มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4831

โพสต์

theenuch เขียน:
Paul VI เขียน:ข้อความและความในใจที่อยากจะสื่อถึงสมาชิกชาว ThaiVI ของท่านนายกโจ ของพวกเราล่ะครับ

อ่านแล้วสรุปได้ใจความและเป็นสัจธรรมมากๆครับ

นับถือความคิดจริงๆครับ :bow: :bow: :bow:
ขอบคุณพี่หมอมุขมากๆ สำหรับ "ข้อความและความในใจที่อยากจะสื่อถึงสมาชิกชาว ThaiVI ของท่านนายกโจ ของพวกเรา" ค่ะ
นุชเคยอ่านแล้วและเก็บไว้เป็นพรที่มีค่าและเป็นแนวทางสำหรับการลงทุนและการดำเนินชีวิต และเข้าไปอ่านซ้ำเป็นระยะๆ ค่ะ
พี่หมอมุขกรุณานำมาฝากก็ทำให้ได้อ่านและเตือนตัวเองซ้ำๆ นุชจะขออนุญาตนำไปฝากเพื่อนๆ ในกระทู้บ้านๆ ด้วยดีกว่า
Paul VI เขียน:หนังสือ น่าจะเดือนหน้าครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับ บก. แล้วครับ อีกอย่างพยายามทำออกมาให้ดูดีที่สุดครับ และเอาไปใช้ได้ตลอดการลงทุนระยะยาวๆเลยครับ
ส่วน "ข้อความและความในใจของพี่หมอมุข ของพวกเรา" ผ่านหนังสือที่พี่หมอมุขพยายามทำออกมาให้ดูดีที่สุด
นุชก็รอที่จะนำมาเป็นแนวทาง "เพื่อไปใช้ได้ตลอดการลงทุนระยะยาวๆ" อย่างที่พี่หมอมุขตั้งใจค่ะ
Paul VI เขียน:เดือนหน้าผมจะมีอบรมความรู้ส่วนตัวด้วยครับ แถมลุ้นยาวเรื่องเตรียมสอบของลูกสาวด้วยครับ

สนุกดีครับ ชีวิต :mrgreen:
สู้ สู้ นะคะ พี่หมอมุขเป็นตัวอย่างสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยค่ะ

ขออนุญาตลุ้นไปกับเหตุการณ์สำคัญๆ ของครอบคุณคุณภาพ
พี่หมอมุขเป็นกำลังใจสำหรับพวกเราเสมอมา...ขอมาช่วยส่งกำลังใจ
และอวยพรขอน้องประสพความสำเร็จเรื่องการเตรียมสอบและการสอบตามที่เขาตั้งใจนะคะ :wink:
ขอบคุณครับ

ผมถือว่าทุกหลักกิโล ของชีวิตมีความหมายครับคุณนุช

แต่ละวันที่ผ่านไปล้วนสอนให้เราเรียนรู้สิ่งที่ไม่น่าทำและสิ่งที่ควรทำในชีวิตตลอดเวลาครับ

Live and Learn ครับ


เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ
ความสุขความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ จะยอมรับความจริงที่เจอได้แค่ไหน

เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว

เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด



[youtube]X1GumPZc2jk[/youtube]
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4832

โพสต์

ไม่น่าเชื่อครับ เมื่อวานผมนึกถึง เพลงๆหนึ่งที่คิดถึงยามนี้เหมือนกัน เพลง Imagine วันนี้เลยเอาบทความล่าสุดของท่านอาจารย์ของเรามาฝากครับ
Spiritual Freedom

มกราคม 26, 2014 Filed under บทความ Posted by ดร.นิเวศน์

Value Investor ผู้มุ่งมั่นเกือบทุกคนนั้น ผมเชื่อว่าต่างก็มีเป้าหมายใหญ่ในชีวิตอย่างหนึ่งนั่นก็คือ เขาต้องการที่จะมี “อิสรภาพทางการเงิน” หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่ามี “Financial Freedom” ความหมายก็คือ เป็นคนที่มีความมั่นคงทางการเงินสูง มีเงินและทรัพย์สินมากพอที่จะเลี้ยงชีวิตตนเองและครอบครัวได้อย่างพอเพียงแม้ว่าจะไม่มีรายได้อื่นเลยตลอดชีวิต ซึ่งผมเองคิดว่าถ้าจะทำอย่างนั้นได้ เขาจะต้องมีทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้ เช่น หุ้น พันธบัตร หรือเงินสด ที่มีคุณภาพดีอย่างน้อย 200 เท่าของรายจ่ายประจำเดือนโดยเฉลี่ยและเขารู้จักบริหารการลงทุนในระดับพื้นฐานที่จำเป็น อิสรภาพทางการเงินนี้จะทำให้เขาแทบจะไม่ต้องกังวลกับการทำงานหาเงินซึ่งจะทำให้เขาสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ที่เขาชอบหรืออยากที่จะทำโดยไม่ต้องคิดถึงผลตอบแทนทางการเงิน ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคน “ฝัน” ที่จะได้ไม่ใช่เฉพาะแต่ VI เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นนักลงทุนแบบ VI ที่ได้ผ่านจุดแห่งเสรีภาพทางการเงินมาแล้ว ผมคิดว่าการมีอิสรภาพทางการเงินเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตเราสมบูรณ์ได้ ว่าที่จริงอิสรภาพทางการเงินนั้นอาจจะไม่ได้ก่อให้เกิดความเป็นอิสระของชีวิตมากนักด้วยซ้ำไปหาก “อิสรภาพทางใจ” หรือ “Spiritual Freedom” ของเรายังไม่มีหรือมีน้อยเกินไป

คำว่าอิสรภาพทางใจนั้นมีความหมายมากมายแล้วแต่ว่าใครจะนิยาม องค์กรหรือแนวความคิดที่พูดถึงเรื่องของ Spiritual Freedom มากที่สุดดูเหมือนว่าจะเป็นศาสนาต่าง ๆ ที่มักจะเน้นให้ผู้ที่นับถือประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เรา “หลุดพ้น” จากกิเลสหรือพันธะทางใจทั้งมวลเพื่อที่จะทำให้เกิดความสุข “ทางใจ” ที่มีความสำคัญและความหมายมากที่สุดในชีวิตของคนเรา แต่ “อิสรภาพทางใจ” ที่ผมจะพูดถึงนั้น จะเป็นไปในความหมายแบบคนธรรมดาหรือเป็นแนวปรัชญาอิงกับความคิดของ Victor Frankl ที่อธิบายว่า Spiritual Freedom นั้น เป็นเสรีภาพที่สูงและยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ที่จะเลือกทัศนะคติในชีวิตของตนเองภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหนที่เขาก็ยังสามารถเลือกที่จะคิดและเดินในแนวทางของตนเองที่คิดว่าดีและถูกต้อง ตัวอย่างที่นำมาซึ่งแนวความคิดดังกล่าวก็คือการที่คนยิวในค่ายกักกันของนาซีบางคนที่พยายามช่วยเหลือปลอบใจเพื่อนในขณะที่บางคนต้อง “ขายจิตวิญญาณ” เพื่อเอาตัวรอด หรืออย่างในกรณีของฉากการจมลงของเรือไททานิกที่เราเห็นในภาพยนต์ที่มีทั้งคนที่สงบช่วยเหลือปลอบใจคนอื่น ในขณะที่คนบางคนแสดง “ธาตุแท้” ที่เห็นแก่ตัวออกมา

ในการที่จะมี “อิสรภาพทางใจ” ได้นั้น เขาบอกว่า ถ้าเราไม่ตั้งใจกำหนดหรือตัดสินใจว่าเราจะเป็นคนอย่างไรและพยายามทำและปฏิบัติตามสิ่งที่เรากำหนดนั้นไว้ สภาวะแวดล้อมและประสบการณ์ของเราก็จะกลายเป็นตัวกำหนดทั้งตัวตนของเราและชะตากรรมของเราเองในท้ายที่สุด ในความหมายนี้ก็แปลว่า การที่เราจะมีอิสรภาพทางใจได้นั้น เราจะต้องศึกษาและหาความหมายต่าง ๆ ในชีวิตที่เราคิดว่าเหมาะสม เราไม่สามารถที่จะคิดโดย “อัตโนมัติ” ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเราและสังคมเพราะเหตุว่าความคิดของเรานั้นอาจจะถูก “ครอบงำ” โดยสิ่งแวดล้อมและสังคมรอบข้างมานานดังนั้นความคิดเราก็จะไม่อิสระที่จะคิดนอกกรอบนั้นออกไป ส่วนตัวผมเองก็รู้สึกว่าตั้งแต่เด็กก็ถูก “อบรมสั่งสอน” จากบุคคลต่าง ๆ มากมายรวมถึงหน่วยงานรัฐ ศาสนา และองค์กรต่าง ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่พบในสังคมเองก็ “หล่อหลอม” ให้คิดและปฏิบัติในสิ่งที่เป็นกรอบประเพณีอันดีและถูกต้องในสังคม ผมไม่เคยตั้งคำถามกับแนวคิดหรือสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ว่าที่จริงผมก็ไม่ควรคิดเพราะว่าถ้าเรายังต้องทำงานในองค์กรและมีตำแหน่งหน้าที่ในสังคม การ “ฝืน” แนวทางเหล่านั้นคงทำให้เส้นทางอาชีพหรือความก้าวหน้าในหน้าที่การงานมีปัญหา อย่างไรก็ตาม เมื่อผมมีอายุมากขึ้นและกลายเป็นนักลงทุนแบบ VI ผู้มุ่งมั่นและประสบความสำเร็จมีอิสรภาพทางการเงินที่ไม่ต้องพึ่งคนอื่น ผมก็เริ่มค้นหาความหมายของชีวิต

ความคิดของผมเริ่มเปลี่ยนไป ผมเริ่มมี “อิสรภาพทางใจ” มากขึ้น ไม่ใช่ในแบบของศาสนา ว่าที่จริงอาจจะมีบางสิ่งที่แย้งด้วยซ้ำ เพราะผมเริ่มที่จะคิดว่าเราอยากที่จะเป็น “เสรีชน” มากกว่าที่จะเป็นคนที่ยึดติดกับความคิดของสังคมที่มีกรอบมากมายที่หลายอย่างผมก็ไม่เห็นด้วยและรู้สึกค้านอยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่ใช่ “กบฏ” หรือนักปฏิวัติอะไร ผมแก่เกินที่จะไปทำแบบนั้น ผมเพียงแต่คิดว่าผมไม่ต้องการนับถือหรือเชื่ออะไรตามที่คนส่วนใหญ่ทำถ้าการศึกษาหรือมโนธรรมของผมพบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมหรือถูกต้อง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะหรือเป็นอานิสงค์จากการที่ผมกลายเป็น VI ที่ได้รับอิสรภาพทางการเงินและเริ่มที่จะมองหา “อิสรภาพทางใจ” ที่มองอีกด้านหนึ่งอาจจะเป็นสิ่ง “หรูหรา” ที่หลายคนไม่อาจจะแสวงหาได้ง่ายนักแม้ว่าเขาจะมีเงินมากยิ่งกว่า เหตุผลก็คือ ชีวิตและเงินทองของพวกเขายังต้องพึ่งพิงกับคนอื่น ๆ อีกมากในสังคมที่ไม่ยอมรับความเป็น “เสรีชน” ของเขา หรือที่เป็นไปได้มากกว่าก็คือ เขาเองอยู่กับ “สภาพแวดล้อม” ที่มีอิทธิพลสูงในการกำหนดชีวิตของเขา

ความเป็น “เสรีชน” ของผมนั้น แน่นอน เราก็ต้องมีสัญลักษณ์หรือสิ่งประทับใจที่ตรงหรือถูกจริตกับเรา หนึ่งในนั้นก็คือเพลงซึ่งในอดีตผมก็เพียงแต่รู้สึกว่ามันมีความไพเราะและเป็นเพลงยอดนิยม “อมตะ” แต่ก็ไม่มีความหมายใด ๆ แต่ยิ่งนานและในระยะหลัง ๆ ผมก็ “อิน” กับมันนั่นก็คือเพลง “Imagine” ของ จอห์น เลนนอน อดีตนักร้องของวง The Beetle ที่เป็นตำนานของวงดนตรีโลก เพลง Imagine นี้เกิดขึ้นในปี 1971 ในยุคของสงครามเวียตนามที่ทำให้เกิดกระบวนการประท้วงต่อต้านสงครามและต่อต้านสังคมของคนหนุ่มสาวที่เรียกว่าพวก “ฮิบปี้” ซึ่งต่างก็ “แหกกฎ” ของสังคมโดยการไว้ผมยาว แต่งตัวไม่เรียบร้อย รวมถึงการประพฤติตนในแบบที่ไม่เป็นที่ยอมรับของธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม

เนื้อหาของเพลงนั้นเรียบง่ายมากแต่มีพลังสูง ผมคงไม่แสดงเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษแต่นำคำแปลมาให้อ่านดังนี้คือ :
ลองจินตนาการสิว่าโลกนี้ไม่มีสวรรค์
มันง่ายถ้าคุณจะลอง ไม่มีนรกอยู่ใต้ฝ่าเท้าเรา เหนือหัวเราก็มีแต่ท้องฟ้า

ลองจินตนาการว่าทุกคนต่างก็อยู่เพื่อวันนี้ ลองจินตนาการว่าโลกนี้ไม่มีประเทศ มันไม่ยากหรอกถ้าจะทำ
ไม่มีอะไรที่จะต้องฆ่าหรือต้องตายแทน และก็ไม่มีศาสนาด้วย
ลองจินตนาการว่าคนทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอย่างสงบ
คุณคงบอกว่าผมเป็นนักฝันแต่ผมก็ไม่ใช่คนเดียวที่คิดเช่นนั้น
ผมหวังว่าวันหนึ่งคุณจะร่วมฝันกับเรา และวันนั้นโลกทั้งโลกก็จะเป็นหนึ่งเดียว
ลองจินตนาการว่าไม่มีการครอบครองอะไรทั้งสิ้น
ผมไม่รู้ว่าคุณจะทำได้ไหม ไม่มีความจำเป็นต้องมีความโลภหรือความหิวโหย เราทุกคนจะเป็นเหมือนดั่งพี่น้องร่วมโลก
ลองจินตนาการดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนทุกคนแบ่งปันโลกนี้อย่างเท่าเทียมกัน
ผมไม่รู้ว่า VI ผู้มุ่งมั่นและมีอิสรภาพทางการเงินแล้วนั้น ส่วนใหญ่มีอิสรภาพทางใจมากน้อยแค่ไหนและแนวความคิดของพวกเขาไปในทางไหน แม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่รู้ว่าตนเองนั้นมีจิตใจที่ “เสรี” และเป็น “เสรีชน” มากน้อยแค่ไหน ผมรู้เพียงแต่ว่าการเป็น VI ที่มุ่งมั่นคงมีส่วนไม่น้อยที่ทำให้แนวคิดของผมเปลี่ยนแปลงไปและกลายเป็น “เสรีชน” มากขึ้น ผมเองไม่มั่นใจว่าการเป็นเสรีชนทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นหรือไม่ ผมรู้เพียงแต่ว่าผมไม่สามารถที่จะกลับไปเป็นอย่างเดิมที่อยู่ในกรอบของขนบธรรมเนียมที่ผมพยายาม “หนี” ออกมาได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4833

โพสต์

[youtube]XLgYAHHkPFs[/youtube]

Imagine there's no heaven
It's easy if you try
No hell below us
Above us only sky
Imagine all the people
Living for today...
Imagine there's no countries
It isn't hard to do
Nothing to kill or die for
And no religion too
Imagine all the people
Living life in peace...
You may say I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will be as one
Imagine no possessions
I wonder if you can
No need for greed or hunger
A brotherhood of man
Imagine all the people
Sharing all the world...
You may say I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will live as one
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4834

โพสต์

แล้วก็อีกเพลงหนึ่งที่นึกถึงครับ

Subaru

[youtube]0bzs_iq9bkI[/youtube]

ฉันจะปิดตาอยู่ได้อย่างไร
ในเมื่อโลกภายนอกนั้นแสนเศร้า

แต่ยามเมื่อฉันลืมตาขึ้นมา
ฉันก็พบแต่หนทางที่เปล่าเปลี่ยวและยากลำบาก

โอ้ดาวน้อยเอย
หนทางเจ้านั้นคือ
แตกสลายและร่วงหล่น
ขอเจ้าจงเปล่งประกายส่องนำทางชีวิตฉันบ้าง

ฉันจะก้าวต่อไป แม้ดวงหน้าจะซีดเซียวด้วยเหนื่อยยาก
ฉันจะก้าวต่อไป เป็นดาวน้อยที่คนเมิน ลาแล้ว ดาวจรัสแสง

ลมหนาวเย็นยะเยือก
พัดผ่านเข้าสู่หัวใจ
ทุกคราที่ฉันหายใจ
แต่ดวงใจฉันร้อนรุ่ม ด้วยไฟแห่งความใฝ่ฝัน

โอ้ดาวน้อยเอ๋ย
เจ้านั้นไร้ซึ่งชื่อเสียงเรียงนาม
ขอเจ้าจงมุ่งสู่อวสาน
ด้วยเปรมปรีดิ์

ฉันจะก้าวต่อไป ตามหัวใจปรารถนา
ฉันจะก้าวไปกับเธอ ดาวน้อยที่ด้อยรัศมี ลาแล้ว ดาวจรัสแสง
โอ้ว่าสักวันหนึ่ง คงจะมีใคร เลือกหนทางนี้บ้าง
หนทางที่เปล่าเปลี่ยวยากลำบาก แต่ท้าทาย

ฉันจะก้าวต่อไป แม้ดวงหน้าจะซีดเซียวด้วยเหนื่อยยาก
ฉํนจะก้าวต่อไป เป็นดาวน้อยที่คนเมิน
ลาแล้ว ดาวจรัสแสง ลาแล้ว ดาวที่คนชม
Me o tojite nani mo miezu kanashikute me o akereba

Kouya ni mukau michi yori hoka ni mieru mono wa nashi
Aha kudake chiru sadame no hoshitachi yo
Semete hisoyaka ni kono mi o terase yo

Ware wa yuku aojiroki hoho no mama de
Ware wa yuku saraba subaru yo

Iki o sureba mune no naka kogarashi wa naki tsuzukeru
Saredo ware ga mune wa atsuku yume o oi tsuzukeru nari
Aha sanzameku na mo naki hoshitachi yo
Semete azayaka ni sono mi o oware yo

Ware mo yuku kokoro no meizuru mama ni
Ware mo yuku saraba subaru yo

Aha itsu no hi ka dareka ga kono michi o
Aha itsu no hi ka dareka ga kono michi o
Ware wa yuku aojiroki hoho no mama de
Ware mo yuku saraba subaru yo
Ware mo yuku saraba subaru yo
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4835

โพสต์

ที่ดิน‘สยาม’ราคาพุ่ง1.65ล้าน/ตารางวา

แนวรถไฟฟ้าทำเลทอง

ชี้ช่องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม

นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เปิดเผยว่า จากการสำรวจวิจัยต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2528 พบว่าราคาที่ดินในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากวิกฤติเศษฐกิจ พ.ศ.2540 โดยเริ่มเพิ่มขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2543 เป็นต้นมา รวมระยะเวลา 13 ปีมาแล้ว

ทั้งนี้ล่าสุด ณ สิ้นปี พ.ศ.2556 ราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มสูงขึ้นกว่าปี พ.ศ.2555 ที่เพิ่มขึ้นเพียง 3.7% อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นนี้เป็นเพราะว่าในบางบริเวณของผังเมือง ได้ผ่อนคลายข้อกำหนดในการก่อสร้าง โดยเฉพาะเขตชานเมืองตะวันตก ที่แต่เดิมเป็นเขตอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม กลายเป็นเขตที่อยู่อาศัย ซึ่งสามารถก่อสร้างได้มากขึ้นนั่นเอง และคาดว่าในปี 2557 ราคาที่ดินจะเพิ่มขึ้นอีก 4%

สำหรับราคาที่ดินที่แพงที่สุดในขณะนี้ก็คือ ราคาที่ดินบริเวณใกล้สถานีรถไฟฟ้าสยาม, ชิดลม, เพลินจิต ราคาตารางวาละ
1.65 ล้านบาท หรือไร่ละ 660 ล้านบาท เทียบเท่ากับต้องใช้ธนบัตรใบละ 1,000 บาทปูบนพื้นที่ขนาด 1 ตารางวา หรือ 2x2 เมตร ถึงเกือบ 5 ชั้น สาเหตุที่ราคาที่ดินย่านนี้สูงมากเนื่องจากว่ามีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านถึง 2 สาย เป็นศูนย์รวมของสรรพสินค้าต่างๆ แม้ว่าจะไม่มีการพัฒนาใด ๆ เกิดขึ้นในย่านนี้ ราคาที่ดินก็ยังเพิ่มขึ้น เพราะยิ่งรถไฟฟ้าวิ่งออกนอกเมืองหรือเชื่อมต่อกันมากขึ้น ก็ยิ่งเพิ่มศักยภาพของพื้นที่นี้ ทั้งนี้ ราคาที่ดินสะท้อนจากค่าเช่าพื้นที่ค้าปลีกในย่านนี้ด้วย

“ราคาที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับสถานีรถไฟฟ้า 112 สถานีหรือ 10 สาย ตามแนวการก่อสร้างราคาเฉลี่ยคือ 392,955 บาทต่อตารางวา โดยในที่ดินติดถนนในรัศมี 500 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า 2 ข้าง และลึกจากถนนใหญ่ระยะทาง 200 เมตร หรือรวมพื้นที่ 250 ไร่ มีผลต่อราคาที่ดินสูงสุด ซึ่งที่ดินนี้หากเทียบกับเมื่อปี 2541 จะมีค่าเป็น 339% หรือเท่ากับเพิ่มขึ้น 1.438 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยมีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเองโดยไม่ได้ลงแรง ณ อัตรา 20 % ของมูลค่า ประเทศไทยจะได้ภาษีเพิ่มขึ้นถึง 287,538 ล้านบาท เพียงพอที่จะสร้างรถไฟฟ้าเส้นใหม่เพิ่มขึ้นทั้งระบบ”

ส่วนที่ดินที่ราคาแพงรองลงมาได้แก่ ด้านหลังสยามสแควร์ 1.6 ล้านบาท/ตารางวา, ไทม์สแควร์และนานา ถนนสุขุมวิท 1.5 ล้านบาท/ตารางวา, ถ.วิทยุ และ ศาลาแดง 1.4 ล้านบาท/ตารางวา, สีลม 1.35 ล้านบาท/ตารางวา และ ราชดำริ 1.3 ล้านบาท/ตารางวา

สำหรับราคาที่ดินย่าน กทม.และปริมณฑลที่ถูกที่สุดในขณะนี้อยู่บริเวณถนนเลียบคลอง 13 ลำลูกกา กิโลเมตรที่ 5 ซึ่งมีราคาตารางวาละ 2,500 บาท หรือไร่ละ 1 ล้านบาท โดยราคานี้ยืนมาเป็นเวลาประมาณ 10 ปีแล้ว ทั้งนี้ เพราะในเขตรอบนอกๆ ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ไม่มีโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นทางด่วน รถไฟฟ้า ดังนั้น ราคาที่ดินจึงเพิ่มขึ้นน้อย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4836

โพสต์

updated: 28 ม.ค. 2557 เวลา 13:37:57 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ทีวีดิจิทัลฝุ่นตลบ "ตีกัน" หน้าใหม่ จับตา "ช่อง 3-ช่อง 7" เปิดเกมป้องขุมทรัพย์ แกรมมี่วอน กสทช.ยืดสัมปทานอีก 2 ปี มีเดียเอเยนซี่คาดเม็ดเงินโฆษณาปีแรก แค่ 4.3 พันล้าน

ผลพวงจาก การให้ใบอนุญาตผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลอีก 24 ช่อง เมื่อรวมกับฟรีทีวีเดิม 6 ช่อง และโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมนับร้อยช่องที่แพร่ภาพอยู่ก่อนแล้ว กำลังส่งผลโดยตรงถึงการแข่งขัน ทั้งการผลิตรายการ การดึงตัวบุคลากรที่มีชั่วโมงบินสูง

ขณะเดียวกัน ยักษ์ใหญ่อย่างช่อง 3 และช่อง 7 ซึ่งครอบครองผู้ชมและเม็ดเงินโฆษณามากที่สุดใช้ความแข็งแกร่งที่มีอยู่เดิม ช่วงชิงความได้เปรียบให้ได้มากที่สุดมีเดียเอเยนซี่ผู้จัดสรรงบฯโฆษณาราย ใหญ่กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงความเคลื่อนไหวล่าสุด ว่า ช่อง 7 ได้มาพูดคุยรายละเอียดการขายโฆษณาบ้างแล้ว เบื้องต้นคาดว่าจะขาย "แพ็กคู่" ช่องวาไรตี้ HD ที่ได้มาใหม่+ช่อง 7 ในระบบเดิม แต่ยังไม่มีรายละเอียดราคา

ส่วนนายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก เอนเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ยืนยันว่า การออกอากาศทีวีดิจิทัลช่องใหม่มีรายละเอียดต้องดำเนินการอีกมาก โดยเฉพาะเครือข่ายการแพร่ภาพ จึงยังเร็วเกินไปที่จะเสนอแพ็กเกจโฆษณาให้กับมีเดียเอเยนซี่ต่าง ๆ

ช่อง 3 ได้ใบอนุญาตทีวีดิจิทัล รวม 3 ช่อง ได้แก่ ช่องวาไรตี้ ประเภทความคมชัดสูง (HD) ช่องวาไรตี้ ประเภทความคมชัดปกติ (SD) และช่องเด็กเยาวชนและครอบครัว รวมกับช่อง 3 ปัจจุบันที่ออกอากาศในระบบเดิม (แอนะล็อก) รวมทั้งหมด 4 ช่อง จากเดิมมีอยู่ช่องเดียว

แหล่งข่าวในวง การโทรทัศน์มองว่า การจัดแพ็กเกจขายลักษณะนี้มีเจตนาเพื่อรักษาฐานสปอนเซอร์ที่ลงโฆษณาเอาไว้ ไม่ให้กระเด็นไปอยู่ที่อื่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลรายใหม่ ๆ กำลังเฝ้าจับตาความเคลื่อนไหวของบรรดายักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะช่อง 3 และช่อง 7 อย่างใกล้ชิด เพราะเชื่อว่าทุกรายต้องการรักษาฐานคนดูและสปอนเซอร์เอาไว้ เนื่องจากเมื่อจำนวนช่องเพิ่มขึ้น มีตัวเลือกมากขึ้น และมีการแบ่งกลุ่มช่องอย่างชัดเจน อัตราโฆษณาโดยเฉลี่ยต้องลดลง เช่นเดียวกับมีเดียเอเยนซี่จะจัดสรรงบฯ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มคนดูของแต่ละช่องเป็นสำคัญ

การขายเป็น "แพ็กคู่" ระหว่างช่องที่ออกอากาศในระบบแอนะล็อกเดิมกับช่องดิจิทัลใหม่ ยังแก้โจทย์กระบวนการวัดเรตติ้งของช่องใหม่ ๆ ยังไม่เกิดขึ้น เมื่อไม่มีเรตติ้งวัดผล มีเดียเอเยนซี่จะไม่กล้าจัดสรรงบฯโฆษณา จึงต้องขายคู่กันไป

ขณะที่ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งประเมิน ว่า อัตราค่าโฆษณาทีวีดิจิทัลช่องใหม่ ๆ จะเหลือนาทีละ 30,000-50,000 บาท จากเดิมเป็นหลักแสน

"ถึงอย่างไรช่อง 3 และช่อง 7 ก็ยังมีความแข็งแกร่งมาก มีความพร้อมทุกด้าน และคงยึดครองผู้นำต่อไป"

โฆษณาปีแรก 4.3 พันล้าน

นาย รัฐกร สืบสุข หัวหน้ากลุ่มกลยุทธ์การค้าและการลงทุน กรุ๊ปเอ็ม ในฐานะกรรมการสมาคมมีเดียเอเยนซี่และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ช่วงแรก ๆ ผู้ชมยังเกาะกลุ่มรับชมอยู่ที่ช่อง 3 และ 7 ที่จะเกิดขึ้นต่อไป คือผู้ชมกระจายตัวมากขึ้น สร้างการรับรู้ในตัวรายการยากขึ้น สิ่งที่ผลักดันให้รายได้โฆษณาเพิ่มสูงขึ้น คือคอนเทนต์ต้องมีคุณภาพ สถานีต้องรู้จุดเด่นและตำแหน่งทางการตลาดของตัวเอง เพราะรายการที่เจาะกลุ่มแมสคงไม่สามารถสู้กับเจ้าตลาดสองรายใหญ่อย่างช่อง 3 และช่อง 7 ได้

ทั้งนี้ สมาคมมีเดียเอเยนซี่และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทยประเมินว่า การใช้เงินโฆษณาผ่านช่อง 3, 5, 7, 9 ในปี 2557 จะเติบโต 2% จาก 69,249 ล้านบาท เพิ่มเป็น 70,800 ล้านบาท ทีวีผ่านดาวเทียมลดลง 6% จาก 15,153 ล้านบาท เหลือ 14,200 ล้านบาท ส่วนทีวีดิจิทัลคาดว่าจะมีเม็ดเงินในปีแรก 4,300 ล้านบาท จากเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่ 50% ของประเทศ

ขาใหญ่ได้เลขช่องสมใจ

รายงาน ข่าวแจ้งว่า สำนักงานคณะกรรมกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เชิญผู้ชนะประมูลทีวีดิจิทัลทั้ง 24 ช่องให้เข้ามาเลือกลำดับช่องรายการในแต่ละหมวด ซึ่งบรรดายักษ์ใหญ่ได้หมายเลขช่องตามที่หมายตาไว้ อาทิ ช่อง 3 อยากได้ช่องที่ลงท้ายด้วยเลข 3 เพื่อให้พ้องกับช่องที่มีอยู่เดิม เริ่มจากช่องเด็ก เยาวชน และครอบครัว ช่อง 3 ได้ช่อง 13 อสมท ช่อง 14 ไทยทีวี (ทีวีพูล) ช่อง 15 ช่องข่าว TNN News ได้ช่อง 16 ทีวีพูล ช่อง 17 เดลินิวส์ ช่อง 18 สปริงนิวส์ ช่อง 19 ขณะที่ 3 เอ มาร์เก็ตติ้ง ได้ช่อง 20 วอยซ์ ทีวี ช่อง 21 และเนชั่น ช่อง 22 ช่องวาไรตี้ความคมชัดทั่วไป (SD) เวิร์คพอยท์ ช่อง 23 ทรู ช่อง 24 แกรมมี่ ช่อง 25 เนชั่น ช่อง 26 อาร์. เอส. เทเลวิชั่น ช่อง 27 บีอีซี-มัลติมีเดีย ช่อง 28 และโมโน บรอดคาซท์ (กลุ่มโพธารามิก) ช่อง 29

ส่วนช่องวาไรตี้ความคมชัดสูง (HD) อสมท ช่อง 30 แกรมมี่ช่อง 31 ไทยรัฐช่อง 32 บีอีซี-มัลติมีเดีย (ช่อง 3) ช่อง 33 อมรินทร์ ช่อง 34 กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ (ช่อง7) ช่อง 35 และบางกอกมีเดียแอนด์บรอดคาสติ้ง ช่อง 36

แกรมมี่ขอยืดสัมปทาน

นาย ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม เอชดี ดิจิทัล ทีวี จำกัด กล่าวว่า ค่อนข้างพอใจกับช่องที่ได้ เพราะจดจำง่าย โดยในส่วนช่อง SD อยู่ระหว่างตั้งชื่อใหม่ ทั้งนี้ บริษัทค่อนข้างมีความพร้อม เพราะเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม เจ้าของช่องทีวีดาวเทียม และมีประสบการณ์มากว่า 30 ปี

ส่วนตัวมองว่า กสทช.ยังไม่พร้อมหลายด้าน 1.โครงข่ายที่จะใช้เวลาถึง 4 ปี 2.กฎ Must Carry ซึ่งต้องใช้ทีวีดาวเทียมสนับสนุนยังไม่พร้อมเต็มที่ และ 3.การแจกคูปองส่วนลดซื้อกล่องและโทรทัศน์เครื่องใหม่ ใช้ระยะเวลา 2-3 ปี 4.ยังไม่มีการวัดเรตติ้ง 5.สถานการณ์บ้านเมือง

หาก กสทช.เลื่อนระยะเวลานับเริ่มต้นของใบอนุญาตออกไปอีก 2 ปี น่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการได้มีเวลาทดลองระบบ ซึ่ง กสทช.จะรับไปพิจารณา แต่เบื้องต้นระบุว่ายังติดในแง่ของกฎหมาย

"เราประมูลสูงขนาดนี้ ก็ต้องการให้คนไทยรับชมได้อย่างรวดเร็ว และทั่วทุกครัวเรือน ส่วนตัวเลขการประมูล ถือว่าแพงมาก คือรวมกันกว่าห้าหมื่นล้าน เมื่อ กสทช.ยังไม่มีความพร้อม อยากให้ กสทช.เลื่อนระยะเวลาเริ่มต้นใบอนุญาตออกไปอีก 2 ปี" นายไพบูลย์กล่าว
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4837

โพสต์

แวะมาติดต่ามข่าวสารที่เป็นประโยชน์เป็นประจำ
และยังมีเพลงเพราะๆ ความหมายดีๆ อีกด้วย

ขอบคุณพี่หมอมุขมากค่ะ :wink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4838

โพสต์

theenuch เขียน:แวะมาติดต่ามข่าวสารที่เป็นประโยชน์เป็นประจำ
และยังมีเพลงเพราะๆ ความหมายดีๆ อีกด้วย

ขอบคุณพี่หมอมุขมากค่ะ :wink:
ขอบคุณมากครับ คุณนุช

ผมก็สนุก มีความสุขที่มาเล่าเรื่องราวในนี้ครับ และก็ทำการบ้านโดยเอาความรู้และข้อมูลต่างๆมาแปะไว้ด้วยครับ เวลามาดูย้อนหลังจะได้ข้อมูลจากที่เดียวเลยครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4839

โพสต์

สำรวจ ยอดขายปี"56 บิ๊กแบรนด์อสังหาฯ 10 บริษัท กวาดตัวเลขรวมกว่า 2.25 แสนล้าน หลุดเป้าทั้งปี 2.38 แสนล้านอยู่ที่ 5.4% "แสนสิริ-ศุภาลัย-เอพีฯ-เพอร์เฟค-เอสซีฯ-โนเบิลฯ" เจอปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่ง-ม็อบการเมืองกระหน่ำ เร่งยอดไม่ขึ้น กอดคอกันพลาดเป้า ด้านเจ้าตลาดทาวน์เฮาส์ "พฤกษาฯ" และ "แอล.พี.เอ็น.ฯ" เจ้าตลาดคอนโดฯชนชั้นกลาง เซอร์ไพรส์ปิดตัวเลขสูงกว่าคาด "แลนด์ฯ-คิวเฮ้าส์" ได้ตามแผน ส่วนปี"57 หลายค่ายไม่หวังสูง ขอยอดขายโตเฉลี่ย 10%



ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สำรวจยอดขาย ณ สิ้นปี 2556 ของบริษัทพัฒนาที่ดินมหาชน 10 บริษัท ได้แก่ พฤกษา เรียลเอสเตท, แสนสิริ, แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, ศุภาลัย, เอพี (ไทยแลนด์), ควอลิตี้เฮ้าส์ (คิวเฮ้าส์), แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์, พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (เอสซี) และโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ พบว่าปิดยอดขาย ณ สิ้นปีรวมกัน 2.25 แสนล้านบาท จากเป้าหมายรวม 2.38 แสนล้านบาท หลุดเป้า 5.4%

6 บิ๊กแบรนด์เร่งยอดไม่ขึ้น

ทั้งนี้เมื่อพิจารณายอดขายเป็นรายบริษัทพบว่า ส่วนใหญ่มียอดขายต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ช่วงต้นปี 2556 ได้แก่ 1) บมจ.แสนสิริ มียอดขาย 4.3 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเป้าหมายต้นปี 4.8 หมื่นล้านบาท 5.8 พันล้านบาท หรือ 12% 2) บมจ.ศุภาลัย มียอดขายกว่า 1.9 หมื่นล้านบาท ลดจากเป้าหมาย 2.2 หมื่นล้านบาท กว่า 2 พันล้าน หรือกว่า 11%

3) บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) มียอดขายกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเป้า 2.2 หมื่นล้านบาท กว่า 4 พันล้านบาท หรือ 21% 4) บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มียอดขาย 1.1 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเป้า 1.9 หมื่นล้านบาท 8 พันล้านบาท หรือ 40% 5) บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น มียอดขาย 1.4 หมื่นล้านบาท ลดจากเป้า 1.5 หมื่นล้านบาท ประมาณ 1 พันล้านบาท หรือ 5% และ 6) โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ มียอดขาย 7 พันล้านบาท ลดจากเป้า 8 พันล้านบาท ประมาณ 1 พันล้านบาท หรือประมาณ 12%

ขณะที่ บมจ.พฤกษาฯ เจ้าตลาดทาวน์เฮาส์ และ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ฯ เจ้าตลาดคอนโดฯระดับกลาง เป็น 2 บริษัทที่ทำยอดขายสูงกว่าเป้า 18% และ 21.5% ตามลำดับ ส่วน บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ทำยอดขายเกินจากเป้าที่ตั้งไว้ 3 หมื่นล้านบาท อยู่ 200 ล้านบาท สามารถทำยอดขายได้ 3.02 หมื่นล้านบาท ด้านบมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ ทำยอดขายได้ตามเป้า 2 หมื่นล้านบาท

พิษการเมืองทำยอดขายร่วง

นายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปัจจัยที่ทำให้บริษัทมียอดขายปี 2556 ต่ำกว่าเป้าหมายที่ประกาศไว้เมื่อต้นปี เพราะครึ่งปีหลังได้รับผลกระทบจากหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น และปัญหาการเมืองในช่วง 2 เดือนสุดท้าย ทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้ออสังหาฯ เนื่องจากไม่มั่นใจในสถานการณ์บ้านเมืองและการเดินทางไม่สะดวก ส่วนยอดรับรู้รายได้ทั้งปีคาดว่าจะใกล้เคียงประมาณการ 1.35 หมื่นล้านบาท

ส่วนปี 2557 ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 10% หรือเกือบ 2.2 หมื่นล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 1.9-2 หมื่นล้านบาท เติบโตกว่า 40% เนื่องจากปีนี้มียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก) แล้วประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท จากแบ็กล็อกสะสมกว่า 30,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากการชุมนุมของม็อบยังยืดเยื้อถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม อาจกระทบกับเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้

นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต รองประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเผยว่า ปี 2556 บริษัทมียอดขาย 1.1 หมื่นล้านบาท จากช่วงต้นปีตั้งเป้า 1.9 หมื่นล้านบาท เนื่องจากแคมเปญบ้าน-คอนโดฯที่เตรียมไว้ช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากการเมือง จึงทำยอดขาย 2 เดือนได้ 3 พันล้านบาท ต่ำกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ยอดรับรู้รายได้จะต่ำกว่าประมาณการ 1.3 หมื่นล้านบาท ส่วนปี 2557 จะเปิดโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่าขายรวม 1.7-1.8 หมื่นล้านบาท และคาดการณ์ยอดขายเติบโต 15%

SC เล็งทบทวนแผนธุรกิจใหม่

แหล่งข่าวจาก บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า มียอดขายปีที่ผ่านมา 1.4 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าเป้า 3-5% แต่ก็พอใจเพราะตั้งเป้าเติบโตไว้สูง ขณะที่ปี 2557 ตั้งเป้ายอดขายทรงตัว จะเน้นยอดรับรู้รายได้เติบโต 15-20% หรือ 1.15-1.2 หมื่นล้านบาท

สำหรับสถานการณ์ช่วง 2 สัปดาห์แรกปีนี้ หลังจากชัตดาวน์กรุงเทพฯ เอสซีฯมียอดขายกว่า 300 ล้านบาท ถึงแม้ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อยแต่ก็พอใจ คาดว่าตลอดทั้งเดือนจะมียอดขายกว่า 700 ล้านบาท แต่สิ่งที่กังวลคือหากม็อบชุมนุมยืดเยื้อไปอีก 1-2 เดือน บริษัทอาจต้องทบทวนแผนธุรกิจปี 2557 ใหม่ จากแผนปัจจุบันจะเปิดโครงการใหม่ 6-7 โปรเจ็กต์ มูลค่าขายรวม 1 หมื่นล้านบาท

4 บิ๊กแบรนด์ลอยตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในส่วนของ บมจ.แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ ในปี 2556 เปิดตัวห้องชุด 10-11 โครงการ มูลค่าขายรวม 1.9 หมื่นล้านบาท ทำยอดขายได้ 2.43 หมื่นล้านบาท จากเป้า 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปีนี้จะเปิดอีก 10 โครงการ มูลค่าขาย 2.1-2.2 หมื่นล้านบาท

ส่วน บมจ.พฤกษาฯ ปีที่ผ่านมาปิดยอดขาย 41,282 ล้านบาท จากเป้า 3.5 หมื่นล้านบาท ส่วนปี 2557 ตั้งเป้ายอดขาย 4.1-4.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 5-10% เพราะไม่มั่นใจการเมือง ส่วน บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ ทำยอดขายได้ตามประมาณการคือ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 15%
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4840

โพสต์

รวมทั้งข้อมูลนี้ด้วยครับ แปะเอาไว้ให้พวกเราได้อ่าน ตัวอย่างของนักลงทุนที่ดีของ Thai VI เราครับ
'พอเพียง' หลักคิดลงทุน 'วราพรรณ วงศ์สารคาม'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

Monday, January 27, 2014 06:56

เราควรให้ความสำคัญกับ "จังหวะการเข้าซื้อหุ้น"และ "จิตวิทยามวลชน" ส่วนตัวใช้มาตั้งแต่วันแรกในการลงทุนจนถึงปัจจุบัน

หากทุกคนสามารถนำหลักธรรมประจำใจอย่าง "พรหมวิหาร 4" "เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา" มาปรับใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันได้ "ใจคงเป็นสุข" "วราพรรณ วงศ์สารคาม" แม่บ้านนักลงทุนวีไอวัย 43 ปี ผู้นำหลักธรรมะมาปรับใช้ในชีวิตการลงทุน เธอไม่หวังผลตอบแทน "มหาศาล" ขอแค่สมำเสมอทุกปี จากนีขอยึดหลัก "อนุรักษนิยม" เพราะนันคือ หนทางแห่ง "ความสุขใจ"

"วราพรรณ วงศ์สารคาม" แม่บ้านนักลงทุนวีไอ วัย 43 ปี ผู้นำหลักธรรมะมาปรับใช้ในชีวิตการลงทุน เธอไม่หวังผลตอบแทน "มหาศาล" ขอแค่สม่ำเสมอทุกปี จากนี้ขอยึดหลัก "อนุรักษนิยม" เพราะนั่นคือ หนทางแห่ง "ความสุขใจ"

หากทุกคนสามารถนำหลักธรรมประจำใจอย่าง "พรหมวิหาร 4" ประกอบด้วย "เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา"มาปรับใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันได้ "ใจคงเป็นสุข" เราไม่จำเป็นต้องนำหลักธรรมทั้ง 4 ข้อมาปฏิบัติ ขอเพียงนำหลัก "มุทิตา" (ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข) มาใช้เพียงข้อเดียวเท่านี้ชีวิตเราก็ประสบความสำเร็จแล้ว "นุชวราพรรณ วงศ์สารคาม" นักลงทุนแนววีไอ กล่าวทักทาย"กรุงเทพธุรกิจ Biz Week"

ด้วยการถ่ายทอดคติธรรมสอนใจประจำตัวได้ยินแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราเข้าวัดนั่งสมาธิทุกวันนะ แต่ซึมซับหลักธรรมะมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ทุกครั้งที่เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันมีชีวิตลำบากทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตคนเราไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าความสุขแม้ตลอดชีวิตจะอยู่อย่างสุขสบาย แต่ยังคงใช้เงินอย่างรู้คุณค่า เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ไม่เคยซื้อแพงๆ ซื้อแค่พอใส่ได้ หลักธรรมะง่ายๆเหล่านี้นำมาใช้ในการลงทุนในตลาดหุ้นได้นะ

ความคิดเรื่องการใช้เงินของ "นุช" คล้ายๆ กับ "โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง" นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เจ้าของนามแฝง "โจ ลูกอีสาน" ในเว็บไซต์ Thaivi.com เธอบอกว่า ครั้งหนึ่งเคยเข้าไปอ่านบทความของคุณโจ เรื่องการประหยัด" แกเห็นคุณค่าของเงินทุก บาททุกสตางค์ คุณโจจะไม่นำเงินไปทำอะไรหรือลงทุนอะไรเสี่ยงๆ ฉะนั้นก่อนทำอะไรต้องศึกษาข้อมูลให้ดี

เธอบอกว่า ส่วนตัวเป็นคนเก็บเงินเก่งมาก ไม่ได้งกนะ (หัวเราะ) นิสัยรักการออมมีมาตั้งแต่วัยเยาว์ เราเห็นพ่อ-แม่ ใช้เงินประหยัดมากๆ (ยิ้ม) ขณะที่ "อาม่า" ที่เดินทางมาจากเมืองจีน โดยมีเพียงเสื่อผืนหมอนใบ ทำให้เรารู้จักเก็บเงินเข้าธนาคารออมสินมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ โรงเรียนอยู่ใกล้บ้านไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ "บิสวีค" ได้รับการแนะนำให้รู้จัก "นุชวราพรรณ" จาก "โจ ลูกอีสาน"

ผู้หญิงคนนี้แม้จะลงทุนไม่นานแค่ 4 ปี แต่เขาถือเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ลองคุยดูนะ" ประโยคเชื้อเชิญของ "โจ-อนุรักษ์""หญิงวัย 43 ปี" เจ้าของนามแฝง Theenut ในเว็บไซต์ Thaivi.com ย้อนประวัติชีวิตให้ฟังว่า พื้นเพเป็นคนจังหวัดอ่างทอง เราเป็นลูกสาวคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้อง 3 คน คุณพ่อคุณแม่ยึดอาชีพครูชั้นประถมหาเลี้ยงลูกๆ

หลังเรียนจบชั้นประถมศึกษาตอนปลายครอบครัวส่งเรามาอาศัยกับญาติ เพื่อให้เรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ณ โรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เรียนถึงแค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็ย้ายกลับไปเรียนต่อที่จังหวัดอ่างทอง ด้วยการสอบชิงทุน ก่อนจะมาศึกษาต่อในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีศรีธัญญา จังหวัดนนทบุรี
เริ่มทำงานแห่งแรกในสถานีอนามัย อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง จากนั้นย้ายไปทำงานใช้ทุนการศึกษาประมาณ 4 ปี ณ สาธารณสุขชุมชน (หมออนามัย) ตอนนั้นได้เงินแค่เดือน 2,800 บาท ระหว่างทำงานใช้ทุนพยาบาล มีโอกาสได้เรียนต่อคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาสุขศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 ปี

เมื่อเรียนจบก็สอบเปลี่ยนตำแหน่งเป็นนักวิชาการสาธารณสุข และเข้ามาทำงานที่กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพ ตั้งแต่ปี 2537-2545 จากนั้นไปเรียนต่อปริญญาโท สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (มศว.) เรียนรุ่นเดียวกับ "อ้อม-สุนิสา สุขบุญสังข์" นักจัดรายการวิทยุ และพิธีกร เรานั่งเรียนข้างกัน เธอ บอก

ด้วยความที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนทำงานเป็นนักวิชาการสาธารณสุข เคยอยากย้ายตัวเองไปทำงานเกี่ยวกับสังคมสงเคราะห์บนดอย แต่ "พ่อ" บอกว่า ไม่จำเป็นหากเรามีจิตใจอยากช่วยเหลือคนอยู่ที่ไหนก็ช่วยได้

จากนั้นตัดสินใจไปทำงานที่เทศบาลรังสิต จังหวัดปทุมธานี ประมาณ 5 ปี ก่อนจะย้ายไปทำตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำอยู่ 4 ปี ย้ายงานอีกครั้ง คราวนี้มาทำงานในโรงพยาบาล ศูนย์มหาวชิราลงกรณ์ ธัญบุรี ตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข ซึ่งเป็นที่ทำงานอยู่ในปัจจุบัน

ถามถึง "จุดเริ่มต้น" ของการลงทุนในตลาดหุ้นเธอบอกว่า จริงๆลงทุนครั้งแรกด้วยการซื้อคอนโดมิเนียม แถวมหาวิทยาลัยบูรพา ถือเป็นการลงทุนแบบไม่ตั้งใจ บังเอิญมีคนจะขายคอนโดมิเนียม เพราะเขาร้อนเงิน เราจึงตัดสินใจซื้อ เพื่อปล่อยให้นักศึกษาเช่าเดือนละ 3,000 กว่าบาท ซื้อมาในราคา 385,000 บาท พื้นที่ประมาณ 28 ตารางเมตร

ด้วยความที่เป็นคนชอบทำความสะอาดและดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง ขณะที่คอนโดมิเนียมอยู่ไกลมากไปทุกวันคงไม่ไหวจึงตัดใจขายทิ้งในราคา 450,000 บาท ได้กำไรมานิดหน่อย จากนั้นเรานำเงินที่ได้จากการขายคอนโดมิเนียมมาลงทุนในตลาดหุ้นต่อ ด้วยการเปิดพอร์ตลงทุนกับบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) "เวลาจะทำอะไรสักอย่างไม่ชอบถามใคร ชอบอ่าน และหาข้อมูลเอง ถามว่า หาความรู้จากไหนตามเว็บไซต์ทั่วไป หรืออ่านหนังสือ"

ก่อนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นปี 2553 มีโอกาสได้ศึกษาหาข้อมูลต่างๆ ด้วยการอ่านหนังสือ "ตีแตก" ของ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" หนังสือ "ออมเงินให้ได้เป็นล้าน" และอ่านบทความต่างๆตามเว็บไซต์ "ไทยวีไอ" และ เว็บไซต์พันทิป

"นุช" นิยามให้ตัวเองเป็น "นักลงทุนวีไอบ้านๆ" เธอบอกว่า ระหว่างที่อ่านหนังสือไปเรื่อยๆ บังเอิญไปเจอหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก"ของ "โรเบิร์ต คิโยซากิ" เมื่ออ่านจบพร้อมพิจารณาตามทำให้พบว่า หากทำตามผู้เขียนแนะนำน่าจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะครอบครัวของเราอยู่ในสายงานที่มีสามีทำงานเป็นพนักงานเอกชน ขณะที่เราเป็นข้าราชการ ฉะนั้นหากวันใดบริษัทเอกชนปิดกิจการ พนักงานถูกเลิกจ้าง ครอบครัวเราคงแย่ เพราะรายได้หลักมาจากงานของ "สามี"

เมื่อเป็นอย่างนั้นจึงเกิดความคิดว่า ต้องลงทุนอะไรสักอย่างที่ให้ "ผลตอบแทนกลับคืนมา"ครั้นจะไปทำธุรกิจส่วนตัวก็ไม่มีความรู้ไม่ถนัด ฉะนั้นจึงลองลงทุนในตลาดหุ้น จริงๆ เข้ามาลงทุนไม่ได้หวังว่า จะมีผลตอบแทนงอกเงยมากมาย หวังแค่ "เงินปันผล" ที่ มากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร ช่วงนั้นดอกเบี้ยแบงก์อยู่ระดับ 4-5 เปอร์เซ็นต์ ก่อนจะปรับลดลงเหลือ 2-3 เปอร์เซ็นต์

"หุ้นตัวแรกที่ตัดสินใจซื้อ" คือ หุ้น ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี หรือ STA และ หุ้น ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) หรือ TRUBB ถามว่าทำไมถึงสนใจหุ้น 2 ตัวนี้? ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า "กรุณาอย่าทำตาม คุณอาจตายแบบฝังกลบได้" เธอเตือนเหตุผลที่เลือกซื้อหุ้น ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี เพราะไปอ่านเจอในเว็บไซต์แห่งหนึ่งว่าหุ้นตัวนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จากหุ้นละ 5 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท ในเว็บไซต์ยังบอกอีกว่า เจ้ามือกำลังจะไล่ราคา!!
ตอนนั้นช้อนที่ระดับ 60 บาทต่อหุ้น ซื้อไม่นานราคาหุ้นถูกไล่ราคาขึ้นไปถึง 100 กว่าบาท ใช้เวลาเพียง 3-4 เดือนเท่านั้น ตอนนั้นธุรกิจยางพาราดีมาก ยางมีราคาสูงเวอร์ ขณะที่บริษัทยังส่งออกไปขายในเมืองจีนด้วย ดูภาพรวมๆธุรกิจน่าจะเติบโตต่อเนื่อง

หลังจากนั้นไม่นานเราไปอ่านเจอในเว็บไซต์อีกว่า จะมีนักลงทุนจำนวนหนึ่งขายหุ้นออกมาหลังบริษัทแตกพาร์ ขณะที่มีอีกฝ่ายบอกว่า อย่าเพิ่งขายหุ้นหลังแตกพาร์ เพราะราคาหุ้นจะขึ้นไปอีก สุดท้ายตัดสินใจขายหุ้นในราคา 20 กว่าบาท ราคาพาร์ใหม่ แต่ถ้าเป็นราคาพาร์เดิมราคาน่าจะอยู่ระดับ 100 กว่าบาท ส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนกลับมาค่อนข้างเยอะ

ส่วนสาเหตุที่ช้อนหุ้น ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น พฤติกรรมจะคล้ายๆ กัน นั่นคือ อ่านเจอข่าวในเว็บไซต์แห่งหนึ่งว่า บริษัทจะมีการจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นในอัตรา 4 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล หุ้นตัวนี้จำต้นทุนที่ซื้อมาไม่ได้ แต่ถือนานพอสมควร เราขายหุ้นแม่ออกไปก่อน เมื่อราคาหุ้นปันผลปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็ขายออกไปจนหมด ทำให้ได้รับผลตอบแทนกลับมาพอสมควร
เชื่อหรือไม่!!ช่วงแรกๆ ของการลงทุนชีวิตแทบไม่มีความสุขเลย นั่งไม่ติดเก้าอี้ต้องคอยเช็คข่าวตลอดเวลาว่า มีข่าวอะไรออกมาหรือไม่ หลายคนอาจสงสัยทำไมช่วงแรกของการลงทุนถึงไม่ขาดทุน นั่นเป็นเพราะเราเข้าไปซื้อตอนตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้น หลังเพิ่งผ่านวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551 มาใหม่ๆ ไม่เช่นนั้นพอร์ตลงทุนคงติดลบ

"ควรให้ความสำคัญกับ "จังหวะการเข้าซื้อหุ้น" และ "จิตวิทยามวลชน" เราใช้มาตั้งแต่วันแรกของการลงทุนจนถึงปัจจุบัน"

เธอ บอกว่า ระหว่างการลงทุนยังคงศึกษาหาความรู้จากการอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ ช่วงนั้นเกิดความรู้สึกไม่อยากเป็นนักลงทุนที่มีแต่ความกระวนกระวายใจ ต้องคอยนั่งตามข่าว คิดได้เช่นนั้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการลงทุน ด้วยการหันมาลงทุนในหุ้นพื้นฐานที่ดี เพื่อถือลงทุนระยะยาว
ปัจจุบันมีหุ้น 3 ตัว แต่หลักๆจะมีแค่ 2 ตัว สัดส่วนเงินลงทุนประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือจะเก็บไว้เป็นเงินสดรอจังหวะช้อนหุ้นดีๆในช่วงราคาถูกๆ เธอเล่าถึงหุ้นตัวแรกให้ฟังว่า เป็น "กลุ่มค้าปลีก" เลือกหุ้นตัวนี้ เพราะดูงบการเงินย้อนหลัง 3-5 ปีก่อนเขาเติบโตตลอด แถมมีหนี้สินน้อยนิด

เขาเป็นผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจด้วยเงินสด มีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นทุกปี เรารู้สึกว่า หุ้นลักษณะนี้มี "ความปลอดภัย" ไม่ต้องคอยนั่งตามข่าว เธอย้ำ ที่สำคัญเวลาบริษัทแถลงแผนธุรกิจเขาสามารถทำได้จริง

ส่วนหุ้นตัวที่สองเป็น "กลุ่มสื่อสาร" เลือกลงทุนเพราะเขาจ่ายเงินปันผลในอัตราสูงเฉลี่ย 7 เปอร์เซ็นต์ แถมสม่ำเสมอทุกปี ในอนาคตอาจจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงขึ้นไปอีก เนื่องจากบริษัทมีค่าสัมปทานลดลงบนคลื่นความถี่ใหม่ 3G และเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการเติบโตสูงตลอด เขาทำธุรกิจที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องใช้ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีก็ตาม นั่นคือ ข้อได้เปรียบของเขา
ก่อนจะซื้อหุ้น 1 ตัว มักดูงบการเงินย้อนหลัง 3-5 ปี โดยต้องเติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทต้องมีการจ่ายเงินปันผลเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ส่วนตัวชอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการ "อุปโภค-บริโภค" ภายในประเทศ เพราะว่าไม่มี "ความเสี่ยง" เกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนจากค่าเงินบาท รวมทั้งไม่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในต่างประเทศ หุ้นประเภทนี้มักมีกำไรขั้นต้นดี และมีอำนาจต่อรองกับคู่ค้าสูง

"เราลงทุนในตลาดหุ้นหวังเพียงมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนประจำ เพื่อรองรับชีวิตวัยเกษียณ จากนี้จะขอยึดหลักลงทุนแบบ "อนุรักษ์นิยม" ไม่จำเป็นต้องมีกำไรมากมาย ขอแค่ทำทุกวันให้ดี เมื่อเหตุดี ผลที่ดีจะตามมา ก่อนจะลงทุนในหุ้นพื้นฐานสักตัวควรศึกษาหาความรู้ให้ดีก่อน อย่าคิดแค่ว่า ทุกแห่งที่คุณเข้าไปแล้วจะสามารถหยิบอะไรกลับมาง่ายๆ" "นักลงทุนวีไอบ้านๆ" ทิ้งแง่คิดให้เม่าน้อยพิจารณาตาม--จบ--

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4841

โพสต์

Paul VI เขียน:รวมทั้งข้อมูลนี้ด้วยครับ แปะเอาไว้ให้พวกเราได้อ่าน ตัวอย่างของนักลงทุนที่ดีของ Thai VI เราครับ
'พอเพียง' หลักคิดลงทุน 'วราพรรณ วงศ์สารคาม'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
แวะมาอ่านเหมือนเคย...เจออันนี้...เขินจัง :oops:
ขอบคุณมากค่ะพี่หมอมุข ^_*
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4842

โพสต์

theenuch เขียน:
Paul VI เขียน:รวมทั้งข้อมูลนี้ด้วยครับ แปะเอาไว้ให้พวกเราได้อ่าน ตัวอย่างของนักลงทุนที่ดีของ Thai VI เราครับ
'พอเพียง' หลักคิดลงทุน 'วราพรรณ วงศ์สารคาม'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
แวะมาอ่านเหมือนเคย...เจออันนี้...เขินจัง :oops:
ขอบคุณมากค่ะพี่หมอมุข ^_*
ฝึกไว้ครับ ฝึกเป็นเซเลบ ครับ :mrgreen:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4843

โพสต์

ขอแปะ ความรู้เรื่องเส้นทางการเรียนของสายการเงินนะครับ

เผื่อมีน้องที่เป็นนักศึกษาหรือที่กำลังอยากเรียนเส้นทางการเงินนี้ได้รู้ว่าจะไปทางไหน

( รวมทั้งลูกสาวผมด้วย อิอิ)

เครดิตจาก พี่วิวรรณครับ
เส้นทางอาชีพของนักการเงิน

เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทางคณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือที่เรียกกันย่อๆว่า นิด้า (NIDA) ได้จัดการเสวนาเส้นทางอาชีพของนักการเงิน ซึ่งจะทำการออกอากาศในรายการ Money Talk ด้วย ดิฉันเห็นว่าหัวข้อนี้มีประโยชน์ จึงขอนำมาเขียนไว้ในสัปดาห์นี้


คนที่เรียนบริหารธุรกิจและมีวิชาเอกคือวิชาการเงิน สามารถเลือกเส้นทางอาชีพสายตรงได้ 4 สายหลักๆ คือ สายการธนาคาร (Banking) การเงินของบริษัท (Corporate Finance) สายหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจ (Securities and Investment Banking) และสายจัดการลงทุน (Fund Management)


สายการธนาคาร เป็นสายที่นักการเงินคุ้นเคยมากที่สุด และเป็นสายงานที่เก่าแก่ที่สุด สมัยที่ดิฉันอยู่ต่างจังหวัด ใครได้ทำงานธนาคารถือว่าโก้สุดๆ ได้สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกเนกไท ได้นั่งทำงานในสถานที่ที่โอ่โถง ภูมิฐาน และไปพบลูกค้าลูกค้าก็จะต้อนรับทักทายปราศรัยด้วยเป็นอย่างดี สายนี้จะเน้นหน้าที่หลักคือปล่อยสินเชื่อ ซึ่งประกอบด้วยการวิเคราะห์เครดิต การวิเคราะห์ธุรกิจและโครงการ รวมถึงการจัดวงเงินสินเชื่อที่เหมาะสมกับธุรกิจของลูกค้า ผู้ทำหน้าที่นี้อาจเรียนจบเศรษฐศาสตร์แล้วมาฝึกฝนเรียนรู้ในงานก็ได้


นอกจากการปล่อยสินเชื่อแล้ว อีกหน้าที่หนึ่งที่ต้องอาศัยผู้มีความรู้ทางด้านการเงินคือ สายบริหารเงิน ทั้งสกุลเงินบาทและสกุลต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการเป็นดีลเลอร์ และเทรดเดอร์ด้วย กลุ่มนี้จะต้องคิดเร็ว ตัดสินใจเร็ว เพราะมีโอกาสทำกำไร หรือทำให้ขาดทุนได้ ส่วนใหญ่ผู้ทำงานด้านนี้มักจะมีทักษะทางคณิตศาสตร์ดีมาก และในระยะ 30 ปีที่ผ่านมา นิยมรับผู้จบปริญญาโททางการเงิน ที่มีพื้นฐานปริญญาตรีทางวิศวกรรม สันนิษฐานว่า เกิดจากการที่ธนาคารกสิกรไทยส่งนักเรียนทุนที่จบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ ไปเรียนปริญญาโททางด้านการเงิน แล้วกลับมาทำงานบริหารเงินได้ดี


คนอาจจะสงสัยว่า หน้าที่อื่นๆ เช่น หาเงินฝากหรือดูแลด้านอื่นๆ ในธนาคาร ไม่จำเป็นต้องจบการเงินหรือไฉน ก็ต้องขอตอบตามที่สังเกตมาว่า เจ้าหน้าที่ที่ดูแลด้านอื่นๆ นั้น อาจจะจบทางด้านเศรษฐศาสตร์ บัญชีการตลาด กฎหมาย หรือทางด้านสังคมศาสตร์อื่นๆ ก็ได้ค่ะ


การเงินของบริษัท คือผู้ที่ทำหน้าที่กระเป๋าเงินให้กับองค์กรธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่แสวงหาผลกำไร หรือไม่แสวงหาผลกำไร หน้าที่ก็มีตั้งแต่จัดหาเงินมาใช้ในการดำเนินกิจการ ซึ่งมีทางเลือกหลักๆ คือ ใช้ส่วนของทุน (Equity) ใช้เงินกู้ยืม (Debt) หรือใช้เครดิตทางการค้า (Supplier’s Credit) ส่วนที่ใช้ตราสารใหม่ๆ ก็จะแทรกอยู่ในหมวดหลักๆ เหล่านี้ทั้งนั้นค่ะ เช่น หุ้นกู้แปลงสภาพ ก็เป็นตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) ก็เป็นอนุพันธ์ของตราสารทุน เป็นต้น


นอกจากการจัดหาเงินแล้วก็ต้องดูแลการใช้เงิน และจ่ายเงิน เช่น การซื้อวัตถุดิบ การควบคุมจำนวนสินค้าระหว่างผลิต การควบคุมลูกหนี้การค้าในกรณีที่มีการให้เทอมเครดิตกับผู้ซื้อ และการจัดเก็บหนี้ให้มีประสิทธิภาพ


ผู้ทำหน้าที่ดูแลการเงินของบริษัท ถ้าเป็นในสมัยก่อนที่เป็นธุรกิจครอบครัว ก็อาจจะเป็นเถ้าแก่เนี้ย คือภรรยาของเจ้าของกิจการดูแลเอง สมัยนี้ตำแหน่งสูงสุดก็เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารทางการเงิน (Chief Financial Officer) ซึ่งในหลายๆ องค์กรก็เป็นผู้หญิง ตำแหน่งทางการเงินนี้ มักจะเป็นตำแหน่งที่เป็นหมายเลขสองขององค์กร เพราะเป็นผู้กุมกระเป๋าเงินค่ะ


สายหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจ ในยุคใดที่ตลาดหุ้นรุ่งเรือง ผู้ทำงานในสายนี้จะเป็นมนุษย์ทองคำกันเลยทีเดียว ได้โบนัสกันเป็นจำนวนเดือนที่เป็นเลขสองหลัก ทำให้สายนี้ดึงดูดผู้คนเข้ามาทำงานกันมากมายในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่ชีวิตมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ยามตลาดซบเซาก็ได้รับซองขาวให้จากไปเพื่อลดค่าใช้จ่ายของบริษัทเช่นกัน


ส่วนใหญ่ผู้ที่เรียนจบด้านการเงินจะเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ (Securities Analyst) และเป็นวาณิชธนากร (Investment Banker) หน้าที่ของวาณิชธนากรนี่กว้างมากเช่นกัน ทำได้ตั้งแต่ให้คำแนะนำแก่ลูกค้าในการจัดโครงสร้างทางการเงิน หรือทำหน้าที่ด้าน Corporate Finance เนื่องจากบริษัทบางแห่งจะมีขนาดใหญ่โต มีความต้องการทางการเงินหลากหลาย ผู้ทำหน้าที่ดูแลการเงินของบริษัทในสายงานกลุ่มที่สองที่กล่าวถึงเบื้องต้น อาจไม่สามารถดูแล ตัดสินใจได้ ต้องอาศัยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ


วาณิชธนากรยังให้คำปรึกษาในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และนำหุ้นออกเสนอขายให้กับประชาชน (IPO) โดยจะช่วยทำเอกสาร ช่วยประเมินมูลค่าหุ้น ช่วยนำเสนอต่อผู้ลงทุน และอาจจะช่วยดูแลหุ้นหลังจากเข้าไปทำการซื้อขายในตลาดแล้วสักระยะหนึ่ง และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการและการควบรวมกิจการอีกด้วย


สายจัดการลงทุน แต่เดิมการจัดการลงทุนเป็นหน่วยงานหนึ่งขององค์กรที่มีเงินเหลือ เช่น ธนาคารพาณิชย์ โดยธนาคารจะบริหารสภาพคล่องส่วนเกิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสายบริหารเงิน และในบางครั้งก็อาจมีการพิจารณาลงทุนในบริษัทต่างๆ บ้างเมื่อมีผู้เสนอให้ลงทุน นอกจากนี้ กลุ่มจัดการลงทุนนี้ ยังทำหน้าที่อยู่ในสถาบันต่างๆ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สำนักงานประกันสังคม บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันภัย มหาวิทยาลัย องค์กรเพื่อการกุศล และบริษัทหรือบุคคลต่างๆ ที่มีเงินให้บริหารจัดการ เพื่อหารายได้จากการลงทุน กลุ่มนี้จะเป็นการบริหารเงินลงทุนเพื่อองค์กร (Proprietary Investment)


สายการจัดการลงทุนเพื่อบุคคลอื่นนั้น เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากทางการได้เพิ่มใบอนุญาตจัดการลงทุน จากเดิมที่มีเพียง 1 บริษัท เป็น 8 บริษัท จดกระทั่งในปัจจุบันมีบริษัทที่ประกอบธุรกิจจัดการลงทุน ทั้งกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวม 30 บริษัท ถือว่าไม่น้อยทีเดียว


งานของนักการเงินในสายจัดการลงทุนนี้ จะเป็นงานวิเคราะห์อุตสาหกรรมและวิเคราะห์หลักทรัพย์ และที่คนมองว่าเป็นหัวใจคือ การจัดการลงทุน จริงๆ แล้วต้องทำงานเป็นทีมค่ะ การวิเคราะห์ก็มีความสำคัญมาก หากวิเคราะห์ไม่ถูกต้อง ก็อาจจะเสียโอกาส หรืออาจจะเสียเงิน และยิ่งเป็นเงินของผู้อื่นแล้ว ยิ่งมีความเครียดและกดดันมากกว่าการบริหารเงินของตนเองเป็นอย่างมาก


ไม่ว่าจะเป็นงานในสายใด ทั้งสี่สายนี้ต่างก็ต้องอาศัยการวิเคราะห์ และความรอบคอบทั้งนั้น เนื่องจากต้องทำเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ข้อผิดพลาดจึงเป็นเรื่องใหญ่


Credit วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

http://www.one-asset.com/News/Detail_t.asp?ID=316
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4844

โพสต์

updated: 30 ม.ค. 2557 เวลา 17:52:29 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

กระแสสุขภาพแรงไม่ตก ผลวิจัยวีดีโอ รีเสิร์ชชี้ "ชาพร้อมดื่ม-น้ำดื่ม" เบียดน้ำอัดลมกระเจิง "อิชิตัน" เตรียมส่งทีเด็ด ชาอู่หลง สูตรหวานน้อย-สูตรไม่มีน้ำตาล เขย่าตลาด ด้าน "โออิชิ" ไม่น้อยหน้า เฟ้นคุณภาพสินค้าชนทุกเวที ขณะที่ "เถ้าแก่น้อย" ทนความหอมหวานไม่ไหว ประกาศเปิดตัวแบรนด์ใหม่ลุยเมษายนนี้


รายงานข่าวจากบริษัท วีดีโอ รีเสิร์ช อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากผลสำรวจสัดส่วนของผู้บริโภคในภาพรวมปี 2554-2556 ที่บริโภคเครื่องดื่มประเภทไม่มีแอลกอฮอล์ พบว่ากลุ่มที่เติบโตสูงขึ้นทุกปี อาทิ น้ำอัดลม โดยปีที่ผ่านมาผู้บริโภคเลือกจะดื่มน้ำอัดลม79.8% เพิ่มขึ้น 1.2% จากปีก่อนหน้า, ชาพร้อมดื่ม คิดเป็น 59.4% เพิ่มขึ้น 13.6% จากปีก่อนหน้า ขณะที่น้ำดื่มและน้ำแร่ที่ได้รับความนิยม 84.6% ในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น18.9% ฯลฯ

ส่วนกลุ่มที่มีการเติบโตที่เปลี่ยนแปลงเสมอในแต่ละปีพบว่า กลุ่มน้ำผลไม้ปรุงแต่ง,นมยูเอชที และกาแฟทรีอินวัน เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตสูงขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการแข่งขันที่รุนแรงและมีรายใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น และมีการทุ่มงบฯในการโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มโซดามีการเติบโตลดลง และกลุ่มที่เติบโตลดลงทุกปี ได้แก่ น้ำผลไม้ 100% เพราะผู้บริโภคเลือกดื่มน้ำผลไม้ปรุงแต่งที่เข้าใจว่าได้สารอาหารที่มีประโยชน์มากกว่า

รายงานชิ้นนี้ยังระบุด้วยว่า ปีที่ผ่านมา "น้ำดื่ม" กลายเป็นเครื่องดื่มที่ผู้บริโภคนิยมดื่มมากที่สุด อยู่ที่ 84.6% ขณะที่น้ำอัดลมตกลงมาอยู่อันดับสองที่ 79.8% ซึ่งแม้อัตราการเติบโตของน้ำอัดลมจะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี แต่สูงขึ้นในอัตราที่ลดลง ส่วนหนึ่งมาจากผู้บริโภคใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น

เทรนด์เครื่องดื่มสุขภาพคึกคัก

นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เทรนด์ของเครื่องดื่มในขณะนี้หันมาทางเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น จากกระแสของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพที่เข้มข้นขึ้นมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มว่าตลาดนี้จะมีความสำคัญมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ดังกล่าว โดยเดือนมีนาคมนี้ บริษัทจะออกสินค้าใหม่เพื่อรุกตลาดชาเขียวพร้อมดื่ม เป็นชาอู่หลง สูตรหวานน้อย และสูตรไม่มีน้ำตาล

ขณะที่นายสุธี ธรรมสิทธิ์บูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด สายงานธุรกิจเครื่องดื่มบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตลาดชาพร้อมดื่มยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพและสร้างการขับเคลื่อนอันดับต้น ๆ ให้แก่ตลาดเครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์ ด้วยอัตราการเติบโตถึง 23% ในปีที่ผ่านมา และปีนี้ก็จะมีแบรนด์ใหม่ ๆ เข้ามาทำตลาดเพิ่ม ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดมีการแข่งขันมากขึ้น ผ่านกิจกรรมการตลาดและโปรโมชั่นในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขาย

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ของโออิชิ หลัก ๆจะเน้นที่เรื่องของคุณภาพ และการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ รวมถึงการเปิดตัวสินค้าใหม่เพื่อเป็นทางเลือกและตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปลายปีที่ผ่านมาได้เปิดตัว "โออิชิ คาบูเซฉะ" ชาเขียวพรีเมี่ยม ปราศจากน้ำตาล นอกจากนี้ก็จะโฟกัสตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะเออีซี

"เถ้าแก่น้อย" โดดร่วมวง

นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อรุกตลาดเครื่องดื่มและให้สอดรับกับเทรนด์เรื่องสุขภาพ เดือนเมษายนนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดตัวเครื่องดื่มตัวใหม่เข้ามาเสริม "ไวตามิกซ์" ที่ทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2555 และจับกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นวัยทำงานที่ต้องการเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

"เครื่องดื่มใหม่นี้จะเป็นแคทิกอรี่ที่มีผู้เล่นแล้วในไทย แต่สินค้าที่ออกมายังไม่โดนใจผู้บริโภคมากนัก และจะเร่งทำตลาดในช่วงหน้าร้อน ซึ่งเป็นไฮซีซั่นของเครื่องดื่ม"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้านความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการน้ำผลไม้ โดยเฉพาะน้ำผลไม้ 100% ที่มีการเติบโตลดลงทุกปี โดยนางสาวรุ่งฉัตร บุญรัตน์ กรรมการและรองผู้จัดการใหญ่ สายการขายและการตลาด บริษัท มาลี สามพราน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์การตลาดในปีนี้จะเน้นการตอกย้ำภาพของการเป็นน้ำผลไม้ที่ห่วงใยสุขภาพ และเพิ่มการสื่อสารเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยจะนำเสนอสินค้าใหม่ 2 แคทิกอรี่ ทั้งที่เป็นน้ำผลไม้และไม่ใช่น้ำผลไม้ แต่ยังเน้นเรื่องของการเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เพื่อขยายฐานสู่ผู้บริโภคกลุ่มใหม่ที่ปกติไม่ได้ดื่มน้ำผลไม้ด้วยเช่นกัน

"ปัจจุบันการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่แตกต่างไปจากเดิม จากเคยสู้กันด้วยรสชาติใหม่ ผู้ผลิตก็ต้องแข่งขันกันด้วยการนำเสนอแคทิกอรี่ใหม่ๆ เพราะเทรนด์ของสุขภาพทำให้มีสินค้าออกมาตอบสนองความต้องการของตลาดมากขึ้น"

โหมกิจกรรมรับบอลโลก

นายสุธียังกล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากกระแสสุขภาพดังกล่าว สำหรับมหกรรมฟุตบอลโลกที่มาถึงในช่วงกลางปีนี้ บริษัทมีแผนจะใช้เครื่องดื่มชาเขียวเข้ามาทำตลาดเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค โดยได้เตรียมกิจกรรมทั้งส่งเสริมการขายและสร้างการมีส่วนร่วมในเฟซบุ๊กและไลน์แอ็กเคานต์ เพื่อกระตุ้นการดื่มชาเขียวในเทศกาลบอลโลกนี้

ขณะที่นายปริญญา เพิ่มพานิช ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและปฏิบัติการขาย บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ในปีนี้จะเป็นปีที่ผู้เล่นหลักในตลาดน้ำอัดลมมีการต่อสู้กันอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งแคมเปญการตลาด และการออกสินค้าใหม่ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงเทศกาลบอลโลก ซึ่งในส่วนของเอสเองก็จะมีแคมเปญเพื่อมัดใจฐานลูกค้าเดิม และขยายฐานให้ครอบคลุมมากขึ้นทั่วประเทศ

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4845

โพสต์

เฟดลดคิวอีไม่สะเทือนค่าเงินบาท 30 มกราคม 2557 เวลา 16:47 น.

ธปท.เผยเฟดปรับลดคิวอีลง 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ไม่กระทบค่าเงินบาท เป็นไปตามคาดบวกกับพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดี

อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1b7TZrw
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4846

โพสต์

คนนี้เป็นหนุ่มน้อยที่ไฟแรง ไอเดียหาเงินเยอะมากคนนึง ไอเดียหลายอย่างน่าสนใจมากครับ
ทศวรรษ 2 "เถ้าแก่น้อย" เดินหน้าสู่โกลบัล แบรนด์ พร้อมตั้งเป้าโกยยอดขาย 1 หมื่นล้านบาท ชูภาพ "Number 1 Snac of Asia" เร่งสปีดปูพรมครอบคลุมทั้งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลี จีน ก่อนขยายไปยุโรป ล่าสุดสวนกระแสตลาดสแน็กซบ ส่ง "ต๊อบคอร์น" ปลุกตลาดข้าวโพดคั่ว ชูคอนเซ็ปต์พรีเมียม รสเด็ด ฝีมือคนไทย ก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่อีก 2 รายการในปีนี้ และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปีหน้า


นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสาหร่าย "เถ้าแก่น้อย" เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า เป้าหมายของเถ้าแก่น้อย คือการก้าวขึ้นสู่การเป็นโกลบัลแบรนด์ โดยมุ่งเน้นการเป็น "Number 1 Snac of Asia" ผ่านการสร้างแบรนด์ เพื่อนำเสนอเป็นแรงบันดาลใจ รวมทั้งพัฒนาแบรนด์ให้มีความก้าวหน้า หลังจากที่เถ้าแก่น้อยมีอายุครบ 10 ปีในปีนี้ ถือเป็นแบรนด์ที่มีการเติบโตต่อเนื่อง จนปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ของตลาดสาหร่ายเมืองไทย

โดยเถ้าแก่น้อยเริ่มส่งออกไปจำหน่ายในประเทศต่างๆทั้งเอเชียและยุโรป ทั้งในอินโดนีเซีย , มาเลเซีย , จีน , ฟิลิปปินส์ , เกาหลี ฯลฯ ในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีสัดส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 40% จากเดิมที่มีสัดส่วน 25-30% ขณะที่ตลาดต่างประเทศมีการเติบโตกว่า 30% สวนทางกับตลาดในประเทศที่ภาพรวมตลาดสแน็กมีการเติบโตติดลบ โดยเติบโตไม่ถึง 5% จากปกติที่เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของตลาดในรอบ 10 ปี
หากวิเคราะห์ภาพรวมของตลาดจะพบว่า ปัจจัยที่ทำให้ตลาดไม่มีการเติบโตเกิดจาก ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ และกำลังซื้อที่ลดลง

อย่างไรก็ดีแม้ภาพรวมตลาดตลาดสแน็ก ซึ่งมีมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท จะมีเติบโตติดลบ แต่พบว่าตลาดยังมีแนวโน้มเติบโตโดยเฉพาะการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ที่จะทำให้มีแบรนด์ใหม่ก้าวเข้าสู่ตลาด และทำให้ตลาดมีการแข่งขันรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ดีพบว่าในตลาดสแน็กบางกลุ่มกลับมีการเติบโตที่โดดเด่น โดยเฉพาะในตลาดสแน็กประเภท ป๊อปคอร์น หรือ ข้าวโพดคั่ว

ในปีที่ผ่านมาพบว่าตลาดป๊อปคอร์นมีมูลค่ารวมราว 1.5 พันล้านบาท มีการเติบโตมากกว่า 50% แบ่งเป็น ตลาดป๊อปคอร์นสำเร็จรูปบรรจุซองซึ่งมีมูลค่าราว 300-400 ล้านบาทต่อปี ตลาดป๊อปคอร์นบริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท และข้าวโพดคั่วสดพรีเมียมซึ่งกำลังเป็นที่นิยมและส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้มองเห็นช่องว่างทางการตลาดและโอกาสในการขยายตลาด

" ป๊อปคอร์น เป็นหนึ่งในสแน็ก ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ขณะที่ในแถบเอเชียก็เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการศึกษาตลาดในเมืองไทยพบว่า ผู้บริโภคคนไทยให้ความนิยมรับประทานป๊อปคอร์นเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ป๊อปคอร์นมีการเจริญเติบโตสูงสุดในตลาดขนมขบเคี้ยว คือมีอัตราการเติบโตสูงถึง 50 % โดยเฉพาะในตลาดข้าวโพดคั่วสด ซึ่งเป็นตลาดระดับพรีเมียม ที่มีผู้ประกอบการน้อยราย และมีราคาสูง ทำให้บริษัทตัดสินใจพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้น" นายอิทธิพัทธ์กล่าวและว่า

ต๊อบคอร์น (Tob Corn) อยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Popcorn Beyond Imagination by ToB" จุดเด่นคือ มี 6 รสชาติ ทั้งในรูปแบบตะวันออกและตะวันตก ได้แก่ โนริ เทริยากิ , คริสปี้ โคโคนัท , ปารีส คาราเมล , คาราเมล อัลมอนด์ , คาราเมล แมคคาเดเมีย และสตรอว์เบอร์รี่ วางจำหน่ายในขนาด เล็ก (S) , กลาง (M) , ใหญ่ (L) ราคาเริ่มต้น 59 บาทขึ้นไป

ด้านกลยุทธ์การทำตลาด ต๊อบคอร์น วางจำหน่ายผ่านทางร้านต๊อบคอร์น ซึ่งมีความโดดเด่นเน้นการตกแต่งแบบครัวเปิด มีสาธิตการทำ โดยใช้เครื่องคั่วป๊อปคอร์นที่นำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา สาขาแรกตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้าเทอร์มินัล21 สี่แยกอโศก มีพื้นที่ขนาด 30 ตารางเมตร อยู่ภายในร้านบริเวณเดียวกับเถ้าแก่น้อยแลนด์ และสิ้นปีจะมีสาขารวม 6 แห่ง และเพิ่มขึ้นเป็น 100 แห่งภายใน 5 ปี รวมทั้งการขยายช่องทางการจำหน่ายไปยังประเทศในแถบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนขยายช่องทางจำหน่ายไปยังร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ภายในไตรมาส 3 รวมทั้งพัฒนารสชาติใหม่ๆ ในสไตล์ไทยๆ อาทิ ข้าวเหนียวทุเรียน , ต้มยำกุ้ง , น้ำปลาหวาน เป็นต้น

"กลยุทธ์การตลาดทำตลาดต๊อบคอร์น เน้นการทำกิจกรรม ณ จุดขาย , การใช้ Social Network รวมไปถึงการแจกชิมเพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก และทดลองชิม ก่อนที่จะขยายช่องทางการสื่อสารไปยังตลาดแมสต่อไปในอนาคต โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะมียอดขายเฉลี่ย 1-1.5 ล้านบาทต่อสาขา หรือประมาณ 50 ล้านบาทในปีแรก และเพิ่มขึ้นเป็น 1 พันล้านบาทใน 5 ปี"

อย่างไรก็ดีในปีนี้บริษัทมีแผนพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดอีก 2 รายการ หลังจากที่มีการจัดตั้งแผนกพัฒนาธุรกิจขึ้น โดยแผนกนี้จะมุ่งเน้นการพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในปี 2558
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะมีรายได้กว่า 3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 2.7 พันล้านบาท และตั้งเป้าที่จะมีรายได้ 1 หมื่นล้านบาทในอีก 10 ปีข้างหน้า

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,918
วันที่ 30 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4847

โพสต์

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 29 มกราคม 2557 13:35:00 น.

อีกเพียงไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลตรุษจีนหรือวันขึ้นปีใหม่ของจีน ซึ่งถือเป็นเทศกาลตามประเพณีจีนที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับชาวจีนและคนที่มีเชื้อสายจีนทั่วโลก โดยสมาชิกในครอบครัวที่แยกย้ายกันไปทำมาหากินหรือย้ายไปตั้งรกรากในพื้นที่อื่นๆจะกลับมาเฉลิมฉลองร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวที่บ้านเกิดอีกครั้ง เทศกาลดังกล่าวจะเป็นช่วงที่มีวันหยุดยาวนานนับสัปดาห์ ชาวจีนจะมีการจับจ่ายใช้สอยกันอย่างคึกคักและเม็ดเงินสะพัดจำนวนมาก เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป ไม่ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะอยู่ในภาวะเช่นไรก็ตาม



เศรษฐกิจจีนมีความเสี่ยงที่แฝงตัวอยู่และหยั่งรากลึก อันเนื่องมาจากโครงสร้างทางการเงินที่ไร้สมดุล โดยอาการของโรคความเสี่ยงดังกล่าวได้ปรากฏออกมาในภาวะวิกฤตสภาพคล่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ขณะที่มีหลายต้นตอที่เกี่ยวเนื่องกันและก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างค่อนข้างชัดเจนต่อเสถียรภาพทางการเงินของจีน

ระบบธนาคารเงา: ธุรกิจนอกระบบที่คุกคามทั้งประเทศ
การขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อนอกระบบธนาคารพาณิชย์จีนได้เริ่มมาตั้งแต่ช่วงหลังวิกฤตการเงินสหรัฐในช่วงปี 2551 โดยทางการจีนได้กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลัง เมื่อเวลาผ่านไป เศรษฐกิจจีนได้ฟื้นตัวขึ้น ปัญหาที่ตามมาก็คือเงินเฟ้อและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งขึ้น ดังนั้น รัฐบาลจีนจึงต้องคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อของภาคธนาคาร

ขณะเดียวกัน ความต้องการสินเชื่อยังไม่ชะลอตัวลงและยังคงมีอยู่มากดังเดิม กลุ่มผู้ที่ต้องการกู้ยืมเงิน ซึ่งก็คือภาคธุรกิจและรัฐบาลท้องถิ่นต่างๆ และบรรดาผู้ปล่อยกู้ จึงพยายามหาช่องทางที่จะหลบเลี่ยงการควบคุมจากภาครัฐ ซึ่งส่งผลให้ระบบธนาคารเงาของจีนขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้ง

ธุรกิจธนาคารเงาได้ผลักดันสัดส่วนหนี้สินและราคาสินทรัพย์ของประเทศให้พุ่งสูงขึ้น ขณะที่สภาพคล่องที่ตึงตัวสะท้อนให้เห็นถึงความยากลำบากของจีนในการที่จะส่งเสริมให้เศรษฐกิจขยายตัว โดยที่ยังคงมีสัดส่วนหนี้สินที่ระดับสูง

ธนาคารเงาคือ ธุรกิจการเงินนอกระบบธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีทั้งการปล่อยเงินกู้และระดมเงินออม โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเลี่ยงการกำกับดูแลจากทางการจีนทั้งในด้านการปล่อยสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ย ที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์จีนจะดำเนินธุรกรรมธนาคารเงาด้วยการออกเงินกู้แก่ลูกค้าที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากระบบธนาคารตามปกติ รวมทั้งนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์โดยทั่วไป นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ยังอาจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจธนาคารเงาในฐานะคนกลางในการดำเนินธุรกรรมการเงินนอกระบบ ซึ่งธนาคารจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของค่าธรรมเนียมในการดำเนินการ

การทำธุรกิจในลักษณะดังกล่าวมักจะไม่มีความชัดเจน และตรวจสอบได้ยาก เนื่องจากจะไม่มีการบันทึกลงในบัญชีของธนาคาร ซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อฐานะการเงินของธนาคารพาณิชย์ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง

ระบบธนาคารเงาของจีนได้กลายเป็นต้นตอที่บั่นทอนเสถียรภาพในระบบการเงินของจีน และกำลังก่อให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อย่างชัดเจน

หนี้สินรัฐบาลท้องถิ่น: การใช้จ่ายที่เกินตัวและจมไม่ลง
หนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่นจีนได้พุ่งขึ้นอย่างมากในช่วงที่มีการผลักดันกิจกรรมด้านการลงทุนและการก่อสร้างขนานใหญ่ในจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปี 2551 ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก และนับแต่นั้นมา หน่วยงานต่างๆก็แข่งขันกันเปิดตัวโครงการด้านอุตสาหกรรมหนักและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานจำนวนมาก ซึ่งจะสร้างความมั่นใจเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่พุ่งพรวด โดยสัดส่วนจำนวนมากของเม็ดเงินที่นำมาใช้ลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ดังกล่าวนั้นมาจากการกู้ยืม และจนถึงขณะนี้โครงการที่ได้ลงทุนไปก็ยังไม่ได้ก่อให้เกิดกระแสเงินสดใดๆ

ปัญหาหนี้สินที่พอกพูนของรัฐบาลท้องถิ่นได้กลายมาเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่สำคัญต่อเสถียรภาพทางการเงินของจีนในขณะนี้

รายงานของมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสเมื่อต้นปีนี้ ระบุว่า หน่วยงานระดมทุนของรัฐบาลท้องถิ่นจีน (LGFV) จำนวนมาก ได้เผชิญกับภาวะกระแสเงินสดตึงตัวหรือลดลง ขณะที่ระดับหนี้สินเพิ่มสูงขึ้น

หนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่นถือเป็นปัจจัยปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ส่งเสริมธุรกิจธนาคารเงาของจีน ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของจีนได้ห้ามไม่ให้ธนาคารต่างๆจัดสรรเงินกู้โดยตรงแก่ LGFV หลังจากที่มีการปล่อยเงินกู้ในระดับที่มากเกินไป แต่รัฐบาลท้องถิ่นยังคงสามารถระดมเงินลงทุนได้อย่างปกติ ผ่านทางระบบธนาคารเงา

นักวิเคราะห์กล่าวว่า กิจกรรมด้านธนาคารเงาจำนวนมากคือช่องทางใหม่ที่จัดทำขึ้นโดยธนาคารพาณิชย์สำหรับอัดฉีดเม็ดเงินแก่ LGFV ขณะที่ LGFV ก็ยินดีที่จะจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากระบบการคลังในปัจจุบันมีข้อจำกัดในการก่อหนี้

นายผาง กงเซิง รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีนกล่าวว่า ภาระหนี้สินที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของรัฐบาลท้องถิ่น และการที่ทางการจีนห้ามไม่ให้รัฐบาลท้องถิ่นกู้ยืมโดยตรงจากธนาคารต่างๆนั้น ส่งผลให้รัฐบาลท้องถิ่นดิ้นรนด้วยการจัดตั้ง LGFV ขึ้นหลายพันรายเพื่อช่วยดำเนินการระดมทุนแทน และหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลด้านการธนาคารของจีนสั่งให้ธนาคารพาณิชย์เริ่มคุมเข้มการปล่อยเงินกู้แก่ LGFV ตั้งแต่ปี 2553 นั้น รัฐบาลท้องถิ่นก็ต้องหันไปพึ่งพาธนาคารเงา ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนในการระดมทุนพุ่งสูงขึ้น

สำนักงานตรวจสอบบัญชีแห่งชาติของจีนได้ประเมินหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่นไว้ที่ราว 10.89 ล้านล้านหยวน ณ สิ้นเดือนมิ.ย.2556 ซึ่งเพิ่มขึ้น 13% จากระดับ 1.25 ล้านล้านหยวน ณ สิ้นปี 2555

เมื่อปลายปีที่แล้ว หน่วยงานด้านองค์กร ภายใต้คณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ได้ตัดสินใจใช้ระบบใหม่ในการประเมินผลการทำงานของหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่น โดยเลิกให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของเศรษฐกิจในท้องถิ่น แต่หนี้สินของรัฐบาลระดับท้องถิ่นจะเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญประการหนึ่งในการประเมินการดำเนินงานของหน่วยงาน

ทางการจีนได้ให้คำมั่นที่จะสร้างวินัยทางการคลังแก่กระบวนการระดมทุนสำหรับรัฐบาลท้องถิ่น และจะให้รัฐบาลในแต่ละท้องถิ่นรับผิดชอบต่อหนี้ที่ก่อขึ้น

นายเจียน ชาง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนจากบาร์เคลย์ส กล่าวว่า “หนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่นเป็นความเสี่ยงระยะกลางที่มีความรุนแรงที่สุดสำหรับจีน รัฐบาลท้องถิ่นไม่สามารถที่จะกู้ยืมได้โดยไม่มีขีดจำกัด ประเด็นสำคัญก็คือการกำหนดมาตรฐานในการควบคุมการระดมทุนในปัจจุบัน"

กำลังการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรม: ผลพวงเชิงกลยุทธ์หลังวิกฤตการเงิน
ภาวะกำลังการผลิตที่มากเกินไป หรือกำลังการผลิตส่วนเกินนั้น กำลังบั่นทอนความมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจจีนมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทในภาคอุตสาหกรรมจำนวนมาก ซึ่งเคยเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของประเทศนั้น ต่างได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่อ่อนแรงและราคาสินค้าที่ตกต่ำลง ขณะเดียวกันผลกระทบจากศักยภาพในการผลิตที่ล้าสมัยก็กำลังฉุดความสามารถในการทำกำไรลงสู่ระดับต่ำถึงขั้นที่เป็นอันตราย และจะสร้างความเสียหายต่อการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในระยะยาว

ในช่วงปีที่แล้ว ทางการจีนได้ให้ความสำคัญกับปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรม โดยถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญในอันดับต้นๆที่จะต้องสะสางให้ลุล่วง ขณะที่เดินหน้าความพยายามมากขึ้นเพื่อส่งเสริมการปรับโครงสร้างในภาคอุตสาหกรรม และนำไปสู่การพัฒนาในระยะยาวอย่างยั่งยืน

มาตรการต่างๆได้ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว ขณะที่ผู้นำระดับสูงของจีนได้ออกมาย้ำเตือนอยู่บ่อยครั้งถึงผลกระทบที่จะตามมา หากปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินอยู่ในภาวะที่เลวร้ายลง

ทางการจีนมีคำสั่งให้บริษัทเกือบ 1,500 แห่งใน 19 ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึง ภาคอุตสาหกรรมเหล็กกล้า, ซีเมนต์, อิเล็กโทรไลต์ อลูมินัม, กระจกแผ่น และการต่อเรือ ดำเนินการยกเลิกกำลังการผลิตที่ล้าสมัยและจัดการกับกำลังการผลิตส่วนเกินภายในสิ้นปี 2556

บริษัทในภาคอุตสาหกรรมจำนวนมากได้เคยกู้ยืมเงินจำนวนมหาศาลจากธนาคารต่างๆได้ แต่ในขณะนี้ บริษัทเหล่านั้นกลับสามารถอยู่รอดได้จากการระดมเงินผ่านทางระบบธนาคารเงาเท่านั้น

นักวิเคราะห์ระบุว่า ผู้ประกอบการที่มีกำลังถูกรุมเร้าด้วยภาระหนี้สินนั้นได้ผลักดันให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นและก่อความเสี่ยงแก่ระบบธนาคารเงา ขณะที่ตลาดวิตกว่าการล้มละลายของผู้ประกอบการกลุ่มนี้จะจุดปะทุกระแสการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการธนาคารของจีนที่มีศักยภาพในการทำกำไรที่ระดับต่ำอยู่แล้ว

ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินของจีนข้างต้นดูเหมือนจะมีความเกี่ยวโยงกันอย่างแยกไม่ออก การแก้ไขปัญหาจึงต้องอาศัยการปฏิรูปแบบเบ็ดเสร็จ และไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับรัฐบาลจีน เพราะต้นตอของปัญหาเกิดขึ้นมาเป็นเวลานานหลายปี และลุกลามหยั่งรากลึกลงไปมาก ขณะที่เศรษฐกิจในภาพรวมและแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในช่วงเริ่มต้นปีนี้ ไม่ได้ออกมาแข็งแกร่งแต่อย่างใด และยังสร้างความวิตกให้แก่นักวิเคราะห์และนักลงทุนทั่วโลก

เอชเอสบีซี โฮลดิงส์เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นของจีนในเดือนม.ค.ลดลงแตะ 49.6 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน จากระดับ 50.5 ในเดือนธ.ค. โดยดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมภาคการผลิตของจีนหดตัวลงจากเดือนก่อนหน้า

นายฉู หงปิน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเอชเอสบีซีกล่าวในแถลงการณ์ว่า ดัชนี PMI เบื้องต้นภาคการผลิตจีนในเดือนม.ค.มีปัจจัยถ่วงหลักๆมาจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซา ซึ่งส่งสัญญาณถึงแนวโน้มการขยายตัวของภาคการผลิตที่อ่อนแรง หลังจากที่เผชิญปัจจัยลบจากการเติบโตด้านการจ้างงานอยู่แล้ว

ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนได้เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ช่วงไตรมาส 4/2556 ขยายตัว 7.7% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอลงจากอัตรา 7.8% ในช่วงไตรมาส 3/2556

NBS ระบุว่า ในปี 2556 เศรษฐกิจจีนขยายตัว 7.7% เมื่อเทียบรายปี แตะ 56.88 ล้านล้านหยวน (9.31 ล้านล้านดอลลาร์) ส่วนในปี 2555 จีดีพีจีนก็มีการขยายตัวในอัตรา 7.7% เช่นกัน

รายงานล่าสุดแสดงให้เห็นว่าในปี 2556 เศรษฐกิจจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มีการขยายตัวในอัตราที่ต่ำสุดนับแต่ปี 2542 หรือในรอบ 14 ปี

แม้ว่าอัตราการขยายตัวที่ 7.7% จะสูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 7.5% แต่ก็ตอกย้ำถึงความท้าทายที่เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายจีนต้องเผชิญในการทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ระดับสูงของจีนมีความต่อเนื่อง ขณะที่มีการปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ

ข้อมูลดังกล่าวได้สั่นคลอนตลาดการเงินและความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าความกังวลที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในประเด็นที่ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงนั้น กำลังกลายเป็นความจริงขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม

แถลงการณ์จากการประชุมดำเนินงานด้านเศรษฐกิจกลางของจีนเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการประชุมที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจประจำปี แสดงให้เห็นว่า จีนให้คำมั่นที่จะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพและมีความต่อเนื่อง ขณะที่ผลักดันให้มีการเดินหน้าปฏิรูปเพื่อบรรลุการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างเหมาะสมในปี 2557 โดยจีนจะยังคงดำเนินนโยบายการคลังเชิงรุกและนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง

ขณะที่แถลงการณ์ยอมรับว่า เศรษฐกิจจีนเผชิญความเสี่ยงช่วงขาลงนั้น แต่ก็ได้ให้คำมั่นที่จะผลักดันการปฏิรูปในด้านต่างๆ พร้อมประกาศภารกิจหลักด้านเศรษฐกิจสำหรับปี 2557 ซึ่งรวมถึงการสกัดความเสี่ยงด้านหนี้สินและการลดกำลังการผลิตที่มากเกินไป

แต่แถลงการณ์ไม่ได้ระบุเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2557 ซึ่งมักจะมีการเปิดเผยกันในเดือนมี.ค. แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า เป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 7% หรือ 7.5%

แม้ว่า จีนได้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ส่อเค้าลางที่ไม่สู้ดีนักในช่วงต้นปี 2557 ซึ่งถือเป็นปีแรกในการดำเนินการปฏิรูปประเทศตามที่ฝ่ายการเมืองของจีนได้ให้คำมั่นไว้ แต่ทั่วโลกก็ยังมีความหวังเกี่ยวกับการเดินหน้าปฏิรูปของจีน ซึ่งจะต้องมีการประเมินและปรับสมดุลอย่างเหมาะสมระหว่างผลกระทบจากการปฏิรูปและการรักษาระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้ให้ได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4848

โพสต์

เอามาฝากพวกเราครับ

รู้ทันบัตรเครดิต

http://pantip.com/topic/31585962
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4849

โพสต์

แวะมาอ่านเช่นเคย...ขอบคุณมากค่ะพี่หมอมุข :wink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4850

โพสต์

theenuch เขียน:แวะมาอ่านเช่นเคย...ขอบคุณมากค่ะพี่หมอมุข :wink:
คุณนุช มีข้อมูลอะไรดีๆ ก็เอามาแชร์พวกเรากันนะครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4851

โพสต์

updated: 03 ก.พ. 2557 เวลา 18:30:39 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ธุรกิจกุมขมับหลังม็อบปิดย่านช็อปปิ้งกลางกรุงลากยาว โอดยอดขายฮวบหนัก ร้านค้าติดลบ 60% โรงแรมติดลบ 80% บัตรเครดิตรูดร่วง 40% เล็งพักงานคนงานลดต้นทุน ชี้ลูกค้าปรับพฤติกรรมลดความถี่จับจ่าย "แพลทินัม" หวั่นกระทบออร์เดอร์ลูกค้า ตปท. ด้าน "ร้านอาหาร-แฟชั่น" เตรียมถกศูนย์ขอลดค่าเช่า จัดโปรโมชั่นหนักกระตุ้นทราฟฟิกแบบเร่งด่วน ชี้ลากยาว 2-3 เดือนหืดขึ้นคอแน่


ย่างเข้าสู่เดือนที่ 2 ของการชุมนุมทางการเมือง จากการประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯ ของกปปส.เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ด้วยการยกระดับการชุมนุมและย้ายเวทีหลักจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมาสู่สี่แยกราชประสงค์-ปทุมวัน ต่อเนื่องไปสุขุมวิท ซึ่งเป็นย่านธุรกิจสำคัญที่เริ่มได้รับผลกระทบที่เป็นรูปธรรมในแง่ของตัวเลขยอดขายที่ลดลง

จากการประเมินว่าช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายของห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ตลอดทั้งย่านหายไปถึง 50% จากปกติที่ย่านนี้จะมีเม็ดเงินสะพัดเฉลี่ยประมาณ 300 ล้านบาทต่อวัน เนื่องจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีสัดส่วนจับจ่ายถึง 50% ของทั้งย่านหายไปเป็นจำนวนมาก สอดคล้องกับยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่หดหายไป 30-40% โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว,แฟชั่น-เครื่องประดับ และร้านอาหาร



ประชุมด่วนช่วยพนักงาน

นายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์กล่าวว่า จากการรีวิวภาพรวมตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา พบว่า การชุมนุมส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของทั้งย่าน โดยเฉพาะยอดขายรวมที่หายไปเฉลี่ยกว่า 50% และเมื่อแยกเป็นประเภทธุรกิจหลักที่เห็นภาพชัดคือ ร้านค้ากว่า 3,000 ร้านค้า ยอดขายติดลบ 60% เมื่อเทียบกับช่วงปกติโรงแรมกว่า 4,000 ห้อง ติดลบ 80% สอดคล้องกับยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่หดตัวลงถึง 40%

ทำให้ผู้ประกอบการต้องลดภาระค่าใช้จ่ายลง โดยจากการพูดคุยกันกับสมาชิกหลายรายเตรียมจะใช้มาตรการด้วยการให้พนักงานพักงานไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย หรือเห็นสัญญาณบวกของธุรกิจที่เริ่มกลับมา และพนักงานที่จะได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรกคือ พนักงานประเภทอัตราจ้าง

นายชายกล่าวอีกว่า ในเดือนแรกผู้ประกอบการทุกคนต่างยอมและยังคงรับมือได้ แต่พอเข้าเดือนที่ 2 เริ่มกระทบไปทั้งระบบทั้งหน้าร้าน-ซัพพลายเออร์ ผู้ผลิต ซึ่งในสัปดาห์หน้า (3-7 กุมภาพันธ์) สมาคมเตรียมเรียกประชุมผู้ประกอบการสมาชิกเพื่อหาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือพนักงานที่อยู่ในย่านนี้กว่า 4 หมื่นคน จะเป็นการคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน เนื่องจากประเด็นเรื่องยอดขายลดยังไม่หนักหนาและน่าเป็นห่วงเท่ากับพนักงาน 3-4 หมื่นคนทั้งย่านที่ได้รับผลกระทบและต้องหาทางช่วยเหลือเร่งด่วน

"สาเหตุหลักที่ลูกค้าไม่กล้ามามีอยู่ 2 อย่าง คือ คนไทยกลัวมาลำบาก ขณะที่นักท่องเที่ยวกลัวมาแล้วไม่ปลอดภัย ซึ่งเราต้องเร่งสร้างความมั่นใจตรงนี้ ควบคู่กับการกระตุ้นด้วยแคมเปญและโปรโมชั่นออกมาอย่างต่อเนื่อง ตามแผนเรายังยืนแคมเปญหลักตามเทศกาลเอาไว้ทั้งตรุษจีน วาเลนไทน์ และสงกรานต์ ส่วนรูปแบบจะปรับหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แต่ละช่วง"

แพลทินัมขยายเวลาช่วยร้านค้า

แหล่งข่าวระดับสูงจากศูนย์การค้าเดอะ แพลทินัม แฟชั่นมอลล์กล่าวว่า ตอนนี้ผู้บริหารได้พูดคุยกันว่าจะมีแนวทางช่วยเหลือร้านค้าในรูปแบบไหนออกมา เนื่องจากการชุมนุมเริ่มยืดเยื้อเข้าเดือนที่ 2 แล้ว โดยที่ผ่านมาได้ช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยการขยายเวลาปิดศูนย์ออกไปอีก 2 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติเพื่อเพิ่มโอกาสการขาย

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเป็นการช่วยบรรเทาได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น สอดคล้องกับการปรับตัวของร้านค้าผู้เช่าที่ปรับลดการออกคอลเล็กชั่นใหม่ลงจากปกติทุก 1 สัปดาห์ จะมีสินค้าใหม่เข้าร้าน 2 ครั้ง ก็ปรับเป็นสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ถ้าการชุมนุมยังคงลากยาวต่อเนื่อง อาจจะส่งผลกระทบในภาพใหญ่ โดยเฉพาะออร์เดอร์ล่วงหน้าจากลูกค้าต่างประเทศที่อาจจะลดลง

นายพีระ อัศวาภิรมย์ รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มฟู้ดส์ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัดกล่าวว่า ศูนย์การค้าของกลุ่มเดอะมอลล์ในพื้นที่การชุมนุม เช่น กรณีของสยามพารากอน บริษัทมีแผนจะช่วยเหลือร้านค้าถ้าการชุมนุมลากยาวต่อเนื่อง โดยจะเป็นมาตรการที่แตกต่างกันไปเพื่อความเหมาะสมของแต่ละร้านค้า อย่างไรก็ตามยอมรับโอกาสการขายของร้านค้าสั้นลงเนื่องจากต้องปิดให้บริการเร็วขึ้น ส่งผลต่อพฤติกรรมการจับจ่ายของลูกค้าที่ต้องปรับตัวตามสถานการณ์ ความถี่ในการจับจ่ายน้อยลง แต่การซื้อในแต่ละครั้งมากขึ้น

ร้านค้าเจรจาขอลดค่าเช่า

นายศิริชัย กิมสวัสดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอส แอล อาร์ ที จำกัด ผู้บริหารธุรกิจร้านอาหารซิซซ์เล่อร์ในประเทศไทยกล่าวว่า ซิซซ์เล่อร์มีสาขาที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทั้งหมด 6 สาขา คิดเป็นประมาณ 14% ของสาขาที่มีในปัจจุบัน ซึ่งยอดขายในสาขาดังกล่าวลดลงไปกว่า 50% ด้วยระยะเวลาการขายที่สั้นลงตามกำหนดเวลาการเปิด-ปิดของห้าง และจำนวนทราฟฟิกผู้ใช้บริการที่ลดลงไปประมาณ 30-40%

ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาขอความช่วยเหลือเรื่องค่าเช่าพื้นที่ใน 3 สาขา ได้แก่ สาขาสยามเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ และอาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ยืดเยื้อ

นายไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท โออิชิ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า สาขาของโออิชิที่อยู่ในพื้นที่ชุมนุมมีกว่า 10 สาขา ยอดขายตกลงประมาณ 20% เนื่องจากเวลาขายที่สั้นลงจากเวลาปิดห้างที่เร็วขึ้นบวกกับทราฟฟิกผู้บริโภคลดลงเพราะอารมณ์จับจ่ายน้อย ขณะนี้เน้นสนใจแต่เรื่องการเมือง รวมถึงอีเวนต์ต่างๆ ที่มาจัดในห้างก็เลื่อนหมด หากการชุมนุมยังยืดเยื้อต่อไปยาวถึง 2-3 เดือนจะได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน

"เรื่องการขอลดค่าเช่า ขณะนี้ยังไม่ได้คุยกับทางศูนย์ต่าง ๆ อย่างเป็นทางการ แต่ตามหลักการด้วยเวลาเปิดให้บริการที่สั้นลงก็น่าจะมีการลดค่าเช่าให้ แต่จะรอให้ผ่านช่วงตรุษจีนและช่วงเลือกตั้งไปก่อนจะเข้าไปเจรจาเพื่อประเมินสถานการณ์อีกที เพราะมันเปลี่ยนทุกวัน แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเพราะในอดีตที่มีการชุมนุมทางการเมือง ทางศูนย์ก็มีการลดค่าเช่าให้ประมาณ 10-20%"

ด้านนายปรมินทร์ ศรีชวาลา ประธานบริหาร บริษัท เอเวอร์เรส เวิลด์ จำกัด ผู้นำเข้าแบรนด์แฟชั่น อาทิ ลองชอมป์ ชาร์ริโอล์เวอร์ทู กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า

จากสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นทำให้ลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติหายไปจำนวนมาก โดยเฉพาะสาขาที่อยู่ในย่านที่มีผู้ชุมนุม และคาดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นหากเหตุการณ์ยืดเยื้อจะทำให้ยอดขายโดยรวมในปีนี้ลดลงถึง 50% จากปีที่ผ่านมา

แนวทางของบริษัทเพื่อรับมือในขณะนี้ได้โฟกัสไปยังการทำซีอาร์เอ็มกับฐานลูกค้าเก่าผ่านบริการต่าง ๆ อาทิ โทร.เชิญลูกค้าเมื่อมีสินค้าใหม่ และนำเอาสินค้าไปให้ดูถึงที่บ้าน ประกอบกับมีการพูดคุยกับทางศูนย์การค้าเพื่อหามาตรการช่วยเหลือ โดยอาจจะออกมาในรูปแบบของการลดค่าเช่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแนวทางของศูนย์

"ภาพรวมของตลาดแฟชั่นทั้งหมดในปีนี้คาดว่าจะได้รับผลกระทบเยอะ โดยเฉพาะลักเซอรี่ เนื่องจากสินค้ามีราคาแพง ผู้บริโภคเองไม่มีอารมณ์ในการจับจ่าย และระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้นจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมือง"

อัดโปรโมชั่นกระตุ้นทราฟฟิก

นายไพศาลกล่าวอีกว่า สิ่งที่ทำได้ขณะนี้คือ จัดโปรโมชั่นกระตุ้นทราฟฟิกดึงลูกค้าเข้าร้าน อาทิ "นิกุยะ" บุฟเฟต์ปิ้งย่าง จัดโปรโมชั่น "มา 4 จ่าย 3" ทุกสาขา หรือซื้อ 1 แถม 1 ที่ร้านคาคาชิ ฯลฯ

เช่นเดียวกับนางสาวบุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เดอะบาร์บีคิวพลาซ่า จำกัด กล่าวว่าบาร์บีคิวพลาซ่ามี 7-10 สาขาที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม บางสาขามีรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการชุมนุม 30% ด้วยทราฟฟิกของศูนย์การค้าในบริเวณ

ดังกล่าวที่ลดลง 30-35% ประกอบกับเพิ่งจบแคมเปญล่าไข่บาร์บีกอนไปเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา จึงเปิดตัวแคมเปญใหม่อิงกับเทศกาล "บาร์บีกอน" แจกอั้งเปา" ตั้งแต่ 30 มกราคม-9 กุมภาพันธ์นี้ในทุกสาขา หวังช่วยดึงยอดขายเพิ่มขึ้น 15%

"ขณะนี้ในหลายศูนย์การค้าในพื้นที่ชุมนุม อาทิ เซ็นทรัลเวิลด์, สยามดิสคัฟเวอรี่และเทอร์มินอล 21, สีลมคอมเพล็กซ์, ดิ อเวนิว และเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ ก็จัดโปรโมชั่นพิเศษอิงเทศกาลอย่างตรุษจีน เพื่อดึงทราฟฟิกในห้างให้มากขึ้น โดยขอความร่วมมือจากร้านอาหารในศูนย์ เช่น ส่วนลดพิเศษ หรือแถมชุดอาหาร"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4852

โพสต์

updated: 03 ก.พ. 2557 เวลา 18:30:39 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ธุรกิจกุมขมับหลังม็อบปิดย่านช็อปปิ้งกลางกรุงลากยาว โอดยอดขายฮวบหนัก ร้านค้าติดลบ 60% โรงแรมติดลบ 80% บัตรเครดิตรูดร่วง 40% เล็งพักงานคนงานลดต้นทุน ชี้ลูกค้าปรับพฤติกรรมลดความถี่จับจ่าย "แพลทินัม" หวั่นกระทบออร์เดอร์ลูกค้า ตปท. ด้าน "ร้านอาหาร-แฟชั่น" เตรียมถกศูนย์ขอลดค่าเช่า จัดโปรโมชั่นหนักกระตุ้นทราฟฟิกแบบเร่งด่วน ชี้ลากยาว 2-3 เดือนหืดขึ้นคอแน่


ย่างเข้าสู่เดือนที่ 2 ของการชุมนุมทางการเมือง จากการประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯ ของกปปส.เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ด้วยการยกระดับการชุมนุมและย้ายเวทีหลักจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมาสู่สี่แยกราชประสงค์-ปทุมวัน ต่อเนื่องไปสุขุมวิท ซึ่งเป็นย่านธุรกิจสำคัญที่เริ่มได้รับผลกระทบที่เป็นรูปธรรมในแง่ของตัวเลขยอดขายที่ลดลง

จากการประเมินว่าช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายของห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ตลอดทั้งย่านหายไปถึง 50% จากปกติที่ย่านนี้จะมีเม็ดเงินสะพัดเฉลี่ยประมาณ 300 ล้านบาทต่อวัน เนื่องจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีสัดส่วนจับจ่ายถึง 50% ของทั้งย่านหายไปเป็นจำนวนมาก สอดคล้องกับยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่หดหายไป 30-40% โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว,แฟชั่น-เครื่องประดับ และร้านอาหาร



ประชุมด่วนช่วยพนักงาน

นายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์กล่าวว่า จากการรีวิวภาพรวมตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา พบว่า การชุมนุมส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของทั้งย่าน โดยเฉพาะยอดขายรวมที่หายไปเฉลี่ยกว่า 50% และเมื่อแยกเป็นประเภทธุรกิจหลักที่เห็นภาพชัดคือ ร้านค้ากว่า 3,000 ร้านค้า ยอดขายติดลบ 60% เมื่อเทียบกับช่วงปกติโรงแรมกว่า 4,000 ห้อง ติดลบ 80% สอดคล้องกับยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่หดตัวลงถึง 40%

ทำให้ผู้ประกอบการต้องลดภาระค่าใช้จ่ายลง โดยจากการพูดคุยกันกับสมาชิกหลายรายเตรียมจะใช้มาตรการด้วยการให้พนักงานพักงานไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย หรือเห็นสัญญาณบวกของธุรกิจที่เริ่มกลับมา และพนักงานที่จะได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรกคือ พนักงานประเภทอัตราจ้าง

นายชายกล่าวอีกว่า ในเดือนแรกผู้ประกอบการทุกคนต่างยอมและยังคงรับมือได้ แต่พอเข้าเดือนที่ 2 เริ่มกระทบไปทั้งระบบทั้งหน้าร้าน-ซัพพลายเออร์ ผู้ผลิต ซึ่งในสัปดาห์หน้า (3-7 กุมภาพันธ์) สมาคมเตรียมเรียกประชุมผู้ประกอบการสมาชิกเพื่อหาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือพนักงานที่อยู่ในย่านนี้กว่า 4 หมื่นคน จะเป็นการคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน เนื่องจากประเด็นเรื่องยอดขายลดยังไม่หนักหนาและน่าเป็นห่วงเท่ากับพนักงาน 3-4 หมื่นคนทั้งย่านที่ได้รับผลกระทบและต้องหาทางช่วยเหลือเร่งด่วน

"สาเหตุหลักที่ลูกค้าไม่กล้ามามีอยู่ 2 อย่าง คือ คนไทยกลัวมาลำบาก ขณะที่นักท่องเที่ยวกลัวมาแล้วไม่ปลอดภัย ซึ่งเราต้องเร่งสร้างความมั่นใจตรงนี้ ควบคู่กับการกระตุ้นด้วยแคมเปญและโปรโมชั่นออกมาอย่างต่อเนื่อง ตามแผนเรายังยืนแคมเปญหลักตามเทศกาลเอาไว้ทั้งตรุษจีน วาเลนไทน์ และสงกรานต์ ส่วนรูปแบบจะปรับหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แต่ละช่วง"

แพลทินัมขยายเวลาช่วยร้านค้า

แหล่งข่าวระดับสูงจากศูนย์การค้าเดอะ แพลทินัม แฟชั่นมอลล์กล่าวว่า ตอนนี้ผู้บริหารได้พูดคุยกันว่าจะมีแนวทางช่วยเหลือร้านค้าในรูปแบบไหนออกมา เนื่องจากการชุมนุมเริ่มยืดเยื้อเข้าเดือนที่ 2 แล้ว โดยที่ผ่านมาได้ช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยการขยายเวลาปิดศูนย์ออกไปอีก 2 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติเพื่อเพิ่มโอกาสการขาย

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าเป็นการช่วยบรรเทาได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น สอดคล้องกับการปรับตัวของร้านค้าผู้เช่าที่ปรับลดการออกคอลเล็กชั่นใหม่ลงจากปกติทุก 1 สัปดาห์ จะมีสินค้าใหม่เข้าร้าน 2 ครั้ง ก็ปรับเป็นสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ถ้าการชุมนุมยังคงลากยาวต่อเนื่อง อาจจะส่งผลกระทบในภาพใหญ่ โดยเฉพาะออร์เดอร์ล่วงหน้าจากลูกค้าต่างประเทศที่อาจจะลดลง

นายพีระ อัศวาภิรมย์ รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มฟู้ดส์ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัดกล่าวว่า ศูนย์การค้าของกลุ่มเดอะมอลล์ในพื้นที่การชุมนุม เช่น กรณีของสยามพารากอน บริษัทมีแผนจะช่วยเหลือร้านค้าถ้าการชุมนุมลากยาวต่อเนื่อง โดยจะเป็นมาตรการที่แตกต่างกันไปเพื่อความเหมาะสมของแต่ละร้านค้า อย่างไรก็ตามยอมรับโอกาสการขายของร้านค้าสั้นลงเนื่องจากต้องปิดให้บริการเร็วขึ้น ส่งผลต่อพฤติกรรมการจับจ่ายของลูกค้าที่ต้องปรับตัวตามสถานการณ์ ความถี่ในการจับจ่ายน้อยลง แต่การซื้อในแต่ละครั้งมากขึ้น

ร้านค้าเจรจาขอลดค่าเช่า

นายศิริชัย กิมสวัสดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอส แอล อาร์ ที จำกัด ผู้บริหารธุรกิจร้านอาหารซิซซ์เล่อร์ในประเทศไทยกล่าวว่า ซิซซ์เล่อร์มีสาขาที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทั้งหมด 6 สาขา คิดเป็นประมาณ 14% ของสาขาที่มีในปัจจุบัน ซึ่งยอดขายในสาขาดังกล่าวลดลงไปกว่า 50% ด้วยระยะเวลาการขายที่สั้นลงตามกำหนดเวลาการเปิด-ปิดของห้าง และจำนวนทราฟฟิกผู้ใช้บริการที่ลดลงไปประมาณ 30-40%

ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาขอความช่วยเหลือเรื่องค่าเช่าพื้นที่ใน 3 สาขา ได้แก่ สาขาสยามเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ และอาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ยืดเยื้อ

นายไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท โออิชิ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า สาขาของโออิชิที่อยู่ในพื้นที่ชุมนุมมีกว่า 10 สาขา ยอดขายตกลงประมาณ 20% เนื่องจากเวลาขายที่สั้นลงจากเวลาปิดห้างที่เร็วขึ้นบวกกับทราฟฟิกผู้บริโภคลดลงเพราะอารมณ์จับจ่ายน้อย ขณะนี้เน้นสนใจแต่เรื่องการเมือง รวมถึงอีเวนต์ต่างๆ ที่มาจัดในห้างก็เลื่อนหมด หากการชุมนุมยังยืดเยื้อต่อไปยาวถึง 2-3 เดือนจะได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน

"เรื่องการขอลดค่าเช่า ขณะนี้ยังไม่ได้คุยกับทางศูนย์ต่าง ๆ อย่างเป็นทางการ แต่ตามหลักการด้วยเวลาเปิดให้บริการที่สั้นลงก็น่าจะมีการลดค่าเช่าให้ แต่จะรอให้ผ่านช่วงตรุษจีนและช่วงเลือกตั้งไปก่อนจะเข้าไปเจรจาเพื่อประเมินสถานการณ์อีกที เพราะมันเปลี่ยนทุกวัน แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเพราะในอดีตที่มีการชุมนุมทางการเมือง ทางศูนย์ก็มีการลดค่าเช่าให้ประมาณ 10-20%"

ด้านนายปรมินทร์ ศรีชวาลา ประธานบริหาร บริษัท เอเวอร์เรส เวิลด์ จำกัด ผู้นำเข้าแบรนด์แฟชั่น อาทิ ลองชอมป์ ชาร์ริโอล์เวอร์ทู กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า

จากสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นทำให้ลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติหายไปจำนวนมาก โดยเฉพาะสาขาที่อยู่ในย่านที่มีผู้ชุมนุม และคาดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นหากเหตุการณ์ยืดเยื้อจะทำให้ยอดขายโดยรวมในปีนี้ลดลงถึง 50% จากปีที่ผ่านมา

แนวทางของบริษัทเพื่อรับมือในขณะนี้ได้โฟกัสไปยังการทำซีอาร์เอ็มกับฐานลูกค้าเก่าผ่านบริการต่าง ๆ อาทิ โทร.เชิญลูกค้าเมื่อมีสินค้าใหม่ และนำเอาสินค้าไปให้ดูถึงที่บ้าน ประกอบกับมีการพูดคุยกับทางศูนย์การค้าเพื่อหามาตรการช่วยเหลือ โดยอาจจะออกมาในรูปแบบของการลดค่าเช่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแนวทางของศูนย์

"ภาพรวมของตลาดแฟชั่นทั้งหมดในปีนี้คาดว่าจะได้รับผลกระทบเยอะ โดยเฉพาะลักเซอรี่ เนื่องจากสินค้ามีราคาแพง ผู้บริโภคเองไม่มีอารมณ์ในการจับจ่าย และระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้นจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมือง"

อัดโปรโมชั่นกระตุ้นทราฟฟิก

นายไพศาลกล่าวอีกว่า สิ่งที่ทำได้ขณะนี้คือ จัดโปรโมชั่นกระตุ้นทราฟฟิกดึงลูกค้าเข้าร้าน อาทิ "นิกุยะ" บุฟเฟต์ปิ้งย่าง จัดโปรโมชั่น "มา 4 จ่าย 3" ทุกสาขา หรือซื้อ 1 แถม 1 ที่ร้านคาคาชิ ฯลฯ

เช่นเดียวกับนางสาวบุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เดอะบาร์บีคิวพลาซ่า จำกัด กล่าวว่าบาร์บีคิวพลาซ่ามี 7-10 สาขาที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม บางสาขามีรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการชุมนุม 30% ด้วยทราฟฟิกของศูนย์การค้าในบริเวณ

ดังกล่าวที่ลดลง 30-35% ประกอบกับเพิ่งจบแคมเปญล่าไข่บาร์บีกอนไปเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา จึงเปิดตัวแคมเปญใหม่อิงกับเทศกาล "บาร์บีกอน" แจกอั้งเปา" ตั้งแต่ 30 มกราคม-9 กุมภาพันธ์นี้ในทุกสาขา หวังช่วยดึงยอดขายเพิ่มขึ้น 15%

"ขณะนี้ในหลายศูนย์การค้าในพื้นที่ชุมนุม อาทิ เซ็นทรัลเวิลด์, สยามดิสคัฟเวอรี่และเทอร์มินอล 21, สีลมคอมเพล็กซ์, ดิ อเวนิว และเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ ก็จัดโปรโมชั่นพิเศษอิงเทศกาลอย่างตรุษจีน เพื่อดึงทราฟฟิกในห้างให้มากขึ้น โดยขอความร่วมมือจากร้านอาหารในศูนย์ เช่น ส่วนลดพิเศษ หรือแถมชุดอาหาร"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4853

โพสต์

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2557 15:15:45 น.

เลอโนโว บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติจีนยังสามารถรักษาแชมป์อันดับ 1 ในการครองส่วนแบงตลาดพีซีทั่วโลกได้มากถึง 18.1% ซึ่งได้รับแรงหนุนจากยอดจัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น 6.6% สวนทางกับข้อมูลจากบริษัท การ์ทเนอร์ อิงค์ ที่ชี้ว่า สถานการณ์ตลาดพีซีในปัจจุบันกำลังเข้าสู่ปีที่ตกต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยยอดการจัดจำหน่ายในอุตสาหกรรมลดลงถึง 10% ในปี 2556 ขณะที่ฮิวเลตต์-แพคการ์ดตามมาติดๆในอันดับที่ 2 ด้วยส่วนแบ่งตลาดพีซี 16.4% ซึ่งอาจเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ยักษ์ใหญ่พีซีอย่าง “เลอโนโว" หันมาจับกิจการสมาร์ทโฟน และเซิร์ฟเวอร์ และเข้าซื้อกิจการไอทีระหว่างประเทศชนิดที่ได้รับการขนานว่า เป็นการซื้อกิจการครั้งใหญ่ที่สุดของเลอโนโว



การซื้อกิจการสมาร์ทโฟน-เซิร์ฟเวอร์ครั้งใหญ่ของเลอโนโว
ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 1 สัปดาห์ เลอโนโว กรุ๊ป ได้ประกาศการเข้าซื้อกิจการชั้นนำถึง 2 แห่งด้วยกัน ได้แก่ โมโตโรล่า โมบิลิตี้ และไอบีเอ็ม รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา เลอโนโวตกลงซื้อกิจการกิจการแฮนด์เซ็ทของโมโตโรล่า โมบิลิตี้ จากกูเกิลในราคา 2.91 พันล้านดอลลาร์ โดยจะจ่ายเงินประมาณครึ่งหนึ่งภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3 หลังจากทำสัญญาเสร็จสิ้น การยืดระยะเวลาการจ่ายเงินในครั้งนี้เป็นความต้องการของเลอโนโว ซึ่งกูเกิลก็ยอมรับข้อตกลงดังกล่าว เนื่องจากเลอโนโวกำลังจะจ่ายเงินสำหรับการเข้าซื้อกิจการให้กับไอบีเอ็มเช่นกัน

เมื่อเดือนมีนาคม 2555 กูเกิลเข้าซื้อกิจการโมโตโรล่าด้วยเงินทุนทั้งสิ้น 1.24 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดของกูเกิล เนื่องจากกูเกิลต้องการรวบรวมสิทธิบัตรต่างๆขณะที่บริษัทได้ผลิตผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เพื่อแข่งกับไอโฟนของแอปเปิล

เบร็ต แม็คโกเนกัล ผู้อำนวยการจัดการฝ่ายบริหารบริษัทที่ปรึกษา รีโอเรียนท์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในฮ่องกง ระบุว่า “หากคุณเป็นกูเกิล และต้องการขายกิจการนี้ เงินอาจเป็นสิ่งจูงใจในการทำข้อตกลง เห็นได้ชัดว่า กูเกิลพยายามที่จะขายกิจการนี้"

ในเวลาไล่เลี่ยกัน บริษัทเลอโนโว กรุ๊ป จำกัดยังได้เข้าซื้อกิจการเซิร์ฟเวอร์ราคาถูกของอินเตอร์เนชั่นแนล บิสิเนส แมชีนส์ คอร์ป หรือ ไอบีเอ็ม ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และให้บริการด้านสารสนเทศรายใหญ่ของโลก ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ เลอโนโวซื้อกิจการเซิร์ฟเวอร์ x86 ของไอบีเอ็ม มูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งประกอบด้วยเงินสดประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์ และส่วนที่เหลือจะจ่ายเป็นหุ้นของบริษัทเลอโนโวในปักกิ่ง

หยาง หยวนจิง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของเลอโนโว กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า เลอโนโวสนใจโมโตโรล่ามานานแล้ว ถึงขนาดเคยแข่งกับกูเกิลเพื่อซื้อกิจการโมโตโรล่าเมื่อปี 2554 แต่ไม่สำเร็จ

แหล่งข่าวระบุว่า หลังจากที่กูเกิลสามารถซื้อกิจการโมโตโรล่าไปได้ หยาง หยวนจิง ได้พูดคุยกับอีริค ชมิดท์ ประธานของกูเกิลว่า หากเมื่อใดกูเกิลต้องการขายกิจการฮาร์ดแวร์ของโมโตโรล่า ขอให้บอกเลอโนโว และเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง อีริค ชมิดท์ ก็ได้เริ่มเจรจาเรื่องธุรกิจแฮนด์เซ็ทของโมโตโรลทากับหยาง หยวนจิง อย่างจริงจัง

หวง ไหว หมิง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของเลอโนโว เปิดเผยว่า บริษัทมีเงินสดในบัญชีงบดุลกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ และพยายามหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินล่วงหน้า โดยเสนอหุ้นให้แก่ไอบีเอ็ม และกูเกิล เพื่อถือเป็นการชำระเงินส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ เลอโนโวจะชำระเงินสดสำหรับการซื้อกิจการทั้ง 2 แห่งเป็นมูลค่าทั้งหมดประมาณ 2.8 พันล้านดอลลาร์

เลอโนโวจะจ่ายเงินสดให้แก่กูเกิล 660 ล้านดอลลาร์ รวมถึงหุ้นของเลอโนโวรวมมูลค่าประมาณ 750 ล้านดอลลาร์ นอกเหนือไปจากเงินจำนวน 1.5 พันล้านดอลลาร์ที่ตกลงไว้ว่า จะต้องจ่ายภายในระยะเวลา 3 ปีหลังจากตกลงทำสัญญา ดังนั้น กูเกิลจะถือหุ้นของเลอโนโวประมาณ 4.6%-5.6% ภายหลังการทำข้อตกลงแล้ว ซึ่งจำนวนหุ้นนั้นจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้น

เลอโนโว เลือกใช้แพลตฟอร์มระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์สำหรับแฮนด์เซ็ทของโมโตโรล่า และใช้สัญลักษณ์ของแบรนด์จากสหรัฐ ซึ่งถือเป็นส่วนผสมที่ยอดเยี่ยมสำหรับเลอโนโวมากกว่าแบล็คเบอรี่ เลอโนโวเคยพิจารณาข้อตกลงร่วมกับแบล็คเบอรี่เมื่อเดือนมกราคมปี 2556 ก่อนที่แบล็คเบอรี่จะพยายามขายกิจการของตนเอง

หยาง หยวนจิง กล่าวว่า "เราไม่อยากจะมีแฟนหลายคน" และ "ขณะนี้ เลอโนโว ซึ่งอยู่ในระหว่างการจดสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญาของโมโตโรล่า ก็ได้ข้อตกลงซึ่งเป็นไปตามที่บริษัทต้องการแล้ว"

ขณะที่กูเกิลไม่ได้รู้สึกกดดันกับการขายกิจการโมโตโรล่า ซึ่งมีคู่แข่งอย่างซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ที่ต้องการซื้อโมโตโรล่าเช่นกัน กูเกิลเชื่อมั่นว่า เลอโนโวมีโอกาสที่ดีกว่าในการพัฒนาแบรนด์โมโตโรล่า ขณะเดียวกัน กูเกิลจะยังคงธุรกิจการวิจัยและพัฒนาของโมโตโรล่าไว้ เนื่องจากมองว่า จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์เทคโนโลยีสำหรับสมาร์ทโฟนในอนาคต

ทั้งนี้ กูเกิลจะได้รับค่าชดเชยหากมีการยกเลิกสัญญาซื้อกิจการโมโตโรล่ามากกว่าค่าเฉลี่ยโดยทั่วไปที่อยู่ระดับประมาณ 3.5% แม้จะไม่มากเท่ากับค่าปรับที่เลอโนโวจะต้องเสียให้กับไอบีเอ็มหากมีการยกเลิกสัญญา ซึ่งเลอโนโวยินยอมที่จะจ่ายค่าปรับยกเลิกสัญญาให้แก่ไอบีเอ็มประมาณ 8%-9% ของราคาซื้อเลยทีเดียว

การเข้าซื้อกิจการทั้ง 2 แห่งในเวลาเดียวกันถือเป็นความพยายามที่ค่อนข้างเสี่ยงที่ต้องการก้าวข้ามธุรกิจคอมพีซีที่กำลังซบเซาไปสู่กิจการเทคโนโลยีที่กว้างขวางมากขึ้น โดยความท้าทายครั้งใหม่ของเลอโนโวคือ การโน้มน้าวกลุ่มนักลงทุนให้เชื่อมั่นว่า เลอโนโวจะสามารถชำระเงินสำหรับการซื้อกิจการครั้งใหญ่ทั้ง 2 แห่งนี้ได้ภายในเวลาไล่เลี่ยกันโดยปราศจากปัญหา

หยาง หยวนจิง ระบุว่า การบุกตลาดอเมริกาเหนือจะช่วยให้เขาคาดการณ์แนวทางการแข่งขันกับยักษ์ใหญ่สมาร์ทโฟนอย่างแอปเปิล อิงค์ และซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงคู่แข่งเซิร์ฟเวอร์อย่างเดล อิงค์ และฮิวเลตต์-แพคการ์ดได้ดียิ่งขึ้น

เขากล่าวว่า “เราหวังจะเป็นบริษัทระดับโลก ที่มีกิจการอยู่ทั่วโลก ไม่ใช่เพียงแค่ในจีนอย่างที่เป็นอยู่ และตลาดเกิดใหม่ก็ยังไม่พอ"

หยาง หยวนจิง ยังเปิดเผยอีกว่า เขายังไม่มีแผนที่จะเลิกจ้างพนักงานหลังจากการซื้อกิจการดังกล่าว และจะยังคงให้ศูนย์กลางการผลิตโทรศัพท์มือถืออยู่ในชิคาโก้ต่อไป ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2556 โมโตโรล่ามีพนักงานทั้งหมด 4,259 คน เลอโนโวจะยังคงใช้ชื่อแบรนด์โมโตโรล่าในสหรัฐ และละตินอเมริกา และอาจจะใช้ชื่อโมโตโรล่าในจีนด้วย บริษัทวางแผนการจำหน่ายสมาร์ทโฟนให้ได้ 100 ล้านเครื่อง ภายใน 1 ปีหลังจากการทำสัญญาซื้อกิจการ

การควบรวมกิจการของเลอโนโวจะเป็นไปในทิศทางใด คงต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวกันต่อไป และกิจการเซิร์ฟเวอร์ของไอบีเอ็มจะก้าวขึ้นสู่แท่นผู้นำคู่กับเลอโนโวได้หรือไม่เป็นอีกสถานการณ์ที่ต้องติดตาม
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4854

โพสต์

ใกล้ช่วงเทศกาลเริ่มพิจารณาการปันผล หลังจากที่งบแต่ละบริษัทเริ่มทะยอยออกแล้ว

ผมเลยเอาความรู้เรื่องปันผลมาฝากพวกเราครับ
Stock Dividend : การจ่ายปันผลเป็นหุ้น
3 พฤษภาคม 2013 เวลา 23:38 น.


เดี๋ยวนี้บริษัทจดทะเบียนจ่ายปันผลเป็นหุ้นกันมากขึ้น มันแตกต่างจากการจ่ายเป็นเงินอย่างไร และให้ประโยชน์กับตัวบริษัทเองและผู้ถือหุ้นอย่างไร เชิญศึกษาได้จากบทความนี้ครับ

ส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ Shareholders’ Equity เป็นองค์ประกอบทางการเงินที่สำคัญยิ่งของบริษัททุกแห่ง เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินธุรกิจทั้งหมด โดยการเป็นแหล่งทุนเริ่มแรกเพื่อนำไปผลิตสินค้าหรือบริการที่จะกลายเป็นยอดขายให้กับบริษัท เพื่อสร้างผลกำไรให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโตยิ่งๆ ขึ้นไปไม่รู้จบ

ตามหลักบัญชีขั้นพื้นฐาน โครงสร้างทางการเงินของบริษัทจะเป็นไปตามสมการที่ว่า สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น หรืออาจกล่าวได้ว่า สินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ถ้าไม่ได้มาด้วยเงินของเจ้าของ (ผู้ถือหุ้น) เอง ก็เกิดจากการก่อหนี้สินเพื่อไปซื้อมา



โดยทั่วไป ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจมาแล้วมีผลกำไรตามที่ต้องการ จะประกอบด้วย 2 ส่วนหลักๆ คือ

1) ทุนชำระแล้ว (เงินทุนที่ผู้ถือหุ้นนำเข้ามาในบริษัทจริงๆ) และ
2) กำไรสะสม (ผลรวมของกำไรสุทธิที่ได้จากการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา)



สำหรับการลงทุนในหุ้นซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี แท้จริงแล้ว ก็คือการซื้อมูลค่าของส่วนของผู้ถือหุ้นที่แบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ เท่าๆ กัน (หรือที่เรียกว่า หุ้น) เพื่อให้คนจำนวนมากสามารถร่วมกันเป็นเจ้าของบริษัทได้ตามสัดส่วนเงินที่เราร่วมลงทุนไป นั่นเอง

โดยทั่วไป เรามักพูดกันถึงวิธีการจัดการสินทรัพย์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด หรือการบริหารหนี้สินให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามสัญญาที่มีต่อเจ้าหนี้ได้อย่างครบถ้วน แต่ในโอกาสนี้ จะขอนำเรื่องส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับนักลงทุนอย่างเราๆ ท่านๆ มาเล่าให้ฟังครับ ซึ่งจะกล่าวถึงการจ่ายปันผล โดยเฉพาะการจ่ายปันผลเป็นหุ้น ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4855

โพสต์

► การจ่ายปันผล ◄

เมื่อบริษัทสามารถดำเนินธุรกิจจนมีผลกำไร บริษัทมีทางเลือกในการจัดสรรผลกำไร 2 แนวทางคือ 1) เก็บไว้เป็นทุนหมุนเวียนภายในบริษัท ในรูปของกำไรสะสม หรือ 2) ส่งผลกำไรกลับไปยังผู้ถือหุ้น ในรูปของการจ่ายปันผล

► 1. ข้อกฎหมายและประเด็นภาษีเงินได้

1.1 คุณสมบัติของบริษัทที่จะจ่ายปันผลได้
พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 มาตรา 115 กำหนดไว้ว่า “การจ่ายเงินปันผลจากเงินประเภทอื่นนอกจากเงินกำไรจะกระทำมิได้ ในกรณีที่บริษัทยังมียอดขาดทุนสะสมอยู่ ห้ามมิให้จ่ายเงินปันผล”
ดังนั้น บริษัทจะจ่ายเงินปันผลได้ ส่วนทุนจะต้องมีกำไรสะสมเป็นบวกอยู่เท่านั้น หากบริษัทไหนมีผลขาดทุนสะสมค้างอยู่ ถึงแม้บางปีจะมีกำไรสุทธิ แล้วอยากจะจ่ายปันผล ก็ไม่สามารถทำได้ (แต่กรณีนี้ก็สามารถใช้กลยุทธ์ลดทุนเพื่อล้างขาดทุนสะสมก่อนแล้วค่อยจ่ายปันผลก็ได้)

1.2 ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และการเครดิตภาษี
บริษัทที่เป็นผู้จ่ายปันผล มีหน้าที่หักภาษีหัก ณ ที่จ่าย (“Witholding Tax) ในอัตราร้อยละ 10 ของมูลค่าปันผลที่จ่าย (ไม่ว่าจะจ่ายปันผลเป็นเงินสด หรือ เป็นหุ้น ซึ่งจะกล่าวโดยละเอียดต่อไป) เช่น บริษัท ABC จำกัด (มหาชน) ประกาศจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 10 บาท หากเราถือหุ้น ABC อยู่จนมีสิทธิได้รับเงินปันผล จำนวน 100 หุ้น เราก็จะได้เงินสดสุทธิ 10 x 100 x 90% หรือ 900 บาท โดยบริษัทจะหักเงินไว้ 100 บาทเพื่อนำส่งกรมสรรพากรต่อไป
นอกจากนั้น ผู้ที่ได้รับเงินปันผล ยังสามารถพิจารณาขอคืนภาษี หรือที่เรียกว่า การเครดิตภาษี ได้ด้วย ซึ่งมีการคำนวณดังนี้ [อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทที่จ่ายปันผล] หารด้วย [1 – อัตราภาษีฯ] เช่น ABC ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30 ของกำไร อัตราการได้รับเครดิตภาษีของผู้ถือหุ้นจะเท่ากับ 30% / (100% – 30%) หรือ 3/7 แล้วนำไปคูณกับจำนวนปันผลที่ได้รับ (อ่านเพิ่มเติมเรื่องเครดิตภาษีได้ที่นี่ http://www.rd.go.th/publish/5937.0.html#mata47_2)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4856

โพสต์

► 2. การจ่ายปันผลเป็นเงินสดอย่างเดียว และ การจ่ายปันผลเป็นหุ้นบวกเงินสด

นอกจากการจ่ายปันผลเป็นเงินสด ซึ่งทำกันโดยทั่วไป บริษัทอาจเลือกตอบแทนผู้ถือหุ้นด้วยการจ่ายเป็นหุ้นปันผลแทนก็ได้ (หุ้นก็สามารถตีมูลค่าเป็นเงินได้เช่นกัน)

2.1 กรณีจ่ายปันผลเป็นเงินสดอย่างเดียว

สมมติบริษัท ABC จ่ายปันผลเป็นเงินสด หุ้นละ 1.15 บาท คิดเป็นเงินสดที่ต้องจ่ายทั้งสิ้น 11.50 ล้านบาท

• ก่อนจ่ายปันผล

รูปภาพ

• หลังจ่ายปันผลเป็นเงินสด จำนวนรวมทั้งสิ้น 11.50 ล้านบาท

รูปภาพ

ซึ่งเงินปันผล 11.50 ล้านบาทนั้น ก็จะไปถึงผู้ถือหุ้นจริงๆ 10.35 ล้านบาท ส่วนอีก 1.15 ล้านบาท จะถูกหักไว้เป็น Withholding Tax
(จุดสังเกต #1: ส่วนของผู้ถือหุ้นตอนนี้จะเหลือ 138.50 ล้านบาท)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4857

โพสต์

2.2 กรณีจ่ายปันผลเป็นหุ้นบวกเงินสด

สมมติให้บริษัท ABC
จ่ายหุ้นปันผล อัตรา 10 หุ้นเดิม ได้หุ้นใหม่เป็นหุ้นปันผล 1 หุ้น (10:1) ซึ่งเดิมมีหุ้นอยู่ 10 ล้านหุ้น เมื่อจ่ายหุ้นปันผลแล้วก็จะมีหุ้นเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านหุ้น (ราคาพาร์ 10 บาทเท่าเดิม) รวมเป็นหุ้นทั้งหมด (เดิม + ปันผล) 11 ล้านหุ้น โดยบริษัทจะลดกำไรสะสมลงไป 10 ล้านบาท และไปเพิ่มทุนจดทะเบียนขึ้นมาอีก 10 ล้านบาท
จ่ายเงินสดปันผล 0.15 บาท/หุ้นเดิม มีมูลค่าเท่ากับ 0.15 x 10 ล้านหุ้น หรือ 1.50 ล้านบาท
รวมมูลค่าของการจ่ายปันผลทั้งสิ้น 10 (หุ้นปันผล 1 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท) + 1.50 (เงินสดปันผล) = 11.50 ล้านบาท (ตั้งใจให้เท่ากับกรณีจ่ายปันผลเป็นเงินสดล้วนๆ เพื่อให้เทียบกับได้ชัดเจน) ทำให้มี Withholding Tax เกิดขึ้น 11.50 x 10% หรือ 1.15 ล้านบาท

• ก่อนจ่ายเงินปันผล

รูปภาพ

• หลังจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นและเงินสดผสมกัน

รูปภาพ

(จุดสังเกต #2: ส่วนของผู้ถือหุ้นตอนนี้จะเหลือ 148.50 ล้านบาท มากกว่าวิธีแรก 10 ล้านบาท)

ถึงจุดนี้ ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า บริษัทจะจ่ายแต่หุ้นปันผลล้วนๆ ไม่จ่ายเป็นเงินสดได้หรือไม่ ต้องตอบว่า ไม่ได้ เพราะหากไม่มีการจ่ายเงินสดออกมาด้วย บริษัทก็ไม่รู้จะนำเงินของบริษัทเองส่วนไหนไปจ่ายเป็น Withholding Tax ให้ราชการ (จึงต้องหักเอาจากเงินได้ของผู้ถือหุ้นเอง) กล่าวอีกอย่าง การที่บริษัทจำเป็นต้องจ่ายปันผลเป็นเงินสดควบคู่กันไปด้วย ก็เพื่อรองรับการหัก Withholding Tax นั่นเอง จึงเป็นข้อสังเกตได้ว่า เมื่อบริษัทจะจ่ายปันผลเป็นหุ้น ก็จะต้องจ่ายปันผลเป็นเงินสดตามมาด้วยอีกเล็กน้อย เสมอ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4858

โพสต์

ตัวอย่างจริง:

บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (AP) จ่ายปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 5:1 และเป็นเิงินสด 0.18 บาทต่อหุ้น http://www.set.or.th/dat/news/201103/11011391.pdf
บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (HMPRO) จ่ายปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 6:1 (หุ้น HMPRO มีราคาพาร์ 1 บาท การจ่ายหุ้นปันผล 6:1 จึงเท่ากับจ่าย 0.16667 บาทต่อหุ้น) และเป็นเงินสด 0.0193 บาทต่อหุ้น http://www.set.or.th/dat/news/201102/11004826.pdf
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4859

โพสต์

3. เปรียบเทียบการจ่ายปันผลทั้งสองแบบ

รูปภาพ

ซึ่งเท่าที่ดูจากตารางข้างต้น การที่บริษัทเลือกจ่ายปันผลเป็นหุ้น (+ เงินสดเล็กน้อย เพื่อรองรับการจ่ายภาษี) เหมือนจะเป็นทางเลือกที่ Win-Win ทั้งกับฝ่ายบริษัทที่จ่ายปันผล และฝ่ายผู้ถือหุ้น เพราะฝ่ายบริษัทไม่ต้องจ่ายเงินสดออกไปนอกกิจการมากนัก แค่โอนตัวเลขงบดุลในส่วนของผู้ถืิอหุ้นไปมา ส่วนฝ่ายผู้ถือหุ้นก็ได้มูลค่าสิ่งตอบแทนเท่ากัน เมื่อเทียบกับการได้รับเงินปันผลเป็นเงินสดล้วนๆ แถมมูลค่ากิจการที่วัดจากส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นตัวแปรต้นของราคาหุ้นในระยะยาว ก็ลดลงแค่นิดเดียว :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4860

โพสต์

วันศุกร์, 07 กุมภาพันธ์ 2557 12:03 | |
กูเกิล ประเทศไทย ระบุ สัญญาณ ACE ในภูมิภาคอาเซียนไทยตื่นตัวที่สุด วัดได้จากคำค้นหาคำว่า AEC ไทยครองแชปมป์

น.ส.พรทิพย์ กองชุน หัวหน้าฝ่ายการตลาด กูเกิล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยข้อมูลตลอดปี 2556 พบว่า หากคิดคะแนนการค้นหาคำต่างๆ เป็น 100 คะแนน ประเทศไทยค้นหาคำว่า “AEC” มากที่สุดในอาเซียน โดยมีคะแนนเฉลี่ยถึง 62 คะแนนจาก 100 คะแนน และมีคะแนนพุ่งขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 93-100 คะแนน ในช่วงเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นเดือนที่มีวันก่อตั้งอาเซียนคือวันที่ 8 สิงหาคม

เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค ถือว่าคะแนนของไทยสูงมาก เนื่องจากสิงคโปร์และมาเลเซียมีคะแนน เฉลี่ยทั้งปีอยู่เพียง 8 คะแนน อินโดนีเซีย 2 คะแนน บรูไน กัมพูชา พม่า ฟิลิปปินส์ไม่ถึง 1 คะแนน เวียดนามและลาว ค้นหาน้อยมากจนไม่ปรากฏเป็นคะแนน หรือกล่าวคือไทยค้นหาคำว่า AEC มากกว่าประเทศอื่นไม่น้อยกว่า 7 เท่า

คะแนนการค้นหาสะท้อนให้เห็นว่า ไทยตื่นตัวเรื่องประชาคมอาเซียนมากที่สุดในภูมิภาค

ส่วนข้อสงสัยที่ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ชาวอาเซียนอาจค้นเรื่องประชาคมอาเซียนด้วยภาษาท้องถิ่นของตัวเอง น.ส.พรทิพย์ เผยว่า หากเปลี่ยนมาค้นคำว่า “เออีซี” เป็นภาษาไทย มีคะแนนการค้นเฉลี่ยเพียงแค่ 7 คะแนนเท่านั้น คำค้นอื่นๆ อาทิ ประชาคมอาเซียนมี 44 คะแนน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 6 คะแนน ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ค้นหาน้อยมากจนไม่ปรากฏเป็นคะแนน สะท้อนว่า เรื่องอาเซียนเป็นเรื่องสากล ที่ผู้คนนิยมหาข้อมูลด้วยภาษาอังกฤษมากกว่า จึงคาดว่าประเทศอื่นในอาเซียนก็นิยมค้นเรื่องอาเซียนเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน

สำหรับเทรนด์การค้นหาคำค้นเกี่ยวกับอาเซียนของคนไทย เริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2554 และสูงขึ้นมากในช่วงกลางปี 2555 จากนั้นค่อยกลับมาลดลงอีกครั้งในช่วงปลายปี 2556 เนื่องจากประชาชนอาจให้ความสำคัญกับการค้นหาข้อมูลเรื่องอื่นมากขึ้น อาทิ สถานการณ์การเมือง