VI บ้าน ๆ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 541

โพสต์

GG เขียน:
GG เขียน:
theenuch เขียน:
dr1 เขียน:ท่านGG จะรู้มั้ยน้อ..(รีบท้วงเนี่ย น่าจะรู้นะ แต่เอ เค้าบอกว่า"อยู่ในวงการการตลาด"นี่หว่า..)
ว่า GCในบางวงการมันย่อมาจากgonococcus น่ะ

ไปล่ะ...ฟิ้ววว..
คุณหมอ dr1 อย่าไปบอกสิคะ อิ อิ..เก็บไว้รู้ในบางวงการก็พอค่ะ...555+
ตายล่ะ พี่หมอหนึ่งมาแซวและทิ้งข้อสงสัยไว้ให้ผมด้วยซิ ผมยิ่งเป็นคนหัวช้าอยู่ เดวต้องขอตัวไปหาความหมายและตีความที่พี่หมอหนึ่งแซวไว้ก่อนล่ะครับ
gonococcus gonococcus gonococcus.... มันคืออารายหว่า :roll: :roll: :roll:
OIC ครับพี่หมอหนึ่งและพี่นุช ดีแล้วแหล่ะครับที่ผมไม่รุ้ และท้วงไปว่าพี่นุชเรียกชื่อย่อผมผิด เพราะถ้าเป็น GC ไม่ใช่ GG นี่แย่แน่ๆเลยคร้าบบบ หุหุ :B
รู้จนได้ 555+
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 542

โพสต์

“คาถาลงทุน” (Team Money Talk 4)
จริงๆ แล้วอาจารย์ท่านใช้คำว่าบทสวดมนต์ แต่เพื่อให้จำง่ายจึงใช้หัวข้อว่า "คาถา" ค่ะ
................................

ตั้งแต่เริ่มลงทุน ได้อ่านหนังสือและได้ฟังการบรรยายของอาจารย์
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร บ่อยๆ...รู้สึก "เชื่อ" และ "ศรัทธา" มาก
เดือนนี้ครบ 4 ปี ของการลงทุน ขอยินยันว่าสิ่งที่ท่านย้ำมาตลอดนั้น
"จริงที่สุด..และไม่เคยเปลี่ยน" อาจารย์ท่านพูด ฟังดูง่ายเสียจน
หลายคนสงสัย เพราะคิดว่าการลงทุนให้สำเร็จต้องซับซ้อนกว่านั้น
(อาจารย์ท่านถ่ายทอดเรื่องที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่าย...นั่นเองค่ะ)

...............................

ถึงวันนี้..ต้องขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อาจารย์ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา คุณโจ_ลูกอิสาน Idol คนสำคัญ
และ Idol อีกหลายท่านที่ไม่อาจกล่าวถึงได้ครบ ที่ได้ถ่ายทอดความรู้
การบริหารการเงินและการลงทุน รวมถึงความสมดุลของการใช้ชีวิต
ผ่านหลายช่องทางไม่ว่าจะเป็น money talk , thaivi และขอบคุณ
การการลงทุนแนว VI ที่ช่วยให้ชีวิตของนักลงทุนเล็กๆ คนหนึ่ง
สำเร็จได้ตามอัตภาพ เกินความคาดหวังของตนเองและครอบครัว

...............................

หลายคนมีความ “ศรัทธา” ในการลงทุนแนว VI มากเช่นกัน
แต่อยากบอกว่า “ศรัทธา” อย่างเดียวไม่พอ...ต้องปฏิบัติด้วยค่ะ
โดยส่วนตัวรู้สึกว่าการลงทุนแนว VI กลืนไปกับวิถีชีวิต...เสียจน
รู้สึกเหมือนไม่ได้ลงทุนอยู่เลย...อธิบายไม่ถูกค่ะ....ต้องลองเอง
"คุ้มค่า" กับการมุ่งมั่น..เพื่อที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาวแน่นอนค่ะ

................................

อยากให้ดู “เทคนิคลงทุนหุ้น แบบ VI มือใหม่” ใน clip ที่นำมาฝาก
หลายคนเคยดูแล้ว..แต่อยากให้ดูซ้ำๆ จนท่อง

“คาถาลงทุน” ที่ว่า "รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม"

ที่อาจารย์ท่านสอนได้ขึ้นใจ เชื่อว่าในที่สุด จะส่งผลให้ชีวิตการลงทุน
ของผู้อ่านสำเร็จได้เช่นกันค่ะ

.................................

"รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม"

"รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม"

"รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม"


(อย่าลืม..กระดิก..?..ไปด้วยนะคะ..ต้องดูค่ะ..จะรู้ว่ากระดิกอะไร)

[youtube]0A2o5Bn_agY[/youtube]
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 543

โพสต์

theenuch เขียน: "รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม"

"รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม"

"รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม"


(อย่าลืม..กระดิก..?..ไปด้วยนะคะ..ต้องดูค่ะ..จะรู้ว่ากระดิกอะไร)

[youtube]0A2o5Bn_agY[/youtube]
ขอบคุณมากครับ

ยากมากถึงยากที่สุดเลยครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 544

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:
theenuch เขียน: "รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม"

"รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม"

"รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม"


(อย่าลืม..กระดิก..?..ไปด้วยนะคะ..ต้องดูค่ะ..จะรู้ว่ากระดิกอะไร)
ขอบคุณมากครับ

ยากมากถึงยากที่สุดเลยครับ


สู้ สู้ ค่ะ คุณ NB ทำได้ค่ะ :wink:
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 545

โพสต์

Hi-So Party_ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร (Team Money Talk 4)
(ขอขอบพระคุณ อาจารย์ ดร.นิเวศน์ ที่กรุณาส่งต้นฉบับมาให้ค่ะ)

..................................

วิถี VI แท้ๆ นั้นแทรกอยู่ในชีวิตประจำวันจริงๆ ค่ะ
ดังบทความล่าสุด ของอาจารย์ ดร.นิเศน์ เหมวชิรวรากร
ท่านมีวิธีที่เฉียบคมในการติดตาม “เทรนด์หรือกระแสของสังคม”
ผ่านวิถีชีวิต “เซเลบ” ในสังคมที่เรียกว่า “Hi-So Party”

ผู้อ่านอาจสงสัย อาจารย์อายุมากแล้ว จะ “OUT” หรือเปล่านะ
“ผมมีข้อดีที่พอจะชดเชยความเสียเปรียบได้เหมือนกันนั่นก็คือ
ผมอาจจะเข้าใจ “การเปลี่ยนแปลง” ได้มากกว่าคนรุ่นใหม่”

................................

อาจารย์ระลึกความหลัง การติดตามกระแสความเปลี่ยนแปลงผ่าน
“เซเลบ” ของแต่ละยุค ตั้งแต่ 10 ขวบ (เริ่มอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับแรก)
จนเริ่มทำงานเป็นวิศวกรในโรงงาน จนผ่านเช้าสู่ยุคการเกษตรโตเต็มที่
ต่อด้วยยุคอุตสาหกรรม ซึ่งธุรกิจที่เติบโตก็ไม่พ้นธุรกิจโรงงาน ซึ่งมี
เซเลบ คือ “จ้าวพ่อ” สิ่งทอ ที่ดังพร้อมเพลง “สาวโรงงาน” ชื่อฉันทนา

ตามด้วยยุคธุรกิจบริการ เช่น การเงินโดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับธนาคาร
และหลักทรัพย์ ต่อด้วยยุคสื่อสาร สุขภาพ อสังหาฯ เพื่อค้าและ
ให้เช่า ค้าปลีกและภัตตาคาร.......นี่คือกลุ่มที่ยังอยู่ใน “เทรนด์”

ความร้อนแรงของแต่ละธุรกิจอาจจะมาไม่พร้อมกัน เช่นเดียวกับ
การสิ้นสุดที่น่าจะไม่พร้อมกัน”
นี่คือข้อสังเกตที่อาจารย์ท่านพบ
...................................

อาจารย์ท่านทิ้งท้ายไว้ว่า “สังคมไทยดูเหมือนว่าจะมุ่งเข้าสู่สังคม
ของการบริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ และนี่ก็น่าจะเอื้ออำนวยต่อสินค้า
หรือบริษัทที่เน้นการบริโภคของประชาชนระดับที่เป็น Mass
ที่เน้น “ความหรูหรามีระดับ” แต่มีราคาที่คนส่วนใหญ่พอรับได้”

..................................

อ่าน “ โลกในมุมมองของ Value Investor _Hi-So Party ”
ฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์ thaivi ตาม link นี้ค่ะ http://www.thaivi.org/hi-so-party/
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 546

โพสต์

“มาคิดลบกันเถอะ” (Team Money Talk 4)
........................................

เหรียญมีสองด้านฉันใด ทุกเรื่องในชีวิตย่อมมีสองด้านฉันนั้น
การคิดบวกเหมือนการ “พลิกเหรียญ” โดยเลือกเฉพาะด้านบวก
ของเหรียญ แน่นอนเราควรทำเช่นนั้น.. เช่น วิธีคิดต่อผู้คนหรือ
สิ่งต่างๆ..ที่อยู่ตรงหน้าเรา ณ ปัจจุบันขณะ “ที่นี่.. และเดี๋ยวนี้”
....................................

แต่ถ้าเป็นสถานการณ์ “การโยนเหรียญ” ล่ะ... เริ่มจะเลือกไม่ได้
เราจึงจำต้องรับรู้ และไม่ลืมว่าที่แท้แล้ว “เหรียญมีสองด้าน” เสมอ
มันมีโอกาสเกิดขึ้นกับเรา...ไม่ “ออกหัว_(บวก)” ก็ “ออกก้อย_(ลบ)”
เกริ่นยาว..เพื่อชวน “คิดลบ” เรื่อง “สถานะการเงินในอนาคต” ค่ะ
.....................................

หากแก่ไปไม่มีรายรับ ไม่มีเงินเก็บเพียงพอ แต่ดันอายุยืนทำอย่างไร
ถ้าเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังอีกด้วย ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
ใครจะดูแล ถ้าลูกไปทำงาน จ้างคนดูแล เอาเงินที่ไหนจ้าง “เงินลูก”?
ถ้าลูกคนเดียว มีรายรับคนเดียวดูและพ่อแม่แก่ๆ สองคน ไหวหรือไม่?
หรือยังไม่ทันแก่ แต่หัวหน้าครอบครัวต้องจากไปก่อนวัยอันควร
แล้วต้องดูแลลูกในวัยเรียนคนเดียวไหวไหม มีค่าใช้จ่ายใดรออยู่บ้าง?
ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เบี้ยประกัน ค่าเล่าเรียนลูก ค่าใช้จ่ายกินอยู่
ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารักษาพยาบาล คนเดียวจ่ายไหวไหม ฯลฯ
......................................

คิดลบ...เพื่อวางแผนปิดความเสี่ยงค่ะ โดยการรีบตัดหนี้ระยะยาว
เช่น ผ่อนบ้านให้เร็วที่สุด หรือทำประกันคุ้มครองผู้ส่งเบี้ยไว้น่าจะดี
เลือกทำประกันชีวิตให้คนที่เป็นรายได้หลัก ทำแต่พอควรไม่ให้เป็นภาระ
วางแผนประกันสุขภาพตามที่ fb money talk เสนอไปหลายตอนค่ะ
....................................

ควรหาความรู้ด้านการเงิน นำเงินไปออมในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสด
ได้ต่อเนื่อง เช่น ปันผล หรือมีค่าเช่า เป็น passive income แก่ชรา
โรครุมเร้า หัวหน้าครอบครัวจากไป ยังมีกระแสเงินสดให้คนข้างหลังเก็บกิน

พลิก “เหรียญของอนาคต” เป็น “ด้านบวก” ด้วย ไม่ใช่พลิกเฉพาะปัจจุบัน
เพื่อให้ชีวิตไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ต้อง “โยนเหรียญ” อยู่ร่ำไปนั่นเองค่ะ
.................................

ด้วยความห่วงใย..จึงอยากถามว่า..”วันนี้คุณคิดลบแล้วหรือยัง?”
และ “วันนี้คุณมีแผนบริหารความเสี่ยงสำหรับอนาคตหรือยัง?” ^_*
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 547

โพสต์

อาจารย์ท่านทิ้งท้ายไว้ว่า “สังคมไทยดูเหมือนว่าจะมุ่งเข้าสู่สังคม
ของการบริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ และนี่ก็น่าจะเอื้ออำนวยต่อสินค้า
หรือบริษัทที่เน้นการบริโภคของประชาชนระดับที่เป็น Mass
ที่เน้น “ความหรูหรามีระดับ” แต่มีราคาที่คนส่วนใหญ่พอรับได้”
เคยมีการนิยามปรากฏการณ์นี้ว่าเป็น Masstige (Massive +Prestige)
แปลเป็นไทยประมาณว่า มหาชนคนหรู
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 548

โพสต์

กูรูขอบสนาม เขียน:
อาจารย์ท่านทิ้งท้ายไว้ว่า “สังคมไทยดูเหมือนว่าจะมุ่งเข้าสู่สังคม
ของการบริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ และนี่ก็น่าจะเอื้ออำนวยต่อสินค้า
หรือบริษัทที่เน้นการบริโภคของประชาชนระดับที่เป็น Mass
ที่เน้น “ความหรูหรามีระดับ” แต่มีราคาที่คนส่วนใหญ่พอรับได้”
เคยมีการนิยามปรากฏการณ์นี้ว่าเป็น Masstige (Massive +Prestige)
แปลเป็นไทยประมาณว่า มหาชนคนหรู
เยี่ยมเลย...ขอบคุณมากค่ะ ^_*
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 549

โพสต์

บรรยากาศ Money talk@SET เสาร์ 15 มีนาคม 2557
(Team Money Talk 4)

.................................
ครั้งนี้ พิเศษตรงที่ ประธาน ตลท. ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์
ให้เกียรติกล่าวเปิด และเป็นท่านแรกที่แจ้งข่าวดีฟังแล้วสบายใจ
ไปตามๆ กัน ท่านมองบวกต่อเศรษฐกิจของไทยในปี 2557
สอดคล้องกับ ดร.กอบศักด์ ภูตระกูล ที่กล่าวถึงภาพใหญ่ ทั้ง
“เศรษฐกิจโลก” และ“เศรษฐกิจไทย” ในปี 57 ภาพบวกทั้งคู่
มั่นใจขึ้นไปอีกในช่วง “โอกาสหุ้นไทยในปี 57” คุณไพบูลย์
นลินทรางกูร และอาจารย์ ดร.นิเวศน์ ให้คะแนนเท่ากันสำหรับ
ตลาดหุ้นไทย แม้จะน้อยในปี 2557 แต่เพิ่มขึ้นมากในปี 2558
โดยปี 2557 ให้ 4/10 เพิ่มเป็น 7/10 ในปี 2558...ชัดเจนค่ะ
................................
ช่วงแรก "เจาะหุ้นเด่นอุปโภคบริโภค" สนุกและได้ประโยชน์มาก
นอกจากจะได้ฟังหัวเรือใหญ่ ของ บมจ. ที่อาจารย์ท่านคัดสรรมา
พิเศษ...ไม่ว่าจะเป็น คุณฤทธิ์ ธีระโกเมน กับหุ้น M, หุ้น MINT
โดยคุณไตรทิพย์ ศิวะกฤษณ์กุล, คุณบุญยง ตันสกุล กับ SINGER
และ คุณวิรัช ประจักษ์ธรรม กับหุ้น TOG ....ดำเนินรายการ โดย
อาจารย์ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ นพ. ศุภศักดิ์ หล่อธนวนิช
ลองจินตนาการกันเองค่ะ...ว่าคำถามจะตรงใจผู้ฟังมากเพียงใด
.......................................
นอกจากนี้ผู้แทนจากหุ้นเด่นทุกท่านยังเปิดโอกาสให้พวกเราได้
ซักถามเพิ่มเติมนอกรอบอีกด้วย แถมพิเศษสำหรับ SINGER
ยังมี คุณฉัตรชัย วงแก้วเจริญ หรือ “พี่ฉัตร” ของน้องๆ ที่นอกจาก
มานั่งฟังแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ผู้สนใจ SINGER ได้รุมในช่วงพักเบรก
ด้วยค่ะ นี่คือความพิเศษที่ผู้มาฟังสัมมนาเท่านั้นที่มีโอกาสเข้าถึง
...................................
ส่วนรุมหลังงานกับอาจารย์ ดร.นิเวศน์ นั้น มีเวลาน้อยกว่าปกติ
อาจารย์ท่านจึงตอบให้สั้นลง...แต่ยังเข้มข้นและคมเหมือนเดิมค่ะ
.................................
ท่านที่พลาดครั้งนี้ ระหว่างรอ clip ชมบรรยากาศไปพลางๆ ก่อน
ครั้งนี้ บันไดช้างในเต็มแล้ว..บันไดด้านหน้าก็ยังนั่งกันเยอะเลยค่ะ
Money talk@SET ครั้งถัดไป เสาร์ 26 เม.ย.57 “จากอดีตสู่ความ
มั่งคั่ง” และ ช่วงที่ 2 “กระแสโลกกับกลยุทธ์ VI ไทย”...ห้ามพลาดค่ะ

อ่านสรุปเนื้อหาที่น้องบิ๊ก i-salmon สรุปได้ที่นี่ค่ะ (สรุปดีมากๆๆๆๆ)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=57280

และชมภาพบรรยากาศของงานได้ตาม link นี้ค่ะ
https://www.facebook.com/MoneyTalkTV/po ... 9004726588
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 550

โพสต์

หุ้นเครื่องแต่งตัว_ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร (Team Money Talk 4)
...............................

ขอบพระคุณอาจารย์ คร.นิเวศน์ อย่างสูงที่ได้กรุณาส่ง
ต้นฉบับให้กับ fb money talk ด้วย บทความล่าสุด
อาจารย์เทน้ำหนัก ไปที่ “คนชั้นกลาง” “เมื่อรายได้มากขึ้น
ถึงระดับหนึ่ง ผู้คนจะบริโภคกลุ่มสินค้าบางกลุ่มเพิ่มขึ้น”
(อย่างมีนัยสำคัญ จริงตามทฤษฎี “modernization”)
............................

อาจารย์จัดกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้อง และตั้งชื่อให้จำง่ายๆ
ว่า “หุ้นเครื่องแต่งตัว” นิยามของอาจารย์กินความถึง
“การทำอะไรก็ได้ที่ทำหรือใช้ “ติดกับตัว” ที่จะทำให้เรา
“ดูดีขึ้น” ลึกลงไปถึงผิวหนัง” ธุรกิจเสริมความงาม ไม่มี
จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ท่านว่าน่าจับตาค่ะ
............................

ธุรกิจเครื่องสำอาง เสื้อผ้าแฟชั่น ก็อยู่ใน “หุ้นเครื่องแต่งตัว”
แต่ใช่ว่าจะดีทั้งหมด แบบไหน “ดี” หรือ “ไม่ดี” ดูจากอะไร?

ท้ายๆ ในกลุ่ม ของเครื่องแต่งตัว ท่านกล่าวถึง “เครื่องประดับ”
“ทอง” “เพชร” “พลอย” อะไร “อินเทรนด์” อะไรจะ “ตกเทรนด์”

และที่เล็กจนอาจารย์ท่านไม่ทราบจะไปรวมไว้กับใคร ก็คือ
“ธุรกิจแว่นตาแฟชั่น” ก็ดูเหมือนจะเติบโตขึ้น คนหันมา
ใส่แว่นมากขึ้น ถ้าเข้าตลาดเมื่อไหร่ก็น่าสนใจเช่นกัน
..............................

ธุรกิจเกี่ยวกับ “หุ้นเครื่องแต่งตัว” มีความน่าสนใจเพราะ
“กำไรขั้นต้นสูง” คนจะยอมจ่ายเงินมากกว่า ”ต้นทุนการ
ผลิต” มาก ด้วยเหตุผลที่ว่าเขา “พอใจ” หรือ “อยากได้”

อาจารย์ท่านวิเคราะห์ไว้ละเอียดมาก ในบทความฉบับเต็ม
ในเว็บไซต์ thavi.org ไปอ่านกันดีกว่าตาม link นี้ค่ะ

...............................
http://www.thaivi.org/%E0%B8%AB%E0%B8%B ... %E0%B8%A7/
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 551

โพสต์

ภูมิใจอยากมาเล่าค่ะ...เก่งและดีด้วยจะดีกว่ามั้ย

ลูกส่ง clip นี้มาให้ทาง face book และบอกว่าให้ดู
ทีแรกยังไม่เปิดดูเค้าเลยวิ่งมายืนข้างๆ และเร่งให้เปิดดู
บอกว่า "ซึ้งมากอยากให้คุณแม่ดู" เลยเปิดดู...น้ำตาซึมเลย

ขอบคุณลูกชายคนดีที่แนะนำให้คุณแม่ดูหนังสั้น
ที่ลูกบอกว่า "ซึ้งมากอยากให้คุณแม่ดู"
เป็นเรื่องที่ซึ้งมากจริงๆ...แต่ซึ้งใจยิ่งกว่าคือ
ถ้าลูกรู้สึกซึ้งใจกับเรื่องนี้จนอยากให้คุณแม่ดูด้วย
แสดงว่าสิ่งที่คุณแม่สอนและเราทำด้วยกันเสมอนั้น
คือการมีจิตใจดีและแบ่งปันนั้นได้ผล และเกิดอยู่ในตัวลูกจริงๆ แล้ว
"ดีใจ...ตายตาหลับ"...ยิ้มทั้งน้ำตา ^_*

[youtube]1DUYlHZsZfc[/youtube]

.....................

ตอนไปพูดที่ SET ได้เล่าไว้ว่า....

เคยพาลูกไปฝึกงานตามร้านอาหารตั้งแต่ตอนจะขึ้น ป.4
แล้วพอไปร้านอาหารกันเอง...คุณยายจะดุเด็กเสิร์ฟ
ลูกบอกว่า ไม่ต้องดุหรอกพูดกับเค้าดีๆ ก็ได้เค้าอาจจะลืม
เพราะตัวลูกเองเคยลืมเสิร์ฟน้ำแข็ง แล้วโดนดุ รู้สึกเสียใจ
อยากให้คนสั่งไม่ต้องดุเพราะเค้ายุ่งหลายอย่างและลืม

คือเค้ารู้สึกได้ด้วยใจจริงๆ และวันก่อนที่เพิ่งเล่าไปว่า
ให้เค้าบริจาคช่วย "น้องกิ๊ก_รายการคนค้นคน" เพราะเป็นเด็กที่
ขยันซื่อสัตย์พยายามช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นแล้ว...แต่ขาดโอกาส
เค้าบริจาคเงินเก็บของตัวเอง 1,000 บาท และบอกให้คุณแม่สมทบด้วย

.............................

สำหรับคนมีลูกสิ่งนี้เราฝึกได้ สอนได้
ค่อยๆ สอนให้ซึมลงไปในชีวิตประจำวันทีละเล็กละน้อย
เด็กเล็กๆ จิตใจอ่อนโยนทุกคนค่ะ เค้าจะรับรู้เรื่องอย่างนี้ได้เร็ว

............................

ตอนอยู่บ้านเก่ามีบ้านที่ปลูกเป็นเพิงสังกะสีข้างทาง
มีลูกเล็กๆ ติดๆ กันหลายคน...ข้อผิดพลาดอยู่ที่แม่ที่รักสนุกแต่ไม่คุมกำเนิด
ถามจากคนโตสุด ออกแนว น้องๆ คนละพ่อบ้าง พ่อเดียวกันบ้าง
แต่ผลคือ....เด็กๆ เยอะแต่ขาดแคลน...คนโตตอนนั้นเรียนอยู่ ม. 2

ก็ช่วยโดยจ้างเด็กคนโตสุดมาทำงานบ้าน (ปกติทำเอง)
แต่ก็ควรให้เค้ามาช่วยทำ...เพราะเราไม่ควรให้เงินอย่างเดียว
และแบ่งปันข่าวของอื่นๆ เช่นเสื้อผ้าที่ลูกใส่ไม่ได้แล้ว ก็นำไปให้
กระเป๋าที่ได้รับแจกเวลาไปสัมมนา หรือผลไม้ที่เอามาจากต่างจังหวัด
อะไรที่เราพอจะแบ่งได้ก็นำไปแบ่งให้เป็นระยะ ๆ

...........................

ตอนเด็กคนโตมาถูบ้านก็เอาน้องเล็กๆ มาด้วย
ที่บ้านมีของเด็กเล๋นที่เป็นกระดานลื่น ชิงข้า และเชือกไว้ปีน ในชุดเดียวกัน
ก็ให้พาน้องๆ มาเล่นได้ เพราะปกติเค้าเลี้ยงน้องด้วย
ถ้าไม่ให้เค้าเอาน้องมา...ก็จะลำบาก...
ระหว่างเล่นเรามีขนมอะไรก็ให้ลูกเอาไปแบ่ง และเค้าก็เล่นด้วยกัน

มีภาพประทับใจ เราเก็บเสื้อให้ เด็กๆ เปลี่ยนเสื้อทันที
ดูภูมิใจมากกับเสื้อที่เก่าของลูก แต่ใหม่ของพวกเค้า...ยิ้มกันหน้าบาน

และก็สอนลูกไปว่าพี่เอ็มคนโตสุดและเด็กๆ ไม่มีพ่อ อยูกับป้า..."แม่ก็ทิ้งไป"
สายตาลูกอ่อนโยนมาก (ทีแรกคิดว่าเราคิดไปเองหรือเปล่านะ) ตอนนั้นลูกเพิ่ง 3 ขวบ
พอวันหยุดให้พี่เอ็มมาทำงานบ้าน...พี่เอ็มมากดออดปู๊บ
ลูกรีบกุลีกุจอไปจูงมือมา ได้ยินเสียงลูกเจื้อยแจ้วว่า..."มาหาคุณแม่มา"

และพอมองดูสายตาที่ลูกมองเด็กคนนั้น...สายตาเค้าส่งแววอ่อนโยนมากๆ

............................

จนถึงวันนี้....ไม่ห่วงเค้าแล้ว จิตใจดีแน่นอนค่ะ
เรียนดีนั้นภูมิใจอยู่แล้วค่ะ...แต่เรื่องนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน

รู้สึกภูมิใจอยากเล่าเพื่อเป็นกำลังใจสำหรับบ้านที่มีลูกเล็กๆ
ว่าเรื่องแบบนี้ค่อยๆ สอนไปทีละเล็กละน้อยได้เลยค่ะ
เด็กเล็กๆ เค้ารับรู้ได้ แถมน่าจะได้ผลดีกว่ามารอสอนตอนโตนะคะ ^_*
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 552

โพสต์

การมีลูกที่เป็นทั้งคนเก่งและคนจิตใจดีนั้นเป็นรางวัลแห่งการเลี้ยงดูที่ดีของพ่อแม่
เป็นผลจากเหตุที่มีพ่อและแม่ทั้งเก่งและมีจิตใจดีเช่นกัน :cool:
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 553

โพสต์

สวัสดีครับพี่นุช ผมไม่ได้เข้ามาทักทายนานเลย แต่ตามอ่านอยู่ตลอดน๊ะครับ
วันนี้เห็นพี่โพสเรื่องลูกเลยเข้ามาคุยและขอคำปรึกษานิดนึงครับ
คือว่า...
ตอนนี้ลูกคนชายคนโตของผมแกอายุเกือบจะ3ขวบแล้วครับ
ผมกำลังเจอปัญหาว่า แกจะชอบแกล้งและรังแกน้องวัยขวบกว่าๆ
เช่นตีน้อง,แย่งของเล่นตอนน้องเล่น
หรือไม่ก็วิ่งไปผลักให้น้องล้มขณะที่น้องกำลังเดินอยู่
ถ้าผมห้ามหลายครั้งยังทำอยู่ จะใช้วิธีลงโทษแกโดยการตีบ้าง,
จับไปยืนสงบสติอารมณ์ข้างกำแพงบ้านบ้าง
แต่ผมรู้สึกว่ายังไม่ค่อยได้ผล หลังๆได้ยินน้องที่ทำงานบอกว่า
อาจเพราะคนโตรู้สึกว่าเราให้ความสำคัญกับน้องมากเกินไปหรือรู้สึกว่าโดนแย่งความรัก
เลยอิฉจาน้อง
ให้ลองพยายามฝึกให้น้องเสียสละให้พี่ กรณีที่เราให้เท่าเทียมกันไม่ได้..
ตอนนี้ผมกำลังลองวิธีนี้อยู่ แต่ไม่รู้จะได้ผลอีกหรือเปล่า

เรื่องนี้เป็นพฤติกรรมปกติของเด็กหรือเปล่า
พี่นุชหรือพี่ๆที่เคยมีประสบการณ์พอมีคำแนะนำไม๊ครับ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
theerasak24
Verified User
โพสต์: 614
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 554

โพสต์

saichon เขียน:สวัสดีครับพี่นุช ผมไม่ได้เข้ามาทักทายนานเลย แต่ตามอ่านอยู่ตลอดน๊ะครับ
วันนี้เห็นพี่โพสเรื่องลูกเลยเข้ามาคุยและขอคำปรึกษานิดนึงครับ
คือว่า...
ตอนนี้ลูกคนชายคนโตของผมแกอายุเกือบจะ3ขวบแล้วครับ
ผมกำลังเจอปัญหาว่า แกจะชอบแกล้งและรังแกน้องวัยขวบกว่าๆ
เช่นตีน้อง,แย่งของเล่นตอนน้องเล่น
หรือไม่ก็วิ่งไปผลักให้น้องล้มขณะที่น้องกำลังเดินอยู่
ถ้าผมห้ามหลายครั้งยังทำอยู่ จะใช้วิธีลงโทษแกโดยการตีบ้าง,
จับไปยืนสงบสติอารมณ์ข้างกำแพงบ้านบ้าง
แต่ผมรู้สึกว่ายังไม่ค่อยได้ผล หลังๆได้ยินน้องที่ทำงานบอกว่า
อาจเพราะคนโตรู้สึกว่าเราให้ความสำคัญกับน้องมากเกินไปหรือรู้สึกว่าโดนแย่งความรัก
เลยอิฉจาน้อง
ให้ลองพยายามฝึกให้น้องเสียสละให้พี่ กรณีที่เราให้เท่าเทียมกันไม่ได้..
ตอนนี้ผมกำลังลองวิธีนี้อยู่ แต่ไม่รู้จะได้ผลอีกหรือเปล่า

เรื่องนี้เป็นพฤติกรรมปกติของเด็กหรือเปล่า
พี่นุชหรือพี่ๆที่เคยมีประสบการณ์พอมีคำแนะนำไม๊ครับ

การตีไม่ได้ช่วยอะไรมากมายหรอกกครับ ผมว่าเป็นเรื่องปกติทุกบ้านที่ต้องเป็นดังนั้นควรจะอธิบายด้วยเหตุด้วยผล หรือถามและคุยกับน้องเค้าว่าเป็นเพราะอะไร ที่น้องทำแบบนี้มันผิดนะ ไม่ควรทำ ควรจะทำแบบไหน (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีตรรกะ ตายตัว เพราะเด็กก็เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเหมือนกับผู้หญิงนั่นแหละครับ 5555 ) ผมว่าที่เค้าเล่นกันนั่นแหละเป็นพัฒนาการที่ดีของเด็กครับ เพราะเค้าจะเรียนรู้จากการเล่น เราก็เพียงแต่เฝ้ามองดู และตักเตือนเสนอแนะในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และดูไม่ให้เกิดอันตรายเท่าที่ควร จำไว้เด็กซนคือเด็กฉลาดแต่ต้องแลกมาด้วย ความเหนื่อยของผู้เป็นพ่อและแม่นะครับ และสุดท้ายตอนโตๆ เค้าก็จะรักกันเอง ปรึกษากันเอง ครับ น่าจะเป็นอย่างที่ผมเข้าใจหรือป่าวไม่ทราบครับ
"เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะยังคงทำสิ่งต่างๆ ต่อไปตราบใดที่มันยังให้ความรื่นรมย์และคุณก็ทำมันได้ดี"
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 555

โพสต์

555+
ขอบคุณครับเสี่ยธีร์

ขำตอนเสี่ยธีร์เปรียบเทียบเด็กเหมือนผู้หญิงครับ
(ไม่รู้จะมีคนมาแก้ต่างหรือเปล่า :D )
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 556

โพสต์

Dech เขียน:การมีลูกที่เป็นทั้งคนเก่งและคนจิตใจดีนั้นเป็นรางวัลแห่งการเลี้ยงดูที่ดีของพ่อแม่
เป็นผลจากเหตุที่มีพ่อและแม่ทั้งเก่งและมีจิตใจดีเช่นกัน :cool:
ขอบคุณมากค่ะ ^_*
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 557

โพสต์

saichon เขียน:555+
ขอบคุณครับเสี่ยธีร์

ขำตอนเสี่ยธีร์เปรียบเทียบเด็กเหมือนผู้หญิงครับ
(ไม่รู้จะมีคนมาแก้ต่างหรือเปล่า :D )
ขำด้วย 555+
รอสาวๆ มาแก้ต่างกันเอาเองนะคะ...พี่เองก็ออกจะแมนๆ อยู่มาก

เคยอ่านผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์
น่าจะพอให้คำตอบเรื่องความต่างของผู้หญิงและผู้ชายได้ค่ะ

ในความไม่ค่อยมีเหตุผล (ในความคิดของหนุ่มๆ)
ก็แฝงไปด้วยความน่ารักและใส่ใจนะคะ (ก็ยังแอบเข้าข้างสาวๆ อยู่ดี) ^_*
GG
Verified User
โพสต์: 96
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 558

โพสต์

เข้ามาอ่านเก็บข้อมูลอย่างตื่นตาตื่นใจเลยครับ ทั้งข้อมูลที่พี่นุชเขียนเล่าถึงเรื่อง"สอนลูกให้เป็นคนดี" และคำถามของพี่ saichon ด้วยครับ ขออนุญาติเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์น่ะครับ เผื่อถึงเวลามีลูกจริงๆ จะได้นำไปใช้ได้หน่ะครับ เพราะผมกับภรรยา(เพิ่งแต่งงานไม่นานครับ) มีความเห็นตรงกันว่า ลูกจะเป็นยังไงก็ช่าง เก่ง ไม่เก่งไม่สน ขอให้เป็น"คนดี"พอ :B โจทย์ดูเหมือนง่าย แต่ยากมากๆเลยครับ แต่ผมต้องทำให้ได้ และผมเชื่อว่าผมทำได้ อย่างที่ผมได้เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ตามที่พ่อและแม่ของผมสอนมาครับ :D
How not to be your own worst enemy
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 559

โพสต์

theerasak24 เขียน:
saichon เขียน:สวัสดีครับพี่นุช ผมไม่ได้เข้ามาทักทายนานเลย แต่ตามอ่านอยู่ตลอดน๊ะครับ
วันนี้เห็นพี่โพสเรื่องลูกเลยเข้ามาคุยและขอคำปรึกษานิดนึงครับ
คือว่า...
ตอนนี้ลูกคนชายคนโตของผมแกอายุเกือบจะ3ขวบแล้วครับ
ผมกำลังเจอปัญหาว่า แกจะชอบแกล้งและรังแกน้องวัยขวบกว่าๆ
เช่นตีน้อง,แย่งของเล่นตอนน้องเล่น
หรือไม่ก็วิ่งไปผลักให้น้องล้มขณะที่น้องกำลังเดินอยู่
ถ้าผมห้ามหลายครั้งยังทำอยู่ จะใช้วิธีลงโทษแกโดยการตีบ้าง,
จับไปยืนสงบสติอารมณ์ข้างกำแพงบ้านบ้าง
แต่ผมรู้สึกว่ายังไม่ค่อยได้ผล หลังๆได้ยินน้องที่ทำงานบอกว่า
อาจเพราะคนโตรู้สึกว่าเราให้ความสำคัญกับน้องมากเกินไปหรือรู้สึกว่าโดนแย่งความรัก
เลยอิฉจาน้อง
ให้ลองพยายามฝึกให้น้องเสียสละให้พี่ กรณีที่เราให้เท่าเทียมกันไม่ได้..
ตอนนี้ผมกำลังลองวิธีนี้อยู่ แต่ไม่รู้จะได้ผลอีกหรือเปล่า

เรื่องนี้เป็นพฤติกรรมปกติของเด็กหรือเปล่า
พี่นุชหรือพี่ๆที่เคยมีประสบการณ์พอมีคำแนะนำไม๊ครับ

การตีไม่ได้ช่วยอะไรมากมายหรอกกครับ ผมว่าเป็นเรื่องปกติทุกบ้านที่ต้องเป็นดังนั้นควรจะอธิบายด้วยเหตุด้วยผล หรือถามและคุยกับน้องเค้าว่าเป็นเพราะอะไร ที่น้องทำแบบนี้มันผิดนะ ไม่ควรทำ ควรจะทำแบบไหน (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีตรรกะ ตายตัว เพราะเด็กก็เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเหมือนกับผู้หญิงนั่นแหละครับ 5555 ) ผมว่าที่เค้าเล่นกันนั่นแหละเป็นพัฒนาการที่ดีของเด็กครับ เพราะเค้าจะเรียนรู้จากการเล่น เราก็เพียงแต่เฝ้ามองดู และตักเตือนเสนอแนะในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และดูไม่ให้เกิดอันตรายเท่าที่ควร จำไว้เด็กซนคือเด็กฉลาดแต่ต้องแลกมาด้วย ความเหนื่อยของผู้เป็นพ่อและแม่นะครับ และสุดท้ายตอนโตๆ เค้าก็จะรักกันเอง ปรึกษากันเอง ครับ น่าจะเป็นอย่างที่ผมเข้าใจหรือป่าวไม่ทราบครับ
เป็นคำตอบที่ดีมากค่ะ....น้องธีร์ (ชื่อเพราะจัง ^_*) น่าจะเลี้ยงลูกได้ดีค่ะ....ตามนั้นเลยค่ะ

พี่เสริมให้นิดนึงแอบเป็นทางการหน่อยนะคะ

พ่อแม่ต้องเข้าใจพัฒนาการตามวัย เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูก
ลองทำความเข้าใจเราจะพบว่าเด็กๆ ไม่ได้ "ดื้อ ต่อต้าน หรือเป็นเด็กไม่ดี" ใดๆ เลย
แต่บางอย่างจำกัดอยู่ตามขั้นพัฒนาการ....ถ้าเรารู้จะทำให้เรา
- เข้าใจ ให้อภัย (ทั้งลูกเราเองและลูกคนอื่น)
- ไม่ตัดสินเด็ก และ label (ทางจิตวิทยาใช้คำนี้ "ติดฉลาก ตีตรา" เช่น เด็กคนนี้ "ดื้อ" "ซน" "ไม่มีน้ำใจ"
เพราการ label อันตรายและไม่ยุติธรรมกับเด็กอย่างยิ่ง เพราะเขายังไม่สามารถเข้าใจโลกได้เท่าผู้ใหญ่
- ไม่เหนื่อยหรือท้อไปซะก่อน และไม่หมดหวัง (ถ้า label ไปแล้ว ส่วนใหญ่จะหมดหวังเอง...ทั้งๆ ที่เด็กไม่รู้เรื่องรู้ราว)
...........................

ขั้นตามพัฒนาการทางจริยธรรมของ โคลเบิร์ก
ระดับของจริยธรรม
(๑) ระดับก่อนเกณฑ์( ๒-๑๐ ปี )
ขั้นที่ ๑ หลักการหลบหลีก การลงโทษ (๒-๗ ปี)
ขั้นที่ ๒ หลักเกณฑ์การแสวงหารางวัล ( ๗-๑๐ ปี )

(๒) ระดับทางกฏเกณฑ์ (๑๐-๑๖ ปี)
ขั้นที่ ๓ หลักการทำตามที่ผู้อื่นเห็นชอบ (๑๐-๑๓ ปี)
ขั้นที่ ๔ หลักการทำตามหน้าที่ทางสังคม (๑๓-๑๖ ปี)
ขั้นที่ ๕ หลักการทำตามคำมั่นสัญญา (๑๖ ปีขึ้นไป)
(๓) ระดับเหนือกฏเกณฑ์
ขั้นที่ ๖ หลักการยึดอุดมคติสากล ( ผู้ใหญ่ )

.............................

อย่าเพิ่งปวดหัวค่ะ....ใจเย็นๆ จะอธิบายเฉพาะที่เกี่ยวข้องพอค่ะ

ระดับที่ ๑ ขึ้นก่อนกฏเกณฑ์ หมาถึงการตัดสินใจเลือกกระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะเกิดแก่ผู้อื่น นั้นนี้จะแยกเป็น ๒ ระยะคือ

๑.๑ มีลักษณะที่จะหลบหลีกมิให้ตนเองถูกลงโทษทางกาย เพราะกลัวความเจ็บปวดที่จะได้รับและยอมทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่เพราะเป็นผู้มีอำนาจทางกายเหนือตน (๒-๗ ปี)

๑.๒ มีลักษณะเลือกการกระทำ ในสิ่งที่จะนำความพอใจมาให้ตนเท่านั้น เริ่มรู้จักการแลกเปลี่ยนกันแบบเด็กๆคือเขาทำมา ฉันต้องทำไป เขาให้ฉัน ฉัก็ให้เขาดังนี้เป็นต้น ( ๗-๑๐ ปี )

..........................

ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ มีสาระสรุปได้ดังนี้

พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น ดังนี้

ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ เด็กสามารถแก้ปัญหาได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เด็กจะต้องมีโอกาสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการด้านสติปัญญาและความคิดในขั้นนี้ มีความคิดความเข้าใจของเด็กจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น สามารถประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือ และสายตา เด็กในวัยนี้มักจะทำอะไรซ้ำบ่อยๆ เป็นการเลียนแบบ พยายามแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก เมื่อสิ้นสุดระยะนี้เด็กจะมีการแสดงออกของพฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมายและสามารถแก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการแต่กิจกรรมการคิดของเด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่เฉพาะสิ่งที่สามารถสัมผัสได้เท่านั้น
ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ
-- (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คือถือความคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็นเหตุผลของผู้อื่น ความคิดและเหตุผลของเด็กวัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตามความเป็นจริงนัก นอกจากนี้ความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ยังคงอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น เข้าใจว่าเด็กหญิง 2 คน ชื่อเหมือนกัน จะมีทุกอย่างเหมือนกันหมด แสดงว่าความคิดรวบยอดของเด็กวัยนี้ยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่พัฒนาการทางภาษาของเด็กเจริญรวดเร็วมาก

-- (Intuitive Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจำนวนเลข เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ แต่ไม่แจ่มชัดนัก สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่คิดเตรียมล่วงหน้าไว้ก่อน รู้จักนำความรู้ในสิ่งหนึ่งไปอธิบายหรือแก้ปัญหาอื่นและสามารถนำเหตุผลทั่วๆ ไปมาสรุปแก้ปัญหา โดยไม่วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเสียก่อน การคิดหาเหตุผลของเด็กยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนรับรู้ หรือสัมผัสจากภายนอก

..................................

ตื่น ตื่น...มาเข้าเรื่องเลยนะคะ

กรณีของ "ไทเกอร์" นั้น ตอนที่น้องเกิด เขายังอายุน้อยมาก
และด้วยอยู่ในวัยที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง (egocentric)
ดังนั้น...เขาจะรู็สึก "สูญเสีย" มาตั้งแต่ต้นแล้วค่ะ
เพราะทุกสิ่งที่พ่อแม่ทำ (ตามที่ควรทำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะ "เลี้ยงน้อง" "ปกป้องน้อง"
แม้แต่จากการจับของเขา เพราะเขายังไม่รู้จักออมแรงอาจจับน้องแรง)
หลายครั้งจึงถูกกันออกจากการมีส่วนร่วม....ไม่มีใครผิดทั้งสิ้น

แต่ทุกอย่างกระทบใจ...ลองมองในมุมของไทเกอร์แบบเข้าใจพัฒนาการตามวัย
(ตอนน้องเกิดเขายังไม่ถูกจัดเข้าพัฒนาการทางจริยธรรมเลยด้วย (เริ่มตอน 2 ขวบ)
ถ้ามองแบบนี้และเข้าใจพัฒนาการตามวัย.....จะเข้าใจว่าเขารู้สึกสูญเสียมากแค่ไหน
และอาจมองน้องเป็น "ตัวปัญหา" เลยด้วย...ไม่ผิดอีกเช่นกันที่เขาจะรับรู้อย่างนั้น)

สรุปคือ ไม่มีใครผิด....เมื่อไม่ผิดเขาควร "ถูกตี" หรือไม่
แต่ในวันที่เรายังไม่รู้และตีเขาไปแล้ว เข้าใจว่าตีในสถานการณ์ที่อันตราย
เช่น ทำน้องแรงเกิน พ่อแม่ส่วนใหญ่ทำเหมือนกันค่ะ "ตี"

............................

เราจะทำอย่างไรดี....ค่อยๆ ถอยออกมาและมองจากมุมของไทเกอร์ อายุ 3 ขวบนะคะ
ขนาดเหนือขึ้นไปอีกขั้นยังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เด็กๆ ทั้งสองวัยนี้ "ดิบ" พอสมควร
และบางครั้งมีการพูดโกหกด้วยเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด หรือเป็นที่รัก ถ้ามีต้องเข้าใจก่อน
จะได้ให้อภัยเขาได้โดยสนิทใจและใจเย็นพอที่จะค่อยๆ บอกหรือสอนเขา

๑.๑ มีลักษณะที่จะหลบหลีกมิให้ตนเองถูกลงโทษทางกาย
เพราะกลัวความเจ็บปวดที่จะได้รับและยอมทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่
เพราะเป็นผู้มีอำนาจทางกายเหนือตน (๒-๗ ปี)


๑.๒ มีลักษณะเลือกการกระทำ ในสิ่งที่จะนำความพอใจมาให้ตนเท่านั้น
เริ่มรู้จักการแลกเปลี่ยนกันแบบเด็กๆคือเขาทำมา ฉันต้องทำไป เขาให้ฉัน ฉัก็ให้เขาดังนี้เป็นต้น ( ๗-๑๐ ปี )


..................................

แนะนำว่า "กอด" เขาบ่อยๆ กอดทีละคน หรือรวบเอามากอดพร้อมกัน
ทำให้เขาเป็น "ฮีโร่" ของน้อง บางครั้งต้องสร้างบรรยากาศขึ้นมา
เช่น ถ้าเขาจะแย่งชองจากมือน้อง เราก็บอกว่า ให้เขารอดดู
น้องกำลังจะทำเหมือนพี่ไทเกอร์นะ ถ้าไทเกอร์แย่งของมาน้องจะเอาอะไรทำล่ะ
"น้องอยากทำอยากเก่งเหมือนพี่ไทเกอร์....พี่ไทเกอร์สอนน้องนะ"
ทำนองนี้ค่ะ เขาจะไม่แย่งแน่ๆ (แรกๆ อาจแย่งเพราะเคยชิน)

ถ้ายังมี เราก็เข้าประกบและกอดเขาไว้ แม้จริงๆ แล้วกำลังจะเข้าไปแย่ง กอดแล้วรวบมือไว้
แล้วบอกว่า "พี่ไทเกอร์ เป็นเด็กดี ที่ไม่แย่ง แบ่งของให้น้องเล่น
(จริงๆ แค่ไม่แย่งก็เท่ากับแบ่งแล้ว) และดูสิน้องจะทำตามพี่ไทเกอร์นะ"
"พี่ไทเกอรฺ์ลองสอนน้องซิ" เราอาจได้เห็นพี่ไทเกอร์พยายามเอาของให้น้อง
และพยายามจะสอนน้อง จนบางครั้งน้องวิ่งหนีแทน (เพราะรำคาญ)

...................................

เบื้องต้น ลองเปลี่ยนน้องจาก "ตัวปัญหา" ในการรับรู้ของไทเกอร์
มาเป็น "ตัวเสริม" ให้พี่ไทเกอร์ เป็นคนเก่งที่ไม่แย่งของจากน้อง ที่ได้สอนน้องก่อน

..................................

ในบางสถานการณ์ ถ้าของมีชิ้นเดียวจริงๆ และไทเกอร์เล่นอยู่ก่อน
แต่สิงโตจะเข้ามาแย่งจากมือ (สิงโตก็ไม่ผิดที่มาแย่ง...อยู่ในวัยที่ยังไม่รู้เรื่องทั้งคู่)
ไม่จำเป็นต้องให้ไทเกอร์แบ่งให้ของในมือแก่น้องค่ะ
กรณีนี้น่าจะอุ้มน้องออกไปและเบี่ยงเบนความสนใจของน้องสิงโตจะง่ายกว่า

และกับไทเกอร์ให้เขาเลือกว่าจะแบ่งหรือไม่ก็ได้ ถ้าแบ่งก็คือจะสอนน้องให้เล่น
จริงๆ ถ้าเขาให้เพราะเข้าอยากเป็นฮีโร่ ก็ชมว่าเก่งที่แบ่งปัน
แต่ถ้าเขาไม่ให้ก็ไม่แปลกค่ะ...ถ้าต้องเสียสละวันยังค่ำ ความรับรู้จะเปลี่ยนทันที
แทนที่จะรู้สึกดีกับการแบ่ง...จะรู้สึกลบแทนและอดมองสิงโตแบบลบๆ ไม่ได้

ดังนั้นถ้าของอยู่ในมือเขาก่อนต้องให้สิทธิเขา และน้องสิงโตก็จะเรียนรู้เรื่องนี้ไปด้วยค่ะ

อยากให้เยียวยาความรู้สึกสูญเสียของไทเกอร์ที่สะสมมานานก่อน

....................................

ส่วนเรื่องถัดไปจะค่อยๆ มาเล่าถึง "กฎของมันฝรั่งเปียกๆ"
ซึ่งสูงขึ้นไปอีกระดับนึง รออ่านนะคะ (เมื่อพี่ว่างๆ...แฮ่ (เลียนแบบน้องสายชล) )

....................................

อยากฝากพ่อแม่ว่าอย่างที่บอกเด็กวัยนี้ "ดิบ" ค่ะ
เวลาไปโรงเรียนบางทีเขาอาจไปแย่งของกันหรือจิกกัด (กัดจริงๆ) กันกับเพื่อนบ้าง
อยากให้เรามองแบบเช้าใจและให้อภัยให้ได้...ไม่ใช้เฉพาะลูกตัวเองค่ะ
ให้อภัยได้แม้กับลูกคนอื่น....เพราะถ้าไม่เช้าใจ

เราอาจจะมีอารมณ์โกรธนำ...เคยเห็นพ่อแม่ที่วีนคุณครูอย่างรุนแรง
จน case นั้น จบลงที่ครูพี่เลี้บงห้องเนอสเซอรี่ต้องถูกให้ออกเลยถึงจะยอม
และในที่สุดก็ทนไม่ได้ เอาลูกย้ายโรงเรียนไปเรื่อย เพราะปกป้องลูกจากสิ่งที่เป็นธรรมขาติ

ลองนึกดูว่าบางทีลูกอยู่บ้านกับเราตัวต่อตัว ยังลื่น ยังล้มปากแตก ตกเตียงบ้าง ฯลฯ
หรือลูกสองคนก็จิกกัดกัน เรียกภาษาบ้านๆ ว่า "เอาไม่ทัน"
แล้วกับสถานที่แบบเนอสเซอรี่หรือโรงเรียนอนุบาล ที่เต็มไปด้วย "เด็กดิบ"

ถ้าไม่ร้ายแรงจนเกินไป หรือไม่ได้เกิดจากความประมาท เช่น ลืมเด็กไว้ในรถ
ไม่กั้นบริเวณจนเด็กเข้าไปในครัวจนไปน้ำร้อนลวก หรือไม่เก็บชองมีคนหรือจะอันตรายให้มิดชิด ฯลฯ

อุบัติเหตุบางอย่างที่เกิดจากลูกล้มเอง เพื่อนผลัก กัดกัน ถ้าไม่ถึงกับแรงมาก
อยากให้ไถ่ถามให้ดีก่อน และลองนึกว่าถ้าเป็นเราล่ะ เราดูทันมั้ย
ก่อนจะไปวีนครู หรือวีนพ่อแม่เด็กอื่น...เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นแน่ๆ จะมากหรือน้อยเท่านั้น

.................................

การทำความเข้าใจพัฒนาการตามวัยของลูก และทำความเข้าใจกับสิ่งแวดล้อม
ถือว่าเป็นพัฒนาการที่สำคัญของคนเป็นพ่อแม่เช่นกันค่ะ

และในคืนวันของการเป็นพ่อแม่...เราอาจไม่สมบูรณ์แบบที่สุด
บางครั้งเผลอดิบออกไปบ้างเพราะความเหนื่อย หรือเพราะเรายังไม่เข้าใจ
บางเรื่องดีพอ (พ่อแม่ก็ต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆ การเลี้ยงลูกเหมือนกัน)
ก็อย่าไปรู้สึกผิดค้าง หรือตำหนิตัวเองซ้ำๆ อยู่นะคะ...มิฉะนั้นเราจะไปต่อยาก

อะไรที่ผ่านมาขอให้แล้วไปแล้วเลย..."สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ" ค่ะ
อย่างน้อยเราก็ได้สังเกตเห็นผลที่เกิดแน่ๆ ไม่ว่ามันจะบวกหรือลบ

และด้วยใจที่ปรารถนาดีของพ่อแม่ทุกคน...เชื่อว่าแม้จะเหนื่อยแค่ไหนเราจะเรียนรู้ได้ค่ะ


................................

กรณีของน้องสายชลอยู่ในภาวะยากกว่าปกติมากๆ เพราะวัยเขาไล่เรี่ยกันมาก
และเป็นเด็กผู้ชายทั้งคู่ จะเกิดภาวะ "เอาไม่ทัน" ได้บ่อยๆ สู้ๆ นะคะ

มองภาพใหญ่ช้างหน้าค่ะ...ทุกๆ ก้าวที่เราเหนื่อยวันนี้คือขั้นตอนเล็กๆ ที่เกิดในกระบวนการทั้งหมด
เราปรับปรุงและพัฒนาได้เรื่อยๆ และอย่างที่น้องธีร์บอก และสุดท้ายตอนโตๆ เค้าก็จะรักกันเอง ปรึกษากันเอง ครับ นั่นและค่ะภาพใหญ่ และเด็กเพศเดียวกันที่อายุห่างกันไม่มาก
มีแนวโน้มจะปรองดองสูง อีกหน่อยจะเห็นเดินกอดคอกัน....
ปรึกษากันหนุงหนิง...พ่อแม่ไม่เกี่ยวก็เป็นได้นะ...เตรียมใจไว้เลยค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
theerasak24
Verified User
โพสต์: 614
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 560

โพสต์

theenuch เขียน:
theerasak24 เขียน:
saichon เขียน:สวัสดีครับพี่นุช ผมไม่ได้เข้ามาทักทายนานเลย แต่ตามอ่านอยู่ตลอดน๊ะครับ
วันนี้เห็นพี่โพสเรื่องลูกเลยเข้ามาคุยและขอคำปรึกษานิดนึงครับ
คือว่า...
ตอนนี้ลูกคนชายคนโตของผมแกอายุเกือบจะ3ขวบแล้วครับ
ผมกำลังเจอปัญหาว่า แกจะชอบแกล้งและรังแกน้องวัยขวบกว่าๆ
เช่นตีน้อง,แย่งของเล่นตอนน้องเล่น
หรือไม่ก็วิ่งไปผลักให้น้องล้มขณะที่น้องกำลังเดินอยู่
ถ้าผมห้ามหลายครั้งยังทำอยู่ จะใช้วิธีลงโทษแกโดยการตีบ้าง,
จับไปยืนสงบสติอารมณ์ข้างกำแพงบ้านบ้าง
แต่ผมรู้สึกว่ายังไม่ค่อยได้ผล หลังๆได้ยินน้องที่ทำงานบอกว่า
อาจเพราะคนโตรู้สึกว่าเราให้ความสำคัญกับน้องมากเกินไปหรือรู้สึกว่าโดนแย่งความรัก
เลยอิฉจาน้อง
ให้ลองพยายามฝึกให้น้องเสียสละให้พี่ กรณีที่เราให้เท่าเทียมกันไม่ได้..
ตอนนี้ผมกำลังลองวิธีนี้อยู่ แต่ไม่รู้จะได้ผลอีกหรือเปล่า

เรื่องนี้เป็นพฤติกรรมปกติของเด็กหรือเปล่า
พี่นุชหรือพี่ๆที่เคยมีประสบการณ์พอมีคำแนะนำไม๊ครับ

การตีไม่ได้ช่วยอะไรมากมายหรอกกครับ ผมว่าเป็นเรื่องปกติทุกบ้านที่ต้องเป็นดังนั้นควรจะอธิบายด้วยเหตุด้วยผล หรือถามและคุยกับน้องเค้าว่าเป็นเพราะอะไร ที่น้องทำแบบนี้มันผิดนะ ไม่ควรทำ ควรจะทำแบบไหน (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีตรรกะ ตายตัว เพราะเด็กก็เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเหมือนกับผู้หญิงนั่นแหละครับ 5555 ) ผมว่าที่เค้าเล่นกันนั่นแหละเป็นพัฒนาการที่ดีของเด็กครับ เพราะเค้าจะเรียนรู้จากการเล่น เราก็เพียงแต่เฝ้ามองดู และตักเตือนเสนอแนะในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และดูไม่ให้เกิดอันตรายเท่าที่ควร จำไว้เด็กซนคือเด็กฉลาดแต่ต้องแลกมาด้วย ความเหนื่อยของผู้เป็นพ่อและแม่นะครับ และสุดท้ายตอนโตๆ เค้าก็จะรักกันเอง ปรึกษากันเอง ครับ น่าจะเป็นอย่างที่ผมเข้าใจหรือป่าวไม่ทราบครับ
เป็นคำตอบที่ดีมากค่ะ....น้องธีร์ (ชื่อเพราะจัง ^_*) น่าจะเลี้ยงลูกได้ดีค่ะ....ตามนั้นเลยค่ะ

พี่เสริมให้นิดนึงแอบเป็นทางการหน่อยนะคะ

พ่อแม่ต้องเข้าใจพัฒนาการตามวัย เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูก
ลองทำความเข้าใจเราจะพบว่าเด็กๆ ไม่ได้ "ดื้อ ต่อต้าน หรือเป็นเด็กไม่ดี" ใดๆ เลย
แต่บางอย่างจำกัดอยู่ตามขั้นพัฒนาการ....ถ้าเรารู้จะทำให้เรา
- เข้าใจ ให้อภัย (ทั้งลูกเราเองและลูกคนอื่น)
- ไม่ตัดสินเด็ก และ label (ทางจิตวิทยาใช้คำนี้ "ติดฉลาก ตีตรา" เช่น เด็กคนนี้ "ดื้อ" "ซน" "ไม่มีน้ำใจ"
เพราการ label อันตรายและไม่ยุติธรรมกับเด็กอย่างยิ่ง เพราะเขายังไม่สามารถเข้าใจโลกได้เท่าผู้ใหญ่
- ไม่เหนื่อยหรือท้อไปซะก่อน และไม่หมดหวัง (ถ้า label ไปแล้ว ส่วนใหญ่จะหมดหวังเอง...ทั้งๆ ที่เด็กไม่รู้เรื่องรู้ราว)
...........................

ขั้นตามพัฒนาการทางจริยธรรมของ โคลเบิร์ก
ระดับของจริยธรรม
(๑) ระดับก่อนเกณฑ์( ๒-๑๐ ปี )
ขั้นที่ ๑ หลักการหลบหลีก การลงโทษ (๒-๗ ปี)
ขั้นที่ ๒ หลักเกณฑ์การแสวงหารางวัล ( ๗-๑๐ ปี )

(๒) ระดับทางกฏเกณฑ์ (๑๐-๑๖ ปี)
ขั้นที่ ๓ หลักการทำตามที่ผู้อื่นเห็นชอบ (๑๐-๑๓ ปี)
ขั้นที่ ๔ หลักการทำตามหน้าที่ทางสังคม (๑๓-๑๖ ปี)
ขั้นที่ ๕ หลักการทำตามคำมั่นสัญญา (๑๖ ปีขึ้นไป)
(๓) ระดับเหนือกฏเกณฑ์
ขั้นที่ ๖ หลักการยึดอุดมคติสากล ( ผู้ใหญ่ )

.............................

อย่าเพิ่งปวดหัวค่ะ....ใจเย็นๆ จะอธิบายเฉพาะที่เกี่ยวข้องพอค่ะ

ระดับที่ ๑ ขึ้นก่อนกฏเกณฑ์ หมาถึงการตัดสินใจเลือกกระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะเกิดแก่ผู้อื่น นั้นนี้จะแยกเป็น ๒ ระยะคือ

๑.๑ มีลักษณะที่จะหลบหลีกมิให้ตนเองถูกลงโทษทางกาย เพราะกลัวความเจ็บปวดที่จะได้รับและยอมทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่เพราะเป็นผู้มีอำนาจทางกายเหนือตน (๒-๗ ปี)

๑.๒ มีลักษณะเลือกการกระทำ ในสิ่งที่จะนำความพอใจมาให้ตนเท่านั้น เริ่มรู้จักการแลกเปลี่ยนกันแบบเด็กๆคือเขาทำมา ฉันต้องทำไป เขาให้ฉัน ฉัก็ให้เขาดังนี้เป็นต้น ( ๗-๑๐ ปี )

..........................

ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ มีสาระสรุปได้ดังนี้

พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น ดังนี้

ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ เด็กสามารถแก้ปัญหาได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เด็กจะต้องมีโอกาสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการด้านสติปัญญาและความคิดในขั้นนี้ มีความคิดความเข้าใจของเด็กจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น สามารถประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือ และสายตา เด็กในวัยนี้มักจะทำอะไรซ้ำบ่อยๆ เป็นการเลียนแบบ พยายามแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก เมื่อสิ้นสุดระยะนี้เด็กจะมีการแสดงออกของพฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมายและสามารถแก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการแต่กิจกรรมการคิดของเด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่เฉพาะสิ่งที่สามารถสัมผัสได้เท่านั้น
ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ
-- (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คือถือความคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็นเหตุผลของผู้อื่น ความคิดและเหตุผลของเด็กวัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตามความเป็นจริงนัก นอกจากนี้ความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ยังคงอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น เข้าใจว่าเด็กหญิง 2 คน ชื่อเหมือนกัน จะมีทุกอย่างเหมือนกันหมด แสดงว่าความคิดรวบยอดของเด็กวัยนี้ยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่พัฒนาการทางภาษาของเด็กเจริญรวดเร็วมาก

-- (Intuitive Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจำนวนเลข เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ แต่ไม่แจ่มชัดนัก สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่คิดเตรียมล่วงหน้าไว้ก่อน รู้จักนำความรู้ในสิ่งหนึ่งไปอธิบายหรือแก้ปัญหาอื่นและสามารถนำเหตุผลทั่วๆ ไปมาสรุปแก้ปัญหา โดยไม่วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเสียก่อน การคิดหาเหตุผลของเด็กยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนรับรู้ หรือสัมผัสจากภายนอก

..................................

ตื่น ตื่น...มาเข้าเรื่องเลยนะคะ

กรณีของ "ไทเกอร์" นั้น ตอนที่น้องเกิด เขายังอายุน้อยมาก
และด้วยอยู่ในวัยที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง (egocentric)
ดังนั้น...เขาจะรู็สึก "สูญเสีย" มาตั้งแต่ต้นแล้วค่ะ
เพราะทุกสิ่งที่พ่อแม่ทำ (ตามที่ควรทำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะ "เลี้ยงน้อง" "ปกป้องน้อง"
แม้แต่จากการจับของเขา เพราะเขายังไม่รู้จักออมแรงอาจจับน้องแรง)
หลายครั้งจึงถูกกันออกจากการมีส่วนร่วม....ไม่มีใครผิดทั้งสิ้น

แต่ทุกอย่างกระทบใจ...ลองมองในมุมของไทเกอร์แบบเข้าใจพัฒนาการตามวัย
(ตอนน้องเกิดเขายังไม่ถูกจัดเข้าพัฒนาการทางจริยธรรมเลยด้วย (เริ่มตอน 2 ขวบ)
ถ้ามองแบบนี้และเข้าใจพัฒนาการตามวัย.....จะเข้าใจว่าเขารู้สึกสูญเสียมากแค่ไหน
และอาจมองน้องเป็น "ตัวปัญหา" เลยด้วย...ไม่ผิดอีกเช่นกันที่เขาจะรับรู้อย่างนั้น)

สรุปคือ ไม่มีใครผิด....เมื่อไม่ผิดเขาควร "ถูกตี" หรือไม่
แต่ในวันที่เรายังไม่รู้และตีเขาไปแล้ว เข้าใจว่าตีในสถานการณ์ที่อันตราย
เช่น ทำน้องแรงเกิน พ่อแม่ส่วนใหญ่ทำเหมือนกันค่ะ "ตี"

............................

เราจะทำอย่างไรดี....ค่อยๆ ถอยออกมาและมองจากมุมของไทเกอร์ อายุ 3 ขวบนะคะ
ขนาดเหนือขึ้นไปอีกขั้นยังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เด็กๆ ทั้งสองวัยนี้ "ดิบ" พอสมควร
และบางครั้งมีการพูดโกหกด้วยเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด หรือเป็นที่รัก ถ้ามีต้องเข้าใจก่อน
จะได้ให้อภัยเขาได้โดยสนิทใจและใจเย็นพอที่จะค่อยๆ บอกหรือสอนเขา

๑.๑ มีลักษณะที่จะหลบหลีกมิให้ตนเองถูกลงโทษทางกาย
เพราะกลัวความเจ็บปวดที่จะได้รับและยอมทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่
เพราะเป็นผู้มีอำนาจทางกายเหนือตน (๒-๗ ปี)


๑.๒ มีลักษณะเลือกการกระทำ ในสิ่งที่จะนำความพอใจมาให้ตนเท่านั้น
เริ่มรู้จักการแลกเปลี่ยนกันแบบเด็กๆคือเขาทำมา ฉันต้องทำไป เขาให้ฉัน ฉัก็ให้เขาดังนี้เป็นต้น ( ๗-๑๐ ปี )


..................................

แนะนำว่า "กอด" เขาบ่อยๆ กอดทีละคน หรือรวบเอามากอดพร้อมกัน
ทำให้เขาเป็น "ฮีโร่" ของน้อง บางครั้งต้องสร้างบรรยากาศขึ้นมา
เช่น ถ้าเขาจะแย่งชองจากมือน้อง เราก็บอกว่า ให้เขารอดดู
น้องกำลังจะทำเหมือนพี่ไทเกอร์นะ ถ้าไทเกอร์แย่งของมาน้องจะเอาอะไรทำล่ะ
"น้องอยากทำอยากเก่งเหมือนพี่ไทเกอร์....พี่ไทเกอร์สอนน้องนะ"
ทำนองนี้ค่ะ เขาจะไม่แย่งแน่ๆ (แรกๆ อาจแย่งเพราะเคยชิน)

ถ้ายังมี เราก็เข้าประกบและกอดเขาไว้ แม้จริงๆ แล้วกำลังจะเข้าไปแย่ง กอดแล้วรวบมือไว้
แล้วบอกว่า "พี่ไทเกอร์ เป็นเด็กดี ที่ไม่แย่ง แบ่งของให้น้องเล่น
(จริงๆ แค่ไม่แย่งก็เท่ากับแบ่งแล้ว) และดูสิน้องจะทำตามพี่ไทเกอร์นะ"
"พี่ไทเกอรฺ์ลองสอนน้องซิ" เราอาจได้เห็นพี่ไทเกอร์พยายามเอาของให้น้อง
และพยายามจะสอนน้อง จนบางครั้งน้องวิ่งหนีแทน (เพราะรำคาญ)

...................................

เบื้องต้น ลองเปลี่ยนน้องจาก "ตัวปัญหา" ในการรับรู้ของไทเกอร์
มาเป็น "ตัวเสริม" ให้พี่ไทเกอร์ เป็นคนเก่งที่ไม่แย่งของจากน้อง ที่ได้สอนน้องก่อน

..................................

ในบางสถานการณ์ ถ้าของมีชิ้นเดียวจริงๆ และไทเกอร์เล่นอยู่ก่อน
แต่สิงโตจะเข้ามาแย่งจากมือ (สิงโตก็ไม่ผิดที่มาแย่ง...อยู่ในวัยที่ยังไม่รู้เรื่องทั้งคู่)
ไม่จำเป็นต้องให้ไทเกอร์แบ่งให้ของในมือแก่น้องค่ะ
กรณีนี้น่าจะอุ้มน้องออกไปและเบี่ยงเบนความสนใจของน้องสิงโตจะง่ายกว่า

และกับไทเกอร์ให้เขาเลือกว่าจะแบ่งหรือไม่ก็ได้ ถ้าแบ่งก็คือจะสอนน้องให้เล่น
จริงๆ ถ้าเขาให้เพราะเข้าอยากเป็นฮีโร่ ก็ชมว่าเก่งที่แบ่งปัน
แต่ถ้าเขาไม่ให้ก็ไม่แปลกค่ะ...ถ้าต้องเสียสละวันยังค่ำ ความรับรู้จะเปลี่ยนทันที
แทนที่จะรู้สึกดีกับการแบ่ง...จะรู้สึกลบแทนและอดมองสิงโตแบบลบๆ ไม่ได้

ดังนั้นถ้าของอยู่ในมือเขาก่อนต้องให้สิทธิเขา และน้องสิงโตก็จะเรียนรู้เรื่องนี้ไปด้วยค่ะ

อยากให้เยียวยาความรู้สึกสูญเสียของไทเกอร์ที่สะสมมานานก่อน

....................................

ส่วนเรื่องถัดไปจะค่อยๆ มาเล่าถึง "กฎของมันฝรั่งเปียกๆ"
ซึ่งสูงขึ้นไปอีกระดับนึง รออ่านนะคะ (เมื่อพี่ว่างๆ...แฮ่ (เลียนแบบน้องสายชล) )

....................................

อยากฝากพ่อแม่ว่าอย่างที่บอกเด็กวัยนี้ "ดิบ" ค่ะ
เวลาไปโรงเรียนบางทีเขาอาจไปแย่งของกันหรือจิกกัด (กัดจริงๆ) กันกับเพื่อนบ้าง
อยากให้เรามองแบบเช้าใจและให้อภัยให้ได้...ไม่ใช้เฉพาะลูกตัวเองค่ะ
ให้อภัยได้แม้กับลูกคนอื่น....เพราะถ้าไม่เช้าใจ

เราอาจจะมีอารมณ์โกรธนำ...เคยเห็นพ่อแม่ที่วีนคุณครูอย่างรุนแรง
จน case นั้น จบลงที่ครูพี่เลี้บงห้องเนอสเซอรี่ต้องถูกให้ออกเลยถึงจะยอม
และในที่สุดก็ทนไม่ได้ เอาลูกย้ายโรงเรียนไปเรื่อย เพราะปกป้องลูกจากสิ่งที่เป็นธรรมขาติ

ลองนึกดูว่าบางทีลูกอยู่บ้านกับเราตัวต่อตัว ยังลื่น ยังล้มปากแตก ตกเตียงบ้าง ฯลฯ
หรือลูกสองคนก็จิกกัดกัน เรียกภาษาบ้านๆ ว่า "เอาไม่ทัน"
แล้วกับสถานที่แบบเนอสเซอรี่หรือโรงเรียนอนุบาล ที่เต็มไปด้วย "เด็กดิบ"

ถ้าไม่ร้ายแรงจนเกินไป หรือไม่ได้เกิดจากความประมาท เช่น ลืมเด็กไว้ในรถ
ไม่กั้นบริเวณจนเด็กเข้าไปในครัวจนไปน้ำร้อนลวก หรือไม่เก็บชองมีคนหรือจะอันตรายให้มิดชิด ฯลฯ

อุบัติเหตุบางอย่างที่เกิดจากลูกล้มเอง เพื่อนผลัก กัดกัน ถ้าไม่ถึงกับแรงมาก
อยากให้ไถ่ถามให้ดีก่อน และลองนึกว่าถ้าเป็นเราล่ะ เราดูทันมั้ย
ก่อนจะไปวีนครู หรือวีนพ่อแม่เด็กอื่น...เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นแน่ๆ จะมากหรือน้อยเท่านั้น

.................................

การทำความเข้าใจพัฒนาการตามวัยของลูก และทำความเข้าใจกับสิ่งแวดล้อม
ถือว่าเป็นพัฒนาการที่สำคัญของคนเป็นพ่อแม่เช่นกันค่ะ

และในคืนวันของการเป็นพ่อแม่...เราอาจไม่สมบูรณ์แบบที่สุด
บางครั้งเผลอดิบออกไปบ้างเพราะความเหนื่อย หรือเพราะเรายังไม่เข้าใจ
บางเรื่องดีพอ (พ่อแม่ก็ต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆ การเลี้ยงลูกเหมือนกัน)
ก็อย่าไปรู้สึกผิดค้าง หรือตำหนิตัวเองซ้ำๆ อยู่นะคะ...มิฉะนั้นเราจะไปต่อยาก

อะไรที่ผ่านมาขอให้แล้วไปแล้วเลย..."สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ" ค่ะ
อย่างน้อยเราก็ได้สังเกตเห็นผลที่เกิดแน่ๆ ไม่ว่ามันจะบวกหรือลบ

และด้วยใจที่ปรารถนาดีของพ่อแม่ทุกคน...เชื่อว่าแม้จะเหนื่อยแค่ไหนเราจะเรียนรู้ได้ค่ะ


................................

กรณีของน้องสายชลอยู่ในภาวะยากกว่าปกติมากๆ เพราะวัยเขาไล่เรี่ยกันมาก
และเป็นเด็กผู้ชายทั้งคู่ จะเกิดภาวะ "เอาไม่ทัน" ได้บ่อยๆ สู้ๆ นะคะ

มองภาพใหญ่ช้างหน้าค่ะ...ทุกๆ ก้าวที่เราเหนื่อยวันนี้คือขั้นตอนเล็กๆ ที่เกิดในกระบวนการทั้งหมด
เราปรับปรุงและพัฒนาได้เรื่อยๆ และอย่างที่น้องธีร์บอก และสุดท้ายตอนโตๆ เค้าก็จะรักกันเอง ปรึกษากันเอง ครับ นั่นและค่ะภาพใหญ่ และเด็กเพศเดียวกันที่อายุห่างกันไม่มาก
มีแนวโน้มจะปรองดองสูง อีกหน่อยจะเห็นเดินกอดคอกัน....
ปรึกษากันหนุงหนิง...พ่อแม่ไม่เกี่ยวก็เป็นได้นะ...เตรียมใจไว้เลยค่ะ


ขอบคุณครับ อธิบายละเอียดมากเห็นภาพเลย แบบ how to เลยนะครับ คุณสายชลปรึกษาได้ถูกคนแล้วละ ครับ
"เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะยังคงทำสิ่งต่างๆ ต่อไปตราบใดที่มันยังให้ความรื่นรมย์และคุณก็ทำมันได้ดี"
GG
Verified User
โพสต์: 96
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 561

โพสต์

สุดยอดครับพี่นุช ละเอียดครบถ้วน ขออนุญาติ save เข้าคลังความรู้ก่อนน่ะครับ :bow:
How not to be your own worst enemy
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 562

โพสต์

ผมปรึกษาถูกคนอย่างเสี่ยธีร์ว่าจริงด้วยครับ
สุดยอดเลยครับพี่นุช หลายเรื่องผมคิดไม่ถึงเลย
อย่างเรื่องการโกหกนี่ผมก็กำลังเจอครับ อย่างเราถามว่าใครเล่นของเล่นแล้วไม่เก็บ
แกก็จะโบ้ยใส่น้อง หรือถามว่าวันนี้แปรงฟันหรือยัง(ปกติผมแปรงให้แต่เป็นกิจกรรมที่แกไม่ค่อยชอบ)
แกก็จะบอกว่าหม่าม้าแปรงให้แล้ว
ผมเคยรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้และพยายามหาทางแก้อยู่พักหนึ่งเหมือนกัน
เพราะกลัวจะติดเป็นนิสัยของแกไปจนโตหนะครับ

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและกำลังใจครับ
ผมจะลองเอาไปปรับใช้ในครอบครัวดู ได้ผลยังไงค่อยมาเล่าให้ฟังใหม่น๊ะครับ

ปล.ยินดีกับครอบครัวใหม่ของพี่GGด้วยน๊ะครับ :D
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
GG
Verified User
โพสต์: 96
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 563

โพสต์

อูย ผมเป็นน้องพี่ saichon แน่นอนครับ เรียกผมน้องได้เลยน๊ะครับ เพราะผมรู้อายุพี่ saichon จากรายการ money talk หน่ะครับ แฮ่ๆ :D ส่วนผมขอฝากเนื้อฝากตัว แล้วถ้าวันนึงผมมีลูก ผมจะมาปรึกษาพี่นุช พี่saichon พี่ธีร์น่ะครับ ขอบคุณล่วงหน้าเลยคร้าบบบ :mrgreen:
How not to be your own worst enemy
chakkarin
Verified User
โพสต์: 39
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 564

โพสต์

เห็นแล้วของขึ้น อดโพสต์ไม่ได้ครับ

เห็นด้วยกับคุณธีร์

แต่โพสต์ของพี่นุช เนี่ย สุดยอด ครับ
chakkarin
Verified User
โพสต์: 39
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 565

โพสต์

มีทั้งทฤษฏี และภาคปฏิบัติ แบบ เห็นภาพ คิด และทำตามได้เลย
chakkarin
Verified User
โพสต์: 39
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 566

โพสต์

ส่วนเรื่อง โกหก

ผมขอบังอาจโพสต์ก่อน อาเจ้ นุช ดังนี้ครับ

ก่อนอื่น ทำ "ใจ" เราเอง ก่อน
chakkarin
Verified User
โพสต์: 39
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 567

โพสต์

ตามด้วย หลักเดียว ที่ผมยึด คือ

" เคารพ เค้าให้ได้มากที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ภายใต้ข้อจำกัดของเรา และเค้า "
chakkarin
Verified User
โพสต์: 39
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 568

โพสต์

เพราะผมรู้ตัวเอง ว่า ยังไม่สามารถไม่โกหกได้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุ เพราะกลัวอีกฝ่ายเสียใจ หรือ อื่นๆ

ทำให้ผม ทำใจได้ง่ายขึ้น แต่คนละอันกับการ เห็นด้วยที่เค้าจะโกหกนะครับ
chakkarin
Verified User
โพสต์: 39
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 569

โพสต์

สิ่งที่ผมจะทำคือ

ถ้าไม่รู้ ปล่อยเลยตามเลย ครับ

ไม่กลัวว่า เค้าจะโกหก ผมไปเรื่อยๆ หรือคนอื่นอีก ครับ

เพราะไม่งั้นผมเองนี่แหละ ที่จะ สร้างความไม่ไว้วางใจให้ลูกผม โดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะ ผม ไม่ไว้วางใจลูกผม ก่อน
chakkarin
Verified User
โพสต์: 39
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 570

โพสต์

อย่างที่ 2 คือ จัดการ เป็นเรื่องๆ ไป

สมมุติ เค้าโกหก เรื่อง แปรงฟัน แล้วผมจับได้

ผมจะไม่รวมกับเรื่อง บอกว่าน้องไม่เก็บของเล่น

เพราะสาเหตุ ที่ทำให้เค้าโกหก 2 เรื่อง อาจเกิดจากเหตุคนละอย่างกัน

แต่หลักการ "เคารพ " ยังเหมือนเดิม ครับ

ปล. ไม่ได้เคารพเค้าในแบบที่เราอยากให้เค้าเป็นนะครับ