ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 1
ในภาวะหุ้นไม่เป็นใจ ส่งออกก็แย่ เศรษฐกิจโตน้อยมาก เราควรทำอย่างไร
ก่อนอื่นเราไม่สามารถแก้ไขปัจจัยระดับชาติได้ แต่เราปรับเปลี่ยนตัวเราเองได้
ตอนนี้ได้เวลาทบทวนหุ้นในportดู ปรากฎว่ามีหุ้นในportเพิ่มขึ้น น่าจะมาจากหุ้นบางตัวราคาสูงมากก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ราคาเริ่มย่อลงแล้ว ก็เลยเพิ่มเข้าในport และได้เข้าร่วมประชุมประจำปีของบริษัท ทำให้รู้เรื่องราวของบริษัทมากขึ้นเพื่อพิจารณาว่าเพิ่มหรือลดจำนวนหุ้นลง
เราต้องเตรียมตัวก่อนไปประชุม อย่างง่ายก็อ่านข้อมูลในร้อยคนร้อยหุ้นนี่แหละ สดวกสุด หลังจากนั้น ก็อ่านรายงานการประชุม ถ้าขยันมากหน่อย ก็ควรอ่าน56-1ด้วยเพื่อเตรียมความพร้อม และเตรียมคำถามไปถามผู้บริหารซึ่งมีโอกาสแค่1ครั้งต่อปีไม่นับopp day หรือประชุมวิสามัญ และก็คอยฟังเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นถามด้วยเพราะจะได้เพิ่มการเรียนรู้ในบริษัทที่เราลงทุน
สำหรับคนที่ไม่ได้ถือหุ้น ก็สามารถเข้าฟังผู้บริหารแถลงผลประกอบการจากงาน opportunity day ที่ทางตลาดหลักทรัพย์จัดขึ้นได้ ข้อดี ของการมาฟังเองจะได้สอบถามคำถามหลังประชุมเสร็จเพิ่มเติม และ ไม่รู้สึกเบื่อเพราะมีเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นมาฟังด้วย จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้
ส่วนถ้าไม่สดวกเช่นอยู่ต่างจังหวัด ก็รับฟังและถามสดผ่าน application opp day ได้ หรือถ้าไม่ว่างก็สามารถมาดูย้อนหลังได้ แต่อาจมีข้อเสียนิดหน่อย ที่ช่วงถามตอบของบางบริษัทถูกตัดไป
อันนี้น่าจะเป็นการเพิ่มขอบเขตการเรียนรู้มากขึ้นเพื่อรองรับดัชนีที่ตกลงมากทางหนึ่ง
ก่อนอื่นเราไม่สามารถแก้ไขปัจจัยระดับชาติได้ แต่เราปรับเปลี่ยนตัวเราเองได้
ตอนนี้ได้เวลาทบทวนหุ้นในportดู ปรากฎว่ามีหุ้นในportเพิ่มขึ้น น่าจะมาจากหุ้นบางตัวราคาสูงมากก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ราคาเริ่มย่อลงแล้ว ก็เลยเพิ่มเข้าในport และได้เข้าร่วมประชุมประจำปีของบริษัท ทำให้รู้เรื่องราวของบริษัทมากขึ้นเพื่อพิจารณาว่าเพิ่มหรือลดจำนวนหุ้นลง
เราต้องเตรียมตัวก่อนไปประชุม อย่างง่ายก็อ่านข้อมูลในร้อยคนร้อยหุ้นนี่แหละ สดวกสุด หลังจากนั้น ก็อ่านรายงานการประชุม ถ้าขยันมากหน่อย ก็ควรอ่าน56-1ด้วยเพื่อเตรียมความพร้อม และเตรียมคำถามไปถามผู้บริหารซึ่งมีโอกาสแค่1ครั้งต่อปีไม่นับopp day หรือประชุมวิสามัญ และก็คอยฟังเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นถามด้วยเพราะจะได้เพิ่มการเรียนรู้ในบริษัทที่เราลงทุน
สำหรับคนที่ไม่ได้ถือหุ้น ก็สามารถเข้าฟังผู้บริหารแถลงผลประกอบการจากงาน opportunity day ที่ทางตลาดหลักทรัพย์จัดขึ้นได้ ข้อดี ของการมาฟังเองจะได้สอบถามคำถามหลังประชุมเสร็จเพิ่มเติม และ ไม่รู้สึกเบื่อเพราะมีเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นมาฟังด้วย จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้
ส่วนถ้าไม่สดวกเช่นอยู่ต่างจังหวัด ก็รับฟังและถามสดผ่าน application opp day ได้ หรือถ้าไม่ว่างก็สามารถมาดูย้อนหลังได้ แต่อาจมีข้อเสียนิดหน่อย ที่ช่วงถามตอบของบางบริษัทถูกตัดไป
อันนี้น่าจะเป็นการเพิ่มขอบเขตการเรียนรู้มากขึ้นเพื่อรองรับดัชนีที่ตกลงมากทางหนึ่ง
-
- Verified User
- โพสต์: 16
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 2
ช่วงนี้ผมถอยออกจากตลาดมาหาความรู้เพิ่มครับ ผมคิดว่าไม่มีอะไรที่ดีมากๆไปตลอด และ ไม่มีอะไรที่แย่มากๆไปตลอด หรือ อาจเพราะผมมีขอบข่ายความรู้ความชำนาญที่ยังไม่กว้างเหมือน
พี่ๆหลายๆคนจึงหาหุ้นคุณภาพดีราคาเหมาะสมไม่ได้ แต่การลงทุนก็เหมือนการวิ่งมาราธอนการเอาตัวรอดเพื่อรอรับโอกาสดีๆในวันข้างหน้าก็เป็นสิ่งสำคัญ ช่วงนี้ก็ตั้งการ์ดกันให้สูงๆนะครับ
พี่ๆหลายๆคนจึงหาหุ้นคุณภาพดีราคาเหมาะสมไม่ได้ แต่การลงทุนก็เหมือนการวิ่งมาราธอนการเอาตัวรอดเพื่อรอรับโอกาสดีๆในวันข้างหน้าก็เป็นสิ่งสำคัญ ช่วงนี้ก็ตั้งการ์ดกันให้สูงๆนะครับ

จงเตือนตนไม่ให้หลงไปกับตลาดกระทิง และ มีสติกับตลาดหมี
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 3
บางครั้งไม่ได้ขึ้นกับความเก่ง ความขยันและ โอกาสน่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญ. โอกาสที่เราพบหุ้นซึ่งอาจเจอข่าวไม่ดีทำให้เกิดผลลบระยะยาวแต่ระยะยาวยังดี ตลาดให้ลบต่อราคามากเกินไปทำให้ราคาหุ้นร่วงลงมาแรง เราดูแล้วราคาต่ำกว่ามูลค่าที่คำนวณก็เป็นโอกาสในการเก็บเข้าพอร์ตซึ่งเกิดไม่บ่อยนัก คุณบัพเฟตบางทีรอถึง10ปีจึงสามารถซื้อหุ้นที่ต้องการในราคาช่วงเกิดวิกฤต ช่วงนี้นายตลาดอาจกำลังทดสอบพวกเราว่ามีความอดทนเพียงพอหรือเปล่า
เห็นด้วยที่พยายามหาความรู้ครับ เมื่อวานได้ฟังคุณโจ ลูกอีสานพูดว่าศึกษาหุ้นให้เก่งไม่ยาก แค่ศึกษาหุ้นช่วงเช้า กลางวัน เย็นจากข่าวตลาดหลักทรัพย์เฉพาะเรื่องข่าวที่มีนัยยะต่อการเปลี่ยนแปลงของบริษัท เช่นหุ้น เคทีซี้
หลังจากเปลี่ยนผู้กุมบังเหียน เขาก็รอซื้อในราคาที่สมเหตุผล เพราะหลังจากนั้นผลประกอบการเริ่มดีขึ้น ทำให้ราคาหุ้นปรับตัว นี่ตัวอย่างหนึ่งของการศึกษาหาข่าวที่นัยยะต่อราคาหุ้น
เห็นด้วยที่พยายามหาความรู้ครับ เมื่อวานได้ฟังคุณโจ ลูกอีสานพูดว่าศึกษาหุ้นให้เก่งไม่ยาก แค่ศึกษาหุ้นช่วงเช้า กลางวัน เย็นจากข่าวตลาดหลักทรัพย์เฉพาะเรื่องข่าวที่มีนัยยะต่อการเปลี่ยนแปลงของบริษัท เช่นหุ้น เคทีซี้
หลังจากเปลี่ยนผู้กุมบังเหียน เขาก็รอซื้อในราคาที่สมเหตุผล เพราะหลังจากนั้นผลประกอบการเริ่มดีขึ้น ทำให้ราคาหุ้นปรับตัว นี่ตัวอย่างหนึ่งของการศึกษาหาข่าวที่นัยยะต่อราคาหุ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 140
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 4
ผมคิดว่าความอดทนเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าความสามารถอื่นๆเลยครับ ในวิกฤตมีโอกาส ปัจจัยต่างๆระยะสั้นอาจทำให้ราคาผันผวนได้ การลงทุนระยะยาวนั้นอาจต้องใช้เวลาครับ เราต้องคอยหมั่นตามศึกษาบริษัทที่เราลงทุน หาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทที่เราศึกษาในทุกๆแง่มุมที่เป็นไปได้ หากเรายังมั่นใจว่าบริษัทที่เราลงทุนนั้น ยังมีทิศทางที่ดี พื้นฐานไม่เปลี่ยน การเติบโตและแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนแล้ว ผมคิดว่าราคาหุ้นที่ลงมาเป็นโอกาสที่น่าสนใจนะครับ รวมถึงการลงทุนนั้นต้องไม่เดือดร้อนและเกินตัวด้วยครับ
"ราคาหุ้น ระยะสั้นตามข่าว ระยะยาว ตามผลกำไร" ใครกล่าวไว้ก็ไม่รู้ครับ
"ราคาหุ้น ระยะสั้นตามข่าว ระยะยาว ตามผลกำไร" ใครกล่าวไว้ก็ไม่รู้ครับ

-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 5
หาหุ้นดีๆๆ ที่ราคาไม่ไปไหน พื้นฐานยังดี กิจการเติบโต
แม้นว่า ภาพรวมดูแย่
หลักสถิติบอกไว้ว่า มันมีพวกที่ไม่ตามกลุ่มอยู่ 5% ดังนั้น
ตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีหุ้น 600 ตัวโดยประมาณ
อย่างน้อยก็มี 12 ที่สวนตลาดในทิศทางขาลง นั้นเอง
ขอให้โชคดีที่เจอะเจอหุ้นทั้ง 12 ตัวที่ว่า

แม้นว่า ภาพรวมดูแย่
หลักสถิติบอกไว้ว่า มันมีพวกที่ไม่ตามกลุ่มอยู่ 5% ดังนั้น
ตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีหุ้น 600 ตัวโดยประมาณ
อย่างน้อยก็มี 12 ที่สวนตลาดในทิศทางขาลง นั้นเอง
ขอให้โชคดีที่เจอะเจอหุ้นทั้ง 12 ตัวที่ว่า


-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 7
คุณopengn เรื่องความอดทน ทนถือหุ้นที่บางทีโบรคบอกว่าไม่น่าสนใจ แต่เราคิดว่ามันมีดีแต่ยังไม่มีคนเห็นแต่เมื่อเวลาผ่านไปจะปรากฎออกมาในราคาหุ้นเอง เหมือนที่คุณบัฟเฟตบอกว่า ราคาตลาดเป็นราคาจากความต้องการของนักลงทุน แต่ ราคาที่แท้จริง จะปรากฎออกมาเมื่อผลการดำเนินงานระยะยาวแสดงออกมา
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 8
ตอนนี้เริ่มมีเวลามากขึ้นหลังประชุมผู้ถือหุ้นจบลงเมื่อวาน
ผมตั้งข้อสังเกตุจากการได้ไปประชุมผู้ถือหุ้นมา
1. สามารถถามคำถามจากผู้บริหารได้โดยตรง บางครั้งงาน OPP DAY ผู้บริหารระดับสูงไม่ได้มา แต่ให้ IR มาแทน
ซึ่งจะได้วิสัยทัศน์ โหวเฮ้ง ซึ่งเป็นข้อหนึ่งจากหลักการลงทุนแบบวีไอ โดยพิจารณาพฤติกรรมผู้บริหาร ได้แบบหนึ่ง
ดูว่าผู้บริหารตอบอย่างจริงใจ หรือ ตอบไปงั้นๆ เอาแค่ผ่านไป
2. เป็นการบังคับตัวเองให้อ่านข้อมูลไปก่อนประชุม ไม่งั้นอาจถามคำถามแย่ๆไป ซึ่งสังเกตุว่า กรรมการบางบริษัทพูดหลังประชุมว่า
เดี๋ยวนี้คำถามพัฒนาขึ้นเยอะ เป็นคำตอบที่น่าสนใจ แอบภูมิใจเล็กๆแทนผู้ถือหุ้นที่ถาม แถมเราได้ข้อมูลที่สำคัญมาก
3. บางครั้ง เราเห็นงบกำไร ของปีที่แล้ว ขาดทุน ทำให้ผิดหวัง แต่เมื่อได้ฟังประธานชี้แจงมา ค่อยเข้าใจว่าเพราะเหตุใด จริงๆบางครั้งมาจากการลงบัญชี รายได้ไม่เข้าใน Q4 แต่จะเข้า Q1 ปีนี้แทน เราก็รู้ได้เลยว่า Qนี้ กำไรได้แน่นอนเท่าไร
4. บางบริษัทถึงแม้จะอธิบายเท่าใด ผมก็มองว่า ไปไม่รอดแน่ จะได้ไม่ต้องเข้ายุ่ง
5. ทำให้เรารู้ว่าบริษัทไหน ต้องโฟกัส เพื่อการลงทุนมากขึ้น เป็นตัวหลักของport ในปีนี้
6. ผมก็มีการบ้านต้องศึกษาต่อในบริษัทที่โฟกัส และ ตามผลประกอบการในแต่ละไตรมาสว่าเป็นอย่างที่เราคาดหวังหรือเปล่า
7. ประการสุดท้าย ได้พบปะกับ นักลงทุนที่เก่ง หลายคนในสมาคม แลกเปลี่ยนข้อมูลกันเพื่อเพิ่มความรู้ให้กับเรา ตรงนี้ชอบมาก
ขอจบรายงานแค่นี้ คราวนี้ จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปในการประชุมที่เจอมา
ผมตั้งข้อสังเกตุจากการได้ไปประชุมผู้ถือหุ้นมา
1. สามารถถามคำถามจากผู้บริหารได้โดยตรง บางครั้งงาน OPP DAY ผู้บริหารระดับสูงไม่ได้มา แต่ให้ IR มาแทน
ซึ่งจะได้วิสัยทัศน์ โหวเฮ้ง ซึ่งเป็นข้อหนึ่งจากหลักการลงทุนแบบวีไอ โดยพิจารณาพฤติกรรมผู้บริหาร ได้แบบหนึ่ง
ดูว่าผู้บริหารตอบอย่างจริงใจ หรือ ตอบไปงั้นๆ เอาแค่ผ่านไป
2. เป็นการบังคับตัวเองให้อ่านข้อมูลไปก่อนประชุม ไม่งั้นอาจถามคำถามแย่ๆไป ซึ่งสังเกตุว่า กรรมการบางบริษัทพูดหลังประชุมว่า
เดี๋ยวนี้คำถามพัฒนาขึ้นเยอะ เป็นคำตอบที่น่าสนใจ แอบภูมิใจเล็กๆแทนผู้ถือหุ้นที่ถาม แถมเราได้ข้อมูลที่สำคัญมาก
3. บางครั้ง เราเห็นงบกำไร ของปีที่แล้ว ขาดทุน ทำให้ผิดหวัง แต่เมื่อได้ฟังประธานชี้แจงมา ค่อยเข้าใจว่าเพราะเหตุใด จริงๆบางครั้งมาจากการลงบัญชี รายได้ไม่เข้าใน Q4 แต่จะเข้า Q1 ปีนี้แทน เราก็รู้ได้เลยว่า Qนี้ กำไรได้แน่นอนเท่าไร
4. บางบริษัทถึงแม้จะอธิบายเท่าใด ผมก็มองว่า ไปไม่รอดแน่ จะได้ไม่ต้องเข้ายุ่ง
5. ทำให้เรารู้ว่าบริษัทไหน ต้องโฟกัส เพื่อการลงทุนมากขึ้น เป็นตัวหลักของport ในปีนี้
6. ผมก็มีการบ้านต้องศึกษาต่อในบริษัทที่โฟกัส และ ตามผลประกอบการในแต่ละไตรมาสว่าเป็นอย่างที่เราคาดหวังหรือเปล่า
7. ประการสุดท้าย ได้พบปะกับ นักลงทุนที่เก่ง หลายคนในสมาคม แลกเปลี่ยนข้อมูลกันเพื่อเพิ่มความรู้ให้กับเรา ตรงนี้ชอบมาก
ขอจบรายงานแค่นี้ คราวนี้ จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปในการประชุมที่เจอมา
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 11
งาน Money Expo ที่จัดระหว่าง 7-10 พค ที่เมืองทองธานี
ปีนี้สังเกตได้ชัดเลยว่าการสัมมนามีการพัฒนาไปมาก คล้ายกับ Set in the city เมื่อ10 ปีที่แล้วที่ไบเทค คือ
การสอนให้นักลงทุนเริ่มตกปลาเป็น ไม่ใช่จับปลาให้อย่างเช่นงานก่อนๆ
หมายความว่า วิทยากรหลายท่านคงได้นโยบายจากตลทให้สอนพื้นฐานการวิเคราะห์หุ้นเพื่อไม่ให้เป็นแมงเม่า ที่สำคัญคือ
ต้องการให้volumn 100,000 ลบ ต่อวัน ดังนั้นต้องกระตุ้นจากรายย่อยให้เข้าใจในการลงทุน
เริ่มตั้งแต่ สอนให้เข้า settrade เพื่อดู งบอย่างง่ายๆเพื่อประกอบการตัดสินใจมากกว่าเชื่อมาร์ซื้อตามคนอื่น
แค่ดูรายได้โตต่อเนื่อง5 ปีหรือเปล่า กำไร เพิ่มเป็นอัตราส่วนตามยอดขายที่เพิ่มขึ้นหรือเปล่า
Net profit margin เป็นอย่างไร PE ที่ดีไม่ควรเกิน 10 เท่า
ซึ่งเป็นการดูก่อนตัดสินใจซื้ออย่างเร็วๆ แต่ถ้ามีเวลาก็ไปดู profile บริษัทหน่อยว่าทำอะไร มีอนาคตหรือเปล่า
และดูผู้ถือหุ้นใหญ่ มาจากผู้บริหารถือเป็นสัดส่วนแบบมีนัยยะไหม
ถ้าดูลึกกว่านี้ก็ดู กระแสเงินสดสุทธิเป็นบวกหรือเปล่า กู้เงินมาจ่ายปันผลหรือเปล่า
Stock2morrow ก็มาจัดwork shop ทั้งการวางแผนการลงทุน การลงทุนพื้นฐาน และ ด้านเทคนิค ซึ่งมีประโยชน์มาก
ส่วนเรื่องการอัปเดทเศรษฐกิจก็ยังมีการสัมมนาอย่างต่อเนื่อง
ผมว่าการสัมมนาเริ่มมาถูกทางแล้ว หวังว่าคงเป็นประโยชน์ต่อคนที่เข้าฟังสัมมนา และ น่าจะมีลง Youtube ภายหลังนะครับสำหรับ
ผู้ที่พลาดการสัมมนาไป
ปีนี้สังเกตได้ชัดเลยว่าการสัมมนามีการพัฒนาไปมาก คล้ายกับ Set in the city เมื่อ10 ปีที่แล้วที่ไบเทค คือ
การสอนให้นักลงทุนเริ่มตกปลาเป็น ไม่ใช่จับปลาให้อย่างเช่นงานก่อนๆ
หมายความว่า วิทยากรหลายท่านคงได้นโยบายจากตลทให้สอนพื้นฐานการวิเคราะห์หุ้นเพื่อไม่ให้เป็นแมงเม่า ที่สำคัญคือ
ต้องการให้volumn 100,000 ลบ ต่อวัน ดังนั้นต้องกระตุ้นจากรายย่อยให้เข้าใจในการลงทุน
เริ่มตั้งแต่ สอนให้เข้า settrade เพื่อดู งบอย่างง่ายๆเพื่อประกอบการตัดสินใจมากกว่าเชื่อมาร์ซื้อตามคนอื่น
แค่ดูรายได้โตต่อเนื่อง5 ปีหรือเปล่า กำไร เพิ่มเป็นอัตราส่วนตามยอดขายที่เพิ่มขึ้นหรือเปล่า
Net profit margin เป็นอย่างไร PE ที่ดีไม่ควรเกิน 10 เท่า
ซึ่งเป็นการดูก่อนตัดสินใจซื้ออย่างเร็วๆ แต่ถ้ามีเวลาก็ไปดู profile บริษัทหน่อยว่าทำอะไร มีอนาคตหรือเปล่า
และดูผู้ถือหุ้นใหญ่ มาจากผู้บริหารถือเป็นสัดส่วนแบบมีนัยยะไหม
ถ้าดูลึกกว่านี้ก็ดู กระแสเงินสดสุทธิเป็นบวกหรือเปล่า กู้เงินมาจ่ายปันผลหรือเปล่า
Stock2morrow ก็มาจัดwork shop ทั้งการวางแผนการลงทุน การลงทุนพื้นฐาน และ ด้านเทคนิค ซึ่งมีประโยชน์มาก
ส่วนเรื่องการอัปเดทเศรษฐกิจก็ยังมีการสัมมนาอย่างต่อเนื่อง
ผมว่าการสัมมนาเริ่มมาถูกทางแล้ว หวังว่าคงเป็นประโยชน์ต่อคนที่เข้าฟังสัมมนา และ น่าจะมีลง Youtube ภายหลังนะครับสำหรับ
ผู้ที่พลาดการสัมมนาไป
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 12
ผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2558
ช่วงนี้ นักลงทุนจะลุ้นผลประกอบการของหุ้นที่ถืออยู่ หรือ หุ้นที่อยู่ในwatch list ว่าจะดีตามที่คาดหวังไว้หรือเปล่า ตอนนี้คงประกาศกันเกือบ 100% แล้ว คงเหลืออีกไม่กี่บริษัท ที่ยังไม่ประกาศ ซึ่งถือว่าเลยกำหนดของตลท ทีกำหนดไว้ไม่เกินเกิน 45 วันหลังจบไตรมาส
รู้สึกผลประกอบการที่ประกาศมาดีขึ้นหลายตัว เมื่อเทียบกับQ1 ปีที่แล้ว แต่อย่าลืมปีที่แล้วมีเหตุการณ์พิเศษด้วยนะครับ อาจต้องย้อนไปเทียบกับไตรมาสแรกปี 56 จะแน่นอนกว่า
กลุ่มท่องเที่ยวรับไปเต็มๆ เช่น ERW รวมทั้งหุ้นที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวเช่น SPA เป็นต้น หุ้นค้าปลีก CPALL ทำความประหลาดใจว่าเติบโตขึ้น แต่ก็สอดคล้องกับข้อมูลสำรวจว่าการจับจ่ายใช้สอยที่มีราคาไม่แพง ใช้เวลาตัดสินใจน้อยเริ่มฟื้นตัว ส่วนหุ้นบางตัว เห็นลงรุนแรง ก็รู้ทันทีว่างบออกแล้ว เช่น หุุ้นตัวแทนจำหน่ายไอที คือ SIS ผลประกอบการลดลง เนื่องจากไปลงทุนในสินค้าใหม่ซึ่งต้องรอเวลาให้สินค้าติดตลาดก่อนแต่ค่าใช้จ่ายเดินหน้าไปแล้ว ดังนั้นเราต้องรู้ เพื่อว่าอาจเป็นโอกาสในการเก็บก็ได้ อันนี้เป็นการพิจารณาของแต่ละคน
ดังนั้นช่วงนี้เป็นเวลาที่วัดผลหุ้นที่เราถืออยู่ คล้ายกับตอนเรียนมีวัดผลmid term หรือ สอบไล่ปลายภาค
ถ้าหุ้นไหน ผลประกอบการดี แสดงว่าเราทำการบ้าน อ่านหนังสือสอบมาเป็นอย่างดี แต่ถ้าหุ้นไหนไม่ดี เราต้องดูว่าผิดพลาดตรงไหน จะได้แก้ไขในคราวหน้า
เป็นการพัฒนาการลงทุนของเราเองให้ดีขึ้น อันไหนเป็นข้อผิดพลาด ก็ศึกษาเพิ่มเติม หมั่นหาความรู้อยู่เสมอ และ ก็วัดผลประกอบการใน port เราเทียบกับ Set และ performance ของ กองทุน ด้วย ว่าดีกว่าหรือเปล่าด้วย ซึ่งเราก็ต้องหวังว่า ดีกว่าตลาด และ กองทุน ผลประกอบการต้องเป็นบวกด้วย (Absolute return )
ตอนนี้ก็ได้เวลาไปแกะงบของหุ้นแต่ละตัวแล้วละ ถ้าเจออะไรที่ดีจะแชร์ให้ฟังครับ
ช่วงนี้ นักลงทุนจะลุ้นผลประกอบการของหุ้นที่ถืออยู่ หรือ หุ้นที่อยู่ในwatch list ว่าจะดีตามที่คาดหวังไว้หรือเปล่า ตอนนี้คงประกาศกันเกือบ 100% แล้ว คงเหลืออีกไม่กี่บริษัท ที่ยังไม่ประกาศ ซึ่งถือว่าเลยกำหนดของตลท ทีกำหนดไว้ไม่เกินเกิน 45 วันหลังจบไตรมาส
รู้สึกผลประกอบการที่ประกาศมาดีขึ้นหลายตัว เมื่อเทียบกับQ1 ปีที่แล้ว แต่อย่าลืมปีที่แล้วมีเหตุการณ์พิเศษด้วยนะครับ อาจต้องย้อนไปเทียบกับไตรมาสแรกปี 56 จะแน่นอนกว่า
กลุ่มท่องเที่ยวรับไปเต็มๆ เช่น ERW รวมทั้งหุ้นที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวเช่น SPA เป็นต้น หุ้นค้าปลีก CPALL ทำความประหลาดใจว่าเติบโตขึ้น แต่ก็สอดคล้องกับข้อมูลสำรวจว่าการจับจ่ายใช้สอยที่มีราคาไม่แพง ใช้เวลาตัดสินใจน้อยเริ่มฟื้นตัว ส่วนหุ้นบางตัว เห็นลงรุนแรง ก็รู้ทันทีว่างบออกแล้ว เช่น หุุ้นตัวแทนจำหน่ายไอที คือ SIS ผลประกอบการลดลง เนื่องจากไปลงทุนในสินค้าใหม่ซึ่งต้องรอเวลาให้สินค้าติดตลาดก่อนแต่ค่าใช้จ่ายเดินหน้าไปแล้ว ดังนั้นเราต้องรู้ เพื่อว่าอาจเป็นโอกาสในการเก็บก็ได้ อันนี้เป็นการพิจารณาของแต่ละคน
ดังนั้นช่วงนี้เป็นเวลาที่วัดผลหุ้นที่เราถืออยู่ คล้ายกับตอนเรียนมีวัดผลmid term หรือ สอบไล่ปลายภาค
ถ้าหุ้นไหน ผลประกอบการดี แสดงว่าเราทำการบ้าน อ่านหนังสือสอบมาเป็นอย่างดี แต่ถ้าหุ้นไหนไม่ดี เราต้องดูว่าผิดพลาดตรงไหน จะได้แก้ไขในคราวหน้า
เป็นการพัฒนาการลงทุนของเราเองให้ดีขึ้น อันไหนเป็นข้อผิดพลาด ก็ศึกษาเพิ่มเติม หมั่นหาความรู้อยู่เสมอ และ ก็วัดผลประกอบการใน port เราเทียบกับ Set และ performance ของ กองทุน ด้วย ว่าดีกว่าหรือเปล่าด้วย ซึ่งเราก็ต้องหวังว่า ดีกว่าตลาด และ กองทุน ผลประกอบการต้องเป็นบวกด้วย (Absolute return )
ตอนนี้ก็ได้เวลาไปแกะงบของหุ้นแต่ละตัวแล้วละ ถ้าเจออะไรที่ดีจะแชร์ให้ฟังครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 13
เมื่อวานไปฟังสัมมนา Money talk เลยมาแชร์ให้กับคนที่ไม่ได้ไปครับ
สัมมนาหัวข้อ “ข้อคิดจากเซียน บนเส้นทางสู่ความร่ำรวยด้วยหุ้น”
1. คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข
นักเขียนนักแปลนักลงทุน มีทัศนคติน่าสนใจ อยู่ในสายวิชาการไทยวีไอมาตลอด
ไม่รู้ทำไมไปช่วยคนมีบาปด้วยการแปลหนังสือการลงทุน ทำไมไม่ช่วยคนดี ดังนั้นช่วงนี้มีจัดสัมมนาเพื่อช่วยเหลือ เช่น งานวีไอสายดำcharity ช่วย สุนัข แมว จรจัด
งาน สัมมนา เพราะเป็นแมงเม่าจึงเจ็บปวด พันครั้งที่หวั่นไหวกว่าจะเป็นนักลงทุน เมื่อวันที่ 23-24 พค 15 เพื่อหารายได้ให้กับคณะเภสัช จุฬา
จัดทำหนังสือ Quote 1-2 สำหรับ ผู้ที่ทำประโยชน์ให้กับสาธารณะ เช่น บริจาคเลือด
2. ทพ.สม สุจีรา
ผู้เขียน “จิตของนักเล่นหุ้น” เป็นทั้งนักเขียนแนวจิตวิทยา ติวเตอร์ และ เปิดคลีนิครักษาฟันด้วย
3. คุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ
เจ้าของ ศิริวัฒน์แซนวิช มีประการณ์การลงทุนเยอะมากจะมาแชร์ให้ฟัง
มีลาภเสื่อมลาภ กินน้ำตกแทน
ตอนนี้แซนวิซยังขายไม่หมด ด้านล่างตลาดหลักทรัพย์
4. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน บิดาวีไอ เมืองไทย
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.ถาวร โชติชื่น ดำเนินรายการ
อจ ถาวร เริ่มพูด ว่า ดร ไพบูลย์ เป็นคนตั้งชื่อ คิดชื่อวนไปมาในเรื่องหัวข้อ
คำว่า ข้อคิดเป็นครั้งแรกที่ใช้ อจ ถาวรมีแบบทดสอบว่า พูดถึงใคร ทดสอบว่ามีแววเป็นนักลงทุนที่รวยด้วยหุ้นได้หรือไม่
1. เกิดที่เชียงใหม่ 2. คนไทยรู้จักดี 3. มีผลงานทำให้ชาวบ้านร่ำรวยเงินทอง
4. ชีวิตเกี่ยวข้องกับดูใบ 5. อยู่สุขสบายแต่เหมือนโดนกักขัง
6. ชื่อมีสองพยางค์ 7. พยางค์เสียงสระอิน ให้ทายว่าเป็นใคร
หลินปิง ไง อจ ถาวร เฉลยโดยไม่รอใครตอบ ถ้าให้คุณศิริวัฒน์ทาย น่าจะเป็นอีกคนที่ดร ไพบูลย์ ไม่อยากให้บอก
ข้อที่ 2 ดูง่ายคนที่จะอยู่บนเส้นทางรวยด้วยหุ้น ขึ้นต้นชื่อด้วย ส เช่น ทพ สม หรือ นามสกุล ของ คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข ส่วน อจ ถาวร ไม่มี ส เสือ เลยไม่รวยหุ้น
สมกับสุภาษิต ว่า ความรวยไม่คงทน ความจนสิถาวร
มาเริ่มที่คุณศิริวัฒน์ เมื่อ20ปีก่อน เคยรวยด้วยหุ้น ไม่มีใครดังเกินเขา โบรคใหญ่สุดในไทยหมายเลข8 กำไรหรือขาดทุนวันละ 10 ล้านบาทในสมัยนั้น ดร มารวย ผจกตลาดหลักทรัพย์สมัยนั้น ยังเคยเรียกไปคุยเลย ดร นิเวศน์ ยังเด็กๆ
ทำอะไรลุยไปไม่คิดหน้าหลัง ซื้อขายแบบเคาะกระดานหุ้น สมัยนั้นยังไม่ซื้อขายผ่านคอมพิวเตอร์ ดร ไพบูลย์และ ดร นิเวศน์ ยังอยู่ในวงการศึกษาอยู่ ซื้อขายหุ้น เริ่มที่ ชั้น 4 สยามเซ็นเตอร์ ต่อมาย้ายไปที่ ชั้น 2 ตึกสินธร นักลงทุนยังต้องส่องกล้องดูราคาหุ้น บางครั้งมาร์ซื้อให้ไม่ทัน คนซื้อเดินไปเคาะให้เองเลย สมัยก่อนซื้อขายวันละ 1,000 ล้านบาทถือว่าเยอะมาก สมัยนี้พัฒนาการซื้อขายไปมาก อย่าคิดรวยได้ถ้าอยู่ในตลาดหุ้น นอกจากเป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ความโลภจะครอบงำไม่ให้รวยได้ สมัยนี้นักลงทุนเกินล้านคน แต่พฤติกรรมไม่ได้เปลี่ยนแปลง ช่วงวิกฤต ขายคอนโด ตรม ละ 50,000 บาท ยังไม่มีคนซื้อเลย มาขายแซนวิซที่รพ กรุงเทพ
ดร นิเวศน์ : เห็นด้วยกับคุณศิริวัฒน์ ยกเว้นไม่ใช่ทุกคนจะจน มนุษย์มีความโลภ โกรธ หลง อยู่ในยีนส์ ไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้ความโลภขึ้นจัด เหมือนป่วยเป็นเบาหวาน น้ำตาลขึ้น สถานการณ์ทั่วไป การดำเนินงาน การแข่งขันรุนแรง ทุกอย่างเหมือนเดิม เพียงแต่ช่วงนี้ความโลภ ครอบงำ ตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนดีมาก ทุกคนเข้ามาแต่ไม่รวยอย่างที่คิด ต้องอยู่กันต่อไป จนถึงวันนี้ รู้ว่าหุ้นขึ้นด้วยเม็ดเงิน ไม่ได้ขึ้นกับกำไร ตรวจดูตัวเลขทุกตัวที่ออกมา (ดร ไพบูลย์แซวดูทุกตัวจริงหรือ) ภาพใหญ่จริงๆไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตอนหุ้นตกก็เจ๊งหุ้นหมดตัว จริงๆเข้าไปดูเมื่อ 10 กว่าปี มีตกและฟื้น เพียงแต่ความโลภจากหุ้นขึ้น หวังหลายรอบ และ หมดหวัง ยิ่งใส่ยิ่งเจ๊ง เหมือนเมื่อหลายปีก่อน
ตอนนี้คนในตลาดหลักทรัพย์ เห็นคนรวยจากหุ้นเกิดความโลภ ตอนนี้เราซื้อความฝันมากเกินไป กำไรไม่ดีขึ้น
ข้อคิดตอนนี้ต้องระวังไม่งั้นอาจขาดทุน เส้นทางรวยและจนเป็นเส้นเดียวกัน
คนส่วนใหญ่คิดแบบนี้จะจน รวมถึงคนในห้องนี้ เราต้องคิดว่า ทำอย่างไรให้เป็นคนส่วนน้อยที่มีรายได้
ทพ สม เล่าให้ฟังว่า ตอนปี 51 เพื่อนชวนให้เล่นหุ้น แต่ ทพ สม ไม่เล่น เพราะว่ามีความ
สุขจากการทำฟันให้กับลูกค้า ถามว่าลงทุนในหุ้น รวยกว่าไหม ตอบว่ารวยกว่า
เพราะว่า จิตกระเพื่อมขึ้นและลง ต้องฝึกจิตหนักมาก เลยเขียนฝึกจิตเล่นหุ้น
ตอนเล่นหุ้นดัชนีหุ้นจาก 400 ไป 1600 คนเล่นยิ่งได้ยิ่งทุ่มหนัก พอถึงดัชนี 1600 จุดทุ่มหมดหน้าตัก และ ดอกเบี้ยแค่ 1%กว่าเอง เล่นหุ้นวันเดียวได้ 5% ดังนั้นตอนดัชนีลง cut loss ไม่ทัน ถ้าคนเข้ามาตอนดัชนี 1300-1600 จุด กำไรไม่มากพอcut loss ตอนนี้อยู่ในช่วงไม่คุ้มที่จะเข้ามาลงทุน แต่ภายใน 1-2 ปี ดอกเบี้ยต่ำ ยุโรปยังไม่ฟื้น น่าจะปลอดภัย ต่างชาติขายหมดแล้ว ถ้ารัฐลงทุนตามที่พูด ต่างชาติเข้าลงทุน ทำให้หุ้นขึ้น
เหลือเวลาอีก 2-3 ปี ซื้อปีนี้ขายปีหน้ายังปลอดภัย ต้องดูตอนจบซึ่งจะเหลือแค่2ใน10ที่สามารถทำกำไรจากตลาดหุ้น
คุณพรชัย: ที่คุณศิริวัฒน์พูดเกิดไม่ทัน (อายุแค่29เอง อันนี้ผมเสริม) แต่ความเป็นจริง ตลาดหุ้นในไทยและอเมริกา พฤติกรรมของนักลงทุนไม่เปลี่ยนแปลง ขึ้นกับว่าเราเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า ถ้าเราทำเหมือนคนอื่น เราก็ไม่กำไร คนเล่นแบบการพนัน ตกใจขาย ดีใจไล่ซื้อ (เอ เหมือนใครบางคนหรือเปล่า ) ถ้าเราทำตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ คือเป็นโอกาส คนตกใจ เทขายหุ้น ราคาหุ้นถูก ก็เข้าไปซื้อ (หลักการลงทุนแบบวีไอเลย) เข้ามาลงทุนด้วยความรู้ วิชาการลงทุนเป็นความเชื่อ ต้องรู้ให้จริงว่าอะไรคือความเชื่อ อะไรคือความกลัว เช่น ลงทุนในหุ้น SE-ED , IT , AS
ตอนนี้ดร นิเวศน์ เสริมว่า หุ้นตัวเดียวกัน ซื้อคนละเวลา คนนึงซื้อแล้วโง่มาก ส่วนอีกคนซื้อแล้วดูฉลาดมาก
คณพรชัย กล่าวต่อว่า สมมติหุ้นขึ้นหลายเท่า ถ้าไม่มีความรู้จะขายไปตอนขึ้น 5 ช่องเอง ภาพใหญ่เศรษฐกิจไม่ได้บอกหุ้นถูกหรือแพง ตอน subprime ไม่มีภาพบวกเลย แต่ถ้าซื้อก็เป็นโอกาส (ข่าวดีคือ หุ้นแย่สุด ข่าวร้ายคือ หุ้นดีสุด) เราลงทุนหุ้น ประเมินมูลค่า ไม่ใช่ประเมินเศรษฐกิจว่าดีน่าซื้อ อยู่ที่ว่าหุ้นมันถูกหรือเปล่า ถ้ามีข่าวดี หุ้นขึ้นเยอะแล้ว ก็ตกได้ เรื่องหุ้น คนที่เก่งในเมืองนอกคือคุณ วอร์เรน บัฟเฟต ส่วนในไทยคือ ดร นิเวศน์
คนเก่งทำอย่างไรก็ให้ทำตามแบบนั้น ตอนน้ำท่วม กรีซแย่ แต่ก็สามารถลงทุนได้ ซื้อหุ้นดูจากภาวะเศรษฐกิจ เป็นการตัดสินใจทิ่ผิด
คุณศิริวัฒน์ : เสริมข้อคิดจากเซียนหุ้น ว่าการเป็นเซียนหุ้น อย่าเป็นเพราะเป็นเซียนแล้วเปิดด้านหลังเป็นแผลเต็มไปหมด ถ้าคิดรวยด้วยหุ้น อย่าเก็งกำไร ให้เน้นลงทุน ตั้งเป้าเลยได้ปันผลมากกว่า เช่น 1.5% ก็เริ่มศึกษาและลงทุนก่อนประกาศปันผล ช่วงก่อนเดือนมีนาคมของทุกปี ถ้าซื้อก็ได้เงินปันผล ถ้าซื้อหลังประกาศปันผลราคาหุ้นขึ้นไปสูงอัตราปันผลจะต่ำลง บางที่ไม่คุ้มที่จะลงทุน
ตัวอย่างผู้บริหารกองทุนที่มีชื่อเสียง คุณปีเตอร์ ลินต์ ที่บริหารกองทุนแมคเจลแลน ซึ่งเกษียนไปแล้วเกือบ20ปี บอกว่า ให้สัมผ้สกับธุรกิจนั้นเวลาจะลงทุน ผมเสริมว่า บางครั้งจะดูหุ้นที่จะลงทุนโดยถามลูกสาวหรือภรรยาว่าช่วงนี้มีร้านค้าหรือสินค้าอะไรเป็นที่นิยม ก็จะดูว่าอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือเปล่า ถ้ามีจะไปศึกษาว่าน่าลงทุนหรือเปล่า
เรื่องการผิดพลาดในการลงทุน คุณวอร์เรน ก็ลงทุนผิดพลาดได้ เช่นลงทุนเทสโก้เมื่อ2-3 ปีที่แล้ว แต่ปรากฎว่าผลประกอบการไม่ดี ขาดทุนไปเยอะ ก็ขายทิ้งไป แต่ผลประกอบการของ เบอร์กไชน์ ที่คุณวอร์เรนบริหาร ยังกำไรเพราะได้กระจายการลงทุนไปหลายตัวมาก ดังนั้น ขอให้ผลลัพธภาพรวมเป็นบวกก็ใช้ได้
ผมเจ๊งหุ้น เพราะ เล่นมาร์จิ้นเยอะ ดอกเบี้ยก็แพง ประมาณ 17-19% ตอนหุ้นลงก็ถูกForce Sales ขายหุ้นหมดแต่ยังเหลือหนี้อีกเยอะ หลังจากนั้นBroker ก็เจ๊งตาม
ออกมาทำแซนวิซขาย 18 ปี พึ่งเริ่มฟื้นขึ้นมาใหม่ ยังไม่เห็นฝุ่นเทียบกับเมื่อก่อน ปีนี้ Broker ไม่กล้าทำนายกำไรของปีนี้เติบโตเท่าไหร่ ตอนนี้ดัชนี 1500 จุด เอากำไรของปีนี้มาหา PE จะได้เกิน 20 PB มากกว่า 2 เท่า กรีซปัญหายังไม่จบ ค่าเงินสหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากทุกคนต้องการดอลลาร์ กลัวตลาดหุ้นโลกfully value พอสหรัฐมีข่าวดี แต่หุ้นตก เพราะกลัว FED ขึ้นดอกเบี้ย ตลาด Emerging market จะเป็นอย่างไร คุณสมบอกว่า ต่างชาติขายหมดแล้ว แต่อาจเจอ panic sell ได้ เพราะต่างชาติสามารถทำ short sell ได้ ดังนั้น ลงทุนจากตลาดหุ้น อย่าหวังรวย
ทพ สม : ความโลภของนักลงทุนทำให้หมดตัวได้ จะคิดว่าจะซื้อหุ้นตัวนี้หลังตลาดเสมอ เหมือนหวย ทำไมไม่ซื้อเลขนี้หลังหวยออกแล้ว ดังนั้น ทุ่มสุดตัวในตัวใหม่ ปรากฏว่าหุ้นตัวใหม่ไม่ขึ้น คนเราต้องรู้จักพอ เช่น พอขายหุ้นที่ขาย Set top box ตอน 4 บาทกว่าๆ ปรากฏว่าขึ้นไปอีกหลายเท่า รู้สึกทุกข์ การเล่นหุ้น ทุกข์มากกว่าสุข แต่รายได้มากกว่ทำคลีนิค ตั้งเป้ากำไรพอถึงจุดก็ขาย ได้มากกว่าดอกเบี้ยก็พอ ขายเสร็จขึ้นไปเดี๋ยวก็ลงมา ถ้าเล่นหุ้นเก็งกำไร ชีวิตจะทุกข์มากกว่าสุข การเล่นหุ้นเหมือนการกระตุ้นจิตใจมากที่สุด
ดร นิเวศน์: ถ้าเราเล่นหุ้นไม่มีความสุข ความรวยไม่ยั่งยืน นักเล่นหุ้นเก็งกำไร ยิ่งนานก็คืนตลาดหุ้นไปหมด ส่วนใหญ่ตายหมด นักลงทุนเก็งกำไรที่มีชื่อเสียง ช่วงที่ดัง ผลตอบแทน 300-1,000 % เล่นต่อเมื่อได้มาก เหมือนเสพยาเสพติด ความรู้แบบนี้ไม่สามารถทำได้ ไม่อยู่บนพื้นฐาน พร้อมแต่เสมา แต่ บัฟเฟต รวยจนวันตาย การลงทุนระยะยาว สุดท้ายเป็นเจ้าของกิจการที่ดี
การเป็นเจ้าของกิจการที่ดี ถืออย่างน้อย5ปี มีโอกาสดีขึ้น ประมาณ 90% ต้องบริหารความไม่แน่นอนโดยถือหุ้น 5-6 ตัว แต่ละตัวก็ถือประมาณ 10 กว่า % ตีแตกได้บางสถานการณ์ เช่นตอนวิกฤต กล้าตีแตก มั่นใจ 90% ถ้าบริษัทอยู่ไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้ บริษัทขายสินค้าที่เป็นสิ่งจำเป็น ถ้าบริษัทตาย ตัวเล็กเจ๊งหมดเราก็ไม่มีอะไรเหลือ อย่างนี้ต้องตีแตก
คุณพรชัย: ก่อนต้มยำกุ้ง ลงทุนไม่โลภ ขึ้น5%ก็ขายแล้วหาตัวใหม่ต่อไปเรื่อยๆ ขายก๋วยเตี๋ยวดีกว่า แต่การลงทุนแบบดร นิเวศน์ เรื่องจิตเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ เราต้องฝึกจิตตัวเองไม่ตามสัญชาติญาณ โอกาสต่างกับความโลภ ที่ความรู้ หุ้นตกมาคนนึงอาจเป็นความโลภ อีกคนเป็นโอกาสทอง ถ้าเล่นต่อไป ทุกข์เยอะมากๆ
ถ้าเราเข้ามาลงทุนในกิจการ ถึงแม้ยุโรปวิกฤต บริษัทที่ทำงานด้วยก็ไม่เจ๊ง เราลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับยุโรป ดังนั้นให้ดุค่า PE ประกอบ
ก่อนลงทุนหุ้น เราต้องรู้ว่าตนเองรู้จักหรือเปล่า เราเป็นนักลงทุน บริษัทที่ลงทุนคือบริษัทที่เราทำงาน เปรียบเทียบว่า ถ้าเราเปิดร้านสุกี้ MK สุกี้ให่กว่าเราเยอะ ถ้าเราไม่รู้ เราก็ไม่เข้าไปยุ่ง ลงทุนเริ่มจากธุรกิจที่ง่ายๆ เข้าใจง่ายก่อน ไม่ต้องดูตลาดหุ้น เปรียบเหมือน เราลงทุนธุรกิจ ไม่มีราคาขึ้นลงในตลาดหลักทรัพย์ให้เราดูว่าราคาซื้อขายของธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่แล้ว
คำถาม ให้แต่ละวิทยากรพูดถึงข้อคิดในการลงทุน
ดร นิเวศน์: ลงทุนได้มามาก เพราะ จากโชคพามา จริงๆลงทุนเพื่อได้ผลตอบแทนพอประมาณ10%ก็พอแล้ว ถ้าทบต้นไปเรื่อยๆ ก็ดีมาก เราไปคิดตามคนรวยตอนนั้น สักพักคนรวยไม่รวยแล้ว ก็ตามคนรวยใหม่
โชคดี มีคนตามมาซื้อหุ้นที่ถือ (สงสัยมีคนเล่นตามเซียน เหมือนกับที่อจเขียนบทความ)
ราคาขึ้นมาเรื่อยๆ ได้ปันผลใช้ทุกปี เห็นมันโตขึ้นเรื่อยๆ มองทีละ5 ปี (แต่ บัฟเฟตมองตลอดชีวิต บริษัทที่ซื้อยิ่งใหญ่มานานหลายสิบปี ) เอาสัก 5-6 ตัว หุ้นขึ้นหรือลงไม่ต้องทำอะไร โอกาสดูผิดแค่ 1 ใน 5 เอง แต่อีก 4-5 ตัวดีกว่าเก่า ชดเชยกับตัวที่ไม่ดี
หาหุ้นที่มั่นใจว่าเราตายก่อนมัน เพราะบริษัทตายยาก
คุณศิริวัฒน์: อีก5ปีข้างหน้าไม่แน่อาจรวยกว่าดร เพราะจะเอาบริษัทเข้าตลาดMAI แล้วมาวัดกันอีกที ดร เสริมว่า ผมไม่อิจฉาใครถ้าดี ผมซื้อด้วย พอหุ้นเข้าตลาดจะไปซื้อแซนวิซทาน คุณศิริวัฒน์สวนกลับ ถ้าเห็นดร จองมาจะเก็บใบจองไว้
อยากมาแชร์ 18 ปีที่ผ่านมา การเล่นหุ้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องกำไรเสมอ ถ้าcut loss ถูกจังหวะก็กำไรได้ สมัยนั้นไม่ยอม cut loss และ ถูก force sell ตกไป 60% เจอหนี้ที่มีดอกเบี้ย 16%กว่า ถ้าถึงเวลา cut loss วิเคราะห์แล้วขายขาดทุนดีกว่า ถ้าใจไม่ถึงขายบางส่วน เช่น ขายแค่ 10% อาทิตย์หน้าตกอีกที นอนหลับ
เที่ยวนี้ไปเล่นwarrant กันเยอะมีโอกาสเจ๊งเยอะ อันตรายเพราะตัวมันมีอายุ ถ้าไม่ใช้สิทธิ์ พอหมดอายุ ไม่มีมูลค่า เป็นเศษกระดาษ ถ้าลงเยอะให้ cut los
ดัชนีไม่มีทางถึง 1600 จุด NPL สูงขึ้น ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนแต่ละไตรมาส ท่าจะถดถอย หรือ Growth นิดหน่อย ราคาหุ้น overvalue ต้องทำการบ้านเยอะหน่อย
ถ้าลบก็ชิงcut lossก่อน เกิดpanic sellเพราะสั่งโบรคขายทุกราคา จะเป็นจังหวะของการศึกษาเพื่อมาช้อนซื้อ
สรุป 1. อย่ากู้มาลงทุน 2. อย่าลงwarrant 3. ทำการบ้านอย่างดี
ทพ สม : ตั้งcut loss 10% cut 5 ครั้งถูกครั้งเดียว แต่คุ้มค่า
คุณพรชัย: เราทำตัวสมควรรวยหรือเปล่า ถ้าเมื่อก่อนทำแบบนี้เช่น วิเคราะห์การเงินไม่เป็น ตอนนี้ก็ยังไม่เป็น ไปขายเต้าหู้ดีกว่า เราฝึกได้หมด ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ มีแต่เราทำหรือไม่ทำ รวยไม่รู้เรื่อง ไม่มี ผมเจ๊งตอนต้มยำกุ้ง เหลือหลักหมื่น ผ่านประสบการณ์มาเยอะ เจอกูรู5คนพูด5อย่าง ต้องมีคนผิด ดังนั้นดูที่คนประสบความสำเร็จ ว่าทำอย่างไรให้ทำแบบนั้น ผลลัพธ์ออกมา เรียนรู้ ปรับปรุง แล้วไปลงทุนใหม่ ผลลัพธ์ออกมา เรียนรู้ ปรับปรุง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผิดพลาด เราต้องได้ประโยชน์จากมัน เราไม่คิดทำ และคิดจะรวย ถือว่าเราเรียกร้องมากเกินไป
จบการสัมมนา ต้องขอขอบคุณ พิธิกร ดร ไพบูลย์ พิธีกรร่วม อจ ถาวร และวิทยกร คุณศิริวัฒน์ ดร นิเวศน์ ทพ สม และ คุณพรชัย รวมถึง staff money talk มาณ โอกาสนี้ด้วยครับ ที่ให้ความรู้แก่พวกเรา
สัมมนาหัวข้อ “ข้อคิดจากเซียน บนเส้นทางสู่ความร่ำรวยด้วยหุ้น”
1. คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข
นักเขียนนักแปลนักลงทุน มีทัศนคติน่าสนใจ อยู่ในสายวิชาการไทยวีไอมาตลอด
ไม่รู้ทำไมไปช่วยคนมีบาปด้วยการแปลหนังสือการลงทุน ทำไมไม่ช่วยคนดี ดังนั้นช่วงนี้มีจัดสัมมนาเพื่อช่วยเหลือ เช่น งานวีไอสายดำcharity ช่วย สุนัข แมว จรจัด
งาน สัมมนา เพราะเป็นแมงเม่าจึงเจ็บปวด พันครั้งที่หวั่นไหวกว่าจะเป็นนักลงทุน เมื่อวันที่ 23-24 พค 15 เพื่อหารายได้ให้กับคณะเภสัช จุฬา
จัดทำหนังสือ Quote 1-2 สำหรับ ผู้ที่ทำประโยชน์ให้กับสาธารณะ เช่น บริจาคเลือด
2. ทพ.สม สุจีรา
ผู้เขียน “จิตของนักเล่นหุ้น” เป็นทั้งนักเขียนแนวจิตวิทยา ติวเตอร์ และ เปิดคลีนิครักษาฟันด้วย
3. คุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ
เจ้าของ ศิริวัฒน์แซนวิช มีประการณ์การลงทุนเยอะมากจะมาแชร์ให้ฟัง
มีลาภเสื่อมลาภ กินน้ำตกแทน
ตอนนี้แซนวิซยังขายไม่หมด ด้านล่างตลาดหลักทรัพย์
4. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน บิดาวีไอ เมืองไทย
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.ถาวร โชติชื่น ดำเนินรายการ
อจ ถาวร เริ่มพูด ว่า ดร ไพบูลย์ เป็นคนตั้งชื่อ คิดชื่อวนไปมาในเรื่องหัวข้อ
คำว่า ข้อคิดเป็นครั้งแรกที่ใช้ อจ ถาวรมีแบบทดสอบว่า พูดถึงใคร ทดสอบว่ามีแววเป็นนักลงทุนที่รวยด้วยหุ้นได้หรือไม่
1. เกิดที่เชียงใหม่ 2. คนไทยรู้จักดี 3. มีผลงานทำให้ชาวบ้านร่ำรวยเงินทอง
4. ชีวิตเกี่ยวข้องกับดูใบ 5. อยู่สุขสบายแต่เหมือนโดนกักขัง
6. ชื่อมีสองพยางค์ 7. พยางค์เสียงสระอิน ให้ทายว่าเป็นใคร
หลินปิง ไง อจ ถาวร เฉลยโดยไม่รอใครตอบ ถ้าให้คุณศิริวัฒน์ทาย น่าจะเป็นอีกคนที่ดร ไพบูลย์ ไม่อยากให้บอก
ข้อที่ 2 ดูง่ายคนที่จะอยู่บนเส้นทางรวยด้วยหุ้น ขึ้นต้นชื่อด้วย ส เช่น ทพ สม หรือ นามสกุล ของ คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข ส่วน อจ ถาวร ไม่มี ส เสือ เลยไม่รวยหุ้น
สมกับสุภาษิต ว่า ความรวยไม่คงทน ความจนสิถาวร
มาเริ่มที่คุณศิริวัฒน์ เมื่อ20ปีก่อน เคยรวยด้วยหุ้น ไม่มีใครดังเกินเขา โบรคใหญ่สุดในไทยหมายเลข8 กำไรหรือขาดทุนวันละ 10 ล้านบาทในสมัยนั้น ดร มารวย ผจกตลาดหลักทรัพย์สมัยนั้น ยังเคยเรียกไปคุยเลย ดร นิเวศน์ ยังเด็กๆ
ทำอะไรลุยไปไม่คิดหน้าหลัง ซื้อขายแบบเคาะกระดานหุ้น สมัยนั้นยังไม่ซื้อขายผ่านคอมพิวเตอร์ ดร ไพบูลย์และ ดร นิเวศน์ ยังอยู่ในวงการศึกษาอยู่ ซื้อขายหุ้น เริ่มที่ ชั้น 4 สยามเซ็นเตอร์ ต่อมาย้ายไปที่ ชั้น 2 ตึกสินธร นักลงทุนยังต้องส่องกล้องดูราคาหุ้น บางครั้งมาร์ซื้อให้ไม่ทัน คนซื้อเดินไปเคาะให้เองเลย สมัยก่อนซื้อขายวันละ 1,000 ล้านบาทถือว่าเยอะมาก สมัยนี้พัฒนาการซื้อขายไปมาก อย่าคิดรวยได้ถ้าอยู่ในตลาดหุ้น นอกจากเป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ความโลภจะครอบงำไม่ให้รวยได้ สมัยนี้นักลงทุนเกินล้านคน แต่พฤติกรรมไม่ได้เปลี่ยนแปลง ช่วงวิกฤต ขายคอนโด ตรม ละ 50,000 บาท ยังไม่มีคนซื้อเลย มาขายแซนวิซที่รพ กรุงเทพ
ดร นิเวศน์ : เห็นด้วยกับคุณศิริวัฒน์ ยกเว้นไม่ใช่ทุกคนจะจน มนุษย์มีความโลภ โกรธ หลง อยู่ในยีนส์ ไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้ความโลภขึ้นจัด เหมือนป่วยเป็นเบาหวาน น้ำตาลขึ้น สถานการณ์ทั่วไป การดำเนินงาน การแข่งขันรุนแรง ทุกอย่างเหมือนเดิม เพียงแต่ช่วงนี้ความโลภ ครอบงำ ตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนดีมาก ทุกคนเข้ามาแต่ไม่รวยอย่างที่คิด ต้องอยู่กันต่อไป จนถึงวันนี้ รู้ว่าหุ้นขึ้นด้วยเม็ดเงิน ไม่ได้ขึ้นกับกำไร ตรวจดูตัวเลขทุกตัวที่ออกมา (ดร ไพบูลย์แซวดูทุกตัวจริงหรือ) ภาพใหญ่จริงๆไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตอนหุ้นตกก็เจ๊งหุ้นหมดตัว จริงๆเข้าไปดูเมื่อ 10 กว่าปี มีตกและฟื้น เพียงแต่ความโลภจากหุ้นขึ้น หวังหลายรอบ และ หมดหวัง ยิ่งใส่ยิ่งเจ๊ง เหมือนเมื่อหลายปีก่อน
ตอนนี้คนในตลาดหลักทรัพย์ เห็นคนรวยจากหุ้นเกิดความโลภ ตอนนี้เราซื้อความฝันมากเกินไป กำไรไม่ดีขึ้น
ข้อคิดตอนนี้ต้องระวังไม่งั้นอาจขาดทุน เส้นทางรวยและจนเป็นเส้นเดียวกัน
คนส่วนใหญ่คิดแบบนี้จะจน รวมถึงคนในห้องนี้ เราต้องคิดว่า ทำอย่างไรให้เป็นคนส่วนน้อยที่มีรายได้
ทพ สม เล่าให้ฟังว่า ตอนปี 51 เพื่อนชวนให้เล่นหุ้น แต่ ทพ สม ไม่เล่น เพราะว่ามีความ
สุขจากการทำฟันให้กับลูกค้า ถามว่าลงทุนในหุ้น รวยกว่าไหม ตอบว่ารวยกว่า
เพราะว่า จิตกระเพื่อมขึ้นและลง ต้องฝึกจิตหนักมาก เลยเขียนฝึกจิตเล่นหุ้น
ตอนเล่นหุ้นดัชนีหุ้นจาก 400 ไป 1600 คนเล่นยิ่งได้ยิ่งทุ่มหนัก พอถึงดัชนี 1600 จุดทุ่มหมดหน้าตัก และ ดอกเบี้ยแค่ 1%กว่าเอง เล่นหุ้นวันเดียวได้ 5% ดังนั้นตอนดัชนีลง cut loss ไม่ทัน ถ้าคนเข้ามาตอนดัชนี 1300-1600 จุด กำไรไม่มากพอcut loss ตอนนี้อยู่ในช่วงไม่คุ้มที่จะเข้ามาลงทุน แต่ภายใน 1-2 ปี ดอกเบี้ยต่ำ ยุโรปยังไม่ฟื้น น่าจะปลอดภัย ต่างชาติขายหมดแล้ว ถ้ารัฐลงทุนตามที่พูด ต่างชาติเข้าลงทุน ทำให้หุ้นขึ้น
เหลือเวลาอีก 2-3 ปี ซื้อปีนี้ขายปีหน้ายังปลอดภัย ต้องดูตอนจบซึ่งจะเหลือแค่2ใน10ที่สามารถทำกำไรจากตลาดหุ้น
คุณพรชัย: ที่คุณศิริวัฒน์พูดเกิดไม่ทัน (อายุแค่29เอง อันนี้ผมเสริม) แต่ความเป็นจริง ตลาดหุ้นในไทยและอเมริกา พฤติกรรมของนักลงทุนไม่เปลี่ยนแปลง ขึ้นกับว่าเราเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า ถ้าเราทำเหมือนคนอื่น เราก็ไม่กำไร คนเล่นแบบการพนัน ตกใจขาย ดีใจไล่ซื้อ (เอ เหมือนใครบางคนหรือเปล่า ) ถ้าเราทำตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ คือเป็นโอกาส คนตกใจ เทขายหุ้น ราคาหุ้นถูก ก็เข้าไปซื้อ (หลักการลงทุนแบบวีไอเลย) เข้ามาลงทุนด้วยความรู้ วิชาการลงทุนเป็นความเชื่อ ต้องรู้ให้จริงว่าอะไรคือความเชื่อ อะไรคือความกลัว เช่น ลงทุนในหุ้น SE-ED , IT , AS
ตอนนี้ดร นิเวศน์ เสริมว่า หุ้นตัวเดียวกัน ซื้อคนละเวลา คนนึงซื้อแล้วโง่มาก ส่วนอีกคนซื้อแล้วดูฉลาดมาก
คณพรชัย กล่าวต่อว่า สมมติหุ้นขึ้นหลายเท่า ถ้าไม่มีความรู้จะขายไปตอนขึ้น 5 ช่องเอง ภาพใหญ่เศรษฐกิจไม่ได้บอกหุ้นถูกหรือแพง ตอน subprime ไม่มีภาพบวกเลย แต่ถ้าซื้อก็เป็นโอกาส (ข่าวดีคือ หุ้นแย่สุด ข่าวร้ายคือ หุ้นดีสุด) เราลงทุนหุ้น ประเมินมูลค่า ไม่ใช่ประเมินเศรษฐกิจว่าดีน่าซื้อ อยู่ที่ว่าหุ้นมันถูกหรือเปล่า ถ้ามีข่าวดี หุ้นขึ้นเยอะแล้ว ก็ตกได้ เรื่องหุ้น คนที่เก่งในเมืองนอกคือคุณ วอร์เรน บัฟเฟต ส่วนในไทยคือ ดร นิเวศน์
คนเก่งทำอย่างไรก็ให้ทำตามแบบนั้น ตอนน้ำท่วม กรีซแย่ แต่ก็สามารถลงทุนได้ ซื้อหุ้นดูจากภาวะเศรษฐกิจ เป็นการตัดสินใจทิ่ผิด
คุณศิริวัฒน์ : เสริมข้อคิดจากเซียนหุ้น ว่าการเป็นเซียนหุ้น อย่าเป็นเพราะเป็นเซียนแล้วเปิดด้านหลังเป็นแผลเต็มไปหมด ถ้าคิดรวยด้วยหุ้น อย่าเก็งกำไร ให้เน้นลงทุน ตั้งเป้าเลยได้ปันผลมากกว่า เช่น 1.5% ก็เริ่มศึกษาและลงทุนก่อนประกาศปันผล ช่วงก่อนเดือนมีนาคมของทุกปี ถ้าซื้อก็ได้เงินปันผล ถ้าซื้อหลังประกาศปันผลราคาหุ้นขึ้นไปสูงอัตราปันผลจะต่ำลง บางที่ไม่คุ้มที่จะลงทุน
ตัวอย่างผู้บริหารกองทุนที่มีชื่อเสียง คุณปีเตอร์ ลินต์ ที่บริหารกองทุนแมคเจลแลน ซึ่งเกษียนไปแล้วเกือบ20ปี บอกว่า ให้สัมผ้สกับธุรกิจนั้นเวลาจะลงทุน ผมเสริมว่า บางครั้งจะดูหุ้นที่จะลงทุนโดยถามลูกสาวหรือภรรยาว่าช่วงนี้มีร้านค้าหรือสินค้าอะไรเป็นที่นิยม ก็จะดูว่าอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือเปล่า ถ้ามีจะไปศึกษาว่าน่าลงทุนหรือเปล่า
เรื่องการผิดพลาดในการลงทุน คุณวอร์เรน ก็ลงทุนผิดพลาดได้ เช่นลงทุนเทสโก้เมื่อ2-3 ปีที่แล้ว แต่ปรากฎว่าผลประกอบการไม่ดี ขาดทุนไปเยอะ ก็ขายทิ้งไป แต่ผลประกอบการของ เบอร์กไชน์ ที่คุณวอร์เรนบริหาร ยังกำไรเพราะได้กระจายการลงทุนไปหลายตัวมาก ดังนั้น ขอให้ผลลัพธภาพรวมเป็นบวกก็ใช้ได้
ผมเจ๊งหุ้น เพราะ เล่นมาร์จิ้นเยอะ ดอกเบี้ยก็แพง ประมาณ 17-19% ตอนหุ้นลงก็ถูกForce Sales ขายหุ้นหมดแต่ยังเหลือหนี้อีกเยอะ หลังจากนั้นBroker ก็เจ๊งตาม
ออกมาทำแซนวิซขาย 18 ปี พึ่งเริ่มฟื้นขึ้นมาใหม่ ยังไม่เห็นฝุ่นเทียบกับเมื่อก่อน ปีนี้ Broker ไม่กล้าทำนายกำไรของปีนี้เติบโตเท่าไหร่ ตอนนี้ดัชนี 1500 จุด เอากำไรของปีนี้มาหา PE จะได้เกิน 20 PB มากกว่า 2 เท่า กรีซปัญหายังไม่จบ ค่าเงินสหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากทุกคนต้องการดอลลาร์ กลัวตลาดหุ้นโลกfully value พอสหรัฐมีข่าวดี แต่หุ้นตก เพราะกลัว FED ขึ้นดอกเบี้ย ตลาด Emerging market จะเป็นอย่างไร คุณสมบอกว่า ต่างชาติขายหมดแล้ว แต่อาจเจอ panic sell ได้ เพราะต่างชาติสามารถทำ short sell ได้ ดังนั้น ลงทุนจากตลาดหุ้น อย่าหวังรวย
ทพ สม : ความโลภของนักลงทุนทำให้หมดตัวได้ จะคิดว่าจะซื้อหุ้นตัวนี้หลังตลาดเสมอ เหมือนหวย ทำไมไม่ซื้อเลขนี้หลังหวยออกแล้ว ดังนั้น ทุ่มสุดตัวในตัวใหม่ ปรากฏว่าหุ้นตัวใหม่ไม่ขึ้น คนเราต้องรู้จักพอ เช่น พอขายหุ้นที่ขาย Set top box ตอน 4 บาทกว่าๆ ปรากฏว่าขึ้นไปอีกหลายเท่า รู้สึกทุกข์ การเล่นหุ้น ทุกข์มากกว่าสุข แต่รายได้มากกว่ทำคลีนิค ตั้งเป้ากำไรพอถึงจุดก็ขาย ได้มากกว่าดอกเบี้ยก็พอ ขายเสร็จขึ้นไปเดี๋ยวก็ลงมา ถ้าเล่นหุ้นเก็งกำไร ชีวิตจะทุกข์มากกว่าสุข การเล่นหุ้นเหมือนการกระตุ้นจิตใจมากที่สุด
ดร นิเวศน์: ถ้าเราเล่นหุ้นไม่มีความสุข ความรวยไม่ยั่งยืน นักเล่นหุ้นเก็งกำไร ยิ่งนานก็คืนตลาดหุ้นไปหมด ส่วนใหญ่ตายหมด นักลงทุนเก็งกำไรที่มีชื่อเสียง ช่วงที่ดัง ผลตอบแทน 300-1,000 % เล่นต่อเมื่อได้มาก เหมือนเสพยาเสพติด ความรู้แบบนี้ไม่สามารถทำได้ ไม่อยู่บนพื้นฐาน พร้อมแต่เสมา แต่ บัฟเฟต รวยจนวันตาย การลงทุนระยะยาว สุดท้ายเป็นเจ้าของกิจการที่ดี
การเป็นเจ้าของกิจการที่ดี ถืออย่างน้อย5ปี มีโอกาสดีขึ้น ประมาณ 90% ต้องบริหารความไม่แน่นอนโดยถือหุ้น 5-6 ตัว แต่ละตัวก็ถือประมาณ 10 กว่า % ตีแตกได้บางสถานการณ์ เช่นตอนวิกฤต กล้าตีแตก มั่นใจ 90% ถ้าบริษัทอยู่ไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้ บริษัทขายสินค้าที่เป็นสิ่งจำเป็น ถ้าบริษัทตาย ตัวเล็กเจ๊งหมดเราก็ไม่มีอะไรเหลือ อย่างนี้ต้องตีแตก
คุณพรชัย: ก่อนต้มยำกุ้ง ลงทุนไม่โลภ ขึ้น5%ก็ขายแล้วหาตัวใหม่ต่อไปเรื่อยๆ ขายก๋วยเตี๋ยวดีกว่า แต่การลงทุนแบบดร นิเวศน์ เรื่องจิตเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ เราต้องฝึกจิตตัวเองไม่ตามสัญชาติญาณ โอกาสต่างกับความโลภ ที่ความรู้ หุ้นตกมาคนนึงอาจเป็นความโลภ อีกคนเป็นโอกาสทอง ถ้าเล่นต่อไป ทุกข์เยอะมากๆ
ถ้าเราเข้ามาลงทุนในกิจการ ถึงแม้ยุโรปวิกฤต บริษัทที่ทำงานด้วยก็ไม่เจ๊ง เราลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับยุโรป ดังนั้นให้ดุค่า PE ประกอบ
ก่อนลงทุนหุ้น เราต้องรู้ว่าตนเองรู้จักหรือเปล่า เราเป็นนักลงทุน บริษัทที่ลงทุนคือบริษัทที่เราทำงาน เปรียบเทียบว่า ถ้าเราเปิดร้านสุกี้ MK สุกี้ให่กว่าเราเยอะ ถ้าเราไม่รู้ เราก็ไม่เข้าไปยุ่ง ลงทุนเริ่มจากธุรกิจที่ง่ายๆ เข้าใจง่ายก่อน ไม่ต้องดูตลาดหุ้น เปรียบเหมือน เราลงทุนธุรกิจ ไม่มีราคาขึ้นลงในตลาดหลักทรัพย์ให้เราดูว่าราคาซื้อขายของธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่แล้ว
คำถาม ให้แต่ละวิทยากรพูดถึงข้อคิดในการลงทุน
ดร นิเวศน์: ลงทุนได้มามาก เพราะ จากโชคพามา จริงๆลงทุนเพื่อได้ผลตอบแทนพอประมาณ10%ก็พอแล้ว ถ้าทบต้นไปเรื่อยๆ ก็ดีมาก เราไปคิดตามคนรวยตอนนั้น สักพักคนรวยไม่รวยแล้ว ก็ตามคนรวยใหม่
โชคดี มีคนตามมาซื้อหุ้นที่ถือ (สงสัยมีคนเล่นตามเซียน เหมือนกับที่อจเขียนบทความ)
ราคาขึ้นมาเรื่อยๆ ได้ปันผลใช้ทุกปี เห็นมันโตขึ้นเรื่อยๆ มองทีละ5 ปี (แต่ บัฟเฟตมองตลอดชีวิต บริษัทที่ซื้อยิ่งใหญ่มานานหลายสิบปี ) เอาสัก 5-6 ตัว หุ้นขึ้นหรือลงไม่ต้องทำอะไร โอกาสดูผิดแค่ 1 ใน 5 เอง แต่อีก 4-5 ตัวดีกว่าเก่า ชดเชยกับตัวที่ไม่ดี
หาหุ้นที่มั่นใจว่าเราตายก่อนมัน เพราะบริษัทตายยาก
คุณศิริวัฒน์: อีก5ปีข้างหน้าไม่แน่อาจรวยกว่าดร เพราะจะเอาบริษัทเข้าตลาดMAI แล้วมาวัดกันอีกที ดร เสริมว่า ผมไม่อิจฉาใครถ้าดี ผมซื้อด้วย พอหุ้นเข้าตลาดจะไปซื้อแซนวิซทาน คุณศิริวัฒน์สวนกลับ ถ้าเห็นดร จองมาจะเก็บใบจองไว้
อยากมาแชร์ 18 ปีที่ผ่านมา การเล่นหุ้นไม่ได้หมายความว่าเราต้องกำไรเสมอ ถ้าcut loss ถูกจังหวะก็กำไรได้ สมัยนั้นไม่ยอม cut loss และ ถูก force sell ตกไป 60% เจอหนี้ที่มีดอกเบี้ย 16%กว่า ถ้าถึงเวลา cut loss วิเคราะห์แล้วขายขาดทุนดีกว่า ถ้าใจไม่ถึงขายบางส่วน เช่น ขายแค่ 10% อาทิตย์หน้าตกอีกที นอนหลับ
เที่ยวนี้ไปเล่นwarrant กันเยอะมีโอกาสเจ๊งเยอะ อันตรายเพราะตัวมันมีอายุ ถ้าไม่ใช้สิทธิ์ พอหมดอายุ ไม่มีมูลค่า เป็นเศษกระดาษ ถ้าลงเยอะให้ cut los
ดัชนีไม่มีทางถึง 1600 จุด NPL สูงขึ้น ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนแต่ละไตรมาส ท่าจะถดถอย หรือ Growth นิดหน่อย ราคาหุ้น overvalue ต้องทำการบ้านเยอะหน่อย
ถ้าลบก็ชิงcut lossก่อน เกิดpanic sellเพราะสั่งโบรคขายทุกราคา จะเป็นจังหวะของการศึกษาเพื่อมาช้อนซื้อ
สรุป 1. อย่ากู้มาลงทุน 2. อย่าลงwarrant 3. ทำการบ้านอย่างดี
ทพ สม : ตั้งcut loss 10% cut 5 ครั้งถูกครั้งเดียว แต่คุ้มค่า
คุณพรชัย: เราทำตัวสมควรรวยหรือเปล่า ถ้าเมื่อก่อนทำแบบนี้เช่น วิเคราะห์การเงินไม่เป็น ตอนนี้ก็ยังไม่เป็น ไปขายเต้าหู้ดีกว่า เราฝึกได้หมด ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ มีแต่เราทำหรือไม่ทำ รวยไม่รู้เรื่อง ไม่มี ผมเจ๊งตอนต้มยำกุ้ง เหลือหลักหมื่น ผ่านประสบการณ์มาเยอะ เจอกูรู5คนพูด5อย่าง ต้องมีคนผิด ดังนั้นดูที่คนประสบความสำเร็จ ว่าทำอย่างไรให้ทำแบบนั้น ผลลัพธ์ออกมา เรียนรู้ ปรับปรุง แล้วไปลงทุนใหม่ ผลลัพธ์ออกมา เรียนรู้ ปรับปรุง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผิดพลาด เราต้องได้ประโยชน์จากมัน เราไม่คิดทำ และคิดจะรวย ถือว่าเราเรียกร้องมากเกินไป
จบการสัมมนา ต้องขอขอบคุณ พิธิกร ดร ไพบูลย์ พิธีกรร่วม อจ ถาวร และวิทยกร คุณศิริวัฒน์ ดร นิเวศน์ ทพ สม และ คุณพรชัย รวมถึง staff money talk มาณ โอกาสนี้ด้วยครับ ที่ให้ความรู้แก่พวกเรา
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 16
ท่านdr1 ก็มาให้หุ้นอุ๊ย..dr1 เขียน:ขอบคุณครับ ได้ไอเดียมาก
โพสท์มาบ่อยๆนะครับ
ไชโย..มาขอบคุณได้ก่อนท่านลูกหิน ดีใจแป๊บ..
มาโพสบ่อยๆน๊ะครับ
ผมตามอ่านทุกโพสของท่านเลยครับ คนอะไรเขียนสนุ๊ก สนุก
ตอนนี้มีแฟนคลับท่านหลายคน มากระซิบผมให้บอกท่านหน่อย
ว่าอยากอ่านหนังสือที่ท่านdr1แต่ง...
ท่านdr1ไม่ทำให้แฟนคลับผิดหวังอยู่แล้วใช่ไม๊ครับ...ฮ่า

ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 18
วันนี้ Money Channel จัดงานที่พารากอน ฉลองขึ้นปี 11 เห็น ดร นิเวศน์ รับรางวัลสุดยอดนักลงทุนในรอบสิบปีโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ
รู้สึกปลื้มใจกับอจ จังครับ วันนี้ดร นิเวศน์ยังมาให้ความรู้ร่วมกับ คุณ พิชัย จาวลา เสี่ยยักษ์ และ เสี่ยป์อง อีกด้วย
อจ ยังยืนยันว่า ยังลงทุนหุ้นไทยอยู่เป็นส่วนใหญ่ ประมาณ 75% ของ port อีก 5% ลงในเวียดนาม เก็บเงินสด 20% เผื่อช้อนซื้อหุ้นตอนตกแรงๆ
ถึงแม้บอกว่าหมดยุคทองของวีไอ แล้ว แต่ก็ยังมียุคเงิน ตะก่ั่วอีก เพียงแต่ว่าจะไม่เจอหุ้นราคาถูกเหมือนช่วง ต้มยำกุ้ง or subprime เท่านั้น
ส่วนเสี่ยยักษ์ หุ้นpeสูงแล้ว ตอนนี้ถ้าอยากลงทุนให้ขุดหาหุ้นturnaround และบอกน้องๆว่าการลงทุนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
เสี่ยป๋อง จะเน้นดูเทคนิค ตอนนี้ งงกะ technique เลยอยู่เฉยๆไม่ทำอะไร แต่ให้เฝ้าหน้าจอไว้เวลาขึ้น ต้องเข้าให้ทัน sidewayเล่นยาก ให้นักลงทุนระวัง น่าจะไปพึ่งหมอดูบ้าง เช่น หมอไพศาลบอกจะตลาดจะตกเยอะQ3 ส่วนใหญ่ที่ทำกำไรจะทำในช่วงหุ้นขาขึ้น
ส่วนคุณพิชัย เห็นต่าง โดยอ้างถึงทฤษฎีผลประโยชน์ เมื่อคนส่วนใหญ่เห็นเหมือนกัน จะทำกำไรไม่ได้ คนส่วนน้อย ที่เห็นต่าง ซึ่งรู้สึกขัดกับความรู้สึก จะได้ประโยชน์ คิดว่าหุ้นน่าจะลงไม่ลึกเกิน 1,400 ต้นๆ น่าจะเด้งกลับ ดูจุดแรกที่ 1550 เป้นแนวโน้มขาขึ้น
ส่วนช่วงบ่ายจะเป็นนักวิเคราะห์ 11 คนมาหาทางออกของหุ้น 11 ตัว เอกสารสามารถdownloadได้จากlink ด้านล่างครับ
https://drive.google.com/folderview?id= ... =drive_web
รู้สึกปลื้มใจกับอจ จังครับ วันนี้ดร นิเวศน์ยังมาให้ความรู้ร่วมกับ คุณ พิชัย จาวลา เสี่ยยักษ์ และ เสี่ยป์อง อีกด้วย
อจ ยังยืนยันว่า ยังลงทุนหุ้นไทยอยู่เป็นส่วนใหญ่ ประมาณ 75% ของ port อีก 5% ลงในเวียดนาม เก็บเงินสด 20% เผื่อช้อนซื้อหุ้นตอนตกแรงๆ
ถึงแม้บอกว่าหมดยุคทองของวีไอ แล้ว แต่ก็ยังมียุคเงิน ตะก่ั่วอีก เพียงแต่ว่าจะไม่เจอหุ้นราคาถูกเหมือนช่วง ต้มยำกุ้ง or subprime เท่านั้น
ส่วนเสี่ยยักษ์ หุ้นpeสูงแล้ว ตอนนี้ถ้าอยากลงทุนให้ขุดหาหุ้นturnaround และบอกน้องๆว่าการลงทุนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
เสี่ยป๋อง จะเน้นดูเทคนิค ตอนนี้ งงกะ technique เลยอยู่เฉยๆไม่ทำอะไร แต่ให้เฝ้าหน้าจอไว้เวลาขึ้น ต้องเข้าให้ทัน sidewayเล่นยาก ให้นักลงทุนระวัง น่าจะไปพึ่งหมอดูบ้าง เช่น หมอไพศาลบอกจะตลาดจะตกเยอะQ3 ส่วนใหญ่ที่ทำกำไรจะทำในช่วงหุ้นขาขึ้น
ส่วนคุณพิชัย เห็นต่าง โดยอ้างถึงทฤษฎีผลประโยชน์ เมื่อคนส่วนใหญ่เห็นเหมือนกัน จะทำกำไรไม่ได้ คนส่วนน้อย ที่เห็นต่าง ซึ่งรู้สึกขัดกับความรู้สึก จะได้ประโยชน์ คิดว่าหุ้นน่าจะลงไม่ลึกเกิน 1,400 ต้นๆ น่าจะเด้งกลับ ดูจุดแรกที่ 1550 เป้นแนวโน้มขาขึ้น
ส่วนช่วงบ่ายจะเป็นนักวิเคราะห์ 11 คนมาหาทางออกของหุ้น 11 ตัว เอกสารสามารถdownloadได้จากlink ด้านล่างครับ
https://drive.google.com/folderview?id= ... =drive_web
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 19
เมื่อวานได้มีโอกาสทานข้าวกับคุณโจ ลูกอีสาน กับเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นรวม 10 คน
คุณโจ กระตือรือร้นในการถ่ายทอดประสบการณ์มากครับ ไม่ว่าเป็นเรื่องประสบความสำเร็จ หรือ เรื่องผิดพลาด
ผมจะทยอยนำมาเล่าในนี้ไปเรื่อยๆ ขอเรียบเรียงความคิดก่อน เพราะไม่ได้จด มัวแต่ตั้งใจฟัง
เรื่องแรก ที่มาแชร์ จะเป็นเรื่องจำนวนหุ้นที่ควรจะถือ
ไม่ควรถือหุ้นแค่ตัวเดียว เพราะเราไม่มีทางจะมั่นใจได้ว่า หุ้นที่เราถือ จะได้กำไรแน่นอน เพราะอาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน ทำให้ราคาร่วงอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น โรงงานที่ผลิตสินค้า เกิดเพลิงไหม้ ทำให้ไม่สามารถส่งสินค้าได้ทัน ทำให้ต้องเสียลูกค้า และ ขาดรายได้ แต่ถ้าเราถือหุ้นหลายตัว ทำให้เราลดความเสี่ยงไม่คาดฝัน ให้ลดลงได้
ไม่ควรใช้มาร์จิ้น เพราะในช่วงตลาดตก จะซ้ำเติมเรา โดนบังคับขายในราคาที่ไม่อยากขาย
ไม่ควรเล่นTfex หรือ Warrant เพราะ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คนเป็นโรคหัวใจ อาจมีความเสี่ยงสูง
เงินที่นำมาลงทุน ควรเป็นเงินเย็น ไม่ใช่เงินที่ต้องใช้ภายในระยะอันใกล้ เพราะถ้าผิดพลาด แล้วไม่สามารถรอได้ ต้องขายในราคาขาดทุน
คราวหน้าจะมาพูดถึงวิธีคัดเลือกหุ้นอย่างไร ให้ได้กำไรอย่างคุณโจครับ
คุณโจ กระตือรือร้นในการถ่ายทอดประสบการณ์มากครับ ไม่ว่าเป็นเรื่องประสบความสำเร็จ หรือ เรื่องผิดพลาด
ผมจะทยอยนำมาเล่าในนี้ไปเรื่อยๆ ขอเรียบเรียงความคิดก่อน เพราะไม่ได้จด มัวแต่ตั้งใจฟัง
เรื่องแรก ที่มาแชร์ จะเป็นเรื่องจำนวนหุ้นที่ควรจะถือ
ไม่ควรถือหุ้นแค่ตัวเดียว เพราะเราไม่มีทางจะมั่นใจได้ว่า หุ้นที่เราถือ จะได้กำไรแน่นอน เพราะอาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน ทำให้ราคาร่วงอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น โรงงานที่ผลิตสินค้า เกิดเพลิงไหม้ ทำให้ไม่สามารถส่งสินค้าได้ทัน ทำให้ต้องเสียลูกค้า และ ขาดรายได้ แต่ถ้าเราถือหุ้นหลายตัว ทำให้เราลดความเสี่ยงไม่คาดฝัน ให้ลดลงได้
ไม่ควรใช้มาร์จิ้น เพราะในช่วงตลาดตก จะซ้ำเติมเรา โดนบังคับขายในราคาที่ไม่อยากขาย
ไม่ควรเล่นTfex หรือ Warrant เพราะ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คนเป็นโรคหัวใจ อาจมีความเสี่ยงสูง
เงินที่นำมาลงทุน ควรเป็นเงินเย็น ไม่ใช่เงินที่ต้องใช้ภายในระยะอันใกล้ เพราะถ้าผิดพลาด แล้วไม่สามารถรอได้ ต้องขายในราคาขาดทุน
คราวหน้าจะมาพูดถึงวิธีคัดเลือกหุ้นอย่างไร ให้ได้กำไรอย่างคุณโจครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 22
มาต่อกันเรื่องแนวความคิดในการลงทุนของคุณโจนะครับ
คราวที่แล้ว พูดถึงจำนวนหุ้นที่ถือว่าไม่ควรมีแค่ตัวเดียว น้องGolf เสริมว่า คุณโจแนะนำอย่างน้อย3ตัว เป็นเหมือน เก้าอี้3 ขา ถ้าหักไป 1 ขา ไม่ล้มลงง่ายๆ ขอบคุณครับ
ยังมีคุณโย๋ว เสริม ว่า
การลงทุนอย่าใจร้อน
หุ้นทุกตัวมีจังหวะของมัน
ซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม
ขายเมื่อมันแพง หรือ
พื้นฐานกิจการเปลี่ยนไป
ขอบคุณมากๆครับ เอาละมาต่อกันดีกว่า
แนวทางในการคัดเลือกหุ้นของคุณโจ จากหุ้น 600 ตัว เหลือแค่ 42 ตัว นั้นมีหลักเกณฑืการคัดเลือกอย่างไร
1. PE ต่ำไม่เกิน 5-6 เท่า
2. เป็นหุ้นที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ สังเกตุได้ว่าหุ้นที่ชาววีไอซื้อกันเยอะๆจน PE สูงๆ คุณโจไม่ได้ซื้อเลย
3. มองหาธุรกิจที่อาจจะมีปัญหาบางอย่าง หรือมีปัจจัยด้อยบางอย่าง ซึ่งคนทั่วไปมองแง่ร้ายเกินไป ในอนาคตอาจจะดี
4. หุ้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่น่าสนใจ ไม่มีนักวิเคราะห์มาดูเลย
5. หุ้น Super stock ที่ถูกเทขายหนีตาย ตอนนั้นอาจเป็นโอกาสก็ได้
ดังนั้นเรามีช่องทางอยู่เรื่อยๆ ราคาหุ้นกับมูลค่าจะไปทางเดียวกันในระยะยาว แต่ระยะสั้น อาจมีช่องว่าง ราคาอาจถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง
จึงเป็นช่องว่างของชาววีไอในการซื้อและถือ จนกว่าราคาถึงเป้าหมาย
ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนวีไอได้ผลตอบแทนมากกว่าปกติเพราะสาเหตุนี้
ขอจบแค่นี้ แล้วจะทยอยเขียนต่อตอนหน้านะครับ
คราวที่แล้ว พูดถึงจำนวนหุ้นที่ถือว่าไม่ควรมีแค่ตัวเดียว น้องGolf เสริมว่า คุณโจแนะนำอย่างน้อย3ตัว เป็นเหมือน เก้าอี้3 ขา ถ้าหักไป 1 ขา ไม่ล้มลงง่ายๆ ขอบคุณครับ
ยังมีคุณโย๋ว เสริม ว่า
การลงทุนอย่าใจร้อน
หุ้นทุกตัวมีจังหวะของมัน
ซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม
ขายเมื่อมันแพง หรือ
พื้นฐานกิจการเปลี่ยนไป
ขอบคุณมากๆครับ เอาละมาต่อกันดีกว่า
แนวทางในการคัดเลือกหุ้นของคุณโจ จากหุ้น 600 ตัว เหลือแค่ 42 ตัว นั้นมีหลักเกณฑืการคัดเลือกอย่างไร
1. PE ต่ำไม่เกิน 5-6 เท่า
2. เป็นหุ้นที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ สังเกตุได้ว่าหุ้นที่ชาววีไอซื้อกันเยอะๆจน PE สูงๆ คุณโจไม่ได้ซื้อเลย
3. มองหาธุรกิจที่อาจจะมีปัญหาบางอย่าง หรือมีปัจจัยด้อยบางอย่าง ซึ่งคนทั่วไปมองแง่ร้ายเกินไป ในอนาคตอาจจะดี
4. หุ้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่น่าสนใจ ไม่มีนักวิเคราะห์มาดูเลย
5. หุ้น Super stock ที่ถูกเทขายหนีตาย ตอนนั้นอาจเป็นโอกาสก็ได้
ดังนั้นเรามีช่องทางอยู่เรื่อยๆ ราคาหุ้นกับมูลค่าจะไปทางเดียวกันในระยะยาว แต่ระยะสั้น อาจมีช่องว่าง ราคาอาจถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง
จึงเป็นช่องว่างของชาววีไอในการซื้อและถือ จนกว่าราคาถึงเป้าหมาย
ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนวีไอได้ผลตอบแทนมากกว่าปกติเพราะสาเหตุนี้
ขอจบแค่นี้ แล้วจะทยอยเขียนต่อตอนหน้านะครับ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 23
1. มันมีจริงหรือครับ ตลาดตอนนี้ หุ้น PE 5-6 เท่า 42 ตัวamornkowa เขียน:แนวทางในการคัดเลือกหุ้นของคุณโจ จากหุ้น 600 ตัว เหลือแค่ 42 ตัว นั้นมีหลักเกณฑืการคัดเลือกอย่างไร
1. PE ต่ำไม่เกิน 5-6 เท่า
2. เป็นหุ้นที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ สังเกตุได้ว่าหุ้นที่ชาววีไอซื้อกันเยอะๆจน PE สูงๆ คุณโจไม่ได้ซื้อเลย
3. มองหาธุรกิจที่อาจจะมีปัญหาบางอย่าง หรือมีปัจจัยด้อยบางอย่าง ซึ่งคนทั่วไปมองแง่ร้ายเกินไป ในอนาคตอาจจะดี
4. หุ้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่น่าสนใจ ไม่มีนักวิเคราะห์มาดูเลย
5. หุ้น Super stock ที่ถูกเทขายหนีตาย ตอนนั้นอาจเป็นโอกาสก็ได้
5. หุ้น Super stock ต่อให้หนีตายยังไง PE ก็ยังเกิน 20 เท่าเป็นส่วนใหญ่อยู่เลยครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 24
ตอบคุณดำ
1. เกณฑ์คัดเลือกหุ้น ของุคุณโจ ถ้าได้ PE 6 ปลอดภัยครับ บางตัวสามารถหาได้ ในภาวะวิกฤต แต่ช่วงนี้ยังมีบางตัว ได้ครับ แต่ สภาพคล่องแค่ 6% แค่ไม่ปันผล ตอนนี้ลงไปยังไม่เห็นผล
ส่วนหุ้นที่ถือ 42 ตัว ตอนซื้อ น่าจะได้ ตั้งแต่ PE 5 จนถึง 32 คละกันไป ตัวสูง มี อัตราการเติบโต 25% เลยน่าสนใจ
ตลาดตอนนี้เห้นคุณโจ บอกว่ามี ต้องลองหาดู เท่าที่ผมดูผ่านๆ กลุ่มธนาคาร ก็ ไม่สูงนะครับ
5. เห็นด้วยครับ บางตัวถึงแม้ตกลงมา พี่อีก็ยังสูงมาก ไม่น่าสนใจ แต่ถ้ามีอัตราเจริญเติบโตสูงกว่าพีอี ก็น่าสนใจ เพราะ PEG น้อยกว่า1 ทำให้พีอีปีต่อมาลดลง
1. เกณฑ์คัดเลือกหุ้น ของุคุณโจ ถ้าได้ PE 6 ปลอดภัยครับ บางตัวสามารถหาได้ ในภาวะวิกฤต แต่ช่วงนี้ยังมีบางตัว ได้ครับ แต่ สภาพคล่องแค่ 6% แค่ไม่ปันผล ตอนนี้ลงไปยังไม่เห็นผล
ส่วนหุ้นที่ถือ 42 ตัว ตอนซื้อ น่าจะได้ ตั้งแต่ PE 5 จนถึง 32 คละกันไป ตัวสูง มี อัตราการเติบโต 25% เลยน่าสนใจ
ตลาดตอนนี้เห้นคุณโจ บอกว่ามี ต้องลองหาดู เท่าที่ผมดูผ่านๆ กลุ่มธนาคาร ก็ ไม่สูงนะครับ
5. เห็นด้วยครับ บางตัวถึงแม้ตกลงมา พี่อีก็ยังสูงมาก ไม่น่าสนใจ แต่ถ้ามีอัตราเจริญเติบโตสูงกว่าพีอี ก็น่าสนใจ เพราะ PEG น้อยกว่า1 ทำให้พีอีปีต่อมาลดลง
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 25
วันนี้จะมาคุยถึงหลักการลงทุนหาหุ้นสำหรับมือใหม่ครับ
คุณโจ แนะนำเป็นขั้นตอนตามลำดับ
1. พยายามไล่อ่านข้อมูลไปเรื่อยๆ ดูบริษัทที่น่าสนใจจาก นสพ หรือ Webboard Thaivi นี่แหละ ดูว่าบริษัทที่unique ไม่เหมือนใคร หรือ ไม่มีบริษัททำได้ หลังจากนั้นก็มาอ่าน 56-1 จากweb site ตลาดหลักทรัพย์ อ่าน 100% น่าจะจำได้สัก 50% ให้รู้ว่าบริษัททำอะไร ต่อไปดูอนาคตของกำไร
หุ้นจะมาจบที่กำไรต่อหุ้น คือ เจ้ามือตัวจริง บริษัทไหนที่กำไรต่อหุ้น โตแค่5% เลิกดูไปเลยไม่มีประโยชน์ ไปดูที่โตเยอะหน่อย ถ้ากำไรต่อหุ้นโต ท้ายที่สุดราคาก็ขยับตามกำไรที่โต
2. บริษัทที่ตัวกระตุ้น เช่น มีข่าวว่ากำไรจะเติบโต บางบริษัทที่ลงทุน ไปในปีนี้ D/E ก็ต่ำ ผู้บริหารก็OK
3. ราคาไม่แพงเกินไป เลือกหุ้นที่เติบโต แต่มีอะไรบางอย่างทำให้ราคาหุ้นลง ตลาดให้ราคาผิด เราคิดถูกก็ซื้อ สุดท้ายราคาก็มา
ระยะเวลาที่รอ บางตัวชัดมากอย่ารอ ทำให้เราต้องซื้อราคาแพงขึ้นเกือบเท่าตัวถ้ารอ
ถ้าดูMOS แค่ 20-30% ก็ซื้อรอได้ไม่เกินปี แต่ถ้ารอแล้วไม่ขึ้น ก็มาวิเคราะห์ต่อว่ามัน ok หรือเปล่า หรือ พื้นฐานเปลี่ยน อย่ายึดติด ขาดทุนยอมไม่ได้
ต้องสู้มัน ให้ถือคติ กำไรต้องเยอะๆบ่อยๆ ขาดทุน น้อยๆไม่เยอะ ถ้าทำได้ ไม่รวยมาก ก็ รวยเละ
โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ
คุณโจ แนะนำเป็นขั้นตอนตามลำดับ
1. พยายามไล่อ่านข้อมูลไปเรื่อยๆ ดูบริษัทที่น่าสนใจจาก นสพ หรือ Webboard Thaivi นี่แหละ ดูว่าบริษัทที่unique ไม่เหมือนใคร หรือ ไม่มีบริษัททำได้ หลังจากนั้นก็มาอ่าน 56-1 จากweb site ตลาดหลักทรัพย์ อ่าน 100% น่าจะจำได้สัก 50% ให้รู้ว่าบริษัททำอะไร ต่อไปดูอนาคตของกำไร
หุ้นจะมาจบที่กำไรต่อหุ้น คือ เจ้ามือตัวจริง บริษัทไหนที่กำไรต่อหุ้น โตแค่5% เลิกดูไปเลยไม่มีประโยชน์ ไปดูที่โตเยอะหน่อย ถ้ากำไรต่อหุ้นโต ท้ายที่สุดราคาก็ขยับตามกำไรที่โต
2. บริษัทที่ตัวกระตุ้น เช่น มีข่าวว่ากำไรจะเติบโต บางบริษัทที่ลงทุน ไปในปีนี้ D/E ก็ต่ำ ผู้บริหารก็OK
3. ราคาไม่แพงเกินไป เลือกหุ้นที่เติบโต แต่มีอะไรบางอย่างทำให้ราคาหุ้นลง ตลาดให้ราคาผิด เราคิดถูกก็ซื้อ สุดท้ายราคาก็มา
ระยะเวลาที่รอ บางตัวชัดมากอย่ารอ ทำให้เราต้องซื้อราคาแพงขึ้นเกือบเท่าตัวถ้ารอ
ถ้าดูMOS แค่ 20-30% ก็ซื้อรอได้ไม่เกินปี แต่ถ้ารอแล้วไม่ขึ้น ก็มาวิเคราะห์ต่อว่ามัน ok หรือเปล่า หรือ พื้นฐานเปลี่ยน อย่ายึดติด ขาดทุนยอมไม่ได้
ต้องสู้มัน ให้ถือคติ กำไรต้องเยอะๆบ่อยๆ ขาดทุน น้อยๆไม่เยอะ ถ้าทำได้ ไม่รวยมาก ก็ รวยเละ
โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 26
Money Talk@mai FORUM 2015 "คัดหุ้นเข้าพอร์ตและเปิดโผหุ้นเด่น mai"โดย
- ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร (ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน) ได้รับรางวัลปีนี้ และ พิธิกรmoney talk
มีความสามารถพิเศษเข็นรถได้พร้อมกันสองคัน เข้าสู่super market
- ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนนกุล คุณ ฮิม (กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้)
- คุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม พี่เทิด (ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย)
บมจ.หลักทรัพย์ เอเซียพลัส นักวิเคราะห์ยอดเยี่ยมจาก Wall street journal
- คุณสรพงษ์ จักรธีรังกูร คุณโจ้ (ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์)
บมจ.หลักทรัพย์ กสิกรไทย และนักวิเคราะห์ยอดเยี่ยม mai 2014
ดำเนินรายการโดย: อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ และนพ.ศุภศักดิ์ หล่อธนวนิช (หมอเค)
อ เสน่ห์ แจ้งว่าเป็นปีที่2 ที่money talk มาจัดส้มมนาในงาน MAI FORUM
ขนาดห้องใหญ่กว่าเดิมค่อนข้างเยอะ มีเก้าอี้นวดอยู่ด้านข้าง เวลาเมื่อยก็ไปได้
ตลาดหุ้น MAI 114 บริษัท Mkt cap 400,000 ลบ PE 70 เท่า
ส่วน SET 500 กว่าบริษัท มูลค่า PE 20 เท่า
Mai return ติดลบ -6% ส่วน SET เพิ่มเล็กน้อย ตั้งแต่ต้นปี2558
ให้นักวิเคราะห์มาบอกให้ว่าดีหรือไม่
ดร นิเวศน์ บอกว่า MAI ย่อมาจาก Market for alternative investment
เปรียบกับการรักษาทางเลือก เป็น ศาสตร์ยาที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์เช่น สมุนไพร
ไม่ใช่ตลาดหุ้นใหม่ คนฝรั่งคงงง น่าจะตั้งเป็นตลาดหุ้นเล็ก NASDAQ ระบบการซื้อขายไม่เหมือนกัน
ตอนนี้เหมือนกัน ตอนเข้าไม่เหมือน นอกน้นเหมือนกัน เลยสับสน ไม่เคยแยก แต่รู้ว่าชอบ MAI
มันดี ราคาดี บริษัทอยากเข้า MAI ราคาเพิ่มเร็ว PE 70 เท่า น่าเข้ามากกว่า SET
หมอเค บอกว่าเริ่มจากอาวุโสน้อยสุด คุณ สรพงษ์ เป็นคนให้ความเห็นคนแรก ถามว่า ทำไมต้องลงตลาด MAI
คุณสรพงษ์ บอกว่าได้รับมอบหมายมาพูด ค่อนข้างเครียด เพราะผู้พูดอื่นมีชื่อเสียง
จริงๆ MAI ตั้งมา 16 ปี มีหุ้นที่มีศักยภาพ ทางตลาดอยากสร้างโอกาสระดมทุน
Business มืพิเศษ เช่น สปา ขายเพชร ทำการบ้าน 114 ตัว ซึ่งตั้งตลาดMAI มา 16 ปี บาง
บริษัททำจักรยาน ถุงน่อง ทำซ๊อสปรุงรส
อยากได้ทุน เพื่อเติบโต และ เป็นประโยชน์ต่อ investor ด้วย
เราศึกษาและ สามารถเติบโตไปกับเขาด้วย ตลาดเล็กกว่าสามารถหา growth stock ได้ง่ายกว่า
บริษัทน้องใหม่มีทุนแค่20ลบ ก็สามารถจดใน MAI พอโตย้ายไป SET ได้ และ บริษัทได้สนับสนุนพลังงานทางเลือก ไม่มีกำไรก็เข้าได้ เต็มไปด้วยโอกาส
จดทะเบียน 137 บริษัท แต่เติบโตจนย้ายไป SET 19 บริษัท จนเหลือ 114 บริษัท
ผลตอบแทนได้รับ 96% ในปีที่แล้ว trade volume 8.5% ในปีที่แล้วสูงกว่าปีก่อนๆ
คุณเทิดศักดิ์ : มองในเรื่องผลตอบแทน ตั้งแต่ปี 46 562% ส่วน SET 321%
จุดแยกอยู่ปี 56 return สูงมาก ต่างชาติซื้อสุทธิตั้งแต่ปี 2009 วัดเป็นรายวัน สะสม 320,000 ลบ
ขายอยู้เหลือไม่ถึง 10% แต่ตลาด MAI ไม่ค่อยมีต่างชาติเข้ามา เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง
เช่น ขนาดเล็ก ไม่มีบทวิเคราะห์ ปี 56 ไม่ค่อยมีผลกระทบจากการขายของต่างชาติ แต่ต้องระวัง
MKT cap เทียบกับ set 2% แต่ผลกำไรแค่ 1% ของ SET
แต่ก็มีความน่าสนใจ ทุกตัวไม่แพงหมด
PE < 10 มี4บริษัท
10-19 = 20กว่าบริษัท
20-25 = 9 บริษัท
>25 =40 บริษัท
ที่เหลือยังไม่มีกำไรอีก 30 กว่าบริษัท
ผลตอบแทนในอดีตท้าท้ายมาก เราต้องตั้งการ์ดไว้สูงด้วยตัวเลือกในการลงทุน
มีทางเลือกหา PE ต่ำก็มี หรือ พลิกจากขาดทุนเป็นกำไร ต้องเลือกมากขึ้น
Earnning before 56 = 16-17 บาท แต่หลังปี 56 เหลือแค่กำไร 10 บาท มาจาก บริษัทเข้าใหม่ยังไม่มีกำไร หรือมาจากเพิ่มทุน PP ( Private placement ดร นิเวศน์เสริมว่า จะให้ใครที่ทำประโยชน์ให้กับบริษัทผู้บริหารกำหนดราคาเองได้ ที่สิงคโปร์ไม่ยอมให้ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาตลาด 10-20% )ถูก dilute ทำให้กำไรลดลง
คุณวิศิษฐ์ : เปิดกว้างให้นักลงทุนและผู้ประกอบการ business model ใหม่ จะมาเข้าที่ห้น MAI
-บริษัทผลิตไฟฟ้าเปิดแค่ 8 MW แต่มี PPA 100 MW มีการทำ valuation โดยรวมที่ได้ PPA ด้วย
-มีการใส่นวัตกรรม FSMART นำไปสู่นวัตกรรมการทำ valuation ต่างกับ SET
เวลาการตัดสินใจ ควบกิจการสูงจึงเก็งกำไร
-Underown นักลงทุนสถาบันถือน้อย มีโอกาสถือมากขึ้น
มีการเปิดกองทุน KTAM เปิดขาย กองทุนหุ้นMAI ในงานนี้สามารถจองได้ที่บูธ
บริษัทที่ไม่มี PE เหมือน Shell company มีโอกาส Back door สูง การสวิง Votality สูงมาก
ปีไม่ดี -50% ปีดีกำไรก็มาก การสวิงของ earning เยอะ Beta สูง นักลงทุนเลยต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น นักลงทุนเลยชอบหุ้นในตลาด MAI
คำถามที่สอง ตลาดน่าลงทุนไหม
คุณวิศิษฐ์: แบ่ง factor ออกเป็น 2 factor
1. Greese จ่ายเงินไม่ทัน 1,500 ล้านเหรียญ น่าจะไม่มีเงินพอ มี primary bugget deficit -2% ดังนั้น กรีซอาจอยู่ไม่ได้ ถ้าค้าขายในยูโรไม่ได้ โครงการ ELA ให้เงิน 75,000 ล้านยูโร
เทียบกับทุนสำรอง 150,000 ล้านเหรียญยูโร ดังนั้นโอกาสจะอยู่รอดถ้าออกจากยูโรยาก
Capital control ทำให้กดเงินได้ 600 บาทต่อวัน GDP 2% ของยูโร แต่ค้าขาย 30% กับยูโร รอบนี้เจ้าหนี้เป็นธนาคารกลางยูโรป ดังนั้น hair cut จะกระทบประชาชนยุโรป ดังนั้นทางการจะเข้าไปช่วยกรีซ แต่กร๊ซต้องเก็บภาษีเพิ่ม และ เพิ่มอายุเกษียณเป็น 67 ปี
มีการลงประชามติจะอยู้ในยูโร และ รับมาตราการรัดเข็มขัด ในวันที่ 5 กค การออกต้องมีมาตราการไม่ใหลุกลามไปประเทศอื่น ดูจากค่าเงินยูโร ค่าประกันความเสียงไม่เพิ่มขึ้น เสียหายเฉพาะวงแคบๆ
2. Feb ขึ้น ดอกเบี้ยในปีนี้ ตราสารหนี้ทุกรอบตั้งแต่ 1988 1994 2001 2004
ราคาน้ำมัน bottom emerging mkt out perform ยกเว้น 1994 ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยมีผลน้อยต่อตลาดหุ้นไทย ตลาดทุนรับร็ข่าวขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว รวมถึง M2 ค่อยๆเพิ่มขึ้น ไม่ค่อยอ่อนไหวเท่าไหร่ ปีนี้แกว่งต่ำกว่า 100 จุด เทียบกับอตีดผันผวน 380 จุด ตลาดปีนี้เติบโตค่อนข้างน้อย แต่ผันผวนน้อย M shape
ขึ้น Q1 ลง Q2 เป็น Rotation ค่อยข้างสบายใจขึ้นกับตัวหุ้น
คุณเทิดศักดิ์ พูดว่า เลือกตัวหุ้นที่pe ไม่สูง ดูโครงสร้าง 30% มาจากresource พลังงานทดแทน
เมื่อผ่านจุดลบไปแล้ว เริ่มเปิดใช้งาน อันดับสอง financial 32% เป็น ธุรกิจเช่าซื้อ มีเสน่ห์ Source fund ใช้เงินกู้ และ มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ลดลง ทำให้ดีขึ้น
ลองรวม 62% impact from กรีซ ไม่ค่อยกระทบ limit ผลกระทบจากภายนอกลงมาไม่ค่อยถึง MAI มีตัวค้ำคือ fund flow และ fundamental ถ้ามาพร้อมกัน จะทำให้ราคาเพิ่มขึ้น
ที่กังวลกับหุ้น PE สูงๆในตลาดเยอะ เวลากระทบยอดไม้ หุ้น PE สูง อย่าให้แกว่งมาก
กลัวมากเพราะแพ้ภัยตัวเอง
คุณ โจ้ ยอมรับว่าเศรษฐกิจรับรู้ว่าไม่ตามเป้า อย่างไรก็ตาม ตลาด MAI บอบบางมีความอ่อนไหวจากปัจจัยที่มากระทบ ราคาลงมา6% ตั้งแต่ต้นปี ถ้าเลือกบริษัทที่ถูกต้องจะสร้าง return ค่อนข้างดี ไม่ยากถ้าไปศึกษา บริษัทไม่ใหญ่มากเช่น พลังงานทดแทน EA ทำให้มีกำไร ยอมจ่ายแพงวันนี้ ถ้าเสร็จตามกำหนด กำไรจะมา รับรู้รายได้แน่นอน บางความเสี่ยง mer กระทบโรงพยาบาล ท่องเที่ยว ถ้าศึกษาว่า ไม่แพร่อย่างง่ายดาย
กลุ่มที่ลงเยอะเช่นท่องเที่ยวจะกลับมา
ดร นิเวศน์ ตลาดที่น่าลงทุน ตอนนี้ไม่น่าลงทุน จริงๆอนาคตเป็นอย่างไร กลัวว่าวันนึงหุ้น MAI ตกลงมาเยอะมาก มีโอกาสที่เกิด อ่านประวัติศาสตร์ PE สูงๆ 60-70 ที่ US หุ้น NASDAQ ตอนปี 2000 เป็นหุ้นมหัศจรรย์ จะเปลี่ยนโลกทั้งโลกโดย technology มีการซื้อมาก จน PE 100 เท่า
เหมือนหุ้นใน MAI story เปลี่ยนพลังงาน และ ดิจิตอล Nasdaq ขึ้นมา 7 ปี คนคงกลัว ทำให้ตลาดตกลงอย่างรุนแรง มันอาจจะแพงเกิน หุ้นที่ดีที่สุด เช่น Yahoo , MS , Cissco
ตกลงมา80-90% หุ้นตกแต่เหตุการณ์เป็นจริง หุ้นไม่สามารถอยู่ได้เพราะ PE สูง แสดงว่า เรื่องจริงแต่ราคาตกลงมาก เช่น Yohoo ตกเหลือ 5% ญึ่ปุ้น เมื่อ 20 ปีที่แล้ว สินค้าสุดยอด หุ้นจาก 10,000 ไป 40,000 จุด ที่ดินญี่ปุ้น สามารถเทียบเท่ากับอเมริกา 2 เท่า
คนคิดว่าราคาแพงไป Dividend yield 0.5% หาเหตุผลที่ทำให้หุ้นญี่ปุ่นตกลงมาได้ ท้ายสุดตลาดตกรุนแรง นาน 20ปี หุ้น Yahoo ตอนนี้ขึ้นไปเกินราคาที่ก่อนตกแล้ว เริ่มให้กำลังคนถือหุ้น ต้องถือให้ทนถึงเวลาที่ขึ้น แต่ระวังไว้ของบางอย่างมันผิดปกติ มาจากจิตวิทยาหมู่ ตลาดMAI เล่นเยอะมาก บางตัวขึ้นมาจาก MKT cap 1000 ลบ แต่ซื้อขายมากกว่า PTT Mkt cap 100,000 ลบ เราเหมือนสร้างวิมานเมฆ แป็บเดียวฝนตกก็หายได้
คำถาม Hi light มาถึงวันนี้ MAI น่าสนใจ
: ชอบแบบไหน และถ้าชอบแล้ว ตัวไหน ราคาที่ซื้อเท่าไหร่
คุณโจ้ เห็นด้วยว่าหุ้นบางตัวเป็นวิมาน เช่นกลุ่มพลังงานทดแทน ไม่ใช่ว่าบริษัทไหนจะทำ ก็ให้ราคาได้เลย จริงๆมี โควต้า 3000 กว่า เหลือ 1000 กว่าที่ค้างท่อ และ 800 MW สหกรณ์ แต่
บริษัทที่ลงทุนในญี่ปุ้น จะเป็นอีกเรื่องนึง EA เป็นคนสร้างให้นักลงทุนยอมรับการvaluation
โรงไฟฟ้าใหม่ที่บวกเข้ามา PPA อาจให้มูลค่าเพิ่มแค่ 50% เพราะอาจก่อสร้างมีปัญหา
บางบริษัท ตอนนี้นักลงทุนให้มากกว่านั้น เช่น PPA อาจให้ 100%
บางบริษัท บอกว่าอาจจะได้ นักลงทุนไปรวมเป็นมูลค่า จริงๆต้องเป็นอีก 3-4 ปี
การทำ valuation ต้องทำเป็นแต่ละปี เป็นการ pricing ให้ถูกต้อง
หลักการวิเคราะห์หุ้น
1.เราชอบหุ้นที่มีการเติบโตชัดเจน business model ชัดเจน
2.ผู้บริหาร เราต้องรู้จักระดับนึง
3. Financial ratio ได้ ROE สูง น่าสนใจ ประมาณ 20%ขึ้นไป และ มี DE ratio ต่ำ ก็ยิ่งน่าสนใจและสามารถขยายกิจการ หรือ ถ้าไม่ขยายก็ความเสี่ยงน้อย เพราะ กู้น้อย
เชียร์ EA แต่ราคาหุ้นที่ขึ้นมา รับรู้มูลค่าที่อยู่ในมือไปมากแล้ว ตอนนี้เงินที่ถืออยู่ไปทำอะไรที่โดดเด่น ก็จะไปadd value มากกว่า
หุ้นที่ชอบพื้นฐาน
Jubilee business ชัดเจน ค้าปลีกเพชรชัดเจน design แบบเพชร ได้รับรางวัลจากสถาบันการันตีเพชรระดับโลก จับกลุ่มระดับสูง ผู้บริโภคยอมรับมากขึ้น ราคาเพชรขึ้น 4-5% ทุกปี ค่อนข้างsafe ผู้บริหารเป็นกลุ่มที่ทำงานหนักเพื่อบริษัทจริง เวลาไม่ดีก็ยอมรับ
เพื่อไปปรับปรุง ในเชิงบริษัท ยังมีกำไร แต่เนื่องจากระดับล่างซื้อน้อยลง เปิด show room Flag ship stor กำไร Q1 ไม่ค่อยดี ราคาเหลือ แค่ 24 บาท DE 0.4 , Gp 40% น่าจะได้รับผลตอบแทนดีในอนาคตสามารถdouble ได้ มองที่ราคา 28 บาท
Pylon ชอบ แต่แพง
อีกตัวมีการปรับปรุงธุรกิจอยู่เราต้องติดตาม คือ EFORL ตอนนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จ ใช้ Financial leverage ซื้อวุฒิศักดิ์คลีนิก ปรับปรุงให้กำไรดีในอนาคต DE มากกว่า 4-5 เท่า
อาจเอาวุฒิศักดิ์ไป list ในตลาดในปลายปี พยายามเพิ่ม SSS เริ่มในธุรกิจความงาม เครื่องสำอาง
Take ดัซโซ ซึ่งเป็นบริษัทบำรุงผิว และซื้อบริษัทสยามสเนล วิจัยหอยทากมาลบรอยตีนกาได้
Q4 อาจดูดี ราคาหุ้นเคยขึ้น 2 บาท เมื่อมีข่าวซื้อวุฒิศักดิ์ ตอนนี้ 1.21 บาท
กำไรที่รวมวุฒัศักดิ์ 1,100 ลบ ใน Q1 15 เทียบกำไรปีที่แล้ว 1,400 ลบ
คุณเทิดศักดิ์ : เลือก PE ต่ำกว่า 20 เท่า
JSP ทำ property โครงสร้างการเงิน ไม่มีหนี้ สำเพ็ง2 ทำให้เกิดความปลอดภัยระดับนึง
กำไรปีนี้ 1200 ลบ มากกว่า 3 เท่าตัวของกำไรปีที่แล้ว
Back log โอน 3500 ล้านในปีนี้ GP เกิน 50% NP 200 ลบ ทะลุทะลวง
ตอนนี้ PE 8 เท่า ราคาหุ้น 2.34 บาท ราคาตลาด 1.95
LIT บัญชีลูกหนี้ที่ซื้อไปทำกับภาครัฐ GDP 3% มาจากภาครัฐ 37%
ดังนั้นภาครัฐโตมากขึ้น ส่งผลให้กำไร 48 ไปที่ 70 ลบในปีนี้ PE 17 เท่าเอง
ปีนี้ลงมาเหลือ 13 เท่า มูลค่าเหมาะสม 7 เท่าโดยใช้ PE 20 เท่า ราคาตอนนี้ต่ำกว่า 6 บาท
คุณวิศิษฐ์: ดูจาก business model ต้องดูราคา ถ้าฟองสบู่จะแตก ต้องมี trigger เช่นญี่ปุ่นมาจากอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ขายของไม่ได้ จีน มาจาก regulation
อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย regulation
1. SPA สินทรัพย์คือนวัตกรรม การ training มีนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น ตอนนี้เมย 4 ล้านคน เทียบกับปี่ทีแล้วทั้งปี 4 ล้านคน เป็น Megatrend
Earning น่าจะโดดเด่น
ROE สูง PB ต่ำน่าสนใจ
2. Jubilee retail distribution
3. ILINK megatrend communication
4. FSMART ดูจาก operating cash flow
5. PYLON ต้นน้ำรับเหม่าก่อสร้า
6. TPCH business model king of South มี ROE สูง
7. CHO ช ทวี ดอลเลเชี่ยน
ต้องดู valuation มี hidden growth หรือ เปล่า และยังไม่สะท้อนในราคา
ดร นิเวศน์ วิจารณ์ อาจมีศักยภาพที่แท้จริง
Jubilee บริษัทสวย industry มีจุดอ่อน ดู five force ธุรกิจ การเข้ามาคู่แข่งไม่ยาก เข้าง่ายออกง่าย supplier มี power เยอะ บริษัทเบลเยี่ยม เราเสียเปรียบ ส่วนลูกค้ามีอำนาจต่อรอง สินค้าทดแทน เช่น บุศราคัม การแข่งขันระหว่างในอุต มีเยอะแยะ มีการเสนอถึงบ้านเป็น industry ที่เหนื่อยมาก แต่ Jubilee เก่ง ทำ counter กระจายทั่วประเทศ โอกาสโดดเด่นยาก แต่เป็น first mover ได้เปรียบ แต่ต้อง Hold on ตลอด งบออกมาผิดคาดราคาตกลงมาจาก 40 กว่าบาท แสดงว่ามีจุดอ่อนที่มองไม่เห็น ที่อันตราย เป็น breakup core
EFORL ขายเรื่องธุรกิจแต่งหน้า ศัลยกรรม แต่ตอนหลังเริ่มเฟ้อ เจ้าของเดิมต้องมาแก้ปัญหา จริงๆมาก่อนกำไรเลยเยอะ นาทีอาจไม่ใช่แบบเราคิด
JSP เราห่วงว่าจะมีสำเพ็ง3 หรือเปล่า ถ้ามีมากๆ
LIT Factoring PE 17 เท่าสูงมากเทียบกับ ธนาคาร แค่ 7 เท่า
SPA ตอนนี้เป็น first mover บุกแบบ internet booking ถ้ามองในด้าน industry เปิดง่าย
Supplier หมอนวด ก็ไม่ค่อยมีอำนาจต่างพึ่งพากัน ลูกค้ามีอำนาจต่อรอง
สินค้าทดแทน ถ้าแพงจัดๆก็ไปทำอย่างอื่น บริษัทเก่งเข้ามาถูกช่วง
FSMART first mover ตอนหลังห้ามคนอื่นมาไม่ได้ มีตู้เดิมเงินอื่นมาแข่งสุดท้าย ได้เงินไม่มาก ลูกค้าใกล้ไหนก็ไปใช้ที่นั่น
Pylon การก่อสร้างขึ้นๆลงๆ
TPCH ใช้เอาเศษไม้ รากไม้มาเผา ถึงเวลาอาจไม่มาหรือไม่พอ อาจเหนื่อยได้ เดี๋ยวดูไป บริษัทสร้าง story ได้ มีวัตถุดิบ
ช ทวี งานแนวรับเหมา ความไม่แน่นอนสูง
ILINK ผ่าน story หลายรอบ จะเติบโตยาวนานจริงหรือเปล่า
อจ เสน่ห์ ให้คัดออกมาสัก 2 ตัว พอพึ่งพาได้
ดร นิเวศน์ property เมืองไทย PE 6-7 เท่า เยอะแยะ เทียบกับ JSP ไม่ค่อยโดดเด่น
เราต้องรักษาความคงเส้นคงวา ค้านตลอด เตือนของพวกนี้ต้องระวังนิดหน่อย
คุณโจ้ เราลงทุนโดยยึดหลักการกระจายความเสี่ยง ดูอายุ ถ้าน้อย เสี่ยงได้มาก
ถ้าอายุมาก ต้องlimit ความเสี่ยง
คุณเทิด อย่ารีบร้อน ศึกษาให้เข้าใจก่อนเข้าตลาด
เวลาอยู้ในตลาด อ่านเยอะ ฟังเยอะ ตัดสินใจช้าหน่อย
คุณวิศิษฐ์ ดูจาก
Business model
Valuation มี4-5 วิธีด้วยกัน มองว่าราคาอันไหนน่าจะดี
ดร นิเวศน์
ถ้าซื้อหุ้นตัวไหน เตรียมว่าห้ามขายก่อน 5 ปี ถ้าเราไม่เอา ก็ไม่น่าถือ
หุ้นที่ขึ้นไปเยอะ build อารมณ์มาเยอะ over price ไป ที่พูดก็ถูก แต่หุ้นลงไปมากไม่เกี่ยวข้องกัน
ขอบคุณนักวิเคราะห์ทุกท่าน และ นักฝ่ายค้าน การลงทุนมีความเสี่ยง ต้องระวังด้วยตนเอง
ขาดทุนเป็นของท่าน กำไรก็เป็นของท่าน
- ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร (ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน) ได้รับรางวัลปีนี้ และ พิธิกรmoney talk
มีความสามารถพิเศษเข็นรถได้พร้อมกันสองคัน เข้าสู่super market
- ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนนกุล คุณ ฮิม (กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้)
- คุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม พี่เทิด (ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย)
บมจ.หลักทรัพย์ เอเซียพลัส นักวิเคราะห์ยอดเยี่ยมจาก Wall street journal
- คุณสรพงษ์ จักรธีรังกูร คุณโจ้ (ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์)
บมจ.หลักทรัพย์ กสิกรไทย และนักวิเคราะห์ยอดเยี่ยม mai 2014
ดำเนินรายการโดย: อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ และนพ.ศุภศักดิ์ หล่อธนวนิช (หมอเค)
อ เสน่ห์ แจ้งว่าเป็นปีที่2 ที่money talk มาจัดส้มมนาในงาน MAI FORUM
ขนาดห้องใหญ่กว่าเดิมค่อนข้างเยอะ มีเก้าอี้นวดอยู่ด้านข้าง เวลาเมื่อยก็ไปได้
ตลาดหุ้น MAI 114 บริษัท Mkt cap 400,000 ลบ PE 70 เท่า
ส่วน SET 500 กว่าบริษัท มูลค่า PE 20 เท่า
Mai return ติดลบ -6% ส่วน SET เพิ่มเล็กน้อย ตั้งแต่ต้นปี2558
ให้นักวิเคราะห์มาบอกให้ว่าดีหรือไม่
ดร นิเวศน์ บอกว่า MAI ย่อมาจาก Market for alternative investment
เปรียบกับการรักษาทางเลือก เป็น ศาสตร์ยาที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์เช่น สมุนไพร
ไม่ใช่ตลาดหุ้นใหม่ คนฝรั่งคงงง น่าจะตั้งเป็นตลาดหุ้นเล็ก NASDAQ ระบบการซื้อขายไม่เหมือนกัน
ตอนนี้เหมือนกัน ตอนเข้าไม่เหมือน นอกน้นเหมือนกัน เลยสับสน ไม่เคยแยก แต่รู้ว่าชอบ MAI
มันดี ราคาดี บริษัทอยากเข้า MAI ราคาเพิ่มเร็ว PE 70 เท่า น่าเข้ามากกว่า SET
หมอเค บอกว่าเริ่มจากอาวุโสน้อยสุด คุณ สรพงษ์ เป็นคนให้ความเห็นคนแรก ถามว่า ทำไมต้องลงตลาด MAI
คุณสรพงษ์ บอกว่าได้รับมอบหมายมาพูด ค่อนข้างเครียด เพราะผู้พูดอื่นมีชื่อเสียง
จริงๆ MAI ตั้งมา 16 ปี มีหุ้นที่มีศักยภาพ ทางตลาดอยากสร้างโอกาสระดมทุน
Business มืพิเศษ เช่น สปา ขายเพชร ทำการบ้าน 114 ตัว ซึ่งตั้งตลาดMAI มา 16 ปี บาง
บริษัททำจักรยาน ถุงน่อง ทำซ๊อสปรุงรส
อยากได้ทุน เพื่อเติบโต และ เป็นประโยชน์ต่อ investor ด้วย
เราศึกษาและ สามารถเติบโตไปกับเขาด้วย ตลาดเล็กกว่าสามารถหา growth stock ได้ง่ายกว่า
บริษัทน้องใหม่มีทุนแค่20ลบ ก็สามารถจดใน MAI พอโตย้ายไป SET ได้ และ บริษัทได้สนับสนุนพลังงานทางเลือก ไม่มีกำไรก็เข้าได้ เต็มไปด้วยโอกาส
จดทะเบียน 137 บริษัท แต่เติบโตจนย้ายไป SET 19 บริษัท จนเหลือ 114 บริษัท
ผลตอบแทนได้รับ 96% ในปีที่แล้ว trade volume 8.5% ในปีที่แล้วสูงกว่าปีก่อนๆ
คุณเทิดศักดิ์ : มองในเรื่องผลตอบแทน ตั้งแต่ปี 46 562% ส่วน SET 321%
จุดแยกอยู่ปี 56 return สูงมาก ต่างชาติซื้อสุทธิตั้งแต่ปี 2009 วัดเป็นรายวัน สะสม 320,000 ลบ
ขายอยู้เหลือไม่ถึง 10% แต่ตลาด MAI ไม่ค่อยมีต่างชาติเข้ามา เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง
เช่น ขนาดเล็ก ไม่มีบทวิเคราะห์ ปี 56 ไม่ค่อยมีผลกระทบจากการขายของต่างชาติ แต่ต้องระวัง
MKT cap เทียบกับ set 2% แต่ผลกำไรแค่ 1% ของ SET
แต่ก็มีความน่าสนใจ ทุกตัวไม่แพงหมด
PE < 10 มี4บริษัท
10-19 = 20กว่าบริษัท
20-25 = 9 บริษัท
>25 =40 บริษัท
ที่เหลือยังไม่มีกำไรอีก 30 กว่าบริษัท
ผลตอบแทนในอดีตท้าท้ายมาก เราต้องตั้งการ์ดไว้สูงด้วยตัวเลือกในการลงทุน
มีทางเลือกหา PE ต่ำก็มี หรือ พลิกจากขาดทุนเป็นกำไร ต้องเลือกมากขึ้น
Earnning before 56 = 16-17 บาท แต่หลังปี 56 เหลือแค่กำไร 10 บาท มาจาก บริษัทเข้าใหม่ยังไม่มีกำไร หรือมาจากเพิ่มทุน PP ( Private placement ดร นิเวศน์เสริมว่า จะให้ใครที่ทำประโยชน์ให้กับบริษัทผู้บริหารกำหนดราคาเองได้ ที่สิงคโปร์ไม่ยอมให้ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาตลาด 10-20% )ถูก dilute ทำให้กำไรลดลง
คุณวิศิษฐ์ : เปิดกว้างให้นักลงทุนและผู้ประกอบการ business model ใหม่ จะมาเข้าที่ห้น MAI
-บริษัทผลิตไฟฟ้าเปิดแค่ 8 MW แต่มี PPA 100 MW มีการทำ valuation โดยรวมที่ได้ PPA ด้วย
-มีการใส่นวัตกรรม FSMART นำไปสู่นวัตกรรมการทำ valuation ต่างกับ SET
เวลาการตัดสินใจ ควบกิจการสูงจึงเก็งกำไร
-Underown นักลงทุนสถาบันถือน้อย มีโอกาสถือมากขึ้น
มีการเปิดกองทุน KTAM เปิดขาย กองทุนหุ้นMAI ในงานนี้สามารถจองได้ที่บูธ
บริษัทที่ไม่มี PE เหมือน Shell company มีโอกาส Back door สูง การสวิง Votality สูงมาก
ปีไม่ดี -50% ปีดีกำไรก็มาก การสวิงของ earning เยอะ Beta สูง นักลงทุนเลยต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น นักลงทุนเลยชอบหุ้นในตลาด MAI
คำถามที่สอง ตลาดน่าลงทุนไหม
คุณวิศิษฐ์: แบ่ง factor ออกเป็น 2 factor
1. Greese จ่ายเงินไม่ทัน 1,500 ล้านเหรียญ น่าจะไม่มีเงินพอ มี primary bugget deficit -2% ดังนั้น กรีซอาจอยู่ไม่ได้ ถ้าค้าขายในยูโรไม่ได้ โครงการ ELA ให้เงิน 75,000 ล้านยูโร
เทียบกับทุนสำรอง 150,000 ล้านเหรียญยูโร ดังนั้นโอกาสจะอยู่รอดถ้าออกจากยูโรยาก
Capital control ทำให้กดเงินได้ 600 บาทต่อวัน GDP 2% ของยูโร แต่ค้าขาย 30% กับยูโร รอบนี้เจ้าหนี้เป็นธนาคารกลางยูโรป ดังนั้น hair cut จะกระทบประชาชนยุโรป ดังนั้นทางการจะเข้าไปช่วยกรีซ แต่กร๊ซต้องเก็บภาษีเพิ่ม และ เพิ่มอายุเกษียณเป็น 67 ปี
มีการลงประชามติจะอยู้ในยูโร และ รับมาตราการรัดเข็มขัด ในวันที่ 5 กค การออกต้องมีมาตราการไม่ใหลุกลามไปประเทศอื่น ดูจากค่าเงินยูโร ค่าประกันความเสียงไม่เพิ่มขึ้น เสียหายเฉพาะวงแคบๆ
2. Feb ขึ้น ดอกเบี้ยในปีนี้ ตราสารหนี้ทุกรอบตั้งแต่ 1988 1994 2001 2004
ราคาน้ำมัน bottom emerging mkt out perform ยกเว้น 1994 ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยมีผลน้อยต่อตลาดหุ้นไทย ตลาดทุนรับร็ข่าวขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว รวมถึง M2 ค่อยๆเพิ่มขึ้น ไม่ค่อยอ่อนไหวเท่าไหร่ ปีนี้แกว่งต่ำกว่า 100 จุด เทียบกับอตีดผันผวน 380 จุด ตลาดปีนี้เติบโตค่อนข้างน้อย แต่ผันผวนน้อย M shape
ขึ้น Q1 ลง Q2 เป็น Rotation ค่อยข้างสบายใจขึ้นกับตัวหุ้น
คุณเทิดศักดิ์ พูดว่า เลือกตัวหุ้นที่pe ไม่สูง ดูโครงสร้าง 30% มาจากresource พลังงานทดแทน
เมื่อผ่านจุดลบไปแล้ว เริ่มเปิดใช้งาน อันดับสอง financial 32% เป็น ธุรกิจเช่าซื้อ มีเสน่ห์ Source fund ใช้เงินกู้ และ มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ลดลง ทำให้ดีขึ้น
ลองรวม 62% impact from กรีซ ไม่ค่อยกระทบ limit ผลกระทบจากภายนอกลงมาไม่ค่อยถึง MAI มีตัวค้ำคือ fund flow และ fundamental ถ้ามาพร้อมกัน จะทำให้ราคาเพิ่มขึ้น
ที่กังวลกับหุ้น PE สูงๆในตลาดเยอะ เวลากระทบยอดไม้ หุ้น PE สูง อย่าให้แกว่งมาก
กลัวมากเพราะแพ้ภัยตัวเอง
คุณ โจ้ ยอมรับว่าเศรษฐกิจรับรู้ว่าไม่ตามเป้า อย่างไรก็ตาม ตลาด MAI บอบบางมีความอ่อนไหวจากปัจจัยที่มากระทบ ราคาลงมา6% ตั้งแต่ต้นปี ถ้าเลือกบริษัทที่ถูกต้องจะสร้าง return ค่อนข้างดี ไม่ยากถ้าไปศึกษา บริษัทไม่ใหญ่มากเช่น พลังงานทดแทน EA ทำให้มีกำไร ยอมจ่ายแพงวันนี้ ถ้าเสร็จตามกำหนด กำไรจะมา รับรู้รายได้แน่นอน บางความเสี่ยง mer กระทบโรงพยาบาล ท่องเที่ยว ถ้าศึกษาว่า ไม่แพร่อย่างง่ายดาย
กลุ่มที่ลงเยอะเช่นท่องเที่ยวจะกลับมา
ดร นิเวศน์ ตลาดที่น่าลงทุน ตอนนี้ไม่น่าลงทุน จริงๆอนาคตเป็นอย่างไร กลัวว่าวันนึงหุ้น MAI ตกลงมาเยอะมาก มีโอกาสที่เกิด อ่านประวัติศาสตร์ PE สูงๆ 60-70 ที่ US หุ้น NASDAQ ตอนปี 2000 เป็นหุ้นมหัศจรรย์ จะเปลี่ยนโลกทั้งโลกโดย technology มีการซื้อมาก จน PE 100 เท่า
เหมือนหุ้นใน MAI story เปลี่ยนพลังงาน และ ดิจิตอล Nasdaq ขึ้นมา 7 ปี คนคงกลัว ทำให้ตลาดตกลงอย่างรุนแรง มันอาจจะแพงเกิน หุ้นที่ดีที่สุด เช่น Yahoo , MS , Cissco
ตกลงมา80-90% หุ้นตกแต่เหตุการณ์เป็นจริง หุ้นไม่สามารถอยู่ได้เพราะ PE สูง แสดงว่า เรื่องจริงแต่ราคาตกลงมาก เช่น Yohoo ตกเหลือ 5% ญึ่ปุ้น เมื่อ 20 ปีที่แล้ว สินค้าสุดยอด หุ้นจาก 10,000 ไป 40,000 จุด ที่ดินญี่ปุ้น สามารถเทียบเท่ากับอเมริกา 2 เท่า
คนคิดว่าราคาแพงไป Dividend yield 0.5% หาเหตุผลที่ทำให้หุ้นญี่ปุ่นตกลงมาได้ ท้ายสุดตลาดตกรุนแรง นาน 20ปี หุ้น Yahoo ตอนนี้ขึ้นไปเกินราคาที่ก่อนตกแล้ว เริ่มให้กำลังคนถือหุ้น ต้องถือให้ทนถึงเวลาที่ขึ้น แต่ระวังไว้ของบางอย่างมันผิดปกติ มาจากจิตวิทยาหมู่ ตลาดMAI เล่นเยอะมาก บางตัวขึ้นมาจาก MKT cap 1000 ลบ แต่ซื้อขายมากกว่า PTT Mkt cap 100,000 ลบ เราเหมือนสร้างวิมานเมฆ แป็บเดียวฝนตกก็หายได้
คำถาม Hi light มาถึงวันนี้ MAI น่าสนใจ
: ชอบแบบไหน และถ้าชอบแล้ว ตัวไหน ราคาที่ซื้อเท่าไหร่
คุณโจ้ เห็นด้วยว่าหุ้นบางตัวเป็นวิมาน เช่นกลุ่มพลังงานทดแทน ไม่ใช่ว่าบริษัทไหนจะทำ ก็ให้ราคาได้เลย จริงๆมี โควต้า 3000 กว่า เหลือ 1000 กว่าที่ค้างท่อ และ 800 MW สหกรณ์ แต่
บริษัทที่ลงทุนในญี่ปุ้น จะเป็นอีกเรื่องนึง EA เป็นคนสร้างให้นักลงทุนยอมรับการvaluation
โรงไฟฟ้าใหม่ที่บวกเข้ามา PPA อาจให้มูลค่าเพิ่มแค่ 50% เพราะอาจก่อสร้างมีปัญหา
บางบริษัท ตอนนี้นักลงทุนให้มากกว่านั้น เช่น PPA อาจให้ 100%
บางบริษัท บอกว่าอาจจะได้ นักลงทุนไปรวมเป็นมูลค่า จริงๆต้องเป็นอีก 3-4 ปี
การทำ valuation ต้องทำเป็นแต่ละปี เป็นการ pricing ให้ถูกต้อง
หลักการวิเคราะห์หุ้น
1.เราชอบหุ้นที่มีการเติบโตชัดเจน business model ชัดเจน
2.ผู้บริหาร เราต้องรู้จักระดับนึง
3. Financial ratio ได้ ROE สูง น่าสนใจ ประมาณ 20%ขึ้นไป และ มี DE ratio ต่ำ ก็ยิ่งน่าสนใจและสามารถขยายกิจการ หรือ ถ้าไม่ขยายก็ความเสี่ยงน้อย เพราะ กู้น้อย
เชียร์ EA แต่ราคาหุ้นที่ขึ้นมา รับรู้มูลค่าที่อยู่ในมือไปมากแล้ว ตอนนี้เงินที่ถืออยู่ไปทำอะไรที่โดดเด่น ก็จะไปadd value มากกว่า
หุ้นที่ชอบพื้นฐาน
Jubilee business ชัดเจน ค้าปลีกเพชรชัดเจน design แบบเพชร ได้รับรางวัลจากสถาบันการันตีเพชรระดับโลก จับกลุ่มระดับสูง ผู้บริโภคยอมรับมากขึ้น ราคาเพชรขึ้น 4-5% ทุกปี ค่อนข้างsafe ผู้บริหารเป็นกลุ่มที่ทำงานหนักเพื่อบริษัทจริง เวลาไม่ดีก็ยอมรับ
เพื่อไปปรับปรุง ในเชิงบริษัท ยังมีกำไร แต่เนื่องจากระดับล่างซื้อน้อยลง เปิด show room Flag ship stor กำไร Q1 ไม่ค่อยดี ราคาเหลือ แค่ 24 บาท DE 0.4 , Gp 40% น่าจะได้รับผลตอบแทนดีในอนาคตสามารถdouble ได้ มองที่ราคา 28 บาท
Pylon ชอบ แต่แพง
อีกตัวมีการปรับปรุงธุรกิจอยู่เราต้องติดตาม คือ EFORL ตอนนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จ ใช้ Financial leverage ซื้อวุฒิศักดิ์คลีนิก ปรับปรุงให้กำไรดีในอนาคต DE มากกว่า 4-5 เท่า
อาจเอาวุฒิศักดิ์ไป list ในตลาดในปลายปี พยายามเพิ่ม SSS เริ่มในธุรกิจความงาม เครื่องสำอาง
Take ดัซโซ ซึ่งเป็นบริษัทบำรุงผิว และซื้อบริษัทสยามสเนล วิจัยหอยทากมาลบรอยตีนกาได้
Q4 อาจดูดี ราคาหุ้นเคยขึ้น 2 บาท เมื่อมีข่าวซื้อวุฒิศักดิ์ ตอนนี้ 1.21 บาท
กำไรที่รวมวุฒัศักดิ์ 1,100 ลบ ใน Q1 15 เทียบกำไรปีที่แล้ว 1,400 ลบ
คุณเทิดศักดิ์ : เลือก PE ต่ำกว่า 20 เท่า
JSP ทำ property โครงสร้างการเงิน ไม่มีหนี้ สำเพ็ง2 ทำให้เกิดความปลอดภัยระดับนึง
กำไรปีนี้ 1200 ลบ มากกว่า 3 เท่าตัวของกำไรปีที่แล้ว
Back log โอน 3500 ล้านในปีนี้ GP เกิน 50% NP 200 ลบ ทะลุทะลวง
ตอนนี้ PE 8 เท่า ราคาหุ้น 2.34 บาท ราคาตลาด 1.95
LIT บัญชีลูกหนี้ที่ซื้อไปทำกับภาครัฐ GDP 3% มาจากภาครัฐ 37%
ดังนั้นภาครัฐโตมากขึ้น ส่งผลให้กำไร 48 ไปที่ 70 ลบในปีนี้ PE 17 เท่าเอง
ปีนี้ลงมาเหลือ 13 เท่า มูลค่าเหมาะสม 7 เท่าโดยใช้ PE 20 เท่า ราคาตอนนี้ต่ำกว่า 6 บาท
คุณวิศิษฐ์: ดูจาก business model ต้องดูราคา ถ้าฟองสบู่จะแตก ต้องมี trigger เช่นญี่ปุ่นมาจากอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ขายของไม่ได้ จีน มาจาก regulation
อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย regulation
1. SPA สินทรัพย์คือนวัตกรรม การ training มีนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น ตอนนี้เมย 4 ล้านคน เทียบกับปี่ทีแล้วทั้งปี 4 ล้านคน เป็น Megatrend
Earning น่าจะโดดเด่น
ROE สูง PB ต่ำน่าสนใจ
2. Jubilee retail distribution
3. ILINK megatrend communication
4. FSMART ดูจาก operating cash flow
5. PYLON ต้นน้ำรับเหม่าก่อสร้า
6. TPCH business model king of South มี ROE สูง
7. CHO ช ทวี ดอลเลเชี่ยน
ต้องดู valuation มี hidden growth หรือ เปล่า และยังไม่สะท้อนในราคา
ดร นิเวศน์ วิจารณ์ อาจมีศักยภาพที่แท้จริง
Jubilee บริษัทสวย industry มีจุดอ่อน ดู five force ธุรกิจ การเข้ามาคู่แข่งไม่ยาก เข้าง่ายออกง่าย supplier มี power เยอะ บริษัทเบลเยี่ยม เราเสียเปรียบ ส่วนลูกค้ามีอำนาจต่อรอง สินค้าทดแทน เช่น บุศราคัม การแข่งขันระหว่างในอุต มีเยอะแยะ มีการเสนอถึงบ้านเป็น industry ที่เหนื่อยมาก แต่ Jubilee เก่ง ทำ counter กระจายทั่วประเทศ โอกาสโดดเด่นยาก แต่เป็น first mover ได้เปรียบ แต่ต้อง Hold on ตลอด งบออกมาผิดคาดราคาตกลงมาจาก 40 กว่าบาท แสดงว่ามีจุดอ่อนที่มองไม่เห็น ที่อันตราย เป็น breakup core
EFORL ขายเรื่องธุรกิจแต่งหน้า ศัลยกรรม แต่ตอนหลังเริ่มเฟ้อ เจ้าของเดิมต้องมาแก้ปัญหา จริงๆมาก่อนกำไรเลยเยอะ นาทีอาจไม่ใช่แบบเราคิด
JSP เราห่วงว่าจะมีสำเพ็ง3 หรือเปล่า ถ้ามีมากๆ
LIT Factoring PE 17 เท่าสูงมากเทียบกับ ธนาคาร แค่ 7 เท่า
SPA ตอนนี้เป็น first mover บุกแบบ internet booking ถ้ามองในด้าน industry เปิดง่าย
Supplier หมอนวด ก็ไม่ค่อยมีอำนาจต่างพึ่งพากัน ลูกค้ามีอำนาจต่อรอง
สินค้าทดแทน ถ้าแพงจัดๆก็ไปทำอย่างอื่น บริษัทเก่งเข้ามาถูกช่วง
FSMART first mover ตอนหลังห้ามคนอื่นมาไม่ได้ มีตู้เดิมเงินอื่นมาแข่งสุดท้าย ได้เงินไม่มาก ลูกค้าใกล้ไหนก็ไปใช้ที่นั่น
Pylon การก่อสร้างขึ้นๆลงๆ
TPCH ใช้เอาเศษไม้ รากไม้มาเผา ถึงเวลาอาจไม่มาหรือไม่พอ อาจเหนื่อยได้ เดี๋ยวดูไป บริษัทสร้าง story ได้ มีวัตถุดิบ
ช ทวี งานแนวรับเหมา ความไม่แน่นอนสูง
ILINK ผ่าน story หลายรอบ จะเติบโตยาวนานจริงหรือเปล่า
อจ เสน่ห์ ให้คัดออกมาสัก 2 ตัว พอพึ่งพาได้
ดร นิเวศน์ property เมืองไทย PE 6-7 เท่า เยอะแยะ เทียบกับ JSP ไม่ค่อยโดดเด่น
เราต้องรักษาความคงเส้นคงวา ค้านตลอด เตือนของพวกนี้ต้องระวังนิดหน่อย
คุณโจ้ เราลงทุนโดยยึดหลักการกระจายความเสี่ยง ดูอายุ ถ้าน้อย เสี่ยงได้มาก
ถ้าอายุมาก ต้องlimit ความเสี่ยง
คุณเทิด อย่ารีบร้อน ศึกษาให้เข้าใจก่อนเข้าตลาด
เวลาอยู้ในตลาด อ่านเยอะ ฟังเยอะ ตัดสินใจช้าหน่อย
คุณวิศิษฐ์ ดูจาก
Business model
Valuation มี4-5 วิธีด้วยกัน มองว่าราคาอันไหนน่าจะดี
ดร นิเวศน์
ถ้าซื้อหุ้นตัวไหน เตรียมว่าห้ามขายก่อน 5 ปี ถ้าเราไม่เอา ก็ไม่น่าถือ
หุ้นที่ขึ้นไปเยอะ build อารมณ์มาเยอะ over price ไป ที่พูดก็ถูก แต่หุ้นลงไปมากไม่เกี่ยวข้องกัน
ขอบคุณนักวิเคราะห์ทุกท่าน และ นักฝ่ายค้าน การลงทุนมีความเสี่ยง ต้องระวังด้วยตนเอง
ขาดทุนเป็นของท่าน กำไรก็เป็นของท่าน
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 27
วันนี้มาเล่าเรื่องที่ได้คุยกับคุณโจต่อครับ เป็นหลักการพื้นฐานการลงทุนแบบวีไอ คุณโจได้เล่าให้ฟัง ตั้งแต่เริ่มแรกในการลงทุน เริ่มแรกเข้าไปสอบถามวงเงินในการเปิด port จาก สินเอเซีย ซึ่งเสนอขั้นต่ำสามล้านบาท คุณโจบอกว่าใครจะไปหาได้ จึงไปเปิดที่ KK แทน วงเงิน 300,000 บาท โดย ตัวคุณโจมี 50,000 บาท และ ได้จากคุณแม่ อีก รวมเป็น 150,000 บาท ส่วนอีก 150,000 บาท ได้มาจากเพื่อนที่สนใจลงทุน หุ้นตัวแรกที่ซื้อคือ S-one บล เอกธำรง ซึ่งต่อมา กลายเป็น บล เคจีไอ ในปัจจุบัน เมื่อก่อน market share อันดับหนึ่ง ในสมัยนั้นพึ่งผ่านการลอยตัวค่าเงินบาท และ ดัชนี ขึ้นจาก 400 ไปที่600จุด ซื้อขายคึกคัก โบรกบอกว่าคนเก็บหัวคิว ไม่มีการขาดทุนหรอก ดังนั้นก็เลยเข้าไปซื้อ S-one ที่ราคา 13 บาท ปรากฎว่า ราคาไหลลงไปที่ 5 บาทกว่า เฉพาะส่วนของคุณโจเหลือแไดค่ 50,000 บาท ยังไม่พอไปคืนคุณแม่เลย เพื่อนก็ขาดทุนเหมือนกัน พอดีช่วงนั้นไปทำงานที่ต่างประเทศ เงินได้ทุกเดือน จนได้ 400,000 แฟนก็ได้ 400,000 รวมเป็น 800,000 บาท ก็เอาเงินก้อนมาลงทุนในหุุ้น 2 ตัว คือ VNG , RCL
VNG PE แค่ 1.5 เท่านั้นตอนซื้อ ต่อให้สภาพคล่องเหลือแค่ วันละ 100-200 หุ้น ก็ยังซื้อ ใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเก็บครบ คิดว่ายังไงก็ได้หุ้นในราคาที่ถูกเกิน
แต่ปรากฎว่า ราคาไม่ไปไหนเลย ยังคุยกับแฟนว่า เราคิดผิดหรือเปล่า ไม่มีแสงสว่างเลย อยู่ๆก็ราคาเริ่ม ceiling หลายวันติดกัน ยิ่งมีฝรั่่งมาวิจัยตัวนี้ด้วย ราคาที่ซื้อตอนนั้น 15 บาท ขึ้นไปถึง 200 บาท คุณโจคุยกับแฟนว่าเรามาถูกทางแล้ว ถึงขายไปได้กำไร 1.5 เท่า แต่ก็ดีใจมาก บอกว่ากับแฟนว่า ที่รักเรามาถูกทางแล้ว วิธีการนี้น่าจะถูกต้อง ต่อมาก็เป็น กงล้อแห่งความรุ่งเรือง
บทวิเคราะห์ที่เราอ่านจากโบรก นั้น แนะนำให้สนใจเฉพาะข้อมูลพื้นฐาน หรือ ข้อมูลที่ไป company visit มา แต่ไม่ได้สนใจเรื่องราคาเป้าหมาย เพราะ เดาตลาดเป็นท่ายาก คุณวอร์เรน บอกว่า รั้วมีสองขนาด คือ สูง 1 ฟุต กับ 7 ฟุต คนส่วนใหญ่ จะเลือก วิ่งข้ามรั้ว 7 ฟุต ทำไมไม่ข้าม รั้ว 1 ฟุต ซึ่งง่ายกว่า
วิถีวีไอ เรียบง่าย สบายๆ ได้ตลอดไป ไม่มี limit ต่างจาก นักลงทุนแบบ trader ปั่นได้จุดนึงง เหนื่อยกันทุกคน หุ้นใหญ่ก็ปั่นไม่ได้ เพราะ กองทุนถืออยู่และใหญ่กว่ามาก หนังสือ 100 นักลงทุนของโลก สรุปว่า นักลงทุนแบบ VI หรือ พื้นฐาน 90 กว่า% อีก 4-5% จะเจอช่วง รุ่งเรือง ตกต่ำ สลับกันไป
ขอจบแนวการลงทุนแบบวีไอ และ จะมาเล่าต่อในคราวหน้าครับ
VNG PE แค่ 1.5 เท่านั้นตอนซื้อ ต่อให้สภาพคล่องเหลือแค่ วันละ 100-200 หุ้น ก็ยังซื้อ ใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเก็บครบ คิดว่ายังไงก็ได้หุ้นในราคาที่ถูกเกิน
แต่ปรากฎว่า ราคาไม่ไปไหนเลย ยังคุยกับแฟนว่า เราคิดผิดหรือเปล่า ไม่มีแสงสว่างเลย อยู่ๆก็ราคาเริ่ม ceiling หลายวันติดกัน ยิ่งมีฝรั่่งมาวิจัยตัวนี้ด้วย ราคาที่ซื้อตอนนั้น 15 บาท ขึ้นไปถึง 200 บาท คุณโจคุยกับแฟนว่าเรามาถูกทางแล้ว ถึงขายไปได้กำไร 1.5 เท่า แต่ก็ดีใจมาก บอกว่ากับแฟนว่า ที่รักเรามาถูกทางแล้ว วิธีการนี้น่าจะถูกต้อง ต่อมาก็เป็น กงล้อแห่งความรุ่งเรือง
บทวิเคราะห์ที่เราอ่านจากโบรก นั้น แนะนำให้สนใจเฉพาะข้อมูลพื้นฐาน หรือ ข้อมูลที่ไป company visit มา แต่ไม่ได้สนใจเรื่องราคาเป้าหมาย เพราะ เดาตลาดเป็นท่ายาก คุณวอร์เรน บอกว่า รั้วมีสองขนาด คือ สูง 1 ฟุต กับ 7 ฟุต คนส่วนใหญ่ จะเลือก วิ่งข้ามรั้ว 7 ฟุต ทำไมไม่ข้าม รั้ว 1 ฟุต ซึ่งง่ายกว่า
วิถีวีไอ เรียบง่าย สบายๆ ได้ตลอดไป ไม่มี limit ต่างจาก นักลงทุนแบบ trader ปั่นได้จุดนึงง เหนื่อยกันทุกคน หุ้นใหญ่ก็ปั่นไม่ได้ เพราะ กองทุนถืออยู่และใหญ่กว่ามาก หนังสือ 100 นักลงทุนของโลก สรุปว่า นักลงทุนแบบ VI หรือ พื้นฐาน 90 กว่า% อีก 4-5% จะเจอช่วง รุ่งเรือง ตกต่ำ สลับกันไป
ขอจบแนวการลงทุนแบบวีไอ และ จะมาเล่าต่อในคราวหน้าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 314
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 28
ผมอ่านประวัติการลงทุนของคุณโจทีไร ก็ย้อนมาดูตัวเอง ผมเริ่มลงทุนช่วงประมาณปี '37
น่าจะไล่เลี่ยกัน และผมก็มีความทรงจำกับ VNG เช่นกัน แต่ไม่ได้ Happy ending นะครับ
ถ้าผมจำไม่ผิด VNG ทำ IPO เข้าตลาด หลัง IPO ของ EGCOMP ช่วงนั้น ตลาด IPO กำลังร้อนแรง
ในสมัยนั้นจะมีการเปิดโอกาสให้รายย่อย จองซื้อ IPO แล้วทำการสุ่ม กรณีที่ความต้องการมาก
เทคนิคอันหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ สำหรับคนทุนน้อย ก็คือการหาทางเปิดบัญชีกระแสรายวัน แล้วเราก็เขียนเช็ค
เป็นค่าจองซื้อ โดยสมมติว่าโอกาสสุ่มได้ 1 ใน 5 เราก็อาจจะเขียนเช็คมูลค่า 3-4 ใบ แต่มีเงินจ่ายจริงแค่ใบเดียว
แต่ช่วงนั้นบรรยากาศพลิกผัน คนจองน้อย ผลก็คือเช็คเด้งรวด ผมต้องไปนั่งฟังสมุบัญชีอบรม และถูกปิดบัญชีหมด
หลังจากนั้นบริษัทก็เจอวิกฤติต้มยำกุ้ง ยอดขายหาย เป็นหนี้มาก แต่หลังจากนั้นก็มีการแปลงหนี้เป็นทุนโดยเจ้าหนี้บางส่วน รวมทั้งแบ้งค์ใหญ่แห่งหนึ่งด้วย ส่วนผมก็ยังติดตามบริษัทอยู่เรื่อยๆ ด้วยความคิดที่ต้องการแก้ตัว
ผมยังจำได้ว่าผมตัดข่าวของ VNG จากหนังสือพิมพ์เก็บไว้ และก็เห็นว่าบริษัทฟื้นตัว ยอดขายเติบโต ส่งออกดี
ซึ่งจากข้อมูลนั้นคิดเป็น PE แล้วต่ำมากๆ แต่ผมก็ไม่ได้ซื้อ เพราะคิดว่ามันจะเป็นไปได้หรือ ทำไมเราเห็นคนเดียวหรือ
แล้วทำไมคนอื่นไม่เห็น หุ้นก็ไม่ขึ้น สภาพคล่องก็น้อยมาก และสมัยนั้นการหาข้อมูลก็ยากมาก Internet ก็ยังไม่มีใช้
สุดท้ายหลังจากนั้นไม่นาน หุ้นก็พุ่งขึ้นอย่างแรงไปหลายเด้งมาก ผมก็สุดแสนจะเสียดาย
แม้กระทั่งหลายปีที่ผ่านมาผมก็ยังติดตาม หุ้นตัวนี้อยู่ จนกระทั่งปีที่แล้วปัจจัยบวกหลายๆอย่าง มาพร้อมกัน ทั้งยางถูก
กาวถูกลง การขยายกำลังการผลิต ราคาหุ้นก็ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ สุดท้ายก็ยังไม่ได้ซื้อเหมือนเดิม
น่าจะไล่เลี่ยกัน และผมก็มีความทรงจำกับ VNG เช่นกัน แต่ไม่ได้ Happy ending นะครับ
ถ้าผมจำไม่ผิด VNG ทำ IPO เข้าตลาด หลัง IPO ของ EGCOMP ช่วงนั้น ตลาด IPO กำลังร้อนแรง
ในสมัยนั้นจะมีการเปิดโอกาสให้รายย่อย จองซื้อ IPO แล้วทำการสุ่ม กรณีที่ความต้องการมาก
เทคนิคอันหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ สำหรับคนทุนน้อย ก็คือการหาทางเปิดบัญชีกระแสรายวัน แล้วเราก็เขียนเช็ค
เป็นค่าจองซื้อ โดยสมมติว่าโอกาสสุ่มได้ 1 ใน 5 เราก็อาจจะเขียนเช็คมูลค่า 3-4 ใบ แต่มีเงินจ่ายจริงแค่ใบเดียว
แต่ช่วงนั้นบรรยากาศพลิกผัน คนจองน้อย ผลก็คือเช็คเด้งรวด ผมต้องไปนั่งฟังสมุบัญชีอบรม และถูกปิดบัญชีหมด
หลังจากนั้นบริษัทก็เจอวิกฤติต้มยำกุ้ง ยอดขายหาย เป็นหนี้มาก แต่หลังจากนั้นก็มีการแปลงหนี้เป็นทุนโดยเจ้าหนี้บางส่วน รวมทั้งแบ้งค์ใหญ่แห่งหนึ่งด้วย ส่วนผมก็ยังติดตามบริษัทอยู่เรื่อยๆ ด้วยความคิดที่ต้องการแก้ตัว
ผมยังจำได้ว่าผมตัดข่าวของ VNG จากหนังสือพิมพ์เก็บไว้ และก็เห็นว่าบริษัทฟื้นตัว ยอดขายเติบโต ส่งออกดี
ซึ่งจากข้อมูลนั้นคิดเป็น PE แล้วต่ำมากๆ แต่ผมก็ไม่ได้ซื้อ เพราะคิดว่ามันจะเป็นไปได้หรือ ทำไมเราเห็นคนเดียวหรือ
แล้วทำไมคนอื่นไม่เห็น หุ้นก็ไม่ขึ้น สภาพคล่องก็น้อยมาก และสมัยนั้นการหาข้อมูลก็ยากมาก Internet ก็ยังไม่มีใช้
สุดท้ายหลังจากนั้นไม่นาน หุ้นก็พุ่งขึ้นอย่างแรงไปหลายเด้งมาก ผมก็สุดแสนจะเสียดาย
แม้กระทั่งหลายปีที่ผ่านมาผมก็ยังติดตาม หุ้นตัวนี้อยู่ จนกระทั่งปีที่แล้วปัจจัยบวกหลายๆอย่าง มาพร้อมกัน ทั้งยางถูก
กาวถูกลง การขยายกำลังการผลิต ราคาหุ้นก็ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ สุดท้ายก็ยังไม่ได้ซื้อเหมือนเดิม
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
โพสต์ที่ 30
บางทีคุณกับ VNG อาจจะไม่ได้ทำบุญร่วมกันมาในชาติปางก่อนนะครับ 5555lukton2000 เขียน:ผมอ่านประวัติการลงทุนของคุณโจทีไร ก็ย้อนมาดูตัวเอง ผมเริ่มลงทุนช่วงประมาณปี '37
น่าจะไล่เลี่ยกัน และผมก็มีความทรงจำกับ VNG เช่นกัน แต่ไม่ได้ Happy ending นะครับ
ถ้าผมจำไม่ผิด VNG ทำ IPO เข้าตลาด หลัง IPO ของ EGCOMP ช่วงนั้น ตลาด IPO กำลังร้อนแรง
ในสมัยนั้นจะมีการเปิดโอกาสให้รายย่อย จองซื้อ IPO แล้วทำการสุ่ม กรณีที่ความต้องการมาก
เทคนิคอันหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ สำหรับคนทุนน้อย ก็คือการหาทางเปิดบัญชีกระแสรายวัน แล้วเราก็เขียนเช็ค
เป็นค่าจองซื้อ โดยสมมติว่าโอกาสสุ่มได้ 1 ใน 5 เราก็อาจจะเขียนเช็คมูลค่า 3-4 ใบ แต่มีเงินจ่ายจริงแค่ใบเดียว
แต่ช่วงนั้นบรรยากาศพลิกผัน คนจองน้อย ผลก็คือเช็คเด้งรวด ผมต้องไปนั่งฟังสมุบัญชีอบรม และถูกปิดบัญชีหมด
หลังจากนั้นบริษัทก็เจอวิกฤติต้มยำกุ้ง ยอดขายหาย เป็นหนี้มาก แต่หลังจากนั้นก็มีการแปลงหนี้เป็นทุนโดยเจ้าหนี้บางส่วน รวมทั้งแบ้งค์ใหญ่แห่งหนึ่งด้วย ส่วนผมก็ยังติดตามบริษัทอยู่เรื่อยๆ ด้วยความคิดที่ต้องการแก้ตัว
ผมยังจำได้ว่าผมตัดข่าวของ VNG จากหนังสือพิมพ์เก็บไว้ และก็เห็นว่าบริษัทฟื้นตัว ยอดขายเติบโต ส่งออกดี
ซึ่งจากข้อมูลนั้นคิดเป็น PE แล้วต่ำมากๆ แต่ผมก็ไม่ได้ซื้อ เพราะคิดว่ามันจะเป็นไปได้หรือ ทำไมเราเห็นคนเดียวหรือ
แล้วทำไมคนอื่นไม่เห็น หุ้นก็ไม่ขึ้น สภาพคล่องก็น้อยมาก และสมัยนั้นการหาข้อมูลก็ยากมาก Internet ก็ยังไม่มีใช้
สุดท้ายหลังจากนั้นไม่นาน หุ้นก็พุ่งขึ้นอย่างแรงไปหลายเด้งมาก ผมก็สุดแสนจะเสียดาย
แม้กระทั่งหลายปีที่ผ่านมาผมก็ยังติดตาม หุ้นตัวนี้อยู่ จนกระทั่งปีที่แล้วปัจจัยบวกหลายๆอย่าง มาพร้อมกัน ทั้งยางถูก
กาวถูกลง การขยายกำลังการผลิต ราคาหุ้นก็ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ สุดท้ายก็ยังไม่ได้ซื้อเหมือนเดิม
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง