เจาะคัมภีร์ต่อเงิน'กระทรวง จารุศิระ'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, August 25, 2014 05:52
ชาลินี กุลแพทย์
จับมือพันธมิตรลงทุนบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ แผนงอกเงินในกระเป๋าครั้งใหม่ของ "กระทรวง จารุศิระ" เจ้าของแชมป์สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ตลาดหุ้นไทย 2013 "กำไรร้อยเปอร์เซ็นต์" เป้าหมายการลงทุนต่อหนึ่งดีล
"ได้เวลาเปลี่ยนวิธีโกยกำไร"
เมื่อพอร์ตลงทุนขยายตัวใหญ่ขึ้นแตะหลัก สิบล้านบาท "ซัน-กระทรวง จารุศิระ" เจ้าของแชมป์สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ตลาดหุ้นไทย 2013 จำต้องปรับเส้นทางการลงทุนครั้งใหม่จาก "เทรดเดอร์มืออาชีพ" สู่ "เจ้าของกิจการนอกตลาดหุ้น"
"กำไรร้อยเปอร์เซ็นต์" คือ เป้าหมายการลงทุนของเขา
ก่อนจะขึ้นแท่นคนดังในโลกนักลงทุนเก็งกำไร สังกัด Stock 2 Morrow "ชายวัย 35 ปี" ใช้เวลานานหลายปีในการแสวงหารูปแบบการลงทุนที่เหมาะกับจริตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแนว Value Investment และ Technical สถิติกำไรสูงสุดของ "ซัน" เกิดขึ้นในปี 2553 เขาจำตัวเลขไม่ได้บอกเพียงว่า "มหาศาล"
"นักลงทุนพันธุ์ผสม" เป็นลูกชายคนโตจาก พี่น้อง 2 คน น้องสาวอายุห่างกัน 5 ปี ในอดีตครอบครัวยึดอาชีพร้านขายส่ง (ยี่ปั๊ว) จังหวัดสระบุรี แต่หลังกระแสค้าปลีกขนาดใหญ่รุนแรงมากขึ้นในปี 2532 ตระกูลจารุศิระตัดสินใจเลิกทำร้านขายส่งและ ย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ในจังหวัดชลบุรี เพื่อทำธุรกิจร้านทองคำ
จากนั้น "เด็กชายซัน" ที่มีอายุเพียง 13 ปี และมีอุปนิสัยลุยๆ ตัดสินใจขอย้ายมาเรียนหนังสือต่อ ในกรุงเทพ ด้วยการไปอาศัยอยู่กับอาเหล่าอี๊ (น้อง สาวอาม่า) โรงเรียนโพธิสารพิทยากร คือ สถานศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แห่งแรกในเมืองศิวิไลซ์ แต่ด้วยความที่ต้องตื่นตี 4 ทุกวัน ทำให้เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนไปเรียนโรงเรียนแถวพุทธมณฑลสาย 4 ซึ่งเป็น โรงเรียนเดียวกับน้องสาว สุดท้ายปัญหาตื่นเช้า ไม่ได้รับการแก้ไข เขาขอแม่กลับไปเรียนในจังหวัด ชลบุรีเหมือนเดิม เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซันไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียลจนจบ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
ด้วยความที่เขาไม่ชอบเรียนวิชาเคมีฟิสิกส์ ทำให้ตัดสินใจสอบเข้าคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี ภาควิชาบริหารธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะมาเรียนต่อปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย "ศาสตร์แห่งการบริหาร" คือ เสน่ห์ที่ทำให้วิชานี้น่าสนใจ "ซัน" บอกอย่างนั้น
"กระทรวง จารุศิระ" นัดเจอ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ก่อนเดินทางไปโรดโชว์โครงการ Super Trader Thailand จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยการพูด ในหัวข้อ "หุ้นพื้นฐาน & หุ้นเก็งกำไร" ว่า "ตลอดกว่า สิบปีที่ผ่านมาพอร์ตลงทุนมีวิวัฒนาการที่ดีตามลำดับ" "หนุ่มซัน" เกริ่นนำเรื่องการลงทุน
"วันนี้ผมกำลังก้าวข้ามการเป็นเทรดเดอร์ มืออาชีพ ด้วยการแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า "ร้อยเปอร์เซ็นต์" เนื่องจากพอร์ตส่วนตัว มีขนาดใหญ่ขึ้นมากจะให้มานั่งเดย์เทรดทุกวันคงไม่ไหว จริงอยู่แม้ลงทุนเก็งกำไรจะได้เงินเร็ว แต่มันน่าเบื่อ ไม่มีอะไรท้าทาย"
ถามถึงรูปแบบการลงทุน "ซัน" เล่าว่า ตอนนี้เราได้จับมือกับ พันธมิตร 7-8 ราย เพื่อเข้าไป ลงทุนในบริษัทขนาดกลางที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ที่มีทุนจดทะเบียนประมาณ 50 ล้านบาท จากนั้นเราจะผลักดันบริษัทดังกล่าวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
วิธีลงทุนคือ "ผมจะนำบริษัท เวลธิเอสท์ แอดไวเซอรี่ จำกัด ทุนจดทะเบียน 4 ล้านบาท ผู้ประกอบการที่ปรึกษาด้านการบริหาร จัดการเชิงสากล และตัวแทนผู้ประสานงาน จัดหาแหล่งเงินทุน เพื่อผู้ประกอบการและกิจการที่มีความประสงค์ในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ เข้าลงทุนในบริษัท ต่างๆ"
เมื่อสิบปีก่อนเคยมีความคิดว่า หากอยากรวยต้องมีบริษัทเป็นของตัวเอง จากนั้นค่อยผลักดันเข้าตลาดหุ้น แต่ มันเหนื่อยจึงหันมาลงทุนบริษัทนอก ตลาดหุ้นแล้วเป็นคนนำเข้าจดทะเบียน น่าจะดีกว่า เพราะง่ายกว่า กำไรเยอะกว่า
แนวคิดนี้ได้มาจากบริษัทจดทะเบียน บางตัว เช่น หุ้น พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA บริษัทแห่งนี้เข้าตลาดหุ้นมาเมื่อวันที่ 30 ม.ค.2556 ด้วยการขายหุ้นไอพีโอที่ราคาเพียง 5.50 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.10 บาท แต่ปัจจุบันราคาหุ้นพุ่งไปยืน 25 บาท นั่นหมายความว่า เจ้าของได้กำไรแล้ว 250 เท่า หรือแม้กระทั่งหุ้น โมโน เทคโนโลยี หรือ MONO ราคาหุ้นเคยขึ้นไปสูงสุด 15.90 บาท จากราคาไอพีโอ 11.40 บาท พาร์ 0.10 บาท
"เกมส์ของคนรวยมันเป็นอย่างนี้นี่เอง"
ก่อนจะเข้าไปลงทุนบริษัทใด เราจะเน้นดู 3 เรื่องหลักๆ คือ 1.งบการเงินย้อนหลัง 3 ปี เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะฐานะในอดีตจะบ่งบอกได้ว่า กิจการสามารถแข่งขันได้ในระยะยาวหรือไม่ 2.นิสัยใจคอของเจ้าของบริษัท เรื่องนี้สำคัญไม่แพ้เรื่องแรก คุณสมบัติที่ดีของเจ้าของกิจการ คือ ต้องคิดถึงผลประโยชน์ของบริษัทมากกว่าตัวเอง ส่วนใหญ่ใช้เวลาในการศึกษาไม่นานคุยกันไปสักพักเดี๋ยวรู้เอง ข้อสุดท้าย พิจารณาทรัพย์สินและ หนี้สิน โดยเราจะส่งทีมบัญชีเข้าไปทำดิวดิลิเจนท์ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน
หน้าที่หลักของเรา คือ เข้าไปนั่งเป็นรองประธานกรรมการ เพื่อตรวจสอบไม่ให้เจ้าของไซ่ฟอนเงินออกจากบริษัท และเข้าไปตรวจสอบว่า บริษัทดังกล่าว มีอะไรต้องปรับปรุงหรือไม่ ที่ผ่านมาบริษัท เวลธิเอสท์ แอดไวเซอรี่ จำกัด ได้เข้าไปลงทุนแล้ว 3 บริษัท คือ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจเม็ดพลาสติก และธุรกิจสื่อสาร โดยทั้ง 3 บริษัทมีแผนจะเข้าตลาดหุ้นในปี 2558-2559
ก่อนจะเข้าไปลงทุน 3 บริษัท เราเดินหน้าคุย มาแล้ว 40 บริษัท และยังเหลือ 20-30 บริษัทที่รอทยอยคุยกับเรา ส่วนใหญ่เราชอบธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ ส่วนธุรกิจที่มีคู่แข่งสูง หรือ Red Ocean จะไม่เข้าไปยุ่งเด็ดขาด ปัญหาที่พบบ่อยๆในบริษัท นอกตลาดหุ้น คือ เรื่องบัญชีไม่ได้มาตรฐาน
บริษัทไหนเข้าทางมีแผนจะใส่เงินลงทุนเท่าไหร่ เขาตอบว่า หนึ่งบริษัทไม่ควรลงทุนเกิน 100 ล้านบาท เมื่อเราปรับโครงสร้างบริษัทแล้วเสร็จและผลักดันเข้าตลาดหุ้นทันที ถามว่าจากนั้นจะยังถือลงทุนต่อหรือไม่ หากอนาคตเติบโตต่อเนื่องคงถือลงทุนต่อไป การลงทุนบริษัทนอกตลาดหุ้นเช่นนี้ ถือเป็นการช่วยเพิ่มโปรดักท์ดีๆ ให้กับตลาดหุ้น ปัจจุบันบริษัทดีๆนอกตลาดมีเยอะมาก
"ลงทุนลักษณะนี้ยอมรับว่า เหนื่อยมากๆ แต่ผลตอบแทนแสนคุ้มค่า ใครจะลงทุนแบบนี้หาก ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างยอมรับว่า ทำยากเขาคงไม่เปิด ประตูรับคุณแน่นอน"
ถามเรื่องการลงทุนแนวเทคนิคและวีไอ เขาเล่าว่า เนื่องจากวันนี้เราต้องทุ่มเวลาไปกับการลงทุน นอกตลาดหุ้น ทำให้จำเป็นต้องหากลุ่มคนข้างกายมา ซื้อขายแทน ปัจจุบันกำลังบ่มเพาะลูกศิษย์ 7 คน โดยเราจะเป็นผู้กำหนดกลยุทธ์การลงทุนให้ทุกวันจันทร์ ด้วยการประเมินถึงสตอรี แนวรับ แนวต้านของหุ้นตัวนั้นๆ
จากนั้นจะให้ลูกศิษย์วางแผนการลงทุนเอง เมื่อสิ้นสัปดาห์จะให้เขานำพอร์ตลงทุนมาให้เราดู หากใครลงทุนเข้าตาก็จะให้เขาซื้อขายแทนเรา ถ้าทำกำไรได้เราจะให้ ผลตอบแทน 10 เปอร์เซ็นต์ ปกติไม่เคยตั้งเป้าหมายกำไรมันค่อนข้างไร้สาระ แต่มักจะให้ความสำคัญเรื่องความผิดพลาด หากเกิดขึ้นแล้วห้ามเกิดซ้ำอีก
"กฎเหล็กของทีม คือ หยุดขาดทุน ให้เร็วที่สุด หากทำไม่ได้ จำเป็นต้องไล่ออกจากทีม ใครอยากอยู่กับเราต้องทำงานเป็นทีม"
มีลูกศิษย์คนไหนเข้าตาแล้วหรือยัง มีน้องหนึ่งคนชื่อ "เบียร์" เราติวเรื่องลงทุนเทคนิคกับเขามา 5 เดือนแล้ว ขณะที่คนอื่นๆ เพิ่งเข้ามา ในทีมได้เพียง 1 เดือน "เบียร์" วางแผนการลงทุนโอเค เขาใช้ทุนของตัวเอง 300,000 บาท วันแรกได้กำไรกลับมากว่า 30,000 บาท วันที่สอง 20,000 กว่าบาท และวันที่สามกว่า 10,000 บาท
การมีทีมซื้อขายหุ้น ทำให้ผมเกิดไอเดียอยากทำโครงการ Super Trader Thailand คนสมัครไม่เสียค่าใช้จ่าย เพียงแต่คุณต้องเปิดพอร์ตกับ
บล.โกลเบล็ก นักลงทุนเทรดเดอร์ที่มาพูดแต่ละคน มีค่าตัวแพงมาก เช่น "หยง-ธำรงค์ชัย เอกอมรวงศ์, บ๊อบ-โฮฬาร ภัทรกอบกิตติ์, ปุย-ประกาศิต ทิตาราม, จักร-ธนาเดช โสมะบุตร, ป๊อป-นิติพงษ์ หิรัญพงษ์, และ เจน-นิติการณ์ จิวณิชย์" เป็นต้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่คุณจะได้ฟังความรู้ฟรีๆ ดังนั้นโครงการนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี แม้คุณจะไม่ใช่ผู้ชนะ ที่คว้าเงินรางวัล 1 ล้านบาท แต่ก็ได้ความรู้ด้านการลงทุน และการวิเคราะห์ทางเทคนิคกลับไปเต็มๆ ใครสนใจ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ 0 2687 7000 โดยระยะเวลา การเปิดรับสมัครและแข่งขันจะอยู่ประมาณ 9 เดือน ระหว่างเดือนก.ค.-30 ก.ย.2557 "ซัน" เชื้อเชิญ
"อยากถามเลยว่า จากนี้อยากเห็นพอร์ตลงทุนเติบโตเท่าไหร่ ผมไม่เคยตั้งความหวัง ที่ผ่านมาได้กำไรปีละเท่าไรไม่เคยคำนวณ ขอเพียงแค่พอร์ตขยายตัวทุกปีก็พอใจแล้ว"
"ลงทุนลักษณะนี้ ยอมรับว่า เหนื่อยมากๆ แต่ผลตอบแทนแสนคุ้มค่า"
กว่าจะเป็น'เทรดเดอร์มืออาชีพ'
"กระทรวง จารุศิระ" เริ่มต้นชิมลางการลงทุนในตลาดหุ้นครั้งแรกช่วงเรียนปริญญาโท ด้วยการสมัครแข่งขันโครงการ มันนี แมเนจเม้นท์ อวอร์ดส์ ซึ่งเป็นโครงการของตลาดหลักทรัพย์ที่จัดขึ้นเป็นปีแรก ก่อนจะมาลงแข่งขัน "รายการแฟนพันธุ์แท้" จนเป็นที่รู้จักในหมู่นักลงทุนเทรดเดอร์
หลัง "ซัน" คว้าตำแหน่งมาครอบครอง เขาตัดสินใจ ลงทุนในตลาดหุ้นครั้งแรกในปี 2546 แม้จะมีแรงคัดค้านจากพ่อและแม่ "อยากลงทุนไปหาเงินมาเล่นเอง" แต่ความดื้อปนความมุ่งมั่นของเขาได้กลบเสียงเหล่านั้น อย่างมิดชิด
เขาตัดสินใจทุ่มเงิน 100,000 บาท ซื้อหุ้นตัวแรกในชีวิต โดยอาศัยสตอรีเจ้าของบริษัทนามว่า ตระกูลชินวัตร นั่นคือ หุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ INTUCH ผลการลงทุนในครั้งแรกถือว่า ประสบความสำเร็จมาก เขาใช้เวลาเพียง 4 เดือน โกยกำไรหุ้น INTUCH ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์
เมื่อได้กำไร 50,000 บาท เขาควักเงินเก็บส่วนตัวมาเติมอีก 200,000 บาท เพื่อนำมาต่อยอดความรวย ก่อนจะทุ่มเงินลงทุนไปในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง เขาหันไปศึกษาศาสตร์ แห่งวีไอ ด้วยการลงทุนในหุ้นบูลชิพที่มีสภาพคล่อง หุ้นชื่อดัง ทุกตัวในตลาดหุ้นเขาเป็นเจ้าของมาหมดแล้ว
ในปี 2546 เขาประสบความสำเร็จในการลงทุนแนว VI แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2547 ตลาดหุ้นไม่สวยเหมือนก่อน ประกอบกับครอบครัวได้มอบหน้าที่นั่งเฝ้าร้านทอง ทำให้เขาตัดสินใจ แบ่งเงิน 50 เปอร์เซ็นต์ มาลงทุนแนวเทคนิค
ช่วงที่ดำรงตนเป็นนักลงทุนวีไอ เขาใช้เวลาก่อนนอนอ่านงบการเงินบริษัทจดทะเบียนกว่า 400 แห่งแบบบ้าเลือด อ่านทุกวันจนสามารถตอบได้หมดว่า บริษัทแห่งนี้ทำธุรกิจอะไร งบการเงินย้อนหลังมีหน้าตาเช่นไร "งบกำไรขาดทุน" คือ ส่วนสำคัญที่จะทำให้นักลงทุนรับรู้ว่าปีต่อๆ ไปบริษัทจะมีแนวโน้มดีหรือไม่ดี
แม้ซันจะจดจำชื่อหุ้นเก็งกำไรตัวแรกในชีวิตไม่ได้ แต่เขาไม่ลืมหุ้นที่ทำให้พอร์ตขาดทุนอย่างหนัก นั่นคือ หุ้น เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ หรือ WORK เรียกว่า โดนวันเดียว 200,000 บาท หลังใช้เงิน 2 ล้านบาท ในการซื้อหุ้น WORK ที่ยอดดอย 22 บาท
ตอนนั้นเขามีความเชื่อว่า ราคาหุ้น WORK ในวันแรกของการซื้อขาย (19 ก.ย. 2547) น่าจะไปต่อ หลังเปิดซื้อขายระดับ 18 บาท สูงกว่าไอพีโอที่อยู่ระดับ 15 บาท แต่สุดท้ายราคาลดลงมาอยู่ระดับ 20 บาท ทำให้ต้องขายขาดทุนออกไป ช่วงนั้นซันยังไม่มีวินัยในการลงทุน และยังไม่รู้จัก การ "ตัดขาดทุน" หรือ Cut loss
หลัง "กระทรวง" เจ็บตัวหุ้น WORK ทำให้เลิกซื้อขายไป 1 เดือน เพื่อปรับสภาพจิตใจ บทเรียนครานั้นทำให้รู้ว่า หากยังรักจะเล่นหุ้นเก็งกำไรต้องขาดทุนให้น้อยที่สุด ขณะเดียวกันต้องโกยกำไรให้มากที่สุดเช่นกัน
เหตุการณ์ในครานั้น ทำให้เขากลายเป็นคนบ้าจดบันทึกการซื้อขายทุกวัน ผ่านมา 6 เดือน เมื่อซันเริ่มจับเทคนิคการลงทุนได้แล้วจึงเริ่มซื้อขายหุ้นเทคนิคอย่างจริงจัง มุ่งมั่นมากถึงขนาดขอให้ลูกค้าที่จะเข้ามาจำนำทองคำยืนรอเขาเคาะขายหุ้นก่อน
แม้วันนี้จะชื่นชอบการเล่นหุ้นเก็งกำไร แต่พอร์ตลงทุนแนว VI ยังไม่ได้ทิ้งไปไหน โดย "ซัน" ยึดรูปแบบการลงทุนแนว VI เหมือนนักลงทุนรายใหญ่ "ดร.วิกรม เกษมวุฒิ" นั่นคือ เน้นซื้อกิจการที่ดีที่สุดและจะไม่ขายออกจนกว่ากิจการจะเปลี่ยน หากมีปัจจัยบางอย่างที่มีนัยสำคัญทำให้พื้นฐานเปลี่ยนแปลงในระยะยาวเขาถึงจะขายออก แต่ถ้าเปลี่ยนเพียงระยะสั้นเขาจะหาจังหวะซื้อมากกว่าขาย
ในขณะที่ทุกคนกลัวข่าวไม่ดี แต่ถ้าตีโจทย์แตก เราจะไม่เหมือนคนในตลาดหุ้น "ซัน" มีความเชื่อเช่นนั้น ครั้งหนึ่งเขาเคยซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ของบริษัท ทีทีแอนด์ที หรือ TT&T W1 วันเดียวได้กำไรกลับมา 480,000 บาท ตัวนี้ประทับใจมาก เพราะเกิดจากความฟลุ๊คไม่ใช่ฝีมือ
ช่วงที่ยังไม่เล่นหุ้นแนวเทคนิคเคยมีความคิดว่าจะซื้อหุ้นทุกตัวที่ขึ้น และไม่กลัวที่ราคาหุ้นจะลดลง เพราะ Cut loss เร็ว เขาเพิ่งหันมาดูกราฟเทคนิคเมื่อปี 2552 หลังรู้สึกว่า "ขายหมูบ่อย" และเบื่อการนั่งเฝ้าร้านทอง ซันบอกว่า มันสบายก็จริง แต่ไม่มีอะไรท้าทาย เขาจึงตัดสินใจขอที่บ้านออกมาเป็นเทรดเดอร์เต็มตัว พ่อแม่รั้งด้วยการบอกว่า ที่บ้านสร้างทุกอย่างมาให้แล้วขอแค่เราอยู่เฉยๆ ทุกอย่างจะดีเอง แต่เขาตอบพ่อไปว่า "ขอรวยด้วยตัวเอง ถ้าจะรวยแบบพ่อแม่ให้ไม่อยากได้"
ในช่วงที่ออกมาเป็นเทรดเดอร์เต็มตัว เขาเหลือทุนในฝั่งหุ้น VI เพียง 1.7 ล้านบาท ลดลงจากเดิมที่เคยมา สูงถึง 5 ล้านบาท หลังโดนวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์เล่นงาน หุ้นที่ทำให้เขาเจ็บตัวหนักสุดๆ คือ หุ้นบูลชิพ ทำให้ช่วงนั้น เขาจำเป็นต้องปิดจอ VI ไปก่อน ตอนนั้นเหลือหุ้น VI ในมือเพียง 5 ตัว
จากนั้นเขาก็หันมาให้ความสนใจหุ้นเทคนิคที่มีเงินติดพอร์ตอยู่ 1 ล้านบาทมากขึ้น ตอนนั้นซันมีความคิดว่า "ต้องรอดให้ได้ด้วยการมีกำไรวันละ 50,000 บาท" เพราะมีลูกแล้ว 2 คน แถมไม่มีอาชีพติดตัวนอกจากการเป็นเทรดเดอร์ สุดท้ายเขาทำได้จริง แหล่งความรู้ชั้นยอดคือ Youtube และอ่านหนังสือตามห้องสมุดมารวย
ปัจจุบันมี 3 พอร์ตลงทุน คือ 1.พอร์ตแนว VI โดยพอร์ตนี้จะไม่ขายออกตลอดชีวิต หุ้นประจำพอร์ต VI คือ หุ้น กรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BGH หุ้น ซีพี ออลล์ หรือ CPALL หุ้น อินทัช โฮลดิ้งส์ หรือ INTUCH หุ้น ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC และหุ้น ปตท.หรือ PTT
2.พอร์ตเล่นรอบ คือ ดูเทคนิคเป็นหลักออกแนวซื้อๆ ขายๆ เน้นถือระยะกลาง 3.พอร์ตรายวันออกแนวหา ค่าข้าวรายวัน เป้าหมาย คือ ต้องทำกำไรให้ได้วันละ 10,000 บาท พูดไปคนจะหมั่นไส้ แต่ผมทำแบบนั้นได้จริงๆ เมื่อเช้าเพิ่งซื้อหุ้นไป 1 ตัว 5 นาที ได้กำไรกลับมา 28,000 บาท ซัน แอบบอกชื่อหุ้นนอกรอบ--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
เจาะคัมภีร์ต่อเงิน'กระทรวง จารุศิระ'
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1