อังคาร ส.ค. 18, 2015 11:20 pm | 0 คอมเมนต์
ท่านB4solid(ไม่รุว่าliquidรึgas รึเป็นวุ้น)ฮะ
ท่านromeeตอนนี้เป็นตัวแทนผู้กว้างของห้องวีไอหาดใหญ่สาขาย่อยกรุงเทพอยู่ฮะ อยากรู้ไรทางนั้นถามได้เลยฮะ
ผ่านสัปดาห์วันแม่ด้วยการพาน้องสาวไปซื้อไอติมเหนียวทุเรียน มาให้เตี่ยแม่กินทันรายการ"เอาชั้นออกไปที"ของป้าcaramel กะน้าneglect ฮะ(ไม่มีหุ้นนะจ๊ะ)
ผมไม่ชอบกินทุเรียนแต่ไอติมสูตรนี้เจ๋งมาก(เข้าใจว่าฝีมือเพื่อนอ.ลูกอิสาน สมัยเรียนfoodscience คนที่มามี้ตติ้งครั้งก่อน)สวนทางกะหุ้นสาระแหน่ที่สาละวันเตี้ยลง เตี้ยลง(ขาโหด รอpe10 แต่ผมถัวจนเพลียแระ..)
กินกะข้าวเหนียวถ้วยละสี่สิบ(ไม่บอกราคาให้เตี่ยแม่รู้)อร้อย..อร่อย(ครั้งที่แล้วไอติมมะม่วง กินแต่ข้าวเหนียว)
มี้ตติ้งครานี้มีเหตุต้องโดดอีกแล้ว ดังนั้นจึงมาทำการบ้านส่งอ.ลูกอิสานตามระเบียบลูกศิษย์ขาดเรียนฮะ
เป็นเรื่องของ อ.walter schloss
http://www.valuewalk.com/2015/07/your-e ... ing/99999/
"โดยพื้นฐานแล้ว เราชอบซื้อหุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่า และเราก็ต้องมีกึ๋นพอ ที่จะซื้อเพิ่ม ถ้าหุ้นมันลงต่ออีก
และนั่นล่ะ คือเรื่องราวแบบเบน เกรแฮม"
บัฟเฟตต์เรียก"big walt"ผู้ยังใช้หลักการเกรแฮม แบบเหนียวแน่น
"เขาเลือกหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า พูดง่ายๆคือ"ถ้าธุรกิจราคา1ดอลล่าร์ และผมซื้อมันได้ในราคา40เซนต์ละก็
สิ่งดีๆน่าจะเกิดขึ้นกับผม" และเขาทำมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เเละเค้ามีหุ้นเยอะกว่าผมมาก จุดแข็งของวอลเธ่อร์คือ
ไม่ว่าผมหรือใคร ก็ไม่มีอิทธิพลต่อความคิดเค้ามากนัก"
Graham-newman บุคคลผู้ซึ่งจบแค่มัธยมปลาย ทำผลตอบแทนได้16%(มากกว่าs/p500 60%)
หลังค่าธรรมเนียม ตอนบัฟเฟต์ยกย่องให้วอลต์เป็นยอดนักลงทุนในปี1984นั้น วอลต์ลงทุนมา28ปีแล้ว
ด้วยผลตอบแทนก่อนค่าธรรมเนียม 21.3% โดยไม่ใช้กลยุทธขั้นสูง หรือประสาทสัมผัสที่หกอะไรเลย
Walter schloss on what to do
"ผมไม่เก่งเรื่องจังหวะตลาดนัก ดังนั้นเวลามีใครถามเรื่องผมคิดไงกับตลาด เขาก็เดาได้เก่งพอๆกับผมแหละ"
DCF
"ผมไม่ค้านอะไรเรื่องกำไรหรอกนะ เว้นแต่
1. กำไรเปลี่ยนไป
2. การคำนวนคาดการณ์อนาคตของคุณถูก แต่ไอเดียของ"ตัวคูณ"(multiple) อาจเปลี่ยนไป
ดังนั้นผมพอใจ และสบายใจกับ bookvalue มากกว่า"
"กำไรผันผวนมากกว่าbookvalue ดังนั้นการเดากำไรระยะยาวเกินปีหน้า อาจผิดพลาดได้มาก"
"อีกเรื่องนึงของพวกหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพวกนี้ก็คือ คุณทายกำไรมันไม่ได้หรอก อาจมีหุ้นใหญ่พวกเฟร้ดดี้แม็ก
หรือบริษัทใหญ่ๆ ที่คุณพอจะทำนายได้บ้าง แต่ถ้าเป็นพวกบริษัทเล็กๆรองๆลงมา คุณเดามันแทบไม่ได้เลย"
Ideal investment
"ผมใช้วิธีแบบ เกรแฮม-นิวแมน หาnet-net stocks
ทั้งหมดทั้งปวงก็คือ รักษาเงินลงทุนไว้(คือ ไม่ขาดทุน)เพื่อผลประโยชน์ของลูกค้านักลงทุน"
"ย้อนไป1930-1940 มีหุ้นเยอะแยะ ขายราคาต่ำกว่ามูลค่าเงินลงทุน(working capital)
แต่สิบห้าปีหลังมานี่ ไม่มีหุ้นแบบนั้นแล้ว พอหาไม่ได้ ผมก็เลยเปลี่ยนมาลงทุน บริษัทที่มีปัญหา ที่ราคาต่ำกว่าbv
เราเปลี่ยนกลยุทธ เพราะตลาดเปลี่ยน"
Investment2.0
เหมือนบัฟเฟต์ตอนปลายยุค 60 ที่ทำผลตอบแทนได้ไม่เหมือนเดิม แต่แทนที่จะไปลงทุนหุ้นเติบโต
Walter ยังยึดหลัก deep value
"เราลดมาตรฐานของเรานิดหน่อย โดยดูที่bv "
"คุณอาจไม่ดูแค่bv แต่คุณอาจดูอะไรที่คุณคิดว่าเป็นมูลค่าของบริษัท ถ้าขาย(แม้จะไม่ได้ขายออกไป)
ว่ามันเหมาะกับเงินของคุณมั้ย"
"ผมไม่เข้าใจไฮเทค อะไรที่ไม่เข้าใจ อย่าไปยุ่งดีกว่า"
กุญแจสำคัญสำหรับวีไอแบบง่ายๆ
"พวกบ.ที่ราคาตลาดต่ำกว่าbv "
"ซื้อบ.ที่มีหนี้น้อยๆ ตอนที่ราคาเหมาะสมกับ ทรัพย์สิน กำไร และปันผล"
"ผมชอบปันผล เพราะแปลว่าผู้บริหาร ดูแลผู้ถือหุ้นเพิ่มอีกนิดนึง"
"บ.มักไม่ทำเพื่อผลประโยขน์ของคุณ จำไว้เลยว่า ฝ่ายบริหาร มักคิดถึงตัวเองมากกว่า สิ่งนึงคือ คุณต้องไม่ผิดพลาดมากนัก
แต่บ.ที่คุณลงทุน ควรมีคนดีเป็นฝ่ายบริหาร ไม่ต้องเก่งมาก แต่ควรซื่อสัตย์"
Bet and diversify
"วอเรนเก่งมาก ยังไม่มีและจะไม่มีใครเก่งได้เท่าเขา แต่เราเป็นแบบเขาไม่ได้ คุณควรพอใจในตัวคุณ และสิ่งที่คุณทำ"
"วิธีที่เราสบายใจคือ ซื้อหุ้นที่เสี่ยงน้อย และเราซื้อหลายๆตัว เพราะอย่างที่วอเรนบอก ซื้อหุ้นหลายตัวเพื่อกันพลาด
ผมก็เห็นด้วย เพราะเราทำงานอยู่ในห้องเล็กๆ วิเคราะห์เชิงปริมาณ ไม่ได้ไปเยี่ยมทุกบริษัททั่วประเทศเพื่อวิเคราะห์คุณภาพ "
"เรื่องซื้อบ.ที่หุ้นตก ก็มีสามประเด็น
1. กำไรต้องเพิ่ม และราคาหุ้นจะขึ้นตาม
2. อาจมีใครมาซื้อบ. และควบคุมมัน
3. ตัวบ.อาจซื้อหุ้นคืน และอาจทำเทนเด้อร์"
"บ.ทั้งหมดของเรา ราคาร่วงหมด มีปัญหาทั้งหมด และไม่ประกันว่ามันจะเป็นผู้ชนะ แต่ถ้าคุณถือ15-20 แห่ง
ตอนหุ้นถูกๆและไม่มีวอลยุ่มละก็ ผลออกมาน่าจะดี ส่วนใหญ่ใช้เวลาราวๆ4ปี บางบ.อาจนานกว่านั้น"
"เราไม่ใส่เงินเท่าๆกันในหุ้นแต่ละตัว ถ้าเราชอบตัวไหน เราจะใส่เงินลงไปเยอะๆ"
จิตวิทยา
"ผมคิดว่าทุกคนเป็นคนมีเหตุผล ผมไม่ได้คิดว่าเราจะมีอารมณ์เวลาเหตุการณ์กลับพลิกตรงข้าม
เรา และ แน่นอน วอเรน เป็นตัวอย่างแบบสุดๆในเรื่องแบบนี้"
"สิ่งที่นักลงทุนทำ ขึ้นกับพื้นฐานของเขา บอกให้คนกลัวหุ้นซื้อหุ้นจะยากมาก โดยเฉพาะถ้าพ่อเขาเคยขาดทุนตอนdepression"
"ผมชอบซื้อบอนด์บริษัทล้มละลาย (บ.รถไฟเพนซิลเวเลนีย)ซึ่งทุกคนวิ่งหนีหมด แม้จะกำไรงาม"
"หุ้นส่วนคนนึงถาม"วอลเธ่อร์ เงินผมอยู่กับคุณเยอะมาก ผมประสาทกับหุ้นที่คุณมี" ผมเลยเล่าให้ฟังเรื่องบอนด์บ.รถไฟล้มละลาย
และหุ้นอีกสองสามตัว เขาเลยบอกว่า"ผมทนไม่ได้ที่คุณลงทุนหุ้นแบบนั้น ผมขอถอนหุ้น" เขาตายในอีกปีต่อมา
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่เราไม่ค่อยอยากเล่ารายละเอียด"
"คุณต้องมีประสาทแข็ง และหวังไว้เลย ว่าต้องเจอกับขาดทุนแบบยังไม่ขาย(unrealized loss)
ตอนคุณซื้อหุ้นที่ตก มันจะยังไม่ขึ้นหลังคุณซื้อมัน เชื่อผมเหอะ มันจะลงต่ออีก"
"ผมพยามอยู่ห่างตลาด ตลาดเป็นแหล่งสร้างอารมณ์กลัวกับโลภให้ผู้คน"
ขายเมื่อไร
"เราจะทะยอยขายหุ้น หุ้นเกือบทุกตัวที่เราขายจะไปต่อ คุณก็รู้ ว่าคุณไม่เคยซื้อถูกสุด หรือขายแพงสุด
บางทีคุณก็ได้โอกาสขาย แล้วพูดกับตัวเองว่า โอเค มันจะขึ้นต่อ"
"ผมพบว่า บางครั้งที่คุณพูดว่า"ผมจะรอสักพักหนึ่ง" มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
อาจารย์Walter schloss จากไปด้วยวัย95 เมื่อฤดูใบไม้ผลิของปี2015นี้
"เราก็แค่ซื้อหุ้นถูกๆ กูกแบบน่าเกลียด ถูกแบบน่ารังเกียจ"
...