ปลูกหุ้นกินผล
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 61
"คุณค่าของความสำเร็จไม่ได้มาจากขนาดของทรัพย์สิน แต่การมีเงินเลี้ยงดูทั้งครอบครัวคือเรื่องที่ภูมิใจ"
=ปิง-ฐิติ กิตติพัฒนานนท์=
=ปิง-ฐิติ กิตติพัฒนานนท์=
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 62
ครบ 1 ปีแล้ว...เข้าสู่การเดินทางปีที่ 2...
การได้มา post ใน thaivi เปรียบเสมือนสมุดบันทึกการเดินทาง บันทึกไปเรื่อยๆ วันหนึ่งกลับมาอ่าน คงได้อ่านไปยิ้มไป
การได้มา post ใน thaivi เปรียบเสมือนสมุดบันทึกการเดินทาง บันทึกไปเรื่อยๆ วันหนึ่งกลับมาอ่าน คงได้อ่านไปยิ้มไป
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 63
เตือนสติตัวเอง ด้วยการย้อนกลับไปดูเหตุการณ์สำคัญในตลาดหุ้นไทย
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 64
ตอนนี้ตลาดหุ้นร้อนแรงจริงๆ ถึงกับมีละครแล้ว"แอบรักออนไลน์"
มันแสดงถึงระดับความนิยมของตลาดหุ้นตาม ”ทฤษฎีงานปาร์ตี้” ที่ ปีเตอร์ ลินซ์ ได้กล่าวไว้ไหมเอ่ย???
ติดตามต่อไป!!!
มันแสดงถึงระดับความนิยมของตลาดหุ้นตาม ”ทฤษฎีงานปาร์ตี้” ที่ ปีเตอร์ ลินซ์ ได้กล่าวไว้ไหมเอ่ย???
ติดตามต่อไป!!!
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 65
ทฤษฎีปาร์ตี้ของปีเตอร์ ลินซ์
Posted by วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยกำลังร้อนแรง นักลงทุนหน้าใหม่จำนวนมากกำลังเดินเข้าตลาดหุ้นเนื่องจากทนความเย้ายวนของผลกำไรที่ได้ของนักลงทุนรุ่นก่อนหน้าไม่ไหว หลายคนโพสอวดรถใหม่หรือนาฬิกาหรูที่ได้มาจากการทำเงินในตลาดหุ้นยิ่งเป็นเหมือนการกระตุ้นความโลภของเพื่อนๆที่พบเห็นโพสเหล่านั้นในโลกโซเชียลมีเดีย จากบัญชีนักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นไทยเพียงหนึ่งแสนบัญชีเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ปัจจุบันบัญชีซื้อขายหุ้นของรายย่อยมีถึงหนึ่งล้านบัญชี แสดงว่านักลงทุนเพิ่มเข้ามาเกือบสิบเท่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา
การกล่าวถึงระดับความนิยมของตลาดหุ้นนั้น ปีเตอร์ ลินซ์เป็นผู้ที่ให้ข้อคิดเห็นได้อย่างดีมากใน”ทฤษฎีงานปาร์ตี้” (The Cocktail Party Theory) ที่เขาคิดขึ้นมาเองจากประสบการณ์การเป็นผู้จัดการกองทุนมากว่า 20 ปีและเขียนไว้ในหนังสือ”เหนือกว่าวอลสตรีท”ของเขา (One Up on Wall Street) ลินซ์แบ่งตลาดหุ้นออกเป็น 4 ระดับดังนี้
ระดับที่หนึ่ง ตลาดหุ้นกำลังตกต่ำและเพิ่งผ่านพ้นความหายนะมาหมาดๆ ไม่มีใครพูดถึงตลาดหุ้น ในงานปาร์ตี้ ผู้คนชอบพูดกับหมอฟันเกี่ยวกับเรื่องคราบหินปูนมากกว่าที่จะพูดกับปีเตอร์ ลินซ์เกี่ยวกับหุ้น ในช่วงนี้แสดงว่าตลาดหุ้นกำลังเริ่มที่จะปรับตัวขึ้น
ในประเทศไทย สถานการณ์เช่นนี้ทำให้นึกถึงตลาดหุ้นในช่วงปี 2540 หลังจากที่มีการลดค่าเงินบาท ตลาดหุ้นตกจาก 1,700 จุดลงมาเหลือเพียง 200 จุด ช่วงนั้นนักลงทุนรายย่อยต่างเจ๊งหุ้นกันถ้วนหน้า ไม่มีใครเอ่ยถึงคำว่าตลาดหุ้น ทุกคนต่างเมินหน้าหนีจากตลาด คนที่ยังถือหุ้นอยู่ต่างขาดทุนกันแทบทุกคน ส่วนคนที่ขายออกไปมักจะขายขาดทุนเสมอ หาคนที่ทำกำไรจากตลาดหุ้นช่วงนั้นน้อยมากๆ หลายคนเลิกเล่นหุ้นหันไปประกอบอาชีพด้านอื่น เป็นช่วงเวลาแห่งความหดหู่ในการลงทุนในตลาดหุ้น ผู้เขียนยังจำได้ว่าในช่วงนั้นรัฐบาลมีนโยบายให้ซื้อกองทุนอาร์เอ็มเอฟ (RMF) เพื่อนำมาลดหย่อนภาษี ผู้เขียนต้องการซื้อกองทุนหุ้น 100 เปอร์เซนต์ ปรากฏว่าเพื่อนที่เป็นผู้จัดการกองทุนบอกว่าอย่าซื้อกองทุนหุ้น ให้ซื้อกองทุนพันธบัตรแทน ถ้าซื้อกองทุนหุ้นจะไม่ยอมขายให้ แสดงให้เห็นว่าช่วงนั้นตลาดหุ้นแย่สุดๆเลยทีเดียว
ระดับที่สอง ผู้คนเริ่มพูดถึงตลาดหุ้นในงานเลี้ยง แต่ส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นการลงทุนที่เสี่ยงเกินไป คนในงานยังชอบคุยกับหมอฟันมากกว่าที่จะคุยกับปีเตอร์ ลินซ์เรื่องหุ้น ตอนนี้ตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นประมาณ 15 เปอร์เซนต์
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติซัพไพร์ม ผู้คนส่วนใหญ่มองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงสูง หลายคนไม่ยอมลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้น แต่ไปซื้อกองทุนพันธบัตรหรือฝากเงินแทน ตลาดหุ้นไทยช่วงนั้นอยู่ระหว่าง 400-600 จุดและขึ้นๆลงๆอยู่ตลอดเวลา มีหลายครั้งที่ขึ้นไปถึง 700 จุดและตกลงมาอย่างรุนแรงทำให้หลายคนมองว่าเสี่ยงเกินไป นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายเก็งกำไร การลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือวีไอเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆในตลาดที่ไม่มีคนสนใจมากนัก
ระดับที่สาม ทุกคนในงานรวมถึงหมอฟันพูดถึงตลาดหุ้นและรุมล้อมปีเตอร์ ลินซ์เพื่อถามว่าซื้อหุ้นอะไรดี ทุกคนในงานเลี้ยงซื้อขายหุ้นกันแทบทุกคนและไม่มีใครไม่พูดถึงตลาดหุ้น ช่วงนี้ตลาดเริ่มสูงขึ้น 30 เปอร์เซนต์
ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันเริ่มเหมือนระดับสามของทฤษฎีของลินซ์ ทุกวันนี้ทุกคนต่างพูดถึงการลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน พนักงานออฟฟิศหรือแม้แต่คนขับแท็กซี่ เพื่อนคนหนึ่งเล่าว่าวันหนึ่งขึ้นแท็กซี่ปรากฏว่าคนขับแท็กซี่ชวนคุยเรื่องหุ้น เพื่อนคนนั้นถึงกับงะจังงัง นึกไม่ถึงว่าตลาดหุ้นจะดึงดูดคนทุกอาชีพได้มากขนาดนี้ ในงานสัมมนาหุ้นจะพบผู้คนมากกมายตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อที่จะเข้าไปฟังกูรูพูดถึงเรื่องหุ้น พอจบงานเหล่านักลงทุนก็เข้าไปห้องล้อมกูรูเหล่านั้นเพื่อที่จะได้รู้ว่าเซียนซื้ออะไรกันอยู่
ระดับสี่ ทุกคนล้อมรอบปีเตอร์ ลินซ์ แต่ที่ต่างจากระดับสามคือในระดับที่แล้วผู้คนถามลินซ์ว่าซื้อหุ้นอะไรดี แต่ในระดับสี่ผู้คนจะบอกลินซ์ว่าซื้อหุ้นตัวนั้นตัวนี้ซิดี แม้แต่หมอฟันยังบอกลินซ์ว่าตอนนี้เขาเล่นหุ้นเป็นอาชีพ อีกไม่กี่วันหุ้นที่คุยกันในงานเลี้ยงนั้นมีราคาสูงขึ้นทุกตัว ในที่สุดเพื่อนบ้านของลินซ์ยังมาบอกลินซ์ว่าให้ซื้อหุ้นตัวไหน นี่เป็นสัญญาณว่าตลาดหุ้นกำลังจะตกลงอย่างรุนแรงในเร็วๆนี้
http://www.thaivi.org
Posted by วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยกำลังร้อนแรง นักลงทุนหน้าใหม่จำนวนมากกำลังเดินเข้าตลาดหุ้นเนื่องจากทนความเย้ายวนของผลกำไรที่ได้ของนักลงทุนรุ่นก่อนหน้าไม่ไหว หลายคนโพสอวดรถใหม่หรือนาฬิกาหรูที่ได้มาจากการทำเงินในตลาดหุ้นยิ่งเป็นเหมือนการกระตุ้นความโลภของเพื่อนๆที่พบเห็นโพสเหล่านั้นในโลกโซเชียลมีเดีย จากบัญชีนักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นไทยเพียงหนึ่งแสนบัญชีเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ปัจจุบันบัญชีซื้อขายหุ้นของรายย่อยมีถึงหนึ่งล้านบัญชี แสดงว่านักลงทุนเพิ่มเข้ามาเกือบสิบเท่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา
การกล่าวถึงระดับความนิยมของตลาดหุ้นนั้น ปีเตอร์ ลินซ์เป็นผู้ที่ให้ข้อคิดเห็นได้อย่างดีมากใน”ทฤษฎีงานปาร์ตี้” (The Cocktail Party Theory) ที่เขาคิดขึ้นมาเองจากประสบการณ์การเป็นผู้จัดการกองทุนมากว่า 20 ปีและเขียนไว้ในหนังสือ”เหนือกว่าวอลสตรีท”ของเขา (One Up on Wall Street) ลินซ์แบ่งตลาดหุ้นออกเป็น 4 ระดับดังนี้
ระดับที่หนึ่ง ตลาดหุ้นกำลังตกต่ำและเพิ่งผ่านพ้นความหายนะมาหมาดๆ ไม่มีใครพูดถึงตลาดหุ้น ในงานปาร์ตี้ ผู้คนชอบพูดกับหมอฟันเกี่ยวกับเรื่องคราบหินปูนมากกว่าที่จะพูดกับปีเตอร์ ลินซ์เกี่ยวกับหุ้น ในช่วงนี้แสดงว่าตลาดหุ้นกำลังเริ่มที่จะปรับตัวขึ้น
ในประเทศไทย สถานการณ์เช่นนี้ทำให้นึกถึงตลาดหุ้นในช่วงปี 2540 หลังจากที่มีการลดค่าเงินบาท ตลาดหุ้นตกจาก 1,700 จุดลงมาเหลือเพียง 200 จุด ช่วงนั้นนักลงทุนรายย่อยต่างเจ๊งหุ้นกันถ้วนหน้า ไม่มีใครเอ่ยถึงคำว่าตลาดหุ้น ทุกคนต่างเมินหน้าหนีจากตลาด คนที่ยังถือหุ้นอยู่ต่างขาดทุนกันแทบทุกคน ส่วนคนที่ขายออกไปมักจะขายขาดทุนเสมอ หาคนที่ทำกำไรจากตลาดหุ้นช่วงนั้นน้อยมากๆ หลายคนเลิกเล่นหุ้นหันไปประกอบอาชีพด้านอื่น เป็นช่วงเวลาแห่งความหดหู่ในการลงทุนในตลาดหุ้น ผู้เขียนยังจำได้ว่าในช่วงนั้นรัฐบาลมีนโยบายให้ซื้อกองทุนอาร์เอ็มเอฟ (RMF) เพื่อนำมาลดหย่อนภาษี ผู้เขียนต้องการซื้อกองทุนหุ้น 100 เปอร์เซนต์ ปรากฏว่าเพื่อนที่เป็นผู้จัดการกองทุนบอกว่าอย่าซื้อกองทุนหุ้น ให้ซื้อกองทุนพันธบัตรแทน ถ้าซื้อกองทุนหุ้นจะไม่ยอมขายให้ แสดงให้เห็นว่าช่วงนั้นตลาดหุ้นแย่สุดๆเลยทีเดียว
ระดับที่สอง ผู้คนเริ่มพูดถึงตลาดหุ้นในงานเลี้ยง แต่ส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นการลงทุนที่เสี่ยงเกินไป คนในงานยังชอบคุยกับหมอฟันมากกว่าที่จะคุยกับปีเตอร์ ลินซ์เรื่องหุ้น ตอนนี้ตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นประมาณ 15 เปอร์เซนต์
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติซัพไพร์ม ผู้คนส่วนใหญ่มองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงสูง หลายคนไม่ยอมลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้น แต่ไปซื้อกองทุนพันธบัตรหรือฝากเงินแทน ตลาดหุ้นไทยช่วงนั้นอยู่ระหว่าง 400-600 จุดและขึ้นๆลงๆอยู่ตลอดเวลา มีหลายครั้งที่ขึ้นไปถึง 700 จุดและตกลงมาอย่างรุนแรงทำให้หลายคนมองว่าเสี่ยงเกินไป นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายเก็งกำไร การลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือวีไอเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆในตลาดที่ไม่มีคนสนใจมากนัก
ระดับที่สาม ทุกคนในงานรวมถึงหมอฟันพูดถึงตลาดหุ้นและรุมล้อมปีเตอร์ ลินซ์เพื่อถามว่าซื้อหุ้นอะไรดี ทุกคนในงานเลี้ยงซื้อขายหุ้นกันแทบทุกคนและไม่มีใครไม่พูดถึงตลาดหุ้น ช่วงนี้ตลาดเริ่มสูงขึ้น 30 เปอร์เซนต์
ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันเริ่มเหมือนระดับสามของทฤษฎีของลินซ์ ทุกวันนี้ทุกคนต่างพูดถึงการลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน พนักงานออฟฟิศหรือแม้แต่คนขับแท็กซี่ เพื่อนคนหนึ่งเล่าว่าวันหนึ่งขึ้นแท็กซี่ปรากฏว่าคนขับแท็กซี่ชวนคุยเรื่องหุ้น เพื่อนคนนั้นถึงกับงะจังงัง นึกไม่ถึงว่าตลาดหุ้นจะดึงดูดคนทุกอาชีพได้มากขนาดนี้ ในงานสัมมนาหุ้นจะพบผู้คนมากกมายตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อที่จะเข้าไปฟังกูรูพูดถึงเรื่องหุ้น พอจบงานเหล่านักลงทุนก็เข้าไปห้องล้อมกูรูเหล่านั้นเพื่อที่จะได้รู้ว่าเซียนซื้ออะไรกันอยู่
ระดับสี่ ทุกคนล้อมรอบปีเตอร์ ลินซ์ แต่ที่ต่างจากระดับสามคือในระดับที่แล้วผู้คนถามลินซ์ว่าซื้อหุ้นอะไรดี แต่ในระดับสี่ผู้คนจะบอกลินซ์ว่าซื้อหุ้นตัวนั้นตัวนี้ซิดี แม้แต่หมอฟันยังบอกลินซ์ว่าตอนนี้เขาเล่นหุ้นเป็นอาชีพ อีกไม่กี่วันหุ้นที่คุยกันในงานเลี้ยงนั้นมีราคาสูงขึ้นทุกตัว ในที่สุดเพื่อนบ้านของลินซ์ยังมาบอกลินซ์ว่าให้ซื้อหุ้นตัวไหน นี่เป็นสัญญาณว่าตลาดหุ้นกำลังจะตกลงอย่างรุนแรงในเร็วๆนี้
http://www.thaivi.org
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 67
ขอบคุณครับพี่นุช ที่แวะมาเยี่ยม ^^theenuch เขียน:แวะมาเยี่ยมจ้า...ข้อมูลมีประโยชน์มากเลยค่ะ
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 68
ความสุขในการลงทุน แปรผันตาม ความสามารถในการควบคุมอารมณ์การลงทุน
ช่วงหลังๆ มานี้รู้สึกว่าควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีมากขึ้น ทำให้มีความสุขในการลงทุนมากขึ้นไปด้วย
ช่วงหลังๆ มานี้รู้สึกว่าควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีมากขึ้น ทำให้มีความสุขในการลงทุนมากขึ้นไปด้วย
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 69
บันทึกไว้สำหรับปี 57 ^^
.........................................................................
สรุปปี57'SET index'เพิ่มขึ้น15.32%-มูลค่าซื้อขายเฉลี่ย/วัน45,466ลบ.
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเผยแพร่รายงานสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ในปี2557ระบุว่า ในปี 2557 ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในหลายมิติ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดย ณ สิ้นปี 2557 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดที่ 1,497.67 จุด เพิ่มขึ้น 15.32% จากสิ้นปี 2556 และมีมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 45,466 ล้านบาท สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนติดต่อกันเป็นปีที่ 3
ทั้งนี้ ในปี 2557 ตลาดหลักทรัพย์ไทยประสบความสำเร็จโดดเด่นในระดับภูมิภาคอาเซียนในหลายๆ ด้าน ได้แก่
1. สิ้นปี 2557 SET index ปิดที่ 1,497.67 จุด หรือเพิ่มขึ้น 15.32% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2556 โดยเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในอาเซียน และสูงกว่า MSCI World Index และ MSCI Asia ex Japan Index
2. มูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 45,466 ล้านบาท สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
3. มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ SET และ mai ปรับเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 15.1 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557
4. หลักทรัพย์จดทะเบียนเข้าใหม่ (IPO) มีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO รวม 304,797 ล้านบาท โดยมีมูลค่าสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนเป็นปีที่สองติดต่อกัน
5. จำนวนลูกค้าที่เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเกิน 1 ล้านบัญชี อยู่ที่ 1.08 ล้านบัญชี ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์
6. บริษัทจดทะเบียนไทยมีคะแนน ASEAN CG Scorecard สูงสุดใน 6 ประเทศอาเซียนที่เข้าร่วมการประเมินต่อเนื่องเป็นปีที่ 2
7. หลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนไทยได้รับการคัดเลือกเข้าไปคำนวณดัชนีของ MSCI Global Standard Indices ถึง 4 หลักทรัพย์ ซึ่งเป็นการเพิ่มจำนวนหลักทรัพย์มากที่สุดในเอเชีย
8. บริษัทจดทะเบียนไทยได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนี DJSI Emerging Market ถึง 10 บริษัท ซึ่งมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และเป็นองค์ประกอบในดัชนี DJSI World อีก 4 บริษัท
9. ตลท. ประกาศเข้าสู่การเป็น Sustainable Stock Exchange (SSE) ตามกรอบการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติเป็นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน
10. ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายรวมทั้งปีเท่ากับ 36.02 ล้านสัญญา หรือเฉลี่ย 147,025 สัญญาต่อวัน เพิ่มขึ้น 116% จากปี 2556 นอกจากนี้ TFEX สร้างสถิติการซื้อขายสูงสุดครั้งใหม่ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม โดยมีการซื้อขายที่ระดับ 864,479 สัญญา
สรุปตัวเลขที่สำคัญภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย
• ณ สิ้นปี 2557 SET index ปิดที่ 1,497.67 จุด เพิ่มขึ้น 15.32% จากสิ้นปี 2556
• ณ สิ้นปี 2557 market capitalization ของ SET อยู่ที่ 13.86 ล้านล้านบาท ลดลง 5.60% จากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ mai อยู่ที่ 383,075 ล้านบาท ลดลง 1.33% จากเดือนก่อนหน้า
• มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 45,466 ล้านบาท ลดลง 9.66% จากปี 2556
• forward P/E ของ SET และ mai อยู่ที่ 16.06 และ 32.41 เท่า ตามลำดับ
• อัตราตอบแทนเงินปันผลของ SET อยู่ที่ 3.05% และ mai อยู่ที่ 0.75%
• ดัชนีหลักทรัพย์เกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน โดยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มบริการ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 40.9% 27.9% และ 22.8% ตามลำดับ
• ด้านมูลค่าการซื้อขายในปี 2557 ผู้ลงทุนมีการซื้อขายเพิ่มขึ้นในหลักทรัพย์ขนาดเล็ก (non-SET 100) ค่อนข้างมาก โดยสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวเทียบกับมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดปรับเพิ่มขึ้นจาก 24% ในปีก่อนหน้ามาเป็น 34% ในปี 2557
• ในปี 2557 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เทียบกับมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีการสื่อสาร กลุ่มธนาคาร และกลุ่มทรัพยากร อยู่ที่ 17% 16% และ 12% ตามลำดับ
• ในปี 2557 ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทยด้วยมูลค่า 69,610 ล้านบาท มีสถานะเป็นผู้ซื้อต่อเนื่องนับตั้งแต่ปีก่อนหน้า ขณะที่ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงขายสุทธิด้วยมูลค่า 35,696 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการขายต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน แต่พบว่ามูลค่าการขายลดลงมาก จากเดิมขายสุทธิที่ 194,702 ล้านบาทในปี 2556
• ด้านการระดมทุนในปี 2557 บริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai มีมูลค่าระดมทุนรวม 276,538 ล้านบาท ลดลง 18.77% จากปี 2556 โดยในตลาดแรกมีมูลค่าระดมทุน 131,131 ล้านบาท จากบริษัทจดทะเบียน 36 บริษัท และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) รวม 9 กอง ขณะที่ตลาดรองมีการระดมทุน 145,407 ล้านบาท
http://www.thanonline.com/index.php?opt ... Itemid=524
.........................................................................
สรุปปี57'SET index'เพิ่มขึ้น15.32%-มูลค่าซื้อขายเฉลี่ย/วัน45,466ลบ.
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเผยแพร่รายงานสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ในปี2557ระบุว่า ในปี 2557 ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในหลายมิติ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดย ณ สิ้นปี 2557 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดที่ 1,497.67 จุด เพิ่มขึ้น 15.32% จากสิ้นปี 2556 และมีมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 45,466 ล้านบาท สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนติดต่อกันเป็นปีที่ 3
ทั้งนี้ ในปี 2557 ตลาดหลักทรัพย์ไทยประสบความสำเร็จโดดเด่นในระดับภูมิภาคอาเซียนในหลายๆ ด้าน ได้แก่
1. สิ้นปี 2557 SET index ปิดที่ 1,497.67 จุด หรือเพิ่มขึ้น 15.32% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2556 โดยเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในอาเซียน และสูงกว่า MSCI World Index และ MSCI Asia ex Japan Index
2. มูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 45,466 ล้านบาท สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
3. มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ SET และ mai ปรับเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 15.1 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557
4. หลักทรัพย์จดทะเบียนเข้าใหม่ (IPO) มีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO รวม 304,797 ล้านบาท โดยมีมูลค่าสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนเป็นปีที่สองติดต่อกัน
5. จำนวนลูกค้าที่เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเกิน 1 ล้านบัญชี อยู่ที่ 1.08 ล้านบัญชี ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์
6. บริษัทจดทะเบียนไทยมีคะแนน ASEAN CG Scorecard สูงสุดใน 6 ประเทศอาเซียนที่เข้าร่วมการประเมินต่อเนื่องเป็นปีที่ 2
7. หลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนไทยได้รับการคัดเลือกเข้าไปคำนวณดัชนีของ MSCI Global Standard Indices ถึง 4 หลักทรัพย์ ซึ่งเป็นการเพิ่มจำนวนหลักทรัพย์มากที่สุดในเอเชีย
8. บริษัทจดทะเบียนไทยได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนี DJSI Emerging Market ถึง 10 บริษัท ซึ่งมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และเป็นองค์ประกอบในดัชนี DJSI World อีก 4 บริษัท
9. ตลท. ประกาศเข้าสู่การเป็น Sustainable Stock Exchange (SSE) ตามกรอบการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติเป็นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน
10. ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายรวมทั้งปีเท่ากับ 36.02 ล้านสัญญา หรือเฉลี่ย 147,025 สัญญาต่อวัน เพิ่มขึ้น 116% จากปี 2556 นอกจากนี้ TFEX สร้างสถิติการซื้อขายสูงสุดครั้งใหม่ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม โดยมีการซื้อขายที่ระดับ 864,479 สัญญา
สรุปตัวเลขที่สำคัญภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย
• ณ สิ้นปี 2557 SET index ปิดที่ 1,497.67 จุด เพิ่มขึ้น 15.32% จากสิ้นปี 2556
• ณ สิ้นปี 2557 market capitalization ของ SET อยู่ที่ 13.86 ล้านล้านบาท ลดลง 5.60% จากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ mai อยู่ที่ 383,075 ล้านบาท ลดลง 1.33% จากเดือนก่อนหน้า
• มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 45,466 ล้านบาท ลดลง 9.66% จากปี 2556
• forward P/E ของ SET และ mai อยู่ที่ 16.06 และ 32.41 เท่า ตามลำดับ
• อัตราตอบแทนเงินปันผลของ SET อยู่ที่ 3.05% และ mai อยู่ที่ 0.75%
• ดัชนีหลักทรัพย์เกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน โดยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มบริการ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 40.9% 27.9% และ 22.8% ตามลำดับ
• ด้านมูลค่าการซื้อขายในปี 2557 ผู้ลงทุนมีการซื้อขายเพิ่มขึ้นในหลักทรัพย์ขนาดเล็ก (non-SET 100) ค่อนข้างมาก โดยสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวเทียบกับมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดปรับเพิ่มขึ้นจาก 24% ในปีก่อนหน้ามาเป็น 34% ในปี 2557
• ในปี 2557 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เทียบกับมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีการสื่อสาร กลุ่มธนาคาร และกลุ่มทรัพยากร อยู่ที่ 17% 16% และ 12% ตามลำดับ
• ในปี 2557 ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทยด้วยมูลค่า 69,610 ล้านบาท มีสถานะเป็นผู้ซื้อต่อเนื่องนับตั้งแต่ปีก่อนหน้า ขณะที่ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงขายสุทธิด้วยมูลค่า 35,696 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการขายต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน แต่พบว่ามูลค่าการขายลดลงมาก จากเดิมขายสุทธิที่ 194,702 ล้านบาทในปี 2556
• ด้านการระดมทุนในปี 2557 บริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai มีมูลค่าระดมทุนรวม 276,538 ล้านบาท ลดลง 18.77% จากปี 2556 โดยในตลาดแรกมีมูลค่าระดมทุน 131,131 ล้านบาท จากบริษัทจดทะเบียน 36 บริษัท และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) รวม 9 กอง ขณะที่ตลาดรองมีการระดมทุน 145,407 ล้านบาท
http://www.thanonline.com/index.php?opt ... Itemid=524
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 70
ท่านอาจารย์ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กล่าวไว้ในบทความ "เสาหลักของการลงทุน"
"จำไว้เสมอว่าการเรียนรู้นั้น เราไม่สามารถหยุดได้ตลอดชีวิต เพราะถ้าหยุด นั่นก็แปลว่าเราจะถอยหลัง และนั่นอาจจะกลายเป็นหายนะได้ไม่ว่าเราจะประสบความสำเร็จมามากเพียงใด"
"จำไว้เสมอว่าการเรียนรู้นั้น เราไม่สามารถหยุดได้ตลอดชีวิต เพราะถ้าหยุด นั่นก็แปลว่าเราจะถอยหลัง และนั่นอาจจะกลายเป็นหายนะได้ไม่ว่าเราจะประสบความสำเร็จมามากเพียงใด"
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 72
คุณต้องรอคอยโอกาสอย่างอดทน แต่คุณต้องทำการบ้านล่วงหน้า
เพื่อที่ว่าเมื่อโอกาสงามๆ มาถึงคุณจะได้สามารถลงมือได้ทันท่วงที
Steven Romick, thaivi.org
เพื่อที่ว่าเมื่อโอกาสงามๆ มาถึงคุณจะได้สามารถลงมือได้ทันท่วงที
Steven Romick, thaivi.org
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol