อภินิหารเงินปันผล 'ร้อยล้าน''นเรศ งามอภิชน'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, September 29, 2014 06:29
ชาลินี กุลแพทย์
สำรวจ ความสวย หุ้น 10 ตัว ประจำพอร์ต นเรศ งามอภิชน ดีกรีเซียนหุ้นพันล้าน รักมากยกให้ ธุรกิจสื่อนอกบ้าน พร้อมแชร์ไอเดีย 2 หุ้นน่าซื้อ ความลับนี้มีที่ Biz Week แห่งเดียว
2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กรุงเทพธุรกิจ Biz Week ได้ถ่ายทอดความเป็นตัวตนของ นเรศ งามอภิชน เซียนหุ้นพันล้าน เจ้าของห้อง VIP หมายเลข 212 ประจำโบรกเกอร์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ชนิดคำต่อคำเท่าที่เจ้าของตัวจะเปิดเผยได้
นเรศ เป็นเพื่อนนักลงทุนรุ่นเดียวกับ เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล และ เสี่ยยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์ รู้จักกันมาตั้งแต่ลูกๆยังเรียนอยู่เพียงชั้นอนุบาล แม้จะมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นั่งกินข้าวเที่ยงบนชั้น 21 ด้วยกันเกือบทุกวัน แต่กูรูทั้ง 3 คน หาได้กอดคอซื้อหุ้นตัวเดียวกันไม่
วันนี้มีหุ้นอยู่ในมือกี่ตัว ชายวัยย่าง 56 ปี บอกกับ กรุงเทพธุรกิจ Biz Week ว่า น่าจะประมาณ 10 กว่าตัว แอ็คทีฟทุกตัว ไล่มาตั้งแต่ หุ้น วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย หรือ VGI ประมาณ 84 ล้านหุ้น หุ้นตัวนี้มีอนาคต เพราะธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 10 เปอร์เซ็นต์
ตัวต่อไปคือ หุ้น มาสเตอร์ แอด หรือ MACO ผู้ให้บริการสื่อโฆษณานอกบ้าน และรับจ้างผลิตงานสื่อป้ายโฆษณา ปัจจุบันถือหุ้นอันดับ 2 จำนวน 24,200,000 หุ้น คิดเป็น 8.04 เปอร์เซ็นต์ รองจากบมจ.วีจีไอ โกลบอล มีเดีย ที่ถือหุ้นอยู่จำนวน 74,900,000 หุ้น คิดเป็น 24.89 เปอร์เซ็นต์
เพิ่งซื้อหุ้น MACO เมื่อต้นปี 2557 ต้นทุนเฉลี่ย 12-15 บาท ปัจจุบันซื้อขายเฉลี่ย 18 บาท ผมเริ่มซื้อหุ้น MACO หลังกลับจากพบ นพดล ตัณศลารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ MACO ธุรกิจของ MACO กับของ VGI แตกต่างกันตรงที่ MACO เชี่ยวชาญโฆษณาบิลบอร์ด
ด้วยความที่บริษัทแห่งนี้ที่มีมาร์เก็ตแคปเล็กมาก เขาหันไปดีดเครื่องคิดเลข ก่อนตอบว่าปัจจุบันมาร์เก็ตแคปน่าจะยืนเฉลี่ย 5,000 ล้านบาท ฉะนั้นภายใน 1-2 ปีข้างหน้า มีโอกาสเห็นมาร์เก็ตแคปทะยานสู่หลัก 10,000 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการอาจเติบโตเฉลี่ยปีละ 20-30 เปอร์เซ็นต์
เขา กล่าวชื่นชม นพดล ว่า ผู้ชายคนนี้เก่ง ดังนั้นเป้าหมายมาร์เก็ตแคป และการผลักดันผลประกอบการ ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ ที่ผ่านมา นพดล ไม่ค่อยชอบพบนักวิเคราะห์เท่าไหร่ แต่เมื่อเข้าไปพูดคุยด้วยจึงทำให้รู้ว่า เขาไม่ธรรมดาในเรื่องการทำธุรกิจ แม้จะจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ก็มีความรู้ในการบริหารสื่อโฆษณานอกบ้านเป็นอย่างดี ถือเป็นผู้มีความชำนาญคนหนึ่ง
ช่วงที่เข้าไปพบ นพดล ถือโอกาสแนะนำเพิ่มเติมว่า บริษัทควรจัดประชุมนักวิเคราะห์ทุกครั้งที่ประกาศงบการเงิน และหากนักวิเคราะห์ต้องการขอพบควรจัดเวลาให้นักวิเคราะห์สามารถเข้าถึงข้อมูล บริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์มา 10 กว่าปี เดิมทีหุ้นไม่เคยได้รับความสนใจเลย เพราะผู้บริหารมุ่งแต่ทำงาน เมื่อคุยจบแล้ว นพดล มีท่าทีตอบรับ
วันนี้ราคาหุ้น MACO ยืนระดับเฉลี่ย 18 บาท ออกแนวตึงๆแล้ว แต่ถ้าอนาคตบริษัททำงานจนออกดอกออกผล ราคานี้จะถูกมาก ผมคงถือลงทุนไปเรื่อยๆ จนกว่าบริษัทจะหยุดพัฒนาการ โดยปกติผมไม่มีจุดตัดขาดทุน เพราะถือมานานได้กำไรมาระดับหนึ่งจนไม่จำเป็นต้องมีแล้ว
ขาใหญ่วีไอ เล่าถึงหุ้นตัวที่ 3 ต่อว่า ถือ หุ้น ยูนิเวนเจอร์ หรือ UV ต้นทุน 3 บาท มานาน 2-3 ปีแล้ว ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุน 27,000,000 หุ้น คิดเป็น 1.41 เปอร์เซ็นต์ ด้วยความที่บริษัทแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ฉะนั้นเจ้าสัวย่อมใส่ที่ดินแปลงสวยๆให้กับ UV ซึ่งมีลูกชาย 2 คน ฐาปน-ปณต สิริวัฒนภักดี นั่งบริหารอยู่
แม้ UV จะจ่ายเงินปันผลไม่ค่อยดี แต่ก็จ่ายสม่ำเสมอ ที่สำคัญมองว่า UV คือ หุ้นเติบโต ครั้งหนึ่งเคยขึ้นไปสูงถึง 18 บาท สูงขนาดนั้นยังไม่ยอมขายเลย รู้สึกเสียดายเหมือนกัน เมื่อก่อนเคยเข้าไปพบผู้บริหารคนเก่า ซึ่งเขาก็เล่าเรื่องแผนธุรกิจต่างๆให้ฟัง การที่บริษัทมีลูกเจ้าของดูแลอยู่พ่อย่อมใส่ใจเป็นธรรมดา
ตัวต่อไป คือ หุ้น ทีพีไอ โพลีน หรือ TPIPL พูดถึงหุ้นตัวนี้แล้วราคาถูกเหลือเชื่อ!! วันนี้ราคาหุ้นซื้อขายเฉลี่ย 18.90 บาท ขณะที่มูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้นอยู่ระดับ 28.65 บาท พูดง่ายๆว่า ราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊คแวลูครึ่งหนึ่ง ปัจจุบันถือหุ้น TPIPL จำนวน 15 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.74 เปอร์เซ็นต์
ผมพยายามขอเข้าพบ ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ยอมรับว่านัดยากมาก แต่มีวันหนึ่ง ประชัย และภรรยา อรพิน ให้ลูกน้องโทรมานัดเวลากับผม ไม่รู้ท่านไปอารมณ์ดีมาจากไหน วันนั้นทั้งสองคนเลี้ยงน้ำขนมอย่างดีกับผม อรพิน ยังชวนให้ชิมขนม แต่ด้วยความที่ต้องใช้สมาธิในการพูดคุยสูง ทำให้ชิมขนมได้นิดหน่อยเท่านั้น
ตอนนั้น ประชัย เล่าว่า โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนและขยะ กำลังการผลิต 90 เมกะวัตต์ จะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1 ปี 2558 ซึ่งจะทำให้โรงไฟฟ้าของบริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 45 เมกะวัตต์ เป็น 135 เมกะวตต์
ขณะเดียวกันโรงปูนซีเมนต์แห่งที่ 4 จังหวัดสระบุรี ก็จะแล้วเสร็จเช่นกัน ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้นเป็น 13.5 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทำให้ TPIPL ขึ้นแท่นโรงปูนซีเมนต์ที่มีกำลังการผลิตเป็นอันดับ 2 รองจากบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC ถือเป็นการเบียดบมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง หรือ SCCC ลงไปอยู่อันดับ 3
เวลาฟังคนอื่นพูดถึง ประชัย เราจะรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง แต่เมื่อไปพบแล้วพูดคุยเรื่องธุรกิจ ประชัย คือ คนฉลาด ขยัน ทุ่มเท และมีความสุขในการทำงาน แกทำงานทุกวันตั้งแต่เช้ายันค่ำมืด แม้กระทั่งวันหยุดก็ยังทำงาน ทั้งๆที่แกอายุ 70 ปีแล้ว
ในสายตาของผม ประชัย คือ คนดีคนหนึ่ง
ผมไม่ได้คุยเรื่องคดีฟ้องร้องกับบมจ.ไออาร์พีซี หรือ IRPC กับ ประชัย แต่สอบถามเรื่องนี้กับมือการเงิน เขาบอกว่า ตราบใดยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ TPIPLจะสู้ต่อไป แต่ถ้าศาลตัดสินใจว่า บริษัทแพ้คดีแล้วบริษัทจะไม่ยื้อ ยึดคติ น้ำใจนักกีฬา เมื่อคุยกับเจ้าของ TPIPL เสร็จ ก็ซื้อหุ้นเพิ่มอีกจำนวนมาก ทุกครั้งที่ราคาลงก็ทยอยเก็บตลอด
เขา เล่าถึงหุ้นในพอร์ตตัวที่ 5 ต่อว่า ล่าสุดเพิ่งซื้อ หุ้น ซุปเปอร์บล๊อก หรือ SUPER ตอนนี้ถือลงทุนอยู่ 21 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.25 เปอร์เซ็นต์ สนใจหุ้นตัวนี้ เพราะเชื่อว่าธุรกิจใหม่อย่างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าฟาร์ม) ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่าง SUPER กับบมจ.เด็มโก้ หรือ DEMCO จะทำให้บริษัทมีอนาคตที่ดี
เมื่อก่อนผมเคยถือหุ้น DEMCO ทำให้รู้ว่า ประเดช กิตติอิสรานนท์ ที่ถือหุ้น DEMCO 4.65 เปอร์เซ็นต์ และถือหุ้น SUPER 9.10 เปอร์เซ็นต์ เขาเชี่ยวชาญเรื่องพลังงานทดแทน ขณะที่ตระกูลโลจายะอดีตผู้ถือหุ้นรายใหญ่ SUPER เขามีคอนเน็คชั่นที่ดี เมื่อสองคนรวมมือกันธุรกิจไปได้แน่นอน
ได้หุ้น SUPER ยกล็อตมาจากใคร? เขาตอบคำถามนี้ว่า ติดต่อขอซื้อหุ้นผ่าน จอมทรัพย์ โลจายะ ที่วันนี้ถือหุ้น SUPER ประมาณ 6.85 เปอร์เซ็นต์ โดย จอมทรัพย์ เป็นคนรวบรวมหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมมาให้ ซึ่งผมไม่รู้ว่ามาจากใครบ้าง ต้นทุนหุ้นตัวนี่เฉลี่ย 8.80 บาท สุดท้ายผมได้ทั้งหุ้นเพิ่มทุนและวอร์แรนต์
คุณอะไรกับ จอมทรัพย์ บ้าง ตอนนั้นแกบอกว่า โครงการโซลาร์ฟาร์มในจังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 400 เมกะวัตต์ จะทยอยเสร็จในปี 2557 ประมาณ 100 เมกะวัตต์ ปี 2558 ประมาณ 250 เมกะวัตต์ และปี 2559 จะเดินเครื่องเต็ม 400 เมกะวัตต์
จอมทรัพย์ ยังเล่าอีกว่า ขั้นตอนการสร้างโซลาร์ฟาร์มของบริษัทจะมีประสิทธิภาพกว่าของผู้ประกอบการรายอื่น สมมุติ โรงงานคนอื่นสามารถอยู่ได้ 10 ปี แต่ของบริษัทจะอยู่ได้นานกว่าเท่าตัว ตอนนั้นแกบอกว่า อีกไม่นานหุ้น SUPER คงย้ายจากหมวดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างวัสดุก่อสร้างไปซื้อขายในหมวดพลังงาน หลังบริษัทขายธุรกิจเก่าให้บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวงไปแล้ว
ตัวต่อไป คือ หุ้น ไซแมท เทคโนโลยี หรือ SIMAT จริงๆไม่ได้ลงรายละเอียดกับหุ้นตัวนี้มากนัก มีโอกาสคุยกับเจ้าของ ทองคำ มานะศิลปพันธ์แค่ครั้งสองครั้ง แต่บังเอิญน้องนักวิเคราะห์คนสนิทประจำบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เขาชอบหุ้นตัวนี้ น้องบอกว่า หากบริษัทวางระบบโครงข่ายใยแก้วนำแสงแล้วเสร็จ ผลประกอบการคงโตกว่านี้มาก นักวิเคราะห์ให้ราคาเป้าหมายสูงถึง 10 บาท
พอดีผู้ถือหุ้นสัญชาติมาเลเซีย เขาขายหุ้น SIMAT ออกมา ผมเลยเข้าไปรับมา 5 ล้านหุ้น ต้นทุน 4 บาท ดูจากผลงานที่ผ่านมาของนักวิเคราะห์ทำให้พอเชื่อถือได้ว่า หุ้นตัวนี้อนาคตจะดี
ส่วนหุ้นที่เหลืออีก 4 ตัว ส่วนใหญ่ถือลงทุนไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ เช่น หุ้น สามารถคอร์ปอเรชั่น หรือ SAMART และหุ้น สามารถ ไอ-โมบาย หรือ SIM ส่วนตัวรู้จักเจ้าของบริษัท วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ มานานเป็นสิบปีแล้ว สมัยก่อนผมเข้าไปนั่งร่วมฟังข้อมูลกับนักวิเคราะห์บ่อยๆ
วัฒน์ชัย เป็นคนคล่องตัวมาก แถมมีสายสัมพันธ์ดีเยี่ยม เรียกว่า เข้าได้กับทุกคน แต่จุดตำหนิของเขา คือ ทำอะไรเยอะเกินไปออกแนวเป็นคนไฮเปอร์ แต่ช่วงหลังๆ ดูเขานิ่งมากขึ้น หลังมีโอกาสทานข้าวด้วยกันเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ดูเขาไม่วุ่นวายเหมือนก่อน เขาเริ่มจับจุดสำคัญๆได้แล้ว
ตอนนั้นผมบอก วัฒน์ชัยไปว่า บ้างครั้งทำอะไรเยอะเกินไป อาจทำให้บริษัทไม่ได้รับมูลค่ามากมาย แต่ถ้าทำอะไรแบบเน้นๆอาจได้รับมูลค่าที่ดีกว่า เมื่อเห็นเขานิ่งมากขึ้นจึงตัดสินใจซื้อหุ้น SAMART เพิ่มอีก 7-8 ล้านหุ้น ต้นทุน 19 บาท
ถามว่าเจ้าของกลุ่มสามารถฯเล่าอะไรให้ฟังบ้าง แกมีแนวคิดจะให้บริษัทย่อยนามว่า เทด้า ผู้ประกอบธุรกิจด้านงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้า ก่อสร้างสายส่งและสายจำหน่ายไฟฟ้า รวมทั้งติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล เข้าไปเทคโอเวอร์โรงไฟฟ้าถ่านหินที่เปิดดำเนินการไปแล้วในราคาถูกมาก
แผนงานนี้ไม่ได้ทำให้ผมทุ่มน้ำหนักการลงทุนมเ พราะมันไม่ใช่งานถนัดของเขา ตอนนั้นถือโอกาสบอกเขาไปว่า คุณต้องดูดีๆนะ แต่การที่ธุรกิจของ SIM ดีขึ้นมากต่างหากที่ทำให้ผมตัดสินใจซื้อทั้งแม่ทั้งลูก ตอนนั้นซื้อหุ้น SIM ไป 15 ล้านหุ้น ราคา 2 บาทปลายๆ
ส่วนหุ้น 2 ตัวสุดท้าย ปกติเน้นเล่นสั้นๆ เช่น หุ้น จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ JAS และห้น พี.ซี.เอส.แมชีน กรุ๊ปโฮลดิ้ง หรือ PCSGH อย่างหุ้น JAS เน้นเล่นเก็งกำไรอย่างเดียว เพราะ พิญช์ ไม่ค่อยยอมพบนักลงทุน
สำหรับหุ้น PCSGH ผู้ประกอบการผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ ได้หุ้นไอพีโอราคา 8.60 บาท มาส่วนหนึ่ง ก่อนมาไล่เก็บเพิ่มในกระดานอีก 20 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 8 บาท ทุกครั้งที่ราคาต่ำจองก็ทยอยช้อนอีก แต่เพิ่งขายทำกำไรตอน 10 บาท ปัจจุบันเหลือหุ้นไม่เยอะแล้ว โดยกระจายอยู่ตามชื่อของคนในครอบครัว กลยุทธ์สำหรับหุ้นตัวนี้ คือ ลงซื้อเพิ่ม ขึ้นขายทำกำไร เพื่อมาซื้อในต้นทุนที่ต่ำกว่าเดิม
ผมมีโอกาสคุยกับเจ้าของ เขาเป็นคนเก่งมาก ล่าสุดญี่ปุ่นมาขอซื้อเครื่องมือในการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่บริษัทเป็นผู้คิดค้นเอง วันนี้อุตสาหกรรมรถยนต์ไม่ค่อยดี ฉะนั้นราคาหุ้นคงลงให้เราได้เก็บอีกแน่นอน
เซียนหุ้นพันล้าน เล่าว่า หุ้นทั้ง 10 ตัว สามารถสร้างผลตอบแทนในแง่ของเงินปันผลแล้ว หลักสิบล้านบาท เพราะถือลงทุนมาเป็นปีแล้ว ขณะเดียวกันผมยังเสียภาษีเงินปันผลให้รัฐบาลหลายล้านบาทด้วย (ยิ้ม) สาเหตุที่ได้เงินปันผลสูง เกิดจากการศึกษารายละเอียดของหุ้นแต่ละตัวมาอย่างดี
ถามว่าหากรวมผลตอบแทนจากราคาหุ้นจะมีตัวเลขอยู่ระดับใด เขาบอกว่า ตลอด 6 ปี ที่ซื้อขายอยู่ในบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง พอร์ตเติบโตตลอด เรียกว่าสูงกว่าเป้าหมายที่ต้องการให้ขยายตัวปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ เหตุที่ทำให้พอร์ตขยายตัวมากกว่าเป้าหมาย เกิดจากภาวะตลาดหุ้นดี และการได้พูดคุยกับผู้บริหารระดับสูง ที่สำคัญเวลาซื้อหุ้นล็อตใหญ่ๆจะได้รับราคาดิลเคาท์ประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์
สื่อนอกบ้าน หุ้นดีน่าซื้อ
เล็งจะซื้อหุ้นตัวไหนเพิ่มเติมหรือไม่? นเรศตอบคำถามนี้ว่า ด้วยความที่ชอบธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านมาก เขาย้ำ ทำให้ยื่นความจำนงขอซื้อหุ้นเพิ่มทุน บมจ.ตงฮั้ว คอมมูนิเคชั่นส์ หรือ TH จำนวน 100 ล้านหุ้น ราคา 1.43 บาทต่อหุ้น จากหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมดที่บริษัทจะจำหน่าย 1,705 ล้านหุ้น บริษัทรับเอกสารไปแล้วเกือบ 1 เดือน คงต้องรอนำเรื่องผ่านที่ประชุมผู้ถือหุ้นก่อน
ก่อนแสดงความสนใจมีโอกาสได้คุยกับ ฐิติศักดิ์ สกุลครู รักษาการกรรมการผู้อำนวยการ ตงฮั้ว คอมมูนิเคชั่นส์ เขายื่นนามบัตรให้ดู ตอนนั้นบริษัทกำลังทำดีวดิลิเจนท์แผนธุรกิจใหม่อยู่พอดี ส่วนตัวเชื่อว่า VGI จะทำให้ต้นทุนของตงฮั้วลดลง สำหรับที่มาของ ชื่อ วี พาร์ท เนอร์ส คือ เป็นพาร์ทเนอร์ของ VGI หลังกระบวนการเพิ่มทุนแล้วเสร็จ VIG จะถือหุ้น VP เกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผมจะถือประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์
หุ้น IPO อีกตัวที่น่าสนใจ ซึ่งกำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงไตรมาส 4/2557คือ บมจ.แพลน บี มีเดีย หรือ PLANB ผู้ให้บริการและรับจ้างผลิตสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย สื่อโฆษณาบนระบบขนส่งมวลชน สื่อโฆษณากลางแจ้ง และสื่อโฆษณาภายในห้างสรรพสินค้า
ล่าสุดได้แสดงความจำนงผ่าน พิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินหุ้น PLANB ไปแล้วว่า อยากได้หุ้นตัวนี้มาก บริษัทจะให้เป็นหุ้นไอพีโอ หรือนำหุ้นในส่วนของผู้ถือหุ้นเดิมมาขายให้ก็รับหมด ผมต้องการหุ้น PLANB มากที่สุดเท่าที่บริษัทจะให้ได้
บริษัทนี้มีขนาดใหญ่พอๆกับ VGI บล.บัวหลวงบอกว่า จะนัดให้เจอผู้บริหาร หลังแบบแสดงรายการข้อมูล หรือ Filing ผ่านแล้ว เท่าที่รู้บริษัทแห่งนี้นั่งบริหารโดยนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง นามว่า บี อายุ 30 กว่าๆ เริ่มธุรกิจตั้งแต่อายุ 20 กว่าเท่านั้น
ผมเป็นลูกค้าเครดิตดีของบล.บัวหลวง บล.กสิกรไทย และบล.ไทยพาณิชย์ แม้พอร์ตจะไม่ค่อยแอ็คทีฟ แต่เขาก็ไม่เคยขอให้ไปใช้บริการ แถมยังจัดสรรหุ้นไอพีโอให้ตามที่ขอ ผู้บริหารโบรกเกอร์รู้จักนิสัยผมเป็นอย่างดี เขารู้ว่าหากให้หุ้นผมมาแล้วจะเกิดประโยชน์ต่อเจ้ากิจการมากแค่ไหน ที่สำคัญเขารู้พฤติกรรมการลงทุนของผมว่า ถ้าได้มาแล้วจะเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ไม่เคยทิ้งๆขว้างๆ เวลาจะขายหุ้นถ้าได้คุยกับเจ้าของแล้วจะขายอย่างระมัดระวัง
ทักษะการลงทุนของ นเรศ คือ ขายหุ้นเป็น ขายแล้วหุ้นไม่ช้ำไม่ตก วิธีการ คือ เวลา ตลาดดีๆจะค่อยๆปล่อยของออก ไม่ได้ขายในออเดอร์ใหญ่ๆ ถ้าตลาดดีมากๆ แรงซื้อเยอะๆ จะขายมากหน่อย ถ้าแรงซื้อไม่เยอะจะขายน้อย วันไหนตลาดหุ้นคึกคักอาจขายมากถึง 3-5 ล้านหุ้น การลงทุนแบบนี้จะทำให้เจ้าของเชื่อใจผม
เวลาจะไปขอซื้อหุ้นจากบริษัทต่างๆมักบอกเจ้าของก่อนว่า ผมชอบหุ้นเขามาก และจะหาจังหวะซื้อในกระดาน ฉะนั้นหากผู้ถือหุ้นเดิมคนใดมีความประสงค์จะขายให้นำมาขายตรงที่ผมได้เลย ทุกครั้งที่ผมไปติดต่อขอซื้อหุ้นเขาเปิดประตูต้อนรับตลอด อย่างน้อยเขาก็รู้แล้วว่าพฤติกรรมการลงทุนของชายชื่อ นเรศ เป็นอย่างไร ไม่เคยมีใครตั้งแง่กับผม
นเรศ นิยามการลงทุนของตัวเองเป็นแบบ นักลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะตัว ด้วยความที่อยู่ในตลาดหุ้นนาน ทำให้มองอะไรออก บางครั้งกระจ่างกว่านักลงทุนหรือผู้บริหารบางคน หลายเรื่องที่เกิดในตลาดหุ้น ผมมีโอกาสเข้าไปช่วยแก้ไข
ยกตัวอย่าง สมัย ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นเลขาธิการ ก.ล.ต.ในปี 2542 ทางการต้องการให้เกิดค่าคอมมิชชั่นเสรี ตอนนั้นรู้สึกแปลกใจมาก ผู้บริหารโบรกเกอร์หลายแห่งที่มีแต่คนเก่งๆ ทำไมไม่มีใครเข้าไปให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับ ดร.ประสาร เพราะบางด้านดอกเตอร์อาจมองไม่เห็น สุดท้ายผมนั่งรอจนใกล้วันประกาศใช้มาตรการจึงตัดสินใจโทรเข้าไปขอพบดอกเตอร์
ตอนนั้น ดร.ประสาร มาพร้อมทีมใหญ่นั่งกันเต็มโซฟา ผมบอกแกว่า เรื่องนี้ไม่ได้กระทบเฉพาะโบรกเกอร์และนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังกระทบในวงกว้าง หมายความว่า นอกจากโบรกเกอร์จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนซื้อขายแล้ว โบรกเกอร์ยังเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ แถมยังมีพอร์ตลงทุนสูงถึง 4,000-5,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันทุกครั้งที่โบรกเกอร์ได้ค่าคอมมิวชั่นจากนักลงทุนรัฐบาลเองก็จะได้รับส่วนต่าง 7 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นถ้าเปิดเสรีเมื่อไหร่ ตลาดหุ้นจะปั่นป่วน และจะเกิดการแข่งขันชนิดไม่มีรูปแบบแน่นอน
ตอนนั้นท่านตอบว่า มันใกล้วันจะประกาศใช้มาตรการแล้ว ผลปรากฏว่า วันใช้จริงตลาดหุ้นป่วนมาก บางโบรกเกอร์ประกาศเทรดหุ้นฟรี ทำให้ช่วงนั้นวงการโบรกเกอร์แย่มาก เรียกว่า เป็นกลียุคของตลาดหุ้นก็ว่าได้ สุดท้ายทางการประกาศยกเลิกมาตรการนี้ หลังประกาศใช้มาเกือบเดือน
ผมแตกต่างจากนักลงทุนบางคนที่สามารถมองภาพอนาคตในบางเรื่องออก แต่หากแนะนำไปแล้วเขาจะทำหรือไม่ ผมจะไม่เข้าไปติดตามผล แต่พอจะอ่านจากปฏิกิริยาของเขาได้ว่า มีแนวโน้มจะทำหรือไม่
แม้เรื่องราวการลงทุนของ นเรศ จะเดินทางมาถึงตอนสุดท้าย แต่บิสวีคเชื่อว่า ยังมีเรื่องราวการลงทุนที่ ชายผู้มีทักษะการพูดชั้นเลิศ ยังไม่มีโอกาสถ่ายทอดให้ฟังอีกเพียบ--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
อภินิหารเงินปันผล 'ร้อยล้าน''นเรศ งามอภิชน'
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1