VI หาดใหญ่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2545
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1861

โพสต์

leky เขียน:แต่จริง ๆ ผมว่าหลังจากที่ผมศึกษาเรื่องนี้มานะครับ

มันทำให้ผม "กลัวน้อยลง" ด้วยซ้ำ

ถ้าหุ้นผมมันจะลงมาแบบเหมือนโดน "กด" แต่ถ้าผมยังมั่นใจกับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคต ผมก็ยังเฉย ๆ กับสิ่งเหล่านั้นได้ครับ เพราะคิดว่ายังไงเดี๋ยวมันก็ต้องดีขึ้น แต่ทั้งนี้มันต้องมีเหตุผลรองรับที่มีเหตุผลเหมาะสมนะครับ ไม่ใช่เกิดจากเรา "มโน" ไปเอง
ผมได้พยายามทดลองการถือหุ้นเป็น port หลายรูปแบบ เพื่อแก้ไขความโลภและความกลัวอยู่ครับ อาจารย์ lexy

เทคนิคหนึ่งคือ การลงทุนแบบ focus และ diversify ธุรกิจระดับหนึ่งเพื่อ limit loss ของหุ้นแต่ละตัวเนื่องจากหุ้นที่ดีก็อาจอยู่ในภาวะผันผวนได้มากมีโอกาสเกิด loss ระยะสั้นถึง 30%-50% ถ้าขายหุ้นออกไปด้วยความกลัวซึ่งจะนำมาซึ่งการสูญเสียจากความกลัวอย่างยิ่งยวดเพราะมันลงมากระตุ้นต่อมการตัดสินใจของเราตลอดเวลา

การจัด port ให้น้ำหนักที่เหมาะสมเช่น อต่ละตัวถือไม่เกิน 20% ของ port รวมแม้จะมั่นใจสุด และอาศัยการหมุน allocate น้ำหนักในแต่ละตัวบ้างเพื่อปรับ port สัดส่วนน้ำหนักบ้าง อาจช่วยให้เราบริหารความเสี่ยงของหุ้นแต่ละตัวและสร้างผลตอบแทนแต่ละตัวไปสะท้อนภาพรวมของ portได้ดีขึ้น ทำให้ถือหุ้นด้วยความอดทนยามตลาดไม่เป็นใจและรอคอยผลตอบแทน upside ที่เกิดขึ้นได้ดีพอควรครับ

ทำให้เรามุ่งการวิเคราะห์พื้นฐานของหุ้นได้ดีขึ้นมากด้วย มีโอกาสจะมา share เพิ่มเติมครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1862

โพสต์

copy มาจากเฟซของคุณ WEB ครับ ไม่เสียแรงที่เป็นคนแปลหนังสือแก่นฯ เลยจริงๆ

"ร่มไม่เคยมีค่าในวันที่ฝนไม่ตกฉันใด การคิดเผื่อ การมีแผนสำรอง ก็จะดูไม่มีค่าตอนที่ทุกอย่างออกมาดีฉันนั้น
การถือร่มติดตัวมีต้นทุน แต่มันจะคุ้มค่ามากในวันที่ฝนตก
การคิดเผื่อ การปรึกษา มีต้นทุน แต่มันจะมีค่ามากในวันที่อะไรๆ ไม่ได้ออกมาดีแบบที่เราคิด"
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1863

โพสต์

SCC มีคุณสมบัติของซุปเปอร์สต๊อก หรือไม่ครับ?
ใน TIMELINE 20 ปีขึ้น
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1864

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:SCC มีคุณสมบัติของซุปเปอร์สต๊อก หรือไม่ครับ?
ใน TIMELINE 20 ปีขึ้น
ปกติผมไม่ได้ซื้อขายหุ้นขนาดใหญ่ แต่เคยลองคิดดูเล่นๆ เหมือนกันครับว่า ถ้าให้เลือกซักตัวนึงแล้วถือไปยาวๆ จะเลือกอะไร

ผมเลือก SCC ครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1865

โพสต์

PAE ปฏิบัติการแย่งซากแพะ
http://www.kaohoon.com/online/content/view/14709/

PAE รูดเกือบ 9% หลังบอร์ดยกเลิกประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 29 ก.ค.นี้
http://www.kaohoon.com/online/content/v ... ที่29กคนี้
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2545
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1866

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:SCC มีคุณสมบัติของซุปเปอร์สต๊อก หรือไม่ครับ?
ใน TIMELINE 20 ปีขึ้น
วิกฤษsubprime เคยลงไปต่ำกว่า100บาท
ในช่วงนั้นลงมายังกลับบริษัทจะไม่รอด
ใกล้เคียงกับยุคscc ลดค่าเงินบาทจนทุนเกือบหมด

ไม่ถึง10 ปี เหตุการณ์ร้ายๆก็ผ่านไป

แล้วมันก็ขึ้นมาเกือบ 5 เด้ง
เติบโตต่อเนื่องจริง ๆ

ตอนนี้มีอีกตัวที่โดนวิกฤษ
ขนาดโดนวิกฤษcredit rating ล่าสุดยังสูงสุดของประเทศไทยเท่าระดับประเทศไทยไม่เปลียนแปลงเพราะกระแสเงินสดยังดีมากและมีการลงทุนต่อเนื่องแม้ในยามวิกฤษก็ตาม แถมยังหาโอกาสทำm&a หากโอกาสเปิดด้วย
แม้นายตลาดจะให้ข่าวปกคลุมด้วยข่าวร้ายนานาชนิดก็ตาม
จนราคาลงไปกว่า50% และp/bv ต่ำกว่า 1 เท่าแบบเหลือเชื่อ

ราคาหุ้นลงมายังกลับบริษัทเข้าขั้นโคมา พื้นฐานเปลี่ยนจนยากจะฟื้น

หุ้นหลายตัวเราต้องดูช่วงวิกฤษ การผ่านวิกฤษได้หลายรอบ
และแต่ละรอบสามารถสร้างผลประกอบการnew high ได้ทุกครั้ง
ตรงนี้จึงจะเป็น super stock แท้จริงครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1867

โพสต์

ขออนุญาตต่อเรื่องแนวทางแบบนอน-วีไอครับ ในตอนนี้เป็นแนวทางที่ 3 แล้วคือ แนวทางจิตวิทยาตลาด ได้แก่ แนวคิดระบบผลประโยชน์ กับ ทฤษฎี Reflexivity
โดยผมขอเริ่มจากทฤษฎี Reflexivity ของจอร์จ โซรอส ก่อน ผมจะนำเสนอในลักษณะที่เน้นให้พอเข้าใจแนวคิดเพื่อนำไปประยุกต์ใช้นะครับ

ทฤษฎี Reflexivity (ชื่อที่ยาวกว่านั้นคือ 2-Way Reflexivity) อธิบายว่า ความเป็นไปในโลกไม่ได้ดำเนินไปในลักษณะของ เหตุทำให้เกิดผล เพียงอย่างเดียว แต่ในทางกลับกันนั้น ผลก็ย้อนกลับมาให้เกิดเหตุได้อีกด้วย (ความสัมพันธ์จะไม่ใช่แบบ 1-->2 แต่เป็นลักษณะ 1<-->2) ในที่นี้ผมจะขอยกขึ้นมา 2 ตัวอย่าง

ตัวอย่างแรก "สภาพคล่องในระบบศก." จากเริ่มต้นที่ศก.เริ่มขยายตัว ธุรกิจที่แข็งแกร่งรอดมาได้จากช่วงวิกฤตเริ่มต้องการสินเชื่อเพิ่มทำให้ธนาคารเริ่มมีกำไรและสามารถปล่อยกู้ได้เพิ่มขึ้น ต่อมาศก.ดีขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจทั่วไปก็เริ่มขยายตัวตามมา ธนาคารเริ่มมีฐานะแข็งแกร่งและแข่งกันปล่อยสินเชื่อ จนในที่สุดแม้แต่ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงก็ยังสามารถกู้เงินได้ไม่ยากซึ่งนั่นคือภาวะฟองสบู่ เมื่อฟองสบู่แตก ธนาคารเริ่มชะลอการปล่อยสินเชื่อ ธุรกิจอ่อนแอเริ่มมีปัญหา ทำให้ธนาคารเข้มงวดยิ่งขึ้นไปอีก จนธุรกิจทั่วไปก็เริ่มขาดสภาพคล่อง ถึงตรงนี้ภาวะศก.ตกต่ำเริ่มลามไปทั่ว จนในที่สุดแม้แต่ธุรกิจชั้นดีก็ต้องรัดเข็มขัดและสภาพคล่องในระบบก็ลดลงจนถึงจุดต่ำสุด

ตัวอย่างที่ 2 "ตลาดหุ้น" จากเริ่มต้นที่ตลาดหุ้นซบเซา ถึงจุดนึงภาวะกระทิงก็เริ่มก่อตัว นักลงทุนขาประจำเริ่มกลับเข้ามาในตลาด ราคาหุ้นเริ่มสูงขึ้นๆ ข่าวตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นเริ่มแพร่กระจาย นักลงทุนหน้าใหม่เริ่มเข้ามาลองของ โบรกเริ่มมีกำไรมากขึ้นและกล้าปล่อยกู้มาร์จิ้นทำให้เงินซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นไปอีก ตลาดหุ้นคึกคักเต็มที่จนแม้แต่นักลงทุนหน้าใหม่ก็กลายเป็นเซียนหุ้น โบรกแต่ละแห่งขยายวงเงินปล่อยกู้มาร์จิ้นขึ้นไปอีก จนในที่สุดราคาหุ้นก็นำหน้าพื้นฐานไปไกลจนกลายเป็นภาวะฟองสบู่ ราคาหุ้นเริ่มไหลลง นักลงทุนขาประจำผู้มีประสบการณ์เริ่มถอนตัวไปทีละคนๆ นักลงทุนที่เหลือเริ่มขาดทุน บางส่วนก็ยอมขายเพื่อไม่ให้เสียหายมากกว่านี้ซึ่งก็ทำให้ราคาหุ้นร่วงต่ำลงไปอีก โบรกเริ่มเห็นสัญญาณไม่ดีและเริ่มลดวงเงินปล่อยกู้มาร์จิ้น นักลงทุนที่ใช้มาร์จิ้นโดนฟอร์ซเซล ราคาหุ้นโดนซ้ำให้ร่วงหนักไปอีก โบรกเพิ่มความเข้มงวดกับลูกค้าที่ยังใช้มาร์จิ้นอยู่ จนในที่สุดหมีก็ปรากฏตัวชัดเจนในตลาด

จากตัวอย่างแรก ธุรกิจขยายตัว-->ธนาคารมีกำไร ปล่อยกู้เพิ่ม-->จำนวนธุรกิจขยายตัวเพิ่ม-->ธนาคารมีกำไรเพิ่ม แข่งกันปล่อยกู้หนักขึ้น-->จำนวนธุรกิจขยายตัวจนเกินสมดุล-->ภาวะฟองสบู่-->ธนาคารกำไรหด เริ่มเกิดหนี้เสีย ลดการปล่อยกู้-->ธุรกิจเริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง-->ธนาคารกำไรแย่ไปอีก หนี้เสียมากขึ้น เข้มงวดปล่อยกู้มากขึ้น-->ธุรกิจที่มีปัญหาเริ่มขยายตัว-->ภาวะซบเซา/วิกฤต

จากตัวอย่างที่ 2 ตลาดกระทิงก่อตัว-->นักลงทุนขาประจำซื้อหุ้น-->ราคาหุ้นสูงขึ้นๆ-->นักลงทุนหน้าใหม่เข้ามา-->ตลาดคึกคัก โบรกปล่อยมาร์จิ้น-->กระทิงคึกเต็มที่-->เซียนหุ้นเต็มตลาด-->โบรกขยายวงเงินมาร์จิ้น-->ราคาพีค ฟองสบู่แตก-->นักลงทุนขาประจำถอนตัว-->ราคาหุ้นไหลลง-->โบรกลดวงเงินมาร์จิ้น-->นักลงทุนเสียหายโดนฟอร์ซเซล-->ราคาหุ้นโดนซ้ำให้ร่วง-->โบรกเพิ่มความเข้มงวดลูกค้ามาร์จิ้น-->หมีโผล่

โซรอสอธิบายทฤษฎี Reflexivity ปรากฏการณ์ที่ส่งผลสะท้อนกลับไปกลับมานี้ คู่กับการอธิบายวงจร Boom-Bust Cycle ว่า เมื่อไรก็ตามที่เกิดการเคลื่อนไหวจนออกจากสมดุลมากเกินไป จนถึงจุดนึงก็จะเกิดจุดกลับตัวขึ้นเพื่อปรับให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่สมดุลอีกครั้ง ถึงตรงนี้ใครที่เคยอ่านหนังสือแก่นฯ คงนึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องการแกว่งตัวแบบลูกตุ้มของตลาด

สำหรับตลาดหุ้น ผมคิดว่าลักษณะการเคลื่อนไหวของราคาแบบนี้ก็คือสิ่งที่เรียกกันว่า โมเมนตั้ม นั่นคือ ในบางเวลา (หรือแม้กระทั่งว่าอาจเป็นช่วงเวลาส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ) ราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวในลักษณะของโมเมนตั้ม ซึ่งในภาวะที่กำลังแย่คนก็มักจะมองอนาคตว่าจะแย่ต่อไปอีก ส่วนในภาวะที่ดีคนก็มักจะมองอนาคตว่าดีขึ้นไปอีก

ปรากฏการณ์ในลักษณะที่ว่านี้จะเห็นได้ว่ามีความสัมพันธ์กับปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างน้อย แต่มันก็เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในตลาดและหลายครั้งที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของราคาไม่น้อยไปกว่าปัจจัยพื้นฐานเลยโดยเฉพาะในระยะสั้น
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1868

โพสต์

ต่อเลยนะครับ แนวคิดระบบผลประโยชน์ ของคุณพิชัย จาวลา

ถ้าใครไม่เคยศึกษาแนวคิดนี้มาก่อน แต่สนใจจะอ่านต่อไป ผมขอแนะนำให้วางแนวคิดแบบวีไอลงก่อนครับ อย่าอ่านไปวิจารณ์ไป ไม่เช่นนั้นจะไม่เกิดประโยชน์ครับ ขอให้อ่านให้จบและพยายามทำความเข้าใจก่อน

แนวคิดนี้มีความเชื่อว่า ในโลกทุนนิยม คนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะได้กำไร คนส่วนใหญ่จะขาดทุนเสมอ คนส่วนน้อยที่ว่านี้เป็นผู้ควบคุมตลาดและกำหนดเหตุผล เม็ดเงินที่ซื้อหุ้นของคนส่วนน้อยจะเท่ากับหุ้นที่คนส่วนใหญ่ขายออกมา

ในตลาดเก็งกำไรที่คนส่วนใหญ่ตัดสินใจซื้อขายกันบนการคาดการณ์ทิศทางของราคา แต่แท้จริงแล้วราคานั้นกลับไม่ได้เคลื่อนไปในทิศทางที่สอดคล้องกับเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ยึดติด ปัจจัยที่กำหนดทิศทางของราคานั้น คือผลประโยชน์ของคนส่วนน้อยที่ซื้อขายสวนทางกับคนส่วนใหญ่ และราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางของผลประโยชน์ของคนส่วนน้อยนี้เองที่จะไปกำหนดและเปลี่ยนแปลงเหตุผลในภายหลัง

ที่จุดต่ำสุดของตลาดจะเป็นช่วงเวลาที่เหตุผลทุกข้อชี้ว่าราคาจะลงต่อและคนส่วนใหญ่แทบทั้งหมดจะเลือกขายหุ้นไม่ใช่ซื้อ จนต่อมาเมื่อราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็นเหตุผลดีๆ ออกมาสนับสนุน และเมื่อข่าวดีท่วมตลาด เหตุผลทุกข้อชี้ว่าราคาจะต้องขึ้นต่อไปอีก ก็จะกลายเป็นจุดสูงสุด

ผมจะทิ้งแนวคิดนี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อนเพื่อให้เวลาแต่ละท่านที่ได้อ่านมีเวลาคิดวิเคราะห์ว่ามีส่วนจริงรึเปล่า หรือมีข้อโต้แย้งตรงไหน แล้วจะมาขอร่วม Discuss ถึงมุมมองของผมในภายหลังครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1869

โพสต์

อยากให้ลองอ่าน ข่าวที่เกิดขึ้น มุมมองของตลาด เหตุผลในแต่ละช่วงเวลา ระหว่างเหตุการณ์ซับไพรม์ที่เจ้าของกระทู้ได้อธิบายไว้ครับ แล้วลองเทียบดูกับแนวคิดระบบผลประโยชน์ว่ามันมีส่วนจริงหรือไม่ ที่ว่าช่วงที่เหตุผลดูดี คนส่วนใหญ่จะกล้าซื้อ และราคาหุ้นจะลงต่อ ในขณะที่ช่วงที่เหตุผลดูแย่ คนส่วนใหญ่กลัว ก็จะได้เวลาที่ราคาหุ้นจะกลับตัว

แชร์ประสบการณ์ช่วง Sub-Prime (ผมผ่านมาได้อย่างไร)
http://m.pantip.com/topic/30884960?
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1870

โพสต์

หลังจากที่ผ่านแนวทางอินดี้อย่างปัจจัยจิตวิทยามาแล้ว หากยังไม่มีใครที่เริ่มรู้สึกเหมือนจะถูกธาตุไฟเข้าแทรก หรือลมปราณในกายกำลังจะแตกซ่าน เรากำลังจะเดินทางมาถึงแนวทางสุดท้าย ใช่แล้วครับ ผมกำลังจะพาเข้าสู่ “เขตหวงห้าม” สำหรับชาววีไอ ปัจจัยทางกราฟเทคนิค อย่างไรก็ตาม ขอบอกให้สบายใจกันก่อนได้ครับ ว่าในเนื้อหาจะไม่มีการนำกราฟใดๆ มาโพสต์ประกอบ อย่างน้อยถ้าหากกระทู้นี้จะโดนอุ้มก็น่าจะได้รับการผ่อนผันโทษหรือเหลือแค่รอลงอาญา เนื่องจากอาจมองได้ว่าความผิดที่ก่อขึ้นนั้นไม่ครบถ้วนกระบวนความครับ :mrgreen:

เนื่องจากการนำปัจจัยทางกราฟเทคนิคมาใช้วิเคราะห์ถึงผลกระทบที่มีต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้นมีการแตกแขนงการใช้งานออกไปอย่างกว้างขวางและหลากหลาย (ไม่ว่ามันจะเป็นการนำไปใช้อย่างมีเหตุผลรองรับหรือไม่ก็ตาม) ผมจะขอยกมาเฉพาะในบางส่วนที่คิดว่าน่าสนใจเท่านั้นครับ

เริ่มกันที่ทฤษฎีแม่บทของชาวเทคนิคอย่างทฤษฎีดาว (Dow Theory) โดยที่ผมจะขอยกมาเพียงบางส่วนที่คิดว่ามีประเด็นน่าสนใจ

ในทฤษฎีดาวมีความเชื่อที่สำคัญข้อนึงคือ “ราคาสะท้อนข้อมูลข่าวสารทุกอย่างในตลาดแล้ว (Market Efficiency)” และอีกข้อนึงคือ “แนวโน้มราคาจะยังคงอยู่ในแนวโน้มเดิม จนกว่าจะมีสัญญาณที่ชัดเจนถึงการสิ้นสุดแนวโน้ม”

ผมมองว่าความเชื่อ 2 ข้อนี้มันค่อนข้างขัดแย้งกันในตัวเอง นั่นคือ หากราคาสะท้อนทุกอย่างแล้วจริงตามทฤษฎีตลาดมีประสิทธิภาพ เราก็ไม่น่าจะใช้ประโยชน์จากการคาดการณ์แนวโน้มได้ว่าจะเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางไหน ราคาในอนาคตน่าจะเคลื่อนไหวไปแบบ Random Walk หรือไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้ามากกว่า และสำหรับความเชื่อที่ว่า แนวโน้มราคาจะยังคงอยู่จนกว่าจะถึงการสิ้นสุดแนวโน้มนั้น ก็ยากที่จะนำไปใช้ประโยชน์เพื่อคาดการณ์ “Upside” ได้อยู่ดี เพราะเราก็ไม่รู้ว่าแนวโน้มจะไปอีกไกลแค่ไหนก่อนสิ้นสุด (สิ่งที่เราเห็นได้มีเพียงว่าแนวโน้มได้ดำเนินมาแล้วนานแค่ไหน) และกว่าที่จะสังเกตได้ชัดว่าแนวโน้มสิ้นสุดไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าราคาจะอยู่สูงหรือต่ำกว่าราคา ณ ปัจจุบัน

นอกจากเรื่องทฤษฎีดาวแล้ว ที่ผมอยากยกมาอีกอย่างนึงคือ ความพยายามใช้กราฟในลักษณะของการคาดเดาอนาคต การหาจุดซื้อขายด้วยแนวต้าน-แนวรับ หรือการพยายามสร้างสูตรคำนวณบางอย่างเพื่อใช้กำหนดราคาเป้าหมาย เช่น ตัวเลขสัดส่วนทองคำ Fibonacci เพื่อหาจุดซื้อขายล่วงหน้า เรื่องนี้ผมขออนุญาตไม่เห็นด้วยเลยครับ เราจะเอาอะไรมามั่นใจได้ว่า เมื่อราคาหุ้นเคลื่อนไหวไปถึง ณ ราคาไหนราคานึงแล้วจะไม่สามารถสูงหรือต่ำกว่าราคานั้นไปได้อีก แล้วทำไมถ้าราคาทะลุระดับนึงเช่น 10 บาทไปแล้ว จะต้องเคลื่อนไหวไปอย่างน้อย 10.60 หรือ 11 บาท หรือตัวเลขอะไรก็ตามสุดแล้วแต่ที่สูตรคำนวณออกมา ความจริงเดียวที่ผมเห็นได้ชัดคือ หากราคาทะลุสูงกว่า 10 บาทแล้ว Step ถัดไปมันก็จะเป็น 10.10, 10.20, 10.30,... ครับ เพราะตลท.กำหนด Spread ราคาไว้อย่างนั้นตามกติกา ในความเป็นจริง ในเมื่อเราอ่านใจคนอื่นในตลาดไม่ได้ หรือแม้แต่ตัวเราเองก็ตาม เมื่อเวลาเปลี่ยนไป เราได้รับข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ บางครั้งเราเองยังเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจจากเดิม แล้วนับประสาอะไรที่อนาคตจะต้องเกิดขึ้นแน่นอนตามการคาดเดาไว้ล่วงหน้า สำหรับผมแล้วการใช้กราฟเทคนิคควรใช้ในลักษณะที่เป็นสัญญาณเตือนภัยหรือสัญญาณของโอกาส มากกว่าการใช้เพื่อคาดเดาอนาคตครับ

จุดผิดพลาดอีกอย่างที่ผมสังเกตเห็นบ่อยที่สุดในการนำการวิเคราะห์ด้วยกราฟเทคนิคไปใช้คือ ความใจร้อน อยากได้กำไรมากๆ จนนำไปสู่การคิดค้นสัญญาณทางเทคนิคขึ้นมาหลายต่อหลายอย่าง เพื่อให้สามารถรู้ความเคลื่อนไหวของราคาได้ล่วงหน้าก่อนคนอื่น และการที่พยายามเข้าไปซื้อขายในทุกโอกาสที่เกิดขึ้นเพราะมองแต่ด้านกำไร สำหรับผมแล้ว การใช้กราฟก็เปรียบเหมือนการเล่นไพ่ ถ้าอยากให้เดิมพันของเราได้เปรียบ เราควรจะรอดูหน้าไพ่ของคนอื่นๆ ก่อน แล้วค่อยเลือกวางเดิมพันเฉพาะในเกมตาที่เราประเมินแล้วว่ามีแต้มต่อมากพอ ไม่ใช่การพยายามเดิมพันทุกเกมทุกตา หรือพยายามทุ่มเดิมพันหนักขึ้นเพื่อเอาคืนหลังจากขาดทุนมาก่อนหน้า และที่สำคัญ อย่าลืมนะครับว่ามันเป็นเกมของความน่าจะเป็น ไม่ใช่อะไรที่ 100% แม้หน้าไพ่ที่เปิดแล้วของเราจะกำลังได้เปรียบ ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะชนะแล้วแน่นอน ตราบใดที่ไพ่ยังเปิดไม่หมด โอกาสที่เกมจะพลิกนั้นสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ เราควรวางแผนเผื่อไว้ในกรณีแบบนั้นด้วยครับ

มาถึงข้อสรุปของผมในเรื่องนี้แล้วครับ (ซึ่งอาจผิดหรือถูกก็ได้) คือ การวิเคราะห์ปัจจัยทางกราฟเทคนิคนั้นมีประโยชน์ มันสะท้อนให้เห็นได้ว่า ณ ตอนนั้นๆ และในช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้า ตลาดตัดสินใจยังไงบ้าง ผ่านทางราคาและปริมาณซื้อขาย เราสามารถนำมาใช้เพื่อประเมินสถานการณ์ แต่ไม่ใช่ใช้เพื่อคาดเดาอนาคต
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1871

โพสต์

หวังว่าการแชร์และ Discuss ถึงแนวทางแบบนอน-วีไอทั้งหลายนี้ คงจะเป็นประโยชน์กับทุกๆ ท่าน อย่างน้อยก็ทำให้ชาววีไอได้ตระหนักถึงความเสี่ยง (และโอกาส) จากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่สามารถเกิดได้จากปัจจัยหลายอย่างนอกเหนือไปจากปัจจัยพื้นฐาน ในหนังสือแก่นฯ ได้กล่าวไว้ว่า นิสัยของนักลงทุนที่ดีอย่างนึงคือ การฝึกตั้งข้อสงสัยและตระหนักถึงความเป็นไปได้แบบต่างๆ

สุดท้ายก่อนจะจบเนื้อหาทั้งหมดไว้เพียงเท่านี้ก่อน ผมหวังว่าข้อมูลแบบ “นอน-วีไอ” เหล่านี้ จะมีส่วนทำให้ทุกๆ ท่านสามารถกลายร่างเป็นนักลงทุนแบบ “บียอนด์-วีไอ” ได้ทุกคน ขอสติจงสถิตอยู่คู่กับการลงทุนของทุกๆ ท่านครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1872

โพสต์

พอดีไปเจอในเฟซว่ามีคนสรุปทฤษฎีระบบผลประโยชน์ของคุณพิชัยไว้พอดี ผมคงไม่แปะเนื้อหาทั้งหมดนะครับ ใครสนใจกดไปดูตามลิงค์แล้วกันครับ
https://www.facebook.com/ShineStock168/ ... 26196274:0
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1873

โพสต์

ขอบคุณท่านดำนะฮะ สำหรับไอเดียเพิ่มเติมจากแนววีไอ
ถ้าลองเอามาใช้เป็นตะแกรงเสริมอีกอันนึงก็น่าสนใจฮะ
เอาเป็นว่า ถ้าอ.กะสมาชิกเค้าให้หุ้นที่มีmosมา ท่านดำเสริมหุ้นอันติดเรทแนวเทคนิคเลยนะฮะ
เช่น เราได้หุ้นมาสิบตัว ท่านดำเห็นว่าผ่านตะแกรงนอนวีไอ(none-VI ; ไม่ใช่วีไอนอนแผ่แน่นิ่งเหมือนหุ้น,รึนอนกระดิกตีนนะจ๊ะ) น่าสนใจสามตัว ชี้เป้ามาเลยฮะ เพื่อนๆเวปอื่นแนวอื่นที่เค้ามาเยี่ยมห้องจะได้ช่วยกันปั่น..เอ๊ยรับหุ้นไปเล่นกันหนุกหนานกันต่อไป

ผมหายไปทำการบ้านอ.leky อ.NB อ.ชัยธรมาฝากเพื่อนๆฮะ หุ้นที่อ.ให้มาก็มี
โปรเรื่องบ้าน
ท่อร้อยสายไฟชื่อเหมือนเสื้อเชิ้ตแปลว่าลูกศร
หมี่สำเร็จรูปชื่อแปลว่าแม่ง..เอ๊ย แม่จ๋า..
รถไฟฟ้ามาหานะเธอภาคลอยฟ้า
รถใต้ดินฟีเธอริ่งทางด่วน
อสังหากรุงเทพแห่งอนาคตเจ้าของศูนย์ประชุมกดดันอัดกระแทกกระทุ้ง
ถุงเขียวเนี่ย ห้างตัวซี รึตัวอาร์หว่า ไม่ใส่ถุงเนี่ย น่าจะตัวเอ็ม แคชแอนด์แค่รี่นะฮะ
ของท่านลูกหินกะท่านอื่นๆ นึกไม่ออก ท่านromeeรีบวางขวดนมมาช่วยกันนะจ๊ะ

ประชุม กนง. เที่ยวนี้ ดอกจะลงอีกมั้ย สลากออมสินจะลดดอกไปถึงไหน (ประกันชีวิต1/10เลิกไปแล้ว) ประกันเงินฝากจะลดวงเงินอีกเท่าไหร่ สหกรณ์จะไปdiversifyธุรกิจยานอวกาศอีกกี่แห่ง ทอง,น้ำมัน,ข้าว,ยางจะลงไปไหน
ฟองสบู่คอนโดแตกแล้วยัง จะฝังเงินใส่ไหก็หาที่เหมาะๆไม่ได้ สารพันปัญหาของคนมีเงินเหลือเยอะ..
ถ้าเพื่อนๆหมดความอดทนกะอะไรที่ไม่ใช่หุ้น(หุ้นก็ตกสวรรค์ลงมาแล้วจะลงนรกไปเลยรึเปล่าเนี่ย)

ผมมีไอเดียลงทุนหุ้นปันผลมาฝากฮะ รวมไอเดียปรมาจารย์วีไอและปรมาจารย์สายอื่นไว้ตามเคย

http://www.suredividend.com/8rules/

กฎ 8 ข้อ ลงทุนระยะยาวเพื่อปันผลหุ้นที่มีการเติบโต
ข้อ1-5 ซื้อหุ้นอะไรดี?

1. กฎคุณภาพ
"ความได้เปรียบอย่างเดียวที่ดีที่สุดของนักลงทุนคือ การมีทิศทางการลงทุนระยะยาว"(เซธ คลาแมน)
ลงทุนธุรกิจคุณภาพสูง ที่พิสูจน์แล้วว่า มั่นคง โต กำไร
จะลงทุนหุ้นงั้นๆไปทำไม ในเมื่อซื้อหุ้นเจ๋งๆได้ดีกว่า เลือกหุ้นที่ปันผลติดต่อกัน25ปี(หุ้นไทยคงเอาแค่สิบปีก็พอมั้ง)
"ที่หนึ่ง ชนะขาด ขาดไม่ได้" (อ.ดร.นิเวศน์)

2. กฎต่อรองราคา
"ราคาคือเงินที่เราจ่าย คุณค่าคือสิ่งที่เรารับ"(วอเรน บัฟเฟต์)
ลงทุนธุรกิจที่ปันผลดี เราจะได้มีรายได้กระแสปันผล เลือกหุ้นปันผลสูงๆ

3. กฎความปลอดภัย
"ความลับของการลงทุนมีสามคำ ; margin of safety"(เบน เกรแฮม)
ธุรกิจที่จ่ายกำไรทั้งหมดออกเป็นปันผล ถ้ากำไรลด ปันผลจะลด
เพื่อMOS ควรเลือกหุ้นปันผลสูง ที่มี pay out ratio ต่ำ ปันผลจะได้ไม่ลดในปีที่กำไรลดลง
"ลงทุนเมื่อมีแต้มต่อ"(อ.คลายเครียด (endorphine))

4. กฎการเติบโต
"ทั้งหมดที่คุณต้องการในการลงทุนให้สำเร็จในชาตินี้ ก็แค่ชนะครั้งใหญ่ๆเพียงสองสามครั้งเท่านั้น"(ปีเตอร์ ลินช์)
ลงทุนหุ้นที่มีประวัติการเติบโตแข็งแกร่ง ถ้าธุรกิจโตได้สูงๆหลายปี ก็มักจะโตไปได้เรื่อยๆ ยิ่งโตยิ่งดี
เลือกหุ้นที่epsโต ปันผลโต
"ยอดขายเพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม"(อ.ดร.นิเวศน์)

5. กฎความสบายใจ
"จิตวิทยา น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด แต่เข้าใจยากที่สุด ในการลงทุนหุ้น"(เดวิด ดรีแมน)
มองหาหุ้นที่คนลงทุนตอนตลาดร่วงรึpanic หุ้นพวกนี้มักจะราคานิ่ง และทำให้ทนถือได้ง่ายๆไปยาวๆ
ดูจากความผันผวนและค่าเบต้า
"เงินลงหุ้น คือเงินที่เสียไปแล้ว ทำใจไว้ว่าไม่ได้คืน(จะได้สบายใจหมดห่วง)" (อ.ไพบูลย์)

กฎ6-7 เมื่อไหร่ขาย

กฎ6. เมื่อราคาเกินมูลค่า
"หมูอ้วน ก็ได้เวลาเชือด"(ไม่รู้ใครพูดไว้)
ถ้ามีคนมาขอซื้อบ้านราคาสองล้านห้าของคุณ ด้วยเงินห้าล้าน คุณก็ควรขาย
หุ้นก็เหมือนกัน ถ้าขายได้ราคาดีกว่ามากๆ ก็ควรขาย เอาเงินมาซื้อหุ้นตัวใหม่ที่ปันผลดีกว่าตัวเดิม
ขายเมื่อ PEเกิน40 หุ้นกลุ่มพีอีต่ำสุด จะทำกำไรกว่าหุ้นกลุ่มพีอีสูงสุด 9.02%จาก1975-2010(เมกานะจ๊ะ)
"เงินมาผ้าหลุด"(อ.ลูกอิสาน)

7. กฎ ผู้แข็งแรงที่สุดคือผู้อยู่รอด
"เมื่อความจริงเปลี่ยนไป ผมก็เปลี่ยนใจ คุณล่ะครับ ทำอะไรอยู่?"(จอห์น เมนาร์ด เคน)
ถ้าหุ้นลดปันผลลง แปลว่าพิ้นฐานเปลี่ยน ต้องยอมรับว่ามันเสียความได้เปรียบการแข่งขันไป
เปลี่ยนไปลงทุนธุรกิจที่มั่นคงกว่าเดิม

8. กฎบริหารผอร์ท และป้องกันความเสี่ยง
"นักลงทุนที่ไม่ควรกระจายความเสี่ยง คือนักลงทุนที่ต้องถูก100%ตลอดเวลา"(จอห์น เทมเปิลตัน)
ไม่มีใครถูกตลอดเวลา กระจายหุ้นหลายๆตัว เพื่อลดความผิดพลาดขาดทุนของหุ้นตัวใดตัวนึง
ใช้กฎแปดข้อนี้เลือกหุ้นดีๆมาสร้างผอร์ทไปเรื่อยๆ ควรมีหุ้น12-18ตัว

วีไอเทิร์นโปร โปรโตซัว รายงาน
samatah
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1874

โพสต์

dr1 เขียน: ของท่านลูกหินกะท่านอื่นๆ นึกไม่ออก ท่านromeeรีบวางขวดนมมาช่วยกันนะจ๊ะ
อย่าไปลำบากคุณ romee เลยครับ เดี๋ยวเด็กจะตื่นมางอแงเปล่า ๆ เดี๋ยวผมจัดให้ครับ :D

หุ้นที่คุณลูกหินบอกว่า ตกใจลงมาให้เก็บ น่าจะเป็นประกันภัยที่โดนซื้อกิจการไปครับ ผมไม่ได้ตามเรื่องราวต่อว่าสุดท้ายจะเอาออกจากตลาดหรือเปล่า เมื่อก่อนน่าจะเข้าข่ายหุ้นถูกเรื้อรัง ปันผลดีมาก พอโดนซื้อกิจการราคาขึ้นมา กลายเป็นไม่จ่ายปันผลไปซะ

ส่วนหุ้นที่กำลังโดนวิกฤติของคุณ chaitorn ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่าสาหัสที่สุดตั้งแต่ผมเคยเห็นหุ้นตัวนี้มา เพราะส่วนใหญ่ถ้าจะลงมาหนักก็ลงมาเพราะตลาดลงอย่างหนัก แต่นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ลงหนักกว่าตลาด หุ้นตัวนั้นชื่อเหมือน "ตลกรุ่นใหญ่ที่เพิ่งมีข่าวว่าอย่ากับเมีย" น่ะครับ หุ้นกลุ่มนี้ถ้าเป็นบลจ.บางแห่งเค้าไม่เอาเลยนะครับ แต่บางแห่งจะถือเป็นตัวหลัก ๆ ผมเคยถามเพื่อนที่อยู่กองทุน เค้าบอกว่าบลจ.ต่างชาติบางแห่ง ไม่ชอบกิจการที่รัฐเข้ามาควบคุมนะครับ เพราะมันอาจจะมีมือที่มองไม่เห็นเข้ามาก้าวก่ายน่ะครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1875

โพสต์

chaitorn เขียน:
ผมได้พยายามทดลองการถือหุ้นเป็น port หลายรูปแบบ เพื่อแก้ไขความโลภและความกลัวอยู่ครับ อาจารย์ lexy

เทคนิคหนึ่งคือ การลงทุนแบบ focus และ diversify ธุรกิจระดับหนึ่งเพื่อ limit loss ของหุ้นแต่ละตัวเนื่องจากหุ้นที่ดีก็อาจอยู่ในภาวะผันผวนได้มากมีโอกาสเกิด loss ระยะสั้นถึง 30%-50% ถ้าขายหุ้นออกไปด้วยความกลัวซึ่งจะนำมาซึ่งการสูญเสียจากความกลัวอย่างยิ่งยวดเพราะมันลงมากระตุ้นต่อมการตัดสินใจของเราตลอดเวลา

การจัด port ให้น้ำหนักที่เหมาะสมเช่น อต่ละตัวถือไม่เกิน 20% ของ port รวมแม้จะมั่นใจสุด และอาศัยการหมุน allocate น้ำหนักในแต่ละตัวบ้างเพื่อปรับ port สัดส่วนน้ำหนักบ้าง อาจช่วยให้เราบริหารความเสี่ยงของหุ้นแต่ละตัวและสร้างผลตอบแทนแต่ละตัวไปสะท้อนภาพรวมของ portได้ดีขึ้น ทำให้ถือหุ้นด้วยความอดทนยามตลาดไม่เป็นใจและรอคอยผลตอบแทน upside ที่เกิดขึ้นได้ดีพอควรครับ

ทำให้เรามุ่งการวิเคราะห์พื้นฐานของหุ้นได้ดีขึ้นมากด้วย มีโอกาสจะมา share เพิ่มเติมครับ
ของผมนี่เต็มที่คือไม่เกิน 30% ต่อหนึ่งตัวครับ หมายถึงตอนที่ซื้อครั้งแรกนะครับ แต่ก็มีเหมือนกันที่มูลค่ามันเพิ่มขึ้นจนกลายเป็น 40% ก็มี คือจากประสบการณ์ที่ผ่านมา บางครั้งหุ้นที่หมายมั่นปั้นมือมาก บางครั้งมันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ก็เลยให้เต็มที่แค่นั้นครับ แต่ถ้าไม่สะดุดตาจริง ๆ หรือต้องรอนานหน่อย ผมก็เฉลี่ย ๆ ที่ตัวละ 10%

แต่ปัญหาของผมที่เจอบ่อย ๆ ก็คือ ส่วนใหญ่ผมถือหุ้น 100% ครับ ทำให้บางครั้งเวลามีหุ้นอยู่ในลิสต์หลายตัว บางทีมีโอกาสจะซื้อแต่ก็หมดเงินซะงั้น ถ้าจะขายตัวที่ถืออยู่บางทีเราก็คิดว่าควรจะถือต่ออีกหน่อย บางครั้งหุ้นแต่ละตัวก็ดีกันคนละแบบ บางทีก็ตัดสินใจยากครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2545
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1876

โพสต์

leky เขียน:
chaitorn เขียน:
ผมได้พยายามทดลองการถือหุ้นเป็น port หลายรูปแบบ เพื่อแก้ไขความโลภและความกลัวอยู่ครับ อาจารย์ lexy

เทคนิคหนึ่งคือ การลงทุนแบบ focus และ diversify ธุรกิจระดับหนึ่งเพื่อ limit loss ของหุ้นแต่ละตัวเนื่องจากหุ้นที่ดีก็อาจอยู่ในภาวะผันผวนได้มากมีโอกาสเกิด loss ระยะสั้นถึง 30%-50% ถ้าขายหุ้นออกไปด้วยความกลัวซึ่งจะนำมาซึ่งการสูญเสียจากความกลัวอย่างยิ่งยวดเพราะมันลงมากระตุ้นต่อมการตัดสินใจของเราตลอดเวลา

การจัด port ให้น้ำหนักที่เหมาะสมเช่น อต่ละตัวถือไม่เกิน 20% ของ port รวมแม้จะมั่นใจสุด และอาศัยการหมุน allocate น้ำหนักในแต่ละตัวบ้างเพื่อปรับ port สัดส่วนน้ำหนักบ้าง อาจช่วยให้เราบริหารความเสี่ยงของหุ้นแต่ละตัวและสร้างผลตอบแทนแต่ละตัวไปสะท้อนภาพรวมของ portได้ดีขึ้น ทำให้ถือหุ้นด้วยความอดทนยามตลาดไม่เป็นใจและรอคอยผลตอบแทน upside ที่เกิดขึ้นได้ดีพอควรครับ

ทำให้เรามุ่งการวิเคราะห์พื้นฐานของหุ้นได้ดีขึ้นมากด้วย มีโอกาสจะมา share เพิ่มเติมครับ
ของผมนี่เต็มที่คือไม่เกิน 30% ต่อหนึ่งตัวครับ หมายถึงตอนที่ซื้อครั้งแรกนะครับ แต่ก็มีเหมือนกันที่มูลค่ามันเพิ่มขึ้นจนกลายเป็น 40% ก็มี คือจากประสบการณ์ที่ผ่านมา บางครั้งหุ้นที่หมายมั่นปั้นมือมาก บางครั้งมันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ก็เลยให้เต็มที่แค่นั้นครับ แต่ถ้าไม่สะดุดตาจริง ๆ หรือต้องรอนานหน่อย ผมก็เฉลี่ย ๆ ที่ตัวละ 10%

แต่ปัญหาของผมที่เจอบ่อย ๆ ก็คือ ส่วนใหญ่ผมถือหุ้น 100% ครับ ทำให้บางครั้งเวลามีหุ้นอยู่ในลิสต์หลายตัว บางทีมีโอกาสจะซื้อแต่ก็หมดเงินซะงั้น ถ้าจะขายตัวที่ถืออยู่บางทีเราก็คิดว่าควรจะถือต่ออีกหน่อย บางครั้งหุ้นแต่ละตัวก็ดีกันคนละแบบ บางทีก็ตัดสินใจยากครับ
จากประสบการณ์ของผม การถือหุ้นที่เราให้น้ำหนักลงทุนสูง ๆ นั้น ในอนาคตข้างหน้า
จะมีแนวโน้มที่จะผลักดันให้เราต้องเลือกตัดสินใจแบบเลือกข้างในท้ายสุด

คือจะกดดันให้เราถือหุ้นที่ให้น้ำหนักหุ้นไปท่ี่หุ้นตัวใดตัวหนึ่งจนอาจถือหุ้นตัวนั้นเกือบ 100% ในท้ายสุด

เหตุผลคือเวลานายตลาดทำให้ราคาผันผวน
เราจะพบว่าหุ้นที่เราถือสัดส่วนน้อยเกินไปจะไม่ค่อยมีนัยสำคัญกับ port ลงทุนของเรา และมักไม่สามารถช่วยหุ้นที่ราคาตกลงมาที่เราให้น้ำหนักรวมของ port สูงครับ

เพราะแม้หุ้นที่เราให้น้ำหนักน้อย จะได้ upside เยอะมาก ก็กระทบน้อย หรือขาดทุนมากก็กระทบน้อย ทำให้ port รวมไม่กระทบอย่างมีนัยสำคัญ

แต่ตัวกระทบมากของ port เรา ก็คือตัวที่เราให้น้ำหนักที่สูง เวลาขยับแต่ละครั้งมันจะกระทบกับ port ของเรามากนั้นเอง

หากเราต้องการลด bias ของหุ้น การถือหุ้นใน port แต่ละตัวที่มีนัยสำคัญกับผลตอบแทนระดับหนึ่ง
จะทำให้เรากล้าถือมากขึ้น และจุดสำคัญ หากพลาดยังมีตัวที่เหลือมาช่วยแก้ไข port ได้โดยไม่ยากนัก

ลองดูว่า หากในอดีตเราเลือกซื้อหุ้น banpu ที่ราคากว่า 800 บาทต่อหุ้น แล้วนายตลาดลากหุ้นลงมาเหลือประมาณ 200 บาทท่ี่ตรง new low ราคาหุ้นที่เราถือจะมีมูลค่าลดลง 75%

แต่หากเราถือหุ้นตัวนี้ใน port 10% จะพบว่ามันกระทบกับ port เราแม้เราพลาดเพียง 0.1*0.75*100 เท่ากับ 7.5% ของ port รวมเท่านั้น มันมีนัยกับ port รวมระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ทำให้ port เสียหายมากนักครับ เพร่ะผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดในระยะยาว ประมาณ 10-12% ต่อปี

แต่หากเราถือหุ้น 100% ของ port และเราต้องอดทนถือเพราะคิดว่าดูดีมากและไม่พลาดแน่นอน ชีวิตฝากไว้ที่หุ้นตัวเดียวเพื่อเปลี่ยนชีวิต พลาดเป็นพลาด ทั้งที่ในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่แน่นอน เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์

ลองมาดูกัน ผมลองทำตารางมาประกอบ
ช่องแรกเป็นราคาที่ลดลงทุก 10 บาท ช่องที่ 2 คือมูลค่าหุ้นที่คงเหลืออยู่ ช่องสุดท้ายคือ % ที่จะกลับมาเท่าทุนเดิม


10.00   90   11.11%
20.00   80   25.00%
30.00   70   42.86%
40.00   60   66.67%
50.00   50   100.00%
60.00   40   150.00%
70.00   30   233.33%
80.00   20   400.00%
90.00   10   900.00%
100.00   0   #DIV/0!

จาก Model นี้จะเห็นได้ชัดเจนคือ ยิ่งปล่อยให้หุ้นตกนาน โอกาสที่เราจะคืนทุนจะยากขึ้นตามลำดับเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขาทีเดียวครับ

ดูนะครับ ถ้าราคาตกลงมา 10% เวลาขาขึ้นต้องได้ upside มาชดเชยมากขึ้น 11.11%
แต่พอราคาตกลงมา 30% ขาขึ้นต้องการ upside ชดเชย 42.86% และถ้าราคาตกลงมากว่า 90% กว่าจะคืนทุนได้ต้องทำให้หุ้น upside ขึ้นไป 900% ทีเดียวครับ

ดังนั้น การรอคอยแบบนี้ มันฝากชีวิตมากไปหน่อยแม้จะเป็นหุ้นที่เรามั่นใจในอนาคตจะกลับมาได้ ดังนั้นแม้ว่าเราจะมั่นใจในหุ้นตัวใดมากกว่าตาม เช่นหากใครไปฝากชีวิตไว้ที่ banpu ก็ต้องอดทนมากทีเดียวแม้ท้ายสุดจะกลับมาได้ก็ตามนะครับ

ลงทุนโดยไม่ประมาทกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในชีวิตก่อน เพื่อให้เราอดทนต่อ upside ระยะยาวได้ รวยช้าหน่อยแต่ยั่งยืนกว่าครับ ไม่หวือหวาแบบการพนันวัดดวงหรือฝากชีวิตของเราไว้กับธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง เพราะแม้แต่ชีวิตของเราเรายังบังคับหรือฝากชีวิตของเราให้ยืนยาวไม่ได้เลยครับ อย่าประมาทครับ
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1877

โพสต์

chaitorn เขียน:ลงทุนโดยไม่ประมาทกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในชีวิตก่อน เพื่อให้เราอดทนต่อ upside ระยะยาวได้ รวยช้าหน่อยแต่ยั่งยืนกว่าครับ ไม่หวือหวาแบบการพนันวัดดวงหรือฝากชีวิตของเราไว้กับธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง เพราะแม้แต่ชีวิตของเราเรายังบังคับหรือฝากชีวิตของเราให้ยืนยาวไม่ได้เลยครับ อย่าประมาทครับ
มันคงคล้ายกับคำกล่าวของชาร์ลี มังเกอร์ ที่ว่า ถ้ารู้ว่าจะตายที่ไหน เราก็จงหลีกเลี่ยงที่จะไปที่นั่น สำหรับผม ขอตีความว่ามันตรงกับปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้าที่ว่า จงดำรงตนด้วยความไม่ประมาท

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งโดยลักษณะทั่วไปของมันมีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับว่า การรับมือกับความเสี่ยงควรมาก่อนการให้ความสำคัญกับการสร้างผลตอบแทน
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
arica
Verified User
โพสต์: 1112
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1878

โพสต์

พอไหวไหมครับ คาดว่า งานในอนาคต ในต่างประเทศอาจจะมีมากขึ้นครับ http://www.set.or.th/set/companyhighlig ... country=TH
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1879

โพสต์

chaitorn เขียน: จากประสบการณ์ของผม การถือหุ้นที่เราให้น้ำหนักลงทุนสูง ๆ นั้น ในอนาคตข้างหน้า
จะมีแนวโน้มที่จะผลักดันให้เราต้องเลือกตัดสินใจแบบเลือกข้างในท้ายสุด

คือจะกดดันให้เราถือหุ้นที่ให้น้ำหนักหุ้นไปท่ี่หุ้นตัวใดตัวหนึ่งจนอาจถือหุ้นตัวนั้นเกือบ 100% ในท้ายสุด

เหตุผลคือเวลานายตลาดทำให้ราคาผันผวน
เราจะพบว่าหุ้นที่เราถือสัดส่วนน้อยเกินไปจะไม่ค่อยมีนัยสำคัญกับ port ลงทุนของเรา และมักไม่สามารถช่วยหุ้นที่ราคาตกลงมาที่เราให้น้ำหนักรวมของ port สูงครับ

เพราะแม้หุ้นที่เราให้น้ำหนักน้อย จะได้ upside เยอะมาก ก็กระทบน้อย หรือขาดทุนมากก็กระทบน้อย ทำให้ port รวมไม่กระทบอย่างมีนัยสำคัญ

แต่ตัวกระทบมากของ port เรา ก็คือตัวที่เราให้น้ำหนักที่สูง เวลาขยับแต่ละครั้งมันจะกระทบกับ port ของเรามากนั้นเอง

หากเราต้องการลด bias ของหุ้น การถือหุ้นใน port แต่ละตัวที่มีนัยสำคัญกับผลตอบแทนระดับหนึ่ง
จะทำให้เรากล้าถือมากขึ้น และจุดสำคัญ หากพลาดยังมีตัวที่เหลือมาช่วยแก้ไข port ได้โดยไม่ยากนัก
ขอบคุณที่ช่วยเตือนสติครับ

ผมว่าบางครั้งการถือหุ้นหลาย ๆ ตัว มันก็อย่างที่คุณ chaitorn บอกนั่นแหละครับ บางตัวดีมาก แต่พอผลออกมาดี มันก็จะมีความรู้สึกว่า แหมน่าจะซื้อเพิ่มตั้งแต่แรก

ผมว่านลท.ในตลาดหลายคน กล้าได้กล้าเสียเกินไป ประเภท "เต็มเหนี่ยว ซัดตัวเดียว แบบเห็นผล"

เรื่องบางเรื่องมันก็คาดไม่ถึงครับ อย่างกรณี BANPU ผมว่าถ้าใครระมัดระวังหน่อย ก็ไม่น่าที่จะเต็มที่ตรงราคา 800 นะครับ

แต่ที่ผมกลับกลัวมากที่สุดก็คือ เรื่องที่เหนือความควบคุมครับ เช่นอย่างกรณี โรงงานของ SVI ไฟไหม้

ผมว่าบางคนอาจจะมีแรงบันดาลใจในการถือหุ้นเพียงไม่กี่ตัวจากเรื่องราวของเซียนบางท่าน

แต่ผมว่ายังไงก็ไม่ควรจะไปลอกเลียนแบบครับ เพราะหลายครั้งอย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่า "คนตายไม่ได้พูด"

อีกอย่างเซียนกับเรา ต้นทุนต่างกัน เซียนซื้อถึงจะผิดแต่บางทีหุ้นก็อาจจะขึ้น เพราะอาจจะมีคนซื้อตาม แต่เราไม่ได้มีต้นทุนแบบนั้น ยกเว้นตัวเราเองจะยกระดับตัวเองจนเป็นเซียนแบบเค้าครับ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1880

โพสต์

arica เขียน:พอไหวไหมครับ คาดว่า งานในอนาคต ในต่างประเทศอาจจะมีมากขึ้นครับ
ผมไม่ค่อยได้ตามหุ้นตัวนี้แล้ว เคยถืออยู่หลายปีแล้ว

แต่ลองดูคู่แข่งดูครับ รายได้โตคล้าย ๆ กัน ROE อาจจะด้อยกว่า

แต่ก็มีตัวเร่งใหญ่คือ โครงการที่ประเทศเพื่อนบ้านครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1881

โพสต์

กลับมาที่เรื่อง non VI ของคุณดำครับ

ผมว่าแนวคิดไม่ว่าทฤษฎีผลประโยชน์ หรือทฤษฎีของ SOROS หรือแม้แต่การใช้จิตวิทยาตลาด เป็นเรื่องที่นำมาใช้จริงได้ค่อนข้างยากครับ เพราะเหมือนจะแทบไม่มี indicator อะไรมาวัดได้ หรือจะเรียกได้ว่า ใช้ความรู้สึกก็อาจจะได้ครับ ซึ่งในความเห็นของผม จะใช้ประกอบก็คงจะได้ แต่เสี่ยงเกินไปที่จะใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ยกเว้นว่าคนที่ลองได้ทดสอบจนได้ผลและผิดพลาดน้อยครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1882

โพสต์

chaitorn เขียน: ตอนนี้มีอีกตัวที่โดนวิกฤษ
ขนาดโดนวิกฤษcredit rating ล่าสุดยังสูงสุดของประเทศไทยเท่าระดับประเทศไทยไม่เปลียนแปลงเพราะกระแสเงินสดยังดีมากและมีการลงทุนต่อเนื่องแม้ในยามวิกฤษก็ตาม แถมยังหาโอกาสทำm&a หากโอกาสเปิดด้วย
แม้นายตลาดจะให้ข่าวปกคลุมด้วยข่าวร้ายนานาชนิดก็ตาม
จนราคาลงไปกว่า50% และp/bv ต่ำกว่า 1 เท่าแบบเหลือเชื่อ

ราคาหุ้นลงมายังกลับบริษัทเข้าขั้นโคมา พื้นฐานเปลี่ยนจนยากจะฟื้น

หุ้นหลายตัวเราต้องดูช่วงวิกฤษ การผ่านวิกฤษได้หลายรอบ
และแต่ละรอบสามารถสร้างผลประกอบการnew high ได้ทุกครั้ง
ตรงนี้จึงจะเป็น super stock แท้จริงครับ
ผมนึกขึ้นได้ถึงหุ้นอีกตัวหนึ่งครับ ผมไม่รู้ว่าคุณ chaitorn จะนับเข้าไปด้วยหรือเปล่า

"หุ้นขนส่งแห่งชาติ" ครับ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1883

โพสต์

leky เขียน:กลับมาที่เรื่อง non VI ของคุณดำครับ

ผมว่าแนวคิดไม่ว่าทฤษฎีผลประโยชน์ หรือทฤษฎีของ SOROS หรือแม้แต่การใช้จิตวิทยาตลาด เป็นเรื่องที่นำมาใช้จริงได้ค่อนข้างยากครับ เพราะเหมือนจะแทบไม่มี indicator อะไรมาวัดได้ หรือจะเรียกได้ว่า ใช้ความรู้สึกก็อาจจะได้ครับ ซึ่งในความเห็นของผม จะใช้ประกอบก็คงจะได้ แต่เสี่ยงเกินไปที่จะใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ยกเว้นว่าคนที่ลองได้ทดสอบจนได้ผลและผิดพลาดน้อยครับ
เท่าที่ผมได้ศึกษาแนวทางปัจจัยจิตวิทยา มันไม่มีตัวชี้วัดได้ชัดอย่างที่ อ.ว่านั่นแหละครับ มันเป็นเรื่องทางศิลปะอย่างมาก

แต่ก็อย่างที่ในหนังสือแก่นฯ ว่าไว้ การเข้าใจถึงผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ที่มีต่อกลไกตลาด อย่างน้อยก็จะทำให้เราตระหนักได้ถึงความมีอยู่ของมันและช่วยให้เราฝึกนิสัยตั้งข้อสงสัยว่า บางครั้งการที่ราคาหุ้นขึ้นอาจไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพื้นฐานกิจการของหุ้นที่เรามีอยู่หรือกำลังเล็งอยู่ ผมมองว่าข้อดีที่สุดของการศึกษาเรื่องเหล่านี้คือ ช่วยให้เราลด Bias และไม่ประมาทครับ อีกอย่างนึงคือ เราจะได้หมั่นทบทวนอารมณ์ ความรู้สึกของตัวเราเอง ในช่วงที่ราคาหุ้นเคลื่อนไหวไปตามปัจจัยจิตวิทยา ว่าเราเองได้หลงเข้าไปและติดกับดักกลายเป็นส่วนนึงในวงจรที่ว่านี้ด้วยรึเปล่าครับ

ส่วนถ้าหากจะมองหาแนวทางอื่นนอกจากแนวทางวีไอ ที่พอจะใช้ในลักษณะทางวิทยาศาสตร์ มีตัวชี้วัดได้ คงต้องเป็นแนวทางกราฟเทคนิคครับ เพียงแต่ว่าสิ่งที่แตกต่างกันคือ แนวทางวีไอวัดจากตัวธุรกิจ ส่วนแนวทางกราฟเทคนิควัดจากความนิยม ความสนใจในตัวหุ้นครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
arica
Verified User
โพสต์: 1112
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1884

โพสต์

leky เขียน:
arica เขียน:พอไหวไหมครับ คาดว่า งานในอนาคต ในต่างประเทศอาจจะมีมากขึ้นครับ
ผมไม่ค่อยได้ตามหุ้นตัวนี้แล้ว เคยถืออยู่หลายปีแล้ว

แต่ลองดูคู่แข่งดูครับ รายได้โตคล้าย ๆ กัน ROE อาจจะด้อยกว่า

แต่ก็มีตัวเร่งใหญ่คือ โครงการที่ประเทศเพื่อนบ้านครับ
ขอบพระคุณครับ อ.หมอ ที่ผมสนใจคือในภาวะอึมครึมแบบนี้ มีไม่กี่ บ. ที่ยังทนทานได้ เพียงแต่เมื่อไหร จะมีจังหวะ นายตลาดตกใจให้ราคาที่น่ารับมาดูแลครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1885

โพสต์

ดำ เขียน:ส่วนถ้าหากจะมองหาแนวทางอื่นนอกจากแนวทางวีไอ ที่พอจะใช้ในลักษณะทางวิทยาศาสตร์ มีตัวชี้วัดได้ คงต้องเป็นแนวทางกราฟเทคนิคครับ เพียงแต่ว่าสิ่งที่แตกต่างกันคือ แนวทางวีไอวัดจากตัวธุรกิจ ส่วนแนวทางกราฟเทคนิควัดจากความนิยม ความสนใจในตัวหุ้นครับ
ในคนที่ศึกษาแนวทางกราฟเทคนิคนี้ บางกลุ่มจะใช้การวิเคราะห์ทางสถิติมาเป็นเครื่องมือเรียกว่าสาย System Trading ครับ ในระดับโลกก็มีคนที่ประสบความสำเร็จหลายคนที่ใช้แนวทางนี้ ส่วนในไทยที่ผมรู้จักคือ คุณมด แห่งแมงเม่าคลับ

อีกกลุ่มนึงเรียกว่าสาย Quant จะเน้นไปที่การบริหารความเสี่ยงคล้ายพวก Hedge Fund ครับ ในไทยที่ผมรู้จักคือ คุณต้าน Mudleygroup ครับ

ถ้าสนใจศึกษาลองค้นชื่อเหล่านี้จาก Google ดูได้ครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
chaitorn
Verified User
โพสต์: 2545
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1886

โพสต์

leky เขียน:
chaitorn เขียน: จากประสบการณ์ของผม การถือหุ้นที่เราให้น้ำหนักลงทุนสูง ๆ นั้น ในอนาคตข้างหน้า
จะมีแนวโน้มที่จะผลักดันให้เราต้องเลือกตัดสินใจแบบเลือกข้างในท้ายสุด

คือจะกดดันให้เราถือหุ้นที่ให้น้ำหนักหุ้นไปท่ี่หุ้นตัวใดตัวหนึ่งจนอาจถือหุ้นตัวนั้นเกือบ 100% ในท้ายสุด

เหตุผลคือเวลานายตลาดทำให้ราคาผันผวน
เราจะพบว่าหุ้นที่เราถือสัดส่วนน้อยเกินไปจะไม่ค่อยมีนัยสำคัญกับ port ลงทุนของเรา และมักไม่สามารถช่วยหุ้นที่ราคาตกลงมาที่เราให้น้ำหนักรวมของ port สูงครับ

เพราะแม้หุ้นที่เราให้น้ำหนักน้อย จะได้ upside เยอะมาก ก็กระทบน้อย หรือขาดทุนมากก็กระทบน้อย ทำให้ port รวมไม่กระทบอย่างมีนัยสำคัญ

แต่ตัวกระทบมากของ port เรา ก็คือตัวที่เราให้น้ำหนักที่สูง เวลาขยับแต่ละครั้งมันจะกระทบกับ port ของเรามากนั้นเอง

หากเราต้องการลด bias ของหุ้น การถือหุ้นใน port แต่ละตัวที่มีนัยสำคัญกับผลตอบแทนระดับหนึ่ง
จะทำให้เรากล้าถือมากขึ้น และจุดสำคัญ หากพลาดยังมีตัวที่เหลือมาช่วยแก้ไข port ได้โดยไม่ยากนัก
ขอบคุณที่ช่วยเตือนสติครับ

ผมว่าบางครั้งการถือหุ้นหลาย ๆ ตัว มันก็อย่างที่คุณ chaitorn บอกนั่นแหละครับ บางตัวดีมาก แต่พอผลออกมาดี มันก็จะมีความรู้สึกว่า แหมน่าจะซื้อเพิ่มตั้งแต่แรก

ผมว่านลท.ในตลาดหลายคน กล้าได้กล้าเสียเกินไป ประเภท "เต็มเหนี่ยว ซัดตัวเดียว แบบเห็นผล"

เรื่องบางเรื่องมันก็คาดไม่ถึงครับ อย่างกรณี BANPU ผมว่าถ้าใครระมัดระวังหน่อย ก็ไม่น่าที่จะเต็มที่ตรงราคา 800 นะครับ

แต่ที่ผมกลับกลัวมากที่สุดก็คือ เรื่องที่เหนือความควบคุมครับ เช่นอย่างกรณี โรงงานของ SVI ไฟไหม้

ผมว่าบางคนอาจจะมีแรงบันดาลใจในการถือหุ้นเพียงไม่กี่ตัวจากเรื่องราวของเซียนบางท่าน

แต่ผมว่ายังไงก็ไม่ควรจะไปลอกเลียนแบบครับ เพราะหลายครั้งอย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่า "คนตายไม่ได้พูด"

อีกอย่างเซียนกับเรา ต้นทุนต่างกัน เซียนซื้อถึงจะผิดแต่บางทีหุ้นก็อาจจะขึ้น เพราะอาจจะมีคนซื้อตาม แต่เราไม่ได้มีต้นทุนแบบนั้น ยกเว้นตัวเราเองจะยกระดับตัวเองจนเป็นเซียนแบบเค้าครับ :D
Banpu ที่คนติดมาก มี 2 ส่วนคือ
แม้ราคาที่ถือจะสูงสุดยอด แต่หากเทียบกับพื้นฐานในอดีตในขณะนั้น คนที่ถือยังมั่นใจกับกลยุทธ์ของบริษัทที่หันมาเน้นธุรกิจถ่านหิน ด้วยการทำ m&a และการขายธุรกิจอื่น ๆ ออกไป แถมมีการจ่ายปันผลที่ดีจึงทนถือ เจ้าของก็ยังเข้ามาซื้อ้พิ่มในช่วงนั้นด้วย

อีกส่วนขายหุ้นออกไปก่อนแล้วราคามันวิ่งขึ้นไปอีก แต่พอราคาเริ่มปรับตัวลง ก็ทะยอยซื้อ และยิ่งซื้อหนักขึ้นเมื่อมันลงเร็ว ตอนมีด้ริ่มปักสู่พื้น แล้วเอามือไปรับตลอด

ความเสียหายจึงเกิด 2 ส่วนคือ
เสียหายจากราคาหุ้นตกส่วนแรก
และเสียหายจากการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนโดยขยาย port น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอันนี้หนักสุดครับ

แต่หากเรามีวินัยไม่เพิ่มสัดส่วนน้ำหนักของ port ตามแผนที่วางไว้แต่ต้น
เราจะสามารถจำกัด limit ความเสียหายไว้ระดับหนึ่ง
และยังอาจทนถือตามความเชื่อส่วนตัวได้แม้จะไม่ฟื้นคืนมาในระยะสั้นก็ตาม ก็ถือรับปันผลไปตลอดก็ได้ ซึ่งจะไม่ทำให้ port รวมเสียหายหนักจนยากแก่การฟื้นตัวครับตามที่ผมได้แสดงการคำนวนไว้
Circle of competence
I don't think it's as difficult to figure out competence as it may appear.
If you're 5-foot-2, you don't have much future in the NBA.
What I need to get ahead is to be better than idiots.
Charlie Munger
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1887

โพสต์

เท่าที่จำได้ ตอนที่บ้านปูมีคดีที่ขึ้นศาลตอนนั้นหุ้นก็เริ่มดิ่ง ตอนที่หุ้นดิ่งหนัก ๆ ปัจจัยลบเริ่มมาเป็นระลอก ๆ ทั้งเรื่องราคาถ่านหินตกต่ำ

คนที่เข้าไปรับส่วนหนึ่ง เพราะเห็นหุ้นดิ่งลงมาเยอะ แต่อาจจะไม่ได้คิดว่าพื้นฐานมันเริ่มเปลี่ยนแล้ว รับแล้วก็ลงไม่เลิก

จะว่าไปตอนที่หุ้นยังดี ๆ บางคนอาจจะเข้าใจว่าเป็นหุ้นเติบโตด้วยซ้ำครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1888

โพสต์

chaitorn เขียน:Banpu ที่คนติดมาก มี 2 ส่วนคือ
แม้ราคาที่ถือจะสูงสุดยอด แต่หากเทียบกับพื้นฐานในอดีตในขณะนั้น คนที่ถือยังมั่นใจกับกลยุทธ์ของบริษัทที่หันมาเน้นธุรกิจถ่านหิน ด้วยการทำ m&a และการขายธุรกิจอื่น ๆ ออกไป แถมมีการจ่ายปันผลที่ดีจึงทนถือ เจ้าของก็ยังเข้ามาซื้อ้พิ่มในช่วงนั้นด้วย

อีกส่วนขายหุ้นออกไปก่อนแล้วราคามันวิ่งขึ้นไปอีก แต่พอราคาเริ่มปรับตัวลง ก็ทะยอยซื้อ และยิ่งซื้อหนักขึ้นเมื่อมันลงเร็ว ตอนมีด้ริ่มปักสู่พื้น แล้วเอามือไปรับตลอด

ความเสียหายจึงเกิด 2 ส่วนคือ
เสียหายจากราคาหุ้นตกส่วนแรก
และเสียหายจากการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนโดยขยาย port น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอันนี้หนักสุดครับ

แต่หากเรามีวินัยไม่เพิ่มสัดส่วนน้ำหนักของ port ตามแผนที่วางไว้แต่ต้น
เราจะสามารถจำกัด limit ความเสียหายไว้ระดับหนึ่ง
และยังอาจทนถือตามความเชื่อส่วนตัวได้แม้จะไม่ฟื้นคืนมาในระยะสั้นก็ตาม ก็ถือรับปันผลไปตลอดก็ได้ ซึ่งจะไม่ทำให้ port รวมเสียหายหนักจนยากแก่การฟื้นตัวครับตามที่ผมได้แสดงการคำนวนไว้
เป็นการวิเคราะห์กรณีศึกษาที่ยอดเยี่ยมมากครับ ให้ข้อคิดในหลายประเด็นเลย
- การซื้อขายหุ้นตามผู้บริหารหรือเจ้าของไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป บางครั้งแม้แต่ผู้บริหารหรือเจ้าของเองก็ไม่อาจรู้อนาคตโดยเฉพาะในกิจการที่ขึ้นกับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้สูง
- แม้ว่าราคาหุ้นสามารถเคลื่อนไหวได้จากหลากหลายปัจจัย แต่ในระยะยาวราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวไปตามปัจจัยพื่้นฐาน
- การตัดสินใจโดยปราศจากทัศนคติและกรอบความคิดที่มีเหตุผลจะนำไปสู่ความเสียหายในที่สุด
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ลูกหิน
Verified User
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1889

โพสต์

หายไป 2 วันกลับมาอีกทีผ่านไป 2 หน้าแล้วนะครับ พอดีช่วงนี้ลูกๆปิดเทอมอาทิตย์สุดท้าย เลยถูกผบทบ.ประจำบ้านสั่งให้พาลูกไปเที่ยวครับ :mrgreen: พรุ่งนี้ก็ต้องขับรถไปตจว.แต่เช้าอีกครับ ไว้ว่างเมื่อไรจะรีบกลับมาแจมนะครับ :P
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 1890

โพสต์

ลองอ่านกันดูครับ สุดยอดจริงๆ

"กิตติ ดำเนินชาญวนิชย์" มหาเศรษฐีผู้ไม่ลืมรากเหง้า.... อ่านต่อได้ที่ : http://m.posttoday.com/article/380193/2000
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น