เก็บเงินริมทาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

เก็บเงินริมทาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    ช่วงปลายปี 2010 จนถึงต้นปี 2011 หรือเมื่อประมาณ 4-5 ปี มาแล้ว  มีการพูดถึงประเด็นเรื่องการ “สืบทอด”  ตำแหน่งของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ในเบิร์กไชร แฮททาเวย์ ค่อนข้างมากเนื่องจากบัฟเฟตต์ก็เริ่มแก่ตัวลงและไม่มีใครรู้ว่าใครจะมาแทนเขา  หนึ่งใน “ตัวเลือก” ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงว่ามีโอกาสสูงสุดก็คือ  David Sokol ผู้บริหารของบริษัท MidAmerican Energy Holding บริษัทลูกของเบิร์กไชร์ที่ดูแลเรื่องของการลงทุนในธุรกิจพลังงาน และยังเป็นผู้บริหารของ Netjets บริษัทให้บริการเช่าใช้เครื่องบินของบัฟเฟตต์ด้วย   นอกจากการเป็นผู้บริหารของบริษัทลูกที่มีขนาดใหญ่โตมากแล้ว  โซโคลยังมีบทบาทในเบิร์กไชร์มาก  ดูเหมือนว่าเขาจะเป็น  “มือขวา” คนหนึ่งของบัฟเฟตต์ในการที่เขามักจะนำเสนอบริษัทหรือกิจการต่าง ๆ  ที่น่าสนใจให้บัฟเฟตต์พิจารณาซื้อ  นอกจากนั้น  เขายังช่วยบัฟเฟตต์แก้ปัญหาเวลาบริษัทลูก ๆ  ในเครือมีปัญหาด้วย  และที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ  โซโคลเองนั้นเป็นคน  “บ้านเดียวกัน” กับบัฟเฟตต์  คือ เป็นคนที่เกิดที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา  แถมเรียนจบมหาวิทยาลัยเดียวกับบัฟเฟตต์  ในมุมมองของคนท้องถิ่นแล้ว  เขาก็เป็น “หนึ่ง”  รอง  ๆ จากบัฟเฟตต์  สถานที่สำคัญหลายแห่ง  รวมถึงสนามกีฬาที่จัดประชุมผู้ถือหุ้นของเบิร์กไชร์ก็มีชื่อของเขาเข้าไปเกี่ยวข้อง  เขาทำกิจกรรม บริจาคและช่วยเหลือสังคมอย่างกว้างขวางเป็นที่รักและชื่นชมทั่วไปในเมืองบ้านเกิด  อายุเขาก็ยังไม่มากคือเพียง 56 ปี  ดังนั้น  อนาคตของเขานั้นดูเหมือนว่าจะ “โรยด้วยกลีบกุหลาบ”

    แต่แล้วโดยที่ไม่มีใครคาดคิด  เขาประกาศลาออกจากเบิร์กไชร์ในวันที่ 28 มีนาคม 2011 และต่อมาในเดือนเมษายนคณะกรรมการตรวจสอบของเบิร์กไชร์ก็ออกมาแถลงถึงผลการตรวจสอบที่แสดงว่าโซโคลมีความ “ไม่โปร่งใส” ในกรณีของการเทคโอเวอร์บริษัทผู้ผลิตน้ำมันหล่อลื่น Lubrizol ของเบิร์กไชร์  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  โซคอลนั้นซื้อหุ้นของ Lubrizol ก่อนที่จะนำเสนอดีลให้กับบัฟเฟตต์  จำนวนเงินที่เขาซื้อประมาณ 10 ล้านเหรียญ และเมื่อการเทคโอเวอร์เกิดขึ้น  เขาทำกำไรได้ประมาณ 3 ล้านเหรียญ  โซโคลแถลงแก้ว่าเขาเองได้บอกกับบัฟเฟตต์ก่อนแล้วว่าเขามีหุ้นและมีก่อนที่จะนำเสนอดีลเทคโอเวอร์กับบัฟเฟตต์  ดังนั้นเขาไม่ผิด  บัฟเฟตต์เองในตอนแรกก็พูดทำนองว่า  โซโคลไม่ได้ลาออกเพราะเรื่องนี้และเขาก็เชื่อว่าสิ่งที่โซโคลทำไม่น่าจะผิดกฎหมาย  แต่ต่อมาภายหลัง  บัฟเฟตต์ก็ยอมรับว่าเขาอาจจะไม่ได้สรุปหรือคิดเรื่องนี้ละเอียดพอ  พูดง่าย ๆ  บัฟเฟตต์เองก็คิดว่าโซโคลทำไม่ถูก  อย่างไรก็ตามต่อมา  กลต. ของสหรัฐก็เข้ามาตรวจสอบเรื่อง “การใช้ข้อมูลภายใน” ของโซโคลและก็สรุปว่าโซโคลไม่ผิด  แต่ทุกอย่างก็จบลงแล้ว  เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างบัฟเฟตต์กับโซโคล

    ในวันประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของเบิร์กไชร์ปี 2011 บัฟเฟตต์พูดกับผู้ถือหุ้นว่าเขาทำผิดอย่างแรงที่ไม่ถามโซโคลเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น Lubrizol ที่อธิบายและแก้ตัวไม่ได้  เพราะสิ่งที่โซโคลทำนั้นละเมิดกฎของการปฎิบัติงานที่ดีของเบิร์กไชร์และเรื่องของการใช้ข้อมูลภายในในการซื้อขายหุ้น  บัฟเฟตต์ยังพูดอีกว่าเขาจะไม่มีวันเข้าใจเลยว่าทำไมโซโคลทำสิ่งที่เขาทำ  เขาอธิบายไม่ได้ว่าทำไมโซโคลจึงไม่ปิดบังหรือใช้โนมินีเข้ามาซื้อหุ้น Lubrizol ถ้าเขาคิดว่าเขากำลังทำอะไรผิด  เขาปล่อยข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นของเขาอย่างเปิดเผย  บัฟเฟตต์ยังพูดต่อว่า เขาไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมชื่อเสียงของโซโคลจึงถูกทำลายไปด้วยเรื่องฉาวโฉ่ที่เกี่ยวกับเงินเพียง 3 ล้านเหรียญ ทั้ง ๆ  ที่โซโคลเองนั้นเคยสมัครใจที่จะยกเงินค่าตอบแทนหรือโบนัสที่เขาควรจะได้จำนวนถึง 12.5 ล้านเหรียญให้กับเพื่อนร่วมงานคือ Greg Abel ที่บริษัท MidAmerican

    ผมเองคิดว่าเรื่องการใช้ข้อมูลภายในเพื่อทำเงินนั้น  มันคงจะเปรียบคล้าย ๆ  กับการที่เราเดินไปตามทางเดินสาธารณะ  แล้วเราไปเห็นเงินที่ตกหล่นอยู่ข้างทาง  เราไม่รู้ว่าเป็นเงินของใคร  และด้วย  “สัญชาตญาณ” ซึ่งเป็นอารมณ์ที่อยู่ในมนุษย์ทุกคน  เราก็จะเก็บ  เงินที่ได้จากการเก็บของตกหล่นนั้น  ถ้าจำได้ตอนเป็นเด็ก  เราจะรู้สึกดีใจมากทั้ง ๆ  ที่มันอาจจะเป็นแค่เหรียญหรือเงินไม่กี่บาท  เพราะมันได้มาฟรี  แทบไม่ต้องออกแรงเลย เรารู้สึกว่าเป็นความโชคดี  เราไม่คิดว่าเราไป “โกง” ใคร  เราไม่ได้ทำผิด  และถ้ามีใครมาอ้างว่าเป็นเงินของเขา เราก็มักจะคืนเงินไป  นี่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตาม  “ธรรมชาติ”  แต่ในตลาดหุ้นนั้น  กฎเกณฑ์การซื้อขายหุ้นที่ห้ามไม่ให้ใช้ “ข้อมูลภายใน”  ที่เรารู้แต่คนอื่นไม่รู้มาซื้อขายหุ้นก็เพื่อที่จะทำให้ตลาดนั้นมีความยุติธรรมสำหรับทุกคน  ดังนั้น  คนที่ทำและถูกจับได้ก็ผิด  แต่ถ้าถามว่าคนที่ถูกตัดสินว่าผิดในเรื่องนี้หมายความว่าเขามีพฤติกรรม “โกง” เป็นนิสัยหรือไม่ ผมก็คิดว่าไม่ใช่ และก็คงต้องดูเป็นกรณี ๆ  ไป  ในกรณีของโซโคลนั้น  ทางกฎหมายถือว่าไม่ผิดแม้ว่าทางเบิร์กไชร์จะ “รับไม่ได้”  และสังคมเองก็ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมรับคำอธิบายของโซโคล  ในโลกยุคปัจจุบันนั้น  ถ้าคุณเป็นคนดังและยิ่งใหญ่  แม้แต่สิ่งที่อาจจะเล็กน้อยหรือไม่จริง  แต่ถ้ามีคำถามถึงความโปร่งใสหรือความมีธรรมาภิบาล  คนก็จะไม่ยอมรับและ “แสดงออก” อย่างแรง  นี่ก็คงเป็น “ธรรมชาติ” ของคนอีกเช่นกัน

    วันที่มีข่าวเรื่อง Insider’s Trading ของโซโคล  หุ้นเบิร์กไชร์ตกลงไป 2% ซึ่งต้องถือว่าหนักพอสมควรเนื่องจากเป็นหุ้นตัวใหญ่มากที่ไม่ใคร่ผันผวน  แต่หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็จางหายไป หุ้นเบิร์กไชร์ยังเหมือนเดิม  ความ “น่าเชื่อถือ” ของเบิร์กไชร์ในด้านของ Governance ไม่ถูกกระทบ  ถ้าจะถามว่ามีโอกาสที่จะเกิดกรณีแบบนี้อีกไหม  ผมก็คิดว่ามี  โดยเฉพาะปริมาณการซื้อขายหุ้นของผู้บริหารที่มีจำนวนมากทุกวันก็คงต้องมีบ้างที่จะเกิดความผิดพลาดทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ

    ประเด็นสุดท้ายสำหรับนักลงทุนก็คือ  เราจะทำอย่างไรถ้าเรามีหุ้นของบริษัทที่มีกรณีอินไซ้ด์ของผู้บริหารและในกรณีที่ยังไม่มีหุ้น   หลายคนบอกว่าเราไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับหุ้นเหล่านั้นเลยเพราะ  ผู้บริหารคง “ไว้ใจไม่ได้แล้ว”  และถ้าวอเร็น บัฟเฟตต์ เจอแบบนี้เขาก็คงจะขายหุ้นทิ้งแน่นอน ตัวอย่างเช่นกรณีของหุ้นเทสโก้ที่เกิดกรณีอื้อฉาวแต่งบัญชีซึ่งทำให้บัฟเฟตต์ขายหุ้นเทสโก้ทิ้งหมด

    สำหรับคำตอบนี้  ผมเองคิดว่าการพิจารณาเรื่องของธรรมาภิบาลหรือ CG นั้นเราคงจะต้องดูระดับของความเลวร้ายด้วย  กรณีของเทสโก้นั้น  ผมคิดว่าผู้บริหารตั้งใจและวางแผนที่จะหลอกลวงผู้ถือหุ้นและคนทั่วไปเกี่ยวกับบริษัทโดยตรงและทำมานาน  ในกรณีแบบนี้เราก็คงยอมรับยาก  เหนือสิ่งอื่นใด  บัฟเฟตต์เองอาจจะขายหุ้นทิ้งเพราะพื้นฐานของกิจการมากกว่าเรื่อง CG ด้วยซ้ำ  เนื่องจากเขาพบว่าผลการดำเนินงานของกิจการที่เขาคิดว่า OK นั้น  จริง ๆ  แย่กว่าที่รายงานมากเพราะคู่แข่งเด่นขึ้นเรื่อย ๆ  ในขณะที่เทสโก้แย่ลงหนัก

    ในกรณีที่ยังไม่มีหุ้นอยู่  เราควรที่จะเข้าไปซื้อหรือไม่โดยเฉพาะถ้าราคาหุ้นร่วงลงมาก ?  ในกรณีนี้ก็อีกเช่นกัน  เราคงต้องดูเป็นกรณี ๆ  ไป  ถ้าเรื่องไม่เลวร้ายอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน  หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น  “ครั้งเดียว”  และน่าจะ “แก้ไขได้”  เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีกฎ  “ตายตัว” ว่าจะไม่เกี่ยวข้อง  บัฟเฟตต์เองนั้น  ครั้งหนึ่งก็เคยเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทอเมริกันเอ้กซเพรสซึ่งเกิดเรื่องอื้อฉาวกรณี  “น้ำมันสลัด” ที่มีการโกงกันอย่างมโหฬาร  แต่บัฟเฟตต์เห็นว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นร้ายแรงครั้งเดียวและแก้ไขได้ในขณะที่กิจการหลักของบริษัทยังดีและแข็งแกร่งมากแต่ราคาหุ้นตกลงไปมาก  เขาเข้าไปซื้อหุ้นอเมริกันเอ้กซเพรสแบบ  “ตีแตก”  ด้วยเงินเกือบครึ่งพอร์ตและทำกำไรมหาศาลจนกลายเป็น “ตำนาน” มาจนถึงทุกวันนี้

    บทเรียนสุดท้ายสำหรับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนของผมก็คือ  ชื่อเสียงนั้นสร้างยากและส่วนใหญ่ใช้เวลาหลายสิบปี  แต่เวลาที่มันถูกทำลายนั้น  มักเกิดขึ้นภายในเวลาชั่วข้ามคืน  ดังนั้น  เราจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง “โซนอันตราย” ทั้งหมด  การซื้อขายหุ้นของบริษัทที่ตนเป็นผู้บริหารหรือมีความเกี่ยวข้องควรจะต้องเลิกหมด  พูดแบบเปรียบเทียบก็คือต้อง  “เลิกเก็บเงินริมทาง”  อย่างสิ้นเชิง
[/size]
CARPENTER
Verified User
โพสต์: 423
ผู้ติดตาม: 0

Re: เก็บเงินริมทาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

เอเอฟพี – ชาวกรุงโตเกียวนำเงินสดที่มีผู้ทำสูญหายส่งตำรวจเป็นมูลค่ารวมถึง 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 900 ล้านบาทในปีที่แล้ว และ 3 ใน 4 ของเงินเหล่านั้นก็ได้กลับไปสู่เจ้าของที่แท้จริง อันเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความสัตย์ซื่อที่เป็นคุณสมบัติอันโดดเด่นน่าทึ่งของชาวแดนอาทิตย์อุทัย

โฆษกตำรวจนครบาลกรุงโตเกียว เปิดเผยว่า พลเมืองดีหลายต่อหลายคนได้นำกระเป๋าบรรจุเงินสดที่พวกเขาพบเจอเข้าโดยบังเอิญมาส่งให้ตำรวจช่วยตามหาเจ้าของ รวมเป็นวงเงินราว 3,340 ล้านเยน (ราว 918 ล้านบาท) ในปีที่ผ่านมา

หนังสือพิมพ์ สปอร์ต นิปปอน ได้เปิดเผยเรื่องราวของชาวญี่ปุ่นผู้ซื่อตรงที่อุตส่าห์นำกระเป๋าอุปกรณ์กีฬาซึ่งภายในมีเงินสดถึง 155,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งตำรวจ ทั้งที่เงินจำนวนนี้มากพอที่เขาจะนำไปซื้อรถสปอร์ตหรู มาเซราติ แกรนตูริสโม เอ็มซี หรือไม่ก็อพาร์ตเมนต์เล็กๆ ใจกลางกรุงโตเกียว

โฆษกตำรวจหญิง ระบุว่า เกือบร้อยละ 74 ของเงินหายที่มีผู้นำส่งตำรวจในปี 2014 ถูกคืนให้เจ้าของเดิม รวมไปถึงกระเป๋ากีฬาใบดังกล่าวด้วย

กฎหมายญี่ปุ่นอนุญาตให้ผู้ที่พบทรัพย์สินและนำส่งตำรวจมีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์นั้นได้ หากเจ้าของที่แท้จริงไม่มาอ้างกรรมสิทธิ์และขอรับทรัพย์สินของตนคืนภายใน 3 เดือน แต่ก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เพราะชาวญี่ปุ่นบางคนที่พบเงินหายกลับสละสิทธิ์ที่จะครอบครองของที่ไม่ใช่ของตน ทำให้ปีที่แล้วมีเงินหายถูกส่งเข้าคลังกรุงโตเกียวถึง 390 ล้านเยน

สื่อเมืองปลาดิบพร้อมใจกันตีแผ่ข้อมูลนี้ เพื่อยืนยันว่าญี่ปุ่นเป็นสังคมที่ปลอดภัยมากเพียงใด โดยเฉพาะกรุงโตเกียวซึ่งกำลังจะเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกในปี 2020

ความปลอดภัยของสังคมญี่ปุ่นซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวเมืองปลาดิบเองก็ภาคภูมิใจมักถูกเล่าขานผ่านประสบการณ์ของชาวต่างชาติที่เคยทำกระเป๋าสตางค์หรือไม่ก็พาสปอร์ตหล่นหายในบาร์หรือแท็กซี่ญี่ปุ่น และสุดท้ายก็มีพลเมืองดีนำส่งคืนให้
ภาพประจำตัวสมาชิก
IndyVI
Verified User
โพสต์: 3530
ผู้ติดตาม: 0

Re: เก็บเงินริมทาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ฟังย้อนหลัง ดร.นิเวศน์พูดถึงบทความครับ

รายการ รู้ใช้ เข้าใจเงิน โดย จิตติมา ทวาเรศ
(7 ธค. 58)
-ฟังคำแนะนำถึงการเปิดใหม่ตลาดหุ้นย่างกุ้ง ประเทศพม่า และ บทความ "เก็บเงินริมทาง"
โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-ร่วมวางแผนเงินออม กับ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร

http://goo.gl/7bu1IG
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
CARPENTER
Verified User
โพสต์: 423
ผู้ติดตาม: 0

Re: เก็บเงินริมทาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 4

โพสต์

บทความนี้ จะมีการพูดถึงบริษัทสามบริษัท คือ เบิร์กไชร์,อเมริกันเอ้กซเพรส และซีพีออล
เบิร์ไชร์ ซีพีออล คล้ายกัน คือผู้บริหาร ใช้ ข้อมูลภายในซื้อหุ้นที่จะถูกเทคโอเวอร์
ต่างกันตรงที่โซโคลซื้อหุ้นมาแล้วค่อยไปชวนบัฟเฟตต์เทคโอเวอร์ ในแง่กฏหมายเลยไม่ผิด
เพราะตอนซื้อยังไม่มีการเทคโอเวอร์และอาจจะไม่มีการเทคโอเวอร์เลยก็ได้
แต่ถ้ามองในแง่ความซื่อสัตย์ของโซโคลต่อเบิร์กไชร์ แบบนี้ไม่ดีแน่ เพราะสิ่งที่โซโคลทำ
ทำเพื่อผลประโยชน์ของโซโคล ไม่ใช่ทำเพื่อผลประโยชน์ของเบิร์กไชร์ แบบนี้ต้องออก
ผมเดาว่า บัฟเฟตต์ ไม่คิดว่าโซโคล กำไรแค่ 3ล้านเหรียญกำไรมากกว่านั้นแน่นอนแต่โชว์จำนวนหุ้น
ที่ซื้อไว้ก่อนเพื่อให้หลุดจากข้อกฏหมายเรื่องอินไซเดอร์ เพราะถ้าผิดติดคุกแน่นอน ไม่โดนแค่ปรับ
ส่วนกรณี ซีพีออล ผบห. ผิดในเรื่องใช้อินไซเดอร์ในการซื้อขายหุ้นแน่นอน(ยอมรับผิดและเสียค่าปรับด้วย)
โซโคล ถูกกฏหมายแต่ไม่ซื่อสัตย์ต่อบัฟเฟตต์ ผบห.ซีพีออลทำผิดกฎหมาย แต่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าสัว
กรณีของอเมริกันเอ้กเพรส มีการโกงกันอย่างมหาศาล หุ้นลงไปลึกมาก(ถ้าลงน้อยก็คงไม่ซื้อ)
บัฟเฟตต์กล้าซื้อหุ้นอเมริกันเอ้กเพรสเพราะบัฟเฟตต์เชื่อว่าเหตุการร้ายจบไปแล้ว(ผบห.ขี้โกงออกไปหมดแล้ว)
เบิร์กไชร์,อเมริกันเอ้กซเพรส ผบห. ที่ก่อเรื่องออกไปแล้ว ส่วนซีพีออล ผบห.ยังอยู๋
yinglaknite
Verified User
โพสต์: 60
ผู้ติดตาม: 0

Re: เก็บเงินริมทาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 5

โพสต์

กรณี นี้ ไม่รู้ว่า เป็น วิกฤตศรัทธาต่อบริษัท หรือต่อ บุคคล นะ
[/color]I DREAM FOR LIVING
AleAle
Verified User
โพสต์: 2135
ผู้ติดตาม: 0

Re: เก็บเงินริมทาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 6

โพสต์

yinglaknite เขียน:กรณี นี้ ไม่รู้ว่า เป็น วิกฤตศรัทธาต่อบริษัท หรือต่อ บุคคล นะ
คงเริ่มจากบุคคล แล้วลามไปบริษัทต่อครับ ถ้าบริษัทก็เพิกเฉย ผมว่านะครับ
yinglaknite
Verified User
โพสต์: 60
ผู้ติดตาม: 0

Re: เก็บเงินริมทาง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 7

โพสต์

    คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
    [/color]I DREAM FOR LIVING
    โพสต์โพสต์