VI หาดใหญ่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
theerasak24
Verified User
โพสต์: 614
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 931

โพสต์

ดำ เขียน:
theerasak24 เขียน:แต่เท่าที่ดูหรือเจอเพื่อนๆพี่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆครับรถที่ ยึดมาและทำการประมูลก็ประมูลกันถี่เป็นจากเดิม เดือนละครั้ง มาเป็นสัปดาห์ละครั้งครับ
ผมสงสัยเรื่องนี้อ่ะครับตั้งแต่ตอนดู Opp Day ของหุ้นตัวนึงแล้ว
ที่ประมูลกันถี่ๆ ด้านนึงก็คือเนื่องจากมีรถที่สถาบันการเงินยึดมาเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก แล้วอีกด้านนึงอ่ะครับ ศก.แย่แล้วใครที่มีเงินมาประมูลถี่ๆเอารถไปอ่ะครับ แล้วเอาไปทำอะไรต่ออ่ะครับ รถจำนวนมากยังงั้น?
เท่าที่ดูผู้มาประมูลส่วนใหญ่ก็มาจากเต๊นท์รถ จากหลายๆที่แต่ส่วนใหญ่หลังจากประมูลได้แล้วก็มีการขนรถกลับกทม. กันเยอะเลยครับ และก็มีชาวบ้านบางส่วน ที่ไม่อยากซื้อรถมือ1 ก็มาร่วมกับเค้าด้วยเดี๊ยวถ้าเค้าประมูลหรือว่ามีเวลาว่างจะถ่ายรูปมาให้ดูว่ารถเยอะขนาดไหน. ถ้าเทียบกับเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้นเยอะมากเลยครับคิดว่า
"เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะยังคงทำสิ่งต่างๆ ต่อไปตราบใดที่มันยังให้ความรื่นรมย์และคุณก็ทำมันได้ดี"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 932

โพสต์

theerasak24 เขียน:
ดำ เขียน:
theerasak24 เขียน:แต่เท่าที่ดูหรือเจอเพื่อนๆพี่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆครับรถที่ ยึดมาและทำการประมูลก็ประมูลกันถี่เป็นจากเดิม เดือนละครั้ง มาเป็นสัปดาห์ละครั้งครับ
ผมสงสัยเรื่องนี้อ่ะครับตั้งแต่ตอนดู Opp Day ของหุ้นตัวนึงแล้ว
ที่ประมูลกันถี่ๆ ด้านนึงก็คือเนื่องจากมีรถที่สถาบันการเงินยึดมาเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก แล้วอีกด้านนึงอ่ะครับ ศก.แย่แล้วใครที่มีเงินมาประมูลถี่ๆเอารถไปอ่ะครับ แล้วเอาไปทำอะไรต่ออ่ะครับ รถจำนวนมากยังงั้น?
เท่าที่ดูผู้มาประมูลส่วนใหญ่ก็มาจากเต๊นท์รถ จากหลายๆที่แต่ส่วนใหญ่หลังจากประมูลได้แล้วก็มีการขนรถกลับกทม. กันเยอะเลยครับ และก็มีชาวบ้านบางส่วน ที่ไม่อยากซื้อรถมือ1 ก็มาร่วมกับเค้าด้วยเดี๊ยวถ้าเค้าประมูลหรือว่ามีเวลาว่างจะถ่ายรูปมาให้ดูว่ารถเยอะขนาดไหน. ถ้าเทียบกับเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้นเยอะมากเลยครับคิดว่า
คือสงสัยน่ะครับว่า ในเมื่อศก.ไม่ดีแล้วทำไมมีคนมาสนใจซื้อรถมือสองกันมากผิดปกติ
ภาพประจำตัวสมาชิก
theerasak24
Verified User
โพสต์: 614
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 933

โพสต์

ดำ เขียน:
theerasak24 เขียน:
ดำ เขียน:
theerasak24 เขียน:แต่เท่าที่ดูหรือเจอเพื่อนๆพี่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆครับรถที่ ยึดมาและทำการประมูลก็ประมูลกันถี่เป็นจากเดิม เดือนละครั้ง มาเป็นสัปดาห์ละครั้งครับ
ผมสงสัยเรื่องนี้อ่ะครับตั้งแต่ตอนดู Opp Day ของหุ้นตัวนึงแล้ว
ที่ประมูลกันถี่ๆ ด้านนึงก็คือเนื่องจากมีรถที่สถาบันการเงินยึดมาเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก แล้วอีกด้านนึงอ่ะครับ ศก.แย่แล้วใครที่มีเงินมาประมูลถี่ๆเอารถไปอ่ะครับ แล้วเอาไปทำอะไรต่ออ่ะครับ รถจำนวนมากยังงั้น?
เท่าที่ดูผู้มาประมูลส่วนใหญ่ก็มาจากเต๊นท์รถ จากหลายๆที่แต่ส่วนใหญ่หลังจากประมูลได้แล้วก็มีการขนรถกลับกทม. กันเยอะเลยครับ และก็มีชาวบ้านบางส่วน ที่ไม่อยากซื้อรถมือ1 ก็มาร่วมกับเค้าด้วยเดี๊ยวถ้าเค้าประมูลหรือว่ามีเวลาว่างจะถ่ายรูปมาให้ดูว่ารถเยอะขนาดไหน. ถ้าเทียบกับเมื่อปีที่แล้วเพิ่มขึ้นเยอะมากเลยครับคิดว่า
คือสงสัยน่ะครับว่า ในเมื่อศก.ไม่ดีแล้วทำไมมีคนมาสนใจซื้อรถมือสองกันมากผิดปกติ
ผมมองอีกแบบนะครับ คิดว่า คนเราเมื่อก่อนถ้าไม่มีรถ ก็ไม่เป็นไรอยู่ได้ แต่ถ้ามีรถแล้วไม่มีรถใช้ขึ้นมาก็ รู้สึกว่าชีวิตมันยากขึ้นกว่าเดิม ก็เลย ต้องหารถกลางเก่ากลางใหม่มาใช้กันก่อน หรือว่าคนที่เพิ่งจะพอมีกำลังซื้อรถ ก็แทนที่ว่าจะใช้รถมือ 1 เลย ก็ลองใช้รถมือสองก่อน และกิจการเต้นท์รถ ก็อยู่ที่ความพอใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายด้วย และรถที่นำมาประมูลก็ใช่ว่าจะเป็นรถเก่าเลย รถเพิ่งใช้เพี่ยง 1 หรือ 2 ปีก็มีครับ
"เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะยังคงทำสิ่งต่างๆ ต่อไปตราบใดที่มันยังให้ความรื่นรมย์และคุณก็ทำมันได้ดี"
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 934

โพสต์

ดำ เขียน: ทำไมผมเปิดเพลงไม่ได้อ่ะครับ
หุ้นมีให้ลอกเพียบเลยครับตอนนี้ ชอบดอยไหนบอกครับ :mrgreen:
ขออภัยครับ
ตั้งใจจะให้ฟังเสียงจากชาวสวนตัวจริงในเพลงนี้หน่ะครับ
https://www.youtube.com/watch?v=LdDmyaNPeps
[youtube]LdDmyaNPeps[/youtube]

ส่วนหุ้น ผมสเปคไม่เยอะหรอกครับ
พี่PMตัวที่อัพไซด์เยอะๆ ดาวว์ไซด์น้อยๆมาแล้วกันครับ :wink:
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 935

โพสต์

saichon เขียน:
ดำ เขียน:ส่วนหุ้น ผมสเปคไม่เยอะหรอกครับ
พี่PMตัวที่อัพไซด์เยอะๆ ดาวว์ไซด์น้อยๆมาแล้วกันครับ :wink:
เอาเป็นตัวที่ติดดอย ติดลบอยู่เยอะๆแทนดีมั้ยครับ
เดี๋ยวผมแจกหน้าไมค์เลย เผื่อเพื่อนๆเห็นใจจะได้ช่วยกันไล่ซื้อ :juju:
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 936

โพสต์

ดำ เขียน:เอาเป็นตัวที่ติดดอย ติดลบอยู่เยอะๆแทนดีมั้ยครับ
เดี๋ยวผมแจกหน้าไมค์เลย เผื่อเพื่อนๆเห็นใจจะได้ช่วยกันไล่ซื้อ :juju:
แฮ่...บอกหน้าไมค์เดี๋ยวเพื่อนๆจะหาว่าพี่ดำเชียร์หุ้นตัวเอง
ผมเป็นห่วง กลัวว่าจะซื้อไม่ทันอุ๊บ..กลัวพี่จะเสียภาพพจน์
ผมว่า..
พี่PMหุ้นมาให้ผมเลือกซื้อให้ครบก่อน จากนั้นผมซื้อตัวไหน
ผมค่อยเอามาบอกต่อ แบบนี้น่าดีกับพี่มากกว่าไม๊ครับ.. :mrgreen:
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 937

โพสต์

saichon เขียน:
ดำ เขียน:เอาเป็นตัวที่ติดดอย ติดลบอยู่เยอะๆแทนดีมั้ยครับ
เดี๋ยวผมแจกหน้าไมค์เลย เผื่อเพื่อนๆเห็นใจจะได้ช่วยกันไล่ซื้อ :juju:
แฮ่...บอกหน้าไมค์เดี๋ยวเพื่อนๆจะหาว่าพี่ดำเชียร์หุ้นตัวเอง
ผมเป็นห่วง กลัวว่าจะซื้อไม่ทันอุ๊บ..กลัวพี่จะเสียภาพพจน์
ผมว่า..
พี่PMหุ้นมาให้ผมเลือกซื้อให้ครบก่อน จากนั้นผมซื้อตัวไหน
ผมค่อยเอามาบอกต่อ แบบนี้น่าดีกับพี่มากกว่าไม๊ครับ.. :mrgreen:
งั้นเดี๋ยว copy ตารางชื่อหุ้นใน set.or.th ส่งไปให้นะครับ หรือจะเอาตาราง DW ดีครับ อิอิ
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 938

โพสต์

ทั้งสองท่านนั่นล่ะฮะ เชียร์บอลชนะแล้ว รีบๆเอาผอร์ทมาประจาน เอ๊ยอวดให้เพื่อนๆศึกษากันหน่อย
เผื่อซ้ำกับของผม จะได้พากันลงดอยซะที อิอิ

เที่ยวนี้โบรคชื่อคล้ายบ.ขนส่งของท่านtheerasak24ชวนไปกินหนมจีนที่สนง.(ฟังดูหรูตามสภาพเศรษฐกิจ)
ผบห.มาแก้ข่าวลือ ว่ายังไม่ปิดสาขาหาดใหญ่ เพิ่มสตาฟย้ายมาจากโกลด์ฟิวเจอร์ (ไม่ได้ถามผลงานเก่า)
จะทำตลาดฟิวเจอร์ออพชั่นส์เพิ่มขึ้น จะลดสเปคหุ้นไอพีโอลง จะได้ไอพีโอมาแจกมากขึ้น
จะเชิญเสี่ยgiantมาเล่าประสพการณ์วงใน (เล่าแนวคิดแต่ไม่แจกหุ้น)ฯลฯ
แถมเล่าเรื่องคุณbubblebath ผู้สื่อข่าวเก่า ที่หันมาเอาดีทางโหร ทำนายว่าปีหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ของบุคคลสำคัญของประเทศ
ดวงอ.สมคิดแข็งที่สุดเทียบกับนักการเมืองคนอื่น หุ้นจะบูมสุดๆ กลุ่มสุขภาพกับกลุ่มค้าขาย แต่กลางสิงหาให้ขายหุ้นทิ้งให้หมด ฯลฯ
ฟังไปกินไปนึกไป ว่าเด๋วนี้เค้าวิเคราะห์หุ้นกะตามใจลูกค้ากันแบบนี้แล้วเรอะ
ยิ่งมารู้ว่าผบห.ท่านนั้น ปั้นบทวิเคราะห์โบรคยุ่นมาก่อนหน้าจนดัง แถมโบรคนี้รวมกับลูกครึ่งฝรั่งวิชาการดีมาด้วย
ก็เลยขอไปว่า ขอบทวิเคราะห์ดีๆสมศักดิ์ศรีเพิ่มมาหน่อยก็ดีนะจ๊ะ
หุ้นไอพีโอลดสเปคจะแจกก็ตามใจ(เจอเพื่อนประธานหอการค้าบอกว่าโบรคเจ้า"ผลไม้รวย"นั่นแจกแหลก)
ส่วนคุยวงในกับเสี่ยๆเค้าก็ดีอยู่ฮะ จะได้มานินทา เอ๊ย เล่าให้อ.กับเพื่อนๆฟังวันหลัง(ถ้าเค้าชวน)ฮะ

วีไอหาดใหญ่ ดูบอลไม่เป็น แต่ตื่นเต้นไปกะเค้าด้วยเวลาเค้ามาเล่าให้ฟัง รายงาน
samatah
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 939

โพสต์

dr1 เขียน:จะลดสเปคหุ้นไอพีโอลง จะได้ไอพีโอมาแจกมากขึ้น
เอ่อ.. อันนี้มันจะดีกับนักลงทุนตัวเล็กๆ อย่างผมเหรอฮะพี่
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 940

โพสต์

ดำ เขียน:งั้นเดี๋ยว copy ตารางชื่อหุ้นใน set.or.th ส่งไปให้นะครับ หรือจะเอาตาราง DW ดีครับ อิอิ
แฮ่...พี่ดำไม่ต้องให้ผมเยอะขนาดนั้นก็ได้ครับ
ปอดผมไม่ใหญ่เท่าของท่านdr1 ผมขอแบบเจ๋งๆซัก2-3ตัวก็พอครับ :mrgreen:
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 941

โพสต์

saichon เขียน:
ดำ เขียน:งั้นเดี๋ยว copy ตารางชื่อหุ้นใน set.or.th ส่งไปให้นะครับ หรือจะเอาตาราง DW ดีครับ อิอิ
แฮ่...พี่ดำไม่ต้องให้ผมเยอะขนาดนั้นก็ได้ครับ
ปอดผมไม่ใหญ่เท่าของท่านdr1 ผมขอแบบเจ๋งๆซัก2-3ตัวก็พอครับ :mrgreen:
ถ้าจะเอาแบบเน้นๆกันขนาดนั้น ผมขออนุญาตส่งผ่านไปยัง อ.leky ดีกว่าครับ เพื่อความปลอดภัยของทุกๆคน
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 942

โพสต์

พอมีเวลาได้หายใจ กลับมาเม้นต์หน่อย :D

เห็นอ.หนึ่งแปลเรื่อง MOS แล้ว ผมว่าคุณเว็บมีคู่แข่งแล้วครับ :D ว่าง ๆ อ.น่าจะแปลฉบับเต็มไปเลยแล้วพิมพ์ขาย ผมจะช่วยเหมาครับ

ผมว่าดูแล้วดูจะเน้นเรื่อง downside เป็นหลัก แต่เดี๋ยวผมจะหาบทความของคุณสุมาอี้ที่เป็นเรื่องของ upside มาเติมเต็มให้ครับ
ดำ เขียน: ผมแค่หุ้นไทยยังไม่ค่อยรอดเลยครับ ขอไต่จากระดับภูธรก่อนดีกว่า
เรื่องโกอินเตอร์คงต้องระดับเซียนน่าจะเหมาะกว่า ลองถามอ.leky ดูสิครับ
ผมคงยังไม่คิดจะไปโกอินเตอร์หรอกครับ พอร์ตไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น ผมเข้าใจว่าเซียนในตลาดหลายคนที่เค้าโกอินเตอร์นั้น ส่วนหนึ่งเพราะพอร์ตใหญ่ด้วย ทำให้หาซื้อหุ้นน้อยตัวแต่ปริมาณมาก ๆ ยาก สุดท้ายจะกลายเป็นต้องซื้อหุ้นบิ๊กแคปน่ะครับ

แต่ถ้าวันหนึ่งผมคิดจะไปจริง ๆ ผมคงเน้นพวกหุ้นที่เกี่ยวกับการแพทย์น่ะครับ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นบ.ที่ขายของไปทั่วโลก ยาหรืออุปกรณ์อะไรดีไม่ดีผมพอจะเดา ๆ ได้ ครับ
comrade เขียน:หุ้นขนส่งชื่อคล้ายธนาคารของพี่หมอหนึ่ง วันนี้ฝุ่นตลบเลย :shock:
สุดท้ายข้อสอบก็เฉลยออกมาว่าเพิ่มทุนบวกแจก W แต่แปลกใจที่เจ้าของขายหุ้นออกบวกกับ PP ราคาต่ำ
dr1 เขียน:ของวีไอทุกๆคนครับ ท่านcomrade ถ้ามันยังมีMOS แฮ่..
ยังมีหุ้นขายแกสอีกตัวนะฮะ ที่อ.lekyท่านว่า น่าจะได้เวลาแล้ว(เวลาซื้อรึขายหว่า?)
หุ้นพวกนี้มันจะคล้าย ๆ กันครับ หุ้นขายแก๊ส หุ้นยางมะตอย หุ้นโรงกลั่น ชี้เป็นชี้ตายตรงสต๊อกกับค่าเงิน บางครั้งก็เหมือนกับการเล่นรอบ พอรอบของตัวถ่วงหายไป หุ้นลงไปต่ำ ๆ แล้ว ก็ได้เวลากลับตัว บางครั้งก็ทำให้เราไม่แน่ใจว่ากำไรขาดทุนแบบนั้นมัน "สั่งได้" หรือเปล่า :D

ดำ เขียน: ผมขอสารภาพบาปการลงทุน (เทรดหุ้น) ในช่วงที่ผ่านมาบ้างครับ ถ้าจำได้ผมเคยบอกอ.ว่าอีกไม่นานเกินรอผมมองว่าหุ้นอาจมีช่วงที่ลงแรงๆ แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นคือ แม้จะระวังอยู่แล้วแต่ผมก็ยังแพ้ภัยตัวเอง (เช่นเคย) ครับ สาเหตุคือ ผมไปหลงคิดบวกเองว่าก่อนจะลงแรงน่าจะมีลากขึ้นแรงๆ รอบสุดท้ายก่อน (ประมาณว่าแม้มองว่าตลาดจะค่อนข้างเสี่ยงแล้วแต่ "ขออีกคำ" ก่อนวางช้อน) แต่คำสุดท้ายที่ว่ามันไม่เกิดขึ้นครับ มีคนมาล้มโต๊ะซะก่อน ผมยังถือช้อนคาอยู่เลยครับ แถมเมื่อวานใครไม่รู้เมาอาละวาดล้มโต๊ะซะกระจัดกระจายเต็มร้านเลยครับอ. :'O

เมื่อคืนนี้เลยได้โอกาสทบทวนข้อผิดพลาดของตัวเอง (อีกครั้ง) เพื่อวางแผนว่าต่อนี้ไปจะเอาไงต่อดีครับ
ผมว่าเราคงต้องละการคาดการณ์ตลาดครับ ผมเองก็เคยมีประสบการณ์แบบนั้น พยายามจะคาดการณ์ตลาดบ้าง เจ้ามือบ้าง สุดท้ายต่อให้ถูกแต่เหตุผลจริง ๆ มันคืออะไรกันแน่ก็ไม่รู้ ผมว่ามันอยู่ที่จิตใจและระเบียบวินัยของเราครับ

kongkiti เขียน:สอบถามพี่ๆ เพื่อนๆ ครับ

ด้วยสถานการณ์ หลายๆ อย่างตอนนี้ เลือกทำอะไรกันอยู่...

A. ปรับพอร์ท ขายหุ้นที่ลงน้อย ไปหาหุ้นที่ลงเยอะ ที่เล็งเอาไว้
B. Short หุ้น, ซื้อ Put Option
C. สะสมเงินสด
D. นั่งกระดีกทีน ชิวๆ รอรับเงินปันผล
รอบนี้ผมยุ่ง ๆ ด้วย เลยกลายเป็นข้อ D ไป หุ้นบางตัวในพอร์ตมันก็ไม่ได้ลงมากตามตลาด สุดท้ายพอมาถึงวันนี้มันก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังไงคงต้องดูหลังปีใหม่อีกทีครับ เพราะตอนนี้คงมีเงิน LTF ช่วยไว้อยู่
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 943

โพสต์

downside ในมุมมอง คุณสุมาอี้
Friday, 17 October 2008
0078: MOS ตามอำเภอใจ
นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

ไม่รู้ว่าผมจะทำให้นักลงทุน "ช็อค" รึเปล่า ถ้าผมจะบอกว่าคำว่า ส่วนลดเพื่อความปลอดภัย หรือที่เรียกว่า MOS Margin of Safety) ตามแนวคิดของ Value Investment นั้น เป็นเรื่องส่วนบุคคล (Subjective) ล้วนๆ ครับ

ต่อให้นักลงทุนระดับตำนานสองคนตีราคาหุ้นที่ปลอดภัยของหุ้นตัวเดียวกันก็จะออกมาไม่เหมือนกัน เพราะขึ้นอยู่กับ เกณฑ์ที่นักลงทุนแต่ละคนเลือกใช้ ประสบการณ์ ความรู้ ข้อมูล ตลอดจนความลำเอียงส่วนตัวที่ไม่เหมือนกันด้วย ไม้บรรทัดที่นักลงทุนแต่ละคนใช้ไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่เหมือนกัน การลงทุนที่มี MOS แล้วนั้นจึงยังไม่แน่ว่าจะประสบความสำเร็จ

ในรอบหลายๆ ปี วอเรน บัฟเฟตถึงจะซื้อหุ้นในปริมาณที่มีนัยสำคัญสักครั้งหนึ่ง บัฟเฟตเองเคยพูดว่า เขาต้องรอถึง 16 ปีกว่าจะได้ซื้อหุ้นโค้ก ในช่วง Tech Bubble นั้น เขาไม่ได้ซื้อหุ้นอะไรอย่างมีนัยสำคัญเลย เป็นเวลาติดต่อกันนานถึง 7 ปี เขาบอกว่า เขาไม่พบหุ้นที่มีราคาที่น่าสนใจ เขาจึงไม่ซื้อ ไม้บรรทัดของบัฟเฟตนั้นจึงน่าจะเป็นไม้บรรทัดที่ใช้ความระมัดระวังสูงมากทีเดียว

ถ้าหากทุกวันนี้คุณก็ใช้ MOS ของคุณอยู่ แต่คุณกลับพบหุ้นที่น่าซื้อได้แทบทุกเดือน ย่อมแสดงว่า ไม้บรรทัดของคุณเปราะบางกว่าไม้บรรทัดของบัฟเฟตเป็นอย่างมาก ความปลอดภัยในการลงทุนของคุณจึงย่อมน้อยกว่าบัพเฟตและเพราะเหตุนี้คุณจึงไม่อาจคาดหวังผลตอบแทนในระดับเดียวกับบัฟเฟตได้ แม้ว่าคุณจะอ้างว่าคุณลงทุนแบบเดียวกับบัฟเฟตแล้วก็ตาม

ที่จริงแล้ว การลงทุนโดยมี MOS หรือไม่นั้นยังไม่สำคัญเท่ากับการที่คุณมีความอดทนมากแค่ไหนที่จะรอคอยให้หุ้นที่อยากได้มีราคาที่เหมาะสมก่อนค่อยซื้อ บางคนอยากซื้อหุ้นตัวไหนมากๆ ก็หาเหตุผลต่างๆ นานา(แบบเข้าข้างตัวเอง) มาผ่อนคลายไม้บรรทัดของตัวเองลงไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ซื้อหุ้นในที่สุด (เป็นโรคกระเป๋าร้อน) แบบนี้ มี MOS ก็เหมือนไม่มีครับ เพราะเป็น MOS ตามอำเภอใจ

คุณอาจจะรู้สึกว่าไม้บรรทัดของบัฟเฟต "เว่อร์" ไปหรือเปล่า อะไรกันตั้งหลายปีไม่ได้ซื้อหุ้นอะไรเลย แต่ถ้าไม้บรรทัดของบัฟเฟตไม่แตกต่างจากไม้บรรทัดของคนอื่นๆ บัฟเฟตก็คงไม่อาจเป็นนักลงทุนระดับตำนานได้

เช่นนี้แล้ว คุณสมบัติของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้น นอกเหนือจากความสามารถที่จะถือหุ้นในระยะยาวได้แล้ว ความสามารถในการรอคอยที่จะไม่ซื้อหุ้นจนกว่าหุ้นจะมีราคาที่เหมาะสม (ไม่ว่าจะต้องรอนานมากแค่ไหน) ก็เป็นคุณสมบัติที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันด้วย แต่เรายังไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเท่าที่ควร
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 944

โพสต์

Friday, 25 July 2008
0068: MOS
นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

การลงทุนในหุ้นนั้นควรซื้อหุ้นในราคาที่มีส่วนลดจากมูลค่าที่เหมาะสมเสมอเพื่อความปลอดภัย หรือ ที่เรียกว่ามี MOS (Margin of Safety)

หุ้น XYZ มี Fair Value เท่ากับ 20 บาทต่อหุ้น บางคนบอกว่าต้องซื้อต่ำกว่า 20 บาท เพราะถ้าซื้อที่ 20 บาทพอดีก็เท่ากับไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย อันที่จริงคำกล่าวนี้ยังไม่ถูกต้องทีเดียวนัก การซื้อหุ้นที่ Fair Value พอดีนั้น ถ้าหากราคานั้นเป็น Fair Value จริงๆ การถือลงทุนจะทำให้นักลงทุนมีผลตอบแทนคาดหวังเท่ากับ "ต้นทุนทางการเงิน" ของหุ้นตัวนั้นพอดี เช่น ถ้าธุรกิจของ XYZ ควรได้รับผลตอบแทนอย่างน้อย 10% ต่อปีจึงจะคุ้มค่ากับความเสี่ยงของธุรกิจ นักลงทุนที่ซื้อหุ้น XYZ ที่ 20 บาทพอดีย่อมมีผลตอบแทนคาดหวังเท่ากับ 10% ต่อปีพอดี ไม่ใช่ 0%

อย่างไรก็ตาม เราไม่มีวันรู้ได้อย่างแน่นอนว่า Fair Value ของหุ้น XYZ เป็นเท่าไร เราเพียงแต่ประมาณได้เท่านั้น นอกจากนี้ Fair Value ยังเป็นเรื่องที่ subjective เพราะขึ้นอยู่กับการตั้งสมมติฐานของแต่ละบุคคลอีกด้วย ดังนั้นเพื่อชดเชยความผิดพลาดทั้งหลายในการประมาณ Fair Value ของเรา เราจึงต้องซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่า Fair Value ที่เราคิดไว้เสมอ นี่ต่างหากคือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมต้องซื้อหุ้นให้มี MOS ด้วย

แล้วควรจะมี MOS มากสักเท่าไรดีจึงจะพอเพียง? เรื่องนี้นับว่าตอบได้ยากอยู่ ไม่มีกฏตายตัว เพราะไม่รู้ว่านักลงทุนแต่ละคนคิดรอบคอบขนาดไหนเวลากำหนด Fair Value ของหุ้น อย่างไรก็ตาม คนที่ใช้วิธีหยาบๆ ในการกำหนด Fair Value ควรซื้อหุ้นให้มี MOS สูงกว่าคนที่ใช้วิธีการที่รอบคอบมาก อย่างคนที่ตัดสินใจซื้อหุ้นแต่ละตัวคิดแค่ 5 นาทีก็ย่อมต้องเผื่อความผิดพลาดให้มากกว่าคนที่มักใช้เวลาคิดนานหลายเดือน (และควรซื้อหุ้นแต่ละตัวด้วยเงินจำนวนที่น้อยกว่าเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของพอร์ตอีกด้วย)

ความยากในการประเมินมูลค่าก็มีผลต่อ MOS ด้วย หุ้นของธุรกิจที่ Mature แล้ว มีกำไรที่สม่ำเสมอ หรือหุ้นที่มูลค่าส่วนใหญ่อยู่ในรูปของสินทรัพย์ที่มีตัวตน ย่อมประเมินมูลค่าที่แท้จริงได้ง่ายกว่าหุ้นเติบโตสูงที่มูลค่าของมันขึ้นอยู่กับ Growth หรือหุ้นที่มีสินทรัพย์ไม่มีตัวตนมาก (เช่น สินทรัพย์ทางปัญญา) หรือหุ้นที่ธุรกิจมีความไม่แน่นอนสูง เช่น รับเหมาะก่อสร้าง หุ้นเหล่านี้ประเมินมูลค่าที่แท้จริงได้ยาก โอกาสที่ Fair Value ของเราจะผิดก็ย่อมมีมากตาม จึงควรซื้อหุ้นเหล่านี้ให้มี MOS มากกว่า (ในแง่หนึ่งหุ้นเหล่านี้ก็มีโอกาสสูงที่ราคาหุ้นจะต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงไปมากด้วย ซึ่งเป็นข้อดี)

ระยะเวลาลงทุน (Investment Horizon) ก็มีผลต่อ MOS เช่นกัน จำไว้ว่านักลงทุนในตลาดหุ้นมีต้นทุนของเงินอยู่เท่ากับ 10% ของเงินต้นทุกปี หุ้นที่เรากะซื้อเพื่อเล่นรอบระยะสั้นสัก 3-4 เดือน เราอาจซื้อที่ MOS ต่ำหน่อยก็ได้ เช่น 5% เพราะเราตั้งใจจะขายภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ในขณะที่หุ้นที่เราตั้งใจจะซื้อเพื่อลงทุนระยะยาวควรมี MOS ที่สูงกว่านั้น อย่างเช่นตัวผมเอง ถ้าจะซื้อหุ้นเพื่อการลงทุน ผมจะซื้อหุ้นเมื่อมี MOS อย่างน้อย 50% เพราะนั้นหมายความว่าผมมีเวลาประมาณ 5 ปีที่จะรอคอยถ้าหากหุ้นของผมยังไม่ perform ซึ่งถือว่าสมเหตุผล แต่ถ้าผมซื้อหุ้นที่มี MOS แค่ 10% แล้วกะถือยาว หากผ่านไปแล้วหนึ่งปี ราคายังไม่สะท้อนความเป็นจริง ก็มีโอกาสสูงที่เราจะขาดทุนทางการเงินไปแล้ว ซึ่งถือว่าเสี่ยงเกินไปสำหรับหุ้นที่เป็นการลงทุน เป็นต้น

ในความเห็นของผม (ซึ่งค่อนข้างขัดกับ conventional belief) เป็นเรื่องแปลกที่ผู้รู้แนะนำว่าถ้าจะซื้อลงทุนระยะยาวควรซื้อพวกหุ้นของกิจการที่อยู่ตัวแล้ว เพราะแท้จริงแล้ว กิจการที่อยู่ตัวแล้วกำไรจะค่อนข้างสม่ำเสมอ คาดการณ์ไปข้างหน้าได้ง่าย ทำให้ตลาดมักตีมูลค่าหุ้นเหล่านี้ได้ค่อนข้างแม่นยำ หุ้นเหล่านี้จึงยากที่จะมี MOS สูงๆ พวกมันอาจมี MOS เพียง 5-10% เป็นอย่างมากเท่านั้น ถ้าเราซื้อหุ้นเหล่านี้ไปแล้วถือไว้หลายปี โอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงกว่าต้นทุนทางการเงินของเรานั้นนับว่ามีน้อยมากทีเดียว ในความเห็นของผม หุ้นเติบโตเท่านั้นที่ควรจะถือลงทุนในระยะยาว เพราะโอกาสที่หุ้นเหล่านี้จะมี MOS สูงๆ นั้นมีมากกว่า หุ้นของธุรกิจที่อยู่ตัวแล้วนั้น ถ้าหากราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงเมื่อไรก็ควรรีบขายออกไปทันที การถือต่อไปในระยะยาวนั้นมีโอกาสน้อยมากที่จะได้ผลตอบแทนใดๆ อีก เพราะหุ้นเหล่านี้แทบจะไม่มีการเติบโตใดๆ แล้ว
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 945

โพสต์

มุมมองในเรื่อง upside
Monday, 12 May 2008
0058: โอกาสในการเติบโต
นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

เวลาเลือกหุ้น ผมมีเคล็ดลับอยู่อย่างหนึ่งคือ ผมมองที่อนาคตมากกว่าปัจจุบัน...

กิจการที่พื้นฐานปัจจุบันดีมากๆ แต่ดูแล้วแทบจะไม่เหลือหนทางที่จะดีขึ้นได้อีกไม่ใช่กิจการที่น่าสนใจ สมัยที่ผมเริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ ผมมัวแต่ให้ความสำคัญกับปัจจุบัน สุดท้ายแล้ว ผมก็ได้แต่หุ้นของบริษัทดีๆ ที่ราคาเต็มมูลค่าแล้ว ถือทิ้งไว้ในพอร์ตราคาก็ไม่ไปไหน

เดี๋ยวนี้ เวลาผมมองหุ้น ผมจะมุ่งประเด็นไปที่ว่า กิจการนั้นยังมีอะไรที่เป็น "Upside" ได้อีกบ้าง บ่อยครั้งที่ผมพยายามนั่งคิดออกมาเป็นข้อๆ แล้วเขียนใส่กระดาษ กิจการที่ดูธรรมดาแต่เต็มไปด้วยช่องทางที่จะดีขึ้นได้อีกมากในอนาคต เป็นกิจการที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

การมองอนาคตของผมนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยวิสัยทัศน์อะไรมากมายเป็นเพียงแค่การใช้เหตุผลธรรมดาๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทเป็นโรงงานผลิตน้ำปลา โอกาสที่ตลาด ( Demand Trend) จะเติบโตขึ้นอีกอย่างมีนัยสำคัญในอนาคตคงจะมีน้อย เพราะน้ำปลาที่เป็นสินค้าพื้นฐานที่คนไทยบริโภคกันจนเต็มที่แล้ว และที่ผ่านมาบริษัทก็แทบจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆ ออกมาเลยในช่วงหลายๆ ปี แบบนี้ถ้าจะหวัง Upside คงจะยาก (ต้องหวังพึ่งดวงอย่างเดียว) หุ้นแบบนี้น่าจะตอบสนองนักลงทุนเรื่องของความมั่นคงได้ดี เพราะคนไทยคงไม่เลิกกินน้ำปลากันง่ายๆ แต่ถ้าจะหวังโอกาสเติบโต คงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี เป็นต้น

Upside ของหุ้นนั้นมีได้หลายสาเหตุ การที่บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่ตลาดเติบโตสูงทุกปี เช่น ยานยนต์ส่งออก โรงพยาบาล ก็เป็น Upside อย่างหนึ่ง หรือบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตน้อยแต่บริษัทมีข้อได้เปรียบคู่แข่งบางอย่างที่ชัดเจนมากทำให้มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็เป็น Upside อีกรูปแบบหนึ่ง ช่วงนี้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ ก็มี Upside ที่เกิดจากแนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดโลกที่เป็นขาขึ้น หรือธุรกิจบางอย่างที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายของรัฐ เช่น บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีศักยภาพในการรับงานเมกกะโปรเจ็ค หรือบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการภาษี ก็มี Upside ด้วยเช่นกัน การลงทุนในห้นที่มี Upside นั้นทำให้เรามีโอกาสได้กำไรจากการลงทุนในระดับสูง เช่น 1 เท่า 2 เท่า หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้

แม้ว่าหุ้นที่มี Upside สูงๆ มักจะมี Downside พ่วงมาด้วย แต่พอร์ตที่ประกอบด้วยหุ้นหลายๆ ตัวที่มี Upside มากกว่า Downside และมีความเกี่ยวข้องกันน้อย จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยของทั้งพอร์ตในระยะยาวในระดับที่น่าประทับใจมากกว่า พอร์ตที่มีหุ้นตัวเดียวของกิจการที่มั่นคงมากๆ แต่ไม่มี Upside อะไรเลย แม้ว่าพอร์ตอย่างแรกนั้นจะมีความผันผวนมากกว่าก็ตาม
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 946

โพสต์

Tuesday, 1 July 2008
0065: สไตล์การลงทุนของผมเอง (ตอนที่ 1)
นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

หลังจากที่เข้าตลาดหุ้นได้เพียงไม่กี่เดือน ผมรู้สึกตัวเองได้อย่างรวดเร็วว่า ผมไม่ชอบการเป็นเทรดเดอร์ การเทรดหุ้นทำให้ผมขาดสมาธิในการใช้ชีวิตประจำวัน ผมเล็งเห็นว่า การเฝ้าตลาดอย่างใกล้ชิดนั้น เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้สำหรับการเทรดหุ้น เพราะจังหวะเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการเทรดหุ้นให้ประสบความสำเร็จ การเทรดหุ้นจึงเหมาะกับคนที่มุ่งมั่นที่จะยึดตลาดหุ้นเป็นอาชีพจริงๆ ในขณะที่ ตัวผมเองเข้าตลาดมาเพื่อหวังให้เงินทำงานให้เรา ในขณะที่เราไปทำอย่างอื่นที่เป็นเรื่องสำคัญกับชีวิตของเรามากกว่า ผมอยากใช้ชีวิตได้แบบคนปกติ ไม่ต้องหน้าซีดเป็นไก่ต้มทุกครั้งที่ตลาดหุ้นตกหนักๆ แม้ผมจะรู้ว่ามีเทรดเดอร์ที่เก่งมากหลายคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่การยึดการลงทุนเป็นอาชีพนั้นไม่ใช่เป้าหมายชีวิตของผม

อย่างไรก็ตาม เมื่อผมหันมามองการลงทุนแทนการเทรดหุ้นดูบ้าง ผมก็พบว่าวิธีลงทุนที่เขาแนะนำกันนั้นก็ไม่น่าสนใจพอๆ กันกับการเทรดหุ้น ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนส่วนใหญ่มักแนะนำให้ซื้อหุ้นของกิจการที่มั่นคงและรอรับเงินปันผลไปเรื่อยๆ ผมมองว่าวิธีการเช่นนี้ให้ผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง เพราะเวลาได้เงินปันผลนั้นเราได้แค่ 5% แต่เวลาธุรกิจไม่ดีทำให้ราคาหุ้นร่วงลงนั้น เรามักขาดทุน 20-30% เป็นอย่างน้อยสำหรับหุ้นปันผล ในขณะที่ ถ้าเราซื้อพันธบัตรหรือหุ้นกู้นั้น เราอาจได้ดอกเบี้ยเพียง 3-4% แต่เงินต้นของเรามีโอกาสขาดทุนน้อยมากๆ ดังนั้นผมจึงมองว่าการถือหุ้นปันผลเพื่อรอรับเงินปันผลไปเรื่อยๆ นั้น "ได้ไม่คุ้มเสีย" น่าจะเอาเงินไปซื้อพันธบัตรหรือหุ้นกู้ยังดีเสียกว่า

เมื่อสรุปได้นั้น ผมก็พยายามค้นหาวิธีการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงโดยที่ไม่จำเป็นต้องเฝ้าตลาดอย่างใกล้ชิด (อันนี้สำคัญ) ผมศึกษาการลงทุนอยู่หลายๆ แนว แต่ก็พบว่า แต่ละแนวก็ดูจะมีจุดยืนเป็นของตัวเอง ที่เห็นขัดแย้งกันก็มีมาก ยิ่งอ่านหลายวิธีก็ยิ่งสับสน ไม่รู้ว่าใครพูดจริงพูดหลอก

จนกระทั้งวันหนึ่ง ผมได้อ่านเจอแนวคิดของ บิล มิลเลอร์ ผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมตาสว่างเป็นอย่างมาก บิลกล่าวว่า หุ้นที่ถือไว้เฉยๆ แล้วให้ผลตอบแทนดีที่สุดคือหุ้นเติบโต หุ้นพวกนี้แม้ในช่วงสั้นราคาหุ้นจะผันผวนรุนแรงมาก แต่ในระยะยาวแล้ว มันจะวิ่งไปได้ไกลกว่า เช่น หุ้นเติบโตราคา 100 บาทถือไว้หนึ่งปีอาจพุ่งขึ้นเป็น 200 บาท ปีถัดมาอาจร่วงลงมากถึง 40% เหลือแค่ 120 บาท แต่สรุปแล้วก็ยังได้กำไรอยู่ถึง 20% ในขณะที่ หุ้นปันผลราคา 100 บาท ปีแรกอาจกลายเป็น 105 บาท ปีถัดมา 110 บาท แม้ราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอกว่าก็จริง แต่สรุปแล้วกำไรก็แค่ 10% เท่านั้นเองซึ่งน้อยกว่าหุ้นเติบโต ยิ่งจำนวนปีเพิ่มขึ้นกว่านี้ ผลลัพธ์จะยิ่งแตกต่างกันมากขึ้นไปอีก คนส่วนใหญ่หลงประเด็น เพราะธรรมชาติของคนมักกลัวความผันผวน จึงมุ่งที่จะพยายามสร้างพอร์ตที่ผันผวนน้อยที่สุดในระยะสั้น แต่ที่จริงแล้ว ถ้าคุณคิดจะลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว คุณมีความได้เปรียบนักลงทุนคนอื่นตรงที่คุณไม่จำเป็นต้องพะวงเรื่องความผันผวนในระยะสั้น สาเหตุที่หุ้นเติบโตมักผันผวนนั้นบ่อยครั้งไม่ได้เป็นเพราะกิจการนั้นไม่ดี แต่เป็นเพราะหุ้นเติบโตมักวัดมูลค่าที่แท้จริงได้ยาก ตลาดจึงไม่สามารถกำหนดราคาที่แน่อนให้กับมันได้ มันจึงอ่อนไหวกับภาวะตลาดมากกว่าหุ้นปันผล แต่ไม่ได้หมายความว่ากิจการของหุ้นเติบโตเป็นกิจการที่ไม่ดีเสมอไป

เป้าหมายหลักของการลงทุนควรจะเป็นการสร้างพอร์ตที่วิ่งไปได้ไกลที่สุดในระยะยาว และพอร์ตของหุ้นเติบโตที่มีการกระจายที่ดีพอเท่านั้นที่จะทำให้พอร์ตของคุณมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้มากที่สุดในระยะยาว จุดมุ่งหมายของการลงทุนต้องเป็นการเพิ่ม Wealth ในระยะยาว ไม่ใช่การขจัดความผันผวนในระยะสั้น

แนวคิดนี้ได้กลายเป็นแนวคิดที่มีอิทธิพลต่อวิธีการลงทุนของผมอย่างมากในเวลาต่อมา เพราะมันตอบสนองความต้องการลงทุนแบบไม่ต้องเฝ้าตลาดของผมได้เป็นอย่างดี ทุกวันนี้ผมจึงสนใจลงทุนในหุ้นเติบโตเท่านั้น ทุกวันนี้ผมค้นหาแต่กิจการที่ผมคิดว่ามีโอกาสเติบใหญ่ได้มากในวันข้างหน้าและแทบจะไม่ได้สนใจลงทุนหุ้นในแนวอื่นๆ เลย
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 947

โพสต์

Tuesday, 8 July 2008
0066: วิธีการลงทุนของผม (ตอนที่ 2)
นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

ในตอนที่ 1 ผมได้บอกไปแล้วว่าผมสนใจลงทุนแต่หุ้นเติบโตเท่านั้น...

คำว่าหุ้นเติบโตนั้นมีใช้กันอยู่ในหลายความหมาย บางคนหมายถึงหุ้นที่มีพีอีสูงกว่าตลาด ซึ่งนั่นเป็นความหมายที่ผม "ต่อต้าน" มากที่สุด สำหรับผมแล้ว หุ้นเติบโต หมายถึง หุ้นของกิจการที่สามารถรักษาอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยในระยะยาวให้สูงกว่าเศรษฐกิจได้ ส่วนพีอีเรโชนั่นเป็นเรื่องของตลาดหุ้นไม่เกี่ยวกับกิจการ จะเอามาใช้เป็นตัววัดกิจการได้อย่างไร (ขออนุญาติไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง)

ในการมองหาหุ้นเติบโตนั้นต้องระวังให้ดี บางคนใช้วิธีย้อนไปดูการเติบโตในช่วงทีผ่านมา แล้วอนุมาน (อย่างล้มๆ แล้งๆ) ว่าการเติบโตนั้นจะดำรงต่อไปในอนาคต อันนี้นับว่าเป็นวิธีมองหาหุ้นเติบโตที่อันตรายมากเหมือนกัน การมองหุ้นเติบโตนั้นต้องมองไปข้างหน้าเสมอ ห้ามวัดผลจากอดีตโดยเด็ดขาด

อึม ถ้าอดีตใช้วัดไม่ได้ แล้วต้องทำอย่างไร?

พวกนักลงทุนสถาบันเวลามองหุ้นเติบโตนั้น พวกเขาจะใช้วิธีซักถามบริษัทว่ามีแผนการเพิ่มกำไรในอนาคตอะไรบ้าง แล้วพยายามประมาณกำไรที่จะเพิ่มขึ้นจากแผนการเหล่านั้นวิธีนี้ดีเพราะเป็นการมองไปข้างหน้า อย่างไรก็ตาม แผนธุรกิจส่วนใหญ่มักมองไปข้างหน้าไม่ไกลนัก (ส่วนมากไม่เกิน 12 เดือน) ดังนั้น สถาบันจึงมักมองกำไรในอีก 12 เดือนเป็นหลัก ไม่มองอะไรที่ไกลกว่านี้ (ด้วยเหตุนี้ตลาดหุ้นจึงมอง 12 เดือนข้างหน้าเป็นหลักด้วยเพราะตลาดหุ้นเต็มไปด้วยนักลงทุนสถาบัน)

วิธีของสถาบันเป็นวิธีที่อาศัย "ข่าว" เป็นสำคัญ กล่าวคือ คอยติดตามข่าวล่าสุดเกี่ยวกับบริษัทตลอดเวลา เพื่อปรับประมาณการใหม่ให้ทันสมัยอยู่เสมอ โดยจะเพิ่มหรือลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นนั้นตามประมาณการที่เปลี่ยนไป วิธีนี้แม้ว่าจะไม่ถึงกับต้องเฝ้าหน้าจอตลอดวันเหมือนการเทรดหุ้นแต่ก็ยังนับว่าต้องใช้ effort ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะต้องหูตาไวอยู่เสมอ เพื่อมิให้ตกข่าว ผมจึงไม่ค่อยชอบวิธีนี้เท่าไร เพราะเหนื่อยเกินไปสำหรับนักลงทุนสมัครเล่นอย่างผม

เวลาผมมองหุ้นเติบโตนั้น ผมไม่ได้เล่นตามข่าว ผมจะพยายามหาคำตอบว่า บริษัทมี "ความพร้อม" แค่ไหนที่จะสร้างการเติบโตในอนาคต วิธีนี้คล้ายๆ กับการที่เราแทงม้าโดยใช้วิธีดูว่า ม้าสุขภาพดีอยู่หรือไม่ ม้าซ้อมมากพอหรือไม่ จ๊อกกี้คุ้นเคยกับม้าหรือไม่ ถ้าประเด็นเหล่านี้ดีหมด ก็แทงเลย แทงแล้วก็ไม่ไปนั่งลุ้นที่ข้างสนามเลยก็ได้

เวลาพิจารณาความพร้อม ผมก็จะสนใจในประเด็นต่างๆ ที่มีผล เป็นต้นว่า สินค้าของบริษัทเป็นสินค้าที่ความต้องการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคตหรือไม่ บริษัทมีจุดเด่นอะไรบ้างและจุดเด่นเหล่านั้นมีความสำคัญต่อธุรกิจนั้นๆ แค่ไหน ผู้บริหารมีแรงจูงใจที่จะทำบริษัทให้เติบโตมากแค่ไหนและผลประโยชน์ของพวกเขาไปทางเดียวกันบริษัทมากแค่ไหน สุดท้ายก็คือราคาหุ้นแพงไปหรือยังที่จะเสี่ยง หุ้นที่ทำให้ผมมั่นใจในประเด็นเหล่านี้ได้ ก็เป็นหุ้นเติบโตที่น่าลงทุนสำหรับผมเสมอ ดูไปแล้ววิธีของผมก็คล้ายกับวิธีการลงทุนแบบ Value Investing คือมองธุรกิจให้เป็นธุรกิจจริงๆ แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ Value Investing คิดว่าธุรกิจที่ดีคือธุรกิจที่มีกำไรที่มั่นคง แต่ธุรกิจที่ดีสำหรับผมคือ ธุรกิจที่มีอนาคตที่น่าสนใจ

บางคนบอกว่า ถ้าเราไม่ใช่คนที่มีวิสัยทัศน์แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่า หุ้นตัวไหนจะเติบโตดีในอนาคต ผมว่าคนที่คิดแบบนี้ไม่ได้มีปัญหาตรงที่ขาดวิสัยทัศน์แต่มีปัญหาตรงที่พวกเขาไม่เข้าใจคำว่า "การลงทุน" ว่าคืออะไรมากกว่า พวกนักธุรกิจเวลาลงทุนนั้น ร้อยทั้งร้อยไม่มีคนไหนรู้ล่วงหน้าหรอกว่าวันหน้าธุรกิจของพวกเขาจะเป็นอย่างไรแต่พวกเขาก็ยังลงทุนอยู่นั่นเอง คนส่วนใหญ่มักคิดว่า การจะทำอะไรนั้นจะต้องชัวร์ 100% ก่อนจึงจะลงมือทำได้ ในขณะที่นักธุรกิจทำอะไรที่ไม่ชัวร์ 100% ตลอดเวลาแต่นักธุรกิจกลับเป็นอาชีพเดียวเท่านั้นที่มีคนรวย ที่จริงแล้วก็เป็นเพราะนักธุรกิจต้องผจญกับความไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลานี่แหละทำให้พวกเขาต้องได้รับผลตอบแทนสูง เพื่อชดเชยความเสี่ยงเหล่านั้น ที่จริงแล้ว การลงทุนคือ การใช้ความพยายามของเราอย่างเต็มที่เพื่อ maximize โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ส่วนผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้นไม่สำคัญเพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย ต่างหาก ผมชอบคำพูดของนักธุรกิจชื่อดังคนหนึ่งที่บอกว่า "ธุรกิจนั้น 50% ขี้นอยู่กับโชค อีก 50% ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเราที่จะคว้าโชคนั้นเมื่อมันวิ่งผ่านเข้ามา" การเป็นนักลงทุนก็เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องรู้ล่วงหน้า 100% ถึงจะซื้อหุ้นได้ ไม่ว่าในอนาคตตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร หน้าที่ของเราคือการใช้ความพยายามของเราให้เต็มที่ในการคัดเลือกหุ้นและบริหารพอร์ตให้ maximize โอกาสของเราให้มากที่สุด ต่างหาก

อย่ากลัวที่จะคัดเลือกหุ้นด้วยตนเองแล้วคิดผิด ในเส้นทางของนักลงทุนทุกคนต้องค่อยๆ เรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองทั้งนั้น วันหน้าเราจะแกร่งขึ้น ไม่มีทางลัด ที่จริงแล้ว นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักไม่ได้มีจุดเด่นที่การเลือกหุ้น แต่เป็นคนที่มีวินัยในการลงทุนที่ดีมากกว่า

ประการสุดท้าย นักลงทุนมีข้อได้เปรียบนักธุรกิจอยู่อย่างหนึ่งคือ นักลงทุนสามารถกระจายทุนของตัวเองไปในหลายๆ โอกาสได้ในขณะที่นักธุรกิจมักต้องทุ่มสุดตัวไปกับโอกาสเพียงโอกาสเดียว นักลงทุนจึงไม่ควรพลาดที่จะใช้ความได้เปรียบตรงนี้ การกระจายโอกาสเพื่อให้ได้ผลตอบแทนคาดหวังสูงสุดเป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่งของการ Growth Investing เลยทีเดียว
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 948

โพสต์

Tuesday, 15 July 2008
0067: วิธีลงทุนของผม (ตอนที่ 3)
นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

สำหรับ Growth Investing นั้น ผมว่าการบริหารพอร์ตสำคัญกว่าการเลือกหุ้นเสียอีก การเลือกหุ้นเติบโตผิดไปบ้างนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และมันจะไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ถ้าการบริหารพอร์ตของเราดี...

เวลาพูดถึงการบริหารพอร์ต มันมีคำถามว่า "ควรมีหุ้นกี่ตัวดี" "ควรถือเงินสดกี่เปอร์เซ็นต์" ผมว่าคำถามพวกนี้ผิดตั้งแต่การตั้งคำถามแล้ว ในสถานการณ์จริงนั้น เรากำหนดไม่ได้เลยว่าโอกาสจะมาหาเราเมื่อไร ดังนั้นถ้าเราไปยึดตายตัวว่า ต้องมีหุ้นกี่ตัวหรือต้องถือเงินสดกี่เปอร์เซ็นต์ เราจะลงเอยด้วยการซื้อหุ้นที่ไม่น่าลงทุนหรือที่น่าลงทุนแต่ราคาแพงมาจำนวนหนึ่งเสมอ ซึ่งจะทำร้ายผลตอบแทนของเราในภายหลัง

การจัดพอร์ตของผมนั้นไม่ตายตัวแต่ขึ้นอยู่กับโอกาสที่เรามองเห็นในขณะนั้น ถ้าผมเจอหุ้นที่มี Upside ตั้งแต่ 50% ขึ้นไป ผมจะสนใจลงทุนในหุ้นตัวนั้น แต่ส่วนใหญ่แล้ว หุ้นที่มี Upside ก็ย่อมมี Downside ด้วย เป็นต้นว่าอาจมี Downside แถมมาด้วย 25% (สมมติว่าความน่าจะเป็นของ Upside เท่ากับ Downside คือ 50:50 ; Downside จะต้องเล็กกว่า Upside เสมอ มิฉะนั้นหุ้นนั้นก็ไม่ใช่หุ้นที่น่าสนใจจริงมั้ยครับ) ถ้าในปีนั้น ผมพบหุ้นแบบนี้เต็มตลาดไปหมด ผมก็จะสบายใจที่จะลงหุ้นเต็มพอร์ตโดยเลือกหุ้นเหล่านั้นมาสัก 5 ตัว ถือไว้ตัวละ 20% ของพอร์ต เป็นต้น เพราะถ้าหากตัวใดตัวหนึ่งเลือกผิด ขาดทุน 25% โอกาสที่ 4 ตัวที่เหลือจะมีบางตัวที่ให้ผลตอบแทน 50% มาชดเชย 25
% ที่ขาดทุนไปก็มีสูง แต่ถ้าปีไหนหุ้นในตลาดดูจะแพงไปซะทุกตัว ผมอาจขุดเจอหุ้นแบบนั้นแค่เพียง 1-2 ตัวในตลาดเท่านั้น เช่นนั้น ผมย่อมจะกล้าถือหุ้นน้อยลง เช่นอาจจะถือหุ้นทั้งสองตัวเพียงแค่ตัวละ 30% ของพอร์ตเท่านั้น ที่เหลืออีก 40% ถือเป็นเงินสด สรุปแล้วก็คือ ผมอยากให้พอร์ตของผมได้รับ Upside ที่เกิดจากหุ้นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ในเวลาเดียวกัน ถ้าหากจะต้องฝากชีวิตไว้กับหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากจนเกินไป ผมก็ไม่เอา เป้าหมายเป็นอย่างนี้ แต่แค่ไหนถือว่ามาก แค่ไหนถือว่าน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับ risk tolerance ของแต่ละบุคคลด้วย สำหรับผม ถ้ามีหุ้นเติบโตให้ลงตั้งแต่ 5 ตัวขึ้นไป ผมสบายใจที่จะถือหุ้นเต็มพอร์ต แต่ถ้าโอกาสมีน้อยกว่านั้น ผมสบายใจที่จะถือเงินสดไว้ส่วนหนึ่ง

เวลาลงทุนไปเรื่อยๆ โอกาสใหม่ๆ จะเข้ามาแบบไม่แน่นอน แถมยังมีเงินสดใหม่ๆ ที่เราหามาได้จากทางอื่นเข้ามาให้เรานำไปลงทุนอีก ผมจะใช้วิธีว่า ถ้ายังไม่พบหุ้นตัวใหม่ที่มี Upside 50% ผมจะเก็บเงินสดใหม่ๆ เหล่านั้นไว้ก่อน เมื่อพบหุ้นตัวใหม่ที่น่าสนใจแล้ว ผมจะประเมินตัวเองว่าผมยินดีจะรับความเสี่ยงจากหุ้นตัวนี้ได้สูงสุดคิดเป็นกี่ % ของ Net Worth (เงินสด+หุ้นทั้งหมดที่มี) ของผมในขณะนั้น ผมก็จะซื้อหุ้นตัวนั้นด้วยเงินที่ไม่เกิน limit ตรงนี้ ถ้าผมซื้อจนเต็ม limit แล้ว แต่หุ้นก็ยังลงต่อไปอีก ผมจะไม่ซื้อเฉลี่ยเพิ่มอีก เพราะ risk exposure จะสูงเกินไป ถือว่าอันตราย เราอยากซื้อของถูก แต่อย่าลืมว่าเราอาจเลือกหุ้นผิดอยู่ก็ได้ อย่าโลภจนเกินไป (เว้นเสียแต่ว่า ผมจะมีเงินก้อนใหม่มาอีก ก็อาจจะพิจารณาอีกที)

ส่วนเวลาขายหุ้นนั้น ส่วนใหญ่แล้ว ผมจะคิดว่า ถ้ากิจการของหุ้นนั้นยังเป็นกิจการที่เติบโตได้อีก ผมมักจะไม่ขาย แม้ว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปมากเกินพื้นฐานแล้วก็ตาม ผมชอบขายหุ้นเมื่อผมเห็นว่ากิจการนั้นไม่ใช่กิจการที่มีการเติบโตอีกต่อไปมากกว่า เพราะที่จริงแล้ว คำว่าราคาเกินพื้นฐานนั้น ไม่ได้หมายความว่าหุ้นจะขึ้นไม่ได้อีก แต่หมายความว่า ราคาหุ้นแพงเมื่อเทียบกับการเติบโตเท่าที่มองเห็นแล้วเท่านั้น ถ้าหุ้นยังมีศักยภาพอยู่ วันหน้าก็สามารถสร้างการเติบโตใหม่ๆ ได้อีก ถ้าเราอุตส่าห์หามันเจอและซื้อมันมาในราคาถูกแล้วก็น่าจะลุ้นต่อไป เพราะไม่ใช่ง่ายที่เราจะซื้อหุ้นเติบโตมาด้วยต้นทุนที่ไม่สูง

วิธีการบริหารพอร์ตของผมก็ง่ายๆ ประมาณนี้ ผมไม่ได้ใช้แนวคิดเรื่อง Beta ตามทฤษฏีการเงินสมัยใหม่เลย เพราะแม้ผมมองว่าแม้แนวคิดเรื่องการกระจายความเสี่ยงจะโอเค แต่การใช้ Volatility เป็นตัวแทนของความผันผวนนั้นมันเหมาะสำหรับเทรดเดอร์มากกว่า ผมเชื่อว่าความผันผวนไม่ใช่ความเสี่ยงของนักลงทุน ความเสี่ยงของนักลงทุนคือการซื้อกิจการที่ไม่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์แต่ไม่รู้ ซื้อแล้วกำไรของบริษัทก็มีแต่ถอยลงเรื่อยๆ ในระยะยาว

คนทั่วไปมองว่า Growth Investing เสี่ยง เพราะคนที่ซื้อหุ้นเติบโตส่วนใหญ่มักจะซื้อตัวเดียว เต็มพอร์ต อัดมาร์จิ้นเพิ่ม นั่นเป็นวิธีการลงทุนอีกแบบหนึ่ง ซึ่งผมไม่เคยเห็นด้วยกับการลงทุนแบบนั้นเลย สำหรับผมแล้ว ผมเชื่อว่า Growth Stock เวลาเลือกหุ้นควรจะ aggressiveหน่อยแต่เวลาบริหารพอร์ตต้องอนุรักษ์นิยมเข้าไว้ ผมจึงไม่เห็นว่า Growth Investing นั้นเสี่ยงกว่าการลงทุนแบบอื่นๆ แต่ ตรงกันข้ามมันกลับให้ผลตอบแทนคาดหวังที่สูงกว่าเสมอที่ความเสี่ยงเท่าๆ กัน ถ้ากระจายความเสี่ยงไว้มากพอ
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 949

โพสต์

Thursday, 21 August 2008
0071: ยุคทอง
นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

ธุรกิจจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่บริษัทสามารถรักษาอัตราการเติบโตของกำไรให้สูงเป็นระยะเวลานานๆ ได้ ผมเรียกว่า ยุคทอง ของธุรกิจนั้นครับ

ตัวอย่างเช่น ยุคทองของธุรกิจผู้ให้บริการมือถือในบ้านเราคือช่วงที่ราคาเครื่อง Drop ลงกระทันหันจาก 30,000-40,000 บาท เหลือเพียง 7000-15000 บาท ประกอบกับมีการนำกลยุทธ์ pre-paid มาใช้ ทำให้กลุ่มรากหญ้าสามารถเข้าถึงโทรศัพท์มือถือได้เป็นแรก ตอนนั้น (ถ้าจำไม่ผิด) จำนวน subscriber ของ ADVANC จากที่เริ่มอืดๆ เพราะตลาดชนชั้นกลางเริ่มอิ่มตัวก็ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 2 ล้านราย กลายเป็น 12 ล้านราย ภายในเวลาไม่กี่ปี แต่พอหลังจากกลุ่มรากหญ้าเริ่มอิ่ม จำนวน subscriber ก็เริ่มกลับไปเพิ่มขึ้นแบบอืดๆ อีกครั้งเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

สมัยผมเรียนอยู่ชั้นม.ต้น เป็นยุคทองของร้าน S&P สมัยนั้นร้าน S&P มีภาพลักษณ์ที่ดูดีในสายตาของผู้บริโภคส่วนใหญ่ S&P ขยายสาขาอย่างรวดเร็ว ขยายไปที่ไหนก็ขายดีหมด ช่วงนั้นกำไรเติบโตได้ดีมาก แต่หลังจากที่ขยายสาขาจนแทบไม่มีห้างไหนที่ไม่มี S&P แล้ว การเติบโตก็เริ่มช้าลง เดี๋ยวนี้มีร้านอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ ผุดขึ้นมาจนเต็มห้างไปหมดทำให้จุดเด่นของ S&P หายไป ทุกวันนี้แม้ S&P จะยังอยู่ได้เพราะมีแฟนพันธ์แท้กลุ่มหนึ่งที่ยังอุดหนุน S&P อย่างเหนียวแน่น แต่การจะเพิ่มกำไรด้วยการเข้าถึงลูกค้ารุ่นใหม่ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ยากทีเดียว

เป้าหมายการลงทุนแบบหุ้นเติบโตของผมก็อยู่ตรงคำว่ายุคทองนี่แหละ การลงทุนนั้นไม่ใช่หมายความว่าจะถือยาวแล้วจะดี แต่เราอยากถือหุ้นในช่วงที่ธุรกิจนั้นเป็นยุคทองและถือไว้ตลอดตราบเท่าที่ยังเป็นยุคทองอยู่ เมื่อเห็นว่าหมดยุคทองของมันแล้วก็ขายทิ้งไปเลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องถือไว้ตลอดไปโดยไม่รู้เหตุผลว่าถือไปเพื่ออะไรหรือเป็นความเชื่อฝังใจว่าจะต้องถือให้ยาว

ในช่วงที่บริษัทอยู่ในยุคทองนั้นกำไรของบริษัทไม่ได้จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นทุกๆ ไตรมาส ราคาหุ้นก็เช่นกันสามารถขึ้นแล้วลงลงแล้วขึ้นไปตามการคาดการณ์อนาคตของผู้คนในตลาด ถ้าเราเชื่อว่าบริษัทยังไม่พ้นจากยุคทอง แม้ราคาจะผันผวนมากก็อย่าเพิ่งไปขายมัน ความผันผวนของราคาเป็นเรื่องปกติของหุ้นไม่ใช่สัญญาณอันตรายแต่อย่างใด การขายหนีเพื่อดักว่ามันกำลังจะลง แล้วหวังจะไปช้อนกลับขึ้นมาใหม่ในราคาที่ถูกกว่าเดิม อาจทำให้เราพลาดโอกาสที่จะถือหุ้นนั้นไปเลยก็ได้ถ้าหากราคาหุ้นมันวิ่งสวนทางกับที่เราคิดไว้โดยสิ้นเชิง take profit อาจได้กำไรมา 30% แต่พลาดโอกาสที่จะได้กลับมาถือหุ้นตัวนั้นต่อไปแล้วไปขายเอาตอนที่หมดยุคทองในอีก 3 ปีข้างหน้าในราคาที่สูงกว่านี้อีก200% ก็เป็นได้

การเล่นหุ้นแบบคอยดักข่าวดีหนีข่าวร้ายหรือเก็ง EPS เป็นรายไตรมาสก็ไม่ใช่วิถีทางของ Growth Investing ยุคทองไม่ได้เกิดขึ้นแค่ช่วงเวลาที่ข่าวดีหนึ่งข่าวเกิดขึ้นแล้วจบลงเมื่อข่าวต่อไปที่เข้ามากระทบตัวหุ้นเป็นข่าวร้าย แต่ยุคทองเกิดจากการที่ปัจจัยแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกของบริษัทเอื้อต่อการทำธุรกิจของบริษัทเป็นอย่างมากจึงทำให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตของกำไรในอัตราที่สูงได้โดยไม่ต้องยากลำบากมากนัก ปัจจัยแวดล้อมที่เกิดขึ้นมาแล้วมักดำรงคงอยู่ได้เป็นระยะเวลาหนึ่งก็ที่มันจะสลายตัวไป ซึ่งบอกล่วงหน้าแน่นอนไม่ได้ว่านานแค่ไหนอาจเป็นหนึ่งปี สามปี หรือสิบปีก็ได้ แต่จะไม่ใช่แค่สองอาทิตย์หรือหนึ่งเดือนอย่างแน่นอน

อายุของบริษัทไม่ใช่สิ่งที่บอกว่ายุคทองของบริษัทผ่านไปแล้วหรือยัง ปตท.อายุตั้ง 30 ปีแล้วแต่ยุคทองของมันก็เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้นี่เอง และแต่ละบริษัทก็ไม่จำเป็นต้องมียุคทองเพียงแค่ครั้งเดียวตลอดอายุขัยของมันด้วย ยุคทองสามารถเกิดแล้วเกิดอีกได้ ที่จริงแล้วบริษัทที่ดีควรเป็นบริษัทที่มียุคทองสลับกับช่วงที่กำไรไม่โตไปเรื่อยๆ บริษัทที่ไม่ดีมักมียุคทองแค่เพียงครั้งเดียวและเมื่อจบยุคทองแล้วบริษัทก็ทรุดหนักลงทันทีถึงขั้นปิดกิจการไปเลย หรือมิฉะนั้นบริษัทที่ไม่ดีอีกประเภทหนึ่งก็คือบริษัทที่กี่ปีกี่ชาติก็ไม่เคยมียุคทองกับเขาได้สักทีแม้จะไม่ถึงกับเจ๊งก็ตาม
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 950

โพสต์

Saturday, 17 May 2008
0059: Upside, where are you?
นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

ลองนั่งนึกดูว่าในอนาคตบริษัทที่คุณลงทุนอยู่จะโตขึ้นได้อีกเพราะอะไรได้บ้าง? ขีดจำกัดในการเติบโตของกิจการแต่ละอย่างนั้นแตกต่างกัน

ธุรกิจโรงแรมนั้นก่อสร้างขึ้นมาครั้งแรกครั้งเดียวเลย กำไรในช่วงแรกปีแรกที่เปิดบริการจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะ occupancy rate ยังต่ำอยู่มาก แต่เมื่อ occupancy rate มาถึงขีดจำกัดแล้ว หลังจากนั้น กำไรของบริษัทก็แทบจะนิ่งอยู่กับที่ (แกว่งขึ้นลงในกรอบ) และอยู่อย่างนั้นต่อไปอีกอาจจะ 20-30 ปีเลยทีเดียว (อาจเพิ่มขึ้นได้บ้างตามเงินเฟ้อ) ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว หุ้นโรงแรมจึงไม่ใช่หุ้นเติบโต การถือหุ้นโรงแรมเอาไว้เป็นเวลานานย่อมไม่สามารถคาดหวัง Capital Gain สูงๆ ได้ ได้แค่กินเงินปันผลไปเรื่อยๆ อย่างดีหน่อยเมื่อผ่านไปสัก 20 ปี โรงแรมอาจมีการต่อเติมส่วนขยายเพื่อเพิ่มจำนวนห้องพักให้มากขึ้นได้สักครั้งหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานั้นทำเลของโรงแรมมักเป็นทำเลหนาแน่นแล้ว พื้นที่ที่จำกัดของโรงแรมนั่นย่อมทำให้ขยายได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น

ถ้าคุณอยากถือหุ้นโรงแรมไว้ระยะยาวจริงโดยหวังให้เป็นหุ้นเติบโต คุณจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเลือกหุ้นโรงแรมที่มีนโยบายเปิดสาขาใหม่ต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้น ซึ่งมีอยู่ไม่กี่โรงแรมเท่านั้นที่มีนโยบายแบบนี้ ส่วนขยายแล้วจะประสบความสำเร็จหรือไม่ค่อยเป็นอีกประเด็นหนึ่ง

---

การสร้างโรงไฟฟ้าโรงที่สองสามสี่เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทนั้น ไม่ใช่อยากทำเมื่อไรก็ทำได้ทันที ถ้าเป็นโรงไฟฟ้าพลังแก๊ส ก็ต้องตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ ปตท.สร้างท่อแก็สเข้าไปถึง หรือถ้าเป็นโรงไฟฟ้าพลังถ่านหินก็ต้องตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือที่เรือขนถ่ายถ่านหินเทียบท่าได้ อีกทั้งยังต้องมีการทำประชาพิจารณ์กับชุมชนเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ดังนั้นที่จริงแล้ว โรงไฟฟ้าที่ยังมีพื้นที่แปลงข้างๆ โรงเดิมเหลืออยู่จะเป็นโรงไฟฟ้าที่สามารถขยายได้ง่ายกว่า เพราะท่อก๊าซมีอยู่แล้ว แถมการทำความเข้าใจกับประชาชนกลุ่มเดิมก็ทำได้ง่ายๆ เพราะเคยทำไปแล้วตั้งแต่ตอนสร้างโรงแรก ดังนั้นเวลามองหุ้นโรงไฟฟ้า ผมย่อมต้องให้มูลค่าบริษัทที่ยังมีที่แปลงข้างๆ เหลือสูงกว่าบริษัทที่ใช้ที่ดินไปหมดแล้วต่อกำไรปัจจุบันที่ทำได้เท่ากับ เพราะบริษัทแรกมี Potential Upside สูงกว่า นอกจากนี้ ผมก็ต้องดูด้วยว่าใครมียังสามารถก่อหนี้เพิ่มได้มากกว่ากัน (d/e ratio ยังไม่สูง) เพราะการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ต้องระดมเงินกู้จำนวนมาก ถ้าบริษัทไหนวงเงินเต็มแล้วก็คงขยายได้ยาก เช่นนี้เป็นต้น ประเด็นเหล่านี้ไม่อยู่ในผลประกอบการปัจจุบันของบริษัทเลย แต่กลับมีผลต่อการเติบโตในอนาคตโดยตรง เราจึงควรให้ความสำคัญกับมัน ไม่ใช่ดูแต่กำไรปัจจุบันกับพีอีเรโชอย่างเดียว

---

ธุรกิจแต่ละอย่างมี Scalability ต่างกัน ธุรกิจร้านหนังสือ ถ้าหากร้านต้นแบบมีคอนเซ๊ปท์ที่ดีและผู้บริโภคในพื่นที่อื่นๆ มีรสนิยมใกล้เคียงกัน ก็สามารถทำกำไรให้เติบโตได้ง่ายๆ ด้วยการสร้างร้านแบบเดิมในพื้นที่ใหม่ไปเรื่อยๆ บริษัทอาจเติบโตด้วยวิธีการแบบนี้ได้ติดต่อกันเป็นสิบปีตราบเท่าที่ยังเหลือพืนที่ให้เปิดได้อีก (แต่ถ้าซื้อตอนที่ขยายสาขามานานมากแล้วจนไม่เหลือทำเลใหม่ๆ ก็อาจจะไม่โตแล้วก็ได้) ในขณะที่ ธุรกิจสำนักพิมพ์นั้น ถ้าต้องการโตเร็วมากๆ จะทำได้ยาก เพราะทีมงานชุดเดิมมีกันคนละ 24 ชม ลำพังหัวเดิมที่ทำอยู่ก็แทบไม่ได้นอนอยู่แล้ว ถ้าจะเปิดหัวใหม่เพิ่มอีก 5 หัว ก็ต้องรับทีมงานใหม่ ซึ่งคุณภาพก็ย่อมต้อง drop ลง เพราะทีมงานใหม่ย่อมไม่มีประสบการณ์ที่แก่กล้าเหมือนทีมงานชุดเก่า แบบนี้ถ้าเร่งขยายมากๆ คุณภาพลดลง ธุรกิจอาจถึงขั้นเสียหายได้เลย ธุรกิจสำนักพิมพ์จึงเป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปได้ แต่อาจไม่โตเร็ว เป็นต้น

ลองนึกดูนะครับว่าหุ้นของคุณมีโอกาสในการขยายกิจการอย่างไรบ้าง ที่จริงแล้วมีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่อมูลค่าของกิจการนอกเหนือจากการนั่งดูแค่อัตราส่วนทางการเงินต่างๆ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 951

โพสต์

ผมรู้สึกว่าแนวทางลงทุนของ อ.leky มีส่วนคล้ายของคุณสุมาอี้อยู่หลายส่วนนะครับ ผมเองก็ชอบอ่านหนังสือและบทความของแก
เป็นคนนึงที่เขียนเรื่องยากให้อ่านง่ายดีครับ แล้วยังเจาะตรงจุดสำคัญเก่งอีกต่างหาก
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 952

โพสต์

ดำ เขียน:ผมรู้สึกว่าแนวทางลงทุนของ อ.leky มีส่วนคล้ายของคุณสุมาอี้อยู่หลายส่วนนะครับ ผมเองก็ชอบอ่านหนังสือและบทความของแก
เป็นคนนึงที่เขียนเรื่องยากให้อ่านง่ายดีครับ แล้วยังเจาะตรงจุดสำคัญเก่งอีกต่างหาก
ไม่คล้ายหรอกครับ คุณสุมาอี้มองยาวกว่าผมมาก คือซื้อหุ้นแล้วถือยาวจนกว่าการเติบโตจะหายไป แล้วเค้าก็จะเน้นที่ข้อมูลเชิงคุณภาพครับ แต่ผมชอบอ่านบทความของคุณสุมาอี้ เพราะเป็นคนหนึ่งที่มองหรือเขียนได้เฉียบคมครับ อีกคนหนึ่งที่ผมคิดว่าเขียนได้ดีไม่แพ้กันก็คือดร.นิเวศน์ เพียงแต่ช่วงหลัง ๆ บทความของดร.จะเน้นไปที่มองภาพใหญ่มาก ๆ ครับ ถ้าลองอ่านดูตั้งแต่เล่มแรก ๆ นี่ก็จะเห็นพัฒนาการเลย

จะว่าไปหนังสือโรงเรียนสอนนักลงทุน เล่ม 1-2 นี่หลายตอนเป็นบทความที่ดีมากครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 953

โพสต์

leky เขียน:จะว่าไปหนังสือโรงเรียนสอนนักลงทุน เล่ม 1-2 นี่หลายตอนเป็นบทความที่ดีมากครับ
ของ อ.ชาย เหรอครับ
ผมอ่านก็ชอบนะครับ แต่ลองทบทวนดูแล้วไม่ค่อยตรงกับแนวทางของตัวเองเท่าไหร่
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 954

โพสต์

ดำ เขียน:
leky เขียน:จะว่าไปหนังสือโรงเรียนสอนนักลงทุน เล่ม 1-2 นี่หลายตอนเป็นบทความที่ดีมากครับ
ของ อ.ชาย เหรอครับ
ผมอ่านก็ชอบนะครับ แต่ลองทบทวนดูแล้วไม่ค่อยตรงกับแนวทางของตัวเองเท่าไหร่
ผมเขียนผิดครับชื่อที่ถูกคือ โรงเรียนนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย เล่ม 1-2 ครับ เป็นหนังสือที่คุณสุมาอี้ทำขึ้นเฉพาะคนที่สมัครสมาชิกเว็บตลอดชีพครับ เป็นการรวมบทความในเว็บครับ

ช่วงหนึ่งกลับไปอ่านหนังสือของเค้ารู้สึกว่าอยากอ่านต่อ ผมเลยไปสมัคร แต่มันคงไม่เหมาะถ้วผมจะเอาบทความในนั้นมาโพสต์

ผมชอบอ่านหนังสือพวกแนวคิดนะ่ครับ พวกยาก ๆ ตัวเลขมาก ๆ ไม่ค่อยถนัดครับ อ่านแล้วเอามาปร้บกับตัวเองครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 955

โพสต์

ของอ.ชาย ผมก็มีครับ ถอยมาแล้วแต่ยังไม่ได้อ่าน ผมว่าเค้ามีมุมมองแบบเฉพาะของเค้าที่น่าสนใจครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 956

โพสต์

leky เขียน:ผมชอบอ่านหนังสือพวกแนวคิดนะ่ครับ พวกยาก ๆ ตัวเลขมาก ๆ ไม่ค่อยถนัดครับ อ่านแล้วเอามาปร้บกับตัวเองครับ
ผมก็ด้วยครับ ชอบอ่าน concept การลงทุนว่ามีที่มาที่ไป มีเหตุมีผลอย่างไร มากกว่าการแกะงบแกะตัวเลขครับ
ลูกหิน
Verified User
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 957

โพสต์

ขอบคุณคุณ leky มากๆครับที่แชร์ :D
comrade
Verified User
โพสต์: 737
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 958

โพสต์

ขอบคุณอาจารย์ leky มากครับสำหรับข้อคิดดี ๆ มากมาย
SURE I AM OF THIS
THAT YOU HAVE ONLY TO ENDURE
TO CONQUER
arica
Verified User
โพสต์: 1112
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 959

โพสต์

หนังสือออกใหม่มาแนะนำครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 960

โพสต์

เรียน จารย์หมอเล็กที่เคารพ ขอบพระคุณหนังสือที่แนะนำนะครับ ปีใหม่นี้ขอให้ จารย์หมอประสบแต่สิ่งที่สมหวังตลอดจนคนที่เป็นที่รักของอาจารย์ด้วยครับผม
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/