โค้ด: เลือกทั้งหมด
บทความคราวที่แล้วกล่าวถึงคนที่ไม่มีมรดกหรือพ่อแม่ไม่มีเงินลงทุนก้อนแรกให้จะสามารถร่ำรวยจากตลาดหุ้นได้โดยเริ่มต้นจากขั้นตอนแรกคือ ทำงานเก็บเงิน การเก็บเงินที่จะสร้างความมั่งคั่งได้นั้นควรจะเก็บอย่างน้อย 50 เปอร์เซนต์ของเงินที่ได้รับในแต่ละเดือน เช่นเงินเดือนเดือนละ 3 หมื่นบาท โบนัสปีละ 3 เดือน ถ้าเก็บเงินได้ครึ่งหนึ่งคือ 1.5 หมื่นบาทและโบนัสเก็บเข้าบัญชีทุกปี ภายในเวลา 4 ปีจะมีเงินเก็บถึง 1,080,000 บาท นั่นคือ 1 ล้านบาทแรกจากการทำงานโดยเริ่มต้นจากศุนย์และไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่แต่อย่างใด ซึ่งเงินก้อนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่ำรวยโดยไม่ต้องง้อมรดก
ขั้นตอนที่สอง คือการหาความรู้ในการลงทุนระหว่างที่กำลังเก็บเงิน
ในช่วงที่กำลังเก็บเงินอยู่นั้นควรใช้เวลาให้เป็นประโยชน์โดยการศึกษาหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ซึ่งอาจทำได้หลายทางไม่ว่าจะเป็นการซื้อหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมาอ่าน เข้าอบรมเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นซึ่งมีการจัดอบรมทั้งฟรีและเสียค่าใช้จ่าย นอกเหนือจากนั้นอาจเข้าฟังการบรรยายของนักลงทุนที่เชื่อถือได้ การเข้าสมาคมหรือกลุ่มนักลงทุนก็ช่วยให้เปิดความคิดทางด้านการลงทุนได้ด้วยเช่นเดียวกัน ในช่วงนี้อาจนำเงินที่เก็บได้ส่วนหนึ่งนำมาลงทุนในตลาดหุ้นดูบ้าง เพื่อเป็นการหาความรู้ในการลงทุนจริงๆ เงินที่นำมาลงทุนนั้นอาจจะเป็นเพียง 10 เปอร์เซนต์ของเงินที่มีอยู่ เพื่อเวลาเกิดความผิดพลาดจะได้ไม่เสียหายต่อเงินก้อนใหญ่ที่กำลังสะสมเป็นทุน หลายคนนำเงินที่มีมาลงทุนในตลาดหุ้นเต็มตัวในช่วงแรกๆซึ่งเป็นความเสี่ยงพอสมควร
หลังจากลองผิดลองถูกในตลาดหุ้นมาเป็นเวลาสี่ปีและเก็บเงินได้ตามเป้าหมาย 1 ล้านบาทขั้นตอนต่อไปในการสร้างความร่ำรวยโดยไม่ต้องแบมือขอเงินมรดกจากใคร นั่นคือการนำเงินไปลงทุนในระยะยาวเพื่อผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน โดยเฉลี่ยผลตอบแทนจากตลาดหุ้นทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ 10 เปอร์เซนต์ต่อปีโดยคิดจากราคาหุ้นหรือดัชนีที่เพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลา 20-30 ปีขึ้นไปโดยไม่ได้คิดเงินปันผลที่ได้ในแต่ละปี ถ้านับรวมเงินปันผลเข้าไปด้วยสมมุติปีละ 5 เปอร์เซนต์ ผลตอบแทนต่อปีจะเพิ่มขึ้นเป็น 15 เปอร์เซนต์ต่อปี
โดยทั่วไปนักลงทุนที่มีชื่อเสียงอย่างวอร์เรน บัฟเฟตนั้นถ้าดูจากผลงานการลงทุนของเขาแล้วจะพบว่าในช่วงแรกๆนั้น บัฟเฟตทำผลตอบแทนได้ปีละ 24 เปอร์เซนต์ จนเมื่อเงินลงทุนของบริษัทเบิร์คไชน์ของเขาเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงสิบปีหลังทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของบัฟเฟตลดลงแต่ยังอยู่ในระดับปีละเฉลี่ย 20 เปอร์เซนต์ต่อปี
การลงทุนให้ได้ปีละ 10-15 เปอร์เซนต์นั้น นักลงทุนสามารถทำได้โดยลงทุนผ่านกองทุนดัชนีโดยไม่ต้องไปวิเคราะห์หุ้นด้วยตนเองแต่อย่างใด และเป็นวิธีที่บัฟเฟตแนะนำสำหรับนักลงทุนรายย่อย การที่จะทำผลตอบแทนให้ได้มากกว่านั้น นักลงทุนอาจดำเนินตามรอยบัฟเฟตโดยลงทุนในหุ้นบริษัทที่ดีและเติบโตในระยะยาวด้วยวิธีการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ Value Investing ถ้าไปดูผลตอบแทนในแต่ละปีของบัฟเฟตนั้นจะเห็นว่า ไม่มีปีใดที่เขาทำผลตอบแทนได้ถึง 100 เปอร์เซนต์เลยสักปีเดียว วิธีการของเขาจะเน้นไปที่การป้องกันความเสียหายของพอร์ตหรือเงินลงทุนก่อนเป็นหลัก โดยการลดความเสี่ยงในการลงทุนด้วยการศึกษาหาธุรกิจที่เข้าใจในราคาที่เหมาะสมและถือลงทุนเป็นระยะเวลานานหลายปี บางบริษัทบัฟเฟตถือมากกว่าสิบหรือยี่สิบปีเลยทีเดียว
นักลงทุนรายย่อยในไทยนั้นมักคิดว่าการลงทุนในหุ้นต้องทำผลตอบแทนได้เป็นร้อยเปอร์เซนต์ต่อปีถึงจะรวยได้ แต่ในความเป็นจริงการทำผลตอบแทนได้สูงมากๆเป็นเวลาติดต่อกันนั้นมักตามมาด้วยความเสี่ยงที่มากขึ้น เช่น จำเป็นต้องใช้มาร์จิ้นหรือการกู้ยืมเพื่อเวลาหุ้นขึ้นพอร์ตจะได้เพิ่มสูงขึ้นมากอย่างทวีคูณหรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนหุ้นบ่อยๆเพราะบางครั้งราคาหุ้นที่ซื้อมานั้นสูงขึ้นมากจนอัพไซด์เริ่มน้อยลง ต้องขายและหันไปลงทุนในหุ้นที่ยังมีราคาที่ยังต่ำอยู่ ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น การใช้มาร์จิ้นจะได้ผลมากเพราะซื้อหุ้นอะไร ราคาก็ขึ้นไปได้แทบจะทุกตัว แต่ในช่วงเวลาตลาดกลับเป็นขาลง หลายคนที่เล่นมาร์จิ้นอาจจะหมดตัวได้เลยเช่นเดียวกันโดยเฉพาะกับการเก็งกำไรแต่ไม่ยอมขายจนต้องถูกคัดลอสหรือเรียกหลักประกันเพิ่ม
ถึงตอนนี้จะเห็นว่าการลงทุนในหุ้นได้ผลตอบแทนเพียงปีละ 10 ถึง 20 เปอร์เซนต์ต่อปีก็สามารถทำให้รวยได้โดยไม่ง้อมรดกจากพ่อแม่หรือใครๆ คราวหน้าเราจะมาดูตัวเลขว่าการเก็บเงินเพียงเดือนละ 15,000 บาทก็เป็นเศรษฐีร้อยล้านได้เช่นกัน โปรดติดตาม