High Risk High Return is always the principle and truth
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 1
มีคนอ่านบทความที่ลงในwebแล้วแย้งว่า High Risk High Return is always the principle and truth ซึ่งผมลงว่าผมไม่เชื่อตามนี้ เพราะผมพิสูทธ์แล้วว่า Low risk High return เพื่อนช่วยกันออกความเห็นหน่อยครับ
- ครรชิต ไพศาล
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4623
- ผู้ติดตาม: 1
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 2
High Risk High Loss + High Return = ?
Low Rish Low Loss + High Return = ?
Low Rish Low Loss + High Return = ?
- ครรชิต ไพศาล
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4623
- ผู้ติดตาม: 1
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 4
ผมชอบสมการที่ 2 ครับ
- ครรชิต ไพศาล
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4623
- ผู้ติดตาม: 1
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 5
คุณ Mon Money สมการ ที่ 2 ของผม ต้องอธิบายด้วยบทความ "เกมของผู้แพ้ " ของ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ข้างล่างนี้ครับ
โลกในมุมมองของ Value Investor 22 Oct 2002
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เกมของผู้แพ้
การลงทุนนั้นคนจำนวนมากเห็นว่าเป็นเกมชนิดหนึ่งที่มีการแข่งขัน มีผู้แพ้ผู้ชนะ คนที่เข้ามาเล่นเกมจะต้องมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์มีเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบและที่สำคัญคือต้องมีกลยุทธ์ในการเล่นที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ แต่ก่อนที่จะลงสนามในเกมการเงินที่มีเดิมพันสูงนี้ เราควรที่จะเข้าใจธรรมชาติของการแข่งขันเสียก่อนว่า การแพ้ชนะในเกมนั้นมักจะถูกตัดสินด้วยอะไร เมื่อรู้แล้วจะได้วางแผนถูกว่ากลยุทธ์การลงทุนที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไร
นักยุทธศาสตร์แบ่งเกมที่มีการต่อสู้หรือแข่งขันกันออกเป็นสองประเภท นั่นคือ เกมของผู้ชนะ (Winner's Game) และเกมของผู้แพ้ (Loser's Game) ซึ่งทั้งสองเกมส์นี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในเกมของผู้ชนะนั้น ผลการแข่งขันจะถูกกำหนดโดยแอคชั่นหรือการกระทำที่ถูกต้องของผู้ชนะ นั่นก็คือในเกมประเภทนี้ ถ้าคุณต้องการชนะคุณจะต้องเป็นฝ่าย "เข้าทำ" หรือเป็นฝ่ายรุก และถ้าคุณสามารถทำเข้าเป้าได้มากเท่าไรโอกาสที่จะชนะก็มีสูงเท่านั้น
ในเกมของผู้แพ้ ผลการแข่งขัน จะถูกกำหนดโดยความผิดพลาดของผู้แพ้ นั่นก็คือถ้าคุณกำลังเล่นเกมประเภทนี้อยู่ สิ่งที่จะต้องทำไม่ใช่พยายามรุกเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ เพราะถ้าทำเช่นนั้น โอกาสผิดพลาดอาจจะสูงและถ้าเกิดขึ้นก็หมายความว่าคุณจะแพ้ กลยุทธ์ที่สำคัญของเกมประเภทนี้ก็คือ การตั้งรับ และพยายามทำให้การผิดพลาดมีน้อยที่สุด
การแข่งขันกีฬาระดับชาติหรือกีฬาอาชีพส่วนใหญ่เป็นเกมของผู้ชนะ เพราะคนที่เอาแต่ป้องกันตัวหรืออุดประตู ในที่สุดก็จะถูกต่อยจนคว่ำหรือพลาดเสียประตูจนได้ เพราะฉะนั้นกีฬาเช่น ชกมวย ฟุตบอล ฟันดาบ กรีฑา และอื่น ๆ จึงมักเป็นเกมที่นักกีฬาต้องเป็นฝ่ายรุกทำแต้มตลอดเวลา
การแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทต่าง ๆ ซึ่งอาจจะเรียกว่าเกมการตลาดนั้น ผมคิดว่าต้องเป็นเกมของผู้ชนะอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะการโฆษณาส่งเสริมการขายและประชาสัมพันธ์นั้นจะต้องเป็นกิจกรรมที่ต้องรุกอยู่ตลอดเวลา อาจจะมีความผิดพลาดบ้าง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับว่าคุณทำการตลาดมากและหลาย ๆ เรื่องประสบผลสำเร็จ
พูดถึงเรื่องนี้ ผมคิดไปถึงว่า เกมของดาราหรือ "สาวไฮโซ" น่าจะต้องเป็นเกมของผู้ชนะอย่างแน่นอน นั่นก็คือถ้าคุณอยากเป็นดาราดังหรือสาว "ไฮโซ" จะต้องทำตัวให้เป็นข่าวมากที่สุดซึ่งรวมไปถึงการทำตัวเองให้เป็นจุดเด่น หรือ เป็นบุคคล "น่าทึ่ง" ในทุกทางที่ทำได้ คุณอาจจะถูกวิจารณ์ในทางลบบ้าง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะนี่คือเกมของผู้ชนะซึ่งไม่ได้ตัดสินที่การผิดพลาด แต่ตัดสินกันที่ว่าคุณทำถูกมากเท่าไร
การบริหารการเงินของธุรกิจหรือองค์กรต่าง ๆ เป็นเกมของผู้แพ้ เพราะในการดูแลเรื่องเงินทองนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคุณต้องไม่ทำผิดพลาด ดังนั้น นักการเงินที่จะเป็น "ผู้ชนะ" จะต้องมีความระมัดระวัง มีความคิดอนุรักษ์นิยม เน้นความปลอดภัยเป็นหลัก ส่วนนักการเงินที่มีความคิดสร้างสรรมาก ๆ เอาเงินไปลงทุนในตราสารอนุพันธ์หรือตราสารประหลาด ๆ หรือนักการเงินที่ใช้เงินกู้มาลงทุนมาก ๆ ในช่วงแรกอาจจะดูดีมีชื่อเสียง แต่ท้ายสุดมักจะล้มเหลวและ "พ่ายแพ้" เพราะในเกมของผู้แพ้นั้น คนเล่นคือคนแพ้
เกมบางเกมเป็นได้ทั้งเกมของผู้แพ้และเกมของผู้ชนะ ขึ้นอยู่กับคนเล่น เช่น เกมเทนนิสหรือเกมกอล์ฟ
ถ้าคนเล่นเทนนิสเป็นมือสมัครเล่นเกมนี้ก็คือเกมของผู้แพ้ นั่นก็คือถ้าคุณต้องการชนะก็อย่าเล่นลวดลายตบหน้าเน็ท แต่ควรเล่นแบบตั้งรับ พยายามอย่าตีลูกออกนอกสนามเป็นใช้ได้ ปล่อยให้คู่แข่งของคุณรุกและตีลูกออกหรือติดตาข่าย ในที่สุดคุณจะชนะ
แต่ถ้าเป็นนักเทนนิสมืออาชีพ เกมก็จะเปลี่ยนเป็นเกมของผู้ชนะทันที เพราะนักเทนนิสมืออาชีพที่เอาแต่ตั้งรับนั้นมีแต่จะโดนโยกหรือตบหน้าเนทและพ่ายแพ้ไปอย่างแน่นอน
กิจกรรมบางอย่าง เริ่มแรกเป็นเกมของผู้ชนะแต่พอเวลาผ่านไป เทคโนโลยี่เปลี่ยนแปลงไป กลับกลายเป็นเกมของผู้แพ้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือเรื่องของการบิน
ในสมัยแรก ๆ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การบินเป็นเกมของผู้ชนะเพราะนักบินที่ยอดเยี่ยมก็คือ เสืออากาศผู้กล้าหาญที่เราเห็นสวมแว่นตา ผูกผ้าพันคอสีขาว ขับเครื่องบินหกคะเมนตีลังกาไล่ยิงข้าศึก แต่ครั้นเวลาผ่านไปเครื่องบินถูกพัฒนาขึ้นจนเกือบทุกอย่างถูกควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ การบินกลับกลายเป็นเกมของผู้แพ้ นั่นก็คือ นักบินที่ดี และจะเป็น "ผู้ชนะ" ก็คือนักบินที่นั่งปรับปุ่มต่าง ๆ บนหน้าปัทม์อย่างระมัดระวัง
การลงทุนในตลาดหุ้นนั้นคนจำนวนมากอาจจะคิดว่าเป็นเกมของผู้ชนะนั่นก็คือ เขาคิดว่าการเล่นหุ้นจะต้องมีการวิเคราะห์ติดตาม และซื้อขายอยู่ตลอดเวลาเพราะหุ้นนั้นมีเวลาขึ้นลงเป็นจังหวะเป็นรอบถ้าตามไม่ทันก็จะพลาดโอกาสหรือถึงกับขาดทุนมหาศาลได้
นักเล่นหุ้นจำนวนมากยังคิดอีกว่าการตัดสินใจผิดพลาดบ้างก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญตราบใดที่หุ้นที่ซื้อมีสภาพคล่องสูง เขาสามารถจะขายออกได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น การลงทุนสำคัญที่สุดอยู่ที่การคาดคะเนภาวะตลาด และความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่จะซื้อมากกว่าพื้นฐานของกิจการ
แต่สิ่งที่นักลงทุนทั่วไปไม่ใคร่ได้คำนึงถึงก็คือ คู่แข่งของเขาก็คือตลาดหุ้นและ 70% - 80% ของตลาดก็คือนักเล่นหุ้นรายย่อยซึ่งก็คือตัวเขาเองที่เป็นผู้ซื้อขายอยู่ เพราะฉะนั้นโดยเฉลี่ยแล้วนักเล่นหุ้นจึงไม่สามารถเอาชนะตลาดได้ และนักลงทุนแต่ละคนต่างก็ไม่ได้มีศาสตร์หรือศิลป์ที่แตกต่างจากนักลงทุนอื่น ดังนั้น ผมจึงเชื่อว่า นักเล่นหุ้น "รายวัน" ไม่สามารถเอาชนะตลาดได้ และถ้าคิดค่ามิชชั่นเข้าไปแล้ว การเล่นหุ้นแบบเข้าออกเร็ว โอกาสที่จะชนะมีน้อยมาก
การลงทุนในตลาดหุ้นผมคิดว่าเป็นเกมของผู้แพ้ นั่นก็คือ คนที่เล่นมากจะขาดทุน คนที่จะได้กำไรและเป็นผู้ชนะจะต้องไม่เล่นมั่วไปหมด และที่สำคัญก็คือจะต้องลดความผิดพลาดให้น้อยที่สุด การลงทุนแต่ละครั้งต้องมีความมั่นใจว่าจะไม่ขาดทุนมากยิ่งกว่าการหวังผลกำไรสูง การซื้อขายหุ้นควรมีน้อยที่สุด เพราะนี่คือเกมของผู้แพ้
โลกในมุมมองของ Value Investor 22 Oct 2002
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เกมของผู้แพ้
การลงทุนนั้นคนจำนวนมากเห็นว่าเป็นเกมชนิดหนึ่งที่มีการแข่งขัน มีผู้แพ้ผู้ชนะ คนที่เข้ามาเล่นเกมจะต้องมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์มีเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบและที่สำคัญคือต้องมีกลยุทธ์ในการเล่นที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ แต่ก่อนที่จะลงสนามในเกมการเงินที่มีเดิมพันสูงนี้ เราควรที่จะเข้าใจธรรมชาติของการแข่งขันเสียก่อนว่า การแพ้ชนะในเกมนั้นมักจะถูกตัดสินด้วยอะไร เมื่อรู้แล้วจะได้วางแผนถูกว่ากลยุทธ์การลงทุนที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไร
นักยุทธศาสตร์แบ่งเกมที่มีการต่อสู้หรือแข่งขันกันออกเป็นสองประเภท นั่นคือ เกมของผู้ชนะ (Winner's Game) และเกมของผู้แพ้ (Loser's Game) ซึ่งทั้งสองเกมส์นี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในเกมของผู้ชนะนั้น ผลการแข่งขันจะถูกกำหนดโดยแอคชั่นหรือการกระทำที่ถูกต้องของผู้ชนะ นั่นก็คือในเกมประเภทนี้ ถ้าคุณต้องการชนะคุณจะต้องเป็นฝ่าย "เข้าทำ" หรือเป็นฝ่ายรุก และถ้าคุณสามารถทำเข้าเป้าได้มากเท่าไรโอกาสที่จะชนะก็มีสูงเท่านั้น
ในเกมของผู้แพ้ ผลการแข่งขัน จะถูกกำหนดโดยความผิดพลาดของผู้แพ้ นั่นก็คือถ้าคุณกำลังเล่นเกมประเภทนี้อยู่ สิ่งที่จะต้องทำไม่ใช่พยายามรุกเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ เพราะถ้าทำเช่นนั้น โอกาสผิดพลาดอาจจะสูงและถ้าเกิดขึ้นก็หมายความว่าคุณจะแพ้ กลยุทธ์ที่สำคัญของเกมประเภทนี้ก็คือ การตั้งรับ และพยายามทำให้การผิดพลาดมีน้อยที่สุด
การแข่งขันกีฬาระดับชาติหรือกีฬาอาชีพส่วนใหญ่เป็นเกมของผู้ชนะ เพราะคนที่เอาแต่ป้องกันตัวหรืออุดประตู ในที่สุดก็จะถูกต่อยจนคว่ำหรือพลาดเสียประตูจนได้ เพราะฉะนั้นกีฬาเช่น ชกมวย ฟุตบอล ฟันดาบ กรีฑา และอื่น ๆ จึงมักเป็นเกมที่นักกีฬาต้องเป็นฝ่ายรุกทำแต้มตลอดเวลา
การแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทต่าง ๆ ซึ่งอาจจะเรียกว่าเกมการตลาดนั้น ผมคิดว่าต้องเป็นเกมของผู้ชนะอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะการโฆษณาส่งเสริมการขายและประชาสัมพันธ์นั้นจะต้องเป็นกิจกรรมที่ต้องรุกอยู่ตลอดเวลา อาจจะมีความผิดพลาดบ้าง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับว่าคุณทำการตลาดมากและหลาย ๆ เรื่องประสบผลสำเร็จ
พูดถึงเรื่องนี้ ผมคิดไปถึงว่า เกมของดาราหรือ "สาวไฮโซ" น่าจะต้องเป็นเกมของผู้ชนะอย่างแน่นอน นั่นก็คือถ้าคุณอยากเป็นดาราดังหรือสาว "ไฮโซ" จะต้องทำตัวให้เป็นข่าวมากที่สุดซึ่งรวมไปถึงการทำตัวเองให้เป็นจุดเด่น หรือ เป็นบุคคล "น่าทึ่ง" ในทุกทางที่ทำได้ คุณอาจจะถูกวิจารณ์ในทางลบบ้าง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะนี่คือเกมของผู้ชนะซึ่งไม่ได้ตัดสินที่การผิดพลาด แต่ตัดสินกันที่ว่าคุณทำถูกมากเท่าไร
การบริหารการเงินของธุรกิจหรือองค์กรต่าง ๆ เป็นเกมของผู้แพ้ เพราะในการดูแลเรื่องเงินทองนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคุณต้องไม่ทำผิดพลาด ดังนั้น นักการเงินที่จะเป็น "ผู้ชนะ" จะต้องมีความระมัดระวัง มีความคิดอนุรักษ์นิยม เน้นความปลอดภัยเป็นหลัก ส่วนนักการเงินที่มีความคิดสร้างสรรมาก ๆ เอาเงินไปลงทุนในตราสารอนุพันธ์หรือตราสารประหลาด ๆ หรือนักการเงินที่ใช้เงินกู้มาลงทุนมาก ๆ ในช่วงแรกอาจจะดูดีมีชื่อเสียง แต่ท้ายสุดมักจะล้มเหลวและ "พ่ายแพ้" เพราะในเกมของผู้แพ้นั้น คนเล่นคือคนแพ้
เกมบางเกมเป็นได้ทั้งเกมของผู้แพ้และเกมของผู้ชนะ ขึ้นอยู่กับคนเล่น เช่น เกมเทนนิสหรือเกมกอล์ฟ
ถ้าคนเล่นเทนนิสเป็นมือสมัครเล่นเกมนี้ก็คือเกมของผู้แพ้ นั่นก็คือถ้าคุณต้องการชนะก็อย่าเล่นลวดลายตบหน้าเน็ท แต่ควรเล่นแบบตั้งรับ พยายามอย่าตีลูกออกนอกสนามเป็นใช้ได้ ปล่อยให้คู่แข่งของคุณรุกและตีลูกออกหรือติดตาข่าย ในที่สุดคุณจะชนะ
แต่ถ้าเป็นนักเทนนิสมืออาชีพ เกมก็จะเปลี่ยนเป็นเกมของผู้ชนะทันที เพราะนักเทนนิสมืออาชีพที่เอาแต่ตั้งรับนั้นมีแต่จะโดนโยกหรือตบหน้าเนทและพ่ายแพ้ไปอย่างแน่นอน
กิจกรรมบางอย่าง เริ่มแรกเป็นเกมของผู้ชนะแต่พอเวลาผ่านไป เทคโนโลยี่เปลี่ยนแปลงไป กลับกลายเป็นเกมของผู้แพ้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือเรื่องของการบิน
ในสมัยแรก ๆ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การบินเป็นเกมของผู้ชนะเพราะนักบินที่ยอดเยี่ยมก็คือ เสืออากาศผู้กล้าหาญที่เราเห็นสวมแว่นตา ผูกผ้าพันคอสีขาว ขับเครื่องบินหกคะเมนตีลังกาไล่ยิงข้าศึก แต่ครั้นเวลาผ่านไปเครื่องบินถูกพัฒนาขึ้นจนเกือบทุกอย่างถูกควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ การบินกลับกลายเป็นเกมของผู้แพ้ นั่นก็คือ นักบินที่ดี และจะเป็น "ผู้ชนะ" ก็คือนักบินที่นั่งปรับปุ่มต่าง ๆ บนหน้าปัทม์อย่างระมัดระวัง
การลงทุนในตลาดหุ้นนั้นคนจำนวนมากอาจจะคิดว่าเป็นเกมของผู้ชนะนั่นก็คือ เขาคิดว่าการเล่นหุ้นจะต้องมีการวิเคราะห์ติดตาม และซื้อขายอยู่ตลอดเวลาเพราะหุ้นนั้นมีเวลาขึ้นลงเป็นจังหวะเป็นรอบถ้าตามไม่ทันก็จะพลาดโอกาสหรือถึงกับขาดทุนมหาศาลได้
นักเล่นหุ้นจำนวนมากยังคิดอีกว่าการตัดสินใจผิดพลาดบ้างก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญตราบใดที่หุ้นที่ซื้อมีสภาพคล่องสูง เขาสามารถจะขายออกได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น การลงทุนสำคัญที่สุดอยู่ที่การคาดคะเนภาวะตลาด และความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่จะซื้อมากกว่าพื้นฐานของกิจการ
แต่สิ่งที่นักลงทุนทั่วไปไม่ใคร่ได้คำนึงถึงก็คือ คู่แข่งของเขาก็คือตลาดหุ้นและ 70% - 80% ของตลาดก็คือนักเล่นหุ้นรายย่อยซึ่งก็คือตัวเขาเองที่เป็นผู้ซื้อขายอยู่ เพราะฉะนั้นโดยเฉลี่ยแล้วนักเล่นหุ้นจึงไม่สามารถเอาชนะตลาดได้ และนักลงทุนแต่ละคนต่างก็ไม่ได้มีศาสตร์หรือศิลป์ที่แตกต่างจากนักลงทุนอื่น ดังนั้น ผมจึงเชื่อว่า นักเล่นหุ้น "รายวัน" ไม่สามารถเอาชนะตลาดได้ และถ้าคิดค่ามิชชั่นเข้าไปแล้ว การเล่นหุ้นแบบเข้าออกเร็ว โอกาสที่จะชนะมีน้อยมาก
การลงทุนในตลาดหุ้นผมคิดว่าเป็นเกมของผู้แพ้ นั่นก็คือ คนที่เล่นมากจะขาดทุน คนที่จะได้กำไรและเป็นผู้ชนะจะต้องไม่เล่นมั่วไปหมด และที่สำคัญก็คือจะต้องลดความผิดพลาดให้น้อยที่สุด การลงทุนแต่ละครั้งต้องมีความมั่นใจว่าจะไม่ขาดทุนมากยิ่งกว่าการหวังผลกำไรสูง การซื้อขายหุ้นควรมีน้อยที่สุด เพราะนี่คือเกมของผู้แพ้
-
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 6
จริงๆผมไม่อยากบอกว่าวิธีแบบvalueคือlow risk high return เพราะถ้าเราพูดถึงriskในกรณีของdefault riskสำหรับvalue investorใช่ค่อนข้างต่ำ แต่ปัญหาคือliquidity riskในที่นี้ไม่ใช่สภาพคล่องของหุ้นนะครับ แต่หมายถึงสภาพคล่องของสินทรัพย์ คือหากเราเกิดต้องใช้เงินอย่างปัจจุบันทันด่วนแล้วต้องขายหุ้นทิ้ง ตรงนั้นvalue investorมี%เจ็บหนักกว่าเพราะหุ้นvalueส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีสภาพคล่อง ซึ่งถ้าตลาดยังไม่ได้สะท้อนมูลค่าของหุ้นตัวนั้นและราคายังไม่วิ่งย่อมเป็นเหตุให้เราจำต้องขายแบบdiscountหรือขายขาดทุนซึ่งตรงนี้ผมถือว่าเป็นความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงของvalue investor
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณพี่ครรชิตมากครับที่กระตุกแขนเตือนสติ ขออนุณาติเรียกพี่นะครับ ผมอายุน้อยกว่า14 ปีที่เดียว
ผมได้อ่านจดหมายที่พี่เขียนถึงลุงขวดแล้วครับ น่าสนใจมากและผมเชื่อว่าเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้กำลังจะเข้าสู่โรงเรียนValue Investorรวมทั้งผมที่มักจะขี้เล่นจนเกินเหตุครับ
ผมได้อ่านจดหมายที่พี่เขียนถึงลุงขวดแล้วครับ น่าสนใจมากและผมเชื่อว่าเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้กำลังจะเข้าสู่โรงเรียนValue Investorรวมทั้งผมที่มักจะขี้เล่นจนเกินเหตุครับ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 8
ผมเอาคำอธิบายที่ถามK.Temple Boy มาลงให้อ่านกัน เขาอธิบายได้ชัดและให้มุมมองที่ดีมีประโยชน์มากครับลองอ่านกันดูนะครับ
To K. Mon Money
I believe that risk and return is the tradeoff formula. If one says that he or she could get the return without any risk involving, it is impossible. But when risk is involved, the return will be the same direction. This is the principle that every one really accepts it. But it is still based on ones expectation and satisfaction on the return. If one says that he is able to get high return with low risk. It may be on ones satisfaction to judge that it is considered as sufficiently high to have that kind of risk involved. But it does not mean that this rate of return is higher than other (that have higher risk). Anyone may have different expected rate of return. So if one could manage the risk to get higher return while the other fails to do that, it is because of ones mistake on risk management to handle with the good result, not due to the low risk and high return. So, apart from the information, timing is the key to risk management. I believe that.
For example, if you are able to get, say, 20% p.a. on the stock investment on (your own style) while most of the people that have different style from you fail to do. But it may be a case that some could earn more than 20% on the stock investment with the style different from you as well. You may say that 20% is high enough because your expected rate of return is in between this area with this style of investment. But other could not accept 20%, because they may expect higher rate of return. To this end, they may think and develop own style to overcome the higher risk to get higher return. So they may think and find out some way to earn more, but it is always to get involved more in risk. Thats why I said that it is on ones satisfaction and expectation. Every method that we could hedge the risk but it is also the tradeoff on the return as well. On the certain return, if we consider it acceptably high. It is high because you are now satisfied, not because of the comparison with other rate of return since there is always other much higher.
My conclusion is that the one who could achieve the higher return, it implies that he is successful on the risk management but risk involved is not that low. The style of risk management is the art and the personal secret to each individual. Thats why I said timing is ones grasp since everyone has different selection on timing.
Thank for reading and glad for sharing. Sorry, if I am not good at explaining
To K. Mon Money
I believe that risk and return is the tradeoff formula. If one says that he or she could get the return without any risk involving, it is impossible. But when risk is involved, the return will be the same direction. This is the principle that every one really accepts it. But it is still based on ones expectation and satisfaction on the return. If one says that he is able to get high return with low risk. It may be on ones satisfaction to judge that it is considered as sufficiently high to have that kind of risk involved. But it does not mean that this rate of return is higher than other (that have higher risk). Anyone may have different expected rate of return. So if one could manage the risk to get higher return while the other fails to do that, it is because of ones mistake on risk management to handle with the good result, not due to the low risk and high return. So, apart from the information, timing is the key to risk management. I believe that.
For example, if you are able to get, say, 20% p.a. on the stock investment on (your own style) while most of the people that have different style from you fail to do. But it may be a case that some could earn more than 20% on the stock investment with the style different from you as well. You may say that 20% is high enough because your expected rate of return is in between this area with this style of investment. But other could not accept 20%, because they may expect higher rate of return. To this end, they may think and develop own style to overcome the higher risk to get higher return. So they may think and find out some way to earn more, but it is always to get involved more in risk. Thats why I said that it is on ones satisfaction and expectation. Every method that we could hedge the risk but it is also the tradeoff on the return as well. On the certain return, if we consider it acceptably high. It is high because you are now satisfied, not because of the comparison with other rate of return since there is always other much higher.
My conclusion is that the one who could achieve the higher return, it implies that he is successful on the risk management but risk involved is not that low. The style of risk management is the art and the personal secret to each individual. Thats why I said timing is ones grasp since everyone has different selection on timing.
Thank for reading and glad for sharing. Sorry, if I am not good at explaining
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 11
ของเก่าที่น่าอ่านอีกอันนะครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยที่เปิดwebนี้ใหม่ๆ และผมก็จัดเป็นมือใหม่ในแนว VIครับ
ทุกวันนี้ผมเข้าใจลึกซึ้งถึง Low Rish Low Loss + High Return = ?
อยากให้พวกเราอ่านและทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการเป็นนักลงทุนที่ดีในอนาคต
ทุกวันนี้ผมเข้าใจลึกซึ้งถึง Low Rish Low Loss + High Return = ?
อยากให้พวกเราอ่านและทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการเป็นนักลงทุนที่ดีในอนาคต
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
- NinjaTurtle
- Verified User
- โพสต์: 506
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 12
ช่วยแปลครับ
ผิดพลาดขออภัยไว้ก่อน
ผมเชื่อว่าความเสี่ยงและผลตอบแทนเป็นสูตรที่มีการแปรผันตามกัน ถ้ามีใครพูดว่าเขาหรือเธอสามารถได้ผลตอบแทนโดยที่ไม่มีความเสี่ยงเลยคงเป็นไปไม่ได้ ถ้ามีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นผลตอบแทนก็น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน นี่เป็นหลักการที่คนทั่วไปก็ยอมรับกัน แต่ก็ยังคงอยู่บนพื้นฐานของความคาดหวัง และความพอใจจากผลตอบแทนในการลงทุน ถ้ามีใครสักคนบอกว่าเขาสามารถได้ผลตอบแทนที่สูงและก็มีความเสี่ยงต่ำด้วย นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเขาอาจจะพอใจในผลตอบแทนและตัดสินว่ามันสูงมากพอที่จะมีความเสี่ยงแบบนั้นบ้าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผลตอบแทนนั้นสูงมากกว่าการลงทุนอื่นที่มีความเสี่ยงมากกว่า นักลงทุนแต่ละท่านมีความคาดหวังผลตอบแทนที่แตกต่างกัน ดังนั้นถ้านักลงทุนท่านนั้นสามารถจัดการกับความเสี่ยงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูง ในขณะที่คนอื่นทำไม่ได้ เพราะว่าคนอื่นล้มเหลวไม่สามารถจัดการกับความเสี่ยงได้ดีพอ ไม่ได้เป็นเพราะว่าการลงทุนนั้นความเสี่ยงต่ำและได้ผลตอบแทนสูง ดังนั้นนอกจากข้อมูลแล้ว ผมเชื่อว่าจังหวะก็เป็นส่วนสำคัญในการบริหารความเสี่ยง
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสามารถได้ผลตอบแทนต่อปี เอาเป็นว่าประมาณปีละ 20 % จากการลงทุนในหุ้นด้วยวิธีการของคุณเอง ในขณะที่คนอื่นที่ลงทุนด้วยวิธีการแบบอื่นทำไม่ได้ แต่ในทางกลับกันก็อาจจะเป็นได้เหมือนกันว่านักลงทุนบางคนอาจจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่า 20 % จากวิธีการลงทุนที่แตกต่างจากคุณได้ด้วยเช่นกัน คุณอาจจะบอกว่าผลตอบแทน 20 %เนี่ยมากพอแล้ว เพราะผลตอบแทนที่คุณคาดหวังจากการลงทุนด้วยวิธีการแบบนี้ก็ประมาณนี้แหละ แต่คนอื่นอาจจะคิดว่า 20 % ไม่พอเพราะอยากได้มากกว่านี้ พอมาถึงตรงนี้เขาอาจจะคิดหาวิธีลงทุนแบบใหม่ที่สามารถเอาชนะความเสี่ยงและได้ผลตอบแทนที่สูงกว่านี้ได้ เขาอาจจะคิดหาหนทางที่จะได้เงินมากขึ้น แต่นั้นก็ต้องมีความเสี่ยงมากขึ้นด้วย ดั้งนั้นผมถึงบอกว่ามันขึ้นอยู่กับความคาดหวัง และความพอใจของแต่ละคน ทุกๆวิธีที่เราใช้ป้องกันความเสี่ยงก็ต้องแลกไปกับผลตอบแทนที่จะได้รับด้วย ผลตอบแทนที่เราได้รับและคิดว่ามันสูงพอเป็นเพราะเราพอใจ ไม่ใช่เป็นเพราะเปรียบเทียบกับผลตอบแทนอื่น เพราะมันก็จะมีผลตอบแทนอื่นที่สูงกว่าอยู่ดี
ผมสรุปว่า คนที่ได้รับผลตอบแทนที่สูง เป็นเพราะเขาประสบความสำเร็จจาการจัดการกับความเสี่ยง แต่ไม่ได้หมายความว่าความเสี่ยงนั้นต่ำ วิธีการจัดการกับความเสี่ยงเป็นทั้งศิลป์และความลับส่วนบุคคล ผมถึงได้บอกว่าจังหวะสำคัญ เพราะทุกคนเลือกจังหวะที่แตกต่างกัน ขอบคุณที่อ่านและแบ่งปันกัน ขอโทษที่ผมอธิบายไม่เก่ง

ผมเชื่อว่าความเสี่ยงและผลตอบแทนเป็นสูตรที่มีการแปรผันตามกัน ถ้ามีใครพูดว่าเขาหรือเธอสามารถได้ผลตอบแทนโดยที่ไม่มีความเสี่ยงเลยคงเป็นไปไม่ได้ ถ้ามีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นผลตอบแทนก็น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน นี่เป็นหลักการที่คนทั่วไปก็ยอมรับกัน แต่ก็ยังคงอยู่บนพื้นฐานของความคาดหวัง และความพอใจจากผลตอบแทนในการลงทุน ถ้ามีใครสักคนบอกว่าเขาสามารถได้ผลตอบแทนที่สูงและก็มีความเสี่ยงต่ำด้วย นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเขาอาจจะพอใจในผลตอบแทนและตัดสินว่ามันสูงมากพอที่จะมีความเสี่ยงแบบนั้นบ้าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผลตอบแทนนั้นสูงมากกว่าการลงทุนอื่นที่มีความเสี่ยงมากกว่า นักลงทุนแต่ละท่านมีความคาดหวังผลตอบแทนที่แตกต่างกัน ดังนั้นถ้านักลงทุนท่านนั้นสามารถจัดการกับความเสี่ยงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูง ในขณะที่คนอื่นทำไม่ได้ เพราะว่าคนอื่นล้มเหลวไม่สามารถจัดการกับความเสี่ยงได้ดีพอ ไม่ได้เป็นเพราะว่าการลงทุนนั้นความเสี่ยงต่ำและได้ผลตอบแทนสูง ดังนั้นนอกจากข้อมูลแล้ว ผมเชื่อว่าจังหวะก็เป็นส่วนสำคัญในการบริหารความเสี่ยง
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสามารถได้ผลตอบแทนต่อปี เอาเป็นว่าประมาณปีละ 20 % จากการลงทุนในหุ้นด้วยวิธีการของคุณเอง ในขณะที่คนอื่นที่ลงทุนด้วยวิธีการแบบอื่นทำไม่ได้ แต่ในทางกลับกันก็อาจจะเป็นได้เหมือนกันว่านักลงทุนบางคนอาจจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่า 20 % จากวิธีการลงทุนที่แตกต่างจากคุณได้ด้วยเช่นกัน คุณอาจจะบอกว่าผลตอบแทน 20 %เนี่ยมากพอแล้ว เพราะผลตอบแทนที่คุณคาดหวังจากการลงทุนด้วยวิธีการแบบนี้ก็ประมาณนี้แหละ แต่คนอื่นอาจจะคิดว่า 20 % ไม่พอเพราะอยากได้มากกว่านี้ พอมาถึงตรงนี้เขาอาจจะคิดหาวิธีลงทุนแบบใหม่ที่สามารถเอาชนะความเสี่ยงและได้ผลตอบแทนที่สูงกว่านี้ได้ เขาอาจจะคิดหาหนทางที่จะได้เงินมากขึ้น แต่นั้นก็ต้องมีความเสี่ยงมากขึ้นด้วย ดั้งนั้นผมถึงบอกว่ามันขึ้นอยู่กับความคาดหวัง และความพอใจของแต่ละคน ทุกๆวิธีที่เราใช้ป้องกันความเสี่ยงก็ต้องแลกไปกับผลตอบแทนที่จะได้รับด้วย ผลตอบแทนที่เราได้รับและคิดว่ามันสูงพอเป็นเพราะเราพอใจ ไม่ใช่เป็นเพราะเปรียบเทียบกับผลตอบแทนอื่น เพราะมันก็จะมีผลตอบแทนอื่นที่สูงกว่าอยู่ดี
ผมสรุปว่า คนที่ได้รับผลตอบแทนที่สูง เป็นเพราะเขาประสบความสำเร็จจาการจัดการกับความเสี่ยง แต่ไม่ได้หมายความว่าความเสี่ยงนั้นต่ำ วิธีการจัดการกับความเสี่ยงเป็นทั้งศิลป์และความลับส่วนบุคคล ผมถึงได้บอกว่าจังหวะสำคัญ เพราะทุกคนเลือกจังหวะที่แตกต่างกัน ขอบคุณที่อ่านและแบ่งปันกัน ขอโทษที่ผมอธิบายไม่เก่ง
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 13
ผมกลับคิดว่า hig risk, high return คือ truth ครับ
คืองี้ครับ
high risk requires high return to justify it ครับ
ไม่ได้แปลว่า อะไรก็ตามที่ high risk จะต้อง high return
ถ้าการลงทุนอะไรที่ high risk และ low return แล้วล่ะก้อ
ไม่ควรจะไปลงทุนเด็ดขาด ไม่ควรเรียกว่าลงทุนด้วยซ้ำ
เช่น แทงบอล แทงหวย ฯลฯ ควรเรียกว่าการพนัน
ส่วน low risk, high return นั้น ไม่มีครับ
สำหรับเงินเยอะๆ และเงินก้อนใหญ่มากๆ (เช่นหลายแสนล้าน)
ในระดับกองทุนหรือ fund manager ใหญ่ๆ
พอร์ท 1-2 พันล้าน ถือว่าเล็กเอามากๆ ครับ
เพราะพอร์ทขนาดใหญ่ขึ้น risk ก็จะเปลี่ยนไปด้วยครับ
และยิ่งเป็นเงินคนอื่น risk ก็เปลี่ยนไปเยอะ
อย่างหุ้น liquidity ต่ำ ความเสี่ยงก็สูงขึ้น
(สำหรับเงินเยอะๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงินคนอื่น)
อีกอย่าง risk สำหรับคนสองคนอาจจะไม่เหมือนกัน
เช่น เราสามารถลงทุนในหุ้นตัวนึง
และถือว่า ความเสี่ยงจากการล่มสลายของตลาด
มีค่าความเสี่ยงเป็น 0 เพราะเราไม่จำเป็นต้องขาย
ถึงแม้ตลาดจะปิดวันพรุ่งนี้ ถือรอกิจการโตขึ้นเรื่อยๆ ได้
แต่สำหรับเงินกองทุน ถ้าตลาดปิด
แล้วมีคนขอไถ่ถอนเงินลงทุน
จะเอาที่ไหนไปจ่ายครับ
ความเสี่ยงเรื่องเดียวกัน จึงไม่เท่ากัน
สำหรับเงินเล็กๆ ของเรา กับเงินก้อนโตๆ
ดังนั้น หุ้นเล็กๆ มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกับรายย่อย
โดยที่เรามองว่าความเสี่ยงมันต่ำ
แต่สำหรับรายใหญ่ หุ้นเล็กๆ นั้น ความเสี่ยงสูงมาก
และไม่ใช่ความเสี่ยงของตัวกิจการเองนะครับ
เป็นความเสี่ยงรวมของทั้งตลาด
และความเสี่ยงของการ "ขายไม่ได้"
คืองี้ครับ
high risk requires high return to justify it ครับ
ไม่ได้แปลว่า อะไรก็ตามที่ high risk จะต้อง high return
ถ้าการลงทุนอะไรที่ high risk และ low return แล้วล่ะก้อ
ไม่ควรจะไปลงทุนเด็ดขาด ไม่ควรเรียกว่าลงทุนด้วยซ้ำ
เช่น แทงบอล แทงหวย ฯลฯ ควรเรียกว่าการพนัน
ส่วน low risk, high return นั้น ไม่มีครับ
สำหรับเงินเยอะๆ และเงินก้อนใหญ่มากๆ (เช่นหลายแสนล้าน)
ในระดับกองทุนหรือ fund manager ใหญ่ๆ
พอร์ท 1-2 พันล้าน ถือว่าเล็กเอามากๆ ครับ
เพราะพอร์ทขนาดใหญ่ขึ้น risk ก็จะเปลี่ยนไปด้วยครับ
และยิ่งเป็นเงินคนอื่น risk ก็เปลี่ยนไปเยอะ
อย่างหุ้น liquidity ต่ำ ความเสี่ยงก็สูงขึ้น
(สำหรับเงินเยอะๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงินคนอื่น)
อีกอย่าง risk สำหรับคนสองคนอาจจะไม่เหมือนกัน
เช่น เราสามารถลงทุนในหุ้นตัวนึง
และถือว่า ความเสี่ยงจากการล่มสลายของตลาด
มีค่าความเสี่ยงเป็น 0 เพราะเราไม่จำเป็นต้องขาย
ถึงแม้ตลาดจะปิดวันพรุ่งนี้ ถือรอกิจการโตขึ้นเรื่อยๆ ได้
แต่สำหรับเงินกองทุน ถ้าตลาดปิด
แล้วมีคนขอไถ่ถอนเงินลงทุน
จะเอาที่ไหนไปจ่ายครับ
ความเสี่ยงเรื่องเดียวกัน จึงไม่เท่ากัน
สำหรับเงินเล็กๆ ของเรา กับเงินก้อนโตๆ
ดังนั้น หุ้นเล็กๆ มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีกับรายย่อย
โดยที่เรามองว่าความเสี่ยงมันต่ำ
แต่สำหรับรายใหญ่ หุ้นเล็กๆ นั้น ความเสี่ยงสูงมาก
และไม่ใช่ความเสี่ยงของตัวกิจการเองนะครับ
เป็นความเสี่ยงรวมของทั้งตลาด
และความเสี่ยงของการ "ขายไม่ได้"
- NinjaTurtle
- Verified User
- โพสต์: 506
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 15
ยินดีมากครับพี่ CK
ความรู้น้อย แค่อยากตอบแทนบ้าง เพราะได้ความรู้จากในนี้ไปแยอะมาก ที่พอทำได้ก็แปลบทความนี่ละครับ แต่อย่ายาวมากนะพี่ ผมเคยติดคุณ Worapong ไว้ในห้องบทความ ยังแปลไม่จบเลย :(
ความรู้น้อย แค่อยากตอบแทนบ้าง เพราะได้ความรู้จากในนี้ไปแยอะมาก ที่พอทำได้ก็แปลบทความนี่ละครับ แต่อย่ายาวมากนะพี่ ผมเคยติดคุณ Worapong ไว้ในห้องบทความ ยังแปลไม่จบเลย :(
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 16
Low Risk High Return มีอยู่จริงและก็เจอบ่อยๆด้วยซ้ำไปครับ ไม่เกี่ยวกับการต้องไปบริหารจัดการความเสี่ยงใดๆทั้งสิ้น มันเป็นของมันอยู่เองแม้เราจะทำหรือไม่ทำอะไรกับมันก็ตาม และก็ไม่เกี่ยวกับความพอใจหรือไม่พอใจของเราด้วย เพราะมันไม่รู้หรอกครับว่าเราพอใจหรือไม่พอใจ ที่จริงมันไม่สนใจเราด้วยซ้ำไป
สาเหตุเกิดมาจากความไม่สมบูรณ์ของระบบและเป็นเรื่องที่เป็นอยู่แล้วโดย(พระ)ธรรมชาติ(เจ้า)หรือโดยพระเจ้าและก็เป็นหมดทั้งจักรวาลและเอกภพ
ทฤษฎี ตลาดที่มีประสิทธิภาพก็มีทั้งส่วนที่ถูกคือเหตุการณ์เป็นไปตามทฤษฎีจริง และส่วนที่ผิดคือคือเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามทฤษฎี
คำพูดบัฟเฟตต์ยังถูกต้องอยู่เสมอ "ถ้าตลาดมีประสิทธิภาพ ผมคงต้องไปนั่งถือกะลาขอทาน"
โดยธรรมชาติไม่จำเป็นเลย ที่ High Risk แล้วจะต้อง High Return หรือ Low Risk จะต้อง Low Return
Low Risk High Return มีอยู่เยอะแยะ และมีอยู่จริง อยู่ที่เรามองเห็นหรือไม่เท่านั้นเอง
กฏ 80/20 ยืนยันเรื่องนี้ได้ดี...........
สาเหตุเกิดมาจากความไม่สมบูรณ์ของระบบและเป็นเรื่องที่เป็นอยู่แล้วโดย(พระ)ธรรมชาติ(เจ้า)หรือโดยพระเจ้าและก็เป็นหมดทั้งจักรวาลและเอกภพ
ทฤษฎี ตลาดที่มีประสิทธิภาพก็มีทั้งส่วนที่ถูกคือเหตุการณ์เป็นไปตามทฤษฎีจริง และส่วนที่ผิดคือคือเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามทฤษฎี
คำพูดบัฟเฟตต์ยังถูกต้องอยู่เสมอ "ถ้าตลาดมีประสิทธิภาพ ผมคงต้องไปนั่งถือกะลาขอทาน"
โดยธรรมชาติไม่จำเป็นเลย ที่ High Risk แล้วจะต้อง High Return หรือ Low Risk จะต้อง Low Return
Low Risk High Return มีอยู่เยอะแยะ และมีอยู่จริง อยู่ที่เรามองเห็นหรือไม่เท่านั้นเอง
กฏ 80/20 ยืนยันเรื่องนี้ได้ดี...........
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- worapong
- Verified User
- โพสต์: 929
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 17
[quote="สามัญชน"]Low Risk High Return มีอยู่จริงและก็เจอบ่อยๆด้วยซ้ำไปครับ ไม่เกี่ยวกับการต้องไปบริหารจัดการความเสี่ยงใดๆทั้งสิ้น
margin of safety
circle of competence
waiting for the perfect pitch
circle of competence
waiting for the perfect pitch
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 18
เห็นด้วยเลยครับว่าส่วนใหญ่ efficient และตัวเลข 95% น่าจะใกลเคียงนะครับ ซึ่งหมายความว่า 5% ที่เหลือก็ถูกหารสองเป็นของ Low Risk High Return กับ High Risk Low Return ส่วน Low Risk Low Return น่าจะไปอยู่กลุ่ม 95%Once up on a time buffet said "market is 95% efficient not 100%"
ปล. น้องพงศ์แอบไปเที่ยวเมืองนอกเหรอครับ ถึงพิมพ์ภาษาไทยไม่ได้
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 2266
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 19
จริงๆ แล้ว คำว่า high risk, high return ยังมีการแปลความหมายกัน แบบไม่ชัดเจนครับ
ตำราว่าไว้ว่า high risk คือเรามีคำนวณในใจอยู่แล้วว่ามีreturn เท่าไหร่ แต่มีโอกาสที่จะเกิดไม่เป็นไปตามที่คาด ทั้งในทางบวกและทางลบมากๆครับ
เช่นเราบอกว่าเราต้องการให้ port เรามีผลตอบแทนที่ได้น่าจะเป็น 20% ต่อปี แล้ว มีหุ้น 2 ตัว ความน่าจะเป็นที่จะเกิดคือ 0 - 40 % ต่อปี กับ อีกกรณีคือ 15-25 % ต่อปี
เราก็จะเลือก กรณีที่สองเพราะความเสี่ยงที่จะไม่ได้ผลกำไรที่คาดมีน้อย
risk ที่เกิดขึ้นคือ ความห่างของ +- 20 % กับ +- 5% ครับ ไม่ใช่ risk ที่เกิดจากการผลการตอบแทน
แต่เป็น risk ที่เกิดจากโอกาสผิดผลาดที่จะได้ได้ตามผลตอบแทนตามที่คำนวณได้
high risk, high return หมายถึงการเสี่ยงที่คำนวณผลตอบแทนได้ไม่แน่นอนมากกว่าครับ
ดังนั้น
การที่มี หุ้นที่ หวังผลตอบแทน 50 % แล้ว โอกาสได้ผลตอบแทนเป็น 48-52%
กับอีกตัว หวังผลตอบแทนเป็น 5% แล้วโอกาสได้ผลตอบแทนเป็น 0 -10%
เราถือว่าตัวแรกมีความเสี่ยงน้อยกว่าครับ
ดังนั้น high risk, high return น่าจะเป็น เรื่องของการคาดผลประกอบการที่ไม่แน่นอน มากกว่า
ดังนั้นถ้าคาดผลประกอบการแม่นๆ ก็ถือว่าเป็น low risk, high return ได้ครับ
ตำราว่าไว้ว่า high risk คือเรามีคำนวณในใจอยู่แล้วว่ามีreturn เท่าไหร่ แต่มีโอกาสที่จะเกิดไม่เป็นไปตามที่คาด ทั้งในทางบวกและทางลบมากๆครับ
เช่นเราบอกว่าเราต้องการให้ port เรามีผลตอบแทนที่ได้น่าจะเป็น 20% ต่อปี แล้ว มีหุ้น 2 ตัว ความน่าจะเป็นที่จะเกิดคือ 0 - 40 % ต่อปี กับ อีกกรณีคือ 15-25 % ต่อปี
เราก็จะเลือก กรณีที่สองเพราะความเสี่ยงที่จะไม่ได้ผลกำไรที่คาดมีน้อย
risk ที่เกิดขึ้นคือ ความห่างของ +- 20 % กับ +- 5% ครับ ไม่ใช่ risk ที่เกิดจากการผลการตอบแทน
แต่เป็น risk ที่เกิดจากโอกาสผิดผลาดที่จะได้ได้ตามผลตอบแทนตามที่คำนวณได้
high risk, high return หมายถึงการเสี่ยงที่คำนวณผลตอบแทนได้ไม่แน่นอนมากกว่าครับ
ดังนั้น
การที่มี หุ้นที่ หวังผลตอบแทน 50 % แล้ว โอกาสได้ผลตอบแทนเป็น 48-52%
กับอีกตัว หวังผลตอบแทนเป็น 5% แล้วโอกาสได้ผลตอบแทนเป็น 0 -10%
เราถือว่าตัวแรกมีความเสี่ยงน้อยกว่าครับ
ดังนั้น high risk, high return น่าจะเป็น เรื่องของการคาดผลประกอบการที่ไม่แน่นอน มากกว่า
ดังนั้นถ้าคาดผลประกอบการแม่นๆ ก็ถือว่าเป็น low risk, high return ได้ครับ
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 20
ผมชอบคำที่เพื่อนคนหนึ่ง บอกว่า
High understanding High return :)
High understanding High return :)
==หากบริษัทไม่ได้อยู่ในตลาดฯ หุ้นยังน่าซื้อหรือไม่ ==
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 21
[quote="NinjaTurtle"]ช่วยแปลครับ
ผิดพลาดขออภัยไว้ก่อน
ผมสรุปว่า คนที่ได้รับผลตอบแทนที่สูง เป็นเพราะเขาประสบความสำเร็จจาการจัดการกับความเสี่ยง แต่ไม่ได้หมายความว่าความเสี่ยงนั้นต่ำ วิธีการจัดการกับความเสี่ยงเป็นทั้งศิลป์และความลับส่วนบุคคล ผมถึงได้บอกว่าจังหวะสำคัญ เพราะทุกคนเลือกจังหวะที่แตกต่างกัน

ผมสรุปว่า คนที่ได้รับผลตอบแทนที่สูง เป็นเพราะเขาประสบความสำเร็จจาการจัดการกับความเสี่ยง แต่ไม่ได้หมายความว่าความเสี่ยงนั้นต่ำ วิธีการจัดการกับความเสี่ยงเป็นทั้งศิลป์และความลับส่วนบุคคล ผมถึงได้บอกว่าจังหวะสำคัญ เพราะทุกคนเลือกจังหวะที่แตกต่างกัน
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 25
[quote="sunrise"]จริงๆ แล้ว คำว่า high risk, high return ยังมีการแปลความหมายกัน แบบไม่ชัดเจนครับ
ตำราว่าไว้ว่า high risk คือเรามีคำนวณในใจอยู่แล้วว่ามีreturn เท่าไหร่ แต่มีโอกาสที่จะเกิดไม่เป็นไปตามที่คาด ทั้งในทางบวกและทางลบมากๆครับ
เช่นเราบอกว่าเราต้องการให้ port เรามีผลตอบแทนที่ได้น่าจะเป็น 20% ต่อปี แล้ว มีหุ้น 2 ตัว ความน่าจะเป็นที่จะเกิดคือ 0 - 40 % ต่อปี
ตำราว่าไว้ว่า high risk คือเรามีคำนวณในใจอยู่แล้วว่ามีreturn เท่าไหร่ แต่มีโอกาสที่จะเกิดไม่เป็นไปตามที่คาด ทั้งในทางบวกและทางลบมากๆครับ
เช่นเราบอกว่าเราต้องการให้ port เรามีผลตอบแทนที่ได้น่าจะเป็น 20% ต่อปี แล้ว มีหุ้น 2 ตัว ความน่าจะเป็นที่จะเกิดคือ 0 - 40 % ต่อปี
-
- Verified User
- โพสต์: 2266
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 26
[quote="Boring Stock Lover"][quote="sunrise"]จริงๆ แล้ว คำว่า high risk, high return ยังมีการแปลความหมายกัน แบบไม่ชัดเจนครับ
ตำราว่าไว้ว่า high risk คือเรามีคำนวณในใจอยู่แล้วว่ามีreturn เท่าไหร่ แต่มีโอกาสที่จะเกิดไม่เป็นไปตามที่คาด ทั้งในทางบวกและทางลบมากๆครับ
เช่นเราบอกว่าเราต้องการให้ port เรามีผลตอบแทนที่ได้น่าจะเป็น 20% ต่อปี แล้ว มีหุ้น 2 ตัว ความน่าจะเป็นที่จะเกิดคือ 0 - 40 % ต่อปี
ตำราว่าไว้ว่า high risk คือเรามีคำนวณในใจอยู่แล้วว่ามีreturn เท่าไหร่ แต่มีโอกาสที่จะเกิดไม่เป็นไปตามที่คาด ทั้งในทางบวกและทางลบมากๆครับ
เช่นเราบอกว่าเราต้องการให้ port เรามีผลตอบแทนที่ได้น่าจะเป็น 20% ต่อปี แล้ว มีหุ้น 2 ตัว ความน่าจะเป็นที่จะเกิดคือ 0 - 40 % ต่อปี
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
High Risk High Return is always the principle and truth
โพสต์ที่ 28
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=13549พี่สามัญชนครับ ช่วยอธิบายกฏ 20/80 หน่อยได้ไหมครับ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด