WCIH

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

WCIH

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Gossip: EFORL แต่งตั้งที่ปรึกษาฯ ดัน WCIH เข้าตลาดหุ้น
Source - Press Release, Local (Th/Eng)

Monday, March 23, 2015 12:27


กรุงเทพฯ--23 มี.ค.--IR network

บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม (EFORL) เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่เว้นเจอมรสุมข่าวลือ...ข่าวปล่อย จากผู้ไม่หวังดีมาโดยตลอด...แต่ "เฮียธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์" CEO คนเก่ง ก็ไม่เคยหวั่นวิตก ด้วยเหตุผลว่าผลงานจะเครื่องพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นเอง...แถมล่าสุด ”เฮียธีรวุทธิ์” ยังแท็กทีมกับกรรมการ ดับบลิวซีไอ โฮล์ดิ้ง (WCIH) ลงนามแต่งตั้ง บล.กสิกรไทย และบล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งอีกไม่นานก็จะได้เห็น WCIH เข้าตลาดหุ้นแน่นอนจร้า

-กผ-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: WCIH

โพสต์ที่ 2

โพสต์

สัมภาษณ์พิเศษ : “ธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์” นำทัพEFORLสยายปีก รุกธุรกิจเครื่องมือแพทย์-ความงาม
Source - ข่าวหุ้น (Th)

Thursday, October 09, 2014 04:08


กรุงเทพฯ--9 ต.ค.--ข่าวหุ้น

บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ตัวแทนนำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ได้เข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ทางอ้อม (Backdoor Listing) ผ่านการซื้อสินทรัพย์ของบริษัท แอปโซลูท อิมแพค จำกัด (มหาชน) หรือ AIM (ชื่อเดิม) ที่ประกอบธุรกิจสื่อโฆษณา โดยปัจจุบันได้เปลี่ยนธุรกิจหลักมาจำหน่ายเครื่องมือแพทย์อย่างเต็มตัว จนส่งผลให้ผลการดำเนินงานพลิกจากขาดทุนมาสู่กำไรได้ ขณะที่ธุรกิจสื่อโฆษณาซึ่งเป็นธุรกิจไม่มีแผนที่จะขยายธุรกิจในส่วนนี้อีกในอนาคต
โดย EFORL กำหนดกลยุทธ์ธุรกิจและการตลาดที่ชัดเจน โดยจะเน้นขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีขนาดใหญ่และมีมูลค่าต่อหน่วยสูง เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องฟอกปอด เครื่องวางยาสลบ โดยได้เป็นตัวแทนขายสินค้าเพียงรายเดียวให้กับผู้ผลิตชั้นนำของโลก เช่น Hamilton, Nihon Kohden GE Healthcare นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ขนาดเล็ก อย่างเครื่องวัดความดัน กล้องจุลทรรศน์ทางการแพทย์ เป็นต้น
แม่ทัพใหญ่ “ธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EFORL เปิดใจให้สัมภาษณ์กับ "ข่าวหุ้นธุรกิจ" ว่า แม้บริษัทจะ Backdoor เข้ามาจากการเข้าซื้อธุรกิจเดิม และมีการเปลี่ยนแปลงธุรกิจในปัจจุบัน แต่ส่งผลทำให้ปีที่แล้วเป็นปีแรกที่บริษัทกลับมามีกำไร และครึ่งปีแรกของปีนี้ก็มีกำไรอย่างต่อเนื่อง จากก่อนหน้านี้ขาดทุนมาตลอด
รวมถึงการที่ซื้อ That ’ s So บริษัทเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับโลก ขณะที่บริษัทก็ขายเครื่องมือแพทย์ที่เป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ได้สิทธิ์ขายในภาคพื้นเอเชีย ขายในต่างประเทศอยู่ 20 ประเทศ สำหรับการซื้อหุ้นในบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด เนื่องจากวุฒิศักดิ์ฯมีการนำเข้าเครื่องมือแพทย์ถึงปีละกว่า 300 ล้านบาท เฉพาะเครื่องเลเซอร์ ส่วนนิติพลมีการนำเข้าปีละ 100-200 ล้านบาท จัดว่ามีการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยี เพื่อให้มีเครื่องมือที่ทันสมัย
สำหรับวุฒิศักดิ์ฯมีสาขา 120 สาขา บริษัทมองว่าอย่างน้อยก็สามารถขายเครื่องได้ 1 ล้านบาทต่อสาขาแล้ว นอกจากนี้ยังมีสาขาต่างประเทศ 11 สาขา คือ ที่พม่า กัมพูชา เวียดนาม ลาว ทำหน้าที่ในตลาดอาเซียน ซึ่งจะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) แทนบริษัท
ดังนั้น บริษัทมีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัทย่อยชื่อว่า บริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด เพื่อเข้าถือหุ้นวุฒิศักดิ์ฯ เพื่อขยายช่องทางธุรกิจและเพิ่มแหล่งรายได้ให้กับบริษัท โดยในวันที่ 22 ตุลาคม 2557 นี้ บริษัทจะมีการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อเข้าซื้อหุ้นวุฒิศักดิ์ฯ จากผู้ถือหุ้นเดิม รวมเป็นเงินประมาณ3,500 ล้านบาท
นอกจากนั้นบริษัทย่อยจะให้วุฒิศักดิ์ฯ กู้ยืมเงิน 1,000 ล้านบาท เพื่อไปจ่ายชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมทั้งหมด รวมเป็นมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถจ่ายเงินได้ประมาณวันที่ 31 ตุลาคม 2557 หรือภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2557 สำหรับแหล่งเงินที่นำมาใช้จะมาจากการกู้ยืมเงินจากธนาคารกสิกรไทย และธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ในสัดส่วน 50:50
โดยหลังบริษัทย่อยซื้อหุ้นวุฒิศักดิ์ฯแล้ว ซึ่งบริษัทจะเข้าถือหุ้นในบริษัทย่อยในสัดส่วน 60% ของทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว และผู้ร่วมทุนรายอื่นจะถือหุ้นในบริษัทย่อยในสัดส่วน 40% ของทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว ซึ่งบริษัทย่อยถือหุ้น 100% ในบริษัทวุฒิศักดิ์ฯ ก็เท่ากับว่าบริษัทถือหุ้นในวุฒิศักดิ์ฯในสัดส่วน 60%
“สัดส่วนการถือหุ้นวุฒิศักดิ์ฯ บริษัทจะเข้าไปถือหุ้น 60% ผู้ถือหุ้นเดิม 3 ราย ถือหุ้น 25% และกองทุนใหม่จากสิงคโปร์ ถือหุ้น 15% ก็ทำให้เรามีธุรกิจ 2 อย่าง คือ ธุรกิจขายเครื่องมือแพทย์ และธุรกิจความงาม ซึ่งเป็นโอกาสที่ดี เนื่องจากวุฒิศักดิ์ฯไม่มีหนี้เสีย และยังเป็นบริษัทอันดับหนึ่งด้านธุรกิจความงาม มีมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 40% นำนิติพล คลินิก และพรเกษม คลินิก รวมทั้งยังมีสาขาในประเทศ 120 สาขา และมีสาขาต่างประเทศ 11 สาขา คือ ที่พม่า กัมพูชา เวียดนาม และลาว ซึ่งจะไม่เสียโอกาสเมื่อมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)”
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/57 จะส่งผลให้บริษัทล้างขาดทุนสะสมประมาณ 280 ล้านบาทหมดได้ โดยมาจากการที่บริษัทลดทุนจดทะเบียน และมีกำไรจากผลการดำเนินงาน ซึ่งครึ่งปีแรกของปีนี้มีกำไรสุทธิแล้วประมาณ 99 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อล้างขาดทุนสะสมตลอด 5 ปีที่ผ่านมาหมด บริษัทก็จะมีการพิจารณาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น โดยตามนโยบายจะจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
โดยการล้างขาดทุนสะสม ได้มีการปรับลดราคาพาร์ลงจากเดิมที่ 0.10 บาท เป็น 0.075 บาท และลดทุนชำระแล้วจาก 960 ล้านบาท เหลือ 690 ล้านบาท โดยการลดพาร์ครั้งนี้ไม่กระทบต่อทั้งส่วนของผู้ถือหุ้นและจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนอยู่ในตลาด เพียงแต่เป็นการปรับลดขาดทุนสะสมทางบัญชี
สำหรับในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายมีกำไรกว่า 200 ล้านบาท จากช่วงครึ่งปีแรกที่มีกำไรแล้วประมาณ 99ล้านบาท และตั้งเป้ามีรายได้ประมาณ 1,300-1,400 ล้านบาท จากเดิมตั้งเป้า 1,500 ล้านบาท เนื่องจากมีเหตุการณ์ทางการเมืองตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม2556-พฤษภาคม 2557 ทำให้เสียโอกาส จึงส่งผลให้รายได้ในช่วงครึ่งปีแรกไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะการขายส่วนใหญ่จะขายให้กับโรงพยาบาล ทั้งภาครัฐ เอกชน โรงเรียนแพทย์ แต่ขณะนี้งบประมาณภาครัฐออกแล้ว ก็น่าจะมีการขายได้ตามเป้าหมายได้
“ธีรวุทธิ์” กล่าวต่อว่า ปีหน้า (ปี 2558) หากมีการรับรู้รายได้จากวุฒิศักดิ์ฯ ซึ่งมีรายได้ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทถือหุ้น 60% ก็จะรับรู้รายได้ประมาณ 2,400 ล้านบาท เมื่อรวมกับเป้าหมายเครื่องมือแพทย์ที่ตั้งไว้ประมาณ 2,000 ล้านบาท ก็จะมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ สำหรับสัดส่วนรายได้ก็จะมาจากธุรกิจความงามจากวุฒิศักดิ์ฯ 60% และจากธุรกิจเครื่องมือแพทย์ 40%
ด้านธุรกิจเครื่องมือแพทย์ ปัจจุบันมีการขายแบรนด์ชั้นนำระดับโลก 20 แบรนด์ เป็นยี่ห้อดังติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก นอกจากนี้มีแผนจะเพิ่มแบรนด์ใหม่ โดยอยู่ระหว่างการเจรจาคาดว่าจะทันในปีนี้ประมาณ 1 แบรนด์ ขณะที่ธุรกิจความงามของวุฒิศักดิ์ฯ จะเน้นขยายในต่างประเทศ เพื่อให้มีการเติบโต เนื่องจากเป็นการลงทุนในลักษณะแฟรนไชส์ไม่ต้องลงทุนเอง 1 ประเทศ ซึ่งจะได้เงินประมาณ 20 ล้านบาท ตอนนี้มีศึกษาอยู่อีกประมาณ 4-5 ประเทศ ส่วนตลาดในประเทศ จะเน้นเพิ่มยอดขายต่อสาขาของวุฒิศักดิ์ฯ แต่ไม่เน้นเพิ่มสาขา เพื่อให้มีกำไรมากขึ้น โดยคาดว่าตลาดความงามในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเครื่องมือแพทย์ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ซึ่งเชื่อว่าประเทศไทยมีมูลค่ารายจ่ายสุขภาพรวมต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เฉลี่ยประมาณ 4% ยังต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเวียดนามที่ประมาณ 5% และยังต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ประมาณ 10% สะท้อนได้ว่าประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตในกลุ่มธุรกิจสุขภาพได้อีกมาก
นอกจากนี้ ในส่วนของเงินลงทุน EFORL ได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 2 (EFORL-W2) 4,600 ล้านหน่วย ที่จะสิ้นสุดอายุวันที่ 22 ส.ค. 59 มีอัตราการใช้สิทธิ 1 หน่วยต่อ 1 หุ้นสามัญ ซึ่ง EFORL จะได้เงินที่ได้จากการใช้สิทธิประมาณ 460 ล้านบาทในปี 2559 ไปลงทุนในการขยายธุรกิจ และสร้างการเติบโตในอนาคต--จบ--
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: WCIH

โพสต์ที่ 3

โพสต์

EFORLกำไรกระฉูด850%
Source - ข่าวหุ้น (Th)

Tuesday, March 03, 2015 04:05


กรุงเทพฯ--3 มี.ค.--ข่าวหุ้น

"EFORL" แจ้งงบปี 57 กำไร 251.44 ล้านบาท พุ่ง 850% รายได้ 1,450 ล้านบาท โต 817% บุ๊คธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือ-อุปกรณ์ทางการแพทย์เต็มปี บวกธุรกิจบริการความงาม 1 เดือน พร้อมปันผล 1 สต. ขึ้น XD วันที่ 27 เม.ย.นี้
นายธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL กล่าวว่า ปี 2557 บริษัทมีกำไรสุทธิ 251.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 850% จากปี 2556 ที่มีกำไรสุทธิ 26.45 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 3/56 บริษัทเริ่มลงทุนในกลุ่มธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ จึงทำให้ในปี 2556 บริษัทรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้เพียง 2 ไตรมาส คือ ไตรมาส 3 และไตรมาส 4 แต่ในปี 2557 มีการรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้ทั้ง 4 ไตรมาส ประกอบกับบริษัทได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของยี่ห้อต่างๆ เพิ่มขึ้นด้วย และจากการขยายการลงทุนในธุรกิจบริการความงามในปลายปี 2557
ขณะเดียวกันปี 2557 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 1,450 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 817% เมื่อเทียบกับปี 2556 ส่วนใหญ่มาจากอัตราการเติบโตของรายได้จากการขายและบริการจากกลุ่มธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่เพิ่มขึ้นในอัตรา 1,323% จากปี 2556
นอกจากนั้น ในเดือนธ.ค. 57 บริษัทขยายการลงทุนไปสู่กลุ่มธุรกิจบริการความงาม โดยเป็นการลงทุนผ่านบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (บริษัทย่อย) ในสัดส่วน 60% เพื่อไปลงทุนในบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด ทำให้บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการจากกลุ่มธุรกิจบริการความงามในปี 2557 จำนวน 276 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ดำเนินการโดยบริษัทและบริษัท สเปซเมด จำกัด (บริษัทย่อย) ซึ่งรายได้จากการขายและบริการในกลุ่มธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ในปี 2557 เพิ่มขึ้น 1,323% เมื่อเทียบกับปี 2556 เนื่องจากมีการรับรู้รายได้เต็มปีในธุรกิจนี้ในปี 2557
ส่วนธุรกิจบริการสื่อโฆษณา ดำเนินการโดยบริษัทและบริษัท เอนโม จำกัด (บริษัทย่อย) ซึ่งรายได้จากการบริการสื่อโฆษณาในปี 2557 ลดลง 55% เมื่อเทียบกับปี 2556 เนื่องจากในปี 2557 บริษัทเล็งเห็นแนวโน้มที่ดีของธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ ทรัพยากรที่มีอยู่จึงถูกมุ่งเน้นเพื่อการขายและบริการธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และธุรกิจบริการความงาม ดำเนินการโดยบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิค อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (ถือหุ้นโดยบริษัทย่อย)

อย่างไรก็ตาม บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการประจำปี 2557 (วันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 57) ในอัตรา 0.01 บาทต่อหุ้น โดยจ่ายเป็นเงินสดรวมเป็นเงินจำนวน 92,000,135 บาท ซึ่งเงินปันผลดังกล่าวคิดเป็นอัตรา 43.96% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉพาะกิจการและหักสำรองตามกฎหมายแล้ว
ทั้งนี้ กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) ในวันที่ 29 เม.ย. 58 ปิดสมุดทะเบียนเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล ตามมาตรา 225 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์วันที่ 30 เม.ย. 58 วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) คือวันที่ 27 เม.ย. 58 และจ่ายปันผลวันที่ 21 พ.ค. 58 โดยจะจ่ายเมื่อได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 แล้ว ทั้งนี้ การให้สิทธิดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 22 เม.ย. 58--จบ--
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: WCIH

โพสต์ที่ 4

โพสต์

EFORL: ทิสโก้ แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 2 บาท/หุ้น
Source - บจ.หลักทรัพย์ ทิสโก้ (Th)

Monday, March 09, 2015 10:23


บมจ. อี ฟอร์ แอล เอม

Rating BUY
(unchanged)
12 month Target Price Bt2.00
Current Price (06/03/2015) Bt1.31
Upside/Downside 53%
CG Rating N/R
Sector SERVICE (mai)
Sector PER (x) N/A

ปี 2015 จะยังเติบโตได้สูงต่อเนื่อง จากรายได้วุฒิศักดิ์คลินิค

ปี 2015 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่มีกำไรเติบโตสูง จากการรับรู้รายได้จากการเข้าลงทุนใน WCIH เต็มปี
ในปี 2014 EFORL มีผลประกอบการเติบโตสูงถึง 810% YoY จากการรับรู้รายได้จากธุรกิจตัวแทนจัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์เต็มปี และในปีนี้เช่นเดียวกัน เรามองว่าจะเห็นผลประกอบการของ EFORL ที่ยังมีการเติบโตในระดับสูง เนื่องจากในปีนี้จะรับรู้รายได้จากการเข้าลงทุนในบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทในสัดส่วน 60% เพื่อไปลงทุนในบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (WCIG) เต็มปีจากปี 2014 ที่รับรู้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ดังนั้น เราคาดว่าจะเห็นผลประกอบการของ EFORL เติบโตในระดับสูงอีกปี โดยปัจจุบันราคา EFROL ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ซึ่งมี upside ต่อราคาเป้าหมายของเราที่ 2 บาท ดังนั้น เรายังคงแนะนำ “ซื้อ”

กำไรสุทธิ 2014 เติบโตสูงโต 810% YoY
EFORL ประกาศกำไรสุทธิปี 2014 จำนวน 241 ล้านบาท ซึ่งเติบโตในระดับสูง 810% YoY ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้รายได้จากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์เต็มปี จำนวน 1,181 ล้านบาท เติบโต 1,323% จากปีรายได้เพียง 83 ล้านบาทในปี 2013 เนื่องจากรับรู้เพียง 2 ไตรมาสใน 3Q13 และ 4Q13 เท่านั้น ในขณะที่ธุรกิจสื่อโฆษณารับรู้รายได้ลดลง -55% มาอยู่ที่ 25 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทหันมามุ่งเน้นธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และธุรกิจบริการความงาม จากการลงทุนผ่าน WCIH ทำให้บริษัทมีรายได้จากการบริการจากกลุ่มบริการความงามจำนวน 276 ล้านบาท ซึ่งรับรู้เพียง 1 เดือนในเดือนธันวาคม 2014เท่านั้น สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 35% เพิ่มขึ้นจาก 34.5% YoY และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 17.3% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัท

ปัจจัยหนุนหลักในปีนี้มาจากการลงทุนใน WCIH
เรามีมุมมองที่ดีต่อ EFORL ทั้งจากการดำเนินงานหลักของบริษัทจากการขายอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งทำให้บริษัทมีการเติบโตระดับ 10% - 15% ต่อปีจากการมีประสบการณ์กว่า 30 ปีในธุรกิจดังกล่าว นอกจากนี้ จากการเข้าลงทุนในบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเข้าลงทุนในบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (WCIG) ซึ่งปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจทั้งในแง่การควบคุมต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ และการกลับมาสร้างภาพลักษณ์ในแบรนด์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นการกระตุ้นรายได้และเพิ่มจำนวนลูกค้ารายใหม่ๆ เรามองว่าการเข้าลงทุนในครั้งนี้จะช่วยสร้างประโยชน์ให้แก่บริษัททั้งในแง่การขยายฐานลูกค้าเข้าสู่ธุรกิจเสริมความงาม จาก WCIG เป็นผู้นำในตลาดคลินิกเสริมความงาม ซึ่งมีเจาะในกลุ่มตลาดระดับกลาง ซึ่งมีสาขาในประเทศ 120 สาขา และ 14 สาขาในต่างประเทศ ดังนั้น เรามองว่าในปีนี้ EFORL จะมีการเติบโตที่ดี ด้วยผลประกอบการ 413 ล้านบาท (+93.7% YoY)

คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ 2 บาท
เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ EFORL ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ 2 บาท จากเดิม 2.50 บาท (DCF) จากทิศทางการเติบโตตามอุตสาหกรรมการแพทย์ ทั้งจากการจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์และธุรกิจเสริมความงาม โดยปี 2014 เป็นปีแรกที่บริษัทสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้ที่ 0.01 บาทต่อหุ้น (27 เมษายน 2015) หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ ปัจจัยเสี่ยง 1) ภาวะเศรษฐกิจที่กระทบต่อการใช้จ่ายผู้บริโภค 2) การขาดบุคลากรที่เชี่ยวชาญ 3) การไม่ได้รับใบอนุญาตการจัดจำหน่ายจากเจ้าของแบรนด์

ผลประกอบการปี 2014 เติบโตสูง หลักๆ มาจากธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่รับรู้เต็มปี
EFORL ประกาศกำไรสุทธิปี 2014 จำนวน 241 ล้านบาท ซึ่งเติบโตในระดับสูง 810% YoY ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้รายได้จากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์เต็มปี จำนวน 1,181 ล้านบาท เติบโต 1,323% จากปีรายได้เพียง 83 ล้านบาทในปี 2013 เนื่องจากรับรู้เพียง 2 ไตรมาสใน 3Q13 และ 4Q13 เท่านั้น ในขณะที่ธุรกิจสื่อโฆษณารับรู้รายได้ลดลง -55% มาอยู่ที่ 25 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทหันมามุ่งเน้นธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และธุรกิจบริการความงาม จากการลงทุนผ่าน บริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทในสัดส่วน 60% เพื่อไปลงทุนในบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (WCIG) ทำให้บริษัทมีรายได้จากการบริการจากกลุ่มบริการความงามจำนวน 276 ล้านบาท ซึ่งรับรู้เพียง 1 เดือนในเดือนธันวาคม 2014เท่านั้น สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 35% เพิ่มขึ้นจาก 34.5% YoY และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 16.6% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัท

ธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ยังเติบโตได้ดี
เรามองว่าธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ของบริษัทยังคงเติบโตได้ดีตามปกติที่ระดับ 15-20% โดยปัจจุบันบริษัทมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำหน่าย 20 รายการ ซึ่งอยู่ระหว่างการขอเพิ่มสินค้า แม้ว่าปัจจุบันการเบิกจ่ายของโรงพยาบาลของภาครัฐยังคงไม่สูงนัก แต่คาดว่าจะเห็นการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณมากขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ดังนั้นในปีนี้เราคาดว่ารายได้จากธุรกิจดังกล่าวจะอยู่ที่ 1,282 ล้านบาท (+10% YoY)

คาดรายได้ในปีนี้ยังเติบโตสูง จากการรับรู้รายได้จาก WCIG เต็มปี
EFORL ได้เข้าลงทุนในบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (WCIG) ผ่านบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 60% ซึ่งในปี 2014 บริษัทรับรู้รายได้จากการบริการ WCIH เพียงเดือนธันวาคมเท่านั้น จำนวน 276 ล้านบาท สำหรับปีนี้ เรามองว่าจะเป็นปีแรกที่มีการรับรู้รายได้เต็มปีจาก WCIH ดังนั้นจะทำให้บริษัทมีรายได้จากการบริการเติบโตสูง โดยคาดว่าอยู่ที่ 2,888 ล้านบาท ซึ่งหลักๆ เป็นผลมาจากยอดขายต่อสาขาที่คาดว่าจะสูงขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจที่สูงขึ้น แม้ว่าบริษัทจะไม่เพิ่มสาขาวุฒิศักดิ์คลินิคก็ตาม

วุฒิศักดิ์ตั้งเป้าไม่เพิ่มสาขาในประเทศ แต่ตั้งเป้าเพิ่มสาขาในต่างประเทศ 4 สาขา
ปัจจุบัน วุฒิศักดิ์คลินิค มีสาขาในประเทศ 120 สาขา และ 12 สาขาในต่างประเทศซึ่งเน้นใน CLMV ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และเมียนมาร์ โดยสำหรับปีนี้ บริษัทยังไม่เน้นการเติบโตสาขาในประเทศ โดยยังคงสาขาไว้ที่ 120 สาขา แต่สำหรับสาขาในต่างประเทศ ตั้งเป้าเพิ่มสาขาใหม่อีก 4 สาขา ซึ่งยังเน้นสาขาในประเทศ CLMV


ปรับกลยุทธ์ ลดค่าใช้จ่ายเพิ่มการเติบโตกำไร
จากการพูดคุยกับผู้บริหารของ EFORL บริษัทอยู่ระหว่างการปรับกลยุทธ์สำหรับวุฒิศักดิ์ โดยในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ไม่ต่ำกว่าปี 2014 ที่ประมาณ 2,500 – 2,700 ล้านบาทซึ่งไม่เน้นการเติบโตรายได้หรือขยายสาขา แต่จะให้ความสำคัญกับการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งประเมินไว้ที่ 20-30 ล้านบาทต่อเดือน โดยเป็นการลดต้นทุนหลักๆ ดังต่อไปนี้
1)ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร : ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรคิดเป็น 14% ของต้นทุนทั้งหมด โดยบริษัทจะมีการปรับโครงสร้างภายในองค์กรเพื่อลดจำนวนบุคลากรที่ทับซ้อนในการทำงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายดังกล่าวลง
2)การบริหารต้นทุนสินค้า : ต้นทุนสินค้าคิดเป็น 18.6% ของต้นทุนขาย ซึ่งบริษัทวางแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง โดยการเพิ่มสินค้าที่เน้นคุณภาพ ซึ่งในการออกแต่ละสินค้าจะมีการคำนวณต้นทุนและอัตรากำไรก่อนเพื่อให้มีอัตรากำไรมากขึ้น
3)ต้นทุนการให้บริการ : การบริการ ณ สาขาของวุฒิศักดิ์ประกอบไปด้วยพยาบาลและแพทย์ ซึ่งต้นทุนระหว่างแพทย์และพยาบาลมีความแตกต่างค่อนข้างสูง โดยปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือน โบนัส และเปอร์เซนต์ของแพทย์ คิดเป็น 13.2% ของต้นทุนทั้งหมด ดังนั้น บริษัทจะมีการปรับกระบวนการบริการ ซึ่งบางขั้นตอนสามารถใช้พยาบาลทำแทนแพทย์ได้เพื่อลดต้นทุนดังกล่าว

จากการบริหารต้นทุนของบริษัท รวมกับความแข็งแกร่งของวุฒิศักดิ์ เรามองว่าวุฒิศักดิ์ยังคงมีความแข็งแกร่งและน่าจะเติบโตได้ดีด้วยการเป็นผู้นำกลุ่มคลินิคเสริมความงามกลุ่มตลาดระดับกลางของไทย เนื่องจากเป็นรายแรกๆที่เข้าสู่ธุรกิจดังกล่าว และกลุ่มธุรกิจนี้ยังคงเติบโตได้ดี จากข้อมูลในอดีตพบว่าธุรกิจคลินิคบริการความงามมีการเติบโตในระดับสูงเฉลี่ย 32% ต่อปี และคาดว่าจะยังมีการเติบโตระดับ 15-20% ต่อปีในปี 2015-2016 และยังมีปัจจัยหนุนการการเติบโต อาทิเช่น การหันมาสนใจในสุขภาพ ด้านรูปลักษณ์ของประชาชน เทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนดีขึ้น ประชากรที่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มากขึ้น จะเป็นช่วยหนุนการเติบโตของธุรกิจ

เป็นอีกปีที่ผลประกอบการจะยังเติบโตสูง
เราปรับลดประมาณการผลประกอบการของเราลงเล็กน้อย เพื่อสะท้อนกลยุทธ์ของบริษัทในการไม่เน้นการขยายสาขาวุฒิศักดิ์คลินิค เนื่องจากเดิมเรามองว่าบริษัทจะเพิ่มจำนวนสาขาของบริษัทอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ของบริษัท

โดยเรามองว่าในปีนี้จะเป็นอีกปีหนึ่งที่ EFORL ยังมีผลประกอบการที่เติบโตได้สูง จากการรับรู้รายได้จากวุฒิศักดิ์เต็มปี และรายได้จากธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ที่ยังเติบโตได้ดีโดยเราคาดว่าในปีนี้ EFORL จะมีรายได้ 4,170 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ 1,282 ล้านบาท (+ 10% YoY) และรายได้จากการให้บริการ 2,888 ล้านบาท ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 39% จากอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่อยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 36% และการบริหารต้นทุนสำหรับ WCIH ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ประมาณ 39% แต่ด้วยบริษัทต้องมีภาระดอกเบี้ยจ่ายประมาณ 138 ล้านบาท อันเนื่องมาจากการกู้ยืมเพื่อเข้าลงทุนในบริษัท WCIH ส่งผลให้ทั้งปีน่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 440 ล้านบาท เติบโตในระดับสูงที่ 82.9% YoY และคาดว่าจะยังคงมีการเติบโตที่ดีด้วย CAGR 3 ปีที่ 13% (ปี 2015-2018)

การประเมินมูลค่าเหมาะสมด้วยวิธี DCF ได้มูลค่าที่เหมาะสม 2 บาทต่อหุ้น
จากการปรับลดประมาณการผลประกอบการของเรา ราคาเป้าหมายหมายใหม่ของเราอยู่ที่ 2 บาท จากเดิม 2.50 บาท โดยเราใช้วิธีประเมินมูลค่าด้วยวิธีลดกระแสเงินสด (DCF) ด้วย WACC 10.5% (risk free rate 2.5% , risk premium 9.2% และ beta 0.8 เท่า) หรือคิดเป็น PER ที่ 40 เท่าปี 2015F ด้วย PEG เพียง 0.10 เท่า เนื่องจากบริษัทมีผลประกอบการที่เติบโตอยู่ในระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจโรงพยาบาลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล 4 บริษัท (BDMS, BCH, CHG, BCH) ซึ่งมีการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ PER 35x ด้วย PEG เฉลี่ย 2.02 เท่า ปัจจุบัน ราคาหุ้น EFORL ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับ SET เรามองว่า EFORL ยังมีแนวโน้มที่ดีทั้งในแง่การเติบโตของผลประกอบการและแนวโน้มธุรกิจ ดังนั้น เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 2 บาท (DCF) ปัจจัยเสี่ยงมาจาก1) ภาวะเศรษฐกิจที่กระทบต่อการใช้จ่ายผู้บริโภค 2) การขาดบุคลากรที่เชี่ยวชาญ 3) การไม่ได้รับใบอนุญาตการจัดจำหน่ายจากเจ้าของแบรนด์

โทรศัพท์: (66) 2633-6999 โทรสาร: (66) 2633-6490 E-mail: [email protected]

โดย สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ประจำวันที่ 09 มี.ค. 2558

----------------------------------------------------------------------------------------------------------

รายงานฉบับนี้ไม่ถือว่าเป็นคำเสนอหรือคำชี้ชวนให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ และจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อประโยชน์แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเท่านั้น มิให้นำไปเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือโดยทางอื่นใด ทิสโก้ไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นโดยตรงหรือเป็นผลจากการใช้เนื้อหาหรือรายงานฉบับนี้ การนำไปซึ่งข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่ผู้เดียว

-จจ-
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: WCIH

โพสต์ที่ 5

โพสต์

วุฒิศักดิ์ คลีนิกเตรียมเข้าตลาดหุ้นภายใต้ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้งในปี 59

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559 13:12:30 น.
บริษัท วุฒิศักดิ์ คลีนิค อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด แต่งตั้ง บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) และ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ให้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการเตรียมความพร้อมในการนำบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วุฒิศักดิ์ฯ เพื่อเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปี 59 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินมาขยายธุรกิจให้บริษัทเติบโตเต็มศักยภาพ และปรับโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่ง

อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: WCIH

โพสต์ที่ 6

โพสต์

(เพิ่มเติม) วุฒิศักดิ์ คลีนิกเตรียมเข้าตลาดหุ้นภายใต้ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้งในปี 59

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559 15:38:01 น.
บริษัท วุฒิศักดิ์ คลีนิค อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด แต่งตั้ง บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) และ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ให้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการเตรียมความพร้อมในการนำบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วุฒิศักดิ์ฯ เพื่อเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปี 59 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินมาขยายธุรกิจให้บริษัทเติบโตเต็มศักยภาพ และปรับโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่ง

นายธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์ กรรมการบริหาร บมจ.ดิบบลิวซีไอ โฮลดิ้ง กล่าวว่า บริษัทคาดจะสามารถยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ได้ราวกลางปี 59 และสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ได้ภายในปี 59 คาดเม็ดเงินจากการระดมทุนราว 1,000 กว่าล้านบาท เพื่อชำระหนี้ราว 998 ล้านบาท และขยายสาขาต่างประเทศ

ทั้งนี้ บริษัทถือหุ้นในวุฒิศักดิ์ คลีนิค อินเตอร์ กรุ๊ปทั้ง 100% ขณะที่วุฒิศักดิ์ มีบริษัทลูกอีก 2 แห่งที่ถือหุ้นั้ง 100% คือ ธุรกิจคอสเมติก และฟาร์มาซี โดยในปี 59 วุฒิศักดิ์ ตั้งเป้ายอดขายเดิมเติบโต 10% จากที่มี 120 สาขาในประเทศ ซึ่งปีนี้จะยังไม่เปิดสาขาเพิ่ม แต่จะเน้นการเติบโตของยอดขาย

ส่วนต่างประเทศปัจจุบันเป็นรูปแบบแฟรนไชส์ 12 แห่ง ในปีนี้จะปรับเปลี่ยนรูบแบบเป็นการร่วมทุนทั้งหมด

"ถ้าเป็น joint venture เราอยากถือมากกว่า 50% ก็จะเป็นรายได้เข้าวุฒิศักดิ์ฯ ตามสัดส่วนถือหุ้น ปีนี้มีแผนเพิ่ม joint venture อีก 8 สาขา รวมกับที่เปลี่ยนรูปแบบเดิมเป็น joint venture รวมเป็น 20 สาขาในต่างประเทศในสิ้นปีนี้ เน้นกลุ่ม CLMV โดยงบลงทุน 8 สาขาในต่างประเทศรวมราว 150 ล้านบาท"

นายธีรวุทธิ์ กล่าวว่า จุดเด่นของ ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง คือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจคลีนิคเสริมความงามที่ใหญ่สุดในไทย และเป็นแห่งแรกที่ได้มาตรฐาน JCI ซึ่ง ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง ขณะนี้มีหนี้เหลืออยู่ 998 ล้านบาท หากระดม่ทุนจาก IPO ก็จะสามารถคืนหนี้ทั้งหมด ขณะที่สาขาวุฒิศักดิ์เดิมยอดรายได้เติบโต 10% ต่อสาขา

ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของวุฒิศักดิ์ฯ มาจากคลินิกกว่า 90% คอสเมติก 3% แต่ 3 ปีข้างหน้าตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากคอสเมติกเป็น 10-20% เนื่องจากมีอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 20% ขณะที่อัตรากำไรจากคลินิกอยู่ที่ 10-20% บวก/ลบ โดยปัจจุบันคอสเมติกภายใต้แบรนด์วุฒิศักดิ์วางจำหน่ายในร้านวัตสันแล้ว

ในงวด 9 เดือนแรกของปี 58 วุฒิศักดิ์ฯ มีกำไรสุทธิกว่า 100 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมตลาดความงามในปี 59 น่าจะเติบโตดีกว่าปี 58 โดยคาดธุรกิจความงามเติบโต 5-7% แต่คอสเมติกเติบโต 20%

อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: WCIH

โพสต์ที่ 7

โพสต์

EFORL ตั้งเป้าปี 59 รายได้รวมโต 10% พร้อมเป็นเจ๊ดัน ตั้ง MBKET - CIMB เป็น FA จ่อเข็น WCI เข้าตลาด (ชมคลิป)
Source - MGR Online (Th)

Wednesday, February 03, 2016 17:15


กรุงเทพฯ--3 ก.พ.--ASTVผู้จัดการออนไลน์

"ธีรวุทธิ์" แถลงเตรียมเข็น WCI เข้าเทรดใน SET ตั้งเป้าระดมทุนไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาทคาดได้ข้อสรุปไฟลิ่งได้ภายในปีนี้ เผยนำเงินที่ได้มาล้างหนี้ ขยายสาขาและรุกธุรกิจคอสเมติก ส่วนแนวโน้ม EFORL คาดรายได้รวมโตจากปีก่อน 10%
นายธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม หรือ EFORL กล่าวว่าบริษัทฯตั้งเป้าประมาณการณ์เติบโตของรายได้รวมปี 2559 คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างน้อย 10% หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท เทียบสัดส่วนจากรายได้ของปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 4,500 ล้านบาท
"ปีที่แล้วบริษัทมีรายได้ที่เติบโตขึ้นจากการจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2,200 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของปีนี้คาดว่ารายได้จะเติบโตขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 10% แต่ทั้งนี้ก็ยังคงขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ด้วยเช่นกัน"
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในปี 2559 จะเน้นธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสุขภาพ ในแบรนด์ iHealth เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่เน้นดูแลสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งยังได้ปรับกลยุทธการทำตลาดด้วยการฝึกอบรมฝ่ายขาย และเตรียม Call Center ให้มีความพร้อมในการให้บริการลูกค้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ในส่วนของการนำ บมจ.ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง หรือ WCI ซึ่งถือหุ้นใน บริษัทวุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด เข้าจดทะเบียนซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น บริษัทฯ ได้ลงนามแต่งตั้ง บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง หรือ MBKET และ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งคาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปในการยื่นไฟลิ่ง และสามารถเปิดทำการซื้อขายหุ้น IPO ได้ภายในปี 2559 นี้ โดยตั้งเป้าการระดมทุนไว้ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท
ขณะที่จุดประสงค์ของการเข้าระดมทุนครั้งนี้เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุน มาชำระหนี้ของ วุฒิศักดิ์ ที่มีอยู่ต่อสถาบันฯซึ่งมีอยู่ประมาณ 998 ล้านบาทและที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนเพื่อขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศกลุ่ม CLMV อีกอย่างน้อย 8 สาขาใหม่ จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 12 สาขา โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท รวมสาขาต่างประเทศทั้งหมดในปีนี้จะอยู่ที่ 20 สาขา ซึ่งในต่างประเทศจะเป็นโครงสร้างใหม่ที่จากเดิมใช้การบริหารแบบแฟรนไชส์ แต่จะเปลี่ยนใหม่เป็นการร่วมทุนกับบริษัทฯที่ทำด้านธุรกิจความงาม ซึ่งจะทำให้สามารถรับรู้รายได้จากต่างประเทศเพิ่มเข้ามามากขึ้น และลงทุนขยายช่องทางการทำธุรกิจด้านคอสเมติกส์อีกประมาณ 250-300 ล้านบาท
"แนวโน้มธุรกิจด้านความงามในปัจจุบันเติบโตไม่มากนักซึ่งอยู่ที่ 3 ส่วนธุรกิจคอสเมติกส์ปัจจุบันอยู่ที่ 5% ส่วนตัวมองว่าธุรกิจคอสเมติกส์ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตอีกมาก โดยบริษัทฯตั้งเป้าการเติบโตของธุรกิจคอสเมติกส์ในระยะ 3 ปีไว้ไม่น้อยกว่า 10-20%"--จบ--
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: WCIH

โพสต์ที่ 8

โพสต์

*EFORL เผยมีแผนยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นบจ.ในตลาดหลักทรัพย์ฯของ WCIH ภายใน Q2/59
Source - IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (Th)

Tuesday, March 22, 2016 08:36


สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 มี.ค. 59)--บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม (EFORL) แจ้งว่าบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (WCIG) มีแผนยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯภายในไตรมาส 2/59 และคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 59 หลังจากที่มีการปรับโครงสร้างธุรกิจเสริมความงามแล้วเสร็จ
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อสัปดาห์ก่อน อนุมัติแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจเสริมความงาม โดยการขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ในบริษัท สยามสเนล จำกัด จำนวน 51% ในราคาไม่เกิน 10.2 ล้านบาท และหุ้นทั้งหมดในบริษัท แดทโซ เอเซีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 18% ในราคาไม่เกิน 36 ล้านบาท ให้แก่ WCIH เพื่อทำให้โครงสร้างธุรกิจมีความเหมาะสมในการดำเนินการขายหุ้นเพิ่มทุนของ WCIH ให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) โดยคาดว่าการขายหุ้นทั้งสองบริษัทดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/59
ตามแผนการขายหุ้น IPO นั้น WICH จะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,687 ล้านบาท จากเดิมที่ 1,160 ล้านบาท โดยกำหนดสัดส่วนของจำนวนหุ้น IPO ของ WCIH ไม่เกิน 49.7 ล้านหุ้น หรือไม่เกิน 30% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ WCIH ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO พร้อมทั้งกำหนดสัดส่วนไม่เกิน 17.4 ล้านหุ้น หรือไม่เกิน 35% ของจำนวนหุ้น IPO ทั้งหมดที่จะได้รับการจัดสรร เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น
ขณะที่ปัจจุบัน EFORL ถือหุ้นใน WCIH ซึ่งประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจเสริมความงาม จำนวน 50.17% และภายหลังการขายหุ้น IPO ของ WCIH แล้ว EFORL จะถือหุ้นใน WCIH จำนวนมากกว่าหรือเท่ากับ 34.50% ซึ่งการเพิ่มทุนของ WICH จะช่วยลดภาระหนี้สินและดอกเบี้ยจ่าย หลังจะนำเงินมาปลดภาระหนี้เงินกู้สถาบันการเงิน และยังเป็นการช่วยขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ WICH มีแผนรุกตลาดไปยังต่างประเทศ โดยเน้นในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะเปลี่ยนจากธุรกิจ Franchise เป็น Joint
Venture ซึ่งจะทำให้มีการบริหารกิจการได้เองอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
EFORL ยังชี้แจงเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าการสอบทานระบบการควบคุมภายในของ WCIG และความคืบหน้าการขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างบริษัทกับบริษัท อี ฟอร์ แอล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (EFORL INTER) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เค แอนด์ ดับบลิว (ประเทศไทย) จำกัดด้วยว่า
ผลการสอบทานระบบการควบคุมภายในของ WCIG และการปรับปรุงให้ WCIG มีระบบการควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพ บริษัท พีแอนด์แอล อินเทอร์นอล ออดิท จำกัด (P&L) ผู้ตรวจสอบภายในของ WCIG ตรวจสอบภายในของ WCIG ในวงจรหลัก 5 หมวดใหญ่ๆ แล้ว โดยให้ข้อคิดเห็นและคำแนะนำเพื่อให้ WCIG ใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงระบบการควบคุมภายในให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ดีขึ้น โดย P&Lจะเข้าตรวจสอบระบบการควบคุมภายในของ WCIG อีกครั้ง ในช่วงกลางเดือนเม.ย.59 และ P&L จะรายงานผลการตรวจสอบระบบการควบคุมภายในของ WCIG
เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการยื่นคำขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Filing)
ส่วนความคืบหน้าในการขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างบริษัทกับบริษัท เคแอนด์ ดับบลิว ในระหว่างปี 58 บริษัทได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายจากเจ้าของสินค้าซึ่งเดิมบริษัท เค แอนด์ ดับบลิว (ประเทศไทย) (K&W) จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่าย บริษัทจึงต้องมีความผูกพันกับผู้แทนจำหน่ายเดิม เช่น ความผูกพันในการซื้อสินค้าคงเหลือ กล่าวคือต้องรับซื้อสินค้าคงคลังต่อจากตัวแทนจำหน่ายเดิมเพื่อนำมาบริการลูกค้า จึงทำให้ในปี 58 บริษัทจึงยังคงมีการซื้อสินค้าจาก K&W

--อินโฟเควสท์ โดย วิลาวัลย์ พงษ์พิทักษ์/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: [email protected]--
โพสต์โพสต์