ปลูกหุ้นกินผล
-
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 31
ยอดเยี่ยมครับ เดี๋ยวตอนเลี้ยงรุ่นตอนอายุ 60 แล้วค่อยเปิดเผยเงินออมที่เพื่อนยังไม่รู้ สงสัยเพื่อนๆหงายหลังกันหมดแน่เลยครับ แล้วชีวิตหลังจากนั้นคุณกับเพื่อนคงแตกต่างกันมากนะครับ เอาใจช่วยกับวินัยที่ยอดเยี่ยมนะครับ (แต่ถ้าพอจะพูดคุยกับเพื่อนๆได้ ก็ช่วยชี้วิธีวางแผนการเงินให้เพื่อนๆก็จะดีมากนะครับ)
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 33
เห็นด้วยและดีมากๆ ครับคุณลูกหินลูกหิน เขียน:ยอดเยี่ยมครับ เดี๋ยวตอนเลี้ยงรุ่นตอนอายุ 60 แล้วค่อยเปิดเผยเงินออมที่เพื่อนยังไม่รู้ สงสัยเพื่อนๆหงายหลังกันหมดแน่เลยครับ แล้วชีวิตหลังจากนั้นคุณกับเพื่อนคงแตกต่างกันมากนะครับ เอาใจช่วยกับวินัยที่ยอดเยี่ยมนะครับ
(แต่ถ้าพอจะพูดคุยกับเพื่อนๆได้ ก็ช่วยชี้วิธีวางแผนการเงินให้เพื่อนๆก็จะดีมากนะครับ)
ส่วนเงินออมจะมากจะน้อยกว่าใครก็ไม่เป็นไรครับ ขอให้เพียงพอและเป็นไปตามที่เราได้วางไว้ก็ดีแล้วครับ
เพราะหากนำไปเปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้แล้วเกรงว่าจะมีทุกข์มากกว่าสุขนะครับ ^_^
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 34
คุณ miracle ชอบพูดให้คิดและฉุกคิดตลอดเลยครับ ^_^miracle เขียน:ปลูกหุ้นกินผล
ถ้าหากหุ้นที่ปลูกกินผล นั้นไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มันก็น่าคิดหนักว่า ถือต่อไปหรือ ยอมให้บุคคลที่ทำ Tender ไปดีหนอ
อันนี้น่าคิดมากมาย
ปลูกหุ้นกินผล สำหรับผมไม่ได้หมายถึงแง่การลงทุนหุ้นอย่างเดียว ยังหมายรวมถึงการดำเนินชีวิตของเราด้วยเช่น
หาก หุ้น ในที่นี้หมายถึง หุ้นส่วนชีวิต (ภรรยา ที่จดหรือไม่จดทะเบียนก็ตาม ^_*) หากผลตอบแทนคือความสุขและความสบายใจที่ได้อยู่ด้วยกัน เราก็ไม่จำเป็นต้องขายหุ้นแล้วไปหาหุ้นตัวใหม่ แม้ราคาจะน่าสนใจหรือเร้าใจก็ตาม
หาก หุ้น ในที่นี้หมายถึง ลูก หากผลตอบแทนคือการที่เขาเติบโตแล้วเป็นคนดี กตัญญูรู้คุณ และมีประโยชน์ต่อสังคม เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องถือหุ้นไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่กลับยินดีที่จะเห็นหุ้นตัวนี้มีประโยชน์ต่อสังคมด้วยเช่นกัน
เป็นต้นนะครับ
พาคุณ miracle ออกนอกเรื่องเลย อิอิ
ไม่ค่อยเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นจริงเท่าไหร่
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2748
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 35
ถ้าเจ้าของและผู้บริหารบริษัทเป็นคนที่ผมไว้ใจ ผมก็คงจะวางใจได้ว่าจะไม่ถูกเอาเปรียบ และคงถือต่อไปครับ เหมือนกับถือหุ้นในบริษัทของเพื่อนที่ไว้ใจแต่อยู่นอกตลาด แบบนี้สภาพคล่องไม่ใช่ปัญหาเลยครับmiracle เขียน:ปลูกหุ้นกินผล
ถ้าหากหุ้นที่ปลูกกินผล นั้นไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มันก็น่าคิดหนักว่า ถือต่อไปหรือ ยอมให้บุคคลที่ทำ Tender ไปดีหนอ
อันนี้น่าคิดมากมาย
แต่ถ้าเจ้าของเป็นใครก็ไม่รู้ที่ไม่เคยเห็นหัวเรา และผู้บริหารก็เป็นคนที่เจ้าของเขาเลือกมาอีกที แบบนี้เหมือนฝากปลาย่างไว้กับแมว ผมคงไม่กล้าครับ
Vi IMrovised
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 36
สวัสดีครับคุณ Vim และเห็นด้วยกับคุณ Vim เรื่องความไว้ใจเป็นปัจจัยนึงที่สำคัญว่าเราจะถือหรือไม่ถือหุ้นครับvim เขียน:ถ้าเจ้าของและผู้บริหารบริษัทเป็นคนที่ผมไว้ใจ ผมก็คงจะวางใจได้ว่าจะไม่ถูกเอาเปรียบ และคงถือต่อไปครับ เหมือนกับถือหุ้นในบริษัทของเพื่อนที่ไว้ใจแต่อยู่นอกตลาด แบบนี้สภาพคล่องไม่ใช่ปัญหาเลยครับ
แต่ถ้าเจ้าของเป็นใครก็ไม่รู้ที่ไม่เคยเห็นหัวเรา และผู้บริหารก็เป็นคนที่เจ้าของเขาเลือกมาอีกที แบบนี้เหมือนฝากปลาย่างไว้กับแมว ผมคงไม่กล้าครับ
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 37
พอดีเข้าไปอ่านเจอใน Pantip เห็นว่าเรื่องนี้ดีมากๆ สำหรับการออมเงิน เลยนำมากฝากครับ
.......................................................................
แชร์ประสบการณ์การออมเงิน (ฉบับคนธรรมดา)
http://pantip.com/topic/32167383
.......................................................................
แชร์ประสบการณ์การออมเงิน (ฉบับคนธรรมดา)
http://pantip.com/topic/32167383
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2748
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 38
สวัสดีครับ ก่อนหน้านี้แอบอ่านอยู่เงียบๆ ขอติดตามบทความด้วยคนนะครับ ผมชอบมากเลยเรื่องลงทุนแบบค่อยเป็นค่อยไป ต่างกับหลายๆที่ที่ชอบแนะนำให้ลงทุนแบบหวาดเสียวปลูกหุ้นกินผล เขียน:สวัสดีครับคุณ Vim และเห็นด้วยกับคุณ Vim เรื่องความไว้ใจเป็นปัจจัยนึงที่สำคัญว่าเราจะถือหรือไม่ถือหุ้นครับ
Vi IMrovised
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 39
คุณ Vim ยังไงก็ขอคำแนะนำด้วยนะครับ ผมเองก็ยังใหม่กับการลงทุน เพียงแต่เห็นอะไรที่คิดว่าเป็นประโยชน์ก็อยากเอามาแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ ครับvim เขียน:สวัสดีครับ ก่อนหน้านี้แอบอ่านอยู่เงียบๆ ขอติดตามบทความด้วยคนนะครับ ผมชอบมากเลยเรื่องลงทุนแบบค่อยเป็นค่อยไป ต่างกับหลายๆที่ที่ชอบแนะนำให้ลงทุนแบบหวาดเสียวปลูกหุ้นกินผล เขียน:สวัสดีครับคุณ Vim และเห็นด้วยกับคุณ Vim เรื่องความไว้ใจเป็นปัจจัยนึงที่สำคัญว่าเราจะถือหรือไม่ถือหุ้นครับ
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 40
วันนี้ผมนำเรื่องการลงทุนในกองทุนมาฝาก หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นะครับ
และขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://fundmanagertalk.com/ ครับ
..........................................................................................................
ลงทุนกองทุนอะไรดี ?
http://fundmanagertalk.com/fund-talk-wh ... to-invest/
แนวทางเลือกลงทุน “กองทุนหุ้น”
http://fundmanagertalk.com/fund-talk-cr ... uity-fund/
NAV สูงต่ำ เลือกกองทุนไหนดี?
http://fundmanagertalk.com/investment-t ... hoose-fun/
กฏ 7 ทอง เพื่อการเลือกลงทุนในกองทุนรวม
http://fundmanagertalk.com/fund-talk-7- ... tual-fund/
และขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://fundmanagertalk.com/ ครับ
..........................................................................................................
ลงทุนกองทุนอะไรดี ?
http://fundmanagertalk.com/fund-talk-wh ... to-invest/
แนวทางเลือกลงทุน “กองทุนหุ้น”
http://fundmanagertalk.com/fund-talk-cr ... uity-fund/
NAV สูงต่ำ เลือกกองทุนไหนดี?
http://fundmanagertalk.com/investment-t ... hoose-fun/
กฏ 7 ทอง เพื่อการเลือกลงทุนในกองทุนรวม
http://fundmanagertalk.com/fund-talk-7- ... tual-fund/
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 41
วันนี้นำส่วนหนึ่งที่คุณหมอประมุขได้ให้สัมภาษณ์มาฝากเพื่อนๆ นักงทุนครับ
...............................................................................................................
นักลง"ทุน" สู่ "นักธุรกิจ" Think Big "หมอประมุข"
http://bit.ly/1pqCfzP
=> ชนะหุ้นด้วย 7 กลยุทธ์
กลยุทธ์การลงทุนของ “น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ” มีด้วยกัน 7 ข้อ คือ
1.หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น หรือ ROE สูง 15-20 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ROE จะบ่งบอกความสามารถของผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น “ยิ่งสูง ยิ่งดี” แต่บางครั้งก็มีตัวหลอกเหมือนกัน หากบริษัทนั้นมีหนี้สินจำนวนมาก ฉะนั้นต้องดูดีๆ อย่ารีบเชื่อ
ข้อ 2. หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ หรือ ROA สูงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์
ข้อ 3.ต้องมี PEG ratio น้อยกว่า 1 เท่า คือ การเทียบค่า P/E ratio กับการเจริญเติบโตของกำไรสุทธิ (Growth) หาโดยนำค่า P/E ratio ตั้งหารด้วยเปอร์เซ็นต์การเจริญเติบโตนั้น บริษัทใดที่ราคาหุ้นต่ำจะน่าซื้อ ถ้าค่า PEG ratio เกิน 1 แสดงว่า ราคาหุ้นสูงเกินไป
ข้อ 4.ต้องมีอัตราเงินปันผลตอบแทน หรือ Dividend Yield อยู่ในระดับ 3.5-4 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ถามว่า ทำไมต้องเป็นตัวเลขนี้ เพราะเป็นตัวเลขที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ปกติจะอยู่ระดับ 3 เปอร์เซ็นต์
ข้อ 5.หุ้นตัวนั้นต้องมีกระแสเงินสดสูงๆ ยิ่งไม่ต้องจ่ายหนี้จะชอบมากเป็นพิเศษ
ข้อ 6. ผู้บริหารต้องไว้ใจได้ พูดแล้วทำได้จริง ซึ่งเราต้องไปคุยกับผู้บริหารบ่อยๆ ยิ่งเขาถือหุ้นประมาณ 20-25 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งชอบเพราะมันจะบ่งบอกว่า เขาจะทุ่มเทในการทำงานมากขนาดไหน
ข้อสุดท้าย จะดูปัจจัยทางกายภาพ ธุรกิจนี้มีความแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน โอกาสเติบโตของรายได้และกำไรเป็นอย่างไร สินค้าหรือธุรกิจหลักจะเติบโตไปตามชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ และลูกค้านิยมชมชอบสินค้ามากหรือน้อยแค่ไหน ที่สำคัญจะดูว่าคู่แข่งของเขามีใครบ้าง หากจะมีคู่แข่งเกิดขึ้นใหม่จะเข้ามาในธุรกิจนี้ได้ง่ายหรือยาก
ปกติจะไม่นิยมดูเส้นเทคนิคและไม่เคยนำมาประยุกต์ใช้ เพราะไม่เข้าใจในหลักการ ส่วนใหญ่จะดูเพียงราคา ณ ปัจจุบัน เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับมูลค่าที่ประเมินไว้ว่า มันมีส่วนลด หรือ Margin of Safety เป็นที่น่าพอใจหรือไม่ .............
...............................................................................................................
นักลง"ทุน" สู่ "นักธุรกิจ" Think Big "หมอประมุข"
http://bit.ly/1pqCfzP
=> ชนะหุ้นด้วย 7 กลยุทธ์
กลยุทธ์การลงทุนของ “น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ” มีด้วยกัน 7 ข้อ คือ
1.หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น หรือ ROE สูง 15-20 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ROE จะบ่งบอกความสามารถของผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น “ยิ่งสูง ยิ่งดี” แต่บางครั้งก็มีตัวหลอกเหมือนกัน หากบริษัทนั้นมีหนี้สินจำนวนมาก ฉะนั้นต้องดูดีๆ อย่ารีบเชื่อ
ข้อ 2. หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ หรือ ROA สูงกว่า 10 เปอร์เซ็นต์
ข้อ 3.ต้องมี PEG ratio น้อยกว่า 1 เท่า คือ การเทียบค่า P/E ratio กับการเจริญเติบโตของกำไรสุทธิ (Growth) หาโดยนำค่า P/E ratio ตั้งหารด้วยเปอร์เซ็นต์การเจริญเติบโตนั้น บริษัทใดที่ราคาหุ้นต่ำจะน่าซื้อ ถ้าค่า PEG ratio เกิน 1 แสดงว่า ราคาหุ้นสูงเกินไป
ข้อ 4.ต้องมีอัตราเงินปันผลตอบแทน หรือ Dividend Yield อยู่ในระดับ 3.5-4 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ถามว่า ทำไมต้องเป็นตัวเลขนี้ เพราะเป็นตัวเลขที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ปกติจะอยู่ระดับ 3 เปอร์เซ็นต์
ข้อ 5.หุ้นตัวนั้นต้องมีกระแสเงินสดสูงๆ ยิ่งไม่ต้องจ่ายหนี้จะชอบมากเป็นพิเศษ
ข้อ 6. ผู้บริหารต้องไว้ใจได้ พูดแล้วทำได้จริง ซึ่งเราต้องไปคุยกับผู้บริหารบ่อยๆ ยิ่งเขาถือหุ้นประมาณ 20-25 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งชอบเพราะมันจะบ่งบอกว่า เขาจะทุ่มเทในการทำงานมากขนาดไหน
ข้อสุดท้าย จะดูปัจจัยทางกายภาพ ธุรกิจนี้มีความแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน โอกาสเติบโตของรายได้และกำไรเป็นอย่างไร สินค้าหรือธุรกิจหลักจะเติบโตไปตามชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ และลูกค้านิยมชมชอบสินค้ามากหรือน้อยแค่ไหน ที่สำคัญจะดูว่าคู่แข่งของเขามีใครบ้าง หากจะมีคู่แข่งเกิดขึ้นใหม่จะเข้ามาในธุรกิจนี้ได้ง่ายหรือยาก
ปกติจะไม่นิยมดูเส้นเทคนิคและไม่เคยนำมาประยุกต์ใช้ เพราะไม่เข้าใจในหลักการ ส่วนใหญ่จะดูเพียงราคา ณ ปัจจุบัน เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับมูลค่าที่ประเมินไว้ว่า มันมีส่วนลด หรือ Margin of Safety เป็นที่น่าพอใจหรือไม่ .............
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 42
ท่านอาจารย์ไพบูลย์ เขียนไว้ใน Facebook/Money Talk ได้ชัดเจนมากระหว่างความแตกต่างของ เพียงพอ กับ พอเพียง...
เพียงพอ คือการที่เราต้องหาให้พอกับสิ่งที่เราต้องการ
ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ความสุข ความรู้ หรือแม้แต่ไฟฟ้า
ต้องหามาให้พอ เมื่อทำได้ก็เรียกว่าเพียงพอ
พอเพียง คือการจัดการกับความต้องการ
เช่นความต้องการเงินทอง ความสุข ความรู้ หรือไฟฟ้าที่เราต้องใช้
หากประหยัดไฟฟ้า ทำให้ความต้องการไฟฟ้าลดลง เรียกว่าจัดการกับความพอเพียง
"เพียงพอจึงเป็นการสนองกิเลส ส่วนพอเพียงเป็นการจัดการกับกิเลส"
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ
เพียงพอ คือการที่เราต้องหาให้พอกับสิ่งที่เราต้องการ
ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ความสุข ความรู้ หรือแม้แต่ไฟฟ้า
ต้องหามาให้พอ เมื่อทำได้ก็เรียกว่าเพียงพอ
พอเพียง คือการจัดการกับความต้องการ
เช่นความต้องการเงินทอง ความสุข ความรู้ หรือไฟฟ้าที่เราต้องใช้
หากประหยัดไฟฟ้า ทำให้ความต้องการไฟฟ้าลดลง เรียกว่าจัดการกับความพอเพียง
"เพียงพอจึงเป็นการสนองกิเลส ส่วนพอเพียงเป็นการจัดการกับกิเลส"
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 43
บทความนี้ของท่าน อาจารย์ ดร.นิเวศน์ เหมาะกับมนุษย์เงินเดือนอย่างผมจริงๆ ครับ...
ขอบพระคุณครับ
.........................................................................................................................................
สำหรับ “มนุษย์เงินเดือน” ที่ไม่ได้มีเงินจากพ่อแม่หรือมีความสามารถพิเศษในการลงทุนและคิดว่าตนเอง “ไม่มีปัญญา” ในการที่จะเรียนรู้เทคนิคการลงทุนที่จะทำให้สามารถลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูง ๆ ได้ ต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นกลยุทธ์หรือวิธีการลงทุนระยะยาวที่ “ดีที่สุด” สำหรับเขา มันจะเป็นการลงทุน “เพื่อการเกษียณ” ที่จะทำให้เขาสามารถมีเงินใช้จ่ายได้ตามสถานะที่เขาเป็นอยู่แบบเดิมไปได้ตลอดชีวิตหลังเกษียณโดยที่ความเสี่ยงที่จะ “ขาดเงิน” มีน้อยมาก ๆ สิ่งที่เขาจะต้องทำหรือเงื่อนไขนั้นมีหลักการใหญ่ ๆ สามข้อ มันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากแต่ต้องอาศัยวินัยและความศรัทธาสูง
หลักการสามข้อนั้นผมขอเรียกว่าเป็น “แก้ว 3 ประการ ของการลงทุน” ที่ผมเคยพูดไว้ในหลาย ๆ โอกาสซึ่งผมจะทวนอีกครั้งหนึ่งก็คือ ถ้าหากใครหวังจะรวยหรือประสบความสำเร็จจากการลงทุนสูงนั้น เขาจะต้องมีแก้วที่ “สุกสว่าง” ทั้ง 3 ดวง โดยที่
แก้วดวงแรกก็คือ เขาจะต้องมี “เงินลงทุนเริ่มต้น” หรือเงินที่ได้จากแหล่งอื่นนอกเหนือจากเงินจากการลงทุน เช่น จากเงินเดือน เงินที่พ่อแม่ให้หรือเงินมรดก เป็นต้น “แก้ว” ดวงนี้จะ “สุกสว่าง” มากน้อยนั้น บางทีก็ขึ้นอยู่กับ “โชคชะตา” เช่น คนที่มีพ่อแม่รวยและพ่อแม่แบ่งเงินมาให้ลงทุนมาก “แก้ว” ดวงนี้ของเขาก็สุกสว่างมาก แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความสุกสว่างของแก้วก็อาจจะมากขึ้นได้จากการ “อดออม” ของเราเอง นั่นก็คือ เราสามารถเพิ่มความสว่างของแก้วของเราได้โดยการบริโภคน้อยลงและเก็บออมแล้วเอามาลงทุนมากขึ้น
แก้วดวงที่สองคือ ผลตอบแทนที่เราได้รับจากการลงทุน ความสุกสว่างของแก้วดวงนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราในการวิเคราะห์และลงทุนอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ตามทฤษฎีและตามประวัติศาสตร์การลงทุนที่มีการเก็บสถิติมายาวนานนั้นบอกว่า หุ้นให้ผลตอบแทนที่สูงที่สุดในบรรดาการลงทุนหลักทั้งหลายในระยะยาว ดังนั้น แก้วดวงนี้จะสุกสว่างได้นั้น เราคงต้องลงทุนในหุ้นเป็นหลัก ในขณะที่การฝากเงินให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ถ้าเงินส่วนใหญ่ของเราอยู่ในเงินฝาก แก้วดวงนี้ของเราก็จะหมองมัว ส่วนพันธบัตรหรือหุ้นกู้นั้นให้ผลตอบแทนกลาง ๆ ประเด็นที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ถ้าเราเน้นซื้อหุ้นลงทุนเป็นรายตัวที่อาจจะทำให้แก้วของเราสว่างที่สุด มันก็มีโอกาสเช่นกันที่แก้วดวงนี้จะ “แตก” และความสว่างจะหายไปกลายเป็นแก้วที่ “มืดมน” เปรียบเทียบก็คือ แทนที่จะได้ผลตอบแทนที่สูงก็อาจจะขาดทุนได้ โชคดีที่ว่าเราสามารถที่จะลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวมที่จะให้ผลตอบแทนที่สุกสว่างพอสมควรได้โดยที่ความเสี่ยงที่จะเสียหายมีน้อยในระยะยาว ดังนั้น สำหรับคนที่ไม่เชี่ยวชาญในการเลือกหุ้น การลงทุนในกองทุนรวมที่อิงดัชนีจึงเป็นทางเลือกที่ดีมาก
แก้วดวงสุดท้ายก็คือ ระยะเวลาในการลงทุน ยิ่งเราลงทุนยาวนานเท่าไร แก้วของเราก็จะสุกสว่างมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น คนที่อายุน้อยและแน่วแน่ในการลงทุน ไม่ออกจากตลาดไม่ว่าในสถานการณ์อะไร จึงเป็นคนที่มีแก้วที่สุกสว่างอยู่ในมือ 1 ดวงเสมอ เช่นเดียวกัน คนที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพที่ดีก็เป็นคนที่มีแก้วที่สว่างกว่าคนที่อายุสั้นกว่า
คนที่มีแก้วที่สุกสว่างทั้ง 3 ดวง และใช้มัน โอกาสที่เขาจะรวยจากการลงทุนก็จะสูงมาก คนที่มีแก้วอยู่ในมือแต่ไม่รู้จักใช้ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ส่วนคนที่แทบจะไม่มีแก้วที่สุกสว่างเลยซักดวงก็ต้องยอมรับว่าเราอาจจะไม่สามารถรวยจากการลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ที่ “กินเงินเดือน” และอายุยังไม่มากนั้น หากมีการวางแผนการลงทุนที่ดี และด้วยการ “เสียสละ” การบริโภคในปัจจุบันพอประมาณแต่อยู่ในระดับที่ไม่น่าจะเดือดร้อนนัก จะสามารถที่จะลงทุนจนมีเงินเพียงพอที่จะใช้ในยามเกษียณได้อย่างสบายโดยที่ความเสี่ยงที่จะทำไม่ได้มีน้อยมาก........
.....สุดท้ายที่ผมอยากจะเพิ่มเติมสำหรับคนที่ต้องเสียภาษีรายได้สูงนั้น การลงทุนในกองทุน LTF และ RMS ในอัตราที่สูงได้ถึง 15% ของรายได้นั้น ดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ผมกล่าวถึงมาทั้งหมด แต่ยังได้สิทธิลดหย่อนภาษีส่วนบุคคลด้วย ดังนั้น ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เหมาะสมและดีที่สุดที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนควรทำ
ติดตามฉบับเต็มได้ที่ http://www.thaivi.org/%e0%b8%81%e0%b8%b ... %e0%b8%ab/
ขอบพระคุณครับ
.........................................................................................................................................
สำหรับ “มนุษย์เงินเดือน” ที่ไม่ได้มีเงินจากพ่อแม่หรือมีความสามารถพิเศษในการลงทุนและคิดว่าตนเอง “ไม่มีปัญญา” ในการที่จะเรียนรู้เทคนิคการลงทุนที่จะทำให้สามารถลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูง ๆ ได้ ต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นกลยุทธ์หรือวิธีการลงทุนระยะยาวที่ “ดีที่สุด” สำหรับเขา มันจะเป็นการลงทุน “เพื่อการเกษียณ” ที่จะทำให้เขาสามารถมีเงินใช้จ่ายได้ตามสถานะที่เขาเป็นอยู่แบบเดิมไปได้ตลอดชีวิตหลังเกษียณโดยที่ความเสี่ยงที่จะ “ขาดเงิน” มีน้อยมาก ๆ สิ่งที่เขาจะต้องทำหรือเงื่อนไขนั้นมีหลักการใหญ่ ๆ สามข้อ มันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากแต่ต้องอาศัยวินัยและความศรัทธาสูง
หลักการสามข้อนั้นผมขอเรียกว่าเป็น “แก้ว 3 ประการ ของการลงทุน” ที่ผมเคยพูดไว้ในหลาย ๆ โอกาสซึ่งผมจะทวนอีกครั้งหนึ่งก็คือ ถ้าหากใครหวังจะรวยหรือประสบความสำเร็จจากการลงทุนสูงนั้น เขาจะต้องมีแก้วที่ “สุกสว่าง” ทั้ง 3 ดวง โดยที่
แก้วดวงแรกก็คือ เขาจะต้องมี “เงินลงทุนเริ่มต้น” หรือเงินที่ได้จากแหล่งอื่นนอกเหนือจากเงินจากการลงทุน เช่น จากเงินเดือน เงินที่พ่อแม่ให้หรือเงินมรดก เป็นต้น “แก้ว” ดวงนี้จะ “สุกสว่าง” มากน้อยนั้น บางทีก็ขึ้นอยู่กับ “โชคชะตา” เช่น คนที่มีพ่อแม่รวยและพ่อแม่แบ่งเงินมาให้ลงทุนมาก “แก้ว” ดวงนี้ของเขาก็สุกสว่างมาก แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความสุกสว่างของแก้วก็อาจจะมากขึ้นได้จากการ “อดออม” ของเราเอง นั่นก็คือ เราสามารถเพิ่มความสว่างของแก้วของเราได้โดยการบริโภคน้อยลงและเก็บออมแล้วเอามาลงทุนมากขึ้น
แก้วดวงที่สองคือ ผลตอบแทนที่เราได้รับจากการลงทุน ความสุกสว่างของแก้วดวงนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราในการวิเคราะห์และลงทุนอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ตามทฤษฎีและตามประวัติศาสตร์การลงทุนที่มีการเก็บสถิติมายาวนานนั้นบอกว่า หุ้นให้ผลตอบแทนที่สูงที่สุดในบรรดาการลงทุนหลักทั้งหลายในระยะยาว ดังนั้น แก้วดวงนี้จะสุกสว่างได้นั้น เราคงต้องลงทุนในหุ้นเป็นหลัก ในขณะที่การฝากเงินให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ถ้าเงินส่วนใหญ่ของเราอยู่ในเงินฝาก แก้วดวงนี้ของเราก็จะหมองมัว ส่วนพันธบัตรหรือหุ้นกู้นั้นให้ผลตอบแทนกลาง ๆ ประเด็นที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ถ้าเราเน้นซื้อหุ้นลงทุนเป็นรายตัวที่อาจจะทำให้แก้วของเราสว่างที่สุด มันก็มีโอกาสเช่นกันที่แก้วดวงนี้จะ “แตก” และความสว่างจะหายไปกลายเป็นแก้วที่ “มืดมน” เปรียบเทียบก็คือ แทนที่จะได้ผลตอบแทนที่สูงก็อาจจะขาดทุนได้ โชคดีที่ว่าเราสามารถที่จะลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวมที่จะให้ผลตอบแทนที่สุกสว่างพอสมควรได้โดยที่ความเสี่ยงที่จะเสียหายมีน้อยในระยะยาว ดังนั้น สำหรับคนที่ไม่เชี่ยวชาญในการเลือกหุ้น การลงทุนในกองทุนรวมที่อิงดัชนีจึงเป็นทางเลือกที่ดีมาก
แก้วดวงสุดท้ายก็คือ ระยะเวลาในการลงทุน ยิ่งเราลงทุนยาวนานเท่าไร แก้วของเราก็จะสุกสว่างมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น คนที่อายุน้อยและแน่วแน่ในการลงทุน ไม่ออกจากตลาดไม่ว่าในสถานการณ์อะไร จึงเป็นคนที่มีแก้วที่สุกสว่างอยู่ในมือ 1 ดวงเสมอ เช่นเดียวกัน คนที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพที่ดีก็เป็นคนที่มีแก้วที่สว่างกว่าคนที่อายุสั้นกว่า
คนที่มีแก้วที่สุกสว่างทั้ง 3 ดวง และใช้มัน โอกาสที่เขาจะรวยจากการลงทุนก็จะสูงมาก คนที่มีแก้วอยู่ในมือแต่ไม่รู้จักใช้ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ส่วนคนที่แทบจะไม่มีแก้วที่สุกสว่างเลยซักดวงก็ต้องยอมรับว่าเราอาจจะไม่สามารถรวยจากการลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ที่ “กินเงินเดือน” และอายุยังไม่มากนั้น หากมีการวางแผนการลงทุนที่ดี และด้วยการ “เสียสละ” การบริโภคในปัจจุบันพอประมาณแต่อยู่ในระดับที่ไม่น่าจะเดือดร้อนนัก จะสามารถที่จะลงทุนจนมีเงินเพียงพอที่จะใช้ในยามเกษียณได้อย่างสบายโดยที่ความเสี่ยงที่จะทำไม่ได้มีน้อยมาก........
.....สุดท้ายที่ผมอยากจะเพิ่มเติมสำหรับคนที่ต้องเสียภาษีรายได้สูงนั้น การลงทุนในกองทุน LTF และ RMS ในอัตราที่สูงได้ถึง 15% ของรายได้นั้น ดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ผมกล่าวถึงมาทั้งหมด แต่ยังได้สิทธิลดหย่อนภาษีส่วนบุคคลด้วย ดังนั้น ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เหมาะสมและดีที่สุดที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนควรทำ
ติดตามฉบับเต็มได้ที่ http://www.thaivi.org/%e0%b8%81%e0%b8%b ... %e0%b8%ab/
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 44
ท่านอาจารย์ ดร.นิเวศน์ ได้ให้แง่คิดไว้ว่า...
==> ในความคิดผมก็คือ ถ้าคุณเป็น “นักปฏิบัติ” โอกาสสำเร็จในการเป็นนักธุรกิจนอกตลาดจะสูงกว่า แต่ถ้าคุณเป็น “นักคิด” การเป็นนักธุรกิจในตลาดน่าจะมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า ไม่ว่าจะกรณีใด การเป็นนักธุรกิจในตลาดหุ้นนั้น ดูเหมือนว่าจะทำได้ง่ายและความเสี่ยงน่าจะต่ำกว่าธุรกิจนอกตลาดหุ้น เหตุผลก็คือ ในการทำธุรกิจนอกตลาดหุ้นนั้น เรามักต้องทุ่มทุกอย่างแม้แต่จิตวิญญาณลงไปในธุรกิจ และการถอยหนีมักจะหมายถึงหายนะ ในขณะที่การทำธุรกิจในตลาดหุ้นนั้น เรามีทางเลือกมากมายและมีการกระจายธุรกิจไปในหลาย ๆ อย่าง ทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า เราซื้อหุ้นในตลาดเพื่อเป็นการลงทุน “ทำธุรกิจ” ไม่ใช่การ “เล่นหุ้น” <==
==> ในความคิดผมก็คือ ถ้าคุณเป็น “นักปฏิบัติ” โอกาสสำเร็จในการเป็นนักธุรกิจนอกตลาดจะสูงกว่า แต่ถ้าคุณเป็น “นักคิด” การเป็นนักธุรกิจในตลาดน่าจะมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า ไม่ว่าจะกรณีใด การเป็นนักธุรกิจในตลาดหุ้นนั้น ดูเหมือนว่าจะทำได้ง่ายและความเสี่ยงน่าจะต่ำกว่าธุรกิจนอกตลาดหุ้น เหตุผลก็คือ ในการทำธุรกิจนอกตลาดหุ้นนั้น เรามักต้องทุ่มทุกอย่างแม้แต่จิตวิญญาณลงไปในธุรกิจ และการถอยหนีมักจะหมายถึงหายนะ ในขณะที่การทำธุรกิจในตลาดหุ้นนั้น เรามีทางเลือกมากมายและมีการกระจายธุรกิจไปในหลาย ๆ อย่าง ทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า เราซื้อหุ้นในตลาดเพื่อเป็นการลงทุน “ทำธุรกิจ” ไม่ใช่การ “เล่นหุ้น” <==
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 45
"เกมการลงทุนคือการพยายามคาดการณ์อนาคตให้ได้ดีกว่าคนอื่นๆ คุณจะทำอย่างนั้นได้ก็ต่อเมื่อ คุณจำกัดตัวเองอยู่ในสิ่งที่คุณถนัดและรอบรู้ ถ้าคุณพยายามคาดการณ์อนาคตของทุกสิ่งทุกอย่าง คุณกำลังพยายามเกินตัวซึ่งมันจะนำไปสู่ความล้มเหลว"
Charlie Munger, thaivi.org
Charlie Munger, thaivi.org
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 46
ลงทุนปีละ 'หนึ่งหมื่นสี่พันบาท' ก็เป็น 'เศรษฐีร้อยล้าน' ได้
“… การเก็บเงินปีละ 14,000 บาท จะได้เป็นเศรษฐีร้อยล้านน่าสนใจมาก
แต่ถ้าทำตามวิธีการของคุณ ต้องรอถึง 40 ปี ทำให้ใจห่อเหี่ยว …”
“… ต้องรอถึง 40 ปี ค่อยเป็นมหาเศรษฐี ดีไม่ดีตายกลายเป็นผีไปแล้ว
คุณมีเคล็ดลับช่วยให้ร่ำรวยเร็วขึ้นมั้ย? …”
การสร้างความร่ำรวยต้องใช้เวลา ภายในเวลาอันสั้นจะไม่เห็นผล
คนส่วนหนึ่งรู้คำตอบแล้วว่า ถ้าเก็บเงินลงทุนแบบนี้ 40 ปี จะได้เงินร้อยกว่าล้าน จึงทายว่า 10 ปีน่าจะได้สัก 5 ล้าน บางคนทายว่าประมาณ 1 ล้าน
แต่ว่าคำตอบที่คำนวณได้น่าแปลกใจเหมือนกันคือได้แค่ 360,000 บาท เมื่อเทียบกับลงทุน 40 ปี ได้ร้อยกว่าล้าน แตกต่างกันถึง 300 กว่าเท่า
ยังดีที่มีคนตั้งคำถามแบบนี้ ไม่อย่างนั้นมีผู้ทำตามวิธีการนี้ เก็บเงินไปลงทุนปีละ 14,000 บาท นำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนปีละ 20% นึกว่านานเข้าคงร่ำรวยเป็นเศรษฐี คิดไม่ถึงว่าแค่สิบปีมีเงินสะสมแค่สามแสนหก คงเข้าใจว่าถูกหลอกซะแล้ว
ต้องเข้าใจว่านี่เป็นการ “วิ่งมาราธอน” ไม่ใช่ “วิ่งร้อยเมตร” สิ่งที่ต้องเผชิญคือน้ำอดน้ำทน ไม่ใช่แรงฮึดแค่อึดใจเดียว การลงทุนสร้างเนื้อสร้างตัวเงื่อนไขข้อแรกอยู่ที่เวลา คุณต้องผ่านการรอคอยจึงจะเห็นผล
เรามาดูยอดเงินสะสมจากการลงทุนปีละ 14,000 บาท โดยได้รับผลตอบแทนปีละ 20% ทบต้นไปเรื่อยๆในปีต่างๆ
- ปีที่ 5 ยอดเงินสะสม = 100,000 บาท
- ปีที่ 10 ยอดเงินสะสม = 360,000 บาท
- ปีที่ 15 ยอดเงินสะสม = 1,010,000 บาท
- ปีที่ 20 ยอดเงินสะสม = 2,610,000 บาท
- ปีที่ 25 ยอดเงินสะสม = 6,610,000 บาท
- ปีที่ 30 ยอดเงินสะสม = 16,550,000 บาท
- ปีที่ 35 ยอดเงินสะสม = 41,280,000 บาท
- ปีที่ 40 ยอดเงินสะสม = 102,810,000 บาท
นี่เป็นข้อสังเกตที่ว่าทำไมหาเงินเพิ่มอีก 10 ล้านบาท ยังง่ายกว่าหาเงิน 1
ล้านบาทแรกมากนักสำหรับคนที่ก่อร่างสร้างตัวด้วยมือเปล่า คงมีประสบการณ์อย่างนี้มาแล้ว หมื่นแสนเรื่องราวตอนเริ่มต้นนั้นลำบากที่สุด
ตอนแรกเริ่มกว่าจะหาเงินได้ช่างลำบากเลือดตาแทบกระเด็น
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเงินทองหายากหาเย็นถึงเพียงนี้ แต่หลังจากประสบความสำเร็จ เงินทองก็ไหลมาเทมา เรียกว่าอยากจะหยุดยั้ง ก็ยั้งไว้ไม่อยู่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเงินทองกลายเป็นหาง่ายเพียงนี้
ทุกคนอยากจะหยิบเงินล้านที่สอง หรือหยิบเงินสิบล้านแบบง่ายๆ
ไม่อย่างนั้นก็ภาวนาให้เงินไหลมาเทมา ปัญหาอยู่ที่ก่อนจะหยิบเงินล้านที่สอง
ต้องมีเงินล้านแรกก่อน ทำอย่างไรจึงจะได้เงินล้านแรก?
เศรษฐีส่วนใหญ่สร้างเนื้อสร้างตัวจากเงินก้อนเล็กๆ ผ่านวันเวลาอันยาวนาน
ค่อยๆเก็บสะสม ตอนแรกเป็นเงินก้อนเล็กๆ แทบไม่น่าเชื่อ แต่ความสำเร็จเรียงร้อยจากความสำเร็จเล็กๆทั้งหลาย สะสมพอกพูนเป็นสมบัติกองโต
แสดงให้เห็นว่า “เวลา” มีความสำคัญต่อการลงทุนสร้างฐานะ “ความอดทน”
เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมี และไม่ใช่อดทนไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปี ยิ่งอดทนยี่สิบสามสิบปี หรือสี่สิบห้าสิบปี พลังที่จะสร้างความร่ำรวยก็ยิ่งใหญ่โตมโหฬาร
แต่ทุกวันนี้พวกเราตกอยู่ภายใต้กระแสของ “อาหารจานด่วน” ทุกเรื่องเน้นที่ความรวดเร็วและประสิทธิผล เวลาทานอาหารก็รับประทานอาหารแบบฟาสต์ฟู้ด ส่งจดหมายก็ใช้บริการด่วนพิเศษ ขับรถก็ต้องขึ้นทางด่วน แม้แต่การศึกษาก็ยังใช้วิธีเรียนลัด ผู้คนยิ่งมายิ่งหวังผลทันตาเห็น กลายเป็นรีบร้อนเร่งด่วน ขาดซึ่งความอดทน แม้แต่การลงทุนสร้างฐานะก็ไม่มีข้อยกเว้น
ถ้าเป็นกิจกรรมอย่างอื่น อาจเร่งความเร็วได้ แต่การลงทุนสร้างฐานะเร่งเร็วไม่ได้ เพราะ “เวลา” เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการสร้างตัว ยิ่งเร่งเร็วยิ่งไม่บรรลุเป้าหมาย ซึ่งส่วนมากจะ “เลิกล้มกลางคัน” เมื่อเจอกับเงื่อนไขเวลา ก็เกิดความท้อถอย พาลขายหุ้น ขายอสังหาริมทรัพย์ เดินออกจากตลาดหุ้น หารู้ไม่ว่าการขาดความอดทนและความตั้งใจ ยากจะพบกับความสำเร็จได้
การลงทุนสร้างฐานะต้องใช้เวลา ถ้าหากไม่ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง
ก็จะเกิดความร้อนใจ พอร้อนใจก็ทำเรื่องเสี่ยงๆ ฉะนั้น แทนที่จะพบกับความสำเร็จ กลับกลายเป็นล้มเหลว ไม่ว่าการสร้างสมความร่ำรวยก็ดี การสั่งสมประสบการณ์ก็ดี ไม่สามารถบรรลุได้ในเวลาชั่วข้ามคืน หากแต่ต้องใช้เวลาเข้าแลกมา คนที่อยากรวยทางลัด ได้แต่ใช้วิธีสุ่มเสี่ยงหรือว่าเล่นพนัน หรือทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงๆ แต่ผลของมันคือสิ้นเนื้อประดาตัว จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
คนที่อยากรวยเร็วไม่เหมาะกับการลงทุนสร้างฐานะ เพราะการลงทุนแบบช้าหน่อยแต่ชัวร์แน่นอน พลังที่สร้างฐานะจะใหญ่โตกว่าที่พวกเราคาดคิดไว้
ขณะเดียวกันก็ต้องใช้เวลานานกว่าที่พวกเรานึกเอาไว้ด้วยเช่นกัน
ลองนึกดูว่าคุณแม่ต้องผ่านการอุ้มท้องกว่าสิบเดือน ชาวนาปลูกข้าวก็ต้องรอน้ำรอฝน ต้นข้าวจึงจะออกรวงได้ การพอกพูนของเงินทองก็เหมือนกับการเติบโตของชีวิต ผ่านวันผ่านเดือนผ่านปี ได้รับดอกเบี้ยทบต้น ไม่ใช่ถึงเป้าที่วางไว้ในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน นักลงทุนบางคนทำกำไรมหาศาลในชั่วข้ามคืน
แต่ก็สิ้นเนื้อประดาตัวเพียงชั่วข้ามคืนได้เช่นกัน
Credit: http://www.sarut-homesite.net
“… การเก็บเงินปีละ 14,000 บาท จะได้เป็นเศรษฐีร้อยล้านน่าสนใจมาก
แต่ถ้าทำตามวิธีการของคุณ ต้องรอถึง 40 ปี ทำให้ใจห่อเหี่ยว …”
“… ต้องรอถึง 40 ปี ค่อยเป็นมหาเศรษฐี ดีไม่ดีตายกลายเป็นผีไปแล้ว
คุณมีเคล็ดลับช่วยให้ร่ำรวยเร็วขึ้นมั้ย? …”
การสร้างความร่ำรวยต้องใช้เวลา ภายในเวลาอันสั้นจะไม่เห็นผล
คนส่วนหนึ่งรู้คำตอบแล้วว่า ถ้าเก็บเงินลงทุนแบบนี้ 40 ปี จะได้เงินร้อยกว่าล้าน จึงทายว่า 10 ปีน่าจะได้สัก 5 ล้าน บางคนทายว่าประมาณ 1 ล้าน
แต่ว่าคำตอบที่คำนวณได้น่าแปลกใจเหมือนกันคือได้แค่ 360,000 บาท เมื่อเทียบกับลงทุน 40 ปี ได้ร้อยกว่าล้าน แตกต่างกันถึง 300 กว่าเท่า
ยังดีที่มีคนตั้งคำถามแบบนี้ ไม่อย่างนั้นมีผู้ทำตามวิธีการนี้ เก็บเงินไปลงทุนปีละ 14,000 บาท นำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนปีละ 20% นึกว่านานเข้าคงร่ำรวยเป็นเศรษฐี คิดไม่ถึงว่าแค่สิบปีมีเงินสะสมแค่สามแสนหก คงเข้าใจว่าถูกหลอกซะแล้ว
ต้องเข้าใจว่านี่เป็นการ “วิ่งมาราธอน” ไม่ใช่ “วิ่งร้อยเมตร” สิ่งที่ต้องเผชิญคือน้ำอดน้ำทน ไม่ใช่แรงฮึดแค่อึดใจเดียว การลงทุนสร้างเนื้อสร้างตัวเงื่อนไขข้อแรกอยู่ที่เวลา คุณต้องผ่านการรอคอยจึงจะเห็นผล
เรามาดูยอดเงินสะสมจากการลงทุนปีละ 14,000 บาท โดยได้รับผลตอบแทนปีละ 20% ทบต้นไปเรื่อยๆในปีต่างๆ
- ปีที่ 5 ยอดเงินสะสม = 100,000 บาท
- ปีที่ 10 ยอดเงินสะสม = 360,000 บาท
- ปีที่ 15 ยอดเงินสะสม = 1,010,000 บาท
- ปีที่ 20 ยอดเงินสะสม = 2,610,000 บาท
- ปีที่ 25 ยอดเงินสะสม = 6,610,000 บาท
- ปีที่ 30 ยอดเงินสะสม = 16,550,000 บาท
- ปีที่ 35 ยอดเงินสะสม = 41,280,000 บาท
- ปีที่ 40 ยอดเงินสะสม = 102,810,000 บาท
นี่เป็นข้อสังเกตที่ว่าทำไมหาเงินเพิ่มอีก 10 ล้านบาท ยังง่ายกว่าหาเงิน 1
ล้านบาทแรกมากนักสำหรับคนที่ก่อร่างสร้างตัวด้วยมือเปล่า คงมีประสบการณ์อย่างนี้มาแล้ว หมื่นแสนเรื่องราวตอนเริ่มต้นนั้นลำบากที่สุด
ตอนแรกเริ่มกว่าจะหาเงินได้ช่างลำบากเลือดตาแทบกระเด็น
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเงินทองหายากหาเย็นถึงเพียงนี้ แต่หลังจากประสบความสำเร็จ เงินทองก็ไหลมาเทมา เรียกว่าอยากจะหยุดยั้ง ก็ยั้งไว้ไม่อยู่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเงินทองกลายเป็นหาง่ายเพียงนี้
ทุกคนอยากจะหยิบเงินล้านที่สอง หรือหยิบเงินสิบล้านแบบง่ายๆ
ไม่อย่างนั้นก็ภาวนาให้เงินไหลมาเทมา ปัญหาอยู่ที่ก่อนจะหยิบเงินล้านที่สอง
ต้องมีเงินล้านแรกก่อน ทำอย่างไรจึงจะได้เงินล้านแรก?
เศรษฐีส่วนใหญ่สร้างเนื้อสร้างตัวจากเงินก้อนเล็กๆ ผ่านวันเวลาอันยาวนาน
ค่อยๆเก็บสะสม ตอนแรกเป็นเงินก้อนเล็กๆ แทบไม่น่าเชื่อ แต่ความสำเร็จเรียงร้อยจากความสำเร็จเล็กๆทั้งหลาย สะสมพอกพูนเป็นสมบัติกองโต
แสดงให้เห็นว่า “เวลา” มีความสำคัญต่อการลงทุนสร้างฐานะ “ความอดทน”
เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมี และไม่ใช่อดทนไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปี ยิ่งอดทนยี่สิบสามสิบปี หรือสี่สิบห้าสิบปี พลังที่จะสร้างความร่ำรวยก็ยิ่งใหญ่โตมโหฬาร
แต่ทุกวันนี้พวกเราตกอยู่ภายใต้กระแสของ “อาหารจานด่วน” ทุกเรื่องเน้นที่ความรวดเร็วและประสิทธิผล เวลาทานอาหารก็รับประทานอาหารแบบฟาสต์ฟู้ด ส่งจดหมายก็ใช้บริการด่วนพิเศษ ขับรถก็ต้องขึ้นทางด่วน แม้แต่การศึกษาก็ยังใช้วิธีเรียนลัด ผู้คนยิ่งมายิ่งหวังผลทันตาเห็น กลายเป็นรีบร้อนเร่งด่วน ขาดซึ่งความอดทน แม้แต่การลงทุนสร้างฐานะก็ไม่มีข้อยกเว้น
ถ้าเป็นกิจกรรมอย่างอื่น อาจเร่งความเร็วได้ แต่การลงทุนสร้างฐานะเร่งเร็วไม่ได้ เพราะ “เวลา” เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการสร้างตัว ยิ่งเร่งเร็วยิ่งไม่บรรลุเป้าหมาย ซึ่งส่วนมากจะ “เลิกล้มกลางคัน” เมื่อเจอกับเงื่อนไขเวลา ก็เกิดความท้อถอย พาลขายหุ้น ขายอสังหาริมทรัพย์ เดินออกจากตลาดหุ้น หารู้ไม่ว่าการขาดความอดทนและความตั้งใจ ยากจะพบกับความสำเร็จได้
การลงทุนสร้างฐานะต้องใช้เวลา ถ้าหากไม่ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง
ก็จะเกิดความร้อนใจ พอร้อนใจก็ทำเรื่องเสี่ยงๆ ฉะนั้น แทนที่จะพบกับความสำเร็จ กลับกลายเป็นล้มเหลว ไม่ว่าการสร้างสมความร่ำรวยก็ดี การสั่งสมประสบการณ์ก็ดี ไม่สามารถบรรลุได้ในเวลาชั่วข้ามคืน หากแต่ต้องใช้เวลาเข้าแลกมา คนที่อยากรวยทางลัด ได้แต่ใช้วิธีสุ่มเสี่ยงหรือว่าเล่นพนัน หรือทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงๆ แต่ผลของมันคือสิ้นเนื้อประดาตัว จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
คนที่อยากรวยเร็วไม่เหมาะกับการลงทุนสร้างฐานะ เพราะการลงทุนแบบช้าหน่อยแต่ชัวร์แน่นอน พลังที่สร้างฐานะจะใหญ่โตกว่าที่พวกเราคาดคิดไว้
ขณะเดียวกันก็ต้องใช้เวลานานกว่าที่พวกเรานึกเอาไว้ด้วยเช่นกัน
ลองนึกดูว่าคุณแม่ต้องผ่านการอุ้มท้องกว่าสิบเดือน ชาวนาปลูกข้าวก็ต้องรอน้ำรอฝน ต้นข้าวจึงจะออกรวงได้ การพอกพูนของเงินทองก็เหมือนกับการเติบโตของชีวิต ผ่านวันผ่านเดือนผ่านปี ได้รับดอกเบี้ยทบต้น ไม่ใช่ถึงเป้าที่วางไว้ในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน นักลงทุนบางคนทำกำไรมหาศาลในชั่วข้ามคืน
แต่ก็สิ้นเนื้อประดาตัวเพียงชั่วข้ามคืนได้เช่นกัน
Credit: http://www.sarut-homesite.net
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 47
ท่านอาจารย์ ดร.นิเวศน์ เชื่อว่า การทำหรือซื้อหุ้นบ่อย ๆ ซึ่งก็แปลว่าต้องขายบ่อยด้วยนั้น ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนส่วนใหญ่ นั่นทำให้ "การรู้จักอดกลั้นต่อสิ่งยั่วเย้านั้น เป็นศิลปะที่สำคัญอย่างหนึ่งของ VI"
ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากครับ
http://www.thaivi.org/%e0%b8%ad%e0%b8%9 ... %e0%b8%b2/
ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากครับ
http://www.thaivi.org/%e0%b8%ad%e0%b8%9 ... %e0%b8%b2/
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 48
ขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้ข้อคิดที่ดีๆ "นักลงทุนมือใหม่โปรดฟัง"
อาจารย์ถาวร...
ลงทุนอะไรให้คิดระยะยาว คิดถึงความมั่นคงถาวร
กลอนจากอาจารย์เสน่ห์...
"นักลงทุนมือใหม่อย่าใจร้อน เรียนรู้ก่อนลงทุนหุ้นทั้งหลาย
ไม่ทำตัวเป็นแมงเม่าเข้าไปตาย เรียนรู้ก่อนไม่มีสายได้แน่นอน"
อาจารย์ ดร.นิเวศน์
1. วิธีการหาความรู้ คืออ่านหนังสือให้ถูกเล่ม ไม่เป็นหนังสืออวิชชา เช่น ซื้อๆขายๆ ต้องกู้เงินมาลงทุน รวยง่าย รวยเร็ว เป็นต้น
2. ถ้าจะลงทุน อย่าลงทุนตามคนอื่นเพราะเขาซื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้และเขาจะขายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตัดสินใจด้วยตัวเอง
3. อย่าซื้อหุ้นโดยดูราคาหุ้น ไล่ราคาหุ้น
4. ทัศนคติ เราต้องมองว่าหุ้นเป็นธุรกิจ ไม่ใช่ตัวเลขที่ขึ้นๆลงๆ แต่การลงทุนนี้เราเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ
5. การลงทุนต้องใช้เงิน อย่าคิดว่าจะจับเสือมือเปล่า เช่น กู้มาลงทุน เป็นต้น
6. มองความเสี่ยงยิ่งกว่าผลตอบแทน
อาจารย์ ดร. ไพบูลย์
1. อย่าหวังผลตอบแทนมากเกินจริง หวังผลตอบแทนให้สมเหตุสมผล ใช้สติปัญญาให้มากๆ
2. ล้มแล้วไม่เป็นไร ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ได้ ค่อยๆ ลงทุนล้มแล้วให้เป็นบทเรียน
3. เริ่มต้นให้เริ่มต้นง่ายๆ ก่อน อย่าไปเริ่มยากๆ เช่น อนุพันธ์ day trade เป็นต้น เริ่มจากสิ่งที่เข้าใจง่าย เช่น กองทุน เป็นต้น
4. อย่าไปตั้งเป้าจะเป็นเหมือนคนนั้นคนนี้โดยเฉพาะ IDOL ทั้งหมดซึ่งเอื้อมไม่ถึง ให้มองความเป็นจริง
5. ไม่มีอะไรที่ช้าเกินไป ไม่ต้องกลัวตกรถ พร้อมเมื่อไหร่ค่อยลงทุน
6. อย่าคิดว่าลงทุนหุ้นง่ายนิดเดียว
http://www.youtube.com/watch?v=PJsk_sLF ... e=youtu.be
อาจารย์ถาวร...
ลงทุนอะไรให้คิดระยะยาว คิดถึงความมั่นคงถาวร
กลอนจากอาจารย์เสน่ห์...
"นักลงทุนมือใหม่อย่าใจร้อน เรียนรู้ก่อนลงทุนหุ้นทั้งหลาย
ไม่ทำตัวเป็นแมงเม่าเข้าไปตาย เรียนรู้ก่อนไม่มีสายได้แน่นอน"
อาจารย์ ดร.นิเวศน์
1. วิธีการหาความรู้ คืออ่านหนังสือให้ถูกเล่ม ไม่เป็นหนังสืออวิชชา เช่น ซื้อๆขายๆ ต้องกู้เงินมาลงทุน รวยง่าย รวยเร็ว เป็นต้น
2. ถ้าจะลงทุน อย่าลงทุนตามคนอื่นเพราะเขาซื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้และเขาจะขายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตัดสินใจด้วยตัวเอง
3. อย่าซื้อหุ้นโดยดูราคาหุ้น ไล่ราคาหุ้น
4. ทัศนคติ เราต้องมองว่าหุ้นเป็นธุรกิจ ไม่ใช่ตัวเลขที่ขึ้นๆลงๆ แต่การลงทุนนี้เราเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ
5. การลงทุนต้องใช้เงิน อย่าคิดว่าจะจับเสือมือเปล่า เช่น กู้มาลงทุน เป็นต้น
6. มองความเสี่ยงยิ่งกว่าผลตอบแทน
อาจารย์ ดร. ไพบูลย์
1. อย่าหวังผลตอบแทนมากเกินจริง หวังผลตอบแทนให้สมเหตุสมผล ใช้สติปัญญาให้มากๆ
2. ล้มแล้วไม่เป็นไร ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ได้ ค่อยๆ ลงทุนล้มแล้วให้เป็นบทเรียน
3. เริ่มต้นให้เริ่มต้นง่ายๆ ก่อน อย่าไปเริ่มยากๆ เช่น อนุพันธ์ day trade เป็นต้น เริ่มจากสิ่งที่เข้าใจง่าย เช่น กองทุน เป็นต้น
4. อย่าไปตั้งเป้าจะเป็นเหมือนคนนั้นคนนี้โดยเฉพาะ IDOL ทั้งหมดซึ่งเอื้อมไม่ถึง ให้มองความเป็นจริง
5. ไม่มีอะไรที่ช้าเกินไป ไม่ต้องกลัวตกรถ พร้อมเมื่อไหร่ค่อยลงทุน
6. อย่าคิดว่าลงทุนหุ้นง่ายนิดเดียว
http://www.youtube.com/watch?v=PJsk_sLF ... e=youtu.be
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 49
ท่านอาจารย์ ดร. นิวเศน์ ได้กล่าวไว้ว่า...
"ความเหมาะสมในวันนี้อาจจะกลายเป็นความไม่เหมาะสมในวันข้างหน้าได้ และถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เราเป็นเราทำนั้นดีและเหมาะสมที่สุดแล้ว เราอาจจะกลายเป็นคนที่ล้าสมัยได้เมื่อสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ประวัติศาสตร์ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ ประวัติของผลงานการลงทุนที่ยิ่งใหญ่นั้น ไม่ได้รับประกันว่ามันจะคงอยู่ได้ตลอดไป และประวัติศาสตร์บอกว่า การรักษามันเป็นสิ่งที่ยากมาก"
http://www.thaivi.org/นิวตัน-vs-ดาร์วิน/
ขอบพระคุณท่านที่ทำให้เราตระหนักถึงการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาครับ
"ความเหมาะสมในวันนี้อาจจะกลายเป็นความไม่เหมาะสมในวันข้างหน้าได้ และถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เราเป็นเราทำนั้นดีและเหมาะสมที่สุดแล้ว เราอาจจะกลายเป็นคนที่ล้าสมัยได้เมื่อสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ประวัติศาสตร์ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ ประวัติของผลงานการลงทุนที่ยิ่งใหญ่นั้น ไม่ได้รับประกันว่ามันจะคงอยู่ได้ตลอดไป และประวัติศาสตร์บอกว่า การรักษามันเป็นสิ่งที่ยากมาก"
http://www.thaivi.org/นิวตัน-vs-ดาร์วิน/
ขอบพระคุณท่านที่ทำให้เราตระหนักถึงการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาครับ
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 50
การวางแผนการเงิน การลงทุน ที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของตัวเอง ไม่เกินกำลังเกินไป
ทำให้เรารู้สึกว่าเป้าหมายที่วางไว้มีความชัดเจน เราสามารถทำได้ และไม่ไกลเกินเอื้อม
ซึ่งเมื่อเราสามารถทำได้ตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้แต่ละช่วงเวลาแล้ว ยิ่งทำให้เรารู้สึกมีความสุขและมีกำลังใจตลอดการเดินทาง และเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ^_^
ทำให้เรารู้สึกว่าเป้าหมายที่วางไว้มีความชัดเจน เราสามารถทำได้ และไม่ไกลเกินเอื้อม
ซึ่งเมื่อเราสามารถทำได้ตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้แต่ละช่วงเวลาแล้ว ยิ่งทำให้เรารู้สึกมีความสุขและมีกำลังใจตลอดการเดินทาง และเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ^_^
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 51
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร. นิเวศน์ สำหรับบทความนี้ที่ช่วยทำให้เข้าใจแกณฑ์ในการขายหุ้นมากยิ่งขึ้นครับ
จะขายหุ้นเมื่อไร
Monday, 11 March 2013
http://portal.settrade.com/blog/nivate/2013/03/11/1261
ในช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์บูมมาก ๆ อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ผมมักได้ยินหรือได้รับรู้ถึงความกระตือรือร้น-และความกังวลของคนสองกลุ่มที่อยู่ในตลาดหุ้น-หรือกำลังจะเข้ามาในตลาดหุ้น เกี่ยวกับว่า เขาควรจะซื้อหรือเข้ามาซื้อหุ้นได้หรือยัง? นี่เป็นคำถามข้อแรกโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่หรือนักลงทุนที่ไม่ได้ทุ่มเทนักกับการลงทุนแต่รู้สึกว่าการลงทุนในหุ้นในช่วงนี้น่าจะมีโอกาสทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าการฝากเงิน และอีกคำถามหนึ่งก็คือ เขาควรจะขายหุ้นได้แล้วหรือยัง? นี่ก็มักเป็นคำถามโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนมือเก่าหรือคนที่ทุ่มเทกับการลงทุนที่อาจจะมองว่าราคาหุ้นในตลาดได้ปรับตัวขึ้นมาสูงและเร็วมาก พวกเขากลัวว่าราคาหุ้นจะสูงเกินพื้นฐาน ดังนั้น เขาควรจะขายหุ้นไปก่อนหรือไม่ก่อนที่มันจะตกลงมาและทำให้ผลกำไรหรือความมั่งคั่งของเขาลดลงไปมาก ในการตอบคำถามของคนสองกลุ่มในสถานการณ์หรือภาวะตลาดเดียวกัน แต่คำถามกลับเป็นตรงกันข้าม ผมอยากจะบอกดังนี้
ข้อแรก เราควรจะซื้อหุ้นไหม? คำตอบของผมก็คือ ในการซื้อหุ้นนั้น หลักการแบบ VI ก็คือ เราต้องพอจะมีไอเดียหรือประเมินได้ว่า “มูลค่าพื้นฐาน” ของบริษัทหรือหุ้นตัวนั้นควรจะเป็นเท่าไร เมื่อได้แล้ว เราก็มาดูว่า “ราคา” ของหุ้นตัวนั้นเป็นเท่าไร จุดที่เราจะซื้อก็คือ ราคาหุ้นจะต้องต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน และในกรณีที่เราไม่ใคร่มั่นใจว่าเราคำนวณหรือประมาณมูลค่าพื้นฐานได้ถูกต้อง เนื่องจากว่าเรายังไม่มีความสามารถมากนักหรือกิจการของบริษัทไม่ใคร่สม่ำเสมอ เราก็จะต้องซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าของบริษัทมากขึ้น โดยส่วนต่างที่ว่านี้ก็คือ “Margin of Safety” ซึ่งต้องมีเพื่อความปลอดภัยในกรณีที่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
การหา “มูลค่าพื้นฐาน” นั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก ในทางปฏิบัตินักวิเคราะห์จึงหาตัวเลขที่ง่าย ๆ มาใช้ ตัวเลขยอดนิยมตัวหนึ่งก็คือค่า PE หรือราคาหุ้นเมื่อเทียบกับกำไรต่อหุ้นต่อปีของบริษัท วิธีก็คือ ดูว่ากำไรต่อหุ้นในปีที่ผ่านมาหรือใน 4 ไตรมาศที่ผ่านมาเป็นเท่าไร เสร็จแล้วก็คูณด้วยตัวเลขตัวหนึ่ง เช่น 15 เท่า ก็จะได้ “ราคาพื้นฐาน” ต่อหุ้น ตัวเลข 15 นั้นอาจจะมาจากค่า PE เฉลี่ยของหุ้นตัวนั้นในอดีต หรืออาจจะมาจากค่า PE ของอุตสาหกรรมของหุ้นตัวนั้น หรืออาจจะอ้างอิงจากค่า PE ของตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ที่ประมาณ 18 เท่าในช่วงนี้ และนี่ก็จะจบประเด็นว่าเราควรจะซื้อหุ้นหรือไม่
ข้อที่สองที่ผมอยากจะพูดถึงมากกว่าก็คือ กฎเกณฑ์ในการขายหุ้น ซึ่งสำหรับ VI หลายคนนั้นอาจจะมองว่ามันควรจะเป็นเกณฑ์เดียวกับการซื้อหุ้น นั่นก็คือ ถ้าราคาหุ้นเกินหรือสูงกว่ามูลค่าหรือราคาพื้นฐาน เราก็ควรจะขายหุ้นทิ้ง คือถ้าคุณไม่ซื้อซึ่งจะทำให้คุณต้องถือมัน มันก็จะต้องถูกขายออกไป แต่นี่ไม่ใช่วิธีการของ “VI ในตำนาน” หลาย ๆ คน ที่ดูเหมือนว่าการขายหุ้นอาจจะมีกฎเกณฑ์อีกแบบหนึ่ง และต่อไปนี้ก็คือสิ่งที่ผมรวบรวมมาเพื่อให้พิจารณา
ข้อแรกก็คือ เราควรขายหุ้นถ้าเรา “คิดผิด” ซึ่งนี่อาจจะไม่เกี่ยวกับราคาหรือมูลค่าพื้นฐานของหุ้นเลยก็ได้ ตัวอย่างเช่น เราคิดว่าบริษัทนั้นเป็นกิจการที่ “โตเร็ว” ต่อมาเราพบว่ายอดขายหรือกำไรที่เห็นนั้นไม่ได้มาจากธุรกิจปกติแต่เป็นยอดขายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว แบบนี้ เราอาจจะขายหุ้นทิ้งเลย หรืออาจจะต้องวิเคราะห์ใหม่ซึ่งอาจจะทำให้เราพบว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะถือไว้
ข้อสอง พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่เราถือหุ้นมาระยะหนึ่ง นี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของราคาหุ้นที่จะขึ้นหรือลง แต่เป็นเรื่องที่ว่าพื้นฐานหรือการดำเนินงานหรือความเข้มแข็งของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง อาจจะเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมหรือเกิดจากคู่แข่งที่เข้มแข็งกว่าเข้ามาแย่งชิงลูกค้าและเริ่มได้เปรียบในการแข่งขัน ถ้าเป็นแบบนี้ การขายหุ้นก็มักเป็นทางเลือกที่ดีแม้ว่าอาจจะต้องขายในราคาที่ลดลงไปมากหรือแม้แต่ขายขาดทุน
ข้อสาม มีหุ้นหรือทางเลือกอื่นที่คุ้มค่ากว่าหุ้นที่เราถือไว้อย่างชัดเจนและเราไม่มีเงินสดในการลงทุน ในกรณีนี้เราอาจจะตัดสินใจขายหุ้นที่ถืออยู่เพื่อไปซื้อหุ้นตัวใหม่ อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้เราจะต้องมั่นใจมากว่าหุ้นตัวใหม่นั้นดีกว่าหุ้นบางตัวที่เราถือไว้จริง ๆ เนื่องจากโดยปกติแล้ว ความเข้าใจของเราในหุ้นตัวใหม่มักจะน้อยกว่าหุ้นที่เราถืออยู่ การขายหุ้นในกรณีนี้เองมักจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของมูลค่าพื้นฐานหรือราคาหุ้น นั่นคือ มันอาจจะยังเป็นหุ้น Value อยู่ เพียงแต่ว่าเราไปเจอหุ้นที่ดีมี Value มากกว่ามากเท่านั้น
ข้อสี่ หุ้นที่เราถืออยู่นั้น มีราคาสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานไปมากอย่างเห็นได้ชัด นี่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นเป็น “กระทิงดุ” อย่างในช่วงนี้ หรืออาจจะเกิดขึ้นได้กับหุ้นขนาดเล็กที่มีแรงเก็งกำไรเข้ามาสูงหรือมีการ “ปั่นหุ้น” ตัวนั้นทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเกินพื้นฐานมากอย่างไม่ต้องสงสัย ในกรณีแบบนี้ เราก็ควรจะขายทิ้ง และก็หวังว่าจะกลับเข้าไปซื้อใหม่ได้ในราคาที่ต่ำลงเมื่อตลาดตกลงมาหรือเมื่อการเก็งกำไรหรือการปั่นหุ้นนั้นหมดไป เกณฑ์ข้อนี้น่าจะเป็นข้อเดียวที่การตัดสินใจขายหุ้นนั้น อิงอยู่กับราคาหุ้นตัวนั้นในตลาด หัวใจสำคัญก็คือ เราต้องเห็นว่ามันมีสถานการณ์สองอย่างนั่นก็คือ ตลาดหลักทรัพย์ใกล้เป็นฟองสบู่ หรือไม่ก็ปริมาณการซื้อขายหุ้นตัวนั้นสูงลิ่วมีการซื้อขายเกินวันละ 4-5% ของ Market Cap. ติดต่อกันนาน บางวันอาจจะหลายสิบเปอร์เซ็นต์
ข้อสุดท้ายก็คือ ในบางครั้งหุ้นตัวที่เราถืออยู่อาจจะมีราคาเพิ่มขึ้นมากจนมันมีมูลค่าสูงเกินไปในพอร์ตโฟลิโอของเรา ในกรณีนี้ เราอาจจะรู้สึกว่ามันเสี่ยงเกินไปถ้าเกิดอะไรขึ้น ยกตัวอย่างเช่นเราไม่อยากให้หุ้นตัวไหนใหญ่เกิน 30% ของพอร์ต และเกิดมีหุ้นตัวหนึ่งซึ่งเราอาจจะซื้อมาครั้งแรกเท่ากับ 10% ของพอร์ต แต่ราคามันเพิ่มขึ้นเร็วและมากกว่าหุ้นตัวอื่นจนทำให้มันเป็น 35% แบบนี้เราก็อาจจะขายไป 5% ให้เหลือเพียง 30% เป็นต้น
กล่าวโดยสรุปก็คือ การขายหุ้นนั้นอาจจะมีเกณฑ์ที่แตกต่างจากการซื้อหุ้น เหตุผลใหญ่น่าจะเกิดจากการที่เราไม่สามารถที่จะประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้อย่างแม่นยำทำให้เราไม่รู้ว่าหุ้นนั้นมีราคาสูงกว่าพื้นฐานที่แท้จริงหรือไม่-ยกเว้นในบางกรณีที่ตัวเลขและสัญญาณทุกอย่างชัดเจน ในกรณีของวอเร็น บัฟเฟตต์เองนั้น จะเห็นว่าเขาขายหุ้นน้อยมาก เคยมีครั้งหนึ่งที่เขาซื้อหุ้นน้ำมันแห่งชาติของจีนและขายไปเนื่องจากราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากจนเขาต้องขายไปนั่นคือการขายในกรณีข้อสี่ เขาขายหุ้นของบริษัทการบินแห่งหนึ่งไปเพราะเขา “คิดผิด” ตามข้อหนึ่ง ตั้งแต่นั้นเขาไม่เคยสนใจหุ้นการบินอีกเลยเพราะเขาคิดว่ามันเป็นธุรกิจที่ “ลำบากมาก” รวมถึงกิจการสิ่งทอของเบิร์กไชร์ที่เขาบอกว่าคิดผิดที่ไปซื้อ หุ้นที่พื้นฐานเปลี่ยนไปตามข้อสองของบัฟเฟตต์น่าจะมีเหมือนกันถ้าผมเข้าใจไม่ผิดอาจจะรวมถึงกิจการรองเท้าที่บัฟเฟตต์เคยซื้อ ในข้อสามนั้น ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์จะมีเงินสดใหม่ ๆ เข้ามาลงทุนตลอดเวลา ดังนั้น เขาแทบไม่ต้องขายหุ้นเพื่อหาเงินสดมาลงทุนในหุ้นตัวใหม่เลย และในข้อสุดท้ายเรื่องของขนาดของหุ้นนั้น บัฟเฟตต์เองเคยซื้อหุ้นอเมริกันเอ็กซ์เพรสเกือบ 50% ของพอร์ต แต่ผมก็จำไม่ได้ว่าเขาต้องขายออกไปเพื่อลดขนาดของมันลงหรือไม่เมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เขาก็ไม่เคยมีปัญหาว่าหุ้นตัวไหนจะใหญ่เกินไปเนื่องจากพอร์ตของเขาใหญ่โตมหาศาล ส่วนตัวผมเองนั้น เท่าที่จำได้ก็ดูเหมือนว่าจะยึดเกณฑ์การขายหุ้น 5 ข้อดังกล่าวพอสมควรโดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ ที่เน้นลงทุนหุ้นแนว “ซุปเปอร์สต็อก”
จะขายหุ้นเมื่อไร
Monday, 11 March 2013
http://portal.settrade.com/blog/nivate/2013/03/11/1261
ในช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์บูมมาก ๆ อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ผมมักได้ยินหรือได้รับรู้ถึงความกระตือรือร้น-และความกังวลของคนสองกลุ่มที่อยู่ในตลาดหุ้น-หรือกำลังจะเข้ามาในตลาดหุ้น เกี่ยวกับว่า เขาควรจะซื้อหรือเข้ามาซื้อหุ้นได้หรือยัง? นี่เป็นคำถามข้อแรกโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่หรือนักลงทุนที่ไม่ได้ทุ่มเทนักกับการลงทุนแต่รู้สึกว่าการลงทุนในหุ้นในช่วงนี้น่าจะมีโอกาสทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าการฝากเงิน และอีกคำถามหนึ่งก็คือ เขาควรจะขายหุ้นได้แล้วหรือยัง? นี่ก็มักเป็นคำถามโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนมือเก่าหรือคนที่ทุ่มเทกับการลงทุนที่อาจจะมองว่าราคาหุ้นในตลาดได้ปรับตัวขึ้นมาสูงและเร็วมาก พวกเขากลัวว่าราคาหุ้นจะสูงเกินพื้นฐาน ดังนั้น เขาควรจะขายหุ้นไปก่อนหรือไม่ก่อนที่มันจะตกลงมาและทำให้ผลกำไรหรือความมั่งคั่งของเขาลดลงไปมาก ในการตอบคำถามของคนสองกลุ่มในสถานการณ์หรือภาวะตลาดเดียวกัน แต่คำถามกลับเป็นตรงกันข้าม ผมอยากจะบอกดังนี้
ข้อแรก เราควรจะซื้อหุ้นไหม? คำตอบของผมก็คือ ในการซื้อหุ้นนั้น หลักการแบบ VI ก็คือ เราต้องพอจะมีไอเดียหรือประเมินได้ว่า “มูลค่าพื้นฐาน” ของบริษัทหรือหุ้นตัวนั้นควรจะเป็นเท่าไร เมื่อได้แล้ว เราก็มาดูว่า “ราคา” ของหุ้นตัวนั้นเป็นเท่าไร จุดที่เราจะซื้อก็คือ ราคาหุ้นจะต้องต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน และในกรณีที่เราไม่ใคร่มั่นใจว่าเราคำนวณหรือประมาณมูลค่าพื้นฐานได้ถูกต้อง เนื่องจากว่าเรายังไม่มีความสามารถมากนักหรือกิจการของบริษัทไม่ใคร่สม่ำเสมอ เราก็จะต้องซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าของบริษัทมากขึ้น โดยส่วนต่างที่ว่านี้ก็คือ “Margin of Safety” ซึ่งต้องมีเพื่อความปลอดภัยในกรณีที่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
การหา “มูลค่าพื้นฐาน” นั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก ในทางปฏิบัตินักวิเคราะห์จึงหาตัวเลขที่ง่าย ๆ มาใช้ ตัวเลขยอดนิยมตัวหนึ่งก็คือค่า PE หรือราคาหุ้นเมื่อเทียบกับกำไรต่อหุ้นต่อปีของบริษัท วิธีก็คือ ดูว่ากำไรต่อหุ้นในปีที่ผ่านมาหรือใน 4 ไตรมาศที่ผ่านมาเป็นเท่าไร เสร็จแล้วก็คูณด้วยตัวเลขตัวหนึ่ง เช่น 15 เท่า ก็จะได้ “ราคาพื้นฐาน” ต่อหุ้น ตัวเลข 15 นั้นอาจจะมาจากค่า PE เฉลี่ยของหุ้นตัวนั้นในอดีต หรืออาจจะมาจากค่า PE ของอุตสาหกรรมของหุ้นตัวนั้น หรืออาจจะอ้างอิงจากค่า PE ของตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ที่ประมาณ 18 เท่าในช่วงนี้ และนี่ก็จะจบประเด็นว่าเราควรจะซื้อหุ้นหรือไม่
ข้อที่สองที่ผมอยากจะพูดถึงมากกว่าก็คือ กฎเกณฑ์ในการขายหุ้น ซึ่งสำหรับ VI หลายคนนั้นอาจจะมองว่ามันควรจะเป็นเกณฑ์เดียวกับการซื้อหุ้น นั่นก็คือ ถ้าราคาหุ้นเกินหรือสูงกว่ามูลค่าหรือราคาพื้นฐาน เราก็ควรจะขายหุ้นทิ้ง คือถ้าคุณไม่ซื้อซึ่งจะทำให้คุณต้องถือมัน มันก็จะต้องถูกขายออกไป แต่นี่ไม่ใช่วิธีการของ “VI ในตำนาน” หลาย ๆ คน ที่ดูเหมือนว่าการขายหุ้นอาจจะมีกฎเกณฑ์อีกแบบหนึ่ง และต่อไปนี้ก็คือสิ่งที่ผมรวบรวมมาเพื่อให้พิจารณา
ข้อแรกก็คือ เราควรขายหุ้นถ้าเรา “คิดผิด” ซึ่งนี่อาจจะไม่เกี่ยวกับราคาหรือมูลค่าพื้นฐานของหุ้นเลยก็ได้ ตัวอย่างเช่น เราคิดว่าบริษัทนั้นเป็นกิจการที่ “โตเร็ว” ต่อมาเราพบว่ายอดขายหรือกำไรที่เห็นนั้นไม่ได้มาจากธุรกิจปกติแต่เป็นยอดขายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว แบบนี้ เราอาจจะขายหุ้นทิ้งเลย หรืออาจจะต้องวิเคราะห์ใหม่ซึ่งอาจจะทำให้เราพบว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะถือไว้
ข้อสอง พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่เราถือหุ้นมาระยะหนึ่ง นี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของราคาหุ้นที่จะขึ้นหรือลง แต่เป็นเรื่องที่ว่าพื้นฐานหรือการดำเนินงานหรือความเข้มแข็งของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง อาจจะเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมหรือเกิดจากคู่แข่งที่เข้มแข็งกว่าเข้ามาแย่งชิงลูกค้าและเริ่มได้เปรียบในการแข่งขัน ถ้าเป็นแบบนี้ การขายหุ้นก็มักเป็นทางเลือกที่ดีแม้ว่าอาจจะต้องขายในราคาที่ลดลงไปมากหรือแม้แต่ขายขาดทุน
ข้อสาม มีหุ้นหรือทางเลือกอื่นที่คุ้มค่ากว่าหุ้นที่เราถือไว้อย่างชัดเจนและเราไม่มีเงินสดในการลงทุน ในกรณีนี้เราอาจจะตัดสินใจขายหุ้นที่ถืออยู่เพื่อไปซื้อหุ้นตัวใหม่ อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้เราจะต้องมั่นใจมากว่าหุ้นตัวใหม่นั้นดีกว่าหุ้นบางตัวที่เราถือไว้จริง ๆ เนื่องจากโดยปกติแล้ว ความเข้าใจของเราในหุ้นตัวใหม่มักจะน้อยกว่าหุ้นที่เราถืออยู่ การขายหุ้นในกรณีนี้เองมักจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของมูลค่าพื้นฐานหรือราคาหุ้น นั่นคือ มันอาจจะยังเป็นหุ้น Value อยู่ เพียงแต่ว่าเราไปเจอหุ้นที่ดีมี Value มากกว่ามากเท่านั้น
ข้อสี่ หุ้นที่เราถืออยู่นั้น มีราคาสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานไปมากอย่างเห็นได้ชัด นี่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นเป็น “กระทิงดุ” อย่างในช่วงนี้ หรืออาจจะเกิดขึ้นได้กับหุ้นขนาดเล็กที่มีแรงเก็งกำไรเข้ามาสูงหรือมีการ “ปั่นหุ้น” ตัวนั้นทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเกินพื้นฐานมากอย่างไม่ต้องสงสัย ในกรณีแบบนี้ เราก็ควรจะขายทิ้ง และก็หวังว่าจะกลับเข้าไปซื้อใหม่ได้ในราคาที่ต่ำลงเมื่อตลาดตกลงมาหรือเมื่อการเก็งกำไรหรือการปั่นหุ้นนั้นหมดไป เกณฑ์ข้อนี้น่าจะเป็นข้อเดียวที่การตัดสินใจขายหุ้นนั้น อิงอยู่กับราคาหุ้นตัวนั้นในตลาด หัวใจสำคัญก็คือ เราต้องเห็นว่ามันมีสถานการณ์สองอย่างนั่นก็คือ ตลาดหลักทรัพย์ใกล้เป็นฟองสบู่ หรือไม่ก็ปริมาณการซื้อขายหุ้นตัวนั้นสูงลิ่วมีการซื้อขายเกินวันละ 4-5% ของ Market Cap. ติดต่อกันนาน บางวันอาจจะหลายสิบเปอร์เซ็นต์
ข้อสุดท้ายก็คือ ในบางครั้งหุ้นตัวที่เราถืออยู่อาจจะมีราคาเพิ่มขึ้นมากจนมันมีมูลค่าสูงเกินไปในพอร์ตโฟลิโอของเรา ในกรณีนี้ เราอาจจะรู้สึกว่ามันเสี่ยงเกินไปถ้าเกิดอะไรขึ้น ยกตัวอย่างเช่นเราไม่อยากให้หุ้นตัวไหนใหญ่เกิน 30% ของพอร์ต และเกิดมีหุ้นตัวหนึ่งซึ่งเราอาจจะซื้อมาครั้งแรกเท่ากับ 10% ของพอร์ต แต่ราคามันเพิ่มขึ้นเร็วและมากกว่าหุ้นตัวอื่นจนทำให้มันเป็น 35% แบบนี้เราก็อาจจะขายไป 5% ให้เหลือเพียง 30% เป็นต้น
กล่าวโดยสรุปก็คือ การขายหุ้นนั้นอาจจะมีเกณฑ์ที่แตกต่างจากการซื้อหุ้น เหตุผลใหญ่น่าจะเกิดจากการที่เราไม่สามารถที่จะประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้อย่างแม่นยำทำให้เราไม่รู้ว่าหุ้นนั้นมีราคาสูงกว่าพื้นฐานที่แท้จริงหรือไม่-ยกเว้นในบางกรณีที่ตัวเลขและสัญญาณทุกอย่างชัดเจน ในกรณีของวอเร็น บัฟเฟตต์เองนั้น จะเห็นว่าเขาขายหุ้นน้อยมาก เคยมีครั้งหนึ่งที่เขาซื้อหุ้นน้ำมันแห่งชาติของจีนและขายไปเนื่องจากราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากจนเขาต้องขายไปนั่นคือการขายในกรณีข้อสี่ เขาขายหุ้นของบริษัทการบินแห่งหนึ่งไปเพราะเขา “คิดผิด” ตามข้อหนึ่ง ตั้งแต่นั้นเขาไม่เคยสนใจหุ้นการบินอีกเลยเพราะเขาคิดว่ามันเป็นธุรกิจที่ “ลำบากมาก” รวมถึงกิจการสิ่งทอของเบิร์กไชร์ที่เขาบอกว่าคิดผิดที่ไปซื้อ หุ้นที่พื้นฐานเปลี่ยนไปตามข้อสองของบัฟเฟตต์น่าจะมีเหมือนกันถ้าผมเข้าใจไม่ผิดอาจจะรวมถึงกิจการรองเท้าที่บัฟเฟตต์เคยซื้อ ในข้อสามนั้น ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์จะมีเงินสดใหม่ ๆ เข้ามาลงทุนตลอดเวลา ดังนั้น เขาแทบไม่ต้องขายหุ้นเพื่อหาเงินสดมาลงทุนในหุ้นตัวใหม่เลย และในข้อสุดท้ายเรื่องของขนาดของหุ้นนั้น บัฟเฟตต์เองเคยซื้อหุ้นอเมริกันเอ็กซ์เพรสเกือบ 50% ของพอร์ต แต่ผมก็จำไม่ได้ว่าเขาต้องขายออกไปเพื่อลดขนาดของมันลงหรือไม่เมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เขาก็ไม่เคยมีปัญหาว่าหุ้นตัวไหนจะใหญ่เกินไปเนื่องจากพอร์ตของเขาใหญ่โตมหาศาล ส่วนตัวผมเองนั้น เท่าที่จำได้ก็ดูเหมือนว่าจะยึดเกณฑ์การขายหุ้น 5 ข้อดังกล่าวพอสมควรโดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ ที่เน้นลงทุนหุ้นแนว “ซุปเปอร์สต็อก”
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 53
ส่วนหนึ่งจากบทความ คิดมุมกลับอย่าง “ชาร์ลี มังเจอร์” ของคุณ ประภาคาร ภราดรภิบาล
..................................
“วอร์เรน บัฟเฟตต์” ก็เคยกล่าวถึงการมองมุมกลับของ “ชาร์ลี มังเจอร์” คู่หูของเขาว่า “บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกว่าการศึกษาความล้มเหลวของธุรกิจมีประโยชน์กว่าการศึกษาความสำเร็จของธุรกิจ โดยทั่วไปสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจมักจะศึกษาความสำเร็จของธุรกิจ แต่หุ้นส่วนของผม – ชาร์ลี มังเจอร์ กล่าวว่า เขาอยากรู้ว่าเขาจะตายที่ไหน เพื่อที่เขาจะได้ไม่ไปที่นั่น”
การคิดมุมกลับของ “ชาร์ลี มังเจอร์” ก็คือการประเมินสถานการณ์ในแง่ของ Worst Case หรือกรณีที่เลวร้ายที่สุดว่าจะมาจากปัจจัยใดบ้าง เพื่อที่เขาจะได้หลีกเลี่ยงการกระทำที่จะนำไปสู่สถานการณ์เช่นนั้น
เขากล่าวแนะนำไว้ว่า “ให้มองมุมกลับอยู่เสมอ พลิกดูอีกด้านหนึ่งของสถานการณ์หรือปัญหา ลองมองมุมกลับดูว่า อะไรจะเกิดขึ้นถ้าแผนการของเราผิดพลาด? และจะทำอย่างไรถ้าคุณได้ไปในที่ที่ไม่ต้องการจะไป? แทนที่จะมองหาความสำเร็จ ลองไล่เรียงแนวทางที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวดู ความเกียจคร้าน, ความอิจฉา, ความไม่พึงพอใจ, ความสงสารตัวเอง หลีกเลี่ยงนิสัยแห่งความล้มเหลวเหล่านี้ แล้วคุณจะประสบความสำเร็จ”
....................................
..................................
“วอร์เรน บัฟเฟตต์” ก็เคยกล่าวถึงการมองมุมกลับของ “ชาร์ลี มังเจอร์” คู่หูของเขาว่า “บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกว่าการศึกษาความล้มเหลวของธุรกิจมีประโยชน์กว่าการศึกษาความสำเร็จของธุรกิจ โดยทั่วไปสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจมักจะศึกษาความสำเร็จของธุรกิจ แต่หุ้นส่วนของผม – ชาร์ลี มังเจอร์ กล่าวว่า เขาอยากรู้ว่าเขาจะตายที่ไหน เพื่อที่เขาจะได้ไม่ไปที่นั่น”
การคิดมุมกลับของ “ชาร์ลี มังเจอร์” ก็คือการประเมินสถานการณ์ในแง่ของ Worst Case หรือกรณีที่เลวร้ายที่สุดว่าจะมาจากปัจจัยใดบ้าง เพื่อที่เขาจะได้หลีกเลี่ยงการกระทำที่จะนำไปสู่สถานการณ์เช่นนั้น
เขากล่าวแนะนำไว้ว่า “ให้มองมุมกลับอยู่เสมอ พลิกดูอีกด้านหนึ่งของสถานการณ์หรือปัญหา ลองมองมุมกลับดูว่า อะไรจะเกิดขึ้นถ้าแผนการของเราผิดพลาด? และจะทำอย่างไรถ้าคุณได้ไปในที่ที่ไม่ต้องการจะไป? แทนที่จะมองหาความสำเร็จ ลองไล่เรียงแนวทางที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวดู ความเกียจคร้าน, ความอิจฉา, ความไม่พึงพอใจ, ความสงสารตัวเอง หลีกเลี่ยงนิสัยแห่งความล้มเหลวเหล่านี้ แล้วคุณจะประสบความสำเร็จ”
....................................
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 54
จะซื้อหุ้นตัวไหน? 15 ข้อที่ต้องมองหาในหุ้นสามัญ
1. บริษัทมีสินค้าหรือบริการที่มีศักยภาพของตลาดเพียงพอที่จะทำให้มีการเพิ่มขึ้นของยอดขายเป็นเวลาอย่างน้อยหลายปีไหม?
2. ฝ่ายจัดการมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าหรือกระบวนการผลิตต่อเนื่องที่จะยังคงสามารถเพิ่มยอดขายรวมในอนาคต เมื่อโอกาสการเติบโตของสินค้าที่น่าสนใจในปัจจุบันใกล้จุดอิ่มตัวไหม?
3. ประสิทธิภาพของงานวิจัยและพัฒนาของบริษัทเป็นอย่างไรเมื่อเทียบ...กับขนาดของมัน?
4. บริษัทมีหน่วยงานขายที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยหรือไม่?
5. บริษัทมีกำไรต่อยอดขายที่คุ้มค่าไหม?
6. บริษัททำอะไรที่จะรักษาหรือทำให้กำไรต่อยอดขายเพิ่มขึ้น?
7. บริษัทมีแรงงานสัมพันธ์ที่โดดเด่นหรือไม่?
8. บริษัทมีความสัมพันธ์ของผู้บริหารที่โดดเด่นหรือไม่?
9. บริษัทมีฝ่ายบริหารเพียงพอไหม?
10. ระบบการวิเคราะห์ต้นทุนและการควบคุมทางบัญชีของบริษัทดีแค่ไหน?
11. มีประเด็นอื่นๆ ของธุรกิจซึ่งค่อนข้างจะเป็นลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อ ซึ่งจะทำให้ร่องรอยที่สำคัญกับนักลงทุนว่า บริษัทมีความโดดเด่นอย่างไรเมื่อเทียบกับคู่แข่งหรือไม่?
12. บริษัทมีภาพระยะสั้นและรยะยาวเกี่ยวกับกำไรของบริษัทหรือไม่?
13. ในอนาคตที่มองเห็นได้ การเจริญเติบโตของบริษัทจะต้องการเงินทุนจากผู้ถือหุ้นเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจะไปลบล้างผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเดิมจากการเจริญเติบโตที่คาดหวังหรือไม่?
14. ฝ่ายจัดการพูดกับนักลงทุนอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับกิจการเมื่อสิ่งต่างๆ เป็นไปด้วยดี แต่หมกเม็ดเมื่อมีปัญหาและสิ่งที่น่าผิดหวังเกิดขึ้นหรือไม่?
15. บริษัทมีฝ่ายการจัดการที่มีความน่าเชื่อถือร้อยเปอร์เซ็นหรือไม่?
ขอขอบคุณหนังสือ หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ, ผู้เขียน Philip A. Fisher, ผู้แปล ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
แนะนำให้อ่านเพิ่มเติมในหนังสือดีมากๆ เลยครับ
=ปลูกหุ้นกินผล=
1. บริษัทมีสินค้าหรือบริการที่มีศักยภาพของตลาดเพียงพอที่จะทำให้มีการเพิ่มขึ้นของยอดขายเป็นเวลาอย่างน้อยหลายปีไหม?
2. ฝ่ายจัดการมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าหรือกระบวนการผลิตต่อเนื่องที่จะยังคงสามารถเพิ่มยอดขายรวมในอนาคต เมื่อโอกาสการเติบโตของสินค้าที่น่าสนใจในปัจจุบันใกล้จุดอิ่มตัวไหม?
3. ประสิทธิภาพของงานวิจัยและพัฒนาของบริษัทเป็นอย่างไรเมื่อเทียบ...กับขนาดของมัน?
4. บริษัทมีหน่วยงานขายที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยหรือไม่?
5. บริษัทมีกำไรต่อยอดขายที่คุ้มค่าไหม?
6. บริษัททำอะไรที่จะรักษาหรือทำให้กำไรต่อยอดขายเพิ่มขึ้น?
7. บริษัทมีแรงงานสัมพันธ์ที่โดดเด่นหรือไม่?
8. บริษัทมีความสัมพันธ์ของผู้บริหารที่โดดเด่นหรือไม่?
9. บริษัทมีฝ่ายบริหารเพียงพอไหม?
10. ระบบการวิเคราะห์ต้นทุนและการควบคุมทางบัญชีของบริษัทดีแค่ไหน?
11. มีประเด็นอื่นๆ ของธุรกิจซึ่งค่อนข้างจะเป็นลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อ ซึ่งจะทำให้ร่องรอยที่สำคัญกับนักลงทุนว่า บริษัทมีความโดดเด่นอย่างไรเมื่อเทียบกับคู่แข่งหรือไม่?
12. บริษัทมีภาพระยะสั้นและรยะยาวเกี่ยวกับกำไรของบริษัทหรือไม่?
13. ในอนาคตที่มองเห็นได้ การเจริญเติบโตของบริษัทจะต้องการเงินทุนจากผู้ถือหุ้นเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจะไปลบล้างผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเดิมจากการเจริญเติบโตที่คาดหวังหรือไม่?
14. ฝ่ายจัดการพูดกับนักลงทุนอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับกิจการเมื่อสิ่งต่างๆ เป็นไปด้วยดี แต่หมกเม็ดเมื่อมีปัญหาและสิ่งที่น่าผิดหวังเกิดขึ้นหรือไม่?
15. บริษัทมีฝ่ายการจัดการที่มีความน่าเชื่อถือร้อยเปอร์เซ็นหรือไม่?
ขอขอบคุณหนังสือ หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ, ผู้เขียน Philip A. Fisher, ผู้แปล ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
แนะนำให้อ่านเพิ่มเติมในหนังสือดีมากๆ เลยครับ
=ปลูกหุ้นกินผล=
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 55
ห้าอย่าสำหรับนักลงทุน
1. อย่าซื้อบริษัทที่อยู่ในช่วงก่อตั้ง
บริษัทที่อยู่ในช่วงก่อตั้ง สิ่งที่นักลงทุนทำได้ก็คือการดูแบบพิมพ์เขียวและเดาว่าปัญหาและจุดแข็งน่าจะเป็นอะไร นี่เป็นสิ่งที่ยากมากที่จะทำและมีโอกาสผิดพลาดสูงมาก
2. อย่าละเลยหุ้นที่ดีเพียงเพราะมันซื้อขายกันในตลาด Over The Counter หรือ OTC (หุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียน)
3. อย่าซื้อเพียงเพราะว่าคุณชอบ "สุ้มเสียง" ของรายงานประจำปีของบริษัท
การปล่อยให้รายงานประจำปีมีอิทธิพลต่อการซื้อหุ้นก็เหมือนกับการซื้อสินค้าเพราะโฆษณาที่เชื้อเชิญในป้ายโฆษณา
4. อย่าสรุปว่าราคาหุ้นที่อาจสูงเมื่อเทียบกับกำไรจะเป็นสิ่งที่แสดงถึงว่าการเจริญเติบโตต่อไปของกำไรนั้นส่วนใหญ่ได้ถูกสะท้อนในราคาหุ้นหมดแล้ว
5. อย่าเกี่ยงกับราคาแค่ 1/8 หรือ 1/4 ที่แทบไม่มีนัยสำคัญเลยเมื่อเปรียบเทียบกับกำไรที่จะพลาดถ้าซื้อหุ้นไม่ได้
อีกห้าอย่าสำหรับนักลงทุน
1.อย่าเน้นการกระจายความเสี่ยงโดยการกระจายการถือหุ้นมากเกินไป
2.อย่ากลัวที่จะซื้อหุ้นในภาวะที่กลัวสงคราม
3.อย่าถูกโน้มน้าวโดยสิ่งไม่สำคัญ ราคาหุ้นที่ซื้อขายกันเมื่อ4ปีมาแล้วอาจจะมีความสัมพันธ์น้อยหรือไม่มีความสัมพันธ์กับราคาที่ซื้อขายกันในวันนี้
4.อย่าลืมที่จะพิจารณาเวลาเช่นเดียวกับราคาในการซื้อหุ้นที่เติบโตอย่างแท้จริง
5.อย่าตามฝูงชน
แนะนำให้อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมในหนังสือนะครับ
ขอขอบคุณหนังสือ หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ, เขียนโดย Philip A. Fisher, แปลโดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
1. อย่าซื้อบริษัทที่อยู่ในช่วงก่อตั้ง
บริษัทที่อยู่ในช่วงก่อตั้ง สิ่งที่นักลงทุนทำได้ก็คือการดูแบบพิมพ์เขียวและเดาว่าปัญหาและจุดแข็งน่าจะเป็นอะไร นี่เป็นสิ่งที่ยากมากที่จะทำและมีโอกาสผิดพลาดสูงมาก
2. อย่าละเลยหุ้นที่ดีเพียงเพราะมันซื้อขายกันในตลาด Over The Counter หรือ OTC (หุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียน)
3. อย่าซื้อเพียงเพราะว่าคุณชอบ "สุ้มเสียง" ของรายงานประจำปีของบริษัท
การปล่อยให้รายงานประจำปีมีอิทธิพลต่อการซื้อหุ้นก็เหมือนกับการซื้อสินค้าเพราะโฆษณาที่เชื้อเชิญในป้ายโฆษณา
4. อย่าสรุปว่าราคาหุ้นที่อาจสูงเมื่อเทียบกับกำไรจะเป็นสิ่งที่แสดงถึงว่าการเจริญเติบโตต่อไปของกำไรนั้นส่วนใหญ่ได้ถูกสะท้อนในราคาหุ้นหมดแล้ว
5. อย่าเกี่ยงกับราคาแค่ 1/8 หรือ 1/4 ที่แทบไม่มีนัยสำคัญเลยเมื่อเปรียบเทียบกับกำไรที่จะพลาดถ้าซื้อหุ้นไม่ได้
อีกห้าอย่าสำหรับนักลงทุน
1.อย่าเน้นการกระจายความเสี่ยงโดยการกระจายการถือหุ้นมากเกินไป
2.อย่ากลัวที่จะซื้อหุ้นในภาวะที่กลัวสงคราม
3.อย่าถูกโน้มน้าวโดยสิ่งไม่สำคัญ ราคาหุ้นที่ซื้อขายกันเมื่อ4ปีมาแล้วอาจจะมีความสัมพันธ์น้อยหรือไม่มีความสัมพันธ์กับราคาที่ซื้อขายกันในวันนี้
4.อย่าลืมที่จะพิจารณาเวลาเช่นเดียวกับราคาในการซื้อหุ้นที่เติบโตอย่างแท้จริง
5.อย่าตามฝูงชน
แนะนำให้อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมในหนังสือนะครับ
ขอขอบคุณหนังสือ หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ, เขียนโดย Philip A. Fisher, แปลโดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 56
ส่วนหนึ่งของบทความ ฟองสบู่ตลาดหุ้น โดยคุณวีระพงษ์ ธัม "การซื้อหุ้นไม่ว่าจะคุณภาพดีแค่ไหนก็เป็นการลงทุนชั้นแย่ได้ ถ้าซื้อในราคาแพงเกินไป และหุ้นไม่ใช่สินทรัพย์ที่สามารถซื้อแล้วถือทิ้งไว้ได้โดยไม่ต้องทบทวน"
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 57
ท่านอาจารย์ ดร. นิเวศน์ ท่านได้ให้แนวคิดเรื่อง "การเรียนรู้และปรับตัวตลอดชีวิต" ได้ดีมากๆ ขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ
.....................
การเรียนรู้ ปรับตัว และพัฒนาไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดนั้น เป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงหรือมีความสามารถโดดเด่นในช่วงเวลาหนึ่งแต่แล้ว “ติด” อยู่กับสิ่งเดิมและไม่เรียนรู้เพิ่มเติมนั้น ไม่มีทางจะประสบความสำเร็จเท่าคนที่ “วิวัฒนาการ” ไปเรื่อย ๆ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไปอย่างช้า ๆ แต่การไม่หยุดนั้น ย่อมทำให้สุดท้ายแล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า...
อ่านฉบับเต็มได้ตามลิงค์ครับ
http://portal.settrade.com/blog/nivate/2014/10/27/1485
.....................
การเรียนรู้ ปรับตัว และพัฒนาไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดนั้น เป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงหรือมีความสามารถโดดเด่นในช่วงเวลาหนึ่งแต่แล้ว “ติด” อยู่กับสิ่งเดิมและไม่เรียนรู้เพิ่มเติมนั้น ไม่มีทางจะประสบความสำเร็จเท่าคนที่ “วิวัฒนาการ” ไปเรื่อย ๆ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไปอย่างช้า ๆ แต่การไม่หยุดนั้น ย่อมทำให้สุดท้ายแล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า...
อ่านฉบับเต็มได้ตามลิงค์ครับ
http://portal.settrade.com/blog/nivate/2014/10/27/1485
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 58
การเลือกลงทุนในบริษัทที่มีผู้บริหารที่มีความซื่อสัตย์นี้สำคัญจริงๆ เพราะจากบริษัทที่นักลงทุนพิจารณาว่าดีมีความมั่นคง แต่แล้วมีผู้บริหารที่ไม่ซื่อสัตย์ก็เกิดหายนะได้เช่นกัน
...................................................
บรรดาผู้บริหารบริษัทเทสโก้ อาจต้องเผชิญหน้ากับการถูกจำคุก!’
สื่อในอังกฤษเล่นข่าวนี้อย่างครึกโครมเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา หลังทราบว่า ทาง สำนักงานตรวจสอบการฉ้อโกงร้ายแรง ในอังกฤษ (Serious Fraud Office) หรือ SFO จะเริ่มเข้ามาดำเนินการ สืบหาสาเหตุที่พบว่า มีการตกแต่งบัญชีของ บริษัท เทสโก้ ห้างค้าปลีกชื่อดังยักษ์ใหญ่ จนมีกำไรเกินจริงเมื่อปีที่แล้วถึง 263 ล้านปอนด์ หรือราว 1.3 หมื่นล้านบาท...
เฉพาะ ลำพังสำนักงาน SFO เข้ามาดำเนินการสอบสวนในเรื่องนี้ ก็เป็นข่าวใหญ่มากพออยู่แล้ว แต่เรื่องที่สร้างความฮือฮามากย่ิงขึ้นไปอีก ก็คือ ขณะนี้ ได้มีการสั่งพักงานผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทสโก้ไปแล้ว ถึง 8 คน !!
และในจำนวนผู้บริหาร ทั้ง 8 คน หาก SFO มีการสืบสวนสวนแล้ว พบหลักฐานมีพฤติกรรมฉ้อโกงบริษัท ย่อมนำไปสู่การถูกดำเนินคดี และมีสิทธิติดคุกนานถึง 10 ปี เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีอาญา...
http://www.thairath.co.th/content/460318
...................................................
บรรดาผู้บริหารบริษัทเทสโก้ อาจต้องเผชิญหน้ากับการถูกจำคุก!’
สื่อในอังกฤษเล่นข่าวนี้อย่างครึกโครมเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา หลังทราบว่า ทาง สำนักงานตรวจสอบการฉ้อโกงร้ายแรง ในอังกฤษ (Serious Fraud Office) หรือ SFO จะเริ่มเข้ามาดำเนินการ สืบหาสาเหตุที่พบว่า มีการตกแต่งบัญชีของ บริษัท เทสโก้ ห้างค้าปลีกชื่อดังยักษ์ใหญ่ จนมีกำไรเกินจริงเมื่อปีที่แล้วถึง 263 ล้านปอนด์ หรือราว 1.3 หมื่นล้านบาท...
เฉพาะ ลำพังสำนักงาน SFO เข้ามาดำเนินการสอบสวนในเรื่องนี้ ก็เป็นข่าวใหญ่มากพออยู่แล้ว แต่เรื่องที่สร้างความฮือฮามากย่ิงขึ้นไปอีก ก็คือ ขณะนี้ ได้มีการสั่งพักงานผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทสโก้ไปแล้ว ถึง 8 คน !!
และในจำนวนผู้บริหาร ทั้ง 8 คน หาก SFO มีการสืบสวนสวนแล้ว พบหลักฐานมีพฤติกรรมฉ้อโกงบริษัท ย่อมนำไปสู่การถูกดำเนินคดี และมีสิทธิติดคุกนานถึง 10 ปี เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีอาญา...
http://www.thairath.co.th/content/460318
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 59
....โมเดลของ Arthur Lewis นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบิล ที่ตีพิมพ์ผลการศึกษาเรื่องของการพัฒนาทางเศรษฐกิจตั้งแต่ 60 ปีที่แล้วสามารถจะอธิบายได้ดี แนวความคิดของ Lewis ก็คือ ในสังคมที่มีคนอยู่ในสองภาค ภาคหนึ่งคือสังคมแบบ “ทุนนิยม” เช่นในเมืองหลวงหรือเมืองท่าขนาดใหญ่ กับอีกภาคหนึ่งคือสังคมแบบ “พออยู่พอกิน” เช่นในชนบทหรือในต่างจังหวัดที่ห่างไกลนั้น กระบวนการการพัฒนาทางเศรษฐกิจจะเริ่มต้นโดยที่โรงงานอุตสาหกรรมหรือธุรกิจสามารถที่จะลงทุนขยายงานโดยที่มี “แรงงานส่วนเกินที่ไม่จำกัด” จากชนบท ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าแรงเพิ่ม นี่ทำให้ธุรกิจมีกำไรดีกว่าปกติและกำไรที่ได้ก็นำไปลงทุนขยายงานเพิ่มโดยที่สามารถดึงคนจากชนบทมาทำงานโดยไม่ต้องจ่ายค่าแรงเพิ่ม กระบวนการนี้ทำให้ประเทศพัฒนาก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นเศรษฐกิจทุนนิยมสมัยใหม่ จุดที่แรงงานในภาคพออยู่พอกินถูก “ดูดซับ” ไปหมดและการลงทุนเพิ่มต่อไปจะทำให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นนั้นก็คือจุดที่เรียกว่า “Lewis Turning Point” (LTP).........
.....ประเทศคู่แข่ง-และ “คู่ค้า” ที่อยู่รอบบ้านเรานี้ กำลังมาแรงในด้านของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ พวกเขายังห่างจากจุด LTP มาก ว่าที่จริงหลายประเทศเพิ่งจะเริ่มพัฒนาทางเศรษฐกิจและอาศัยแรงงานที่มีค่าแรงถูกที่มีอยู่อย่างไม่จำกัด ไทยเองใกล้หรืออาจจะถึงจุด LTP แล้ว ดังนั้น การที่จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วต่อไปจึงต้องการแรงงานเพิ่มซึ่งในปัจจุบันก็คือแรงงานต่างด้าวเป็นหลัก เพราะเป็นเรื่องยากที่จะเพิ่มคนโดยการกระตุ้นให้คนไทยมีลูกมากขึ้นหรือเปิดรับคนเข้าเมืองแบบ อเมริกาหรือออสเตรเลีย นอกจากนั้น การเพิ่มผลิตภาพของแรงงานเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดเนื่องจากมันจะช่วยสร้างความ “อยู่ดีกินดี” ของประชาชนอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากมันต้องอาศัยการศึกษาที่ดีของประชากรและอื่น ๆ อีกมากรวมถึงการจัดการและลงทุนในด้านของสาธารณูปโภคต่าง ๆ ซึ่งก็ต้องอาศัยรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและมองการณ์ไกล ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ไทยยังไม่พร้อมนัก
ดังนั้น สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าเมืองไทยเองนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่จะ “รวม” เป็นเออีซีในปีหน้า เราคงเสียเปรียบ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวเราคงสู้ไม่ได้ และผลที่ตามมาก็คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นก็อาจจะไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม บริษัทจดทะเบียนไทยที่สามารถรุกเข้าไปในเออีซีก็อาจจะเติบโตได้ดีและรุ่งเรืองได้ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจไทยอาจจะไม่โดดเด่นนัก นอกจาก “ซุปเปอร์สต็อก” เหล่านั้นแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่จะอยู่รอดและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวก็คือ เข้าไปลงทุนในประเทศเหล่านั้นโดยตรง
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร. นิเวศน์ และอ่านฉบับเต็มได้ที่ http://www.thaivi.org/the-lewis-turning-point/
.....ประเทศคู่แข่ง-และ “คู่ค้า” ที่อยู่รอบบ้านเรานี้ กำลังมาแรงในด้านของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ พวกเขายังห่างจากจุด LTP มาก ว่าที่จริงหลายประเทศเพิ่งจะเริ่มพัฒนาทางเศรษฐกิจและอาศัยแรงงานที่มีค่าแรงถูกที่มีอยู่อย่างไม่จำกัด ไทยเองใกล้หรืออาจจะถึงจุด LTP แล้ว ดังนั้น การที่จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วต่อไปจึงต้องการแรงงานเพิ่มซึ่งในปัจจุบันก็คือแรงงานต่างด้าวเป็นหลัก เพราะเป็นเรื่องยากที่จะเพิ่มคนโดยการกระตุ้นให้คนไทยมีลูกมากขึ้นหรือเปิดรับคนเข้าเมืองแบบ อเมริกาหรือออสเตรเลีย นอกจากนั้น การเพิ่มผลิตภาพของแรงงานเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดเนื่องจากมันจะช่วยสร้างความ “อยู่ดีกินดี” ของประชาชนอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากมันต้องอาศัยการศึกษาที่ดีของประชากรและอื่น ๆ อีกมากรวมถึงการจัดการและลงทุนในด้านของสาธารณูปโภคต่าง ๆ ซึ่งก็ต้องอาศัยรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและมองการณ์ไกล ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ไทยยังไม่พร้อมนัก
ดังนั้น สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าเมืองไทยเองนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่จะ “รวม” เป็นเออีซีในปีหน้า เราคงเสียเปรียบ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวเราคงสู้ไม่ได้ และผลที่ตามมาก็คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นก็อาจจะไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม บริษัทจดทะเบียนไทยที่สามารถรุกเข้าไปในเออีซีก็อาจจะเติบโตได้ดีและรุ่งเรืองได้ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจไทยอาจจะไม่โดดเด่นนัก นอกจาก “ซุปเปอร์สต็อก” เหล่านั้นแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่จะอยู่รอดและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวก็คือ เข้าไปลงทุนในประเทศเหล่านั้นโดยตรง
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร. นิเวศน์ และอ่านฉบับเต็มได้ที่ http://www.thaivi.org/the-lewis-turning-point/
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
โพสต์ที่ 60
เป็นสมาชิก thaivi มาได้ครบ 1 ปี ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่ให้ความรู้ครับ
...................................................
1. ข้อมูลสมาชิกของท่าน
1.1 ชื่อล็อกอิน (Login Name) : ปลูกหุ้นกินผล
1.2 ประเภทสมาชิก (Member Type) : 1 ปี
1.3 วันสมัครสมาชิก (Member Date) : 20/11/2556
1.4 วันหมดอายุสมาชิก (Expire Date) : 30/11/2557
....................................................
ขอนำสโลแกนของคุณ picatos มาเตือนตัวเองหน่อยนะครับ
"วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่"
...................................................
1. ข้อมูลสมาชิกของท่าน
1.1 ชื่อล็อกอิน (Login Name) : ปลูกหุ้นกินผล
1.2 ประเภทสมาชิก (Member Type) : 1 ปี
1.3 วันสมัครสมาชิก (Member Date) : 20/11/2556
1.4 วันหมดอายุสมาชิก (Expire Date) : 30/11/2557
....................................................
ขอนำสโลแกนของคุณ picatos มาเตือนตัวเองหน่อยนะครับ
"วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่"
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol