ก้าวกระโดดของตลาดหุ้นไทย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

ก้าวกระโดดของตลาดหุ้นไทย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor       22 ก.พ. 57
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ก้าวกระโดดของตลาดหุ้นไทย

	ในช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา  หรือตั้งแต่สิ้นปี 2543 เป็นต้นมาจนถึงขณะนี้   ตลาดหุ้นไทยมีการพัฒนามาอย่าง  “ก้าวกระโดด” ในเกือบทุกด้าน
	เริ่มตั้งแต่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ปิดที่ประมาณ 269 จุดตอนสิ้นปี 2543 ได้ปรับขึ้นมาเป็นประมาณ 1300 จุดเมื่อสิ้นปี 2556 หรือเติบโตขึ้นเกือบ 4 เท่า คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยปีละประมาณ 13%   และถ้ารวมปันผลอีกปีละประมาณ 3% ก็จะเห็นว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 13 ปีที่ผ่านมานั้นให้ผลตอบแทนถึง 16% ต่อปีแบบทบต้น  ถ้าเราลงทุนระยะยาวต่อเนื่องมาตลอดโดยถือกองทุนรวมอิงดัชนีตลาด  เงิน 1 บาทจะกลายเป็นเงินเกือบ 7 บาท ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีและหาได้ยากมาก  โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงแรกตั้งแต่เปิดตลาดในช่วงต้นปี 2518 จนถึงสิ้นปี 2543 ที่ดัชนีปรับขึ้นน้อยมาก   กล่าวคือ  ในช่วงเวลา 26 ปี  ดัชนีตลาดปรับขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละประมาณ  3.9%  แบบทบต้น  ดังนั้นต้องถือว่าในช่วงเวลา 13 ปีที่ผ่านมานั้น  ดัชนีตลาดหุ้นไทยเติบโตขึ้นอย่าง  “ก้าวกระโดด”  และนี่ก็ตรงกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดของประเทศที่เกิดขึ้นในปี 2540
	การฟื้นตัวหรือการเติบโตของตลาดหลักทรัพย์นั้น  ไม่ได้เกิดเฉพาะกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น  เพราะหลังจากภาวะวิกฤติและทุกอย่างเริ่มฟื้นตัวในปี 2544  สิ่งต่าง ๆ  ในตลาดหุ้นก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ  ทุก ๆ  อย่างกำลังดีขึ้นอย่าง  “ก้าวกระโดด”  ในความรู้สึกของผม
	นักลงทุนที่เข้ามาหลังจากปี 2543 นั้น  ผมคิดว่ามี Profile  หรือมีคุณสมบัติหรือมีคุณลักษณะที่แตกต่างจากนักลงทุนที่  “เล่นหุ้น”  อยู่ในตลาดก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ  เพราะพวกเขากลายเป็น  “นักลงทุน”  ที่เน้นการเลือกซื้อหุ้นที่มี  “พื้นฐาน”  การดำเนินงานที่ดี  หุ้นที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนหรือมีกำไรต่ำ  มีผลประกอบการไม่แน่นอน  หุ้นมีการ  “ปั่น”  โดยนักลงทุน  “ขาใหญ่”  ที่เคยเป็นหุ้น  “ยอดนิยม”  นั้น  หมดความนิยมลงไปอย่างสิ้นเชิง  นักลงทุนหน้าใหม่นั้น  ไม่ใช่  “นักเก็งกำไร” ที่เข้ามาในตลาดหุ้นเพื่อที่จะ  “เสี่ยงโชค”  อีกต่อไป   พวกเขาคือคนที่มีเงินเหลือเก็บที่ต้องการสร้างผลตอบแทนให้แก่เงินที่พวกเขาอาจจะต้องเก็บไว้เพื่อการเกษียน   พวกเขาคิดว่าการฝากเงินในสถาบันการเงินที่  “ปลอดภัย”  นั้น  “ไม่คุ้มค่า”  เพราะดอกเบี้ยแต่ละปีที่ได้รับนั้นต่ำมาก  ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่เคยสูงกว่า 10% ต่อปีก่อนวิกฤติลดลงมาเรื่อย ๆ  เหลือ 6% ในปี 2542  4% ในปี 2543  3.5% ในปี 2544 และหลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยก็ต่ำกว่า 3% มาเกือบทุกปีในช่วงเวลา 13 ปี
	นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย “รุ่นใหม่” นั้น  จำนวนมากเป็นคนหนุ่มสาวที่  กินเงินเดือนในบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่  พวกเขาเป็นคนที่มีการศึกษาสูงและมีความคิดที่ดูเหมือนว่าจะแตกต่างกับคนรุ่นก่อน  พวกเขาเป็นคน “Gen- X” ที่มีความคิด “เสรี” กล้ารับความคิดใหม่ ๆ  ในทุกด้านของสังคม  และสำหรับเรื่องของเงินทองแล้ว  พวกเขาไม่เดินตามคนรุ่นก่อนที่มักคิดแต่ว่าหนทางแห่งความมั่งคั่งที่ดีและมีคุณธรรมนั้นจะต้อง  “ท่วมไปด้วยหยาดเหงื่อ”  พวกเขาเชื่อว่าหนทางแห่งความมั่งคั่งนั้นมีมากมายและมันมักจะมาจากความคิดสร้างสรรค์และ—การลงทุน  และพวกเขาก็ค้นพบว่าตลาดหุ้นนั้น  คือแหล่งการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูงและเหมาะกับพวกเขาที่สุด  ตลาดหุ้นไม่ใช่แหล่ง  “อบายมุข” สำหรับนักเก็งกำไรหรือนักพนันในสายตาของพวกเขาและสังคมอีกต่อไป   นักลงทุนรุ่นใหม่เลิกพูดว่าตนเอง  “เล่นหุ้น”  แต่เป็น  “นักลงทุน”  คนที่ทุ่มเทและศึกษาการลงทุนเลือกแนวทางการลงทุนใหม่ที่กำลังเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทยที่เรียกว่า Value Investment ที่เพิ่งถูกนำมาเผยแพร่ในตลาดหุ้นไทยหลังวิกฤติตลาดหุ้นเป็นปรัชญาการลงทุนใหม่   “VI” กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโดดเด่นของการลงทุน   คุณภาพของนักลงทุนส่วนบุคคลในตลาดหุ้นไทยนั้นเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งปริมาณและคุณภาพ
	บริษัทจดทะเบียนก่อนปี 2544 นั้น  ที่มีขนาดใหญ่ดูเหมือนว่าจะมีแต่หุ้นธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก  หุ้นกลุ่มใหญ่ที่มีอยู่ก็มักจะเป็นบริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการที่มีลักษณะของโภคภัณฑ์ เช่น บริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์  บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  และธุรกิจอื่น ๆ ที่มีรายได้และกำไรที่ไม่แน่นอน  เรียกว่าเป็นกิจการที่มี  “คุณภาพต่ำ”  และเหมาะสำหรับ “เก็งกำไร” เท่านั้น   แต่หลังจากการเข้าตลาดของหุ้น  ปตท. ในปี 2546  ก็ดูเหมือนว่าคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป  หุ้นจดทะเบียนขนาดใหญ่ของไทยเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น  เรามีกลุ่มพลังงานที่ใหญ่โตเช่นเดียวกับกลุ่มธนาคาร  เรามีหุ้นที่อิงกับการบริโภคที่ไม่ใช่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์  เรามีหุ้นในกลุ่มสื่อสารที่เติบโตขึ้นมาก  เช่นเดียวกับหุ้นในกลุ่มค้าปลีกและอื่น ๆ  ที่มีรายได้และกำไรเติบโตอย่างมั่นคง  หุ้นขนาดใหญ่ที่สุด 10 อันดับในตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ประกอบไปด้วยอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันถึง 7 อุตสาหกรรม
	ไม่เพียงแต่ขนาดและคุณภาพของกิจการเท่านั้นที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างโดดเด่น   Corporate Governance หรือบรรษัทภิบาลของบริษัทจดทะเบียนของไทยก็มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่าง  “ผิดหูผิดตา”  ความโปร่งใสของผู้บริหารหรือเจ้าของบริษัทโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่นั้นดีขึ้นมาก  บริษัทขนาดกลางและแม้แต่บริษัทขนาดเล็กก็มีเรื่อง “ฉาวโฉ่”  น้อยลง  กรณีของการ “ปั่นหุ้น” ของผู้บริหารก็ลดลงไปมาก  ว่าที่จริง  CG ของตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ได้รับการยกย่องว่าดีระดับต้น  ๆ  ของเอเซียโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอย่างจีนที่ยังมีปัญหามากจนนักลงทุนต่างชาติต่างก็ยังไม่สบายใจนักในการลงทุนในหุ้นจีนโดยเฉพาะในบริษัทที่เจ้าของยังเป็นเอกชน  ดังนั้น  พูดโดยรวมแล้วก็ต้องบอกว่า  คุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยนั้น  เติบโตแบบ  “ก้าวกระโดด”  ในช่วง 13 ปีหลัง
	เรื่องสุดท้ายที่สำคัญก็คือ  การหาข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลสำหรับนักลงทุน  นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีการพัฒนาไปมากหลังวิกฤติเศรษฐกิจ  เริ่มตั้งแต่เวบไซ้ต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีการเผยแพร่ข้อมูลที่มีการจัดเรียงเป็นระเบียบที่ทำให้สามารถดูและวิเคราะห์ได้อย่างสะดวกย้อนหลังไป 4-5 ปี  รวมถึงข้อมูลรายละเอียดอื่น ๆ ที่นักลงทุนสามารถหาเพิ่มเติมได้ทั้งจากเวบของตลาดและเวบของ กลต. ทำให้ตลาดหุ้นไทยนั้น   เป็นตลาดที่นักวิเคราะห์ส่วนบุคคลทั่วไปสามารถเข้ามาศึกษาบริษัทและหุ้นจดทะเบียนได้อย่างสะดวกโดยเฉพาะใน  “ข้อมูลพื้นฐาน”  ที่จำเป็นในการลงทุน   นอกจากนั้น  ตลาดหุ้นไทยยังได้สร้างโปรแกรมประจำที่เปิดโอกาสให้ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนมาพบกับนักลงทุนที่เรียกว่า  Opportunity Day ซึ่งทำให้นักลงทุนส่วนบุคคลทั่วไปสามารถรับรู้ข้อมูลในรายละเอียดของบริษัท  เข้าใจกลยุทธ์การดำเนินงานและรู้จักกับผู้บริหารซึ่งเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อการลงทุนในแบบที่ถูกต้อง  เท่าที่รู้  ยังไม่เห็นมีตลาดหุ้นที่ไหนในเอเชียที่จะเป็นเพื่อนกับนักลงทุนส่วนบุคคลขนาดนี้
	การให้ข้อมูลความรู้ในบริษัทจดทะเบียนและความรู้ทั่ว ๆ  ไปของตลาดทุนในบ้านเรายังขยายไปถึงสื่อต่าง ๆ  โดยเฉพาะทางทีวีที่เรามีช่องที่เน้นการลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรงอย่างช่อง  Money Channel  ของตลาดหลักทรัพย์  และยังมีทีวีช่องอื่น ๆ  ที่เน้นการลงทุนค่อนข้างมากอย่างกรุงเทพธุรกิจทีวี  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วก็เกิดขึ้นหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงประมาณ 13 ปีที่ผ่านมา  และผมคิดว่านี่เป็นการเติบโตแบบ “ก้าวกระโดด”  ของเรื่องข้อมูลข่าวสารในการลงทุนของตลาดหุ้นไทย
	ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ  ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมานั้น  ตลาดหุ้นไทยได้พัฒนาและเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในหลาย ๆ  ด้านที่จำเป็นต่อการลงทุนของนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อย  มันทำให้นักลงทุนค่อนข้างที่จะสบายใจในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเปรียบเทียบกับตลาดอื่น ๆ  อีกหลายตลาดที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจพอ ๆ  กัน  และนี่ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมยังยึดกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแม้ว่าราคาหุ้นอาจจะแพงกว่าหุ้นในประเทศอื่น ๆ  โดยเปรียบเทียบในขณะนี้
[/size]
ลูกหิน
Verified User
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 0

Re: ก้าวกระโดดของตลาดหุ้นไทย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: ก้าวกระโดดของตลาดหุ้นไทย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบพระคุณค่ะ
Carpediem
Verified User
โพสต์: 23
ผู้ติดตาม: 0

Re: ก้าวกระโดดของตลาดหุ้นไทย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 4

โพสต์

Thank you.
Brydo
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 594
ผู้ติดตาม: 0

Re: ก้าวกระโดดของตลาดหุ้นไทย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ส่วนนึงของการเติบโตแบบก้าวกระโดดของตลาดหุ้นไทย ต้องขอขอบคุณบิดาแห่ง vi บ้านเราอย่าง ดร.นิเวศน์ด้วยครับ ขอบคุณจากใจครับ
PLUSLOVE
Verified User
โพสต์: 1474
ผู้ติดตาม: 0

Re: ก้าวกระโดดของตลาดหุ้นไทย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 6

โพสต์

รายได้ดีขึ้น กำไรดีขึ้น ปันผลมากขึ้น สัจธรรมในการดำเนินธุรกิจ ขอบคุณท่านอาจารย์ครับ การลงทุนก้เหมือนปลูกต้นไม้
NIRANR
Verified User
โพสต์: 99
ผู้ติดตาม: 0

Re: ก้าวกระโดดของตลาดหุ้นไทย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ผมก็รู้สึกตัวเองก้าวกระโดดจากจุดเดิมเช่นกันครับ และกราบขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งที่ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้ครับ
โพสต์โพสต์