VI หาดใหญ่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 391

โพสต์

leky เขียน:ผมว่าใช้แค่ C A N ก็น่าจะเหลือแหล่แล้วนะครับ

ได้ถกเถียงเรื่องเคล็ดวิชานี่สนุกจริง ๆ ครับ :D
จารย์หมอไปถึงขั้นสร้างเคล็ดวิชาเองแล้วครับ ส่วนผมก็จำ ๆ เค้ามาถ่ายทอดไว้ครับ งู ๆ ปลา ๆ

แต่ที่จารย์หมอเล็กว่ามาเรื่อง C-A-N ยินดีครับ จารย์หมอเล็ก มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ครับ นักลงทุนสายวีไอ นี่ จะเก่ง C A N มากกว่านักลงทุนสาย CANSLIM

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า อ.โอนีล ท่านบอกว่า อย่าเรียกท่านว่าเป็นนักลงทุน หรือนักเก็งกำไร หรือเป็นนักเล่นหุ้นเติบโต หรือเป็นโมเมนตัม เรียกท่านเป็นอะไรก็ได้ ดังนั้นนิยามของเราจึงไม่ได้เป็น นลท. หรือ นักเก็งกำไร นักเล่น นักปั่น เราเป็นอะไรก็ได้ ต้องเริ่มแบบนี้ก่อน

.......................

เราเริ่มจาก CAN อ.หมอเล็ก เข้าใจถูกแล้วครับ

ทีนี้พอเราไม่รู้ว่า CAN นี่มันดีจริงมั๊ย

สมมุติ เห็น บริษัท X มี current earning โตพรวดพราด annual earning วิ่งพรวด มีข่าว N มี New เต็มไปหมด ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าดี? นลท.วีไอ เก่ง ๆ จบแค่ CAN นี่ก็รวยแล้วเพราะเค้าสามารถวิเคราะห์ คุณภาพของกำไร บวกกับการมีกระบวนท่าวีไอในการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ

แต่ นลท. CANSLIM ไม่มี เราจะไม่มองงบ ดังนั้น จึงต้องใช้ สลิ่ม เอ๊ย SLIM มาช่วยครับ

จุดนี้แหละครับ SLIM จะเข้ามามีบทบาท

และการอ่านกราฟจะมีบทบาทในรูปแบบ ถ้วยและหู

ตลอดจน Distribution Day หรือ ลมหายใจของตลาด

*ก่อนจะเขียนต่อไป ขอเตือนก่อนว่า 18+
ผมอาจก้าวสู่ ดาร์คโหมดของการลงทุนแล้วนะครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 2

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 392

โพสต์

Nevercry.boy เขียน: .
.
.

*ก่อนจะเขียนต่อไป ขอเตือนก่อนว่า 18+
ผมอาจก้าวสู่ ดาร์คโหมดของการลงทุนแล้วนะครับ
อ่่านประโยคนี้ คิดไปถึง ฉาก Anakin Skywalker เข้าสู่ทางมาร กลายเป็น Darth Vader เลยครัช
จองที่ ริงไซด์ ปูเสื่อรอฟัง :mrgreen:

[youtube]5Alpt3-Ioos[/youtube]
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 393

โพสต์

Nevercry.boy เขียน: *ก่อนจะเขียนต่อไป ขอเตือนก่อนว่า 18+
ผมอาจก้าวสู่ ดาร์คโหมดของการลงทุนแล้วนะครับ
คุณ NB ทิ้งท้ายไว้แบบนี้ เล่นเอาผมไม่กล้าลุกเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วครับ กลัวเสียที่นั่ง อดได้ชมสุดยอดวิชา :D

[youtube]TPl2jjD1_AA[/youtube]
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 394

โพสต์

vim เขียน:ผมไม่ใช่คนหาดใหญ่ แต่บังเอิญได้มาอ่านเจอที่พี่ๆจอมยุทธคุยกันแล้วได้ความรู้มากเลยครับ :oops: ขอตามอ่านอยู่ห่างๆนะครับ
เข้ามาชมอย่างใกล้ชิดหรือจะเข้ามาแลกเปลี่ยนวิชาก็ได้ครับ อย่าได้ชมห่าง ๆ เลยครับ ผมว่าทุกคนก็เหมือน "แท่งเหล็ก" จะเป็น "เข็ม" ที่แหลมคมได้มันต้อง "ฝน" บ่อย ๆ ครับ ใครฝนบ่อยก็เป็นเข็มเร็ว แต่ละคนก็ถนัดในเรื่องไม่เหมือนกันครับ แต่ผมก็เชื่อว่า สุดท้ายเราต้องหา "สูตรการลงทุน" ที่เหมาะสมสำหรับเรา เราเท่านั้นที่จะรู้ว่าอะไรเหมาะสม และเราเท่านั้นที่จะรู้ว่าตอนนี้เราน่าจะอยู่ที่ระดับไหนครับ ผมเองก็ไม่ใช่คนหาดใหญ่ครับ :D
vim เขียน: ตัว I ใน CAN SLIM นี่ผมรู้สึกว่านำมาประยุกต์กับการลงทุนในฝั่งอเมริกาได้ดีเลยครับ เราเห็นได้บ่อยๆว่าวันไหนที่มีการปรับเรทติ้งโดยสถาบัน หรือผลประกอบการไม่ตรงกับที่สถาบันต่างๆคาดการไว้ ราคาหุ้นก็จะขึ้นลงรุนแรงทันที ส่วนในไทยผมไม่ค่อยรู้สึกว่านักลงทุนสถาบันจะมีผลกระทบกับราคาหุ้นขนาดนั้น ตรงกันข้ามราคาหุ้นเปลี่ยนแล้วสถาบันในไทยค่อยมาปรับประมาณการเอาทีหลังเสียมากกว่า

ที่เห็นผลกับราคาหุ้นได้ชัดเจนกว่าน่าจะเป็นการซื้อขายของ"ฝรั่ง" ดังนั้นในไทยเราอาจจะต้องปรับมาประยุกต์เป็น I - International Investors แทน :mrgreen:
(ขำๆนะครับ)
ผมไม่เคยสัมผัสกับตลาดต่างประเทศโดยตรง แต่ผมคิดว่าตลาดเค้าพัฒนากว่าของเรามาก ทั้งในแง่ข้อมูล การบังคับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ตลาดต่างประเทศใหญ่จนการเคลื่อนย้ายของเงินไม่ค่อยมีผลมากเท่ากับตลาดไทย

กรณีของสถาบันไทย ถ้าเป็นกองทุนรวม ในความเห็นผมเค้ายังถือหุ้นไม่ค่อยหลากหลาย ถ้าไปดูในกอง LTF ก็จะถือหุ้นซ้ำ ๆ กัน แต่ผลการดำเนินงานอาจจะต่างกันเพราะสัดส่วนของหุ้นแต่ละตัวหรือช่วงเวลาที่เข้าถือ ผมคิดว่าส่วนหนึ่งอาจจะเพราะการไม่อยากเสี่ยงหรือการมีกฎเกณฑ์ของบลจ.ควบคุมอยู่

แต่เรื่องของการปรับเรทติ้งนั้น ผมเคยอ่านจากบทวิเคราะห์โบรกแห่งหนึ่ง เค้าบอกว่าถ้ามีการปรับหุ้นเข้าหรือออกจากดัชนี MSCI SET50 จะมีผลในเชิงบวกและลบต่อหุ้นที่จะเข้าและออกตั้งแต่ก่อนจะมีการปรับเลยครับ ประมาณว่าเก็งว่าใครจะอยู่หรือไป
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 395

โพสต์

ผมเห็น SET ในวันนี้ที่ทะลุ 1400 จุดขึ้นมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่การเมืองยังไม่จบ เศรษฐกิจไทยก็ยังดูลูกผีลูกคนว่าจะชะลอตัวอีกนานแค่ไหน แถมกลับมีข่าวว่าเงินต่างชาติเริ่มไหลกลับตลาด EM อีก

นึกถึงบรรยากาศในกระทู้ที่ผมตั้งขึ้นเมื่อปีก่อน "วันที่ SET -70 จุด"

สุดท้ายมันก็ผ่านไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ ครับ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
harikung
Verified User
โพสต์: 2232
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 396

โพสต์

เข้ามาตามอ่านด้วยคนครัชช :D
นักเลงคีย์บอร์ด4.0
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 397

โพสต์

ขออนุญาตขยายความเรื่อง LED หน่อยครับ จากที่คุณ NB เคยถามผมไว้เมื่อครั้งก่อน ครั้งก่อนผมพูดไว้คร่าว ๆ แต่ไม่ได้มีตัวเลขอ้างอิง พอดีคุณ miracle เอาบทความนี้มาโพสต์ไว้ในห้อง L&E เผื่อจะได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นครับ
leky เขียน: ในกรณีของ LED จะว่าไปมันเป็น megatrend ของการประหยัดพลังงานครับ แต่คนในตลาดหุ้นไม่ค่อยมีคนพูดถึง อาจจะเพราะมีบ.ที่เกี่ยวข้องในตลาดน้อยมาก ในแง่ของ LED ตามข้อมูลที่ได้มานั้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้ามันจะเติบโตแน่นอนครับ ตามความต้องการประหยัดพลังงาน ซึ่งตัวเลขผมจำไม่ได้ แต่เคยโพสต์ไว้ในห้อง L&E ไว้ ยิ่งในญี่ปุ่นจะโตเร็วมากเพราะปัญหาขาดแคลนพลังงานนับแต่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีปัญหา เพียงแต่ตอนนี้เราคงยังไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ เนื่องจากราคาหลอด LED ถ้าจะมาใช้แทนไฟบ้านแบบเดิม ยังราคาสูงอยู่มาก ทำให้ยังไม่นิยมครับ แต่สิ่งที่ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงก็คือ ในโฮมโปรเริ่มเห็นมีสินค้าพวกนี้วางขายมากขึ้น มีโปรโมชั่น ถ้าเทียบกับต้นปีที่แล้วจะมีน้อยกว่ามาก แต่ถ้าเป็นการใช้ไฟฟ้าในโรงงานหรือตึกใหญ่ ๆ ความเปลี่ยนแปลงตรงนี้จะเห็นมากกว่า เพราะหลายแห่งมีการเปลี่ยนจากหลอดไฟเดิมมาเป็น LED ตึกที่วางระบบไฟฟ้าใหม่ ๆ ก็จะเลือกเป็น LED เป็นส่วนใหญ่ แม้แต่การไฟฟ้าก็มีโครงการเปลี่ยนไฟถนนเป็น LED ครับ เพราะประหยัดพลังงานไฟฟ้ามากกว่าหลอดไฟแบบเดิมมากทีเดียวครับ เท่าที่ทราบมารัฐเองก็มีโครงการสนับสนุนเงินตรงนี้ด้วยนะครับ คือผมมองว่าในแง่ของการใช้ในเชิงอุตสาหกรรมคงเห็นชัดเจนก่อน ส่วนในแง่ผู้บริโภคทั่วไปคงต้องอีกซักระยะครับ แต่ถึงตอนนั้นก็คงมีการส่งเสริมจากรัฐทั้งในแง่หลอดราคาถูก ฯลฯ เหมือนเมื่อครั้งที่รัฐส่งเสริมหลอดไฟฟ้าแบบตะเกียบและหลอดประหยัดพลังงานแบบอื่น ๆ ครับ แต่ถ้าการขยายของ LED อิ่มตัวเมื่อไหร่มันก็คงจะค่อนข้างนิ่งเลยครับ เพราะอายุหลอดมันยาวกว่าหลอดแบบเดิมมากครับ สรุปแล้วตรง LED แนวโน้มโตขึ้นแน่นอน เริ่มจากในกลุ่มอุตสาหกรรมก่อนจะมาถึงกลุ่มผู้บริโภคทั่ว ๆ ไป และในอนาคตน่าจะมีราคาถูกลง มีมาตรการรัฐสนับสนุนครับ
leky เขียน: http://www.xn--72c0bbcah0aamse6g3chsbh4 ... d-18w.html

จุดเริ่มต้นของบทความนี้เกิดจาก พอดีมีทีมช่างในกลุ่มผู้รับเหมางานระบบไฟฟ้าสอบถามมาว่าทำไมต้องเปลี่ยนหลอดไฟจาก Fluorescent 36W มาเป็นหลอดไฟ Tube LED 18W ??? และถ้าจะให้ผมอธิบายให้ทีมช่างแต่ละทีมเข้าใจคงหลายรอบครับ เพราะมีหลายทีมเหลือเกินที่สงสัย เลยเขียนบทความนี้ขึ้นมาเผื่อว่างๆ ทีมช่างจะได้อ่านดู เพื่อเสริมความรู้และความเข้าใจ รู้จักหลอดไฟ LED มากขึ้น เนื่องจากตอนนี้มีงาน Project เปลี่ยนหลอดไฟ LED อยู่หลายไซค์เหมือนกัน ซึ่งอีกไม่นานคงทั่วประเทศครับ ที่จะใช้หลอดไฟ LED ซึ่งหลอดไฟ LED ก็มีอยู่หลายแบบ หลายชนิดด้วยกัน ซึ่งผมจะยังไม่พูดถึง ตอนนี้จะพูดถึงหลอดไฟ LED ที่ใกล้ตัวเราที่สุดก็คือหลอด Tube LED 18W ครับ


เริ่มจากคำถามจากทีมช่างก่อนครับ
1. เปลี่ยนหลอดFL36Wเป็นหลอดไฟ LED ทำไม ???
2. หน้าตาของหลอดไฟ LED เป็นอย่างไร ???

เอาละเรามาหาคำตอบกันเลย
ข้อมูลคร่าวๆ ก่อนนะครับ ส่วนรายละเอียดมีเวลาผมจะเอามาลงเพิ่มเติม

คำถาม ทำไมต้องเปลี่ยนจาก FL36W เป็นหลอด LED 18W ???
คำตอบ
1. เพราะประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่า 50% เนื่องจาก หลอดไฟ FL36W รวมบัลลาส จะได้กำลังวัตต์ประมาณ 44W ถ้าเทียบกับ LED จะใช้ไฟฟ้าแค่ 18W เอง สรุปคือ ประหยัดไฟฟ้าไปได้เกิน 50% จากเดิม
2. เรื่องอายุการใช้งาน หลอด FL36W อายุการใช้งานเต็มที่ อยู่ราวๆ 24,000-30,000 ชม ต้องมีการซ่อมบำรุงบัลลาสและ สตาร์ทเตอร์อีก ซึ่ง LED จะมีอายุการใช้งานถึง 50,000 ชม และไม่มีบัลลาส-สตาร์ทเตอร์เรื่องการซ่อมบำรุง ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง
3. เรื่องจุดคุ้มทุน อันนี้เด่วผมลงตารางคำนวนรายละเอียดไว้ตอนหลังละกันครับ คร่าวๆจุดคุ้มทุนคือ เราลงทุนซื้อหลอดไฟ LED แทนหลอด Fl ค่าไฟส่วนต่างที่ได้ เอามาซื้อหลอดไฟ จะได้จุดคุ้มทุน ประมาณ 2-3 ปี ที่เหลืออีก ประมาณ 8 ปี ค่าไฟส่วนต่าง จะเป็นกำไร เข้ากระเป๋าเราครับ (หลอดไฟ LED อายุการใช้งาน 50,000 ชม / เปิดใช้งาน 12 ชม ต่อวัน = ใช้ได้ประมาณ 10 ปี / แต่ถ้าเปิดใช้งานตลอด 24ชม จะคุ้มทุนเร็วขึ้น)
4. เรื่องความร้อน เนื่องจากหลอดไฟ LED ไม่มีความร้อนจากหลอด ถ้าเทียบกับหลอด FL36W ดังนั้นถ้าใช้ตามห้าง ตามตึก อาคารสูง จะทำให้ประหยัดค่าไฟ ของ แอร์ได้เพิ่มขึ้นอีกนะครับ

คำถาม ค่าความสว่างของแสงหลอดไฟ LED 18W เทียบกับ หลอดไฟ FL36W เท่าเดิมหรือไม่อย่างไร ???
คำตอบ ค่าความสว่างของแสงลดลงกว่าเดิมนิดหน่อยครับ แต่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามตารางค่าความสว่างมาตรฐาน ของพื้นที่ทำงาน (จะมีตารางค่าความสว่างมาตรฐานอยู่นะครับ ว่างๆ เด่วเอามาลงเสริมให้)

เอาเป็นว่าคร่าวๆ ผมลงข้อมูลแค่นี้ไว้ก่อนละกัน ว่างๆ จะมาเล่าให้ฟังต่อครับ
ทั้งข้อมูล ตารางค่าความสว่างพื้นที่ทำงาน มาตรฐาน และ ข้อมูลตารางคำนวนจุดคุ้มทุน
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 398

โพสต์

ระหว่างรอ จานใหญ่ จากพี่ NB

ขอมาเม้ามอย เป็นออเดิฟ เรื่องของกองทุนในไทยที่ผลตอบแทนไม่ธรรมดาครับ

เจ้าแรกเป็นของต่างชาติตัวย่อA ลงทุนกับหุ้นขนาดเล็ก market cap ไม่เกิน 2หมื่นล้าน และมีโอกาสโตด้วย นโยบาย VI ชัดๆ

ตัวอย่างหุ้นคร่าวๆครับ (ที่ซื้อเกิน 100ล้านบาท)
MINOR, TISCO, CNS, AEONTS, BLA, THREL, MTI, STANLY, DCC, LPN, EASTW, BIGC HMPRO, HANA, CPN


ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี แค่ 314% เอ๊งงงง :8)
ผลตอบแทนย้อนหลัง 10ปี ก็แค่
แต่ถ้านับตั้งแต่เริ่มกิจการมา ตั้งแต่ปี 2547 ก็ 293%

อีกตัวครับ เป็นของบัวหลวง ตัวจี๊ด ลงทุนแค่10ตัว Focus กันสุดๆ
หุ้นทั้งสิบ (อัพเดท 6-10-2556)
ฺฺBBL, BJC, CPALL, SCC, PTT, TUF, BLA, THRE(อันนี้ถือน้อยมาก), GOLD, AAV, AOT

แต่ ณ ปัจจุบัน อาจจะมีการเปลี่ยนแล้วก็ได้ครับ

มาดูผลตอบแทนกันดีกว่า ถ้า5ปีย้อนหลังก็ 281%
แต่ถ้านับตั้งแต่เริ่มกิจการมา 20ปี 2537 ผ่านร้อนหนาว ต้มยำกุ้ง, แฮมเบอเก้อไครซิส ก็233%

ปกติ ผมก็ดูสถิติกองทุนมาเพื่อเป็น Benchmark ให้ตัวผมเองครับ ว่าผมพัฒนาได้ขนาดใหนแล้ว
ถ้าแย่กว่ากองทุนมากๆ ไม่เก่งขึ้นสักที สงสัยเอาเงินไปให้กองทุนลงทุนให้ อาจจะดีกว่า :wall:
You only live once, but if you do it right, once is enough.
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 399

โพสต์

romee เขียน:ระหว่างรอ จานใหญ่ จากพี่ NB

ขอมาเม้ามอย เป็นออเดิฟ เรื่องของกองทุนในไทยที่ผลตอบแทนไม่ธรรมดาครับ

เจ้าแรกเป็นของต่างชาติตัวย่อA ลงทุนกับหุ้นขนาดเล็ก market cap ไม่เกิน 2หมื่นล้าน และมีโอกาสโตด้วย นโยบาย VI ชัดๆ

ตัวอย่างหุ้นคร่าวๆครับ (ที่ซื้อเกิน 100ล้านบาท)
MINOR, TISCO, CNS, AEONTS, BLA, THREL, MTI, STANLY, DCC, LPN, EASTW, BIGC HMPRO, HANA, CPN


ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี แค่ 314% เอ๊งงงง :8)
ผลตอบแทนย้อนหลัง 10ปี ก็แค่
แต่ถ้านับตั้งแต่เริ่มกิจการมา ตั้งแต่ปี 2547 ก็ 293%

อีกตัวครับ เป็นของบัวหลวง ตัวจี๊ด ลงทุนแค่10ตัว Focus กันสุดๆ
หุ้นทั้งสิบ (อัพเดท 6-10-2556)
ฺฺBBL, BJC, CPALL, SCC, PTT, TUF, BLA, THRE(อันนี้ถือน้อยมาก), GOLD, AAV, AOT

แต่ ณ ปัจจุบัน อาจจะมีการเปลี่ยนแล้วก็ได้ครับ

มาดูผลตอบแทนกันดีกว่า ถ้า5ปีย้อนหลังก็ 281%
แต่ถ้านับตั้งแต่เริ่มกิจการมา 20ปี 2537 ผ่านร้อนหนาว ต้มยำกุ้ง, แฮมเบอเก้อไครซิส ก็233%

ปกติ ผมก็ดูสถิติกองทุนมาเพื่อเป็น Benchmark ให้ตัวผมเองครับ ว่าผมพัฒนาได้ขนาดใหนแล้ว
ถ้าแย่กว่ากองทุนมากๆ ไม่เก่งขึ้นสักที สงสัยเอาเงินไปให้กองทุนลงทุนให้ อาจจะดีกว่า :wall:
กองแรกคงเป็นกองของบลจ.ที่ผมใช้บริการ LTF ของเค้าเมื่อสองปีก่อน แต่กองที่คุณ romee ว่านั้น น่าจะเป็นกองที่เค้าโปรโมทย์บนซองซีดีรายงานประจำปีที่ได้รางวัลมอร์นิ่งสตาร์สองปีซ้อน แต่บลจ. A นี่เค้ามีกองทุนไปลงทุนหุ้นญี่ปุ่นด้วยนะครับ

ส่วนกองที่สองเป็นกองเดียวกับที่ได้แชมป์กองทุนรวมเมื่อสองปีก่อน ปีนั้นผลงานเซียนเหยียบเมฆ ผมยังคิดเลยว่าเอาเงินไปให้เค้าลงทุนแทนน่าจะดีกว่า ถ้าจำไม่ผิดปีนั้นเล่นผลตอบแทนบวกไป 85% แต่ปีที่แล้วก็ตกลงไป

แต่พวกกองทุนรวมที่มีนโยบายเฉพาะยังมีไม่มากครับ บางทีเราก็ไม่ค่อยรู้ด้วยครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 400

โพสต์

ขออนุญาตคุณ vim นำโพสต์จากห้อง L&E เพื่อให้เห็นข้อมูลจากเหรียญทั้งสองด้านครับ ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ

ไม่รู้ผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า นั่นแสดงว่าอุตสาหกรรมบัลลาสกับสตาร์ทเตอร์กำลังจะเป็นขาลง ????

leky เขียน: http://www.xn--72c0bbcah0aamse6g3chsbh4 ... d-18w.html

จุดเริ่มต้นของบทความนี้เกิดจาก พอดีมีทีมช่างในกลุ่มผู้รับเหมางานระบบไฟฟ้าสอบถามมาว่าทำไมต้องเปลี่ยนหลอดไฟจาก Fluorescent 36W มาเป็นหลอดไฟ Tube LED 18W ??? และถ้าจะให้ผมอธิบายให้ทีมช่างแต่ละทีมเข้าใจคงหลายรอบครับ เพราะมีหลายทีมเหลือเกินที่สงสัย เลยเขียนบทความนี้ขึ้นมาเผื่อว่างๆ ทีมช่างจะได้อ่านดู เพื่อเสริมความรู้และความเข้าใจ รู้จักหลอดไฟ LED มากขึ้น เนื่องจากตอนนี้มีงาน Project เปลี่ยนหลอดไฟ LED อยู่หลายไซค์เหมือนกัน ซึ่งอีกไม่นานคงทั่วประเทศครับ ที่จะใช้หลอดไฟ LED ซึ่งหลอดไฟ LED ก็มีอยู่หลายแบบ หลายชนิดด้วยกัน ซึ่งผมจะยังไม่พูดถึง ตอนนี้จะพูดถึงหลอดไฟ LED ที่ใกล้ตัวเราที่สุดก็คือหลอด Tube LED 18W ครับ


เริ่มจากคำถามจากทีมช่างก่อนครับ
1. เปลี่ยนหลอดFL36Wเป็นหลอดไฟ LED ทำไม ???
2. หน้าตาของหลอดไฟ LED เป็นอย่างไร ???

เอาละเรามาหาคำตอบกันเลย
ข้อมูลคร่าวๆ ก่อนนะครับ ส่วนรายละเอียดมีเวลาผมจะเอามาลงเพิ่มเติม

คำถาม ทำไมต้องเปลี่ยนจาก FL36W เป็นหลอด LED 18W ???
คำตอบ
1. เพราะประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่า 50% เนื่องจาก หลอดไฟ FL36W รวมบัลลาส จะได้กำลังวัตต์ประมาณ 44W ถ้าเทียบกับ LED จะใช้ไฟฟ้าแค่ 18W เอง สรุปคือ ประหยัดไฟฟ้าไปได้เกิน 50% จากเดิม
2. เรื่องอายุการใช้งาน หลอด FL36W อายุการใช้งานเต็มที่ อยู่ราวๆ 24,000-30,000 ชม ต้องมีการซ่อมบำรุงบัลลาสและ สตาร์ทเตอร์อีก ซึ่ง LED จะมีอายุการใช้งานถึง 50,000 ชม และไม่มีบัลลาส-สตาร์ทเตอร์เรื่องการซ่อมบำรุง ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง
3. เรื่องจุดคุ้มทุน อันนี้เด่วผมลงตารางคำนวนรายละเอียดไว้ตอนหลังละกันครับ คร่าวๆจุดคุ้มทุนคือ เราลงทุนซื้อหลอดไฟ LED แทนหลอด Fl ค่าไฟส่วนต่างที่ได้ เอามาซื้อหลอดไฟ จะได้จุดคุ้มทุน ประมาณ 2-3 ปี ที่เหลืออีก ประมาณ 8 ปี ค่าไฟส่วนต่าง จะเป็นกำไร เข้ากระเป๋าเราครับ (หลอดไฟ LED อายุการใช้งาน 50,000 ชม / เปิดใช้งาน 12 ชม ต่อวัน = ใช้ได้ประมาณ 10 ปี / แต่ถ้าเปิดใช้งานตลอด 24ชม จะคุ้มทุนเร็วขึ้น)
4. เรื่องความร้อน เนื่องจากหลอดไฟ LED ไม่มีความร้อนจากหลอด ถ้าเทียบกับหลอด FL36W ดังนั้นถ้าใช้ตามห้าง ตามตึก อาคารสูง จะทำให้ประหยัดค่าไฟ ของ แอร์ได้เพิ่มขึ้นอีกนะครับ

คำถาม ค่าความสว่างของแสงหลอดไฟ LED 18W เทียบกับ หลอดไฟ FL36W เท่าเดิมหรือไม่อย่างไร ???
คำตอบ ค่าความสว่างของแสงลดลงกว่าเดิมนิดหน่อยครับ แต่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามตารางค่าความสว่างมาตรฐาน ของพื้นที่ทำงาน (จะมีตารางค่าความสว่างมาตรฐานอยู่นะครับ ว่างๆ เด่วเอามาลงเสริมให้)

เอาเป็นว่าคร่าวๆ ผมลงข้อมูลแค่นี้ไว้ก่อนละกัน ว่างๆ จะมาเล่าให้ฟังต่อครับ
ทั้งข้อมูล ตารางค่าความสว่างพื้นที่ทำงาน มาตรฐาน และ ข้อมูลตารางคำนวนจุดคุ้มทุน
vim เขียน: ตรงนี้ผมว่ามีการเข้าใจผิดกันเยอะครับ แม้กระทั่งช่างหรือวิศวกรที่นำหลอดไปใช้เอง ไปๆมาๆมันเลยน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หลอดไฟ LED ขายได้ดีในช่วงนี้เพราะถ้าคำนวนแบบลวกๆแล้วหลอด LED จะค่อนข้างประหยัดกว่ามาก

หลอดไฟ LED นั้นมีลักษณะการเสื่อม (2.) ที่ไม่เหมือนกับหลอดฟลูออเรสเซนส์ ขณะที่หลอดฟลูออเรสเซนส์นั้นถ้าเสื่อมปุ๊ปก็จะเปิดไม่ติดปั๊ปเลย เวลาคำนวนเวลาอายุการใช้งานก็จะคำนวนได้ค่อนข้างง่าย

ขณะที่หลอด LED นั้นการเสื่อมนั้นจะเริ่มขึ้นเมื่อใช้ได้สัก 5,000 ชั่วโมง (คิดเลขกลมๆก็ 1 ปี) โดยแสงสว่างจะค่อยๆสว่างน้อยลง พอใช้ไปได้สักประมาณ 8,000 ชั่วโมง (ประมาณ 2 ปี) ก็จะเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าหลอดเก่านั้นจะสว่างสู้หลอดใหม่ไม่ได้ ตรงนี้เป็นจุดตายเมื่อสองสามปีก่อนของผู้ผลิตหลอด LED ส่งไปยังยุโรปเลย เพราะพอเปลี่ยนหลอดใหม่ ลูกค้าเริ่มมีความรู้เพิ่มขึ้น แล้วหันไปใช้หลอดมียี่ห้อกันหมด

สาเหตุที่หลอดเสื่อมนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความร้อน (4.) ครับ หลอดไฟ LED นั้นแม้จะร้อนน้อยกว่าหลอดไฟชนิดอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้ร้อนน้อยกว่าอย่างที่คนทั่วไปคิด เวลาเปิดหลอด LED แล้วเอามือไปใกล้ๆเราจะไม่รู้สึกเลยว่ามีความร้อน ตรงนี้เลยทำให้คนทั่วไปคิดไปว่าหลอด LED นั้นไม่ร้อน

ในความจริงแล้วหลอด LED นั้นไม่ได้แผ่ความร้อนออกมาตรงๆทางอากาศ แต่ตัวหลอดมันเองนั้นร้อนมาก ถ้าถามว่ามากแค่ไหนก็ต้องบอกว่าถ้าหยดน้ำเปล่าลงไป น้ำก็จะระเหยได้ทันทีเพราะความร้อนภายในหลอด (Junction temperature) นั้นมักจะสูงเกิน 120 องศาเซลเซียส หลอดบางเจ้าจากเอเชียก็เกิน 150 องศาเซลเซียส

หากปล่อยให้ความร้อนในหลอดสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน หลอด LED ก็จะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว อายุการใช้งานก็จะลดลงด้วย การคำนวนความคุ้มทุนก็จะผิดพลาด

ในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในแถบเอเชียนั้น การคำนวนอายุหลอด LED ยังไม่ถูกกำกับอย่างจริงจัง ผุ้ผลิตบางรายก็มักใช้ตัวเลขอายุการใช้งานมาสูงๆ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงเมื่อถึงเวลานั้น หลอด LED คงแทบไม่มีความสว่างแล้ว

ขณะที่หลอดมียี่ห้ออย่าง Osram, Philips, Nichia นั้นมีราคาแพง เพราะหลอดไฟมียี่ห้อนั้นถูกเพ่งเล็งเรื่องนี้ ทำให้ต้องติดตั้งระบบต่างๆ เช่น

1. ฮีทซิงค์ หรือแผงระบายความร้อน โดยอาจจะนำหลอด LED ไปวางบนอลูมิเนียมหรือทองแดงเพื่อระบายความร้อน แต่ก็ต้องป้องกันไฟช็อตโดยนำแผนกระจกหรือวัสดุชนิดอื่นๆมาคั่นระหวางขั้วของหลอดไฟ LED ก้ับแผงระบายความร้อนอีกทีหนึ่ง (ตรงนี้สุดท้ายก็ไม่น่าช่วยประหยัดค่าแอร์เท่าไหร่) ถ้าลองสั่งซื้อหลอดมีแบรนด์มาเราจะเห็นการดีไซน์ฮีทซิงค์ที่ทำได้ดีกว่าหลอดโนเนมครับ

2. อุปกรณ์ควบคุมกระแสไฟไว้บนหลอด LED ที่จะจ่ายไฟสูงขึ้นถ้าหลอดเริ่มเสื่อมลง ไฟที่สูงขึ้นนี้จะทำให้ความสว่างของหลอดไฟใกล้เคียงเดิมตลอดอายุการใช้งาน พวกนี้ไม่ค่อยพบตามไฟบ้านเท่าไหร่เพราะราคาแพง

ผมพร่ามมาตังยาว อยากจะนำเสนอมุมมองเทคนิคอีกด้านหนึ่งจากวิศวกรครับ น่าจะพอเป็นภาพการแข่งขันในบริษัทเทคโนโลยีตรงนี้

อาจจะไม่ค่อยมีประโยชน์ในแง่การลงทุนเท่าไหร่ เพราะจุดแข็งบริษัท L&E ไม่ใช่การผลิตหลอดเอง แต่เป็นการนำหลอดของผู้ผลิตต่างๆมาติดตั้ง ออกแบบดีไซน์ เป็นงานโครงการๆไป ตรงนี้เป็นเทรนด์ของโลกเลยครับ กลัวอย่างเดียวคือกลัวมันเป็น Red Ocean ที่แต่ละบริษัทต่างตัดราคากัน ใครต้นทุนถูกกว่าก็รอดไป :mrgreen:
"Become a risk taker, not a risk maker"
ptaseeker
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 401

โพสต์

ผมคนตรัง แต่ไปเรียนที่ มอ.หาดใหญ่ + ทำงานอยู่ เกือบ 10 ปี เปิดพอร์ตอยู่ที่หาดใหญ่ แต่กลับมาเปิดร้านที่ตรังแล้ว แบบนี้นับมั้ยครับ อิอิ ว่าแต่เค้าเลิกลงชื่อกันแล้วหรือยัง
low risk High return!
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 402

โพสต์

เริ่มแล้วนะครับ ดาร์คโหมดที่ 1 กราฟรูปถ้วยและหู

รูปภาพ

มีอะไรอยู่ในถ้วยและหูแก้ว

1. เมื่อหุ้นได้รับข่าวดี จาก C-A-N จะ Spike ขึ้นอย่างรุนแรง นัก CANSLIM จะโน้ตไว้แต่ไม่ตาม
2. รอ จังหวะ ส่วนใหญ่ข่าวดีคนซื้อมักเป็น คนวงใน insider คนทำข่าว ฯลฯ เมื่อถึงจุดหนึ่งเค้าจะปล่อยของเราจะรออย่างน้อย ๆ 15-30%
3. ให้เวลาสักประมาณ 7 สัปดาห์ ตามดูตามข่าวไปเรื่อย ๆ (ในบางกรณี รูปถ้วยนี้ใช้เวลาฟอร์ม 3-6 เดือน มีบ้างเป็นปี) เราต้องให้เวลาเพื่อให้พวกข้อ (2) รวมถึงเจ้ามือปล่อยของออกมาจนหมด (อธิบายในข้อ 8)
4. ในช่วงตลาดหมี อาจลงเยอะกว่านี้
5. Growth Stock มักจะตกมากกว่า Index
6. หากฐานฟอร์มเป็นตัว U มักจะดีกว่าฐานที่ฟอร์มเป็นตัว V (จุดนี้ขัดแย้งกับ เคน ฟิชเชอร์ แต่สอดคล้องกับ ฟิล ฟิชเชอร์)
7. เมื่อขึ้นมาครั้งที่ 2 ให้ใจเย็นไว้จนฟอร์มหูถ้วย ให้ดูจุดสูงสุดของขอบแก้วก่อนไหลเข้าหู
8. Ideal Buy Price คือ จุดที่ขึ้นมาเสมอหู อีกครั้งนั่นหล่ะ แล้วก็ follow trend ไปเลย

Ref: http://education.investors.com/ibd-univ ... ?chapter=1
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 403

โพสต์

จิตวิทยา ที่ต้องผ่านไปให้ได้

1 หุ้นขึ้นเพราะ C-A-N อยากซื้อใจจะขาด วิเคราะห์มาดีแค่ไหน จังหวะกระชากขึ้นห้ามตาม ห้ามใจ ห้าม ห้าม ห้าม

2 รอให้ฟอร์ม U

3 ขึ้นอีกครั้งให้รอ ๆ ๆ จนสร้างรูปหู

4 ไหลลงหู จ้อง

5 Ideal Buy - นั่นหละ

.........................

ผมขอผ่านเรื่อง C-A-N ไปเลยนะครับ พวกเราสายวีไอ เรื่อง C-A-N เราค่อนข้างแข็งอยู่แล้ว
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 404

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:
1. เมื่อหุ้นได้รับข่าวดี จาก C-A-N จะ Spike ขึ้นอย่างรุนแรง นัก CANSLIM จะโน้ตไว้แต่ไม่ตาม
อันนี้ไม่เกี่ยวกับ CANSLIM นะครับ แต่เท่าที่ผมสังเกตเวลามีข่าวดีเกี่ยวกับผลประกอบการที่โตขึ้นมากจนมีผลต่อราคาหุ้น วันแรกหุ้นจะขึ้นอย่างรุนแรงครับ ตรงนี้ถ้าไม่ใช่คนที่รู้ข้อมูลอินไซด์ก็อาจจะได้แค่มอง เพราะข่าวมันออกหุ้นก็ขึ้นไปเลย ไม่มีเวลาทันเข้าไปวิเคราะห์ข้อมูล ส่วนมันจะขึ้นไปมากหรือนานแค่ไหนก็ขึ้นกับกำไรที่โตว่ามันมากแค่ไหน ผมคิดว่ากลุ่มคนที่เข้าไป "ลุยไฟ" ในช่วงนี้น่าจะเป็นพวกนักเก็งกำไรผสมโรงกับพวกเดย์เทรด ทีนี้พอผ่านไปซักระยะหนึ่ง อาจจะเป็นไม่กี่วันหรือนานกว่านั้น ราคาหุ้นก็จะตกลงบ้างหรือนิ่ง ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะข่าวมัน "ไม่สดใหม่" แล้ว หรือไม่ก็ราคาหุ้นขึ้นมารับข่าวในระดับหนึ่ง รวมถึงกลุ่มเก็งกำไรเริ่มทิ้งหุ้น ทีนี้ถ้าหุ้นตัวนั้นดีจริงมันก็จะพักตัวอีกซักระยะครับ แล้วก็ขึ้นไปต่อ ผมคิดว่าที่มันขึ้นไปต่อในรอบหลังน่าจะเพราะว่า พอหลังข่าวออกซักระยะหนึ่ง นลท.กลุ่มที่เน้นปัจจัยพื้นฐานมีเวลาที่จะกลับไปวิเคราะห์ข้อมูลมากขึ้น ก็เลยเป็นกลุ่มที่เข้ามา "ลุย" ต่อในช่วงที่สอง นั่นแปลว่าถ้าสนใจหุ้นพวกนี้ การทำงานของเราจะต้อง "เร็ว" พอสมควรครับ

Nevercry.boy เขียน:6. หากฐานฟอร์มเป็นตัว U มักจะดีกว่าฐานที่ฟอร์มเป็นตัว V (จุดนี้ขัดแย้งกับ เคน ฟิชเชอร์ แต่สอดคล้องกับ ฟิล ฟิชเชอร์)
คุณ NB ช่วยขยายความหน่อยครับ ว่าฟอร์มตัว V มันคืออะไรครับ ถ้าให้เดาน่าจะเพราะว่ามันลงแล้วพักฐานนานกว่า และนั่นแปลว่านอกจากจะมีหุ้นที่เข้าคุณสมบัติของ CANSLIM แล้ว เค้ายังต้องมองการเคลื่อนไหวของราคาในรูปแบบถ้วยและหูดังกล่าวด้วยใช่ไหมครับ แต่ที่ผมแปลกใจมากที่คุณ NB บอกไว้ในวันก่อนว่าเค้าไม่เน้นเรื่องดูงบใน CAN
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 405

โพสต์

leky เขียน: คุณ NB ช่วยขยายความหน่อยครับ ว่าฟอร์มตัว V มันคืออะไรครับ
V-Shaped นั้นมีชื่อเสียงมาจากบทความเรื่อง Viva-V ของ เคน ฟิชเชอร์ ลูกชายของ ฟิล ฟิชเชอร์ครับ ลักษณะประมาณนี้ครับ อาจารย์หมอเล็ก

รูปภาพ
leky เขียน: นอกจากจะมีหุ้นที่เข้าคุณสมบัติของ CANSLIM แล้ว เค้ายังต้องมองการเคลื่อนไหวของราคาในรูปแบบถ้วยและหูดังกล่าวด้วยใช่ไหมครับ แต่ที่ผมแปลกใจมากที่คุณ NB บอกไว้ในวันก่อนว่าเค้าไม่เน้นเรื่องดูงบใน CAN
ใช่ครับ อ.หมอเล็ก กราฟรูปถ้วยและหู เป็น สิ่งสำคัญใน CANSLIM เลยทีเดียวครับ

ท่านที่สนใจเพิ่มเติมสามารถหาข้อมูลเพิ่มได้ที่

http://www.investors.com/default.htm
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 406

โพสต์

คุณ NB วิทยายุทธหลากหลาย ทั้งอาวุธหนักอาวุธเบา ข้าน้อย นับถือครับ :bow: :bow: :bow:

อยากทราบว่าแล้วจากประสบการณ์จริงในตลาดไทย เป็นอย่างไรบ้างครับ เวิร์คมากน้อยแค่ไหนครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 407

โพสต์

ไม่กล้ารับครับ อาจารย์หมอเล็ก :bow:

ปกติผมไม่ตอบคำถามใครในเชิง CANSLIM เพราะ มัน เป็น ดาร์คโหมด อย่างว่า
แต่ยกเว้น อาจารย์หมอเล็กที่ผมเคารพ ถามมา ผมจึงตอบครับ

ไว้ผมมาเขียนเรื่อง ดาร์คโหมดที่ 2 Distribution Day ครับ

อ้อ ส่วนเรื่องผมนำมาใช้ ผมนำมาประยุกต์ครับ และใช้อยู่ถึงปัจจุบัน ไว้เขียนต่อครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 408

โพสต์

ptaseeker เขียน:ผมคนตรัง แต่ไปเรียนที่ มอ.หาดใหญ่ + ทำงานอยู่ เกือบ 10 ปี เปิดพอร์ตอยู่ที่หาดใหญ่ แต่กลับมาเปิดร้านที่ตรังแล้ว แบบนี้นับมั้ยครับ อิอิ ว่าแต่เค้าเลิกลงชื่อกันแล้วหรือยัง
20 ปีก่อนผมเขียนวิทยานิพนธ์อยู่ย่านตาขาวครับตอนนั้นอยู่จุฬาเรื่องอุตสาหกรรมไม้ยางพารา

หมูย่างร้านโกหลั่นยังมีอยู่มั๊ยครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ptaseeker
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 409

โพสต์

20 ปีก่อนผมเขียนวิทยานิพนธ์อยู่ย่านตาขาวครับตอนนั้นอยู่จุฬาเรื่องอุตสาหกรรมไม้ยางพารา

หมูย่างร้านโกหลั่นยังมีอยู่มั๊ยครับ[/quote]

ยังอยู่ครับ หรอยเหมือนเดิม
low risk High return!
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 410

โพสต์

ขอบคุณมากครับคุณ ptaseeker

คิดถึงร้านอาหารครับ

ในหาดใหญ่จำได้คือข้าวต้มนายยาว ส่วนติ่มซำนี่มีเยอะมาก

ร้านเวียงจันทร์ยังอยู่ม๊ยหนอ

จำได้ว่ากินราดหน้าปลาทอดแต่จำชื่อร้านไม่ได้

ไว้ต้องให้ จารหมอหนึ่งพาไประลึก
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ptaseeker
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 411

โพสต์

ร้านเก่าแก่ในหาดใหญ่ส่วนใหญ่ยังอยู่แหละครับ ทั้ง ร้านเวียงจันทร์ นายยาว
ส่งกระทู้นี้ให้ไปลำรึกความหลังแล้วกัน รับรองว่าอย่างมาหาไรหรอยๆ ที่หาดใหญ่แน่นอน อิอิ
http://pantip.com/topic/31137761
low risk High return!
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 412

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:ไม่กล้ารับครับ อาจารย์หมอเล็ก :bow:

ปกติผมไม่ตอบคำถามใครในเชิง CANSLIM เพราะ มัน เป็น ดาร์คโหมด อย่างว่า
แต่ยกเว้น อาจารย์หมอเล็กที่ผมเคารพ ถามมา ผมจึงตอบครับ

ไว้ผมมาเขียนเรื่อง ดาร์คโหมดที่ 2 Distribution Day ครับ

อ้อ ส่วนเรื่องผมนำมาใช้ ผมนำมาประยุกต์ครับ และใช้อยู่ถึงปัจจุบัน ไว้เขียนต่อครับ
ขอบคุณที่คุณ NB ช่วยเล่าให้ฟังครับ :bow: :D

ผมว่าอะไรคือ ดาร์คโหมด มันบอกยากจริง ๆ ครับ

เอางี้ครับ ผมคิดว่าสมาชิกในเว็บส่วนใหญ่น่าจะเป็นแนววีไอหรือดูเรื่องปัจจัยพื้นฐานอยู่แล้วครับ

ส่วนเคล็ดวิชานอกเหนือจากนี้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ยึดเป็นสรณะ แต่ผมว่าบางทีมันก็อาจจะมีประโยชน์ในกรณีที่เราไม่สามารถเอาวิชาหลักของเรามาใช้ในบางกรณีได้ ประมาณว่าเป็นทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ น่ะครับ

ผมว่าแม้แต่นลท.วีไอบางคนก็ยังเอาความรู้ทางเทคนิคมาจับด้วย อย่างเช่น แอนโทนี โบลตัน ก็ใช้สัญญาณทางเทคนิค เพื่อยืนยันสมมติฐานที่เค้าคิดหรือถ้ามีเหตุร้ายกับหุ้นตัวนั้นเค้าก็จะเอามาพิจารณาว่าเค้าหลุดอะไรที่เป็นปัจจัยลบของหุ้นตัวนั้นไปหรือไม่

ผมเองก็มีทริกเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ใช้บ่อยเหมือนกันครับ ผมเรียกมันว่า "stress test" ของหุ้นครับ อันนี้ผมสังเกตเอาจากประสบการณ์ที่ชอบดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนะครับ

หุ้นบางตัวที่มีข่าวร้ายมาก ๆ อย่างต่อเนื่องยาวนาน หรือราคาลงมาจนไม่รู้จะลงอย่างไรแล้ว มันมักจะมีอาการที่เห็นได้บ่อย ๆ สองอย่างครับ

1) การซื้อขายของหุ้นตัวนั้นจะลดลงอย่างมาก เช่นวอลุมของแต่ละราคาจะน้อย ถ้าชัด ๆ ก็คือระดับราคาที่ bid หรือ offer จะห่างกัน บางทีหลาย ๆ ช่องเลยก็มี

2) ราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวในกรอบราคาแคบ ๆ ถ้าลองดูกราฟราคาหุ้นมันก็จะนิ่ง ๆ

ทีนี้จะดู stress test ยังไง วิธีนี้เป็นการดูหุ้นที่มีข่าวในเชิงลบเป็นหลักหรือไม่ก็ต้องเป็นตลาดที่แย่มาก ๆ และมักจะต้องเป็นหุ้นขนาดเล็ก ๆ นะครับ เพราะโอกาสที่จะเห็นจากหุ้นตลาดนั้นค่อนข้างยาก หรือถ้าเห็นก็อาจจะสังเกตได้ค่อนข้างลำบาก วิธีดูนั้นอาศัยเหตุการณ์หลัก ๆ 2 อย่างครับ

1) ข่าวผลประกอบการของบ.นั้นออกมาแล้วขาดทุน

2) ตลาดตกอย่างต่อเนื่อง

ถ้ามีเหตุการณ์แบบใดแบบหนึ่งแล้ว หุ้นตัวนั้นยัง "ยัน" อยู่ได้ ราคาไม่ค่อยลดลงหรือไม่เปลี่ยนแปลงหรือนิ่งไม่มีการซื้อขาย นั่นชวนให้เชื่อได้ว่าราคาหุ้นน่าจะลงมาต่ำมากพอสมควรแล้ว ยิ่งถ้าวันไหนบ.ประกาศงบขาดทุนแรง ๆ หรือตลาดหุ้น panic หนัก ๆ ยิ่งมีน้ำหนักมาก ประมาณว่า "กรูลงจนไม่รู้จะลงยังไงแล้ว" นั่นเองครับ

ตรงนี้คงไม่ได้ดูจากการเคลื่อนไหวของราคาอย่างเดียวนะครับ แค่เป็นส่วนประกอบของการเข้าซื้อหุ้นเท่านั้น ถ้าเราคำนวณดูแล้วราคาโอเค ต่ำกว่าแวลู เราอยากหาข้อมูลอย่างอื่นมา support ให้เราสบายใจขึ้นก็ใช้ประกอบกันครับ

เช่นกันครับ เท่าที่สังเกตเช่นกัน ถ้าตลาดกลับเป็นขาขึ้นเมื่อไหร่ หรือหุ้นตัวนั้นมีข่าวดีเมื่อไหร่ เช่นผลประกอบการกลับมามีกำไร ช่วงแรกที่หุ้นตัวนั้นกลับมาวิ่ง มันก็จะวิ่งขึ้นเร็วมากครับ ผมคิดว่าเนื่องจากมันไม่ค่อยมีการซื้อขาย วอลุมที่ตั้งขายก็น้อย ดีไม่ดีบางช่องก็ไม่มีคนตั้ง

หุ้นแบบนี้จึงมักซื้อยากและต่อราคามากไม่ได้ครับ เพราะถ้าเรื่องดี ๆ กลับมาเมื่อไหร่ ก็จะตกรถอย่างรุนแรงครับ

ลองดูตัวอย่างจากหุ้น METCO ดูครับ จะเห็นได้ว่า วันที่ประกาศงบ Q4 ขาดทุนไปอีก 12 บาทต่อหุ้น จากเดิมที่ Q3 เริ่มพลิกมีกำไรบ้าง

http://www.set.or.th/set/newsdetails.do ... country=TH

ราคาหุ้นในวันที่ 27 พ.ย. 56 เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (ถ้าย้อนไปดูจเห็นว่าราคาหุ้นจะอยู่แถว ๆ 140-150 บาทมานาน)

http://www.settrade.com/C04_02_stock_hi ... &offset=90

วันที่ 13 ก.พ. 57 ประกาศงบ พลิกมีกำไร 9.85 บาทต่อหุ้น พร้อม ๆ กับข่าวสินค้าตัวใหม่

http://www.set.or.th/set/newsdetails.do ... country=TH

หุ้นซิลลิ่ง

http://www.settrade.com/C04_02_stock_hi ... &offset=30

จะว่าไปช่วงหลังปีใหม่ ที่ตลาดหุ้นโดนทุบอย่างเมามันนั้น METCO ก็มีอาการแสดงให้เห็นว่า ลงตามตลาดค่อนข้างน้อย

http://www.settrade.com/C04_02_stock_hi ... &offset=60

ผมว่าตลาดหุ้นจะอยู่ให้สบายก็ไม่ง่าย นั่นแปลว่าเราเรียนรู้หลาย ๆ เรื่อง หุตาจะได้ไวหน่อย จะได้อยู่สบายขึ้นครับ :D
"Become a risk taker, not a risk maker"
dr1
Verified User
โพสต์: 842
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 413

โพสต์

ร้านเวียงจันทร์ยังอยู่ครับ อาจารย์NB
เด๋วนี้เงียบไปมาก แต่ก่อนที่เคยกินก็มี ผักกาดดอง หมูเย็น (เป็นวุ้นพะโล้) กระเพาะหมูผัดเกี้ยมฉ่าย
ราดหน้าปลากระพง(ทอด?)

ร้านร่วมรุ่นก็มีนิยมรส นอกนั้นปิดหมดแล้วตั้งแต่ไหหว่าเทียนหูฉลาม ฮกง้วน แม่ทิพย์ และอื่นๆจำไม่ได้ แฮ่...

ตอนนี้ห้องหาดใหญ่เริ่มสนุกแบบดาร์คโหมดกันใหญ่นะครับ
ช่วยมาแจมกันเยอะๆนะฮะ ทั้ง อ.leky ท่านVIM และทุกท่านที่ซุ่มดูปูเสื่อรอ
ส่วนผมขอมาแซมแบบงงๆฮาๆแบบคนไม่รู้เรื่องไปแบบเดิมนะฮะ ฮ่า...
samatah
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 414

โพสต์

เคยไปตรังตอนใกล้เรียนจบ ตอนเช้าไม่มีอะไรทำโบกตุ๊ก ๆ ตอนนั้นนึกอะไรไม่ออก บอกเค้าไปว่า "ไปบ้านแม่ถ้วน" เค้าดันพาไปจริง ๆ ผมกับเพื่อนก็ยังงง ๆ ว่าแย่แล้ว ไปถึงบ้านแม่ถ้วนถึงเพิ่งรู้ว่าเค้าเปิดบ้านไว้ต้อนรับแขก ใครไปมาเยอะ เลยนั่งคุยด้วย แกดูเป็นกันเองดีครับ

แต่ประทับใจ "เกาะรอก" มาก เป็นเกาะที่ผมยังอยากไปอีก สงบ น้ำใส ทรายขาว เหยียบแล้วนุ่มเท้ามาก ๆ ปูเสฉวนเต็มไปหมด ในป่าก็มีปูป่า แต่ไปยากหน่อยเพราะไกลออกไปจากเกาะอื่น ๆ

ไม่กี่ปีก่อนเค้าก็เอาเกาะรอกมาเป็น Unseen Thailand ไม่รู้ว่าสภาพจะเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า ตอนที่ผมไปมีแต่ฝรั่งนั่งเรือมานอนอาบแดด บนเกาะมีแต่บ้านพักอุทยาน ส่วนพวกผมเหมาเรือไป
"Become a risk taker, not a risk maker"
arica
Verified User
โพสต์: 1112
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 415

โพสต์

ขออนุญาติ อาจารย์หมอเล็ก ครับ
"stress test " ของ อ. ที่กล่าวมา โดยส่วนตัว ผมใช้ค่า RSI = ในสายเทคนิค เป็นตัวยืนยันพร้อมกลับปริมาณการซื้อขายที่เบาบางมากๆ เป็นตัวสังเกตุ ในบางครั้งก็ได้ผลบางครั้งก็ไม่ได้ผลครับ แต่ในตัวหุ้นที่อยู่ใน SET100 มักจะใช้ได้ดีเลยทีเดียวครับผม
leky
Verified User
โพสต์: 1803
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 416

โพสต์

arica เขียน:ขออนุญาติ อาจารย์หมอเล็ก ครับ
"stress test " ของ อ. ที่กล่าวมา โดยส่วนตัว ผมใช้ค่า RSI = ในสายเทคนิค เป็นตัวยืนยันพร้อมกลับปริมาณการซื้อขายที่เบาบางมากๆ เป็นตัวสังเกตุ ในบางครั้งก็ได้ผลบางครั้งก็ไม่ได้ผลครับ แต่ในตัวหุ้นที่อยู่ใน SET100 มักจะใช้ได้ดีเลยทีเดียวครับผม
ถ้าจะใช้วิธีทางเทคนิคก็ได้ครับ แต่ว่าผมไม่ได้ศึกษาทางเทคนิคเลย แต่ที่เล่าให้ฟังไป เป็นจากการสังเกตของผมน่ะครับ มันอาจจะมีหลักทางเทคนิคอะไรบางอย่างที่มันคล้าย ๆ กันก็ได้ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
Marcus
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 208
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 417

โพสต์

VI หาดใหญ่ คนไหนถือ PB บ้างครับ ประชุม ผถห. ล่าสุดมีใครไปร่วมมั้ยครับ
arica
Verified User
โพสต์: 1112
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 418

โพสต์

leky เขียน:
arica เขียน:ขออนุญาติ อาจารย์หมอเล็ก ครับ
"stress test " ของ อ. ที่กล่าวมา โดยส่วนตัว ผมใช้ค่า RSI = ในสายเทคนิค เป็นตัวยืนยันพร้อมกลับปริมาณการซื้อขายที่เบาบางมากๆ เป็นตัวสังเกตุ ในบางครั้งก็ได้ผลบางครั้งก็ไม่ได้ผลครับ แต่ในตัวหุ้นที่อยู่ใน SET100 มักจะใช้ได้ดีเลยทีเดียวครับผม
ถ้าจะใช้วิธีทางเทคนิคก็ได้ครับ แต่ว่าผมไม่ได้ศึกษาทางเทคนิคเลย แต่ที่เล่าให้ฟังไป เป็นจากการสังเกตของผมน่ะครับ มันอาจจะมีหลักทางเทคนิคอะไรบางอย่างที่มันคล้าย ๆ กันก็ได้ครับ
ครับผม และที่สังเกตุ ถ้าผมลองใช้ แนวนี้ กับหุ้นขนาดเล็กๆ ผลที่ออกมาส่วนใหญ่ ผมมักจะโดนครับ :wall:
ภาพประจำตัวสมาชิก
theerasak24
Verified User
โพสต์: 614
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 419

โพสต์

dr1 เขียน:ครับ ท่านHorseVision
ท่านsaichon เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้มุ่งมั่น มีแผน มีสติ ถ่อมตน และอารมณ์ขัน
ถือเป็นกัลยานมิตรที่เราภูมิใจที่ได้สมาคมด้วยครับ
ยรรยากาศอึมครึมช่วงนี้ยัง"บาย บาย"(สบ๊าย สบาย ,buy buy , แล้วby๊e bye..)กันมั้ย

ผมไปได้คลิป วิธี(เลือก)เอาหุ้น(มาลงทุน)สำหรับมือใหม่ งานset in the city 2013
ของอ.นิเวศน์ ซึ่งท่านอ.บรรยายเดี่ยวตลอดบนเวที มีเนืื้อหาครอบคลุมแทบครบถ้วนเลยครับ

มือใหม่จะกระชุ่มกระชวย เห็นอะไรใหม่ๆจากสิ่งรอบตัวน่าสนใจว่ามือเก่าที่ดูแต่กระดานหุ้น
ภาพใหญ่ของการลงทุนหุ้นคือ
การลงทุนหุ้นเป็นสิ่ง"จำเป็น"ในโลกใบใหม่

1.การซื้อธุรกิจ ที่ดีที่สุด ดีขึ้นเรื่อยในระยะยาวหลายสิบปี
ที่มีชื่อเสียง เป็นเจ้าของแล้วคนอิจฉา 5-6ธุรกิจ เก็บไว้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เราทำงานได้รายได้มาก็ซื้อเพิ่ม ได้ปันผลมาก็ซื้อเพิ่ม ธุรกิจค่อยๆโตก็ลงทุนเพิ่ม
จนวันหนึ่งเราได้ปันผลจนไม่ต้องทำงาน มีอิสรภาพทางการเงิน
ควรมีมูลค่าผอร์ท200เท่าของเงินที่ต้องใช้ต่อเดือน เช่นต้องใช้เดือนละหมื่น ควรมีหุ้นสองล้านบาท
เป็นขบวนการ10-20-30-40ปีระยะยาว ไม่ใช่"เล่น"หุ้นซึ่งหวังผลระยะสั้น

2.ผลตอบแทนและเวลาจะเป็นตัวช่วยเรา
ฝากธนาคารได้2% ต่อปีทบต้นใน30ปี
ลงทุนกองทุนรวมยาวๆ30ปีจนเกษียณ ได้ราวๆ10%ต่อปี จะทบต้นทุก7ปี
ถ้าดูแค่5ปี บางปีอาจได้มาก บางปีอาจได้น้อย บางปีติดลบ
แต่ถ้าถือยาวๆผลตอบแทนจะชดเชยให้ภายหลัง ถือยาวๆ20-30ปีไม่มีพลาด
5ปีืี่ผ่านมาได้4เท่า 30%ทบต้น ถือว่าดีมาก มีในประวัติศาสตร์แค่ครั้งเดียว

"ต้องทน ต้องกอด ห้ามทิ้ง อย่าถอน"

3.จังหวะเวลา(timing)
ถ้าเข้าตลาดในช่วงไม่แพง ผลตอบแทนจะได้ราว10% ต่อปี
ถ้าเข้าในปี2536ดัชนี1700 PE20-30เท่า ผ่านไป10ปียังเจ๊งอยู่
ตอนนี้PE13-14 ไม่ถูก แต่ก็ไม่แพง

"หุ้นตก ซื้อ หุ้นขึ้น ไม่ขาย เชื่อมั่น ศรัทธา"

สรุป"แก้วสามประการ"ของการลงทุนคือ
1. เงินเริ่มต้น
ขึ้นกับวาสนา บางคนพ่อแม่ให้ บางคนหาได้เยอะ
2. เวลาที่ลงทุน
ลงทุนได้ตลอดชีวิต หนุ่มสาวจะได้เปรียบคนแก่
รีบลงทุนแต่เนิ่นๆ และอย่าออกจากตลาด
3. ผลตอบแทนต่อปี
ลงทุนหุ้นดีกว่าฝากเงิน ถ้าเลือกไม่เป็นให้ซื้อกองทุนอิงดัชนี ที่ค่าบริหารต่ำ set50
ถ้าเลือกหุ้นเป็น ให้ตั้งกองทุนรวมประจำตัว

วิธีเลือกหุ้น
"เป็นสิทธิเลือกในชีวิตจริง" ทุกวันสิบโมงครึ่งจะมีหุ้นห้าร้อยตัวเรียงกันออกมาให้เรา(เลือก)เอา
ชีวิตจริงเราอาจเลือกสาวๆแล้วสาวๆอาจไม่เอา(เลือก)เรา
แต่เรา(เลือก)เอาหุ้น(มาลงทุน)ได้ ให้เลือกหุ้นดีที่สุดสัก5ตัว
ไม่ใช่เลือกตัวที่"เซ็กซี่"หรือ(ปริมาณการซื้อขาย)ร้อนแรง หรือมี"ข่าว"ว่าจะวิ่ง
ให้คิดว่าสมัยนี้เลี้ยงหุ้น5-6ตัวมาเลี้ยงเรา ดีกว่าเลี้ยงลูก5-6 คน ให้ลูกมาเลี้ยงเรา
ไม่งอแง ยิ่งนานยิ่งโต(ราวๆ10%ต่อปี ปันผลปีละราวๆ3%)
ลงเงินไปได้คืนมาตลอด ปันผลเพิ่มทุกปีราว10%จากเดิม
แนะนำ"SUPER STOCK"
1. กิจการดีที่สุดในไทย เก่งที่สุด เราเห็นกิจการได้ใช้บริการตลอด
2. ดีกว่าอันดับสองมาก ชนะทิ้งห่าง ถ้าแข่งกันยังไม่ชนะขาดก็อาจเจ๊งหมดได้
3. อีก5-10ปี มีแต่ดีขึ้น อยู่ในเมกาเทรนด์
3.1 คนแก่เยอะขึ้น คนเกิดใหม่น้อยลง
3.2 คนมีรายได้เพิ่มขึ้น รายได้กระจายไปคนต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น
3.3 สวย อร่อย สะดวกสบาย คนรุ่นใหม่ชอบ
4. เป็นธุรกิจตอบสนองสัญชาติญาณมนุษย์
4.1 การเอาตัวรอด อาหารดีๆ(น่าจะพวกปัจจัย4)
4.1 การสืบพันธ์ แพร่พันธ์ (น่าจะพวกเสริมอารมณ์ สวย การเดินทาง ติดต่อสื่อสาร)
เอาหุ้น5ตัว สุดยอด อยู่ยาว มาเลี้ยงแบบลูก .
เลี้ยง(ดูแล)หุ้นห้าวัน พักสองวัน ทำไปเรื่อยๆ โตไปเรื่อยๆ

รายงานจากวัฎฎสังสาร ที่ยังวุ่นวายอยู่กับการเอาตัวรอดและการผสม..เอ๊ย สืบพันธ์...
ต้องขอขอบคุณพี่หมอ 1 มากเลย ครับ ติดตามอ่านทุกเรื่องที่พี่หมอเล่าและเปรียบเปรย แต่ละเรื่องผูกเข้ากับแต่ละเรื่องได้สอดคล้อง หยิบยกเรื่องราวที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน จับเอามาเป็นประเด็น พร้อมทั้งให้ข้อคิดแต่ละอย่างนี่ ต้องขอนับถืออย่างยิ่ง (นี่ก็อาจารย์อีกคน ) สุดยอดๆๆ จริงๆ ครับ
"เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะยังคงทำสิ่งต่างๆ ต่อไปตราบใดที่มันยังให้ความรื่นรมย์และคุณก็ทำมันได้ดี"
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI หาดใหญ่

โพสต์ที่ 420

โพสต์

ตามอ่านด้วยคนครับ

พี่หมอหนึ่งนี่แหละ สุดยอดเลย โดยเฉพาะ..พันธ์ ๆ อะไรเนี้ย :P
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี