VI หาดใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 961
ขอบคุณคุณ NB ครับ ขอให้มีความสุขกันทุกท่านเช่นกันครับ เดี๋ยวนี้เข้าห้องนี้แล้วรู้สึกอบอุ่นดีครับ เหมือนเจอแต่คนที่คุ้นเคย เลยไม่ค่อยได้ไปโพสต์ที่กระทู้อื่นเลย ช่วงนี้ยังยุ่ง ๆ อาจจะไม่ค่อยเข้ามาดูบ่อย ๆ ครับ
ปีนี้สำหรับผมเป็นปีที่ดีปีหนึ่งครับ ปลายปีก็เลยเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ไม่ค่อย active กับ port เท่าไหร่ เหมือนเคาะบอลกันไปมารอเสียงนกหวีดหมดเวลายังไงยังงั้น ถึงจะเหลือเวลาอีก 1 วันครึ่ง แต่ผมขอสรุปการลงทุนในปีนี้ของผมไว้เลยแล้วกันครับ
สิ่งที่ทำได้ดีในปีนี้
1) ซื้อขายหุ้นน้อยกว่าปีก่อน ๆ มาก รู้สึกมองอะไรยาวขึ้น ความอดทนต่อการถือหุ้นสูงขึ้น ใจนิ่งขึ้นไม่หวั่นไหวต่อข่าว
2) หุ้นที่ถือมานาน ตัวเร่งทำงานตามที่ตั้งใจไว้ เพราะอุตส่าห์ไปประชุมผถห. ไปเสนอแนวคิดแล้วเค้าก็ทำแบบที่เราเสนอไปจริง ๆ ปกติผมไม่ค่อยไปประชุม ยกเว้นว่าหุ้นตัวนั้นผมถืออย่างมีนัยยะและต้องการจะไปเสนอแนวคิด หรือต้องการไปฟังเรื่องที่อาจจะส่งผลต่อพื้นฐานของบ.
3) นิ่งเฉยต่อสิ่งรอบข้าง อย่างที่เล่าให้ฟัง ช่วง 3 เดือนหลังผมซื้อขายหุ้นน้อยมาก เพราะหาหุ้นถูก ๆ ไม่ค่อยจะได้ จนถึงตอนนี้เลยยังมีเงินเหลือ 15-20% ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักสำหรับผม
4) แนวทางการให้ความสำคัญที่ MOS ตั้งแต่แรก ผมยังยึดถือได้ดี หุ้นตัวที่ผมถือมากที่สุดในตอนนี้ ถ้าบอกชื่อออกไป ผมว่ามันคงยากที่จะบอกว่า "เฮ้ย มันไม่ใช่หุ้นปั่นเหรอ" เอาเป็นว่าผมเองก็ตอบไม่ได้ว่ามันใช่หรือไม่ใช่ เพราะถ้ามองว่าพื้นฐานมันเปลี่ยนหรือมันเป็นหุ้นปั่น มันก็มองได้ทั้งนั้น ที่ว่ามันเข้าข่ายหุ้นปั่นตามความรู้สึกของคนทั่วไปเพราะเจอแช่แข็งติด cash balance 3-4 ครั้งแทบจะติด ๆ กัน ราคาเคยขึ้นไปถึงบวก 60% แล้ววันที่หุ้นลงมาร้อยกว่าจุดก็ตกลงมาเหลือ -10% แต่ตอนนี้กลับมาบวกราว ๆ 30% เพียงแต่ก่อนที่ผมจะซื้อ ผมตั้งการ์ดสูงไว้ จึงไม่ทำให้หวั่นไหวมากนัก ไม่ว่าหุ้นตัวนั้นมันจะเป็นหุ้นอะไร ถ้าเราซื้อผิดราคาตั้งแต่แรก มันก็จะสร้างความลำบากให้เราในอนาคต
5) แนวทางการหาหุ้นที่ไม่มีคนสนใจ ยังสามารถทำได้ดีอยู่ หุ้นในข้อ 4 นี่เป็นหุ้นที่อยู่หลังหน้า 3 ในห้องร้อยคนครับ
ุ6) ดูหุ้นน้อยลง ส่วนหนึ่งเพราะยุ่ง ๆ ด้วย แต่ก็รู้สึกว่าจิตใจไม่จดจ่อกับเรื่องหุ้นมากเกินไป พยายามหาข้อมูลมาก ๆ ตั้งแต่ก่อนจะซื้อ พอซื้อแล้วก็ตามข่าวทั่ว ๆ ไป ตามว่า "ตัวเร่ง" ทำงานหรือไม่ ผมว่าทำไปนาน ๆ ก็สบายใจดีครับ ยึดหลัก 4 ข้อแบบง่าย ๆ catalyst, downside, upside, timing มันก็ทำให้เราพออยู่ได้ครับ
สิ่งที่จะต้องปรับปรุง
1) หุ้นตัวที่ตั้งใจจะปรับพอร์ตออกไป พอถึงเวลากลับมัวมองดูว่ามันจะวิ่งขึ้นไปแค่ไหน ทั้ง ๆ ที่มันก็ขึ้นมาแล้ว ทำไปทำมาราคาก็เลยลงมา และไม่ได้ทำอะไรกับมัน ส่วนหนึ่งเพราะไปมองสภาพตลาดด้วย เลยทำให้มองว่าตลาดยังดี น่าจะรออีกหน่อย
2) หุ้นตัวที่ถืออยู่ วิ่งขึ้นมาแรง ๆ แต่ประเมินค่า PE ฯลฯ รู้สึกว่ายังไม่สูง เลยไม่ได้ทำอะไรเช่นกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วตลาดอาจจะไม่เคยให้ PE หุ้นเหล่านั้นสูงเลยก็ได้ ทำให้บางตัวกำไรอาจจะหายไปกว่า 50% ยังดีที่หุ้นในข้อ 1-2 มีจำนวนไม่มากนัก
3) หาเงินมาเติมเข้าพอร์ตได้น้อย ซึ่งเป็นมาหลายปีแล้ว เพราะติดเรื่องค่าใช้จ่ายหลาย ๆ เรื่อง แต่ก็คิดว่าจะพยายามทำให้ดีขึ้น
4) อ่านหนังสือได้น้อยกว่าที่ตั้งใจไว้ มีหนังสือรออ่านซึ่งสะสมมาหลายปีน่าจะกว่า 50 เล่ม ปีหน้านี้คงต้องเร่งสปีดครับ
ปีนี้สำหรับผมเป็นปีที่ดีปีหนึ่งครับ ปลายปีก็เลยเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ไม่ค่อย active กับ port เท่าไหร่ เหมือนเคาะบอลกันไปมารอเสียงนกหวีดหมดเวลายังไงยังงั้น ถึงจะเหลือเวลาอีก 1 วันครึ่ง แต่ผมขอสรุปการลงทุนในปีนี้ของผมไว้เลยแล้วกันครับ
สิ่งที่ทำได้ดีในปีนี้
1) ซื้อขายหุ้นน้อยกว่าปีก่อน ๆ มาก รู้สึกมองอะไรยาวขึ้น ความอดทนต่อการถือหุ้นสูงขึ้น ใจนิ่งขึ้นไม่หวั่นไหวต่อข่าว
2) หุ้นที่ถือมานาน ตัวเร่งทำงานตามที่ตั้งใจไว้ เพราะอุตส่าห์ไปประชุมผถห. ไปเสนอแนวคิดแล้วเค้าก็ทำแบบที่เราเสนอไปจริง ๆ ปกติผมไม่ค่อยไปประชุม ยกเว้นว่าหุ้นตัวนั้นผมถืออย่างมีนัยยะและต้องการจะไปเสนอแนวคิด หรือต้องการไปฟังเรื่องที่อาจจะส่งผลต่อพื้นฐานของบ.
3) นิ่งเฉยต่อสิ่งรอบข้าง อย่างที่เล่าให้ฟัง ช่วง 3 เดือนหลังผมซื้อขายหุ้นน้อยมาก เพราะหาหุ้นถูก ๆ ไม่ค่อยจะได้ จนถึงตอนนี้เลยยังมีเงินเหลือ 15-20% ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักสำหรับผม
4) แนวทางการให้ความสำคัญที่ MOS ตั้งแต่แรก ผมยังยึดถือได้ดี หุ้นตัวที่ผมถือมากที่สุดในตอนนี้ ถ้าบอกชื่อออกไป ผมว่ามันคงยากที่จะบอกว่า "เฮ้ย มันไม่ใช่หุ้นปั่นเหรอ" เอาเป็นว่าผมเองก็ตอบไม่ได้ว่ามันใช่หรือไม่ใช่ เพราะถ้ามองว่าพื้นฐานมันเปลี่ยนหรือมันเป็นหุ้นปั่น มันก็มองได้ทั้งนั้น ที่ว่ามันเข้าข่ายหุ้นปั่นตามความรู้สึกของคนทั่วไปเพราะเจอแช่แข็งติด cash balance 3-4 ครั้งแทบจะติด ๆ กัน ราคาเคยขึ้นไปถึงบวก 60% แล้ววันที่หุ้นลงมาร้อยกว่าจุดก็ตกลงมาเหลือ -10% แต่ตอนนี้กลับมาบวกราว ๆ 30% เพียงแต่ก่อนที่ผมจะซื้อ ผมตั้งการ์ดสูงไว้ จึงไม่ทำให้หวั่นไหวมากนัก ไม่ว่าหุ้นตัวนั้นมันจะเป็นหุ้นอะไร ถ้าเราซื้อผิดราคาตั้งแต่แรก มันก็จะสร้างความลำบากให้เราในอนาคต
5) แนวทางการหาหุ้นที่ไม่มีคนสนใจ ยังสามารถทำได้ดีอยู่ หุ้นในข้อ 4 นี่เป็นหุ้นที่อยู่หลังหน้า 3 ในห้องร้อยคนครับ
ุ6) ดูหุ้นน้อยลง ส่วนหนึ่งเพราะยุ่ง ๆ ด้วย แต่ก็รู้สึกว่าจิตใจไม่จดจ่อกับเรื่องหุ้นมากเกินไป พยายามหาข้อมูลมาก ๆ ตั้งแต่ก่อนจะซื้อ พอซื้อแล้วก็ตามข่าวทั่ว ๆ ไป ตามว่า "ตัวเร่ง" ทำงานหรือไม่ ผมว่าทำไปนาน ๆ ก็สบายใจดีครับ ยึดหลัก 4 ข้อแบบง่าย ๆ catalyst, downside, upside, timing มันก็ทำให้เราพออยู่ได้ครับ
สิ่งที่จะต้องปรับปรุง
1) หุ้นตัวที่ตั้งใจจะปรับพอร์ตออกไป พอถึงเวลากลับมัวมองดูว่ามันจะวิ่งขึ้นไปแค่ไหน ทั้ง ๆ ที่มันก็ขึ้นมาแล้ว ทำไปทำมาราคาก็เลยลงมา และไม่ได้ทำอะไรกับมัน ส่วนหนึ่งเพราะไปมองสภาพตลาดด้วย เลยทำให้มองว่าตลาดยังดี น่าจะรออีกหน่อย
2) หุ้นตัวที่ถืออยู่ วิ่งขึ้นมาแรง ๆ แต่ประเมินค่า PE ฯลฯ รู้สึกว่ายังไม่สูง เลยไม่ได้ทำอะไรเช่นกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วตลาดอาจจะไม่เคยให้ PE หุ้นเหล่านั้นสูงเลยก็ได้ ทำให้บางตัวกำไรอาจจะหายไปกว่า 50% ยังดีที่หุ้นในข้อ 1-2 มีจำนวนไม่มากนัก
3) หาเงินมาเติมเข้าพอร์ตได้น้อย ซึ่งเป็นมาหลายปีแล้ว เพราะติดเรื่องค่าใช้จ่ายหลาย ๆ เรื่อง แต่ก็คิดว่าจะพยายามทำให้ดีขึ้น
4) อ่านหนังสือได้น้อยกว่าที่ตั้งใจไว้ มีหนังสือรออ่านซึ่งสะสมมาหลายปีน่าจะกว่า 50 เล่ม ปีหน้านี้คงต้องเร่งสปีดครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 962
ปากบาราสำหรับผมมันเป็นอะไรที่เป็นมุมมองที่แตกต่าง เมื่อเราสวมหมวกอีกใบเราก็จะเห็นอีกมุม นักวิชาการ ชาวบ้าน นักธุรกิจ นักลงทุน และอื่น ๆ อีกมากมาย เมื่อไปยืนในมุมนี้ ที่ผมมอง ต่างคนก็เห็นต่างกัน บางคนเห็นท่าเรือพาณิชย์ บางคนเห็นท่าเรือประมง บางคนเห็นว่าแบบนี้ดีแล้วdr1 เขียน: อ.NBฮะ
เที่ยวหน้าไปหาดใหญ่ แล้วงานไม่ยุ่งมาก บอกผมเลยนะฮะ จะพาไปเที่ยวไปกิน รึนั่งสนทนากันกระหนุงกระหนิงก็ได้
สตูลเค้าวางแผนให้ปากบาราเป็นท่าเรือน้ำลึกแล้วจะแลนด์บริดจ์กับนครที่สิชลมั่ง สงขลาที่จะนะมั่ง
คงจะวางแผนให้นิคมอุตสาหกรรมทางนั้น เพิ่มมูลค่ายางพารา รึไม่ก็อาหารฮาลาลมั้งฮะ
แต่ไม่รุอีกนานเท่าไรนะฮะ เพราะสตูลคล้ายๆน่านฮะ สุดซอย ธรรมชาติสวย อากาศดี แต่เขตแดนต่อกับเพื่อนบ้านไม่ใช่ประตูหลัก
เคยไปตะรุเตา อาดัง หลีเป๊ะ สามสิบปีก่อนฮะ ทรายละเอียด เดินแล้วดังจ็อกๆเหมือนเดินบนแป้ง ปะการังน้ำตื้นสวยเหมือนตู้ปลายักษ์ขนาดสนามฟุตบอล
ส่วนลังกาวี เพิ่งไปทอดกฐินที่วัดหลวงพ่อคูณเมื่อต้นเดือนฮะ ขนาดมหาเดร์ไปสร้างท่าเรือ เคเบิ้ลคาร์ มิวเซียม แหล่งช็อปปิ้ง เฟอรี่สตูล-ลังกาวี เยอะแยะ แต่ดูแล้วยังตามภูเก็ตอยู่ห่างๆฮะ
ว่าแต่ว่าซื้อขายทำลายสถิติตลาดอนุพันธ์เมื่อวานนี้น่ะ ของอ.NBหลายเปอร์เซนต์มั้ยฮะ แล้วอ.ใช้โอกาสตลาดแพนิคครั้งนี้
อย่างไรมั่งฮะ ขออนุญาตเรียนถามแทนสมาชิกที่อยากรู้เหมือนผมหน่อยนะฮะ
มาวันนี้ผมคงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนรุ่นหลังที่จะตัดสินใจต่อไป นานเท่าไรก็ไม่รู้ครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 963
ขอบอกว่าเคล็ดวิชา สงบสยบความเคลื่อนไหว ของอาจารย์สุดยอดจริงๆ ครับ เดือนนี้ช่วงที่พอร์ตผมเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาตามกระแสตลาด ใจผมเหวี่ยงตามเลยครับ (ขนาดว่าหุ้นในพอร์ตผมไม่ได้เหวี่ยงเท่าหุ้นที่อาจารย์ว่ามานะครับ)leky เขียน:หุ้นตัวที่ผมถือมากที่สุดในตอนนี้ ถ้าบอกชื่อออกไป ผมว่ามันคงยากที่จะบอกว่า "เฮ้ย มันไม่ใช่หุ้นปั่นเหรอ" เอาเป็นว่าผมเองก็ตอบไม่ได้ว่ามันใช่หรือไม่ใช่ เพราะถ้ามองว่าพื้นฐานมันเปลี่ยนหรือมันเป็นหุ้นปั่น มันก็มองได้ทั้งนั้น ที่ว่ามันเข้าข่ายหุ้นปั่นตามความรู้สึกของคนทั่วไปเพราะเจอแช่แข็งติด cash balance 3-4 ครั้งแทบจะติด ๆ กัน ราคาเคยขึ้นไปถึงบวก 60% แล้ววันที่หุ้นลงมาร้อยกว่าจุดก็ตกลงมาเหลือ -10% แต่ตอนนี้กลับมาบวกราว ๆ 30% เพียงแต่ก่อนที่ผมจะซื้อ ผมตั้งการ์ดสูงไว้ จึงไม่ทำให้หวั่นไหวมากนัก ไม่ว่าหุ้นตัวนั้นมันจะเป็นหุ้นอะไร ถ้าเราซื้อผิดราคาตั้งแต่แรก มันก็จะสร้างความลำบากให้เราในอนาคต
หลัก 4 ข้อของอาจารย์ ตอนนี้ผมท่องไว้ตลอดเลยครับ คาถาพารวยleky เขียน:พยายามหาข้อมูลมาก ๆ ตั้งแต่ก่อนจะซื้อ พอซื้อแล้วก็ตามข่าวทั่ว ๆ ไป ตามว่า "ตัวเร่ง" ทำงานหรือไม่ ผมว่าทำไปนาน ๆ ก็สบายใจดีครับ ยึดหลัก 4 ข้อแบบง่าย ๆ catalyst, downside, upside, timing มันก็ทำให้เราพออยู่ได้ครับ
โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่ายากตรง timing นี่ล่ะครับ timing ที่กำไรจะโตยังพอคาดการณ์ได้ แต่ timing ที่จะเข้าซื้อหุ้นนี่สิครับ ปัญหาใหญ่เลย
ยังไงแบ่งมาให้ผมช่วยอ่านได้นะครับ บางทีก็ว่างๆ อยู่ครับleky เขียน:อ่านหนังสือได้น้อยกว่าที่ตั้งใจไว้ มีหนังสือรออ่านซึ่งสะสมมาหลายปีน่าจะกว่า 50 เล่ม ปีหน้านี้คงต้องเร่งสปีดครับ
แล้วก็ขอสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้า 1 วันกว่าๆ ครับ อาจารย์
ปีที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้ สิ่งดีๆ สิ่งหนึ่งสำหรับผมคือ การที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับห้องหาดใหญ่นี้ ได้รู้จักกับเพื่อนๆ หลายคน และที่สำคัญได้มาเจอกับ อ.leky ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 964
ขออนุญาตโพสท์ส่งท้ายปี2557 ขอบคุณและอวยพรอาจารย์และเพื่อนๆทุกท่านนะครับ
ที่ช่วยกันมาเติมเต็ม(วิชาการ)ส่วนที่ขาดหาย ซ้ำเติมกำลังใจให้กันและกัน
ที่ช่วยกันทำให้ห้องนี้เต็มไปด้วยมิตรภาพและเสียงหัวเราะปนคราบน้ำตาและน้ำลาย(น้ำลายไหลดีกว่าน้ำตาตก)
ขอให้สุขภาพผอร์ท,กาย,ใจ เติบโตรุ่งเรืองสงบเรียบร้อยถ้วนทั่วกันทั้งสมาคมนะครับ
ผมไปได้เล็กเช่อร์อ.นิเวศน์งาน better trade expo2014เรื่อง"พิฆาตหมูตัวสุดท้าย"
แต่อ.พูดในสิ่งที่อยากบอก อยากสอน และไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อนครับ(อยากฟังแบบนี้มานานแล้ว)
ชีวิต
เกิดมารวยหรือจนเลือกไม่ได้ แต่สิ่งที่จะทำให้ชิวิตต่างกัน คือความรู้จาก"การศึกษา"(เป็นสินทรัพย์สำคัญของชีวิต)
อย่าหยุดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อความก้าวหน้า ให้เวลาเป็นรอบๆ รอบละสิบปี "ทำอะไรสิบปีแล้วไม่ได้ผลก็เปลี่ยนซะ"
ตัวอ.เองช่วงอายุ
0-10ปี เกิดในครอบครัวช่างก่อสร้าง จัดว่ายากจน เรียนโรงเรียนวัด
10-20(22)ปี ก็ตั้งใจเรียน จบปริญญาตรี
20-30ปี ทำงาน เรียนปริญญาโท ,เอก
30-40เปี ปลี่ยนอาชีพ ช่วงนี้สำคัญ เปลี่ยนจากวิศวกรเป็นผบห.สถาบันการเงิน "อยู่ในที่ๆมีเงิน"
แต่งงาน มีลูก เลี้ยงลูก เริ่มสะสมเงิน แปลหนังสือ"คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก"สร้างแรงบันดาลใจ ยังขายดีถึงปัจจุบัน
คนส่วนใหญ่จะไปเรื่อยๆแบบนี้จนเกษียณ แต่..
40-50ปี เจอวิกฤติ ถูกให้ออกจากงานตอนอายุ42 มองย้อนหลังถือเป็น"โอกาส"เริ่มชีวิตใหม่ เป็นโชคมากกว่าเคราะห์
เริ่มลงทุนหุ้นด้วยเงินสิบล้าน เริ่มเขียนหนังสือตีแตก เขียนบทความvalue investmentเผยแพร่
ยังทำงานคู่กับลงทุน
50-60ปี เงิน"พอ" ออกจากงานมาเป็นนักลงทุนได้เต็มตัว=มีอิสรภาพทางการเงิน
60-70ปี รวยแบบปฎิเสธไม่ได้ แต่ก็ไม่ค่อยได้ใช้เงินเหมือนเดิม มีชื่อเสียง
หุ้น
หุ้นคือกิจการ การลงทุนคือการเป็นหุ้นส่วน เป็นเจ้าของ
คือซื้อหุ้นเพื่อ"ลงทุน" ไม่ได้ซื้อมาขาย คิดเสียว่าซื้อมาแล้วขายไม่ได้ เป็นเจ้าของไปเลย
ลงทุน"เพื่อชีวิต" เป็นทางรอด ถ้ารวยด้วยยิ่งดี
ลงทุนเพื่อชิวิตก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไป หุ้นลงก็ไม่ต้องทุกข์ หุ้นขึ้นก็ไม่ต้องสุข เพราะยังไงก็ไม่ขาย
ลงทุน"พอเพียง" ไม่หวังสูงหรือโลภเกินไป
ดังนั้นต้องเลือกกิจการสุดยอดของประเทศ เจ้าของรวย เรารวยไปด้วย
หุ้นดีจะลงแค่20%ถ้าวิกฤติมา แล้วก็ขึ้นกลับไปได้
จะซื้อหุ้นเน่าแล้วรวย ยากและเสี่ยงกว่ามาก
โดยเฉพาะหุ้นที่ซื้อขายกันวันละมากกว่า1%ของmarket cap ถือว่าเก็งกำไรและแพง
คิด"สวนกระแส"และแตกต่างอย่างเป็นอิสระ ตามกระแสจะเป็นหมูให้เขากิน
เศรษฐกิจและตลาดหุ้น
การลงทุนหุ้นเป็นเมกกะเทรนด์คู่กับความเจริญของประเทศ
ตอนอ.เริ่มลงทุน ดัชนี800 ต่อมาเหลือ200 ตอนนี้1600 ใน20ปี
ดัชนีขึ้นมาสองเท่า แต่หุ้นอ.สองร้อยกว่าเท่า
เศรษฐกิจประเทศจะโต ขึ้นกับสองปัจจัย
1. ประชากร (วัยทำงาน)
ญี่ปุ่นไม่โตมา20ปี มีแต่คนแก่ ตลาดหุ้นจากสี่หมื่นจุด เหลือไม่ถึงหมื่นจุด
ไทยและจีนเริ่มคล้ายกัน คนมีลูกน้อยลง คนแก่เริ่มเกษียณ
2. ประสิทธิภาพ
ญี่ปุ่นเพิ่มสูงสุด สิงค์โปร์ยังเพิ่มได้อีก ไทย?
ประเทศไทย เศรษฐกิจโตสูงสุด ปี35-36 โต10%ก่อนวิกฤติ จากคนยุคเบบี้บูมช่วยกันทำงาน
หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง โต5% หลังวิกฤติสับพรามกับการเมืองห้าปีหลัง โตแค่3% แปลว่าน่าจะผ่านจุดสูงสุดแล้ว
เศรษฐกิจโตช้าลง แต่หุ้นแพงขึ้นเรื่อยๆจนPE18 เพราะคนรุ่นใหม่ลูกน้อย เงินเหลือ
ดอกเบี้ยถูก(10%เหลือ2-3%) เลยลงทุนหุ้นเพิ่มอีก วีไอเลือกหุ้นถูก กำไรมโหฬาร
นักวิเคราห์บอกทุกปีว่าบมจ.โตปีละ15%PE18จะลดเหลือ13และ10 แต่เอาเข้าจริงโตแค่6-7%เท่านั้น
เศรษฐกิจ5ปีหลัง โต3%/ปี ตลาดหุ้น10ปีหลัง ดัชนี200ไป1600 โต17%/ปี
"สรุปว่าหุ้นแพง ไปตัดสินใจกันเอง"
อ.ทิ้งท้ายว่า ก่อนจะพัง อาจจะมีช่วงพุ่งสุดๆอยู่แวบนึง"ถึงเวลานั้น ค่อยว่ากัน"
วีไอลูกศิษย์สำนักเซียนเต่า รายงานส่งท้ายปี
ที่ช่วยกันมาเติมเต็ม(วิชาการ)ส่วนที่ขาดหาย ซ้ำเติมกำลังใจให้กันและกัน
ที่ช่วยกันทำให้ห้องนี้เต็มไปด้วยมิตรภาพและเสียงหัวเราะปนคราบน้ำตาและน้ำลาย(น้ำลายไหลดีกว่าน้ำตาตก)
ขอให้สุขภาพผอร์ท,กาย,ใจ เติบโตรุ่งเรืองสงบเรียบร้อยถ้วนทั่วกันทั้งสมาคมนะครับ
ผมไปได้เล็กเช่อร์อ.นิเวศน์งาน better trade expo2014เรื่อง"พิฆาตหมูตัวสุดท้าย"
แต่อ.พูดในสิ่งที่อยากบอก อยากสอน และไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อนครับ(อยากฟังแบบนี้มานานแล้ว)
ชีวิต
เกิดมารวยหรือจนเลือกไม่ได้ แต่สิ่งที่จะทำให้ชิวิตต่างกัน คือความรู้จาก"การศึกษา"(เป็นสินทรัพย์สำคัญของชีวิต)
อย่าหยุดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อความก้าวหน้า ให้เวลาเป็นรอบๆ รอบละสิบปี "ทำอะไรสิบปีแล้วไม่ได้ผลก็เปลี่ยนซะ"
ตัวอ.เองช่วงอายุ
0-10ปี เกิดในครอบครัวช่างก่อสร้าง จัดว่ายากจน เรียนโรงเรียนวัด
10-20(22)ปี ก็ตั้งใจเรียน จบปริญญาตรี
20-30ปี ทำงาน เรียนปริญญาโท ,เอก
30-40เปี ปลี่ยนอาชีพ ช่วงนี้สำคัญ เปลี่ยนจากวิศวกรเป็นผบห.สถาบันการเงิน "อยู่ในที่ๆมีเงิน"
แต่งงาน มีลูก เลี้ยงลูก เริ่มสะสมเงิน แปลหนังสือ"คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก"สร้างแรงบันดาลใจ ยังขายดีถึงปัจจุบัน
คนส่วนใหญ่จะไปเรื่อยๆแบบนี้จนเกษียณ แต่..
40-50ปี เจอวิกฤติ ถูกให้ออกจากงานตอนอายุ42 มองย้อนหลังถือเป็น"โอกาส"เริ่มชีวิตใหม่ เป็นโชคมากกว่าเคราะห์
เริ่มลงทุนหุ้นด้วยเงินสิบล้าน เริ่มเขียนหนังสือตีแตก เขียนบทความvalue investmentเผยแพร่
ยังทำงานคู่กับลงทุน
50-60ปี เงิน"พอ" ออกจากงานมาเป็นนักลงทุนได้เต็มตัว=มีอิสรภาพทางการเงิน
60-70ปี รวยแบบปฎิเสธไม่ได้ แต่ก็ไม่ค่อยได้ใช้เงินเหมือนเดิม มีชื่อเสียง
หุ้น
หุ้นคือกิจการ การลงทุนคือการเป็นหุ้นส่วน เป็นเจ้าของ
คือซื้อหุ้นเพื่อ"ลงทุน" ไม่ได้ซื้อมาขาย คิดเสียว่าซื้อมาแล้วขายไม่ได้ เป็นเจ้าของไปเลย
ลงทุน"เพื่อชีวิต" เป็นทางรอด ถ้ารวยด้วยยิ่งดี
ลงทุนเพื่อชิวิตก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไป หุ้นลงก็ไม่ต้องทุกข์ หุ้นขึ้นก็ไม่ต้องสุข เพราะยังไงก็ไม่ขาย
ลงทุน"พอเพียง" ไม่หวังสูงหรือโลภเกินไป
ดังนั้นต้องเลือกกิจการสุดยอดของประเทศ เจ้าของรวย เรารวยไปด้วย
หุ้นดีจะลงแค่20%ถ้าวิกฤติมา แล้วก็ขึ้นกลับไปได้
จะซื้อหุ้นเน่าแล้วรวย ยากและเสี่ยงกว่ามาก
โดยเฉพาะหุ้นที่ซื้อขายกันวันละมากกว่า1%ของmarket cap ถือว่าเก็งกำไรและแพง
คิด"สวนกระแส"และแตกต่างอย่างเป็นอิสระ ตามกระแสจะเป็นหมูให้เขากิน
เศรษฐกิจและตลาดหุ้น
การลงทุนหุ้นเป็นเมกกะเทรนด์คู่กับความเจริญของประเทศ
ตอนอ.เริ่มลงทุน ดัชนี800 ต่อมาเหลือ200 ตอนนี้1600 ใน20ปี
ดัชนีขึ้นมาสองเท่า แต่หุ้นอ.สองร้อยกว่าเท่า
เศรษฐกิจประเทศจะโต ขึ้นกับสองปัจจัย
1. ประชากร (วัยทำงาน)
ญี่ปุ่นไม่โตมา20ปี มีแต่คนแก่ ตลาดหุ้นจากสี่หมื่นจุด เหลือไม่ถึงหมื่นจุด
ไทยและจีนเริ่มคล้ายกัน คนมีลูกน้อยลง คนแก่เริ่มเกษียณ
2. ประสิทธิภาพ
ญี่ปุ่นเพิ่มสูงสุด สิงค์โปร์ยังเพิ่มได้อีก ไทย?
ประเทศไทย เศรษฐกิจโตสูงสุด ปี35-36 โต10%ก่อนวิกฤติ จากคนยุคเบบี้บูมช่วยกันทำงาน
หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง โต5% หลังวิกฤติสับพรามกับการเมืองห้าปีหลัง โตแค่3% แปลว่าน่าจะผ่านจุดสูงสุดแล้ว
เศรษฐกิจโตช้าลง แต่หุ้นแพงขึ้นเรื่อยๆจนPE18 เพราะคนรุ่นใหม่ลูกน้อย เงินเหลือ
ดอกเบี้ยถูก(10%เหลือ2-3%) เลยลงทุนหุ้นเพิ่มอีก วีไอเลือกหุ้นถูก กำไรมโหฬาร
นักวิเคราห์บอกทุกปีว่าบมจ.โตปีละ15%PE18จะลดเหลือ13และ10 แต่เอาเข้าจริงโตแค่6-7%เท่านั้น
เศรษฐกิจ5ปีหลัง โต3%/ปี ตลาดหุ้น10ปีหลัง ดัชนี200ไป1600 โต17%/ปี
"สรุปว่าหุ้นแพง ไปตัดสินใจกันเอง"
อ.ทิ้งท้ายว่า ก่อนจะพัง อาจจะมีช่วงพุ่งสุดๆอยู่แวบนึง"ถึงเวลานั้น ค่อยว่ากัน"
วีไอลูกศิษย์สำนักเซียนเต่า รายงานส่งท้ายปี
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 965
เห็นอ.หนึ่งลุกขึ้นมาโพสต์เวลาแบบนี้ เลยอยากเอากับเค้าบ้าง สงสัยคนอาชีพนี้ชอบทำอะไรตอนดึก ๆ แปลกแท้สมัยต้องอยู่เวรกลางคืนกลับไม่ชอบ แต่ทำอย่างอื่นกลับชอบดำ เขียน:หลัก 4 ข้อของอาจารย์ ตอนนี้ผมท่องไว้ตลอดเลยครับ คาถาพารวยleky เขียน:พยายามหาข้อมูลมาก ๆ ตั้งแต่ก่อนจะซื้อ พอซื้อแล้วก็ตามข่าวทั่ว ๆ ไป ตามว่า "ตัวเร่ง" ทำงานหรือไม่ ผมว่าทำไปนาน ๆ ก็สบายใจดีครับ ยึดหลัก 4 ข้อแบบง่าย ๆ catalyst, downside, upside, timing มันก็ทำให้เราพออยู่ได้ครับ
โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่ายากตรง timing นี่ล่ะครับ timing ที่กำไรจะโตยังพอคาดการณ์ได้ แต่ timing ที่จะเข้าซื้อหุ้นนี่สิครับ ปัญหาใหญ่เลย
สมัยที่ต้องอยู่เวรตอนกลางคืน บางทีนอนหลับอยู่โดนปลุก จิตใจหงุดหงิดประมาณว่าทำไมต้องมายุ่งตอนนี้กำลังนอนอยู่แท้ ๆ ตอนหลังผมนึกคำพูดของอ.คนหนึ่งขึ้นมาได้ว่า จงคิดเสียว่าเค้าปลุกขึ้นมาให้เราได้ทำบุญ มองแบบนี้จิตใจก็เป็นสุขขึ้น ซึ่งพอผมมานั่งคิด ไอ้ความคิดของเรามันก็แปลก บางทีอยากทำบุญนั่งรถไปต่างจังหวัดไกล ๆ ไม่กลับไม่บ่น แต่นี่คนไข้เดินเค้ามาหาบุญมาให้เราแท้ ๆ กลับบ่น
กลับมาที่เรื่องข้างบนครับ เรื่องหลัก 4 ข้อ ที่ผมตั้งขึ้นมาเองนั้น หลักมันมีอยู่แค่นั้นก็จริง แต่ถ้าไล่ย้อนไปดูรากเหง้าของมัน ๆ จะแตกแขนงมากมายครับ หลัก 4 ข้อนั้นเหมือนเป็นสิ่งที่เราต้องหาวิธีสรุปมันออกมาให้ได้เป็นเรื่องใหญ่ ๆ แค่ 4 ข้อ แต่ใครจะไปทำอย่างไร ใช้วิธีไหน มันก็แล้วแต่คน ๆ นั้นครับ เหมือนไม่มีกระบวนท่าที่ชัดเจน พลิกแพลงไปมาได้
ทีนี้ถ้าถามว่า 4 ข้อนั้นอะไรที่ง่ายและยาก ผมขอขยายความในความคิดของผมนะครับ ซึ่งสำหรับคนแต่ละคนผมคิดว่าคงแตกต่างกันออกไป เรียงจากง่ายไปยากแล้วกัน
1) Catalyst ผมว่าน่าจะง่ายที่สุด เพราะว่ามันเป็นความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง อาจจะมีเรื่องของประสบการณ์เข้ามาเกี่ยวข้องได้ เพียงแต่เราคงต้องฝึกฝนในแง่ที่จะดูว่า Catalyst แต่ละอย่างนั้นมี effect มากน้อยต่างกันแค่ไหน และเราคงต้องพยายามเลือกตัวที่มี effect มากที่สุด เป็น fact มากที่สุด เชื่อถือได้มากที่สุด เพราะยุคนี้เราได้ยิน เสพ ข่าวกันมากเกินไป บางเรื่องมันก็เป็นแค่ลมปากของผบห. เชื่อถือไม่ได้เอาเสียเลย
2) Upside ผมว่าการประเมิน ไม่น่าจะยากจนเกินไปนัก แต่จะทำได้จริงหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยกเว้นจะไปเจอบ.ที่มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ เป็นโครงการอะไรแบบนี้ ถ้าเจอแบบนี้คงต้องสอบถามไปยังบ.หรือไม่ก็พึ่งบทวิเคราะห์ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าถ้ามีบทวิเคราะห์ออกมา เราก็มักจะช้าไปหลายก้าวแล้ว ที่ผมว่ามันไม่ยากจนเกินไปนักเพราะจุดอ้างอิงมันคือราคาหุ้น ณ วันที่เราประเมิน upside เท่าไหร่ก็ตีขึ้นไปจากราคา ณ ขณะนั้น ซึ่งถ้าเอา downside เข้ามาดูประกอบ ช่องว่างตรงนั้นของ upside มันก็จะยิ่งกว้างขึ้น "หลักสำคัญของการตีค่า upside คือ จงประเมิน upside แค่ระดับกลาง ๆ ไม่ควรตีความในลักษณะของ best case" ในความเห็นของผมการตีความเรื่องที่ดีในลักษณะ best case นั้น เสี่ยงต่อความผิดพลาด ความโลภ แต่ในทางกลับกัน ถ้าประเมินแค่กลาง ๆ แล้ว upside ยังสูง คงนึกออกใช่ไหมครับว่า ถ้าเกิดในความเป็นจริงบ.ทำได้สูงกว่านั้น upside มันจะยิ่งสูงมากขึ้นไปอีก เหมือนนักกีฬายิมนาสติกสองคน คนหนึ่งเล่นท่าธรรมดาก็ได้เหรียญทอง กับอีกคนหนึ่งต้องเล่นท่ายากถึงจะได้เหรียญทอง เราจะเลือกคนไหน
3) Timing ในตัวของ timing เองนั้น จริง ๆ อาจจะง่ายที่สุด แต่ทำไมมันถึงไม่ง่ายที่สุด นั่นก็เพราะว่ามันมีปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ที่จะมีผลต่อมันหลายทางนั้นเอง ในความเห็นผม timing เองนั้น ส่วนหนึ่งถูกกำหนดด้วยตัวเราเอง ถ้าเรามีเงินเยอะมาก สามารถเอาเงินมาทิ้งในหุ้นที่ไม่ไปไหน รอวันที่ catalyst ทำงานได้นาน ๆ เพียงแต่ขอให้ซื้อหุ้นได้ถูก ๆ มันก็สามารถทำได้ เพียงแต่นลท.อย่างผมเองก็ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะทำได้แบบนั้น จึงต้องเลือกเวลาที่เหมาะสม จริง ๆ ผมว่า timing ที่บวกลบแถว ๆ หนึ่งปี น่าจะกำลังดี แล้วทำไมสิ่งที่ดูเหมือนง่ายมันกลายเป็นไม่ง่าย ก็เพราะการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งในตลาดนั้น มันมีอิทธิพลจากปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ด้วย เช่น อาจจะมีนลท.คนอื่นเห็นสิ่งที่เราเห็นเหมือนกัน เค้าก็อาจจะเข้ามาแย่งซื้อหุ้นตัดหน้าเรา หรือไม่ก็สภาพตลาดที่เป็นกระทิงดันให้หุ้นตัวที่เราสนใจมันขึ้นตามสภาวะตลาดไปด้วย การออกบทวิเคราะห์ในหุ้นตัวนั้นของโบรกก็ทำให้คนอื่นเห็นข้อดีของหุ้นตัวนั้น หุ้นจึงวิ่งขึ้นไป ฯลฯ
4) Downside ผมว่าข้อนี้น่าจะยากที่สุด ถ้าลองไปอ่านดูบทความของคุณสุมาอี้ในเรื่อง MOS นั้น ผมเห็นด้วยอย่างแรงเลยว่า มันไม่มีหลักอะไรที่ตายตัวเอาเสียเลยครับ ผมเองเคยใช้หลาย ๆ วิธีกับหุ้นหลาย ๆ ตัว เช่นตัวนี้ใช้ EPS ตัวนี้ใช้ yield ตัวนี้ดูวอลุมของการซื้อขาย เช่น ถ้าหุ้นบางตัวราคาลงมามากจนแทบไม่ค่อยมีการซื้อขายแล้ว ราคาน่าจะต่ำในระดับหนึ่งเป็นต้น บางครั้งตัว upside เองก็เหมือนเป็น downside ไปในตัวอีกต่างหาก หมายถึงถ้าบ.ทำกำไรได้มากในระดับนั้น ราคาหุ้นมันก็ไม่ควรจะอยู่ตรงที่นั้น ตัว downside เองก็ทำให้ upside กว้างขึ้น เพราะเรามักจะซื้อหุ้นที่มี MOS เข้าไปด้วย ในขณะเดียวกันตัว upside เอง บางครั้งก็เหมือนเป็น downside ไปในตัว งงไหมครับ เอางี้ลองนึกถึงเกมฟุตบอลครับ ทีมหนึ่งกองหลัง (downside) ไม่แข็งแกร่งมาก แต่กองหน้า (upside) อันตรายมาก ยิงประตูได้มาก เลี้ยงเข้าไปป่วนคู่แข่งได้ตลอด จนคู่ต่อสู้ไม่กล้าขึ้นมาบุกแลก กองหลังของทีมนี้ถึงจะไม่แข็งแกร่งมาก แต่เนื่องจากกองหน้าไปกดดันคู่แข่งจนไม่กล้าบุก สุดท้ายกองหลังเลยไม่ต้องทำงานมากนัก ถึงแม้จะไม่เก่งก็เลยดูเหมือนเก่ง พอจะนึกภาพออกไหมครับ เช่นกันคำว่าตัว downside ทำให้ upside กว้างขึ้น เหมือนทีมที่กองหลังเก่ง ๆ ไว้ใจได้ กองหน้าไม่ต้องพะวงลงมาช่วยตั้งรับ ก็ขึ้นไปทำหน้าที่ยิงประตูอย่างเดียว โอกาสได้ประตูก็จะมากขึ้นนั่นเอง ในความเห็นของผม "หลักในการประเมิน downside นั้น ควรประเมินในลักษณะที่เป็น worse case ไม่ใช่แค่ระดับกลาง ๆ แบบ upside" เพราะถ้าเราประเมินในลักษณะ worse case แล้วความเสี่ยงนั้นยังต่ำ นั่นแปลว่าการลงทุนนั้นน่าสนใจอย่างมาก เพราะคำว่า worse case นั้น โอกาสเกิดขึ้นมันย่อมน้อยกว่าปกติครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 967
ผมลืมเรื่องสำคัญเกี่ยวกับ downside ไปเรื่องหนึ่งที่เป็นเหตุผลว่าทำไม ผมถึงว่ามันยากกว่าข้ออื่น ๆ ในกรณีของ upside นั้น ที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นว่า เราอาจจะประเมินโดยใช้ราคาหุ้น ณ ขณะนั้นบวก upside ขึ้นไปได้ แต่เราก็คงต้องต่อรองราคาโดยใช้ MOS เข้ามาช่วย ถ้าราคาหุ้นเกิดลงมาเราก็ได้ส่วนต่างเพิ่มขึ้นไป แต่ในกรณีของการตีค่าของ downside นั้น ถ้าเป็นตลาดหมีหรือราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งลงมามาก ๆ แล้วนั้น กรณีแบบนี้มันจะไม่ยากนัก แต่มันจะยากในกรณีที่ตลาดหรือหุ้นตัวนั้นอยู่ในระดับราคาที่ไม่สูงไม่ต่ำหรือถ้ายากที่สุดก็คือตอนที่ตลาดหรือราคาหุ้นอยู่ในระดับที่สูง ตรงนี้นี่แหละครับที่ยาก เพราะเราจะตีค่า downside หรือ MOS ที่ระดับไหนเราถึงจะรู้สึกปลอดภัย แม้แต่หุ้นที่ราคาถูกนั้น ในบางครั้งถ้าตลาดเกิดอาการ panic จากราคาถูกก็ยังอาจจะเห็นราคาแบบโคตรถูกครับ ถ้าเราต้องการ downside น้อย ๆ เราก็มีโอกาสจะซื้อหุ้นตัวนั้นไม่ได้ แต่ถ้าเรายอมรับ downside ที่มากขึ้น นั่นแปลว่าการ์ดมวยที่เราเอาไว้ป้องกันคู่ต่อสู้มันเริ่มตกลงนั่นเองครับleky เขียน: 4) Downside ผมว่าข้อนี้น่าจะยากที่สุด ถ้าลองไปอ่านดูบทความของคุณสุมาอี้ในเรื่อง MOS นั้น ผมเห็นด้วยอย่างแรงเลยว่า มันไม่มีหลักอะไรที่ตายตัวเอาเสียเลยครับ ผมเองเคยใช้หลาย ๆ วิธีกับหุ้นหลาย ๆ ตัว เช่นตัวนี้ใช้ EPS ตัวนี้ใช้ yield ตัวนี้ดูวอลุมของการซื้อขาย เช่น ถ้าหุ้นบางตัวราคาลงมามากจนแทบไม่ค่อยมีการซื้อขายแล้ว ราคาน่าจะต่ำในระดับหนึ่งเป็นต้น บางครั้งตัว upside เองก็เหมือนเป็น downside ไปในตัวอีกต่างหาก หมายถึงถ้าบ.ทำกำไรได้มากในระดับนั้น ราคาหุ้นมันก็ไม่ควรจะอยู่ตรงที่นั้น ตัว downside เองก็ทำให้ upside กว้างขึ้น เพราะเรามักจะซื้อหุ้นที่มี MOS เข้าไปด้วย ในขณะเดียวกันตัว upside เอง บางครั้งก็เหมือนเป็น downside ไปในตัว งงไหมครับ เอางี้ลองนึกถึงเกมฟุตบอลครับ ทีมหนึ่งกองหลัง (downside) ไม่แข็งแกร่งมาก แต่กองหน้า (upside) อันตรายมาก ยิงประตูได้มาก เลี้ยงเข้าไปป่วนคู่แข่งได้ตลอด จนคู่ต่อสู้ไม่กล้าขึ้นมาบุกแลก กองหลังของทีมนี้ถึงจะไม่แข็งแกร่งมาก แต่เนื่องจากกองหน้าไปกดดันคู่แข่งจนไม่กล้าบุก สุดท้ายกองหลังเลยไม่ต้องทำงานมากนัก ถึงแม้จะไม่เก่งก็เลยดูเหมือนเก่ง พอจะนึกภาพออกไหมครับ เช่นกันคำว่าตัว downside ทำให้ upside กว้างขึ้น เหมือนทีมที่กองหลังเก่ง ๆ ไว้ใจได้ กองหน้าไม่ต้องพะวงลงมาช่วยตั้งรับ ก็ขึ้นไปทำหน้าที่ยิงประตูอย่างเดียว โอกาสได้ประตูก็จะมากขึ้นนั่นเอง ในความเห็นของผม "หลักในการประเมิน downside นั้น ควรประเมินในลักษณะที่เป็น worse case ไม่ใช่แค่ระดับกลาง ๆ แบบ upside" เพราะถ้าเราประเมินในลักษณะ worse case แล้วความเสี่ยงนั้นยังต่ำ นั่นแปลว่าการลงทุนนั้นน่าสนใจอย่างมาก เพราะคำว่า worse case นั้น โอกาสเกิดขึ้นมันย่อมน้อยกว่าปกติครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 968
อ.leky ครับ ผมชอบและเห็นด้วยกับ concept ในการเลือกหุ้นของคุณสุมาอี้ คือ พิจารณาจาก Potential Growth เป็นสำคัญ เหมือนเลือกเรือที่แข็งแรงไว้ก่อน
ส่วนที่ว่าคลื่นลมในอนาคตจะเป็นยังไง คงเหลือวิสัยที่จะคาดการณ์ได้ชัดเจนแน่นอน คงต้องใช้วิธีเดินเรือไปด้วยความไม่ประมาทล่ะครับ
ถ้าเลือกจะเป็นโจรสลัดในตลาดหุ้นแล้ว คงไม่ถูกต้องนักที่จะมัวมากลัวคลื่นลมแรงใช่มั้ยครับ อาจารย์
ส่วนที่ว่าคลื่นลมในอนาคตจะเป็นยังไง คงเหลือวิสัยที่จะคาดการณ์ได้ชัดเจนแน่นอน คงต้องใช้วิธีเดินเรือไปด้วยความไม่ประมาทล่ะครับ
ถ้าเลือกจะเป็นโจรสลัดในตลาดหุ้นแล้ว คงไม่ถูกต้องนักที่จะมัวมากลัวคลื่นลมแรงใช่มั้ยครับ อาจารย์
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 969
ขอรบกวนถามอ.leky สักเรื่องนะครับ
สมมติว่าอ.ประเมินกำไรของหุ้นตัวนึงว่า ปีนี้กำไรจะไม่ดีลดลงจากปีที่แล้วระดับนึง และจะยังคงไม่ดีไปอีก 2-3 ไตรมาส แต่หลังจากนั้นจะมีจุดเปลี่ยนชัดเจน ส่งผลให้กำไรดีขึ้นอย่างมาก (โตมากกว่า 20% ต่อเนื่องไป 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย)
แบบนี้อ.จะซื้อหุ้นตอนไหน ยังไงครับ?
สมมติว่าอ.ประเมินกำไรของหุ้นตัวนึงว่า ปีนี้กำไรจะไม่ดีลดลงจากปีที่แล้วระดับนึง และจะยังคงไม่ดีไปอีก 2-3 ไตรมาส แต่หลังจากนั้นจะมีจุดเปลี่ยนชัดเจน ส่งผลให้กำไรดีขึ้นอย่างมาก (โตมากกว่า 20% ต่อเนื่องไป 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย)
แบบนี้อ.จะซื้อหุ้นตอนไหน ยังไงครับ?
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 970
ชัดเจนครับ ผมจะโจมตีตอนช่วงสีแดง เพราะคนส่วนใหญ่ในตลาดจะ action ตามสิ่งที่เห็น งบออกมาไม่ดี เค้ามักจะขายโดยที่ส่วนใหญ่จะไม่ได้เข้าไปดูว่าเนื้อแท้เป็นอย่างไร โดยเฉพาะวันที่งบออก จนกระทั่งแรงขายนั้นหมด คนที่รู้ข้อเท็จจริงก็จะเข้ามาซื้อหุ้นตัวนั้นต่อ ถึงจุดหนึ่งหุ้นก็จะไม่ค่อยลงแล้วครับดำ เขียน:ขอรบกวนถามอ.leky สักเรื่องนะครับ
สมมติว่าอ.ประเมินกำไรของหุ้นตัวนึงว่า ปีนี้กำไรจะไม่ดีลดลงจากปีที่แล้วระดับนึง และจะยังคงไม่ดีไปอีก 2-3 ไตรมาส แต่หลังจากนั้นจะมีจุดเปลี่ยนชัดเจน ส่งผลให้กำไรดีขึ้นอย่างมาก (โตมากกว่า 20% ต่อเนื่องไป 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย)
แบบนี้อ.จะซื้อหุ้นตอนไหน ยังไงครับ?
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 971
ขอบคุณครับอาจารย์ ปีใหม่นี้ตั้งใจว่าจะรักษาวินัยในการลงทุนให้ได้ ขอให้อาจารย์มีความก้าวหน้าในการลงทุนนะครับleky เขียน:ชัดเจนครับ ผมจะโจมตีตอนช่วงสีแดง เพราะคนส่วนใหญ่ในตลาดจะ action ตามสิ่งที่เห็น งบออกมาไม่ดี เค้ามักจะขายโดยที่ส่วนใหญ่จะไม่ได้เข้าไปดูว่าเนื้อแท้เป็นอย่างไร โดยเฉพาะวันที่งบออก จนกระทั่งแรงขายนั้นหมด คนที่รู้ข้อเท็จจริงก็จะเข้ามาซื้อหุ้นตัวนั้นต่อ ถึงจุดหนึ่งหุ้นก็จะไม่ค่อยลงแล้วครับดำ เขียน:ขอรบกวนถามอ.leky สักเรื่องนะครับ
สมมติว่าอ.ประเมินกำไรของหุ้นตัวนึงว่า ปีนี้กำไรจะไม่ดีลดลงจากปีที่แล้วระดับนึง และจะยังคงไม่ดีไปอีก 2-3 ไตรมาส แต่หลังจากนั้นจะมีจุดเปลี่ยนชัดเจน ส่งผลให้กำไรดีขึ้นอย่างมาก (โตมากกว่า 20% ต่อเนื่องไป 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย)
แบบนี้อ.จะซื้อหุ้นตอนไหน ยังไงครับ?
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 972
กราบสวัสดีปีใหม่ พี่โจ ลูกอีสาน, พี่หมอหนึ่ง, พี่หมอleky พี่ พ้อง น้อง เพื่อน อีกหลายๆคน
ขอให้ปีใหม่ 2015นี้ ทุกท่านในห้องVI หาดใหญ่ ได้ประสบสุข แข็งแรงทั้งกาย+ใจ มีความสุขยิ่งใหญ่พอๆกับพอร์ตหุ้นที่อยากมีนะครับ
ฝากคลิปที่ หมอ1 ได้พูดถึงครับ
[youtube]B1CIGs7nkvg[/youtube]
ขอให้ปีใหม่ 2015นี้ ทุกท่านในห้องVI หาดใหญ่ ได้ประสบสุข แข็งแรงทั้งกาย+ใจ มีความสุขยิ่งใหญ่พอๆกับพอร์ตหุ้นที่อยากมีนะครับ
ฝากคลิปที่ หมอ1 ได้พูดถึงครับ
[youtube]B1CIGs7nkvg[/youtube]
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 973
กราบสวัสดีปีใหม่ ท่านอาจารย์ พี่ๆ น้องๆ และเพื่อนๆ ที่แบ่งปันความรู้และประสบการณ์เป็นวิทยาทานค่ะ
ห้องนี้อบอุ่น กรุ่นด้วยมิตรภาพ ดีจริงๆ
ขอบคุณสำหรับข้อมูล ความสุขใจ ยามได้แวะเวียนเข้ามา ศึกษาเรื่องราวต่างๆ ทั้งในเรื่องของการลงทุนและแนวคิดอื่นๆ
ขอให้ทุกๆท่านมีสุขภาพแข็งแรง ทั้งกาย ใจ สมปรารถนา ในสิ่งที่มุ่งหวังนะคะ
ห้องนี้อบอุ่น กรุ่นด้วยมิตรภาพ ดีจริงๆ
ขอบคุณสำหรับข้อมูล ความสุขใจ ยามได้แวะเวียนเข้ามา ศึกษาเรื่องราวต่างๆ ทั้งในเรื่องของการลงทุนและแนวคิดอื่นๆ
ขอให้ทุกๆท่านมีสุขภาพแข็งแรง ทั้งกาย ใจ สมปรารถนา ในสิ่งที่มุ่งหวังนะคะ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 974
แต่ถ้าถามว่าใน 4 ข้อ ควรจะพิจารณาอะไรก่อน ผมจะเรียงลำดับตามนี้ครับleky เขียน:เห็นอ.หนึ่งลุกขึ้นมาโพสต์เวลาแบบนี้ เลยอยากเอากับเค้าบ้าง สงสัยคนอาชีพนี้ชอบทำอะไรตอนดึก ๆ แปลกแท้สมัยต้องอยู่เวรกลางคืนกลับไม่ชอบ แต่ทำอย่างอื่นกลับชอบดำ เขียน:หลัก 4 ข้อของอาจารย์ ตอนนี้ผมท่องไว้ตลอดเลยครับ คาถาพารวยleky เขียน:พยายามหาข้อมูลมาก ๆ ตั้งแต่ก่อนจะซื้อ พอซื้อแล้วก็ตามข่าวทั่ว ๆ ไป ตามว่า "ตัวเร่ง" ทำงานหรือไม่ ผมว่าทำไปนาน ๆ ก็สบายใจดีครับ ยึดหลัก 4 ข้อแบบง่าย ๆ catalyst, downside, upside, timing มันก็ทำให้เราพออยู่ได้ครับ
โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่ายากตรง timing นี่ล่ะครับ timing ที่กำไรจะโตยังพอคาดการณ์ได้ แต่ timing ที่จะเข้าซื้อหุ้นนี่สิครับ ปัญหาใหญ่เลย
สมัยที่ต้องอยู่เวรตอนกลางคืน บางทีนอนหลับอยู่โดนปลุก จิตใจหงุดหงิดประมาณว่าทำไมต้องมายุ่งตอนนี้กำลังนอนอยู่แท้ ๆ ตอนหลังผมนึกคำพูดของอ.คนหนึ่งขึ้นมาได้ว่า จงคิดเสียว่าเค้าปลุกขึ้นมาให้เราได้ทำบุญ มองแบบนี้จิตใจก็เป็นสุขขึ้น ซึ่งพอผมมานั่งคิด ไอ้ความคิดของเรามันก็แปลก บางทีอยากทำบุญนั่งรถไปต่างจังหวัดไกล ๆ ไม่กลับไม่บ่น แต่นี่คนไข้เดินเค้ามาหาบุญมาให้เราแท้ ๆ กลับบ่น
กลับมาที่เรื่องข้างบนครับ เรื่องหลัก 4 ข้อ ที่ผมตั้งขึ้นมาเองนั้น หลักมันมีอยู่แค่นั้นก็จริง แต่ถ้าไล่ย้อนไปดูรากเหง้าของมัน ๆ จะแตกแขนงมากมายครับ หลัก 4 ข้อนั้นเหมือนเป็นสิ่งที่เราต้องหาวิธีสรุปมันออกมาให้ได้เป็นเรื่องใหญ่ ๆ แค่ 4 ข้อ แต่ใครจะไปทำอย่างไร ใช้วิธีไหน มันก็แล้วแต่คน ๆ นั้นครับ เหมือนไม่มีกระบวนท่าที่ชัดเจน พลิกแพลงไปมาได้
ทีนี้ถ้าถามว่า 4 ข้อนั้นอะไรที่ง่ายและยาก ผมขอขยายความในความคิดของผมนะครับ ซึ่งสำหรับคนแต่ละคนผมคิดว่าคงแตกต่างกันออกไป เรียงจากง่ายไปยากแล้วกัน
1) Catalyst ผมว่าน่าจะง่ายที่สุด เพราะว่ามันเป็นความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง อาจจะมีเรื่องของประสบการณ์เข้ามาเกี่ยวข้องได้ เพียงแต่เราคงต้องฝึกฝนในแง่ที่จะดูว่า Catalyst แต่ละอย่างนั้นมี effect มากน้อยต่างกันแค่ไหน และเราคงต้องพยายามเลือกตัวที่มี effect มากที่สุด เป็น fact มากที่สุด เชื่อถือได้มากที่สุด เพราะยุคนี้เราได้ยิน เสพ ข่าวกันมากเกินไป บางเรื่องมันก็เป็นแค่ลมปากของผบห. เชื่อถือไม่ได้เอาเสียเลย
2) Upside ผมว่าการประเมิน ไม่น่าจะยากจนเกินไปนัก แต่จะทำได้จริงหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยกเว้นจะไปเจอบ.ที่มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ เป็นโครงการอะไรแบบนี้ ถ้าเจอแบบนี้คงต้องสอบถามไปยังบ.หรือไม่ก็พึ่งบทวิเคราะห์ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าถ้ามีบทวิเคราะห์ออกมา เราก็มักจะช้าไปหลายก้าวแล้ว ที่ผมว่ามันไม่ยากจนเกินไปนักเพราะจุดอ้างอิงมันคือราคาหุ้น ณ วันที่เราประเมิน upside เท่าไหร่ก็ตีขึ้นไปจากราคา ณ ขณะนั้น ซึ่งถ้าเอา downside เข้ามาดูประกอบ ช่องว่างตรงนั้นของ upside มันก็จะยิ่งกว้างขึ้น "หลักสำคัญของการตีค่า upside คือ จงประเมิน upside แค่ระดับกลาง ๆ ไม่ควรตีความในลักษณะของ best case" ในความเห็นของผมการตีความเรื่องที่ดีในลักษณะ best case นั้น เสี่ยงต่อความผิดพลาด ความโลภ แต่ในทางกลับกัน ถ้าประเมินแค่กลาง ๆ แล้ว upside ยังสูง คงนึกออกใช่ไหมครับว่า ถ้าเกิดในความเป็นจริงบ.ทำได้สูงกว่านั้น upside มันจะยิ่งสูงมากขึ้นไปอีก เหมือนนักกีฬายิมนาสติกสองคน คนหนึ่งเล่นท่าธรรมดาก็ได้เหรียญทอง กับอีกคนหนึ่งต้องเล่นท่ายากถึงจะได้เหรียญทอง เราจะเลือกคนไหน
3) Timing ในตัวของ timing เองนั้น จริง ๆ อาจจะง่ายที่สุด แต่ทำไมมันถึงไม่ง่ายที่สุด นั่นก็เพราะว่ามันมีปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ที่จะมีผลต่อมันหลายทางนั้นเอง ในความเห็นผม timing เองนั้น ส่วนหนึ่งถูกกำหนดด้วยตัวเราเอง ถ้าเรามีเงินเยอะมาก สามารถเอาเงินมาทิ้งในหุ้นที่ไม่ไปไหน รอวันที่ catalyst ทำงานได้นาน ๆ เพียงแต่ขอให้ซื้อหุ้นได้ถูก ๆ มันก็สามารถทำได้ เพียงแต่นลท.อย่างผมเองก็ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะทำได้แบบนั้น จึงต้องเลือกเวลาที่เหมาะสม จริง ๆ ผมว่า timing ที่บวกลบแถว ๆ หนึ่งปี น่าจะกำลังดี แล้วทำไมสิ่งที่ดูเหมือนง่ายมันกลายเป็นไม่ง่าย ก็เพราะการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งในตลาดนั้น มันมีอิทธิพลจากปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ด้วย เช่น อาจจะมีนลท.คนอื่นเห็นสิ่งที่เราเห็นเหมือนกัน เค้าก็อาจจะเข้ามาแย่งซื้อหุ้นตัดหน้าเรา หรือไม่ก็สภาพตลาดที่เป็นกระทิงดันให้หุ้นตัวที่เราสนใจมันขึ้นตามสภาวะตลาดไปด้วย การออกบทวิเคราะห์ในหุ้นตัวนั้นของโบรกก็ทำให้คนอื่นเห็นข้อดีของหุ้นตัวนั้น หุ้นจึงวิ่งขึ้นไป ฯลฯ
4) Downside ผมว่าข้อนี้น่าจะยากที่สุด ถ้าลองไปอ่านดูบทความของคุณสุมาอี้ในเรื่อง MOS นั้น ผมเห็นด้วยอย่างแรงเลยว่า มันไม่มีหลักอะไรที่ตายตัวเอาเสียเลยครับ ผมเองเคยใช้หลาย ๆ วิธีกับหุ้นหลาย ๆ ตัว เช่นตัวนี้ใช้ EPS ตัวนี้ใช้ yield ตัวนี้ดูวอลุมของการซื้อขาย เช่น ถ้าหุ้นบางตัวราคาลงมามากจนแทบไม่ค่อยมีการซื้อขายแล้ว ราคาน่าจะต่ำในระดับหนึ่งเป็นต้น บางครั้งตัว upside เองก็เหมือนเป็น downside ไปในตัวอีกต่างหาก หมายถึงถ้าบ.ทำกำไรได้มากในระดับนั้น ราคาหุ้นมันก็ไม่ควรจะอยู่ตรงที่นั้น ตัว downside เองก็ทำให้ upside กว้างขึ้น เพราะเรามักจะซื้อหุ้นที่มี MOS เข้าไปด้วย ในขณะเดียวกันตัว upside เอง บางครั้งก็เหมือนเป็น downside ไปในตัว งงไหมครับ เอางี้ลองนึกถึงเกมฟุตบอลครับ ทีมหนึ่งกองหลัง (downside) ไม่แข็งแกร่งมาก แต่กองหน้า (upside) อันตรายมาก ยิงประตูได้มาก เลี้ยงเข้าไปป่วนคู่แข่งได้ตลอด จนคู่ต่อสู้ไม่กล้าขึ้นมาบุกแลก กองหลังของทีมนี้ถึงจะไม่แข็งแกร่งมาก แต่เนื่องจากกองหน้าไปกดดันคู่แข่งจนไม่กล้าบุก สุดท้ายกองหลังเลยไม่ต้องทำงานมากนัก ถึงแม้จะไม่เก่งก็เลยดูเหมือนเก่ง พอจะนึกภาพออกไหมครับ เช่นกันคำว่าตัว downside ทำให้ upside กว้างขึ้น เหมือนทีมที่กองหลังเก่ง ๆ ไว้ใจได้ กองหน้าไม่ต้องพะวงลงมาช่วยตั้งรับ ก็ขึ้นไปทำหน้าที่ยิงประตูอย่างเดียว โอกาสได้ประตูก็จะมากขึ้นนั่นเอง ในความเห็นของผม "หลักในการประเมิน downside นั้น ควรประเมินในลักษณะที่เป็น worse case ไม่ใช่แค่ระดับกลาง ๆ แบบ upside" เพราะถ้าเราประเมินในลักษณะ worse case แล้วความเสี่ยงนั้นยังต่ำ นั่นแปลว่าการลงทุนนั้นน่าสนใจอย่างมาก เพราะคำว่า worse case นั้น โอกาสเกิดขึ้นมันย่อมน้อยกว่าปกติครับ
1) Catalyst เพราะถ้าขาดข้อนี้ไป ยากที่หุ้นตัวนั้นจะมีกำไรที่เติบโตขึ้น ราคาหุ้นอาจจะขึ้นได้เองถ้าตลาดเอื้ออำนวย แต่กำไรจะไม่โตขึ้น
2) Downside & Upside พิจารณาพร้อม ๆ กัน แต่จะเน้นหุ้นที่ downside ต่ำผมว่าถ้าจะให้ดีมาก ๆ ไม่ควรเกิน 15% แต่ถ้าจะมากกว่านั้น upside ควรจะต้องสูงมากกว่าเกณฑ์ที่เราตั้งเอาไว้ ส่วน upside ผมคิดว่าควรจะมากกว่า 30% ขึ้นไปถึงจะน่าสนใจครับ ถ้าเทียบกันแล้วผมมักจะให้น้ำหนักไปที่เรื่องของ downside มากกว่าเพราะไม่ต้องการขาดทุนครับ
3) Timing เป็นข้อสุดท้ายครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 975
สวัสดีครับพี่ๆทุกคน ผมแอบอ่านห้องนี้มาได้ประมาณ 2 ปี ตั้งแต่แล้วครับ จำได้ว่าตอนนั้นพี่หมอ Paul VI เป็นคนแนะนำผมว่ามีห้องนี้อยู่
เป็นห้องที่ได้ความรู้ดีจริงๆ ครับ
ส่วนตัวผมเป็นคนหาดใหญ่ แต่ไม่เคยไปร่วม meeting ที่หาดใหญ่เลยครับ จองไม่ทันบ้าง ติดเวรบ้าง หลายอย่าง แต่ก็แอบอ่านในห้องนี้เอา
ขอบคุณพี่ๆทุกคนที่แบ่งปันความรู้กันนะครับ
สำหรับปี 57 ที่ผ่านมาสำหรับชีวิตในตลาดหุ้นของผม มีทั้งช่วงเวลาดีๆ และเจ็บปวดครับ
เริ่มจากหาหุ้นดีๆได้ช่วงต้นปี เป็นหุ้นบัตรเครดิต แล้วก็ขายหมูไป เพราะคิดว่าคนน่าจะบริโภคลดลงมาก เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี แต่เปล่าเลย บริษัทนี้กลับทำได้ดี เป็นการมองกิจการที่สั้นเกินไปของผม และ คาดการกันรายไตรมาสมากเกินไปครับ
ในช่วงเดียวกันต้นปี ผมก็ได้ผมกับหุ้นที่ดีอีกตัว สามารถ ครับ ตอนนั้น valuation แล้วราคายังถูก และขายเพื่อ switch หุ้น หลังจาผมขาย หุ้นตัวนี้ก็วิ่งไปอีกเกือบเท่าตัวอย่างรวดเร็วครับ 555
แต่โชคยังเข้าข้างผม เพราะหุ้นสื่อสารที่ผมหมายหมั้นปั้นมือมานาน ได้ทำการเพิ่มทุนจนพื้นฐานเปลี่ยน และก็ตัดสินใจขายหมูก่อนเพิ่มทุนตามระเบียบ เนื่องจากคิดว่า ราคาที่เพิ่มทุน เอื้อประโยชน์ให้ บริษัทข้ามชาติจากจีน มากไปหน่อย
ฟังดูเหมือนจะดีนะครับ เหมือนมีแต่ขายหมูทั้งปี 555
มาช่วงปลายปีไม่มีหุ้นถูกๆให้เล่น ก็พยายามจะเล่น ไปเจอหุ้น commodity เหล็ก และ ยาง เข้า หวังจะ turn around โดนเข้าไปเต็มๆครับ เลือดกระจาย ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผม รู้สึกว่าจิตใจตัวเองไม่นิ่งพอ ไม่แข็งแกร่งพอ มีการเข้าออกหุ้น บ่อยครั้ง ผิดจากปกติ จึงออกมานั้งรอดีกว่าครับ
ตอนนี้ผมมีหุ้นน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ และ เป็นกองแช่งเต็มตัว
ผมมีนิสัยเสียชอบกะเก็งตลาด ครับ ปีหน้ามีสิ่งที่เป็นข่าวใหญ่รออยู่เยอะครับ ไม่รู้ว่าข่าวดีกับข่าวร้ายอะไรจะเยอะกว่ากัน
สุดท้ายขอสวัสดีปีใหม่เพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคน ครับ
ขอบคุณมากครับสำหรับแนวคิดดีๆ ที่แบ่งปันกันเสมอมา
เป็นห้องที่ได้ความรู้ดีจริงๆ ครับ
ส่วนตัวผมเป็นคนหาดใหญ่ แต่ไม่เคยไปร่วม meeting ที่หาดใหญ่เลยครับ จองไม่ทันบ้าง ติดเวรบ้าง หลายอย่าง แต่ก็แอบอ่านในห้องนี้เอา
ขอบคุณพี่ๆทุกคนที่แบ่งปันความรู้กันนะครับ
สำหรับปี 57 ที่ผ่านมาสำหรับชีวิตในตลาดหุ้นของผม มีทั้งช่วงเวลาดีๆ และเจ็บปวดครับ
เริ่มจากหาหุ้นดีๆได้ช่วงต้นปี เป็นหุ้นบัตรเครดิต แล้วก็ขายหมูไป เพราะคิดว่าคนน่าจะบริโภคลดลงมาก เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี แต่เปล่าเลย บริษัทนี้กลับทำได้ดี เป็นการมองกิจการที่สั้นเกินไปของผม และ คาดการกันรายไตรมาสมากเกินไปครับ
ในช่วงเดียวกันต้นปี ผมก็ได้ผมกับหุ้นที่ดีอีกตัว สามารถ ครับ ตอนนั้น valuation แล้วราคายังถูก และขายเพื่อ switch หุ้น หลังจาผมขาย หุ้นตัวนี้ก็วิ่งไปอีกเกือบเท่าตัวอย่างรวดเร็วครับ 555
แต่โชคยังเข้าข้างผม เพราะหุ้นสื่อสารที่ผมหมายหมั้นปั้นมือมานาน ได้ทำการเพิ่มทุนจนพื้นฐานเปลี่ยน และก็ตัดสินใจขายหมูก่อนเพิ่มทุนตามระเบียบ เนื่องจากคิดว่า ราคาที่เพิ่มทุน เอื้อประโยชน์ให้ บริษัทข้ามชาติจากจีน มากไปหน่อย
ฟังดูเหมือนจะดีนะครับ เหมือนมีแต่ขายหมูทั้งปี 555
มาช่วงปลายปีไม่มีหุ้นถูกๆให้เล่น ก็พยายามจะเล่น ไปเจอหุ้น commodity เหล็ก และ ยาง เข้า หวังจะ turn around โดนเข้าไปเต็มๆครับ เลือดกระจาย ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผม รู้สึกว่าจิตใจตัวเองไม่นิ่งพอ ไม่แข็งแกร่งพอ มีการเข้าออกหุ้น บ่อยครั้ง ผิดจากปกติ จึงออกมานั้งรอดีกว่าครับ
ตอนนี้ผมมีหุ้นน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ และ เป็นกองแช่งเต็มตัว
ผมมีนิสัยเสียชอบกะเก็งตลาด ครับ ปีหน้ามีสิ่งที่เป็นข่าวใหญ่รออยู่เยอะครับ ไม่รู้ว่าข่าวดีกับข่าวร้ายอะไรจะเยอะกว่ากัน
สุดท้ายขอสวัสดีปีใหม่เพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคน ครับ
ขอบคุณมากครับสำหรับแนวคิดดีๆ ที่แบ่งปันกันเสมอมา
Freedom
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 976
อาจจะมีคนสงสัยว่าสามารถซื้อหุ้นที่ไม่มี Catalyst ได้หรือไม่???leky เขียน: 1) Catalyst เพราะถ้าขาดข้อนี้ไป ยากที่หุ้นตัวนั้นจะมีกำไรที่เติบโตขึ้น ราคาหุ้นอาจจะขึ้นได้เองถ้าตลาดเอื้ออำนวย แต่กำไรจะไม่โตขึ้น
จริง ๆ แล้วก็สามารถซื้อได้เช่นกันครับ แต่จะเป็นอีกสถานการณ์อีกแบบหนึ่ง เช่น บ.ได้รับผลกระทบอะไรบางอย่าง ที่เราประเมินแล้วเป็นผลกระทบในระยะสั้นที่สามารถแก้ไขได้ แต่ราคาหุ้นตัวนั้นได้ลงมาเพราะตอบสนองกับกำไรที่ลดลงจากปัจจัยลบดังกล่าว ซึ่งถ้าบ.สามารถกลับไปที่จุด ๆ เดิมได้ ราคาหุ้นก็สามารถกลับไปที่จุด ๆ เดิมได้เช่นกันครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 977
ยินดีต้อนรับครับ ช่วยกันแสดงความคิดเห็นมาก ๆ เพื่อจะได้จุดประกายความรู้ครับmaymekung เขียน: ในช่วงเดียวกันต้นปี ผมก็ได้ผมกับหุ้นที่ดีอีกตัว สามารถ ครับ ตอนนั้น valuation แล้วราคายังถูก และขายเพื่อ switch หุ้น หลังจาผมขาย หุ้นตัวนี้ก็วิ่งไปอีกเกือบเท่าตัวอย่างรวดเร็วครับ 555
หุ้น SAMART นั้น เป็นหุ้นที่อยู่ในความทรงจำผมเสมอมาครับ คือเป็นหุ้นที่เคยหมายตาไว้แล้วแต่ไม่ได้ซื้อ ตอนนั้นน่าจะราว ๆ 2 ปีก่อนน่าจะได้ครับ ราคาหุ้นอยู่ที่ราว ๆ 13 บาท ตอนนั้นผมเองมองว่าแค่มูลค่ารวมของ SAMTEL กับ SIM ที่ SAMART ถืออยู่คำนวณออกมาแล้วราคาหุ้น SAMART ยังต่ำกว่ามาก yield น่าจะราว ๆ 5% บวกกับราคาหุ้นที่ดูตามหลังหุ้นในกลุ่มตัวอื่น ๆ นอกจากนั้น ตอนนั้นกระแสของ smart phone ราคาถูกเริ่มมาซึ่ง SIM น่าจะได้ประโยชน์ แต่ที่ผมไม่ได้ซื้อหุ้นตัวนี้เพราะเงินสดในพอร์ตหมดนั่นเองครับ หุ้นก็วิ่งขึ้นไป 20 บาท ก่อนจะลงมาอีกแถว ๆ 14 บาท ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำอะไรแล้วก็ขึ้นยาวมาจนปัจจุบัน
จึงเป็นหุ้นที่เป็นบทเรียนในใจผมครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 979
ผมมอง Short ครับ จารย์หมอหนึ่ง หุ้น เบรกลงdr1 เขียน:
ว่าแต่ว่าซื้อขายทำลายสถิติตลาดอนุพันธ์เมื่อวานนี้น่ะ ของอ.NBหลายเปอร์เซนต์มั้ยฮะ แล้วอ.ใช้โอกาสตลาดแพนิคครั้งนี้
อย่างไรมั่งฮะ ขออนุญาตเรียนถามแทนสมาชิกที่อยากรู้เหมือนผมหน่อยนะฮะ
สำหรับปีนี้ผมมอง สวิงเทรดครับ ขึ้นขาย ลงซื้อ ครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 980
ผมเดาเล่น ๆ ว่าช่วงต้นปีนี้ตลาดน่าจะทรง ๆ นะครับ ไม่มีปัจจัยอะไรใหม่ ๆ ให้ตื่นเต้น ดีไม่ดีอะไรมากระทบหน่อยก็พร้อมจะไหล ยกเว้นจะมองที่ January effect แต่หลัง ๆ ผมคิดว่า effect นี้น่าจะไม่ค่อยมีแล้ว
เริ่มปีใหม่ก็ความหวังใหม่ อะไรที่ปีก่อนไม่ดีก็เริ่มใหม่ ที่ทำไว้ดีแล้วก็ต้องพยายามรักษาเอาไว้
เวลา SET อยู่ที่ระดับสูงหน่อย เดี๋ยวนี้ผมก็ไม่ค่อยกล้าลุยครับ จริง ๆ มันก็ไม่เชิงจะไปจับจังหวะตลาดนะครับ แต่เวลาตลาดสูง หุ้นส่วนใหญ่มันก็ราคาสูงขึ้นไปด้วย ความเสี่ยงมันก็มีครับ
เริ่มปีใหม่ก็ความหวังใหม่ อะไรที่ปีก่อนไม่ดีก็เริ่มใหม่ ที่ทำไว้ดีแล้วก็ต้องพยายามรักษาเอาไว้
เวลา SET อยู่ที่ระดับสูงหน่อย เดี๋ยวนี้ผมก็ไม่ค่อยกล้าลุยครับ จริง ๆ มันก็ไม่เชิงจะไปจับจังหวะตลาดนะครับ แต่เวลาตลาดสูง หุ้นส่วนใหญ่มันก็ราคาสูงขึ้นไปด้วย ความเสี่ยงมันก็มีครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 982
วันนี้มาคุยเรื่องหนังสือบ้างครับ วันก่อนได้อ่านกระทู้ของท่านนายกโจ มีแนะนำหนังสือเล่มนึงคือ ”แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า” หรือ The Most Important Thing Illuminated (แปลโดยคุณ WEB) ไม่ทราบว่า อ.leky หรือเพื่อนๆ ท่านอื่นๆ เคยอ่านกันรึยังครับ?
ผมได้ไปซื้อมาและได้อ่านจบแล้ว เป็นหนังสือที่อธิบายถึงปรัชญา แนวทาง แนวคิด กรอบการลงทุน แบบวีไอที่ดีมากๆ เลยครับ สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจแนวทางการลงทุนแบบวีไอถ่องแท้รึยัง ผมแนะนำเล่มนี้ด้วยอีกเสียงครับ
ผมได้ไปซื้อมาและได้อ่านจบแล้ว เป็นหนังสือที่อธิบายถึงปรัชญา แนวทาง แนวคิด กรอบการลงทุน แบบวีไอที่ดีมากๆ เลยครับ สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจแนวทางการลงทุนแบบวีไอถ่องแท้รึยัง ผมแนะนำเล่มนี้ด้วยอีกเสียงครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 983
ซื้อมานานแล้วครับ แต่รอเคลียร์ เล่มสีเขียว ๆ มีรูปแก่นไม้ ของผมคงต้องรอเก็บให้ขลังก่อนครับ ถึงจะได้อ่านซักทีดำ เขียน:วันนี้มาคุยเรื่องหนังสือบ้างครับ วันก่อนได้อ่านกระทู้ของท่านนายกโจ มีแนะนำหนังสือเล่มนึงคือ ”แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า” หรือ The Most Important Thing Illuminated (แปลโดยคุณ WEB) ไม่ทราบว่า อ.leky หรือเพื่อนๆ ท่านอื่นๆ เคยอ่านกันรึยังครับ?
ผมได้ไปซื้อมาและได้อ่านจบแล้ว เป็นหนังสือที่อธิบายถึงปรัชญา แนวทาง แนวคิด กรอบการลงทุน แบบวีไอที่ดีมากๆ เลยครับ สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจแนวทางการลงทุนแบบวีไอถ่องแท้รึยัง ผมแนะนำเล่มนี้ด้วยอีกเสียงครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 984
ในความเห็นของผม มันแก่นสมชื่อเลยครับอาจารย์leky เขียน:ซื้อมานานแล้วครับ แต่รอเคลียร์ เล่มสีเขียว ๆ มีรูปแก่นไม้ ของผมคงต้องรอเก็บให้ขลังก่อนครับ ถึงจะได้อ่านซักทีดำ เขียน:วันนี้มาคุยเรื่องหนังสือบ้างครับ วันก่อนได้อ่านกระทู้ของท่านนายกโจ มีแนะนำหนังสือเล่มนึงคือ ”แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า” หรือ The Most Important Thing Illuminated (แปลโดยคุณ WEB) ไม่ทราบว่า อ.leky หรือเพื่อนๆ ท่านอื่นๆ เคยอ่านกันรึยังครับ?
ผมได้ไปซื้อมาและได้อ่านจบแล้ว เป็นหนังสือที่อธิบายถึงปรัชญา แนวทาง แนวคิด กรอบการลงทุน แบบวีไอที่ดีมากๆ เลยครับ สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจแนวทางการลงทุนแบบวีไอถ่องแท้รึยัง ผมแนะนำเล่มนี้ด้วยอีกเสียงครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 985
สวัสดีครับ ผมขอแชร์ในห้องด้วยคน รู้สึกอบอุ่นมากสำหรับห้องนี้ เห็น ไก่ ธันวาบอกว่าปีที่แล้วซื้อหนังสือเล่มเดียวคือเล่มที่พูดถึง ก็เลยซื้อบ้าง แต่ยังรอคิวอ่านอยู่ ในห้องพูดถึงก็ทำให้หยิบมาอ่านดู หนังสือเล่มนี้ดีมากแนะนำให้อ่านด้วยครับ ถ้าใครยังไม่อ่าน
-
- Verified User
- โพสต์: 343
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 986
แนะนำหนังสื่อคุณสุมาอี้ รูปแบบ audio book สำหรับคนที่ไม่มีเวลาอ่าน และ ขับรถประจำ
โหลดได้จาก ais book store หรือ ookbee มีส่วนลดเยอะด้วยครับ
ผมโหลด(ซื้อ)มาฟังทุกเล่มแล้ว ที่มี audio ดีมากๆเลยครับ
ทำให้อ่านหนังสือได้มากขึ้นครับ
โหลดได้จาก ais book store หรือ ookbee มีส่วนลดเยอะด้วยครับ
ผมโหลด(ซื้อ)มาฟังทุกเล่มแล้ว ที่มี audio ดีมากๆเลยครับ
ทำให้อ่านหนังสือได้มากขึ้นครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 988
"ความรู้(สึกตัวทั่วพร้อม=สติ) คู่คุณธรรม(คุณน่ะ ทำเองนะ) นำสู่(ความมั่งคั่ง,บรรลุธรรมใน)อนาคต"
คำขวัญวันเด็กคุณลุงตุ๊ดตู่ฮะ เอามาปรับใช้กับเด็กนักเรียนวีไอแบบผม
เที่ยวนี้ไปได้ค่านิยม เอ๊ยบทเรียน20บทจากสับพราม ของอ.seth มาอีกแล้วฮะ
ของold school value(วีไอสไตล์เก๋า)ของคุณjae jun(น่าจะเกาหลี)
http://www.oldschoolvalue.com/blog/inve ... l.KGdrtc_J
ฝรั่งบอก เกาหลีย่อ ไทยปนเจ๊กแปล มั่วๆแบบฮา-โลว์-วีน อีกแล้วครับท่าน
1. คิดในสิ่งไม่คาดคิด
เตรียมรับเรื่องร้าย เพราะความจริงของตลาดแย่ได้มากกว่าที่คิด
คำว่าblack swan(Nassim Talib)หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยาก และคาดเดาไม่ได้ แต่มันก็เกิดขึ้นจริง
2. เรื่องดีๆที่มากเกิน
ตลาดหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ? ใครๆก็กู้ง่ายๆ? ดอกเบี้ยลดลงเรื่อยๆไกล้ศูนย์? ฯลฯ
นี่จะทำให้รู้สึกปลอดภัยแบบไม่ระวังตัว พอเรื่องพลิกกลับก็เป็นกดปุ่มระเบิดวิกฤติ
3. ควบคุมความเสี่ยงก่อน
อย่าพยามรีดกำไรจนหยดสุดท้ายจากการลงทุน นึกถึงความเสี่ยงและ downsideก่อนผลตอบแทนเสมอ
พอวิกฤติมา คุณควรอยู่ในสถานะ"อนุรักษ์(ชอบชื่อนี้จริงๆ)นิยม"
และคว้าโอกาสใหม่ได้ทันที ในขณะที่คนอื่นถูกบังคับขาย
4. จ่ายน้อยเสี่ยงน้อย
ความเสี่ยงมาจาก"ราคา"ที่คุณจ่ายซื้อหุ้น มันผันผวนและไม่นิ่ง
ขณะความไม่แน่นอนสูง ทำให้ราคาร่วงลง คุณจะซื้อด้วยความเสี่ยงต่ำ
5. โมเดลความเสี่ยง ใช้ไม่ได้ผลหรอก
โมเดลความเสี่ยงตลาดหุ้นที่คำนวนด้วนคอมพิวเตอร์ เป็นเรื่องเสียเวลา และเป็นไปไม่ได้
สามัญสำนึกมนุษย์ จาก"ความจริงในปัจจุบัน"จะแม่นกว่าสูตรคำนวนและตัวเลข
6. อย่าลงทุนเพื่อกำไรระยะสั้น
อย่าพยามลงทุนเพื่อหวังได้มากกว่า"เงินสดที่ไม่ทำอะไร"
นี่คือความเสี่ยงซึ่งมักขาดทุน และขาดสภาพคล่องเวลาต้องการเงินสดจริงๆ
7. ราคาหุ้นไม่ใช่ตัวชี้วัด
"ราคา"หุ้น ไม่ใช่"คุณค่า"ของกิจการ คนมักเข้าใจผิดว่าตลาดมีประสิทธิภาพ ทั้งช่วงดีและแย่
8. จงขยายวงความรู้ของคุณ
พอวิกฤติมา ควรลงทุนแบบยืดหยุ่นพริ้วไหว
อย่ายึดติดกับวิธีใดวิธีนึงมากไป เพราะโอกาสจะมาหลายแบบ หลายทิศทาง
ถ้าปกติลงทุนแบบแข็งทื่อ ให้เริ่มขยายวงความรู้(circle of competence)ของคุณให้กว้างขึ้นซะ
9. ซื้อตอนราคาร่วง
ซื้อตอนราคากำลังลง ปริมาณขายสูง คู่แข่งจะน้อย
เร็วไปดีกว่าช้าไป อย่ากลัวที่จะซื้อของลดราคากระหน่ำ
10. ผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ไม่ทำกำไรให้คุณหรอก
ระวังพวกสินค้าการเงินใหม่ๆแปลกๆ ที่มักออกมาช่วงตลาดคึก และไม่ระแวงสงสัย
เงินกู้สับพรามเป็นตัวอย่าง พวกหลงไหลได้ปลื้มจะเห็นแต่upside สุดท้ายตายหมด
11. สถาบันจัดอันดับก็ใช่ไม่ได้
มักไม่ได้เรื่อง แถมช้าไปก้าวนึงเสมอ
จะลด จะเพิ่มเกรดตามหลังเหตุการณ์ จะมีประโยชน์อะไร?
12. หุ้นไม่มีสภาพคล่องจะแสดงตัวตน
หุ้นที่ซื้อขายยากจะมีต้นทุนเสียโอกาสสูง
คุณต้องแน่ใจว่าชดเชยเผื่อไว้ให้มากพอ
13. หุ้นในตลาดยังแข็งปั๋ง
ถ้าทุกอย่างเหมือนกัน หุ้นในตลาดจะดีกว่าหุ้นนอกตลาด
ช่วงวิกฤติ ลงทุนถัวเฉลี่ยหุ้นบ.ในตลาดดีกว่าบ.นอกตลาด
14. หนี้คือปีศาจ
หลีกให้ห่างหนี้(leverage)ทุกรูปแบบ อย่าหวังจะต่ออายุหนี้ครบกำหนดไปเรื่อยๆ
เพราะคุณไม่รู้พฤติกรรมตลาดทุนจะเป็นไงต่อไป
15. LBO คือหายนะรอวันระบิด
กู้เงินมาซื้อบริษัท(leverage buyout) คือหายนะจากฝีมือคนโง่
ถ้าซื้อแพงจนส่วนทุน รับหนี้ไม่ไหว
16. หุ้นการเงินคือความเสี่ยงสูง
ตัวอย่างเช่นธนาคาร มีหนี้เยอะ แข่งขันสูง ทำธุรกิจเหนื่อยยาก
เว้นแต่คุณมีประสบการณ์และรู้ลึก แต่ลงทุนในธุรกิจปลอดภัยกว่าที่คุณเข้าใจน่าจะง่ายกว่า
17. ลูกค้าระยะยาว คือกุญแจความสำเร็จของกองทุน
ถ้าคุณบริหารกองทุน การมีลูกค้าที่มีแนวคิดลงทุนระยะยาวสำคัญมาก
เพราะคุณคงไม่อยากถูกถอนเงินในช่วงวิกฤติ
18. ภาครัฐก็"ไม่รู้สินะ"
พอเจ้าหน้าที่รัฐบอกว่า"เราควบคุมปัญหาได้แล้ว"
นั่นหมายความตรงข้ามกับที่พูด ไม่ต้องไปสนใจมากนัก
19. รัฐบาลคือนักค้าระยะสั้นตัวพ่อ
ผู้เล่นระยะสั้นแบบรัฐบาล จะรีบลดความเจ็บปวดจากแผลใหญ่ลึกด้วยพลาสเตอร์ยาโดยไม่หาข้อสรุปสาเหตุ
จะทำทุกทางเพื่อซื้อเวลาเลื่อนแผลเจ็บปวดไปอนาคตวันหน้า ไม่ว่าจะเสี่ยงมหาศาลแค่ไหนก็ตาม
20. ไม่มีใครสนใจคุณ เท่าตัวคุณเอง
ไม่มีใครรับผิดชอบเรื่องวิกฤติ ดังนั้นคุณต้องดูแลตัวเอง และบริหารความเสี่ยงให้ดี
เพราะไม่มีใครจะรับผิดชอบเวลาคุณลงทุนเจ๊ง..
วีไอเด็ก(เพราะยังชอบดูดนม)โข่ง ส่งรายงาน
คำขวัญวันเด็กคุณลุงตุ๊ดตู่ฮะ เอามาปรับใช้กับเด็กนักเรียนวีไอแบบผม
เที่ยวนี้ไปได้ค่านิยม เอ๊ยบทเรียน20บทจากสับพราม ของอ.seth มาอีกแล้วฮะ
ของold school value(วีไอสไตล์เก๋า)ของคุณjae jun(น่าจะเกาหลี)
http://www.oldschoolvalue.com/blog/inve ... l.KGdrtc_J
ฝรั่งบอก เกาหลีย่อ ไทยปนเจ๊กแปล มั่วๆแบบฮา-โลว์-วีน อีกแล้วครับท่าน
1. คิดในสิ่งไม่คาดคิด
เตรียมรับเรื่องร้าย เพราะความจริงของตลาดแย่ได้มากกว่าที่คิด
คำว่าblack swan(Nassim Talib)หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยาก และคาดเดาไม่ได้ แต่มันก็เกิดขึ้นจริง
2. เรื่องดีๆที่มากเกิน
ตลาดหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ? ใครๆก็กู้ง่ายๆ? ดอกเบี้ยลดลงเรื่อยๆไกล้ศูนย์? ฯลฯ
นี่จะทำให้รู้สึกปลอดภัยแบบไม่ระวังตัว พอเรื่องพลิกกลับก็เป็นกดปุ่มระเบิดวิกฤติ
3. ควบคุมความเสี่ยงก่อน
อย่าพยามรีดกำไรจนหยดสุดท้ายจากการลงทุน นึกถึงความเสี่ยงและ downsideก่อนผลตอบแทนเสมอ
พอวิกฤติมา คุณควรอยู่ในสถานะ"อนุรักษ์(ชอบชื่อนี้จริงๆ)นิยม"
และคว้าโอกาสใหม่ได้ทันที ในขณะที่คนอื่นถูกบังคับขาย
4. จ่ายน้อยเสี่ยงน้อย
ความเสี่ยงมาจาก"ราคา"ที่คุณจ่ายซื้อหุ้น มันผันผวนและไม่นิ่ง
ขณะความไม่แน่นอนสูง ทำให้ราคาร่วงลง คุณจะซื้อด้วยความเสี่ยงต่ำ
5. โมเดลความเสี่ยง ใช้ไม่ได้ผลหรอก
โมเดลความเสี่ยงตลาดหุ้นที่คำนวนด้วนคอมพิวเตอร์ เป็นเรื่องเสียเวลา และเป็นไปไม่ได้
สามัญสำนึกมนุษย์ จาก"ความจริงในปัจจุบัน"จะแม่นกว่าสูตรคำนวนและตัวเลข
6. อย่าลงทุนเพื่อกำไรระยะสั้น
อย่าพยามลงทุนเพื่อหวังได้มากกว่า"เงินสดที่ไม่ทำอะไร"
นี่คือความเสี่ยงซึ่งมักขาดทุน และขาดสภาพคล่องเวลาต้องการเงินสดจริงๆ
7. ราคาหุ้นไม่ใช่ตัวชี้วัด
"ราคา"หุ้น ไม่ใช่"คุณค่า"ของกิจการ คนมักเข้าใจผิดว่าตลาดมีประสิทธิภาพ ทั้งช่วงดีและแย่
8. จงขยายวงความรู้ของคุณ
พอวิกฤติมา ควรลงทุนแบบยืดหยุ่นพริ้วไหว
อย่ายึดติดกับวิธีใดวิธีนึงมากไป เพราะโอกาสจะมาหลายแบบ หลายทิศทาง
ถ้าปกติลงทุนแบบแข็งทื่อ ให้เริ่มขยายวงความรู้(circle of competence)ของคุณให้กว้างขึ้นซะ
9. ซื้อตอนราคาร่วง
ซื้อตอนราคากำลังลง ปริมาณขายสูง คู่แข่งจะน้อย
เร็วไปดีกว่าช้าไป อย่ากลัวที่จะซื้อของลดราคากระหน่ำ
10. ผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ไม่ทำกำไรให้คุณหรอก
ระวังพวกสินค้าการเงินใหม่ๆแปลกๆ ที่มักออกมาช่วงตลาดคึก และไม่ระแวงสงสัย
เงินกู้สับพรามเป็นตัวอย่าง พวกหลงไหลได้ปลื้มจะเห็นแต่upside สุดท้ายตายหมด
11. สถาบันจัดอันดับก็ใช่ไม่ได้
มักไม่ได้เรื่อง แถมช้าไปก้าวนึงเสมอ
จะลด จะเพิ่มเกรดตามหลังเหตุการณ์ จะมีประโยชน์อะไร?
12. หุ้นไม่มีสภาพคล่องจะแสดงตัวตน
หุ้นที่ซื้อขายยากจะมีต้นทุนเสียโอกาสสูง
คุณต้องแน่ใจว่าชดเชยเผื่อไว้ให้มากพอ
13. หุ้นในตลาดยังแข็งปั๋ง
ถ้าทุกอย่างเหมือนกัน หุ้นในตลาดจะดีกว่าหุ้นนอกตลาด
ช่วงวิกฤติ ลงทุนถัวเฉลี่ยหุ้นบ.ในตลาดดีกว่าบ.นอกตลาด
14. หนี้คือปีศาจ
หลีกให้ห่างหนี้(leverage)ทุกรูปแบบ อย่าหวังจะต่ออายุหนี้ครบกำหนดไปเรื่อยๆ
เพราะคุณไม่รู้พฤติกรรมตลาดทุนจะเป็นไงต่อไป
15. LBO คือหายนะรอวันระบิด
กู้เงินมาซื้อบริษัท(leverage buyout) คือหายนะจากฝีมือคนโง่
ถ้าซื้อแพงจนส่วนทุน รับหนี้ไม่ไหว
16. หุ้นการเงินคือความเสี่ยงสูง
ตัวอย่างเช่นธนาคาร มีหนี้เยอะ แข่งขันสูง ทำธุรกิจเหนื่อยยาก
เว้นแต่คุณมีประสบการณ์และรู้ลึก แต่ลงทุนในธุรกิจปลอดภัยกว่าที่คุณเข้าใจน่าจะง่ายกว่า
17. ลูกค้าระยะยาว คือกุญแจความสำเร็จของกองทุน
ถ้าคุณบริหารกองทุน การมีลูกค้าที่มีแนวคิดลงทุนระยะยาวสำคัญมาก
เพราะคุณคงไม่อยากถูกถอนเงินในช่วงวิกฤติ
18. ภาครัฐก็"ไม่รู้สินะ"
พอเจ้าหน้าที่รัฐบอกว่า"เราควบคุมปัญหาได้แล้ว"
นั่นหมายความตรงข้ามกับที่พูด ไม่ต้องไปสนใจมากนัก
19. รัฐบาลคือนักค้าระยะสั้นตัวพ่อ
ผู้เล่นระยะสั้นแบบรัฐบาล จะรีบลดความเจ็บปวดจากแผลใหญ่ลึกด้วยพลาสเตอร์ยาโดยไม่หาข้อสรุปสาเหตุ
จะทำทุกทางเพื่อซื้อเวลาเลื่อนแผลเจ็บปวดไปอนาคตวันหน้า ไม่ว่าจะเสี่ยงมหาศาลแค่ไหนก็ตาม
20. ไม่มีใครสนใจคุณ เท่าตัวคุณเอง
ไม่มีใครรับผิดชอบเรื่องวิกฤติ ดังนั้นคุณต้องดูแลตัวเอง และบริหารความเสี่ยงให้ดี
เพราะไม่มีใครจะรับผิดชอบเวลาคุณลงทุนเจ๊ง..
วีไอเด็ก(เพราะยังชอบดูดนม)โข่ง ส่งรายงาน
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 989
เมื่อวานฟังหม่อมอุ๋ยบอกจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแน่นอน พี่ๆคิดว่าโรงไฟฟ้าจะเกิดขึ้นได้จริงในเมืองไทยมั้ยครับ แถวบ้านเราค้านกันไม่ได้สร้างทั้งเพ แล้วก็มาแอบถามหุ้นที่คิดว่าจะได้ทำโรงไฟฟ้าถ่านหินในไทยด้วย
low risk High return!
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 990
กราบขอบพระคุณ จารย์หมอหนึ่งแทบตัก สำหรับความรู้ครับ
ว่าแต่ว่า จารย์หมอหนึ่งไปฟิตเนส ที่เป็นข่าวมาด้วยกับเค้ารึเปล่าคับ แฮ่ม
ว่าแต่ว่า จารย์หมอหนึ่งไปฟิตเนส ที่เป็นข่าวมาด้วยกับเค้ารึเปล่าคับ แฮ่ม
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/