ขวัญหนีดีฝ่อ เพราะ Technology / คนขายของ
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 788
- ผู้ติดตาม: 0
ขวัญหนีดีฝ่อ เพราะ Technology / คนขายของ
โพสต์ที่ 1
ขวัญหนีดีฝ่อ / โดย คนขายของ
ในช่วงตั้งแต่ปี 1990 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราได้เห็น หลายบริษัทที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น NOKIA, COMPAQ, และ KODAK มีสถานะที่แตกต่างไป อย่างมากกับเมื่อ 25 ปีที่แล้ว การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ๆทำให้นักลงทุนในสมัยนี้ให้ความระมัด ระวังในการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะกิจการที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกเทคโนโลยีทำให้สูญหายไปจาก ระบบเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ Telegraph ของอังกฤษเคยเขียนถึงอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงที่จะถูก ทำลายโดยเทคโนโลยีเช่น ธุรกิจโทรศัพท์สาธารณะ ธุรกิจล้างอัดฟิลม์ และ ธุรกิจขายสารานุกรม เป็นต้น ด้วยเหตุนี้นักลงทุนจึงให้มูลค่ากิจการของบริษัทเทคโนโลยีใหม่ๆ สูงมาก เช่นในตอนนี้มูลค่าของ Alphabet Inc. เจ้าของ Google มีมูลค่ากิจการมากกว่า ห้าง Walmart และ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง GE รวมกัน
แต่ถ้าเรามาย้อนดูอดีตให้ลึกลงไปในรายละเอียด เราจะพบว่าในบางกรณี เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็ไม่ได้ สร้างความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนเสมอไป แต่เป็นธรรมดาเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นมา ย่อมเกิดกระแสการประโคมข่าวจากสื่อทั่วไปจนทำให้นักลงทุนบางคนเกิดหวั่นใจ เช่นเมื่อตอนเครื่องเล่นวีดีโอได้วาง ออกขายในตลาดเมื่อราวปี 1972 และเริ่มเป็นที่นิยมกันอย่างมากในช่วงปี 1980 มีหลายคนเชื่อว่า การเปิดตัวของเครื่องเล่นวีดีโอ จะทำให้ธุรกิจโรงภาพยนต์ล่มสลาย แต่กลับกลายเป็นว่าในทุกวันนี้ธุรกิจ โรงภาพยนต์ยังคงอยู่ได้ แต่ตลาดของเครื่องเล่นวีดีโอรวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านให้เช่า กลับไม่ สามารถอยู่ได้เพราะโดนเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า เช่นอินเตอร์เน็ต และ การดูหนังออนไลน์เข้ามาแทนที่
การกำเนิดของ e-commerce และ การพุ่งขึ้นของราคาหุ้นของ AMAZON ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนหลายคนเชื่อว่า กิจการที่เกี่ยวกับ e-commerce จะมาแทนที่ร้านค้าปลีกแบบเดิมๆ ผู้คนจะหันไปซื้อของจากร้านออนไลน์เพราะสะดวกสบายกว่า และ มีต้นทุนที่ถูกกว่า ร้านค้าแบบเดิมๆ ที่มีหน้าร้านจริงจะอยู่ไม่ได้ แต่หากเรามาดูตัวเลขทางสถิติของการค้าปลีกทั้งหมดในประเทศอย่าง สหรัฐอเมริกาที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิด e-commerce จากข้อมูลของ ychart.com เราพบว่าในปี 2014 การซื้อของผ่านช่องทาง e-commerce นั้นคิดเป็นเพียง 7.5% ของยอดขายค้าปลีกในสหรัฐ และการเติบโตของตลาด e-commerce ในอเมริกาจากนี้ไปคาดว่าจะอยู่ที่ราว 15% ซึ่งก็ไม่ได้เป็น ตัวเลขที่สูงจนโดดเด่นมากเมื่อนเทียบกับอัตราการเติบโตอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น Telehealth Services บริการการรักษาทางไกล ซึ่ง inc.com คาดว่าจะโตได้ 49% และ อุตสาหกรรม Peer-to-peer lending เป็นการปล่อยกู้โดยบุคคลธรรมดา ให้แก่ บุคคลทั่วไป และ ธุรกิจขนาดเล็ก ผ่านทางออนไลน์ ซึ่งน่าจะโตได้ราว 38%
ถึงแม้ว่ายอดขายของ AMAZON จะดูโตเร็วมากจนอาจทำให้เราเชื่อว่า AMAZON จะทำให้ค้าปลีก แบบมีหน้าร้านในอเมริกาไม่โตเลย แต่ในความเป็นจริงก็คือในห้าปีที่ผ่านมา ยอดขายของห้างสรรพ สินค้าอย่าง Nordstrom และ ร้านเสื้อผ้าอย่าง TJ Maxx ก็ยังทำยอดขายโตได้ราว 40% เมื่อเทียบกับ เมื่อห้าปีที่แล้ว หันมามองเรื่องผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นกันบ้าง ความย่ำแย่ของหุ้น WALMART ในช่วงที่ผ่านมาคงทำให้นักลงทุนจำนวนมากคิดว่า นี่คงเป็นจุดสิ้นสุดของร้านค้าปลีกจำพวก “Big Box Retailers” แต่ถ้าเรามาดูหุ้นค้าปลีกขนาดใหญ่ของอเมริกาที่ราคาขึ้นมาสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา กลับพบว่า Home Depot บริษัทขายของประเภท DIY คล้ายๆกับกิจการ Home Pro ในเมืองไทยทำได้ดีที่สุด โดยราคาขึ้นมาถึง 3 เท่า ในขณะที่ AMAZON ขึ้นมา 2.8 เท่า
เทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน แต่เนื่องจากทุกเทคโนโลยีมีรายละเอียดเฉพาะตัว ดังนั้นนักลงทุนควรศึกษาให้เข้าใจในหลายแง่มุม เทคโนโลยีใหม่อาจไม่ได้ชนะเทคโนโลยีเก่าเสมอไป มีหลายกรณีที่เป็นลักษณะ “อยู่ร่วมกัน” หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีใหม่ไม่สามารถยืนอยู่ได้ เสื่อมความ นิยมไปก่อน เรื่องที่เป็นอันตรายมากๆ สำหรับนักลงทุนที่ชวนขวัญหนีดีฝ่อ อาจจะไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยี ใหม่ๆที่ออกมาจะเป็นอันตรายกับบริษัทที่เขาถือหุ้นอยู่ แต่เป็นเรื่องที่เขาไม่ศึกษาเทคโนโลยีนั้นๆอย่าง ละเอียด อ่านแค่พาดหัวข่าวแล้วก็นำมาใช้ตัดสินใจในการลงทุน ซึ่งอันนี้ผมเชื่อว่าชวนสยองขวัญกว่า เยอะเลยครับ
ในช่วงตั้งแต่ปี 1990 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราได้เห็น หลายบริษัทที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น NOKIA, COMPAQ, และ KODAK มีสถานะที่แตกต่างไป อย่างมากกับเมื่อ 25 ปีที่แล้ว การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ๆทำให้นักลงทุนในสมัยนี้ให้ความระมัด ระวังในการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะกิจการที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกเทคโนโลยีทำให้สูญหายไปจาก ระบบเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ Telegraph ของอังกฤษเคยเขียนถึงอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงที่จะถูก ทำลายโดยเทคโนโลยีเช่น ธุรกิจโทรศัพท์สาธารณะ ธุรกิจล้างอัดฟิลม์ และ ธุรกิจขายสารานุกรม เป็นต้น ด้วยเหตุนี้นักลงทุนจึงให้มูลค่ากิจการของบริษัทเทคโนโลยีใหม่ๆ สูงมาก เช่นในตอนนี้มูลค่าของ Alphabet Inc. เจ้าของ Google มีมูลค่ากิจการมากกว่า ห้าง Walmart และ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง GE รวมกัน
แต่ถ้าเรามาย้อนดูอดีตให้ลึกลงไปในรายละเอียด เราจะพบว่าในบางกรณี เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็ไม่ได้ สร้างความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนเสมอไป แต่เป็นธรรมดาเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นมา ย่อมเกิดกระแสการประโคมข่าวจากสื่อทั่วไปจนทำให้นักลงทุนบางคนเกิดหวั่นใจ เช่นเมื่อตอนเครื่องเล่นวีดีโอได้วาง ออกขายในตลาดเมื่อราวปี 1972 และเริ่มเป็นที่นิยมกันอย่างมากในช่วงปี 1980 มีหลายคนเชื่อว่า การเปิดตัวของเครื่องเล่นวีดีโอ จะทำให้ธุรกิจโรงภาพยนต์ล่มสลาย แต่กลับกลายเป็นว่าในทุกวันนี้ธุรกิจ โรงภาพยนต์ยังคงอยู่ได้ แต่ตลาดของเครื่องเล่นวีดีโอรวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านให้เช่า กลับไม่ สามารถอยู่ได้เพราะโดนเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า เช่นอินเตอร์เน็ต และ การดูหนังออนไลน์เข้ามาแทนที่
การกำเนิดของ e-commerce และ การพุ่งขึ้นของราคาหุ้นของ AMAZON ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนหลายคนเชื่อว่า กิจการที่เกี่ยวกับ e-commerce จะมาแทนที่ร้านค้าปลีกแบบเดิมๆ ผู้คนจะหันไปซื้อของจากร้านออนไลน์เพราะสะดวกสบายกว่า และ มีต้นทุนที่ถูกกว่า ร้านค้าแบบเดิมๆ ที่มีหน้าร้านจริงจะอยู่ไม่ได้ แต่หากเรามาดูตัวเลขทางสถิติของการค้าปลีกทั้งหมดในประเทศอย่าง สหรัฐอเมริกาที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิด e-commerce จากข้อมูลของ ychart.com เราพบว่าในปี 2014 การซื้อของผ่านช่องทาง e-commerce นั้นคิดเป็นเพียง 7.5% ของยอดขายค้าปลีกในสหรัฐ และการเติบโตของตลาด e-commerce ในอเมริกาจากนี้ไปคาดว่าจะอยู่ที่ราว 15% ซึ่งก็ไม่ได้เป็น ตัวเลขที่สูงจนโดดเด่นมากเมื่อนเทียบกับอัตราการเติบโตอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น Telehealth Services บริการการรักษาทางไกล ซึ่ง inc.com คาดว่าจะโตได้ 49% และ อุตสาหกรรม Peer-to-peer lending เป็นการปล่อยกู้โดยบุคคลธรรมดา ให้แก่ บุคคลทั่วไป และ ธุรกิจขนาดเล็ก ผ่านทางออนไลน์ ซึ่งน่าจะโตได้ราว 38%
ถึงแม้ว่ายอดขายของ AMAZON จะดูโตเร็วมากจนอาจทำให้เราเชื่อว่า AMAZON จะทำให้ค้าปลีก แบบมีหน้าร้านในอเมริกาไม่โตเลย แต่ในความเป็นจริงก็คือในห้าปีที่ผ่านมา ยอดขายของห้างสรรพ สินค้าอย่าง Nordstrom และ ร้านเสื้อผ้าอย่าง TJ Maxx ก็ยังทำยอดขายโตได้ราว 40% เมื่อเทียบกับ เมื่อห้าปีที่แล้ว หันมามองเรื่องผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นกันบ้าง ความย่ำแย่ของหุ้น WALMART ในช่วงที่ผ่านมาคงทำให้นักลงทุนจำนวนมากคิดว่า นี่คงเป็นจุดสิ้นสุดของร้านค้าปลีกจำพวก “Big Box Retailers” แต่ถ้าเรามาดูหุ้นค้าปลีกขนาดใหญ่ของอเมริกาที่ราคาขึ้นมาสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา กลับพบว่า Home Depot บริษัทขายของประเภท DIY คล้ายๆกับกิจการ Home Pro ในเมืองไทยทำได้ดีที่สุด โดยราคาขึ้นมาถึง 3 เท่า ในขณะที่ AMAZON ขึ้นมา 2.8 เท่า
เทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน แต่เนื่องจากทุกเทคโนโลยีมีรายละเอียดเฉพาะตัว ดังนั้นนักลงทุนควรศึกษาให้เข้าใจในหลายแง่มุม เทคโนโลยีใหม่อาจไม่ได้ชนะเทคโนโลยีเก่าเสมอไป มีหลายกรณีที่เป็นลักษณะ “อยู่ร่วมกัน” หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีใหม่ไม่สามารถยืนอยู่ได้ เสื่อมความ นิยมไปก่อน เรื่องที่เป็นอันตรายมากๆ สำหรับนักลงทุนที่ชวนขวัญหนีดีฝ่อ อาจจะไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยี ใหม่ๆที่ออกมาจะเป็นอันตรายกับบริษัทที่เขาถือหุ้นอยู่ แต่เป็นเรื่องที่เขาไม่ศึกษาเทคโนโลยีนั้นๆอย่าง ละเอียด อ่านแค่พาดหัวข่าวแล้วก็นำมาใช้ตัดสินใจในการลงทุน ซึ่งอันนี้ผมเชื่อว่าชวนสยองขวัญกว่า เยอะเลยครับ
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 152
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขวัญหนีดีฝ่อ เพราะ Technology / คนขายของ
โพสต์ที่ 8
ดู Video ที่บ้าน กับดูหนังในโรง มันได้ความรู้สึกเหมือนกันไหม?
นั่งซื้อของ Online หน้าคอมฯ กับการได้ไปเดินเล่น เถลไถล ในห้าง มันได้ความรู้สึกเหมือนกันไหม?
อ่าน E-Book บน Tablet กับ อ่านหนังสือที่เป็นเล่ม มันได้ความรู้สึกเหมือนกันไหม?
บางทีความสะดวกสบายในเทคโนโลยีใหม่ๆ อาจจะไม่ใช่คำตอบทั้งหมดนะ เพราะอย่างน้อย ก็มีคำว่า Slow Life เป็นคำฮิตติดปากในยุคนี้
เสน่ห์ในการใช้ชีวิตมันอยู่ตรงไหน?
นั่งซื้อของ Online หน้าคอมฯ กับการได้ไปเดินเล่น เถลไถล ในห้าง มันได้ความรู้สึกเหมือนกันไหม?
อ่าน E-Book บน Tablet กับ อ่านหนังสือที่เป็นเล่ม มันได้ความรู้สึกเหมือนกันไหม?
บางทีความสะดวกสบายในเทคโนโลยีใหม่ๆ อาจจะไม่ใช่คำตอบทั้งหมดนะ เพราะอย่างน้อย ก็มีคำว่า Slow Life เป็นคำฮิตติดปากในยุคนี้
เสน่ห์ในการใช้ชีวิตมันอยู่ตรงไหน?
มีเหตุผล, พอประมาณ, มีภูมิคุ้มกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 306
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขวัญหนีดีฝ่อ เพราะ Technology / คนขายของ
โพสต์ที่ 9
ผมเองไม่เคยซื้อ E-Book เลย แม้ว่าราคามันจะถูกกว่าหนังสือตั้งครึ่ง ผมชอบอ่านหนังสือมากกว่าเพราะอ่านแล้วมันได้อรรถ พออ่านจบผมก็จะเก็บหนังสือนั้นไว้ในตู้ เหมือนของสะสมเลย 555
ที่สำคัญอ่านหนังสือไม่เมื่อยตาเหมือนอ่านในคอม ต่อให้ปริ้น E-Book ออกมาอ่านก็เถอะ มันรู้สึกไม่ได้อรรถอยู่ดี
พูดตรงๆเลย E-Book ต่อให้แจกฟรี ผมก็ยังคงไปซื้อหนังสือมาอ่านเหมือนเดิม
ที่สำคัญอ่านหนังสือไม่เมื่อยตาเหมือนอ่านในคอม ต่อให้ปริ้น E-Book ออกมาอ่านก็เถอะ มันรู้สึกไม่ได้อรรถอยู่ดี
พูดตรงๆเลย E-Book ต่อให้แจกฟรี ผมก็ยังคงไปซื้อหนังสือมาอ่านเหมือนเดิม
- Highway_Star
- Verified User
- โพสต์: 440
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขวัญหนีดีฝ่อ เพราะ Technology / คนขายของ
โพสต์ที่ 10
ตอนแรกๆ ผมเป็นแบบพี่เลยครับทศพร29 เขียน:ผมเองไม่เคยซื้อ E-Book เลย แม้ว่าราคามันจะถูกกว่าหนังสือตั้งครึ่ง ผมชอบอ่านหนังสือมากกว่าเพราะอ่านแล้วมันได้อรรถ พออ่านจบผมก็จะเก็บหนังสือนั้นไว้ในตู้ เหมือนของสะสมเลย 555
ที่สำคัญอ่านหนังสือไม่เมื่อยตาเหมือนอ่านในคอม ต่อให้ปริ้น E-Book ออกมาอ่านก็เถอะ มันรู้สึกไม่ได้อรรถอยู่ดี
พูดตรงๆเลย E-Book ต่อให้แจกฟรี ผมก็ยังคงไปซื้อหนังสือมาอ่านเหมือนเดิม
หลังๆ มานี่ผมอ่าน ebook กระจาย 555
ผมคิดว่าตลาดเดิมก็ยังมีอยู่ มันจะทรงๆ ไม่ไปไหน แต่ตลาดใหม่ๆจะบูมมากๆ
อย่างที่ usa นี่ ebook ขายดีมากๆ คือพวกเป็น information market ขายพวก know how อะไรอย่างนี้
คือทุกวันนี้ข้อมูลมันเยอะมากๆ (ที่เรียกๆ กันว่า big data นั่นแหละครับ) ใครอยากได้อะไร ต้องไปนั่งคุ้ยใน google/yahoo/bing
สู้มีคนมาทำ ebook เกี่ยวกับข้อมูลนั้นๆ รวมไว้ให้เลย มันอภิมหาสะดวกโยธินเลยครับ