีตเป็นอย่างไร แม้ไม่ได้การันตีอนาคต แต่ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย งานต่อมาคือวินัยในการใส่เงินเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรถอนออกมาใช้ (หากไม่จำเป็นมากๆ ปล่อยให้กำไรทบต้น) การบ้านสุดท้ายคืออย่าไปดูราคา(กองทุน) บ่อยๆ เพราะท่านจะทนความผันผวนไม่ได้

สำหรับคนที่อยากรวย แต่ไม่ได้เก่ง ไม่ได้ฉลาดมาก ไม่ได้มีแพสชั่นมากมาย คุณสามารถเอาชนะ ด้วยความสม่ำเสมอ ระยะเวลาที่นานพอ ต่อให้ทำผลตอบแทนแย่ๆ ก็สามารถเอาชนะคนเก่งผลตอบแทนสูงๆ แต่เริ่มต้นช้ากว่า ระยะเวลาในการลงทุนคือตัวแปรที่สำคัญที่สุดตัวนึงในสมการมหัศจรรย์การทบต้น โชคดีที่ธรรมชาติมอบตัวแปรนี้ให้ทุกคนเท่าๆกัน บางคนสามารถขยายมันโดยการเริ่มให้เร็ว ตายให้ช้า ถ้าไม่เก่ง ก็ต้องอึด!!

สำหรับคนที่อยากรวย พร้อมที่จะลงมือทำด้วยแพสชั่น ลองเชื่ออย่างนี้

ไม่มีอะไรจะหยุดคุณได้ ถ้าใจคุณเอา
เรื่องยากจะกลายเป็นง่าย
คำว่ายาก ไกล ไม่มีเวลา ไม่เคยอยู่ในหัว
ไม่มีความรู้ใดๆที่ยากสำหรับคุณ
งานของคนอื่น แต่คือการพักผ่อนของคุณ
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วิกฤติ เราจะยืนเด่น ท้าทาย องอาจ ทรนง
ต้องพร้อมที่จะทำ เพื่อให้สมควรได้รับ
หุ้นตก พอตแดง เป็นส่วนหนึ่งของเรา
บัญชีคือเรื่องของเด็กประถม ปอ4
ตลาดหมีได้หว่านเมล็ดพันธ์แห่งตลาดกระทิงเอาไว้
อยากเป็นคนยิ่งใหญ่ เราต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
คนยิ่งใหญ่ ต้องโดนทดสอบ
คนรวย ยังไม่ใช่คนที่ยิ่งใหญ่
เส้นทางคนยิ่งใหญ่ ไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือได้มาโดยง่าย
ชนะตัวเอง ยิ่งใหญ่ที่สุด







สิ้นปี 2558 ที่ผ่านมา เป็นวันครบวาระในต่ำแหน่งนายกสมาคมของผม ขอบคุณทุกๆท่าน ทั้งอาจารย์ กรรมการ สมาชิกทุกท่าน ที่ช่วยกันสร้างสรรค์สังคม TVI ให้เป็นสังคมแห่งคุณค่า น่าจะพูดได้เต็มปากว่าเป็นสังคมนักลงทุนหุ้นที่มีคุณภาพมากที่สุดระดับต้นๆของประเทศไทย อาจจะคึกคักน้อยลงบ้าง ตามสภาวะตลาดและเทคโนโลยีการสื่อสารที่เปลี่ยนไป จากนี้ท่านนายกสมาคมคนใหม่ จะเข้ามารับช่วงทำงาน พัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อให้สังคมของเราก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไปครับ
Kohkeerati
Verified User
โพสต์: 10
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1133

โพสต์

theenuch เขียน:ขออนุญาตยกมาไว้ตรงนี้ เผื่อมีใครหลงตาไป
และ "เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กระทู้ VI บ้านๆ ของพวกเรา" ค่ะ
ขอบคุณนายกโจมากๆ...รู้สึกซึ้งใจเกินจะกล่าวข้อความใดๆ ต่อ
อยากให้ทุกๆ คนได้อ่านค่ะ

ลูกอิสาน เขียน:ขอพื้นที่เล็กๆตรงนี้ กราบสวัสดีปีใหม่ปี 2559 พี่ๆ น้องๆ สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า ทุกท่าน กราบสวัสดีอาจารย์ ดร.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ พี่ปรัชญา พี่ครรชิต ลุงขวด เฮียคลายเครียด พี่หมอ jfk พี่กะละมัง พี่พี พี่วัฒน์ พี่หมอพงศ์ศักดิ์ พี่หลิน พี่หนิง พี่กุ๊ก พี่หมอสามัญชน พี่พรรณ พี่ไก่ พี่มน พี่บู พี่วิบูลย์ พี่นัน พี่ตี้ พี่จรัญ พี่แมว พี่บัวดิน หมอหนึ่ง พี่เวป พี่ฉัตร พี่ชาย พีเจ๋ง พี่นริศ พี่พอใจ พี่นุช พี่อมร ขอคุณพระศรีรัตนตรัย คุ้มครองให้ทุกท่านปลอดภัย สุขกาย สบายใจ พอร์ตหุ้นเฟื่องฟูลอย ตลอดปีตลอดไปครับ


ตลาดหุ้นปี 2558 เป็นปีที่ไม่น่าจดจำนักสำหรับนักลงทุน ดัชนีเซ็ทอยู่ในระดับสูงสุดตอนต้นปี และค่อยๆไหลลง และลดลงอย่างรวดเร็วในตอนสิ้นปี ดัชนีเริ่มต้นปีที่ 1497.67 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1619.77 ต่ำสุดที่ 1251.99 และปิดสิ้นปีที่ 1288.02 จุด ตลาดให้ผลตอบแทนเป็นเลขกลมๆที่ - 14% รวมเงินปันผลเฉลี่ยเป๊ะ 3 % ผลตอบแทนรวมเท่ากับ -11% ทั้งปีมีหุ้นเข้าใหม่ประมาณ 33 บริษัท เพิกถอนออกไป 7 สุทธิปลายปีมีหุ้นประมาณ 639 บริษัท ตลาดหุ้นไทยติดอันดับตลาดที่ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดใกล้เคียงกับตลาดสิงคโปร์ ในขณะกลุ่มที่ดีที่สุดคือตลาดหุ้นจีน เยอรมัน ฝรั่งเศส ให้ผลตอบแทนประมาณ 10%

ผลตอบแทนส่วนตัว ยังน่าพอใจ แม้จะลดลงตามสถาวะตลาดบ้าง ไม่มีเงินกู้ ถือหุ้นเฉลี่ย 90 กว่า% ตลอดทั้งปี Cocktail Portfolio ยังทำงานได้ดีเหมือนเดิม โดยมีหุ้นเพิ่มเป็นเฉลี่ยประมาณ 40 ตัว (ไม่รวมที่ถืออีก 15 ตัวในตลาดหุ้นเวียดนาม) ตัวที่ถือสูงสุดไม่เกิน 10% ของพอร์ต ข้อดีของการถือหุ้นหลายตัวคือมันเปิดโอกาสให้เราผิดพลาดได้พอสมควร ผลบวกจากหุ้นดีๆจะไปกลบผลขาดทุนของหุ้นที่ติดลบได้ทั้งหมด เพียงแต่เวลากำไร ต้องกำไรมากๆ เพื่อไปชดเชยกับขาดทุนน้อยๆของหุ้นหลายตัว หุ้นที่ให้ตอบแทนดีๆ ยังเป็นหุ้นเติบโต และหุ้นฟื้นตัว ส่วนหุ้นที่ทำให้ขาดทุน(หนักๆ)ส่วนใหญ่ อยู่ในกลุ่มหุ้นวัฏจักรที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ส่วนนึงที่ยังทำผลตอบแทนได้เป็นบวก ทั้งที่ตลาดติดลบ คือการใช้ตราสารอนุพันธ์บางส่วน (TFEX set 50) เพื่อปกป้องความเสี่ยงจากตลาดขาลง (มิใช่เพื่อเก็งกำไร) ประกอบกับกระจายพอร์ตไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม (6%) ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดี

เรื่องราวในตลาดหุ้นตลอดปี 2558 มีประเด็นที่น่าสนใจหลายเรื่อง ที่ควรขยายความ

ดอกไม้ในทะเลทราย แม้ในขณะที่ดัชนีลดลงพอสมควร กลับมีหุ้นหลายตัว หลายกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนที่ดี บางตัวก็ดีมากๆ เช่นกลุ่มสินเชื่อรายย่อยแบบมีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน (MTLS SAWAD KTC GL) กลุ่มท่องเที่ยว (MINT CENTEL SPA AOT) กลุ่มโรงพยาบาล (ฺBCH BDMS BH CHG) กลุ่มพลังงานบางตัว (TASCO PTG TOP IRPC) กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไป (EPG FSMART MCS BEAUTY HFT COM7) หน้าที่ของนักลงทุนคือค้นหาหุ้นเหล่านี้ แม้ไม่ใช่งานง่าย แต่มีนักลงทุนบางรายที่ยังทำได้จริงๆ หุ้นที่ราคาเพิ่มขึ้น สวนทางดัชนีตลาดรวมที่ปรับลดลง สะท้อนความจริงที่ว่าผลประกอบการคือทุกอย่าง หุ้นทุกตัวข้างต้น กำไรปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญทุกตัว การทำผลตอบแทนดีๆไม่จำเป็นต้องรอซื้อหุ้นตอนวิกฤติ(เพราะช่วงวิกฤติ มีเงินใช่จะกล้าซื้อ) การสร้างผลตอบแทนดีๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดัชนีตลาดรวม แต่ขึ้นกับการซื้อหุ้นดีๆ ในราคาที่สมเหตุสมผล

บลูชิพกลายเป็นบลูฉิบ หุ้นบลูชิพ (Blue-chip) มีที่มาจากการพนันในบ่อนคาสิโน เหรียญฟ้าหรือ Blue-chip คือเหรียญที่มีมูลค่ามากที่สุด ราคาแพงที่สุด หากนำมาเปรียบเทียบกับหุ้นก็เหมือนกับหุ้นขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่ง มั่นคง เป็นผู้นำมีชื่อเสียง กำไรไม่ผันผวน นักลงทุนมักซื้อหุ้นเหล่านี้เพราะ “คุ้นเคย มั่นคง ไว้ใจได้” ถ้าซื้อไว้ โดยเฉพาะตอนที่ตลาดมีความไม่แน่นอน คงจะไม่ขาดทุน ความเชื่อนี้ ใช้ไม่ได้ในปี 2558 หุ้นเหล่านี้ ในกลุ่มน้ำมัน (PTT PTTEP) กลุ่มธนาคาร (KBANK SCB BBL KTB) และโดยเฉพาะในกลุ่มสื่อสาร (ADVANC INTUCH DTAC) ราคาลดลงมากอย่างไม่น่าเชื่อ ความเชื่อก็คือความเชื่อ และมักจะโดนหักล้างด้วยสิ่งที่แน่นอนกว่า คือความจริง

ราคาน้ำมัน จากที่เคยขึ้นไปสุงสุด 100 กว่าเหรียญต่อบาเรล ลดลงเหลือไม่ถึง 40 เหรียญ เป็นความจริงที่ไม่น่าเชื่ออีกเรื่องนึง สาเหตุจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นมากกว่าการใช้ รวมถึงซัพพลายส่งออกใหม่จากประเทศอิหร่าน สหรัฐอเมริกา ราคาน้ำมันที่ลดลงเกินครึ่ง ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษกิจเป็นลูกโซ่ ราคาน้ำมันที่ลด ส่งผลให้สินค้าคอมโมดีตี้ ลดลงเกือบทุกชนิด กระทบกับเศรษกิจทั้งโลก ที่กระทบมากที่สุดคือประเทศที่ส่งออกน้ำมันและคอมโมดิตี้ เช่นกลุ่มตะวันออกกลาง บราซิล นอร์เว รัสเซีย ออสเตรเลีย ประเทศนำเข้าน้ำมันอย่างประเทศไทย ซึ่งควรจะได้รับผลดีจากการได้ซื้อน้ำมันที่ถูกลง กลับโดนหักล้างจากเหตุผลที่ว่า ราคาน้ำมันที่ลด ทำให้สินค้าหลักของไทย ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง ราคาลดลงด้วย ปริมาณการส่งออกก็ลดลง เพราะความต้องการของคู่ค้าต่างประเทศก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน เราเคยเชื่อว่าน้ำมันราคาแพง ทำให้เศรษกิจไม่ดี ต่อไปนี้ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่!

หุ้นคุณฆ่าวีไอ ปีที่ผ่านมา มีหุ้นหลายตัวที่นักลงทุนแนววีไอได้เข้าไปซื้อเพราะมีคุณสมบัติบางประการที่ “อาจจะ”เข้าข่ายหุ้นวีไอ แต่ต่อมาราคาได้ลดลงมาก สร้างความเสียหายอย่างหนัก พาลทำหลายคนให้เริ่มหวั่นไหวและตั้งคำถาม ว่าหลักการวีไอยังใช้ได้ดีหรือไม่ หุ้นเหล่านี้มีหลายรูปแบบ หุ้นประเภทแรก ซื้อขายที่ P/E ค่อนข้างต่ำ มีเงินปันผลดี หนี้สินไม่สูง ผู้บริหารเก่ง ดูโดนรวมก็น่าจะเป็นหุ้นที่ดี แต่อนิจจาราคาหุ้นลดลงมากกว่าครึ่ง สาเหตุเพราะเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์หรือผูกติดกับอุตสาหกรรมน้ำมัน เมื่อราคาสินค้าลดลง ผู้ผลิตก็ต้องลดการผลิต งานที่เคยมี ก็ลดหรือเลื่อน หลายโครงการยกเลิก ราคาสินค้าที่ลดลง ทำให้เกิดการขาดทุนสินค้าคงคลัง ราคาต่อหน่อยลด ปริมาณการขายก็ลด ยอดขายตก เมื่อกำไรลด P/E ที่เคยต่ำก็สูงขึ้น ปันผลลด ราคาหุ้นก็ลดเช่นกัน หุ้นประเภท 2 เป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติบางอย่างเข้าข่ายหุ้นวีไอ เป็นหุ้นที่เน้นการเติบโต นักลงทุนให้ค่าการเติบโตสูงลิ่ว จนไม่มีที่ว่างให้กับความผิดพลาด (MOS) แต่เมื่อความจริงปรากฎ หุ้นบางตัวไม่ได้มีความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริง เป็นแบรนด์สินค้าที่ลูกค้าไม่ได้มีความภักดี บางตัวได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษกิจ สินค้าเลียนแบบได้ง่าย หุ้นบางตัวถึงแม้มีการเติบโตของผลกำไร แต่ไม่ได้มากมายเท่าที่คิด ราคาหุ้นที่ขึ้นไปด้วยความหวังก็พังทลายลงมา เข้าข่ายหุ้นดี แต่ซื้อที่ราคาแพง ก็หมดตัวได้ ประเภท 3 เป็นหุ้นหลอกวีไอ บริษัที่หิวเงินและมีผู้บริหารที่ไม่ซื่อสัตย์ จะกล่าวอ้าง โอ้อวดเกินจริง ให้นักลงทุน(วีไอ) หลงเคลิบเคลิ้ม จะมีโปรเจคโน้น นี้ กำไรเท่านั้นเท่านี้ แต่พอได้เงินก็ออกลาย นำเงินไปละเลงในธุรกิจที่แปลกๆ ไม่สมเหตุสมผล ดูน่าเคลือบแคลง หากมีนักลงทุนตั้งข้อสังเกต โจมตี ก็ข่มขู่จะฟ้องร้อง แม้กระทั่ง กลต.ยังไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก

หุ้นเหล่านี้เป็นเสมือนกับดัก ที่อาจทำให้นักลงทุนเข้าใจผิด ความรู้ที่ถูกต้องจากเหล่าอาจารย์เท่านั้น ที่จะทำให้เราแยกแยะ ของแท้ออกจากของเทียมได้ การกระจายความเสี่ยง ก็สามารถช่วยปกป้องความเสียหายได้ วอร์เรนเคยพูดว่า “ความเสี่ยงเกิดจากการไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” บางคนตีความประโยคนี้ไปสุดโต่ง เลยถือหุ้นตัวเดียว เพราะคิดว่า รู้ทุกอย่าง เมื่อรู้ทุกอย่าง ก็คือไม่เสี่ยง อาจะลืมคิดไปว่า เราไม่ได้รู้ทุกอย่างในบริษัทหรือทุกอย่างในโลกนี้ ความเสี่ยงบางอย่างเรารู้ เราป้องกัน ความเสี่ยงบางอย่าง เราไม่รู้ เราจึงไม่เคยป้องกัน คนเก่งๆมากมายแต่กลับล้มเหลวเพราะประมาณความรู้ตัวเอง สูงเกินไป ต่อให้มีมากแค่ไหน ทำดีมาแค่ไหน คูณด้วย 0 มันก็หมดความหมาย

สื่อสารกลายเป็นสุสาน ดราม่าส่งท้ายปีของตลาดหุ้นไทยคือการประมูลคลื่น 4 G ของกลุ่มโทรศัพท์มือถือ ซึ่งผลที่ออกมาส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นอย่างรุนแรง เมื่อมีการทุ่มเงินประมูลกันอย่างเอาเป็นเอาตาย และมีผู้เล่นรายใหญ่ประมูลคลื่นได้ไป สิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอนย่อมส่งผลต่อการแข่งขันในอุตสาหรรมที่เคยมีแค่ 3 ราย ราคาประมูลที่สูงติดอันดับโลก ย่อมส่งผลต่อศักยภาพการทำกำไร ไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก บางบริษัทราคาลดลงถึง 1/3 ของราคาสูงสุด ที่เหลือก็ลดมากกว่าครึ่ง หลายคนที่ถือหุ้นในกลุ่มนี้ จากที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าเป็น safe heven ปันผลดี มั่นคง กลับกลายเป็นหลุมสุสานที่ฝังนักลงทุน สิ่งที่เราคิดว่าปลอดภัย ที่จริงไม่ได้ปลอดภัยจริง ความเสี่ยงที่ซ่อนเอาไว้ โผล่ออกมา หลายคนก็รับมือไม่ทันแล้ว หุ้นที่ท่านถือ มีความเสี่ยงแบบนี้หรือเปล่า โปรดระวัง น่าแปลกใจยิ่งกว่า ก่อนหน้านี้ ต้นปี ไม่เคยมีนักวิเคราะห์ กูรู คนไหน ที่ออกมาเตือน สะกิด ให้นักลงทุนรับรู้ความเสี่ยงจากการประมูลนี้เลย คนเก่งๆยังไม่รู้ ธุรกิจที่พื้นฐานกลับหน้ามือเป็นหลังเท้า ภายในเวลาไม่กี่วัน คำถามคือ นี่คือธุรกิจที่ดีแน่หรือ?


คุณค่าธรรมภิบาล ดราม่าอีกเรื่องของตลาดหุ้นไทยคือการใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้นของผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ ราคาหุ้นของบริษัทที่ว่า ลดลงอย่างมาก ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับผลประกอบการของบริษัทนั้น เห็นได้ชัดเจนว่า นักลงทุนในปัจจุบันให้คุณค่าของบริษัทที่บริหารอย่างโปร่งใส โดยผู้บริหารที่ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นนิมิตรหมายที่ดีของตลาดหุ้นไทย รวมถึงประเทศไทยด้วย นักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่ ย่อมมีทางเลือก บางคนเลือกที่จะขายหุ้นเพราะไม่สบายใจที่จะถือหุ้นที่ผู้บริหารมีปัญหาธรรมภิบาล บางคนก็เลือกที่จะถือหุ้นต่อไป เพราะไม่ได้กระทบกับพื้นฐานของบริษัทโดยตรง บางคนที่ไม่เคยถือหุ้น อาจอาศัยจังหวะที่ราคาหุ้นลดลง เข้าไปซื้อ

คนเราย่อมมีเหตุผลทุกการกระทำ มีมุมมองต่อชีวิต ต่อโลกที่ต่างกัน คนที่คิดต่างจากเรา กระทำต่างจากเรา ไม่ใช่คนผิด เพราะที่จริง เราอาจจะผิดเองก็ได้ (หรือเราทำถูกทุกอย่าง?) และบางเรื่อง ก็เป็นความเชื่อ ซึ่งไม่มีผิดหรือถูก เราอาจจะแสดงจุดยืน ความเห็นได้ แต่อย่าได้พยายามให้คนอื่น ต้องคิดเหมือนเรา การเคารพคนอื่น เราจะได้การเคารพกลับมาเช่นกัน

นอกเหนือจากกรณีของบริษัทยักษ์ใหญ่ ยังมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับธรรมภิบาล อาจโด่งดังน้อยกว่า แต่กระทบต่อกิจการชัดเจนกว่า เช่นบริษัทรับเหมาแห่งนึง ที่งบการเงินล่าสุดต้องรับรู้ผลขาดทุนจำนวนมาก จากงานก่อสร้างที่ผิดพลาด นักลงทุนรู้เมื่องบออก (หุ้นก็ลงมาแล้ว) แต่ผู้บริหารรู้มานาน ตั้งแต่ลูกค้าขอเคลมความเสียหาย คำถามคือทำไมรายการที่มีนัยสำคัญนี้ ไม่แสดงในหมายเหตุงบการเงิน อีกกรณีศึกษา เป็นหุ้นพัฒนาอสังหา มีสินทรัพย์เป็นที่ดินนับหมื่นล้าน (ไม่ใช่หมื่นบาท :evil: ) ซ่อนอยู่ในบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน ไม่มีใครรู้ ถ้าเรื่องไม่แดง จากคำสั่งศาลที่สั่งให้ชำระความเสียหายจากคดี

ปัญหาธรรมภิบาลที่เกิดจากทุกภาคส่วน ผู้บริหารที่ยักยอกเงิน กินหัวคิว ผ่านรายการซื้อขายแปลกๆ การใช้ข้อมูลภายในที่ยังไม่เผยแพร่ นักลงทุนรายใหญ่ที่มีพฤติกรรมปั่นหุ้น(หลายครั้งสมรู้กับผู้บริหาร) การเข้าหาผู้บริหารเพื่อหวังข้อมูลภายใน ร่วมมือกับโบรคเกอร์เพื่อชี้นำบทวิเคราะห์ที่ตัวเองมีส่วนได้เสีย นักลงทุนรายย่อย ที่แทบไม่มีอำนาจต่อรอง แต่หากมีโอกาสล่วงรู้ข้อมูลภายใน ก็ทำเหมือนกัน เหล่านี้เป็นเรื่องที่เราได้ฟัง ได้ยิน เป็นปกติในตลาดหุ้นไทย ทั้งที่ผิดกฎหมาย หรือไม่ผิด แต่ไม่เหมาะสม หากเรามีกฎหมายที่กำหนดบทลงโทษที่ชัดเจน เด็ดขาด การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เรื่องราวเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร (ถ้ามีก็น้อย) คำอธิบายจาก กลต.ที่คุมกฎคือ “กฎดีอยู่แล้ว แต่จะเพิ่มการบังคับใช้” อยากถามว่า ถ้ากฎดีอยู่แล้ว ทำไมยังมีคน “กล้าเสี่ยง” ที่จะทำ บทลงโทษเบาหวิวจนคุ้มค่าที่จะลองทำใช่หรือไม่ การบังคับใช้กฎหมายที่บอกว่าจะเข้มข้นขึ้น แน่ใจได้อย่างไรว่าจะทำได้ แล้วในอดีตทำไม ทำไม่ได้ เป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องทำ และควรทำให้ดี ตลาดหุ้นควรเป็นแหล่งระดมทุน ไม่ใช่บ่อนที่มีจ้าวมือ หากนักลงทุนไม่หวังพึ่งท่าน เราจะหันหน้าไปพึ่งใคร!!



Chinese Effect น่าสังเกตว่ามีหุ้นหลายตัวที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น (AOT BAFS SPA BEAUTY AAV BA CENTEL MINT) หุ้นเหล่านี้มีกำไรที่เพิ่มขึ้นส่วนทางกับเศรษกิจโดยรวมที่ไม่ดี เมื่อศึกษาลึกๆถึงสาเหตุ พบว่าบริษัทส่วนใหญ่ได้รับผลดีจากนักท่องเที่ยว เจาะจงลงไปคือนักท่องเที่ยวจีน เศรษกิจที่ขยายตัวต่อเนื่องหลายปี ทำให้ประชาชนจีนพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นชนชั้นกลางที่ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเหมือนคนอื่นๆทั่วโลก ผนวกกับการเกิดขึ้นของสายการบินราคาถูก ทำให้เกิดการไหลทะลักของนักท่องเที่ยวจีนไปต่างประเทศ ประเทศไทยได้รับผลดีอย่างชัดเจน เป็น destination ที่สำคัญ อาจะด้วยระยะเวลาเดินทางที่ไม่ไกลนัก วัฒนธรรมที่เป็นมิตร ค่าใช้จ่ายไม่แพง เราจะพบนักท่องเที่ยวจีนทุกหนทุกแห่งในประเทศไทย วัดพระแก้วคลาคล่ำแทบไม่มีที่จะเดิน ในรถไฟฟ้า เครื่องบินในประเทศ ร้านอาหาร แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยบางแห่ง บางคนอาจทำกริยาที่ไ่ม่เหมาะสมบ้าง โปรดให้อภัย :8) ถือว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้กำลังหล่อเลี้ยงประเทศไทย โดยการกิน ใช้ ซื้อของฝาก กิจการที่สามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว ย่อมได้รับผลดี พลังอำนาจซื้อของนักท่องเที่ยวจีน เป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องให้ความใส่ใจ

หุ้นขึ้น เราได้เงิน ไม่ได้บทเรียน
หุ้นลง เราได้บทเรียน แต่ไม่ได้เงิน




บทเรียนแรก ในช่วงต้นปีที่ทุกอย่างดูสดใส อยู่ในช่วงฮันนีมูนของรัฐบาลใหม่ ดัชนีผ่านตัวเลขสำคัญคือ 1600 จุด หลายคนคิดว่ามีโอกาสสูงที่ดัชนีจะผ่าน 17xx จุดสูงสุดตลอดกาลที่เคยทำไว้เมื่อประมาณ 20 ปี ที่แล้ว !! แต่ณ.จุดนั้นผมกลับรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่เคยเลย ที่ผมไม่มีหุ้นต่ำกว่ามูลค่าให้ซื้อ ณ.ตอนนั้นเป็นอย่างนั้นจริง ผมกลัว แต่ไม่ได้ทำอะไร จนกระทั่งดัชนีค่อยๆไหลลง จากสารพัดปัญหาที่รุมเร้าประเทศ ผมจะจำไว้ว่า เมื่อไหร่ที่ไม่มีหุ้น(ต่ำกว่ามูลค่า)ให้ผมซื้อ แทนที่จะดันทุรังซื้อ ผมอาจจะพิจารณาขาย หรืออย่างน้อย ต้องยกการ์ดให้สูง!! :roll:

บทเรียน 2 ตลาดหุ้นเป็นแหล่งรองรับอารมณ์ของโลกนี้ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในโลกนี้ ตลาดหุ้นจะตอบสนองไวที่สุด ทั้งปีมีเหตุการณ์สำคัญๆเช่น เหตุระเบิดที่ราชประสงค์ จีนลดค่าเงินหยวน ปัญหากรีซ เรื่องอื้อฉาวของโฟคสวาเก้น สงครามกลุ่มไอเอส ก่อการร้ายในปารีส การขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ของเฟด การขายของนักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนที่รอบรู้ ต้องรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นแน่นอน และจะเกิดขึ้นอีก การภาวนาให้ตลาดหุ้นไม่ผันผวน ราคามีแต่ขึ้นไม่มีลง เหมือนภาวนาให้โลกนี้มีแต่ผู้ชาย ท้องฟ้ามีแต่ดวงอาทิตย์ ซึ่เป็นไปไม่ได้ หากเราไม่ทำตัวเองให้อ่อนแอ เราจะกังวลทำไม (การทำตัวให้อ่อนแอเช่น การกู้เงินมาซื้อหุ้น การถือหุ้นตัวเดียว) ทั้งข่าวดี ข่าวร้าย ในตลาดหุ้นไม่เคยว่างเว้น เหมือนฤดูกาลที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา การตระหนักถึงมัน เตรียมพร้อมทั้งกายและใจ เตรียมกลยุทธิ์รับมือ พิสูจน์แล้วว่า ดีกว่าการพยายามทึกทัก ทำนาย ว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่ วันไหน ซึ่งควรเป็นงานของพระเจ้า!!

บทเรียนที่ 3 จุดที่น่ากลัวที่สุด อาจเป็นจุดที่ดีที่สุด ในวันที่มีเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ ตลาดหุ้นมีการตอบสนองอย่างรุนแรงกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างกลุ่มโรงแรมและการท่องเที่ยว ที่ชัดเจนคือไมเนอร์ คอร์ปเปอเรชั่น ซึ่งเป็นหุ้นที่มูลค่าตลาดมากที่สุด ราคาตกลงเหลือ 22 บาท ต่อมาเมื่อข่าวร้ายผ่านไป ตลาดเริ่มรับรู้ว่ากลุ่มไมเนอร์มีธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร มีการกระจายแหล่งรายได้ไปต่างประเทศค่อนข้างมาก ราคาก็ค่อยขยับฟื้นตัวขึ้นมา และปิดสิ้นปีที่ 35 บาท หากเราเข้าซื้อที่จุดที่ราคารับรู้ข่าวเต็มที่ และเชื่อว่าเป็นปัจจัยกระทบชั่วคราว ผ่านมาแค่ไม่กี่เดือน เราจะได้กำไรประมาณ 60 % จากหุ้นที่มีขนาดใหญ่ ที่ไม่ควรมีผลตอบแทนที่สูงผิดปกติเช่นนี้ ผลตอบแทนที่มากกว่าปกติ มักมาจากเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ ไม่ใช่วิกฤติ เป็นโอกาส โลภในเวลาที่คนอื่นกลัว

บทเรียนที่ 4 โลภในเวลาที่คนอื่นกลัว ใช้ไม่ได้ผลกับกรณี SSI นักลงทุนคนใดที่ไม่กลัว และเข้าไปซื้อกิจการนี้ ณ.ต้นปีที่ราคา 29 สตางค์ จะพบว่าเงินลงทุนหดหายไปถึง 90 % เพราะปลายปีราคาลดลงเหลือแค่ 3 สตางค์!! ก็คงเหมือนคำพูดของเฮียคลายเครียดที่ว่า

“จินตนาการที่มีความรู้ กับจินตนาการที่ไม่มีความรู้หนุนหลัง” ย่อมให้ผลลัพธิ์ที่ต่างกัน

บริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่รายนี้ของไทย ที่ต้องการปิดจุดอ่อนเรื่องวัตถุดิบ โดยการขยับไปทำต้นน้ำมากขึ้นคือโรงถลุง ตัวเลขทางการเงินที่ชงโดยที่ปรึกษาทางการเงินก็ดูดีเหมาะสมไปหมด จะลดต้นทุนได้กี่หรียญต่อตัน กำไรเท่าไหร่ จะคืนทุนภายในกี่ปี ภายใต้สมมุติฐานที่วางไว้ คำนวณไว้พร้อมสรรพ ใครได้ฟังแล้วก็เคลิ้ม เหล่าคนดังๆเข้าไปซื้อกันเพียบ รวมถึงผมก็ด้วย ซื้อที่ 1.19 บาท ต่ำกว่าราคาเพิ่มทุนที่ 1.2 ตั้ง 1 สตางค์ แต่กาลเวลาก็ค่อยๆเผยจุดอ่อนออกมา จุดตายคือสมมุติฐานที่อิงอยู่กับราคาสินค้าในตลาดโลก ทั้งแร่เหล็ก เหล็กแท่งบิลเล็ต ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อน เมื่อเวลาผ่านไป เหตุปัจจัยมากมาย ส่งผลต่อราคาสินค้าที่ว่า สมมุติฐานที่ดูมีเหตุผล กำไรจะมากมาย กลับกลายเป็นความจริงที่ว่าขาดทุนมหาศาล ทุกๆตันที่ผลิตขาดทุน ต่อให้ผลิตเต็ม 100% ก็ยังขาดทุน แม้ผู้บริหารใจยังสู้ เพิ่มทุนหลายรอบ ก็ฝืนความจริงไม่ได้ ผมได้ตัดขายไปที่ 80 สตางค์!! เพราะเริ่มยอมทำใจยอมรับได้ว่า “คิดผิด” ถ้าหากยังถือด้วยอีโก้ คงเหลือแต่กางเกงใน :( แต่อย่างน้อยยังได้บทเรียนบางอย่าง

- เมื่อไหร่ที่ความสามารถในการทำกำไรของกิจการ ขึ้นอยู่กับราคาสินค้าในตลาดโลก(ที่ควบคุมไม่ได้) คุณต้องระวังให้มากกว่าปกติ
- คนเก่ง คนฉลาด การศึกษาดี ก็มีวันผิดพลาด นายธนาคารที่ปล่อยกู้ ที่ปรึกษาการเงินระดับโลก นักลงทุนที่มืชื่อเสียง ไม่มีใครเฟอเฟคท์
- การหลอกตัวเอง(ว่ามันยังดี ทั้งที่ทั้งโลกรู้ว่าไม่ดี) การรับฟังแต่มุมมองแง่ดี(จากผู้บริหาร) การดื้อรั้น ถือทิฐิ เป็นศัตรูตัวฉกาจของนักลงทุน

บทเรียนที่ 5 ฟองสบู่ ไม่มีฟองสบู่ไหน ที่ไม่แตก ช้าหรือเร็วเท่านั้น ในตลาดหุ้นไทย ชัดเจนว่าฟองสบู่ในหุ้นบางกลุ่มได้แตกแล้ว เช่น กลุ่มพลังงานทดแทน หุ้นในกลุ่มนี้ตกอย่างหนัก มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ปัจจัยพื้นฐานที่รองรับ ตัวที่มีแต่ลมปาก หุ้นก็ลงหนัก ตัวที่ดีหน่อย ก็ลงน้อยหน่อย มีคำอธิบายที่ชัดเจนของบริษัทเล็กๆแห่งนึงที่แจ้งตลาด ยกเลิกการลงทุนด้านพลังงานว่า “สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากก่อนหน้านี้” ราคารับซื้อต่อหน่วยที่ลดลง การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สูงขึ้นมหาศาล สุดท้าย กำไรที่เคยมากกว่าปกติ ก็กลับมาน้อยกว่าปกติ คนที่เอากำไรในอดีต เป็นตัวแทนเพื่อคาดการณ์กำไรในอนาคต ย่อมได้ตัวเลขที่ผิดเพี้ยน ตัวเลขที่ดีดูเกินจริง ราคาหุ้นแพงเกินไป ส่วนผสมที่ลงตัวของฟองสบู่ ฟองสบู่หุ้นปั่น ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเล็กๆที่มีมูลค่าตลาดต่ำๆ เมื่อคนปั่นได้ตกลงกับเจ้าของเดิมเรียบร้อยแล้ว หรือสะสมหุ้นในมือจนมากพอ กระบวนการปั่นก็เริ่มขึ้น เป็นวิธีที่ซ้ำซาก จำเจ เหมือนละครน้ำเน่า แต่กลับได้ผลดีทุกครั้ง เพียงแต่ ตอนจบไม่ได้ happy ending เหมือนละคร แต่เป็นอย่างนี้..
รูปภาพ

ศัตรูของเราไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่มันคือตัวเราเอง ความโลภที่ควบคุมไม่ได้ การรวยอย่างง่ายๆนั้น ไม่เคยมีจริง

ฟองสบู่หุ้นไอพีโอ อาจยังไม่ได้แตกชัดเจน แค่มีรอยปริ หุ้นที่เพิ่งเข้าตลาด ยังไม่มีราคาอ้างอิง อาศัยความ “สดและซิง” ในกลุ่มหุ้นขนาดเล็ก คนที่เข้าไปซื้อหวัง “ปาฎิหาริย์” ซ้ำรอย ที่เคยเกิดขึ้นกับหุ้นใหม่บางตัว ที่มีเจ้ามือเข้าไปทำราคาให้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จนคนเข้าไปซื้อด้วย ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ความจริงคือ จ้าวมือหุ้นไม่ใช่มูลนิธิการกุศลแต่เป็นการล่อแมงเม่าเข้ากองไฟด้วยความโลภ ซื้อหุ้นด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ หวังฟลุค มันก็พิสูจน์ว่าส่วนใหญ่จะขาดทุนไม่มากก็น้อย ในกลุ่มหุ้นไอพีโอขนาดใหญ่ แต่ตั้งราคาขายในราคาที่สูงลิบ (พีอี) ทั้งที่ธุรกิจไม่ได้เติบโตขนาดนั้น ประกอบกับมูลค่าการระดมทุนที่ใหญ่ ไม่มีใครกล้าเป็นจ้าวมือ multipulate สุดท้ายราคาหุ้นก็ลดลงตามพื้นฐานที่ควรจะเป็น ตัวบ่งชี้ที่พูดกันสนุกๆ แต่เป็นเรื่องจริงคือ “หุ้นไอพีโอดีๆ ไม่เคยถึงมือรายย่อย ถ้าถึงมือรายย่อย มักจะไม่ดี”


16 ปีของการลงทุน มีบางอย่างที่ผมเชื่อมั่นขึ้นทุกวัน เชื่อทุกวินาที เชื่อโดยไม่มีข้อสงสัย ว่าหลักการลงทุนที่ดี ได้ผล มีอยู่จริง นั่นคือหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า การซื้อของ สินค้า หรือบริษัท ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น เพิกเฉย หาประโยชน์จากความผันผวน เราจะขาดทุนได้อย่างไร ผมเชื่อว่า เมื่อผมทำได้ คนอื่นก็น่าจะทำได้ โดยเฉพาะคนที่มีต้นทุนสังคมสูงกว่า แต่ความจริงที่ผมเริ่มทำใจยอมรับคืออาจไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับการเป็นนักลงทุน ในสังคมที่หลากหลาย บางคนชี้แนะเล็กน้อย ก็เข้าใจ หลายคนมีความตั้งใจ แต่ต้องเรียนรู้ หลายคนมีแต่ความปราถนา (อยากรวย) แต่ไม่อยากลงมือทำ!! ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเล็กๆน้อยๆจากผม

สำหรับคนที่อยากรวย แต่ไม่อยากลงมือทำ ไม่มีแรงพลักดันเพียงพอ ไม่ใช่ความผิดของท่าน ท่านอาจถนัดอย่างอื่น แต่ท่านก็ต้องลงทุนในหุ้นอยู่ดี หากไม่อยากเกษียณแบบอดๆอยากๆ เพียงแต่ท่านไม่ต้องลงมือทำเอง ปล่อยให้มืออาชีพบริหารเงินให้ท่าน โดยการซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น การบ้านเล็กน้อยคือต้องดูว่าฝีมือการบริหารงานในอดีตเป็นอย่างไร แม้ไม่ได้การันตีอนาคต แต่ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย งานต่อมาคือวินัยในการใส่เงินเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรถอนออกมาใช้ (หากไม่จำเป็นมากๆ ปล่อยให้กำไรทบต้น) การบ้านสุดท้ายคืออย่าไปดูราคา(กองทุน) บ่อยๆ เพราะท่านจะทนความผันผวนไม่ได้

สำหรับคนที่อยากรวย แต่ไม่ได้เก่ง ไม่ได้ฉลาดมาก ไม่ได้มีแพสชั่นมากมาย คุณสามารถเอาชนะ ด้วยความสม่ำเสมอ ระยะเวลาที่นานพอ ต่อให้ทำผลตอบแทนแย่ๆ ก็สามารถเอาชนะคนเก่งผลตอบแทนสูงๆ แต่เริ่มต้นช้ากว่า ระยะเวลาในการลงทุนคือตัวแปรที่สำคัญที่สุดตัวนึงในสมการมหัศจรรย์การทบต้น โชคดีที่ธรรมชาติมอบตัวแปรนี้ให้ทุกคนเท่าๆกัน บางคนสามารถขยายมันโดยการเริ่มให้เร็ว ตายให้ช้า ถ้าไม่เก่ง ก็ต้องอึด!!

สำหรับคนที่อยากรวย พร้อมที่จะลงมือทำด้วยแพสชั่น ลองเชื่ออย่างนี้

ไม่มีอะไรจะหยุดคุณได้ ถ้าใจคุณเอา
เรื่องยากจะกลายเป็นง่าย
คำว่ายาก ไกล ไม่มีเวลา ไม่เคยอยู่ในหัว
ไม่มีความรู้ใดๆที่ยากสำหรับคุณ
งานของคนอื่น แต่คือการพักผ่อนของคุณ
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วิกฤติ เราจะยืนเด่น ท้าทาย องอาจ ทรนง
ต้องพร้อมที่จะทำ เพื่อให้สมควรได้รับ
หุ้นตก พอตแดง เป็นส่วนหนึ่งของเรา
บัญชีคือเรื่องของเด็กประถม ปอ4
ตลาดหมีได้หว่านเมล็ดพันธ์แห่งตลาดกระทิงเอาไว้
อยากเป็นคนยิ่งใหญ่ เราต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
คนยิ่งใหญ่ ต้องโดนทดสอบ
คนรวย ยังไม่ใช่คนที่ยิ่งใหญ่
เส้นทางคนยิ่งใหญ่ ไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือได้มาโดยง่าย
ชนะตัวเอง ยิ่งใหญ่ที่สุด







สิ้นปี 2558 ที่ผ่านมา เป็นวันครบวาระในต่ำแหน่งนายกสมาคมของผม ขอบคุณทุกๆท่าน ทั้งอาจารย์ กรรมการ สมาชิกทุกท่าน ที่ช่วยกันสร้างสรรค์สังคม TVI ให้เป็นสังคมแห่งคุณค่า น่าจะพูดได้เต็มปากว่าเป็นสังคมนักลงทุนหุ้นที่มีคุณภาพมากที่สุดระดับต้นๆของประเทศไทย อาจจะคึกคักน้อยลงบ้าง ตามสภาวะตลาดและเทคโนโลยีการสื่อสารที่เปลี่ยนไป จากนี้ท่านนายกสมาคมคนใหม่ จะเข้ามารับช่วงทำงาน พัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อให้สังคมของเราก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไปครับ
หมอตี่VI
Verified User
โพสต์: 18
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1134

โพสต์

:D
ขอบคุณพี่ๆมากๆๆครับสำหรับบทความดีๆ
:)
ลงทุนแบบเหมือนวิ่งมาราธอน
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1135

โพสต์

หมอตี่VI เขียน::D
ขอบคุณพี่ๆมากๆๆครับสำหรับบทความดีๆ
:)
ยินดีค่ะ แต่ล่าสุดเป็นของนายกคุณโจนะคะ :D
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1136

โพสต์

“เก็บเล็กผสมน้อย” / “สร้างตัวเองให้มั่นคงก่อน”
(Theenuch_Team Money Talk 4)

................
1.png
ผู้เขียนมักจะรวมรวมเหรียญไว้ในตะกร้า
พอมากเข้า ก็เอาออกไปใช้ เพื่อให้สะดวก
ทั้งคนใช้ คนรับเงิน....จึงเอามาทำแบบในภาพ
.................

เวลาเอาไปใช้...เพื่อนๆ และคนที่เห็นมักจะขำกัน
และแซวว่า “งก” ส่วนใหญ่ออกแนวฮา...ล้อเล่นกัน
แต่....มีบ้างที่บอกว่าเขาไม่สนใจเงินพวกนี้
เสียเวลามานั่งนับ จุกจิกเกินไป...เขาเลยสะสมไว้ทำบุญ
ไม่ต้องนับ เทใส่ถุงก็ไปทำบุญหมดเลย
ถาม: เหรียญ 5 ด้วย?_ตอบ : เหรียญ 10 ด้วยซ้ำ
(หลายคนที่พูดแบบนั้น ยังมีหนี้สิน....และต้องหมุนเงินเป็นพัลวัน)
...................

โดยส่วนตัวมองเป็นสองนัย
นัยแรก...ตั้งใจทำบุญจริงๆ
นัยที่สอง...(อาจจะ) หมิ่นเงินน้อย (หรือไม่?)
...................

เพราะคนไทยส่วนหนึ่งไม่ใส่ใจ เหรียญเล็กๆ
.
ประเทศเราจึงมีปรากฎการณ์การขึ้นราคาของ
ทีละ 5 – 10 บาท ทั้งที่คิดเป็นเปอร์เซ็นแล้วสูงมาก
เช่น ข้าวราดแกง จาก 30 เป็น 40 (33%)
กาแฟเย็นตลาดนัด 20 เป็น 25 (25%)
ไข่ดาว จาก 5 เป็น 10 (100%) (7 บาท มีบ้างแต่น้อย)
ข้าวเปล่า จาก 5 เป็น 10 (100%)
ทั้งที่ผู้คนมีรายได้น้อยกว่าประเทศใหญ่ๆ บางประเทศ
ที่คนของเขาใช้เหรียญเล็กเหรียญน้อยกันเป็นธรรมดา
................

ในความ “งก” หรือใดๆ แล้วแต่ใครจะคิดนั้น ฯลฯ
ผู้เขียนเองใส่ใจเรื่องการเงิน และไม่หมิ่นเงินน้อย
รวมทั้ง มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ / ชัดเจนรออยู่ข้างหน้า
…………....

จำนวนเงินตามในภาพ...ที่บางคนขี้เกียจนับ
หากนำไปซื้อหุ้นพื้นฐานดีๆ สมมติราคา 2.5 บาท
ซื้อได้ 100 หุ้น เลยนะคะ....ค่อยๆ สะสมไปวันนึงก็มากไปเอง
....................

ถ้าเราตั้งใจจะทำบุญจริงๆ ให้เราหมดหนี้สิน
หรือมีดอกผลจากการลงทุน...แล้วค่อยแบ่งไปทำบุญก็ไม่สายค่ะ
หรือจะบริจาคโลหิตก็ยังได้ ไม่ต้องใช้เงินสักบาท
....................

หากเรารีบสร้างตัวเองให้มั่นคง
วันข้างหน้าเราจะยิ่งให้ได้มากขึ้น ทั้ง “เงิน” หรือ “เวลา”
เพราะใส่ใจเรื่องเงินและไม่เคยหมิ่นเงินน้อย
วันนี้ผู้เขียนจึงเกษียณได้เร็ว
แบ่งเวลามาช่วยงาน Money Talk และ Thaivi ได้
หรือจะบริจาคเงิน ก็สามารถบริจาคได้มากขึ้นด้วยค่ะ
2.png
....................
3.png
....................
อยากฝากว่า...เงินทองต้องใส่ใจ...เก็บเล็กผสมน้อย
อย่างสม่ำเสมอ...ช่วยสร้างฐานะให้มั่นคงได้นะคะ

><><><><><><

หมายเหตุ - ยังมีอื่นๆ ที่สะสม เอาไปใช้ประโยชน์ได้
เช่น น้ำตาลที่แถมมากับก๋วยเตี๋ยวเอาไว้ชงกาแฟได้
กระดาษโน้ตที่ได้รับแจกมา...ใช้นานไม่หมดง่าย
เพราะพลิกเขียนด้านหลังด้วย ปากกาตั้งแต่ตอนทำงาน
หรือแม้แต่ปากกาที่ผู้แทนยาชอบเอามาแจก ตาม รพ.
เมื่อได้รับแจกมา ก็เห็นว่ามีคุณค่าทั้งหมด
กล่องพัสดุ เอามาใช้ซ้ำได้ แค่พิมพ์ชื่อที่อยู่ใหม่มาแปะ
และซื้อเทปกาวมาติดตามมุม....ใช้ให้คุ้มที่สุดค่ะ
ประหยัดเงิน ประหยัดทรัพยากรโลก...ช่วยลดโลกร้อนกันค่ะ ^^
.
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1137

โพสต์

ลูกอยู่บนรถโรงเรียนโทรมาบอกว่า
คุณแม่อ่าน line ด่วน ธีร์ส่ง line หาคุณแม่เรื่องสำคัญมาก
เปิดดูทันใด...พบข้อความที่ลูกถามว่า
อยากพา Nike (ลาบราดอว์ ผสมบางแก้ว) ของบ้านเรา
ไปบริจาคเลือดให้ปอมตัวนี้ไหม?
12705718_985683998185125_2816508695232824457_n.jpg
.
โทรไปถามเจ้าของ...
ได้ทราบว่าวันนี้พาน้องไป stand by แล้ว
แต่...ในคลังไม่มีโลหิต เลยไม่ได้ผ่า
.
แจ้งไปว่าเราสะดวก...นัดเจ้าของสุนัขเรียบร้อย
พรุ่งนี้เที่ยงพบกันที่ รพ.สัตว์เกษตรค่ะ
...............

ดีใจ...ที่ลูกเป็นแบบนี้ ^^ (มาจาก inner โดยแท้)
...............

ปล.เพื่อเตรียมความพร้อม
เลยค้นเรื่องการบริจาคโลหิตของสุนัขอ่าน...นำมาฝากด้วยค่ะ
http://www.dogilike.com/content/review/1967/
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1138

โพสต์

12715789_976530432417775_3716642826210220114_n.png
"ลาออกมาเล่นหุ้น" (ซะเมื่อไหร่)_หนังสือ "กว่าจะเป็น VI"
(Theenuch_Team Money Talk 4)

................

ตอนลาออกจากงานเล่าใน fb Money Talk ด้วย
มีคนมายินดีหลายคน และบอกว่า
กำลังคิดจะ “ลาออกมาเล่นหุ้น” แบบนี้บ้าง (ไม่ใช่ละ!)
................

เข้าใจผิดแล้วค่ะ
ผู้เขียนไม่ได้ "ลาออกมาเล่นหุ้น" ไม่ดูราคาหุ้นรายวัน
ลงทุนระยะยาวเพื่อรับปันผลเป็น passive income
ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทที่ลงทุน/สนใจ..เสมอ
เพื่อ "ปรับพอร์ต" หรือ "ลงทุนเพิ่ม" ตามความเหมาะสม
................

จึงลองตั้งคำถามกลับ...ให้ลองจินตนาการไปไกลๆ
ครอบคลุมทุกชีวิตที่ควรอยู่ในความดูแล เช่น
**ค่าเล่าเรียนลูก_จนจบการศึกษา**
**พ่อแม่ที่แก่ชรา**
**ตัวเราเองยามเกษียณ__หรือยามป่วยไข้**
เตรียมไว้ "เพียงพอ" หรือยัง? (ส่วนใหญ่...ยังคิดไปไม่ถึงค่ะ)
..................

แค่หวังค่าใช้จ่ายประจำวันจากการ "เล่นหุ้น" ก็ไม่ควรแล้ว
หากหวัง "ค่าใช้จ่ายสำหรับอนาคตไกลๆ" (แบบที่ถาม)
จากการ "เล่นหุ้น" ด้วย.."เกรงจะหมดอนาคต"..หากผิดทาง
แน่ใจหรือว่า.. ถ้ามีเวลาเฝ้าจอ จะ "ได้เงิน" ตลอด?
..................

“ซักไป ซักมา” คนตอบ ก็ได้คิดทบทวนไปด้วย
หลังสัมภาษณ์...ไม่มีใครลาออกซักคนเดียวค่ะ ^__^
.................

สำหรับผู้เขียน วันนี้เลือกใช้ชีวิตช้าลงได้
เพราะ "ดอกผล" จากการลงทุนแต่เนิ่นๆ
จากคอนโด (ที่แสนจุกจิก) เปลี่ยนมา "ลงทุน" ในหุ้น
"ไม่ใช่เบื่องาน_เลยหนีมาตายเอาดาบหน้า" ค่ะ
..................

คำว่า "ล้านแรก_ยากที่สุด" และ “เงินต่อเงิน” นั้นจริง
ยิ่งอยากเกษียณเร็ว..ยิ่งต้องทำงานประจำให้ดี
เงินเดือนจะได้เพิ่มเร็ว (ออมให้มาก อาจทำงานเสริม)
ยิ่งเริ่มลงทุนเร็ว / เติมเงินจากงานประจำสม่ำเสมอ
"พลังของการทบต้น" จะ "ให้เงิน" มา "ต่อเงิน" อีกด้วย
..................

วางเป้าหมายให้รอบคอบ
ลงมือทำ..สิ่งที่มุ่งสู่เป้าหมาย..ตั้งแต่วันนี้
“ลด ละ เลิก” สิ่งที่ขัดกับเป้าหมายด้วย
(ย้ำแล้ว..ย้ำอีก เรื่องนี้) เวลามีค่า และมีจำกัดค่ะ
..................

เมื่อก่อน "วันธรรมดา_ทำงานประจำ"
"เสาร์-อาทิตย์_ทำงานบ้าน (หัวฟู)"
เดี๋ยวนี้ ทยอยทำงานบ้าน วันธรรมดา
เสาร์-อาทิตย์ ได้หยุดจริงๆ เสียที
ได้ออกกำลังกายมากขึ้น...ได้อยู่กับลูกตลอดปิดเทอมค่ะ
.
สามารถ "เลือก" ทำงานที่รัก และเป็นประโยชน์
คือ ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ของ Money Talk
และ สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ
ขอแค่ได้ตอบแทนสังคมคุณภาพ
ที่เคยให้ความรู้จนผู้เขียนลงทุนได้สำเร็จเกินคาดหวังค่ะ
...................

อยากฝากสำหรับ "มนุษย์เงินเดือน" "ออม+ลงทุน"
ควบคู่กับงานประจำเสียแต่เนิ่นๆ
วันหนึ่ง "ดอกผล" และ "การทบต้น"
จะช่วยให้ "เลือก" มีชีวิตที่ช้าลง / ได้ทำงานที่รัก...ได้เช่นกันค่ะ ^___^
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1139

โพสต์

เครดิตภาษีเงินปันผล..อีกข้อดีของการลงทุนระยะยาว
(Theenuch_Team Money Talk 4)

..................
เช็คคืนภาษี.png
เมื่อบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิ
บริษัทฯ ต้องจ่ายภาษี 2 ครั้ง คือ
.
ภาษี (1) ภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ
30 หรือ 25 หรือ 20 หรืออื่นๆ...จากนั้นก็จ่ายภาษี (2)
.
ภาษี (2) ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 10%
เพื่อนำส่งกรมสรรพากร "ในนามของผู้ถือหุ้น" อีก
.
ซึ่ง ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
กำหนดให้ผู้ถือหุ้นขอคืน ภาษี (1) ได้
..................
ภาพที่ 1.png
ภาพที่ 1 คือ ตัวอย่างใบแจ้งปันผลเข้าบัญชีเงินฝาก
ในภาพบริษัทฯ เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 20 %
เราก็นำมาเข้าสูตรคำนวณตามภาพที่ 2
.
แทนค่า.png
ภาพที่ 2 แสดงการคิดเครดิตภาษี
สมมติปันผล 200,000 เสียภาษีนิติบุคคล 20 %
คิดเครดิตภาษีได้ 50,000 บาท ไม่น้อยเลย
.................

ที่จริงคือ 250,000 - 50,000 (ภาษี 1)
เหลือ 200,000 - 20,000 (ภาษี 2)
เหลือเข้าบัญชีให้เรา 180,000 บาท
.................
รายเดือน.png
ปีนี้ผู้เขียน ก็ได้รับเครดิตภาษีคืน จากปันผลปีที่แล้ว
จึงมีเงินเพิ่มเข้ามาอีกยอดตามตาราง
แม้ปี 2558 ที่ผ่านมา...บรรยากาศการลงทุนดูจะไม่สดใส
แต่ผู้เขียนได้ปันผลจากหุ้นเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน
(สังเกตได้จาก เครดิตภาษีที่ได้คืนมากขึ้น)
.
หากยังรับราชการต่อ โดยไม่ได้ลงทุน...รายรับเพียง 25,300
.
แต่ผู้เขียนลงทุนไปด้วย
เมื่อรับรับราชการครบ 25 ปี ...จึงลาออก
เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตลอดชีพ และได้บำนาญด้วย
แม้บำนาญจะน้อยเพียง 10,600 บาท
แต่ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมันรถที่ต้องขับไปทำงาน
.
ทุกๆ ปีมีปันผล และเครดิตภาษีอีกจำนวนหนึ่ง
หุ้นในพอร์ตที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นเพราะตั้งใจไว้เช่นนั้นแต่ต้น
จึงสะสมหุ้นของกิจการที่ดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อให้แน่ใจได้ว่า...จะมีปันผล
เป้น passive income ตลอดไปค่ะ

.
ไม่ได้ซับซ้อนใดๆ
ทุกๆคนสามารถทำได้
เพียงแต่ต้องลงมือทำให้เร็ว
และยอมละทิ้งความสุขเฉพาะหน้าไปบ้าง
.
แต่ผลของการทำเช่นนั้นก็คุ้มมากค่ะ

.................

หลักการของผู้เขียนคือ....
ปันผลที่ได้รับ...อย่ารีบนำไปซื้อความสุขเฉพาะหน้า
ควรนำไปลงทุนก่อน...รอให้พลังของการทบต้นทำงาน
แล้วค่อยใช้ดอกผลจากการทบต้น...ก็ยังไม่สาย

.
ในวันที่ครอบครัวยังมีรายรับ
ก็ควรประหยัดและนำเงินไปลงทุนสม่ำเสมอ
เพราะเมื่อถึงวันที่ครอบครัวไม่มีรายรับแล้ว
เงินปันผลจะได้มากพอที่จะเลี้ยงตัวเองและครอบครัว

.................

ซึ่ง ผู้อ่านทุกๆ ท่านก็สามารถทำได้เช่นกันค่ะ
แค่ >> "กำหนดเป้าหมาย" และ "ลงมือทำอย่างตั้งใจ" <<
.................

เรื่องเครดิตภาษีเงินปันผล
เข้าใจยากสักหน่อย...ลองชมคลิปที่นำมาฝากด้านล่าง
แล้วย้อนกลับไปอ่านด้านบนอีกครั้ง...จะเข้าใจง่ายขึ้นค่ะ



><><><><><><

หมายเหตุ - เพิ่มเติมเผื่อเป็นประโยชน์ค่ะ
1. ผู้เขียนซื้อแต่ LTF ไม่ได้ซื้อ RMF เลย ยอมเสียสิทธิ์
เพราะคิดว่าถ้าต้องทิ้งเงินไว้ยาวขนาดนั้น ขอเลือกลงทุนเอง
เพราะเราก็ลงทุนระยะยาวอยู่แล้วอาจทำผลตอบแทนได้ดีกว่า
และผู้เขียนไม่ได้ทำงานประจำจึงไม่มีเงินสมทบจากนายจ้าง
.
แต่หากเป็นมนุษย์เงินเดือน ที่บริษัทจ่ายสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้อยู่แล้ว
แนะนำว่าให้ซื้อ RMF เต็มสิทธิ์จะดีที่สุดค่ะ
^^
..............

2. ใช้ประกันยังไม่เต็มสิทธิ์ เพราะหากซื้อไปแล้ว จะเป็นภาระประจำ
ในอนาคตเราอาจต้องปรับพอร์ตบ้างแล้วยอดเงินปันผลอาจไม่เท่ากัน
ขอบริหารที่ LTF ดีกว่าค่ะ ผันแปรได้และควบคุมได้...คือยืดหยุ่นกว่านั่นเองค่ะ ^^
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 1140

โพสต์

ชอบมาก...มันจริงอ้ะ ^^
.
12439410_1037267712995430_5628138922080683565_n.jpg
เคยโดนถามแบบนี้แหละ...บ่อยมากกกๆๆๆๆ...
ตอนที่ "อดหลับ อดนอน ขึ้นเวรห้องพยาบาลโรงงาน"
แล้วมา "อดหลับ อดนอน อ่านหนังสือลงทุน" อีก
................

"อดหลับ อดนอน" อยู่เรื่อย...แต่มันคุ้มนะ
ถ้าไม่ยอม "อดหลับ อดนอน" ซะบ้าง...ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไง
.
ชีวิตคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้รวยมาแต่อ้อนแต่ออก
ก่อนจะถึงวันที่มีชีวิต "สโลว์ ไลฟ์" ได้
ต้องผ่านช่วง "สะบัก สะบอม ไลฟ์" มาบ้างเป็นธรรมดา
(ไม่มีใครนั่ง "ไทม์ แมชชีน" มาแน่ 555+)
................

แตถ้ามี "ไทม์ แมชชีน" ให้ย้อนกลับไปตอบได้...จะตอบแบบนี้แหละ ^^
"อดหลับ อดนอน"...แค่ได้นอนก็หาย
แต่ถ้า "จน"....นอนกี่คืนก็ไม่หาย

...............

ขอขอบคุณเจ้าของประโยคแทนใจนี้ด้วยค่ะ
ไม่ทราบว่าของท่านใด...เห็นว่าเป็นประโยชน์
อาจสะกิดใจและให้กำลังใจคนที่ัเหนื่อยๆ ได้...เลยแชร์ต่อมาค่ะ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้