'You can do it' ฐิติ กิตติพัฒนานนท์ (1)

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

'You can do it' ฐิติ กิตติพัฒนานนท์ (1)

โพสต์ที่ 1

โพสต์

'You can do it' ฐิติ กิตติพัฒนานนท์ (1)
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

Monday, November 10, 2014 06:14


ชาลินี กุลแพทย์
เมื่อพิสูจน์แน่ชัดแล้วว่า ตลาดหุ้น คือ หนทาง ที่ทำให้ 11 ชีวิต อิ่มท้อง "ฐิติ กิตติพัฒนานนท์" น้องรักเบอร์หนึ่ง "เสี่ยยักษ์" ไม่รอช้า ขอส่งต่อวิธี "ตักตวง-คิดเป็น" และ "แรงบันดาลใจ" สู่มือใหม่
"คนเคยจน" สถานะชีวิตในอดีตของ"ปิง-ฐิติ กิตติพัฒนานนท์" น้องเลิฟนัมเบอร์วันของ "เสี่ยยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์" เซียนหุ้นชาวอยุธยา" ปัจจุบัน "ชายวัย 43 ปี" คือ นักลงทุนมือฉมัง ในฐานะเจ้าของพอร์ตหุ้น "หลักร้อยล้าน" หนึ่งในความภาคภูมิใจของ "เซียนหุ้นรุ่นลายคราม"
สายสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง "เซียนร้อยล้าน"กับ "เซียนพันล้าน" เกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีก่อน หลังปิงมีโอกาสไปฟังงานสัมมนาหัวข้อ "7 เซียนหุ้น" คำพูดประโยคหนึ่งของ "เสี่ยยักษ์" ที่โดนใจ "ปิง" จนทำให้อยากออกตามหาคำตอบ คือ "เทคนิเคิลไม่เคยหลอกเรา" ทันทีที่ "กูรูหุ้น" เดินลงจากเวที เขาไม่รีรอที่จะเดินไปแนะนำตัว พร้อมยื่นขวดน้ำชาเขียวให้ดื่มดับอาการคอแห้ง
"ขาใหญ่" ติดใจชาเขียวของ "ปิง" หรือเปล่า เจ้าตัวก็ไม่แน่ใจ แต่ "เสี่ยยักษ์" ยื่นเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวให้คล้ายต่างตอบแทนน้ำใจ พร้อมเอ่ยปากว่า"มีอะไรก็โทรมา หากอยากรวยคงต้องอาศัยลอกหุ้นคนเก่งไปก่อน" ก่อนจะขอตัวขึ้นรถเฟอร์รารี่ สีแดงสด ราคา 22 ล้านบาทที่จอดโชว์ความสวยอยู่หน้าตึก เขาตบไหล่ปิงเบาๆ และพูดว่า "สักวันหนึ่งคุณก็จะมีเหมือนผม"
แม้จะขึ้นแท่นน้องรัก "เซียนพันล้าน" ในเวลาไม่นานนัก แต่ตลอดเวลา "ปิง" แทบไม่เคยคิดถาม "เสือหุ้น" สักคำว่า เวลานี้ควรซื้อหุ้นตัวไหน และไม่เคยลอกการบ้าน แม้บางครั้งจะเห็นเต็มสองตาว่า เสี่ยยักษ์ กำลังจะสั่งซื้อหุ้นตัวไหน นั่นอาจเป็นเพราะเขามีเจตนารมณ์แน่วแน่ว่า "อยากรู้จักเพราะต้องการขอความรู้จากคนเก่ง มากกว่ามาลอกการบ้าน"
ก่อนจะก้าวเข้าสู่สังเวียนหุ้นในปี 2537 ช่วงชีวิตในวัยเด็กของ "ฐิติ" เข้าข่ายปากกัดตีนถีบ ครอบครัวกิตติพัฒนานนท์ ประกอบด้วย พ่อแม่ และน้องอีก 6 คน (น้องคนสุดท้องอายุห่างกับปิง 19 ปี) อาศัยอยู่แถวสามย่าน มารดาผู้เป็นกำลังหลักยึดอาชีพแม่ค้าหาเงินเลี้ยงลูกๆ ส่วนพ่อผู้เป็นกำลังเสริมเลือกขายหนังสือพิมพ์ แต่ด้วยความที่พ่อติดการพนันและหวย ทำให้เงินที่พ่อหายมาได้ต้องหมดไปกับเรื่องเหล่านี้
แม้ในอดีตเด็กชายปิงจะเกเร และติดการพนัน แต่ในฐานะที่เป็นพี่ชายคนโต ในช่วงเสาร์อาทิตย์เขาจึงเลือกที่จะใช้เวลาว่างไม่กี่ชั่วโมงไปช่วยแม่ขายของในตลาด ด้วยความที่แม่อยากให้ลูกทุกคนได้เรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี ทำให้ต้องทำงานอย่างหนัก เช้าขายกาแฟชง ตกบ่ายไปรับผลไม้ที่ปากคลองตลาดมาขายในตลาดพระราม 4 ช่วงเวลาหนึ่งกาแฟชงเริ่มขายไม่ดี แม่ก็เปลี่ยนไปซื้อเนื้อหมูที่เยาวราชตอนตี 3 เพื่อนำมาขายในตลาด
ครั้งหนึ่งปิงเคยถูกอาจารย์ที่โรงเรียนเรียกไปทวงถามค่าเทอม ด้วยความที่ครอบครัวไม่มีเงินเก็บ ทำให้แม่ต้องหาเงินด้วยวิธีอื่น ไม่ว่าจะเป็นเล่นแชร์ และกู้เงินนอกระบบ เพื่อนำเงินมาจ่ายค่าเทอมให้ลูกๆ แม้ผู้เป็นแม่จะรู้อยู่เต็มอกว่า ลงทุนกับลูกไม่มีทางได้กลับคืน แต่ผู้ให้กำเนิดก็ยังคงอดทนทำงานต่อไป เพื่อให้ลูกมีชีวิตที่ดีขึ้น ปัจจุบันปิงรับหน้าที่ดูแลค่าใช้จ่ายของคนในบ้านทั้งหมด เขาเป็นคนส่งน้อง 2 คนสุดท้ายเรียนจนจบปริญญาตรี ด้วยเงินจากการลงทุนในตลาดหุ้น..
"ชายเชื้อสายจีนวัย 43 ปี" เดินทางมาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานเส้นก๋วยเตี๋ยว และฟาร์มเลี้ยงหมูของภรรยา เพื่อมาบอกเล่าเรื่องการลงทุนให้ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ฟัง โครงการแอมพาร์ค สามย่าน Community Mall แถวมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ คือ สถานที่นัดหมายในครั้งนี้ หลังจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ก็เลือกที่จะรับเงินเดือน 9,600 บาท ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบระบบงานคอมพิวเตอร์ ธนาคารกสิกรไทย วันแรกของการทำงานมีรุ่นพี่คนหนึ่งเดินมาชวนไปกินข้าวเที่ยง แต่มีข้อแม้ว่า ต้องแวะไปดูหุ้นในห้องค้าก่อนครึ่งชั่วโมง ครั้งแรกของการได้สัมผัสห้องค้าจริงๆ รู้สึกตื่นตามาก
ก่อนตลาดหุ้นจะปิดภายในอีกครึ่งชั่วโมงของภาคเช้าและเย็น รุ่นพี่จะต้องชวนไปห้องค้าทุกวัน เมื่อทำเช่นนี้จนเป็นกิจวัตรประจำวัน จากเดิมที่ตั้งใจจะแค่แวะเข้าไปเพียงเพื่อนั่งกินขนม และกาแฟฟรี (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นยังไม่มีเงินเก็บและไม่มีพอร์ตเป็นของตัวเอง ทำให้เปลี่ยนใจหันมาเล่นหุ้นครั้งแรกในชีวิตในปี 2537 ด้วยการควักเงินประมาณ 7,500 บาทเพื่อร่วมลงขันซื้อหุ้นหนึ่งตัวกับแก๊งรุ่นพี่ที่มีกันอยู่ประมาณ 5 คน ผลของการเล่นหุ้นในครานั้นได้กำไรหรือขาดทุน จำไม่ได้จริงๆ
ระลึกได้เพียงว่า ในช่วงปี 2538 รุ่นพี่คนหนึ่งมาชวนซื้อหุ้น IPO ราคา 22 บาท ของบมจ.ผลิตไฟฟ้า หรือ EGCO ด้วยความที่ไม่มีเงินเก็บเลยไปชวนน้องของแม่มาลงทุนแทน แม้ญาติคนนี้จะไม่มีความรู้เรื่องหุ้น แต่เขาก็เชื่อข้อมูลที่ได้รับฟังจากปากของผม พร้อมยื่นเงิน 1.32 ล้านบาท ให้ไปซื้อหุ้น IPO จำนวน 60,000 หุ้น ตอนนั้นไม่มีเวลาไปต่อคิวจองหุ้นเลยวานน้องไปทำธุระแทน
การลงทุนในครั้งนั้นมีเงื่อนไขว่า หากญาติได้กำไรจากหุ้น IPO ต้องนำกำไรมาแบ่งเราด้วย เมื่อน้องแม่ตกลงตามรูปแบบนี้ เมื่อได้ใบจองมาครอบครอง เราจึงตัดสินใจขายใบจองหุ้น EGCO จำนวน 9 ใบจอง จาก 10 ใบ นอกตลาดให้กับเหล่าโบรกเกอร์ ในราคาเฉลี่ย 32-40 บาทต่อหุ้น ส่วนใบจองใบสุดท้ายที่เหลือประมาณ 6,000 หุ้น ตัดสินใจขายในวันแรกของการซื้อขาย ในราคา 50 บาท จากการลงทุนในครานั้นทำให้ได้กำไรประมาณ 300,000 บาท
เมื่อมีเงินทุนก้อนใหญ่เป็นของตัวเอง จึงเริ่มออกตามล่าหุ้นจอง และหาหุ้นเล่นเอง ซึ่งหุ้นจองยอดฮิตสมัยก่อนก็มี หุ้นไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ หรือ TUF, หุ้น แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ หรือ LPN และหุ้น อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย หรือ TPI ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นหุ้น ไออาร์พีซี หรือ IRPC ผลการเล่นหุ้น IPO ไม่ค่อยได้กำไรเท่าไหร่ (หัวเราะ)
ในช่วงที่ไม่มีหุ้น IPO ให้ลงทุน เราก็หันไปลงทุนพวกตระกูลใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrants) หลังเห็นว่า ราคาขึ้นแรง แถมมีราคาถูกกว่าหุ้นแม่ สมัยโน้นทางการยังปล่อยให้นักลงทุนเล่นมาร์จิ้นใน Warrants ได้ สมมุติ มีเงิน 40 เปอร์เซ็นต์ คุณสามารถเล่นมาร์จิ้นได้มากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ช่วงนั้นอัดหุ้นเต็มพอร์ตตลอด ผลการลงทุนในปี 2539 ทำให้มีเงินในมือเพิ่มขึ้นเป็น 700,000 บาท ซึ่งเงินก้อนนี้ไม่ได้มาจากการเล่นหุ้นอย่างเดียว แต่มีทั้งเงินเดือน โบนัส และกำไรจากหุ้น ผสมรวมกันอยู่
"เป้าหมาย 1 ล้านบาท คือ ฝันแรก หลังมีเงินในมือ 700,000 บาท" แต่สุดท้าย "ฝันสลาย" หลังเมืองไทยเจอวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ซึ่งการลงทุนเริ่มไม่ค่อยปกติในช่วงปี 2542 หลังดัชนีลงมาซื้อขายแถวๆ 200 จุด ช่วงนั้นพอร์ตเริ่มขาดทุนแล้ว เพราะเล่นเก็งกำไรใบสำคัญแสดงสิทธิ และหุ้นบุริมสิทธิ (preferred stock) แบบวันต่อวัน ตอนนั้นลาออกจากธนาคารกสิกรไทยไปทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ กรุงเทพธนาทร
แต่มา "ขาดทุนหมดตัว" จริงๆ ในปี 2544 ช่วงเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายเครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ หรือ 911 หลังเกิดเหตุไม่คาดฝันราคาตระกูล Warrants ที่ถือลงทุนอยู่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ด้วยความที่เล่นหุ้นแบบมวยวัด ส่งผลให้เหลือเงินติดพอร์ตแค่ "หลักหมื่นบาท" ชีวิตการลงทุนเดินทางมาถึง "จุดเกือบต่ำสุด" ปิง บอกอย่างนั้น
ด้วยความที่มีเงินสินสอดฝากแบงก์ไว้ประมาณ 500,000 บาท จึงตัดสินใจเดินไปขอเงินก้อนนี้กับภรรยา "อยากเอาเงินมาสู้ต่อ ถ้าเงินก้อนนี้หมดคงตัดมือทิ้งเลิกเล่นตลอดชีวิต" ผมบอกประโยคนี้กับคู่ชีวิต ซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร และยินยอมให้ถอนเงินฝากประจำมาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง
ตัดสินใจนำเงินไปซื้อหุ้น IPO บมจ.ปตท.หรือ PTT จำนวน 20,000 หุ้น ราคา 35 บาท ตอนนั้นหุ้น PTT "ฮอตมาก" ใครๆ ก็อยากได้ ด้วยความที่ครอบครัวฝ่ายภรรยาสนิทกับพนักงานแบงก์แห่งหนึ่ง เพราะปล่อยวงเงินสินเชื่อเบิกเกินบัญชี (OD) ให้ธุรกิจของภรรยา จึงขอให้เขาช่วยคีย์ข้อมูลซื้อหุ้น IPO รอไว้ เมื่อตลาดหุ้นเปิดให้กดคลิ๊กทันที ถ้าไม่ทำแบบนี้คงไม่มีทางได้
หุ้น PTT เปิดวันแรก 39 บาท ก่อนจะลงมาต่ำสุดที่ 28 บาท แต่ดันไปขายขาดทุนที่ 32 บาท ตอนนั้นงงๆ ทำไมหุ้นไม่ขึ้น ช่วงนั้นยังไม่มีความรู้ และไม่ได้ศึกษาข้อมูลอะไรเลย คิดเพียงว่า "อยากรวย" ตอนนั้นเจ็บตัวพอสมควร หลังจากนั้นก็ลงทุนหุ้นตัวโน้นตัวนี้ไปเรื่อยๆ ด้วยกลยุทธ์แบบเดิมๆ
ผ่านมาถึงปี 2546 เกิดวิกฤติชีวิตอีกครั้ง หลังคุณพ่อวัย 62 ปี ในขณะนั้น ป่วยหนักต้องนอนห้องไอซียูนานถึง 14 วัน ค่าใช้จ่ายห้องไอซียูตกวันละ 7,000 บาท ด้วยความที่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการรักษาคุณพ่อ จึงตัดสินใจตัดขายขาดทุนหุ้นบางตัว เช่น หุ้น IPO บมจ.อาร์เอส หรือ RS ที่ซื้อมาแถวยอดดอย 26 บาท เป็นต้น ส่งผลให้เงินในมือลดลงเหลือเพียง 250,000 บาท แต่โชคดีที่เคยทำประกันให้พ่อ แถมญาติๆ และพ่อตาแม่ยายยังช่วยออกค่ารักษาพยาบาล ทำให้วิกฤติครานั้นผ่านไปด้วยดี ปัจจุบันคุณพ่ออายุ 73 ปี ท่านยังอยู่ดีมีสุข
"คุณพ่อลูกสอง" เล่าต่อว่า หยุดเล่นหุ้นไปเกือบเดือน เพื่อใช้เวลาดูแลพ่อ ก่อนจะกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง คราวนี้ตัดสินใจนำรถยนต์ส่วนตัวไปรีไฟแนนซ์ได้เงินมา 200,000 บาท หวังนำมาสมทบรวมกับเงินที่มีอยู่ 250,000 บาท เพื่อนำมาเล่นหุ้นใหม่ กลยุทธ์ลงทุนช่วงนั้น คือ "เล่นหุ้นด้วยเงินสด และอัดมาร์จิ้น"
"จุดเปลี่ยนชีวิตการลงทุนเกิดขึ้นตอนนี้"
บังเอิญน้องชายแท้ๆคนหนึ่ง ขายสุกี้อยู่ในซอยละลายทรัพย์ วันหนึ่งน้องบ่นว่า ราคาเนื้อสันในไก่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 35 บาท เป็น 50 บาทต่อกิโลกรัม หลังประเทศญี่ปุ่นเปิดให้เนื้อไก่ของเมืองไทยสามารถนำเข้าไปขายได้ เมื่อวิเคราะห์เรื่องนี้แล้วพบว่า อุตสาหกรรมนี้น่าจะเติบโตดี ประกอบกับอยากเล่นหุ้นแบบเซฟๆ จึงตัดสินใจซื้อ "หุ้น จีเอฟพีที" หรือ GFPT จำต้นทุนไม่ได้ แต่ได้กำไรกลับมาประมาณ 200,000-300,000 บาท หลังถือลงทุนนาน 1 เดือน
จากนั้นนำกำไรไปลงทุนต่อใน หุ้น บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้หรือ ZMICO "ความมหัศจรรย์" ของการลงทุนเกิดขึ้นจากหุ้นตัวนี้ คุณลองฟังดู หลังเล่นหุ้น ZMICO ประมาณ 12 รอบ ภายใน 7 เดือน ต้นทุนแรก คือ 27 บาท ก่อนจะไปขายที่ 29 บาท และไปซื้ออีกครั้งที่ราคา 31 บาท ขาย 34 บาท และซื้อ 40 บาท ขาย 42 บาท ราคานี้ย้ำอยู่หลายรอบ ก่อนจะมาซื้ออีกครั้งในราคา 45 บาท ขาย 48 บาท
ราคาหุ้น ZMICO วิ่ง เพราะในช่วงปลาย 2546 วอลุ่มตลาดเด้งขึ้นจาก 30,000-40,000 ล้านบาท เป็น 50,000 ล้านบาท ทำให้หุ้นโบรกเกอร์ได้รับผลดีตามไปด้วย เนื่องจากตอนนั้นนักลงทุนยังต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นเต็มๆ ที่ 0.25 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเป็นเช่นนั้นในฐานะที่ ZMICO มีวอลุ่มซื้อขายวันละ 7,000 ล้านบาท ถือเป็นอันดับ 2 รองจากบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ก็น่าจะได้ประโยชน์ตามไปด้วย ตอนนั้นบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ยังไม่เข้าตลาดหุ้น และมีหุ้นโบรกเกอร์ให้เล่นไม่กี่ตัว
แต่ช่วงที่ซื้อหุ้น ZMICO ในราคา 70 บาท ราคาหุ้นดันลงมาอยู่ 60 กว่าบาท ตอนนั้นเครียดมาก "มือสั่น ใจสั่น" เราลองอธิฐานในใจว่า "พ่อช่วยลูกนะ" จากนั้นอีก 15 นาที คุณเชื่อหรือไม่!! ราคาดีดกลับเท่าทุน แต่ไม่ยอมขาย สุดท้ายไปปล่อยออกตอน 77 บาท ช่วงนี้ถือเป็นเวลาที่ได้ "กำไรมากสุด" เพราะใช้เงินสดบวกอัดมาร์จิ้นมากถึง 4-5 ล้านบาท มากกว่าตอนเล่นช่วง 27-48 บาท ที่ใช้เงินสดบวกมาร์จิ้นแค่ 2 ล้านบาท เมื่อราคาลงมา 72 บาท ก็ซื้อใหม่ ซึ่งรอบสุดท้าย คือ ราคากว่า 80 บาท แล้วไปขาย 110-130 บาท ตอนนั้นเล่นสตอรี่แตกพาร์จาก 10 บาท เหลือ 1 บาท
"สุดท้ายได้กำไรจากหุ้น ZMICO ประมาณ 10 ล้านบาท"
ตอนนั้นดีใจสุดๆ เดินไปบอกภรรยาว่า "เรามีเงินสิบล้านแล้วนะ" แม้จะได้เงินจากการเล่นหุ้นเยอะ แต่ช่วงนั้นก็ใช้ชีวิตปกติ เพราะเรารู้จักคุณค่าของเงินว่ามันหามาลำบากแค่ไหน เรารู้ว่าวันที่ไม่มีชีวิตเป็นอย่างไร ฉะนั้นผมจะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างระมัดระวัง และตระหนักถึงคุณค่าให้มากที่สุด ช่วงพอร์ตขึ้นเป็น 30 ล้านบาท ผมยังขับรถยนต์ยี่ห้อ Ford Escaper เพราะไม่กล้าเปลี่ยน แต่ปัจจุบันใช้รถยนต์อยู่ 2 คัน คือ ยี่ห้อ TOYOTA รุ่น ESTIMA และ TOYOTA รุ่น HARRIER
หลังจากมี "เงินสิบล้านบาทแรกในชีวิต" ช่วงปี 2547 เริ่มเดินสายเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิเคิล ตอนนั้นตัดสินใจจ่ายเงิน 30,000 บาท เทคคอร์สกับ "อาจารย์วันชัย ธัญญศิริ" ที่บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซึ่งเซียนหุ้นชื่อดังอย่าง "เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง" และ "ศรีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา" หรือ มาม่าบลู ก็ลงเรียนคอร์สนี้เหมือนกัน
ยิ่งเรียนยิ่งรู้สึกมั่นใจในเทคนิเคิล ทำให้ตัดสินใจเล่นหุ้นตระกูลขนส่งและโลจิสติกส์ไม่ว่าจะเป็น หุ้น พรีเชียส ชิพปิ้ง หรือ PSL และ หุ้น โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA หลังพบว่า ค่าระแวงเรือ และสินค้า Community ปรับตัวขึ้นแรงมาก แต่ด้วยความที่ดูเทคนิเคิลมากเกินไปเลยไม่ยอมขายทั้งๆที่ได้กำไรมาแล้ว 2.5 ล้านบาท สุดท้ายได้กำไรกลับมาแค่ 500,000 บาท เสียดายมาก...
"ปิง" เล่าต่อว่ากลับเข้าตลาดหุ้นอีกครั้งในปี 2550 ด้วยเงินเพียง 2 ล้านบาท ช่วงนั้นมีโอกาสไปฟังสัมมนา 7 เซียนหุ้น และนั่นคือ จุดเริ่มต้นของการได้เจอไอดอลการลงทุน "เสี่ยยักษ์วิชัย" ตอนนั้นประทับใจความคิดของ "เสี่ยยักษ์" ที่ว่า "เทคนิเคิลไม่เคยหลอกเรา" ทำให้อยากรู้ว่าเล่นเทคนิคอย่างไรไม่ให้ขาดทุน เพราะตลอดเวลาเล่นแล้วไม่กำไร
ช่วงที่นักลงทุนกำลังรุม "เสี่ยยักษ์" ผมยื่นน้ำชาเขียวให้แกดื่ม เพราะเห็นพูดมานาน ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ "เสี่ยยักษ์" จดเบอร์โทรศัพท์ให้ พร้อมบอกว่า "มีอะไรก็โทรมาอยากประสบความสำเร็จคงต้องลอกหุ้นไปก่อน" ตอนนั้นผมถือโอกาสเดินไปส่งแกที่ลานจอดรถ ซึ่งวันนั้นแกขับรถยนต์ เฟอร์รารี่ สีแดง มางาน ก่อนจะขึ้นรถแกยังตบไหล่แล้วบอกว่า "วันหนึ่งคุณก็จะมีเหมือนผม" ตอนนั้นแอบคิดในใจ "จะมีปัญญามีได้ไง"
หลังได้เบอร์มา ก็โทรไปขอคอมเมนท์เกี่ยวกับมุมมองตลาดหุ้นบ้าง แต่ไม่เคยถามว่า ควรซื้อหุ้นอะไรดี หรือพี่ซื้อหุ้นอะไรอยู่ บางครั้งแกก็ชวนไปหาที่ห้อง VIP บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เวลาไปก็จะเห็นว่า แกสั่งซื้อหุ้นตัวนั้นตัวนี้ ซึ่งเราก็ไม่เคยซื้อตาม ยกเว้นแกจะบอกว่า "หุ้นตัวนี้น่าสนใจนะ" หากเราสนใจก็จะไปทำการบ้านต่อ ถ้าศึกษาแล้วพบว่า ดีจริงก็จะหาโอกาสซื้อลงทุน
หุ้นตัวไหนที่ทำให้เจ้าของสโลแกน "ผมทำได้ คุณก็ทำได้" เดินทางมาสู่ความสำเร็จจนสามารถสะสมเงินเพื่อปลูกบ้าน ย่านงามวงศ์วาน มูลค่า 30 ล้านบาทได้ ติดตามอ่านต่อในฉบับถัดไป แม้ผู้ชายคนนี้จะไม่มีคำนำหน้าว่า "เสี่ย" แต่ฝีมือการลงทุนจัดจ้านจริงๆ.
"อยากสนิทกับพี่ยักษ์ เพราะอยากได้ความรู้ มากกว่ามาขอลอกหุ้น"--จบ--

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: 'You can do it' ฐิติ กิตติพัฒนานนท์ (1)

โพสต์ที่ 2

โพสต์

pakapong_u
Verified User
โพสต์: 40089
ผู้ติดตาม: 1

Re: 'You can do it' ฐิติ กิตติพัฒนานนท์ (1)

โพสต์ที่ 3

โพสต์

สแกน 'หุ้นในดวงใจ''ฐิติ กิตติพัฒนานนท์'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

Monday, November 17, 2014 06:13


ชาลินี กุลแพทย์
คุณค่าของความสำเร็จ ไม่ได้มาจากขนาดของกองทรัพย์สิน แต่การมีเงินเลียงดูทังครอบครัว คือ เรืองภูมิใจของ "ฐิติ กิตติพัฒนานนท์" ยุทธศาสตร์ "ขยัน กล้า บ้า อึด" คือ ตัวช่วยพลิกพอร์ตจาก "สิบล้าน" เป็น "ร้อยล้าน" ของศิษย์รัก "เสียยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์"
นักลงทุนบางคนอาจวัดคุณค่าของความสำเร็จจากจำนวนเงินที่พอกพูนในบัญชี แต่สำหรับ "ปิง-ฐิติ กิตติพัฒนานนท์" เซียนหุ้นไซด์ใหญ่ น้องรักเบอร์หนึ่งของ "เสี่ยยักษ์วิชัย วชิรพงศ์" กลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะความสำเร็จของ "คุณพ่อลูกสอง" คือ ความภาคภูมิใจที่ได้เลี้ยงดูคนในครอบครัวทั้ง 11 ชีวิต ให้กินอิ่มนอนหลับ ด้วยเงินที่ได้จากการลงทุนในตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียว
สำนวนไทยที่ว่า "หาเช้ากินค่ำ" น่าจะเหมาะกับชีวิตวัยเด็กของปิง ฉะนั้นจึงไม่แปลกหากคนสนิทมักได้ยินเขาพูดเสมอว่า แม้พอร์ตหุ้นจะพุ่งแตะ "หลักร้อยล้าน" แต่ไม่เคยลืมคุณค่าของเงิน กว่าจะหามาได้แต่ละบาทช่างยากเย็นแสนเข็น เบื้องหลังของการมีเงินจะมีใครรู้บ้างว่า วันที่ขาดทุนหุ้นต้องแอบร้องไห้อยู่ในใจบอกใครไม่ได้ แม้กระทั่งลูกเมีย เครียดแค่ไหน เจ็บมากเท่าไหร่ ไม่เคยมีใครรับรู้
"น้องรักเสี่ยยักษ์" ก้าวขาเข้าตลาดหุ้น ตามคำเชื้อเชิญของรุ่นพี่ที่ทำงานในปี 2537 ด้วยการควักเงิน 7,500 บาท ร่วมลงขันซื้อหุ้นตัวหนึ่ง แม้เขาจะจำไม่ได้ว่า ประสบความสำเร็จในหุ้นตัวแรกของชีวิตหรือไม่ แต่ "กำไรก้อนแรก"จำนวน 300,000 บาท ของปิงเกิดขึ้นในปี 2538 จากหุ้น IPO บมจ.ผลิตไฟฟ้า หรือ EGCO ด้วยการชักชวนน้องของแม่มาลงทุน โดยมีข้อแม้ว่า ต้องแบ่งกำไรตามเงื่อนไขที่กำหนด
จากนั้นไม่นานตังค์ในกระเป๋าของ "ปิง" เริ่มหนาขึ้นเป็น 700,000 บาท หลังหันมาลงทุนในใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrants) ด้วยการทุ่มสุดตัวเล่นมาร์จิ้น 60 เปอร์เซ็นต์ เงินสด 40 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายเครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ หรือ 911 ในปี 2544 พอร์ตลงทุนไหลรูดเหลือแค่ "หลักหมื่นบาท" ทำให้ความฝันอยากมีเงิน 1 ล้านบาท "สลายไปในพริบตา""อยากสู้ต่อ" เมื่อเกิดความคิดนี้ในสมอง "ปิง" จึงตัดสินใจไปขอภรรยาถอนเงินสินสอด 500,000 บาท ไปซื้อหุ้น IPO บมจ.ปตท.หรือ PTT จำนวน 20,000 หุ้น ราคา 35 บาท แต่ผลการลงทุนในครานั้น คือ "ขาดทุน" เมื่อรวมกับการตัดขายขาดทุนหุ้นตัวอื่นๆ เพราะต้องนำเงินไปรักษาพ่อที่ป่วยหนัก ทำให้เหลือเงินในพอร์ตเพียง 250,000 บาท
ด้วยความที่อยากเล่นหุ้นต่อ ทำให้เขาแก้ปัญหา ด้วยการนำรถยนต์ส่วนตัวไปรีไฟแนนซ์ได้เงินกลับมา 200,000 บาท โดย "ปิง" ได้นำเงินไปซื้อ หุ้น จีเอฟพีที หรือ GFPT และ หุ้น บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ หรือ ZMICO การลงทุนในครั้งนั้น ทำให้พอร์ตลงทุนพุ่งทะยานเป็น 10 ล้านบาท ในปี 2547 แต่ถึงแม้จะได้ครอบครองเงินก้อนใหญ่ก้อนแรกในชีวิต แต่การลงทุนในช่วงนั้นออกแนวไม่ค่อยราบรื่น
ผ่านมาถึงปี 2549 "ปิง" เหลือเงินติดตัวแค่ 7 ล้านบาท หลังเล่นหุ้นแนวเทคนิเคิลในช่วงตลาดขาลง ช่วงนั้นเขาตัดสินใจถอนเงินออกจากพอร์ต 5 ล้านบาท เพื่อนำเงินไปซื้ออาคารพาณิชย์ แถวสามย่าน ซึ่งอยู่ตรงข้ามบ้านที่เซ้งไว้ในราคา 8.5 ล้านบาท ตามคำขอของผู้เป็นแม่ ส่งผลให้เหลือเงินเล่นหุ้นเพียง 2 ล้านบาท
แต่เมื่อเขาสนิทกับ "เสี่ยยักษ์" ในปี 2550 หลังมีโอกาสเจอกันในงานสัมมนา "7 เซียนหุ้น" "ปิง" ก็นำคำสอนเรื่องการลงทุนที่ว่า "ซื้อหุ้นทางต่ำ"ของ "เสี่ยยักษ์" มาช่วยปั้นพอร์ต ของตัวเอง จากทุน 2 ล้านบาท เป็น 20 ล้านบาท ภายในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งหุ้นหลายๆ ตัวที่สร้างกำไรแทบไม่ใช่หุ้นตัวเดียวกับ "เซียนหุ้นรุ่นลายคราม" แต่การปรับเทคนิคการลงทุน ด้วยการหันมาให้ความสำคัญกับการสำรวจพื้นฐานต่างหาก คือ ตัวช่วยชั้นเยี่ยม!!
คำสอนบทหนึ่งที่ "ปิง" นำมาปรับใช้ คือ นักลงทุนจะประสบความสำเร็จได้ต้องรู้จักคำว่า "ถูกที่-ถูกเวลา-ถูกน้ำหนัก" ซึ่งกลยุทธ์นี้ทำให้ "เสี่ยยักษ์" สามารถชนะหุ้น PTT หลังทุ่มเงิน 140 ล้านบาท ซื้อหุ้น PTT จำนวน 4 ล้านหุ้น ต้นทุน 70 บาท และขายออกเมื่อราคาดีดตัว
ความหมายของคำว่า "ถูกที่" คือ ต้องซื้อหุ้นถูกตัว หลังวิเคราะห์ข้อมูลมาแล้วอย่างถี่ถ้วน "ถูกเวลา" คือ ซื้อถูกจังหวะ เพราะจะทำให้สามารถโกยกำไรได้ในระยะสั้นๆ "ถูกน้ำหนัก"คือ ซื้อครั้งละมากๆ หากเดินตามยุทธศาตร์นี้อาจมีโอกาสได้กำไรในหุ้นตัวเดียวคราวละมากๆ แต่การซื้อแบบ "ถูกน้ำหนัก" นักลงทุนหลายคนทำไม่ค่อยได้ เพราะเงินบนหน้าตักมีไม่มากพอ
"แม้วันนี้ฐานะการเงินจะดีขึ้นกว่าในอดีต แต่ผมก็ยังคงใช้ชีวิตติดดินเช่นเคย รวยหุ้นไม่ได้แปลว่า จะกินข้าวข้างถนนไม่ได้ ทุกวันนี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองรวย" "ปิง-ฐิติ กิตติพัฒนานนท์" บอกความเป็นตัวตนให้ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ฟัง
เขา เล่าว่า "พระเอก" ที่ทำให้พอร์ตลงทุนแตะ 20-30 ล้านบาท ต้องยกให้ หุ้น ทุ่งคาฮาเบอร์ หรือ THL ถือเป็นตัว "จุดพลุ" ตอนนั้นราคาหุ้นวิ่งอยู่ 1.50 บาท หลังดูเทคนิเคิลทำให้เชื่อว่า ถ้าผ่าน 1.52 บาท ไปได้ ราคาวิ่งแน่ ด้วยความที่ชอบความท้าทายเลยจัดหนัก ซื้อไม่นานราคาวิ่งไป 1.60 เลยจัดอีกดอกที่ 1.70 บาท ซื้อไปซื้อมามีต้นทุนเฉลี่ย 1.90 บาท จากนั้นมีข่าวว่าบริษัทได้รับใบอนุญาตให้ทำเหมืองทองคำ คราวนี้หุ้นวิ่งใหญ่เลย ถือไม่ถึงเดือนไปปล่อยที่ 2.80 บาท ได้กำไรกลับมาประมาณ 5 ล้านบาท
จากนั้นก็เล่นหุ้นแบบสะเปะสะปะไปเรื่อยๆ เช่น หุ้น จี สตีล หรือ GSTEL ซื้อ 0.80 บาท ปล่อย 1.70 บาท แต่ตัวนี้ได้กำไรไม่เยอะ มาได้มากๆ คือ หุ้น ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น หรือ PTTAR ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นหุ้น พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC, หุ้น ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี หรือ STA และหุ้น บ้านปู หรือ BANPU เป็นต้น
ตอนนั้นเราพูดกับ "พี่ยักษ์" กลางโต๊ะอาหารว่า หุ้น PTTAR น่าสนใจนะ แกลุกขึ้นตบโต๊ะแล้วพูดว่า "เราจะรวยแล้ว" ผมเข้าไปเก็บตอน 9 บาท ปล่อยออก 11 บาท ใช้เวลาไม่ถึงเดือน ตอนนั้นไม่ได้มีสตอรี่อะไรเลย แต่ราคาหุ้นต่ำมาก เพราะราคาน้ำมันแย่ ก่อนจะมาเก็บอีกครั้งที่ 12 บาท ขาย 17 บาท และกลับไปซื้อใหม่ 18-19 บาท ขาย 27 บาท สรุปแล้วได้กำไรจากหุ้น PTTAR หลายล้านบาท
ส่วนหุ้น STA ถือเป็นตัวทื่ทำให้ "เฉียดรวย"ทุน 36 บาท (พาร์ 5 บาท) ใช้เวลาไม่ถึงปีได้กำไรมาประมาณ 4-5 ล้านบาท ก่อนลงมือช้อนเคยไปบอก "เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล" และ "พี่ยักษ์" แต่แกบอกว่า ไม่ชอบเล่นหุ้นคอมมูนิตี้ สำหรับหุ้น บ้านปู ซื้อ 225 บาท ขาย 270 บาท
"เซียนหุ้นหลักร้อยล้าน" เล่าถึง "หุ้นในดวงใจ" ว่า หุ้นที่พลิกพอร์ต จาก "หลักสิบล้าน" เป็น "หลักร้อยล้าน" ในปี 2552 คือ หุ้น ช.การช่าง หรือ CK และ หุ้น ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือ TRUE ตอนโน้นหุ้น CK ซื้อขายอยู่แค่ 5 บาท ขณะที่ หุ้น ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น หรือ STEC วิ่งขึ้นจาก 2 บาท มายืน 12 บาท เมื่อลองเข้าไปดูรายละเอียด ทำให้พบว่า ราคาหุ้น CK ที่ 5 บาท เหมือนราคาฟรี
เพราะตอนนั้น CK กำลังรอเซ็นสัญญาเขื่อนไซยะบุรี มูลค่า 100,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัทในเครือมีมูลค่าดีๆ หลายตัว ไม่ว่าจะเป็น บมจ.ทีทีดับบลิว หรือ TTW บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ หรือ BECL และบมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BMCL จากการประเมินในครานั้น ทำให้รู้ว่า ต้นทุนที่ CK ถือหุ้น TTW อยู่ที่ 4 บาท แต่ราคาหุ้น TTW วิ่งไปซื้อขายที่ 7 บาท ขณะที่ CK มีต้นทุนหุ้น BECL แค่ 1 บาทกว่า ส่วนหุ้น BMCL ตีราคายาก เพราะช่วงนั้นยังขาดทุนอยู่
จากเหตุผลที่บอกไป ทำให้จัดหนักหุ้น CK ในราคา 5.50 บาท ช่วงที่ราคาขึ้นไป 11 บาท เราไม่ยอมขาย สุดท้ายไปปล่อยที่ 9 บาท (หัวเราะ) ทำให้ได้กำไรกลับมากว่า 20 ล้านบาท ด้วยความที่เชื่อเส้นกราฟที่สัญญาณบ่งบอกว่า ราคาจะขึ้นไป 30 บาท เลยไม่ยอมปล่อย หลังทิ้งหุ้น CK ไม้แรกก็มาซื้อหุ้น CK อีกครั้ง หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพ ในราคา 7 บาทกว่า และปล่อยออก 12-20 กว่าบาท ปัจจุบันขาย CK หมดเกลี้ยงแล้ว
ส่วนหุ้น TRUE ตอนนั้นมองว่า แม้บริษัทจะมีหนี้สินเยอะ แต่ "เครือเจริญโภคภัณฑ์" ในฐานะหุ้นใหญ่ ไม่มีทางปล่อยให้เจ๊งแน่นอน เริ่มมาซื้อหุ้น TRUE ตอนปี 2555 ทุน 5 บาท ก่อนจะขายในส่วนของมาร์จิ้นออกในราคา 9 บาท และเก็บในส่วนของเงินสดเอาไว้ จากนั้นไม่นานราคาหุ้นหักหัวลง ชีวิตช่วงนั้นต้องแอบร้องไห้อยู่ในใจ บอกใครไม่ได้ ทำได้แค่ย้ำกับตัวเองว่า ได้แค่ยํ้กับตัวเองว่า "แพ้ไม่ได้" สุดท้ายตัดใจเก็บอีกครั้งที่ 7 บาท และขายออกบางส่วนในราคา 12 บาท สถานการณ์พลิกทันที...
"ขายเฉพาะหุ้น TRUE ตัวเดียว ก็ได้กำไรมากกว่าร้อยล้าน"
"ปิง" เล่าต่อว่า ปัจจุบันมีหุ้นหลักๆ อยู่ในมือแค่ 2 ตัว คือ หุ้น ทรู คอร์ปอเรชั่นหรือ TRUE และหุ้น อิตาเลียนไทย ดีเวลล๊อปเมนต์ หรือ ITD แต่ตัวที่เป็น "ดวงใจอันดับหนึ่ง" ต้องยกให้หุ้น TRUE ตอนนี้มีอยู่ประมาณ 13 ล้านหุ้น เคยมีมากถึง 20 ล้านหุ้น
ส่วนหุ้น ITD เพิ่งจัดมา เมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา จำนวน 20 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 5.7 บาท ก่อนหน้านี้เคยชอบ หุ้น โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA ตอนนั้นมีอยู่ในมือประมาณ 4 ล้านหุ้น ต้นทุนเฉลี่ย 21 บาท แต่ขายออกไปหมดแล้ว หลังเจอหุ้นในดวงใจตัวใหม่อย่างหุ้น ITD
ทำไมถึงชอบหุ้น TRUE และ ITD เขาตอบคำถามนี้ว่า สำหรับหุ้น TRUE ผมชอบแผนการเพิ่มทุนที่เบ็ดเสร็จของเขา ซึ่งเงินที่ได้จากการระดมทุนบริษัทนำไปจ่ายหนี้ 52,000 ล้านบาท เหลือหนี้เพียงกว่า 40,000 ล้านบาท ฉะนั้นบริษัทจะประหยัดดอกเบี้ยจ่ายได้ปีละ 4,000 ล้านบาท ทำให้วันนี้บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ต่ำมาก ฉะนั้นหากบริษัทจะกู้เงินกับแบงก์ย่อมทำได้ง่าย
ขณะที่ค่าเสื่อมระบบ 2G กำลังจะหมดในช่วงไตรมาส 3/2557 ฉะนั้นธุรกิจจะเริ่มกลับมามีกำไร ไม่แน่อาจได้เห็นบริษัทโชว์กำไรในช่วงไตรมาส 3 นี้ อีกอย่างการที่บริษัทจับมือเป็นพันธมิตรกับ "ไชน่าโมบายล์" คงจะช่วยเสริมธุรกิจกันได้เป็นอย่างดี
ส่วนหุ้น ITD ชอบเพราะบริษัทมีงานก่อสร้างอลังการงานสร้างมากมาย เช่น 1.โครงการทวาย โดยรัฐบาลไทย-เมียนมาร์ จะเพิ่มงานก่อสร้างให้ ITD ระยะเวลา 16 ปี มูลค่า 1.55 ล้านล้านบาท คาดว่าเฟส 1 จะทำเป็นนิคมอุตสาหกรรมจำนวน 20,000 ไร่ โดย ITD จะร่วมมือกับ บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ หรือ ROJNA 2.โครงการสัมปทานท่าเรือน้ำลึก และระบบทางรถไฟในประเทศโมซัมบิก ซึ่งบริษัทได้รับสัมปทานเต็มเฟส 8 ปี มูลค่า 240,000 ล้านบาท
3.โครงการลงทุนในเหมืองโปแตส จังหวัดอุดรธานี มูลค่าโครงการ 35,000 ล้านบาท 4.โครงการเหมือง Bauxite ประเทศลาว มูลค่า 30,000 ล้านบาท 5.โครงการทางด่วนยกระดับ Dhaka ประเทศบังคลาเทศ มูลค่าโครงการ 38,000 ล้านบาท โครงการที่เล่าไป ITD จะเป็นทั้งผู้ถือหุ้นและผู้ดำเนินการก่อสร้าง ขณะเดียวกันบริษัทยังได้งานก่อสร้างของรัฐบาลอีกหลายงาน เช่น โครงการน้ำและโครงการ 2 ล้านล้านบาท
"จากการส่องพื้นฐานหุ้น ITD เชื่อว่าไม่เกิน 2 ปี ราคาอาจขึ้นไปแตะ 15 บาท นี่เป็นความเชื่อส่วนตัวของผมนะ ตลอดชีวิตการลงทุน ผมขาดทุนหุ้นมาก็เยอะ แต่ด้วยความที่ปล่อยของไว ทำให้ไม่ค่อยเจ็บหนัก ปกติจะวาง "จุดตัดขาดทุน" ไว้ที่ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนใหญ่รอไม่ถึงก็ไปแล้ว"
ระหว่างทยอยซื้อหุ้นหลักเล่นหุ้นเก็งกำไรควบคู่ด้วยหรือไม่? เขาตอบว่า แน่นอน หุ้นเก็งกำไรแม้ไม่ได้รักแต่ต้องเล่นเพื่อฝึกสมอง ส่วนใหญ่จะเล่นเป็นรอบๆ พร้อมเปิดไอแพดโชว์หุ้นในมือให้ดู ตอนนี้ก็เล่นอยู่หลายตัว เช่น หุ้น รถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BMCL หุ้น อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ ANAN และหุ้น เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง หรือ GEL เป็นต้น
เล่นหุ้นเก็งกำไร แค่ต้องการหาค่ากับข้าว บางครั้งการเดินตามรอยผู้ใหญ่แล้วดี ก็ควรทำไม่ใช่หรือ นักลงทุนรายใหญ่บางรายกว่าจะประสบความสำเร็จหลายคนก็เล่นหุ้นเก็งกำไรมาทั้งนั้น วันนี้หากจะวัดเบอร์กระดูกของผมกับรายใหญ่คงเทียบกันไม่ได้ แต่เราสามารถเดินตามคนเก่งๆ ได้ ตั้งแต่ถือหุ้นยาวๆ ใจเริ่มนิ่งมากขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนซื้อหุ้นเยอะๆ ทุกคืนนอนไม่เคยหลับ
ปัจจุบันยังไม่ได้เล็งจะช้อนหุ้นตัวไหนเพิ่มเติม เพราะหุ้นหลายตัวในตลาดแพงมากแล้ว แต่ล่าสุดเพิ่งลงทุนใน บริษัท ไทย เนชั่นแนล โปรดัคท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บมจ.ริช เอเชีย สตีล หรือ RICH ร่วมกับนักลงทุนอีก 2 ราย (ดร.พศิน สืบทรัพย์อนันต์ และ เดือนดารา ลิ้มธนากุล) ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 30 บาท (พาร์ 10 บาท)
ส่วนตัวจะถือหุ้นประมาณ 6 ล้านหุ้น จากหุ้นทั้งหมด 18 ล้านหุ้น โดยบริษัทย่อยดังกล่าวมีแผนจะแตกพาร์เหลือ 1 บาท และอาจเตรียมเข้าตลาดหุ้นกลางปี 2558 ดีลนี้ "พี่ยักษ์" เป็นคนแนะนำ หลังแกเข้าไปลงทุนในหุ้น RICH ราคา 0.30 บาท การลงทุนลักษณะนี้ให้ผลตอบแทนที่ดี ฉะนั้นหากมีดีลดีๆ ก็คงเข้าไปลงทุนเพิ่มเติม
ถามถึงกลยุทธ์การเลือกหุ้น เขา เล่าว่า ข้อแรก ลงทุนในหุ้นเทิร์นอะราวด์ ข้อสอง ลงทุนในหุ้นที่มีสตอรี่ ข้อสาม ถามตัวเองก่อนว่า ชอบหุ้นแบบไหน ส่วนตัวไม่ชอบเล่นหุ้นปั่น หรือหุ้นซิ่ง ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่นักลงทุนวีไอ เพราะชอบเล่นเป็นรอบๆ ระยะเวลาของรอบเฉลี่ยประมาณ 2-3 ปี วิธีการหาหุ้นด้วยเทคนิเคิล ส่วนใหญ่จะเน้นดูกราฟ DAY ด้วยการอาศัยสัญญาณ MACD และ Modified Stochastic คิดง่ายๆ "เข้าด้วยเครื่องมืออะไร จงออกด้วยเครื่องมือนั้น"
ส่วนตัวไม่เคยวางเป้าหมายเรื่องตัวเลขของพอร์ตว่า อนาคตต้องขึ้นไปยืนระดับใด ทุกวันนี้ถือว่ามีเงินใช้พอเพียงแล้ว แต่จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่ได้จากตลาดหุ้นมากกว่า ตลอดระยะเวลา 20 ปี ตลาดหุ้นทำให้รู้จักคุณค่าของเงิน เขาย้ำนักลงทุนเก่งๆ ส่วนใหญ่จะประหยัดกันทั้งนั้น อย่างตัวเราเองเคยจนมาก่อน ยิ่งทำให้ต้องใช้เงินอย่างรู้คุณค่า กว่าจะมีวันนี้ได้เราต้อง "ขยัน กล้า บ้า อึด"
"ห้องนอน คือ ห้องเทรดหุ้นของนักลงทุน FULL TIME นามว่า "ปิง" แม้วันนี้จะมีห้อง VIP ส่วนตัวอยู่ที่บล.เอเชีย เวลท์, บล.พัฒนสิน และบล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) แต่ก็ไม่ชอบไป ส่วนใหญ่จะใช้เวลาดูหุ้นตั้งแต่ตลาดเปิดจนถึงบ่ายสามโมง เพราะหลังจากนั้นต้องไปทำหน้าที่พ่อ รับลูก 2 คน ที่โรงเรียน"
"ฐิติ" ทิ้งท้ายบทสนทนาที่ยาวนานเกือบ 5 ชั่วโมงว่า "ตั้งแต่รู้จัก "พี่ยักษ์" มา 7 ปี นอกจากจะได้มุมมองเรื่องการลงทุน และความมั่นใจในการลงทุนแล้ว แกยังสอนเรื่องการใช้ชีวิตด้วย ทุกวันนี้ "พี่ยักษ์" เปรียบเหมือนพ่อคนที่สองของผมก็ว่าได้ เพราะแกให้ทั้งโอกาส และความรู้"
"นักลงทุนที่เก่งสุดในชีวิตของผม คือ "แม่" ท่านลงทุน เพื่อการศึกษาของลูก โดยที่ไม่เคยได้อะไรกลับคืนมา"
'กลยุทธ์การเลือกหุ้นข้อแรกเน้นหุ้นเทิร์นอะราวด์ข้อสองเน้นหุ้นมีสตอรี่ข้อสามถามตัวเองว่าชอบหุ้นแบบไหน'--จบ--

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
โพสต์โพสต์