หุ้นภัตตาคารVSบ้านจัดสรร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

หุ้นภัตตาคารVSบ้านจัดสรร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor         26 เม.ย. 57
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้นภัตตาคารVSบ้านจัดสรร

	กลุ่มหุ้น  “ยอดนิยม-ตลอดกาล”  กลุ่มหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ก็คือ  บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นบ้านและคอนโดเพื่อขาย  หรือเรียกง่าย ๆ  ว่าหุ้นบ้านจัดสรร  เพราะนี่คือธุรกิจที่มีบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากในตลาดและมีนักลงทุนโดยเฉพาะรายย่อยซื้อขายหุ้นแต่ละวันจำนวนมาก  หุ้นในกลุ่มนี้ไม่ได้เพิ่งจะได้รับความนิยม  แต่เป็นหุ้นที่มีความคึกคักมานานหลายสิบปีแล้ว  มีแค่บางช่วงสั้น ๆ  ที่หุ้นซบเซาลง เช่น  ในภาวะที่เศรษฐกิจเกิดวิกฤติขึ้นเท่านั้นที่ทำให้หุ้นเหงา  คุณลักษณะของหุ้นบ้านจัดสรรนั้นมีความแตกต่างจากกลุ่มอื่นพอสมควรจนทำให้วิธีการคิดวิเคราะห์นั้นควรจะแตกต่างจากกลุ่มอื่นค่อนข้างมาก
	หุ้นอีกกลุ่มหนึ่งนั้นยังไม่ได้ร้อนแรงเท่าไรนักเนื่องจากว่ามีบริษัทจดทะเบียนในตลาดไม่มากเท่าและหลายบริษัทก็ยังทำธุรกิจอย่างอื่นด้วยนั่นก็คือ  ธุรกิจภัตตาคารขายอาหาร  อย่างไรก็ตาม  นับวันผมเชื่อว่าจะมีธุรกิจนี้เข้าจดทะเบียนเพิ่มขึ้นและบริษัทเหล่านั้นก็จะเน้นที่การทำภัตตาคารมากขึ้นเป็น  “Pure Play”  คือพูดได้ว่าเป็นหุ้นขายอาหารแบบภัตตาคารหรือขายอาหารพร้อมรับประทานเป็นหลัก  และเมื่อถึงวันนั้นผมเชื่อว่าหุ้นภัตตาคารจะเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมมากขึ้น   ดังนั้น  เราก็ควรจะมาทำความเข้าใจกับธุรกิจนี้ซึ่งผมคิดว่ามีอะไรน่าสนใจและก็มีความแตกต่างจากหุ้นของกิจการอื่น ๆ  พอสมควร
	ผมจับหุ้นบ้านจัดสรรมาพูดกับหุ้นภัตตาคารในบทความเดียวกันนั้น  เป็นเพราะผมคิดว่าหุ้นสองกลุ่มนี้  แม้ว่าจะดูเหมือนไม่มีอะไรใกล้เคียงกันนั้น  กลับมีความเหมือนกันในหลาย ๆ  เรื่อง  เช่นเดียวกับที่มีความแตกต่างกันในหลาย ๆ  เรื่อง  และถ้าเราเข้าใจก็จะทำให้เราวิเคราะห์หุ้นทั้งสองกลุ่มได้ดีขึ้น
	ความเหมือนกันของธุรกิจสองกลุ่มก็คือ  ตลาดของธุรกิจมีขนาดใหญ่มากคิดเป็นแสน ๆ  ล้านบาทต่อปี  แต่ในขณะเดียวกันมีผู้เล่นหรือผู้ขายหรือให้บริการจำนวนมากโดยที่ไม่มีบริษัทไหนที่จะ Dominate หรือครอบงำธุรกิจได้เลย   พูดง่าย  ๆ  แม้แต่บริษัทที่ใหญ่ที่สุดก็มีส่วนแบ่งทางการตลาดน้อยมาก  ดังนั้น  จึงพูดได้ว่าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างสมบูรณ์  ไม่มีใครกำหนดหรือควบคุมตลาดได้ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต  เหตุผลก็คือ  ข้อแรก  ความต้องการของผู้ซื้อหรือผู้บริโภคนั้นมีความหลากหลายมาก  ในเรื่องของบ้านก็เป็นเรื่องของทำเลที่ไม่มีบริษัทไหนสามารถจะยึดกุมได้   ส่วนในเรื่องของอาหารนั้น  คนกินก็ต้องการอาหารที่มีรสชาติแตกต่างกันมากมายตลอดทั้งสัปดาห์  เดือนและปี  ความสามารถที่จะสนองความต้องการทั้งหมดเป็นไปไม่ได้  ข้อสองก็คือ  การเข้ามาของบริษัทหรือกิจการใหม่ ๆ  นั้นเกิดขึ้นได้เสมอและทำได้ไม่ยาก  บริษัทเหล่านั้นสามารถที่จะแข่งขันและอยู่ได้ถ้ามีผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมแม้ว่าจะเป็นกิจการขนาดเล็ก  ดังนั้น  ทั้งสองธุรกิจนี้จึงเป็นธุรกิจที่ใครเก่ง  มียี่ห้อ และอาจจะมีต้นทุนที่ถูกกว่าบ้างก็เติบโต  ใครไม่เก่งก็ค่อย ๆ ถดถอยลง
	ความเหมือนที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของสองธุรกิจนี้ก็คือ   แม้ว่าจะเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างสมบูรณ์  แต่ก็เป็นธุรกิจที่มี “กำไรดี”  นั่นก็คือ กำไรก่อนต้นทุนค่าโสหุ้ยค่อนข้างจะสูง  ดังนั้น  ถ้าบริษัทสามารถขายสินค้าได้สูงพอ  เมื่อหักต้นทุนค่าโสหุ้ยต่าง ๆ  แล้ว  บริษัทก็มักจะสามารถทำกำไรต่อยอดขายได้ค่อนข้างสูง  เหตุผลที่เป็นแบบนี้ก็คือ  ลูกค้าที่ซื้อบ้านหรือลูกค้าที่เข้ามากินอาหารในภัตตาคารนั้น  ไม่ได้เข้ามาเพราะเรื่องของราคาเพียงอย่างเดียว  คุณภาพก็เป็นสิ่งสำคัญพอ ๆ กัน  ดังนั้น  บริษัทสามารถตั้งราคาที่ทำให้มีกำไรที่ดีได้   และนี่ทำให้บริษัทที่มียอดขายที่ดีสามารถทำกำไรได้สูงโดยไม่ถูกแย่งชิงลูกค้าเหมือนธุรกิจโภคภัณฑ์ที่การแข่งขันขึ้นอยู่กับราคาเป็นหลัก
	ข้อดีของสองธุรกิจที่คล้ายกันอีกอย่างหนึ่งก็คือ  การขยายตัวหรือเพิ่มยอดขายนั้น  ต้องการเงินลงทุนโดยเฉพาะทุนในส่วนของผู้ถือหุ้นไม่มากนัก  ในส่วนของภัตตาคารนั้น  บริษัทแทบไม่ต้องใช้ทุนอะไรเลย  เนื่องจากมักจะใช้วิธีการเช่าร้านและการขายก็เป็นเงินสดในขณะที่การซื้อวัตถุดิบมักเป็นเงินเชื่อ  แต่ในส่วนของการสร้างบ้านขายนั้น  อาจจะคิดว่าบริษัทต้องลงทุนสร้างบ้านให้เสร็จก่อนที่จะขายได้เงินมา  อย่างไรก็ตาม  บริษัทบ้านจัดสรรนั้นสามารถที่จะกู้เงินจากสถาบันการเงินมาซื้อที่และสร้างบ้านได้ค่อนข้างมาก  ดังนั้น  เงินทุนในส่วนของเจ้าของที่จะต้องใช้จริง ๆ  จึงไม่มากนักเมื่อเทียบกับยอดขายหรือเทียบกับกำไรที่จะได้  สรุปก็คือ  นี่ไม่ใช่ธุรกิจที่เป็น  Capital Intensive  หรือต้องลงทุนสูง  และดังนั้น  จึงเป็นธุรกิจที่ดี
	มาถึงเรื่องความแตกต่างของสองธุรกิจนี้  ผมพบว่าธุรกิจภัตตาคารดูเหมือนจะดีกว่าพอสมควรโดยมีประเด็นสำคัญก็คือ  ธุรกิจภัตตาคารนั้นมีความสม่ำเสมอของผลประกอบการสูงกว่าธุรกิจบ้านจัดสรรมาก   เหตุผลก็คือ  ข้อแรก  ธุรกิจภัตตาคารนั้นมีจำนวนลูกค้ามากกว่ามาก  บางแห่งอาจจะมีลูกค้าเป็นล้าน ๆ  ราย  ในขณะที่ลูกค้าของบริษัทบ้านจัดสรรนั้นแต่ละปีอาจจะมีแค่หลักพันหรือหมื่นรายเท่านั้น   นอกจากนั้น  การที่ลูกค้าภัตตาคารส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้ที่ซื้อซ้ำหรือเป็นลูกค้าประจำ  นี่ทำให้รายได้ของกิจการมีความสม่ำเสมอ  ในขณะที่ลูกค้าบ้านจัดสรรนั้น  ส่วนใหญ่แล้วเป็นลูกค้าใหม่และดังนั้น  บริษัทจะต้องเริ่ม  “นับหนึ่ง”  ใหม่ทุกปี  นี่ทำให้ผลประกอบการอาจจะไม่แน่นอนเนื่องจากสินค้าในปีใหม่อาจจะไม่ “โดนใจ” ลูกค้าใหม่ได้  และข้อสุดท้ายก็คือ  อาหารภัตตาคารนั้น  มีราคาต่ำกว่าบ้านมากและอาหารเป็นสิ่งที่เลื่อนการบริโภคไม่ได้  ดังนั้น  เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย  ยอดขายของภัตตาคารจะถูกกระทบน้อยกว่าบ้านจัดสรรมาก
	ความแตกต่างที่ทำให้ภัตตาคารน่าจะเป็นธุรกิจที่ดีกว่าบ้านจัดสรรอีกข้อหนึ่งก็คือ  ภัตตาคารนั้นมียี่ห้อหรือมีรสชาดอาหารและบริการที่ทำให้ลูกค้า “ติด”  ได้มากกว่าบ้านจัดสรรที่ลูกค้าอาจจะให้คุณค่าของยี่ห้อน้อยกว่ามาก  มองในแง่นี้  ภัตตาคารสามารถสร้างความได้เปรียบที่ยั่งยืนหรือ  Durable Competitive Advantage ได้ง่ายกว่า  ในขณะที่ธุรกิจบ้านจัดสรรนั้นทำได้ยาก
	ความแตกต่างที่สำคัญข้อสุดท้ายที่ทำให้ธุรกิจภัตตาคารน่าสนใจและทำให้มี  “คุณค่า” กว่าธุรกิจบ้านจัดสรรก็คือ  การเจริญเติบโตของอุตสาหกรรม  เหตุผลที่การซื้ออาหารกินเป็นธุรกิจที่โตเร็วกว่านั้น   เป็นเพราะรายได้ของคนไทยนั้นเพิ่มขึ้นในขณะที่ครอบครัวมีขนาดเล็กลง  นั่นทำให้คนยอมจ่ายเงินกินอาหารภัตตาคารที่อร่อยกว่าและต้นทุนเมื่อเทียบกับการทำอาหารกินเองที่บ้านนั้นแคบลง   แต่ในกรณีของบ้านจัดสรรนั้น  อุตสาหกรรมน่าจะโตช้าลงไปเรื่อย ๆ   เหตุผลเป็นเพราะคนไทยนั้นมีอัตราการเกิดน้อยลงมากและจะเริ่มเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ   ดังนั้น  ความต้องการบ้านจะค่อย ๆ  ลดลงในเวลาไม่นานนัก
	ข้อสรุปของผมก็คือ  ธุรกิจภัตตาคารนั้น  โดยพื้นฐานแล้วเป็นธุรกิจที่ดีกว่าธุรกิจบ้านจัดสรรถ้าบริษัทประสบความสำเร็จ  เหตุผลก็คือ  มันเป็นธุรกิจที่สามารถทำกำไรได้ดีพอ ๆ  กันแต่มีความสม่ำเสมอกว่ามากและมีโอกาสที่จะเติบโตตามอุตสาหกรรมได้มากกว่า  ว่าที่จริงหุ้นภัตตาคารในสหรัฐหลายตัว เช่น หุ้นแม็คโดนัลด์นั้นเป็นหุ้นประเภท “ซุปเปอร์สต็อก”  ที่มีมูลค่าสูงมาก  ในตลาดหุ้นไทย  ผมคิดว่าเพิ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของหุ้นภัตตาคารที่จะเติบโต   อย่างไรก็ตาม  การลงทุนในหุ้นภัตตาคารนั้นก็จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงราคาของหุ้นด้วย  เพราะถึงแม้ว่ากิจการภัตตาคารในระยะยาวอาจจะดีแต่ค่า PE  ก็สูงกว่าหุ้นในกลุ่มบ้านจัดสรร   ดังนั้น  จึงไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าหุ้นในกลุ่มไหนน่าลงทุนกว่า   เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  หุ้นภัตตาคารของไทยอาจจะไม่สามารถเติบโตกลายเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกก็ได้เมื่อคำนึงถึงว่าบริษัทที่เป็นอินเตอร์แบรนด์อย่างแม็คโดนัลด์หรือ KFC ต่างก็ดำเนินงานในประเทศไทยมาช้านานแล้ว  การเอาชนะภัตตาคารเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
[/size]
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นภัตตาคารVSบ้านจัดสรร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบพระคุณค่ะ
yinglaknite
Verified User
โพสต์: 60
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นภัตตาคารVSบ้านจัดสรร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 3

โพสต์

เยี่ยมมากค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
ลูกหิน
Verified User
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นภัตตาคารVSบ้านจัดสรร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณมากๆครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นภัตตาคารVSบ้านจัดสรร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 5

โพสต์

เห็นอะไรในลิสต์ของกัปตันอเมริกา

http://www.manager.co.th/entertainment/ ... 0000041237

ไทยฟู้ดครับพี่น้อง
โพสต์โพสต์