มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4801
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม 2556 11:06:53 น.
เศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกเผชิญกับความผันผวนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาที่ล้มลุกคุกคลานหลังจากการล่มสลายของเลห์แมน บราเธอร์ส เมื่อ 5 ปีก่อน ขณะที่ยูโรโซนก็เผชิญวิกฤตหนี้สาธารณะ เมื่อกลุ่มประเทศ “หมู" หรือ PIIGS ได้แก่ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ และสเปน ต้องแบกภาระหนี้ภาครัฐสูงเกินตัว จนต้องกู้หนี้ยืมสินจากต่างประเทศ ขณะที่เอเชียแม้ไม่เจอปัญหาโดยตรง แต่ด้วยความที่ประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคต้องพึ่งพาการส่งออก เศรษฐกิจจึงหนีไม่พ้นติดร่างแหชะลอตัวลงตามไปด้วย
สำหรับเศรษฐกิจและการเงินโลกในปี 2556 ที่กำลังจะผ่านพ้นไปในอีกไม่ถึงเดือนนั้น ดูเหมือนจะเริ่มฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้นในภาพรวม แต่ถึงกระนั้น แนวโน้มเศรษฐกิจและการเงินในปี 2557 ยังไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างแน่นอน แต่ก่อนที่จะมองข้ามช็อตไปถึงปีหน้า คอลัมน์ In Focus สัปดาห์นี้ ขอนำท่านผู้อ่านย้อนกลับไปดู 3 เหตุการณ์เด่นทางเศรษฐกิจและการเงินโลกที่เกิดขึ้นในรอบปีที่ผ่านมา
* อาเบะโนมิคส์
"อาเบะโนมิคส์" ถือเป็นสมญานามที่โดดเด่นสมญานามหนึ่งที่ได้รับการเรียกขานกันในหมู่สำนักข่าวต่างประเทศจนถูกนำมาเสนอกันอย่างแพร่หลายในปีนี้ อาเบะโนมิคส์ คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุกของญี่ปุ่นที่ถูกเรียกชื่อตามนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ภายใต้มาตรการธนู 3 ดอก คือ การเงิน การคลัง และการปรับโครงสร้าง กล่าวคือการใช้มาตรการการคลังและการเงินแบบผสมผสาน ควบคู่กับการปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจากจะทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับมาเติบโตแล้ว ยังวางพื้นฐานให้เป็นการเติบโตแบบยั่งยืนในอนาคต
ภายใต้นโยบายเศรษฐกิจสูตร (สำเร็จ) ของนายอาเบะนั้น นายอาเบะได้เริ่มประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการคลังเมื่อต้นปีนี้ ด้วยการเพิ่มค่าใช้จ่ายเป็นเม็ดเงินราว 10 ล้านล้านเยน อัดฉีดสู่ระบบเศรษฐกิจทันที ขณะเดียวกัน นายอาเบะได้เลือกผู้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นคนใหม่ คือ นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ซึ่งประกาศใช้มาตรการการเงินแบบผ่อนคลาย ด้วยการตั้งเป้าที่จะกระตุ้นภาวะเงินเฟ้ออยู่ในระดับ 2% ให้สำเร็จภายใน 2 ปี โดยการให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นเข้าซื้อหลักทรัพย์ หรือ QE สไตล์ญี่ปุ่น คิดเป็นมูลค่าราว 70,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน
นายมาซายูกิ คูโบตะ ผู้จัดการกองทุนอาวุโสของไดวา เอสบีไอ อินเวสเมนท์ กล่าวว่า ธนูดอกแรกของนโยบายอาเบะโนมิคส์ หรือการผ่อนคลายการเงินนั้นประสบความสำเร็จแล้ว เนื่องจากช่วยหยุดการแข็งค่าของเงินเยน ซึ่งจะส่งผลสืบเนื่องให้ผลกำไรของภาคธุรกิจปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ในส่วนของดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อนั้น ผลปรากฏว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ทำสถิติขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบ 5 ปี ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.2551 ที่ดัชนีกลับสู่แดนบวก และยังเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2541
สำหรับการใช้ธนูดอกที่ 3 หรือการปฏิรูปเศรษฐกิจนั้น นายอาเบะได้ประกาศขึ้นภาษีการขายขึ้นสู่ระดับ 8% ในเดือนเม.ย.ปีหน้า จากปัจจุบันที่ 5% ซึ่งเป็นการขึ้นภาษีการขายครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี ด้วยความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขหนี้สาธารณะของประเทศ เนื่องจากปัจจุบันญี่ปุ่นมีหนี้สินสูงสุดในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ คิดเป็นอัตราส่วน 245% ของจีดีพี ซึ่งนับเป็นประเด็นที่สร้างความไม่มั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างประเทศ โดยเกรงว่าญี่ปุ่นอาจตกอยู่ในสภาพที่คล้ายคลึงกับประเทศกรีซในที่สุด
อย่างไรก็ดี กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยว่า การใช้นโยบายอาเบะโนมิคส์อย่างเต็มรูปแบบ จะส่งผลบวกต่อการขยายตัวโดยรวมของเศรษฐกิจโลก แต่ในทางกลับกัน ถ้านโยบายอาเบะโนมิคส์ล้มเหลว ก็จะมีผลเสียอย่างหนักต่อเศรษฐกิจโลกด้วย
ในรายงานประเมินนโยบายเศรษฐกิจของหลายประเทศนั้น ไอเอ็มเอฟได้นำปัจจัยหลายอย่างมาพิจารณา อาทิ การร่วงลงอย่างหนักของเงินเยนภายใต้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางญี่ปุ่น
ไอเอ็มเอฟระบุว่า อัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงของเงินเยนที่ร่วงลง 10% ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมน้อยมาก หากรัฐบาลญี่ปุ่นเดินหน้าใช้นโยบาย "อาเบะโนมิคส์" อุปสงค์ในประเทศก็จะดีดตัวขึ้นและทำให้เกิดเงินเฟ้อต่อราคาสินค้า ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงของเงินเยนแข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ดี หากการปฏิรูปโครงสร้างทางการเงิน การปรับสมดุลการคลัง และการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อใหม่ไม่ประสบผลสำเร็จ ผลผลิตในญี่ปุ่นอาจร่วงลง 4% หลังผ่านไป 10 ปี และผลผลิตทั่วโลกอาจหดตัวถึง 2% ของจีดีพี ตลอดจนหนี้สาธารณะที่สูงกว่า 240% ของจีดีพี อาจเป็นความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจและค่าเงินเยนในช่วงต่อไป
* ชัตดาวน์
เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2556 รัฐบาลกลางสหรัฐจำเป็นต้องปิดทำการหน่วยงานบางส่วนเป็นครั้งแรกนับแต่ปี 2539 หรือในรอบ 17 ปี เนื่องจากสภาคองเกรสไม่สามารถประนีประนอมกันได้เกี่ยวกับร่างงบประมาณชั่วคราวภายในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 30 ก.ย. ตามเวลาสหรัฐ ก่อนที่จะเริ่มปีงบประมาณใหม่
ชัตดาวน์ หรือ การปิดหน่วยงานรัฐบาลดังกล่าวดำเนินยืดเยื้อมาเป็นเวลา 16 วัน จนกระทั่งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันยอมอ่อนข้อจับมือผ่านร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ ก่อนส่งให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามาลงนาม อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสของสหรัฐเมื่อวันที่ 17 ต.ค.นั้น จัดสรรงบประมาณสำหรับการดำเนินงานของรัฐบาลไปจนถึงวันที่ 15 ม.ค. และปรับเพิ่มเพดานหนี้ไปจนถึงวันที่ 7 ก.พ.เท่านั้น ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าช่วยสร้างความผ่อนคลายแก่ตลาดเงินทั่วโลกได้เพียงระยะสั้น
อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะต้องไปลุ้นระทึกกันอีกในปีหน้าฟ้าใหม่ ล่าสุดเมื่อเช้าวันที่ 10 ธ.ค.ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐ โลกก็ต้องถอนหายใจโล่งอก เมื่อได้รับข่าวดีว่าเดโมแครตและรีพับลิกันเคลียร์ร่างงบประมาณกันลงตัวแล้ว ซึ่งการันตีได้ว่ารัฐบาลกลางสหรัฐจะปลอดภาวะชัตดาวน์นาน 2 ปี หลังส.ว.แพตตี้ เมอร์เรย์ จากพรรคเดโมแครต และพอล ไรอัน จากพรรครีพับลิกัน ร่วมกันแถลงเรื่องร่างงบประมาณ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
* ยูโรโซนหลุดพ้นจากภาวะถดถอย
ข้ามฝั่งมาที่ยูโรโซนบ้าง หลังจากที่ดำดิ่งอยู่ในภาวะถดถอยมานานถึง 18 เดือน ในที่สุดเศรษฐกิจของ 17 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรก็หลุดพ้นจากสภาพดังกล่าว หลังจากเศรษฐกิจขยายตัว 0.3% ในช่วงไตรมาส 2 จากไตรมาสแรกที่เศรษฐกิจหดตัว 0.3% การฟื้นตัวดังกล่าวได้แรงหนุนจากประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่อย่างเยอรมนีและฝรั่งเศสที่ขยายตัว 0.7% และ 0.5% ตามลำดับในไตรมาสดังกล่าว ขณะที่เศรษฐกิจของโปรตุเกสที่ประสบภาวะหนี้สินอย่างโปรตุเกสก็หลุดพ้นจากภาวะถดถอยเช่นกัน ด้วยอัตราการขยายตัว 1.1% นับเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี
ด้านสเปนตามมาติดๆ เมื่อเศรษฐกิจของประเทศปรับตัวขึ้น 0.1% ในไตรมาส 3 จากที่หดตัว 0.1% ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งจีดีพีที่ปรับตัวขึ้นในไตรมาส 3 ของสเปน ถือเป็นการยุติภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ยืดเยื้อมากว่า 2 ปี เนื่องจากนายกรัฐมนตรีมาริอาโน ราฮอยของสเปนได้มุ่งเน้นการส่งออกเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมกับการปรับลดงบประมาณครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ ก่อนหน้านี้นายราฮอยให้คำมั่นที่จะสร้างเสถียรภาพให้แก่รัฐบาลก่อนวาระการดำรงตำแหน่งของเขาจะหมดลงในปี 2558
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าเศรษฐกิจยุโรปนั้นพลิกกลับมาขยายตัวได้ด้วยมาตรการรัดเข็มขัดเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการออกมาตรการพิมพ์เงินเข้าไปกระตุ้นเหมือนสหรัฐและญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจของบางประเทศในยูโรโซนกลับสู่เส้นทางขยายตัวแล้ว แต่ตัวเลขจีดีพียังนับว่าต่ำมาก จึงอาจกล่าวได้ว่าแม้ภาวะถดถอยของยูโรโซนยุติลงแล้ว แต่วิกฤติหนี้ยังมีอยู่ และน่าจะใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ กว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะช่วยลดตัวเลขหนี้สาธารณะของหลายประเทศลงได้ กระนั้นก็ตาม การฟื้นตัวของยูโรโซนถือเป็นข่าวดี เพราะว่าจะช่วยหนุนนำแนวโน้มเศรษฐกิจโลกได้
สรุปได้ว่า แม้เส้นทางเศรษฐกิจในปี 2557 จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่อย่างน้อยหลายๆประเทศก็เริ่มมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์กันบ้างแล้ว
เศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกเผชิญกับความผันผวนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาที่ล้มลุกคุกคลานหลังจากการล่มสลายของเลห์แมน บราเธอร์ส เมื่อ 5 ปีก่อน ขณะที่ยูโรโซนก็เผชิญวิกฤตหนี้สาธารณะ เมื่อกลุ่มประเทศ “หมู" หรือ PIIGS ได้แก่ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ และสเปน ต้องแบกภาระหนี้ภาครัฐสูงเกินตัว จนต้องกู้หนี้ยืมสินจากต่างประเทศ ขณะที่เอเชียแม้ไม่เจอปัญหาโดยตรง แต่ด้วยความที่ประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคต้องพึ่งพาการส่งออก เศรษฐกิจจึงหนีไม่พ้นติดร่างแหชะลอตัวลงตามไปด้วย
สำหรับเศรษฐกิจและการเงินโลกในปี 2556 ที่กำลังจะผ่านพ้นไปในอีกไม่ถึงเดือนนั้น ดูเหมือนจะเริ่มฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้นในภาพรวม แต่ถึงกระนั้น แนวโน้มเศรษฐกิจและการเงินในปี 2557 ยังไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างแน่นอน แต่ก่อนที่จะมองข้ามช็อตไปถึงปีหน้า คอลัมน์ In Focus สัปดาห์นี้ ขอนำท่านผู้อ่านย้อนกลับไปดู 3 เหตุการณ์เด่นทางเศรษฐกิจและการเงินโลกที่เกิดขึ้นในรอบปีที่ผ่านมา
* อาเบะโนมิคส์
"อาเบะโนมิคส์" ถือเป็นสมญานามที่โดดเด่นสมญานามหนึ่งที่ได้รับการเรียกขานกันในหมู่สำนักข่าวต่างประเทศจนถูกนำมาเสนอกันอย่างแพร่หลายในปีนี้ อาเบะโนมิคส์ คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุกของญี่ปุ่นที่ถูกเรียกชื่อตามนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ภายใต้มาตรการธนู 3 ดอก คือ การเงิน การคลัง และการปรับโครงสร้าง กล่าวคือการใช้มาตรการการคลังและการเงินแบบผสมผสาน ควบคู่กับการปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจากจะทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับมาเติบโตแล้ว ยังวางพื้นฐานให้เป็นการเติบโตแบบยั่งยืนในอนาคต
ภายใต้นโยบายเศรษฐกิจสูตร (สำเร็จ) ของนายอาเบะนั้น นายอาเบะได้เริ่มประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการคลังเมื่อต้นปีนี้ ด้วยการเพิ่มค่าใช้จ่ายเป็นเม็ดเงินราว 10 ล้านล้านเยน อัดฉีดสู่ระบบเศรษฐกิจทันที ขณะเดียวกัน นายอาเบะได้เลือกผู้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นคนใหม่ คือ นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ซึ่งประกาศใช้มาตรการการเงินแบบผ่อนคลาย ด้วยการตั้งเป้าที่จะกระตุ้นภาวะเงินเฟ้ออยู่ในระดับ 2% ให้สำเร็จภายใน 2 ปี โดยการให้แบงก์ชาติญี่ปุ่นเข้าซื้อหลักทรัพย์ หรือ QE สไตล์ญี่ปุ่น คิดเป็นมูลค่าราว 70,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน
นายมาซายูกิ คูโบตะ ผู้จัดการกองทุนอาวุโสของไดวา เอสบีไอ อินเวสเมนท์ กล่าวว่า ธนูดอกแรกของนโยบายอาเบะโนมิคส์ หรือการผ่อนคลายการเงินนั้นประสบความสำเร็จแล้ว เนื่องจากช่วยหยุดการแข็งค่าของเงินเยน ซึ่งจะส่งผลสืบเนื่องให้ผลกำไรของภาคธุรกิจปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ในส่วนของดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อนั้น ผลปรากฏว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ทำสถิติขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบ 5 ปี ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.2551 ที่ดัชนีกลับสู่แดนบวก และยังเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2541
สำหรับการใช้ธนูดอกที่ 3 หรือการปฏิรูปเศรษฐกิจนั้น นายอาเบะได้ประกาศขึ้นภาษีการขายขึ้นสู่ระดับ 8% ในเดือนเม.ย.ปีหน้า จากปัจจุบันที่ 5% ซึ่งเป็นการขึ้นภาษีการขายครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี ด้วยความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขหนี้สาธารณะของประเทศ เนื่องจากปัจจุบันญี่ปุ่นมีหนี้สินสูงสุดในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ คิดเป็นอัตราส่วน 245% ของจีดีพี ซึ่งนับเป็นประเด็นที่สร้างความไม่มั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างประเทศ โดยเกรงว่าญี่ปุ่นอาจตกอยู่ในสภาพที่คล้ายคลึงกับประเทศกรีซในที่สุด
อย่างไรก็ดี กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยว่า การใช้นโยบายอาเบะโนมิคส์อย่างเต็มรูปแบบ จะส่งผลบวกต่อการขยายตัวโดยรวมของเศรษฐกิจโลก แต่ในทางกลับกัน ถ้านโยบายอาเบะโนมิคส์ล้มเหลว ก็จะมีผลเสียอย่างหนักต่อเศรษฐกิจโลกด้วย
ในรายงานประเมินนโยบายเศรษฐกิจของหลายประเทศนั้น ไอเอ็มเอฟได้นำปัจจัยหลายอย่างมาพิจารณา อาทิ การร่วงลงอย่างหนักของเงินเยนภายใต้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางญี่ปุ่น
ไอเอ็มเอฟระบุว่า อัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงของเงินเยนที่ร่วงลง 10% ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมน้อยมาก หากรัฐบาลญี่ปุ่นเดินหน้าใช้นโยบาย "อาเบะโนมิคส์" อุปสงค์ในประเทศก็จะดีดตัวขึ้นและทำให้เกิดเงินเฟ้อต่อราคาสินค้า ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงของเงินเยนแข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ดี หากการปฏิรูปโครงสร้างทางการเงิน การปรับสมดุลการคลัง และการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อใหม่ไม่ประสบผลสำเร็จ ผลผลิตในญี่ปุ่นอาจร่วงลง 4% หลังผ่านไป 10 ปี และผลผลิตทั่วโลกอาจหดตัวถึง 2% ของจีดีพี ตลอดจนหนี้สาธารณะที่สูงกว่า 240% ของจีดีพี อาจเป็นความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจและค่าเงินเยนในช่วงต่อไป
* ชัตดาวน์
เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2556 รัฐบาลกลางสหรัฐจำเป็นต้องปิดทำการหน่วยงานบางส่วนเป็นครั้งแรกนับแต่ปี 2539 หรือในรอบ 17 ปี เนื่องจากสภาคองเกรสไม่สามารถประนีประนอมกันได้เกี่ยวกับร่างงบประมาณชั่วคราวภายในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 30 ก.ย. ตามเวลาสหรัฐ ก่อนที่จะเริ่มปีงบประมาณใหม่
ชัตดาวน์ หรือ การปิดหน่วยงานรัฐบาลดังกล่าวดำเนินยืดเยื้อมาเป็นเวลา 16 วัน จนกระทั่งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันยอมอ่อนข้อจับมือผ่านร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ ก่อนส่งให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามาลงนาม อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสของสหรัฐเมื่อวันที่ 17 ต.ค.นั้น จัดสรรงบประมาณสำหรับการดำเนินงานของรัฐบาลไปจนถึงวันที่ 15 ม.ค. และปรับเพิ่มเพดานหนี้ไปจนถึงวันที่ 7 ก.พ.เท่านั้น ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าช่วยสร้างความผ่อนคลายแก่ตลาดเงินทั่วโลกได้เพียงระยะสั้น
อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะต้องไปลุ้นระทึกกันอีกในปีหน้าฟ้าใหม่ ล่าสุดเมื่อเช้าวันที่ 10 ธ.ค.ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐ โลกก็ต้องถอนหายใจโล่งอก เมื่อได้รับข่าวดีว่าเดโมแครตและรีพับลิกันเคลียร์ร่างงบประมาณกันลงตัวแล้ว ซึ่งการันตีได้ว่ารัฐบาลกลางสหรัฐจะปลอดภาวะชัตดาวน์นาน 2 ปี หลังส.ว.แพตตี้ เมอร์เรย์ จากพรรคเดโมแครต และพอล ไรอัน จากพรรครีพับลิกัน ร่วมกันแถลงเรื่องร่างงบประมาณ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
* ยูโรโซนหลุดพ้นจากภาวะถดถอย
ข้ามฝั่งมาที่ยูโรโซนบ้าง หลังจากที่ดำดิ่งอยู่ในภาวะถดถอยมานานถึง 18 เดือน ในที่สุดเศรษฐกิจของ 17 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรก็หลุดพ้นจากสภาพดังกล่าว หลังจากเศรษฐกิจขยายตัว 0.3% ในช่วงไตรมาส 2 จากไตรมาสแรกที่เศรษฐกิจหดตัว 0.3% การฟื้นตัวดังกล่าวได้แรงหนุนจากประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่อย่างเยอรมนีและฝรั่งเศสที่ขยายตัว 0.7% และ 0.5% ตามลำดับในไตรมาสดังกล่าว ขณะที่เศรษฐกิจของโปรตุเกสที่ประสบภาวะหนี้สินอย่างโปรตุเกสก็หลุดพ้นจากภาวะถดถอยเช่นกัน ด้วยอัตราการขยายตัว 1.1% นับเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 2 ปี
ด้านสเปนตามมาติดๆ เมื่อเศรษฐกิจของประเทศปรับตัวขึ้น 0.1% ในไตรมาส 3 จากที่หดตัว 0.1% ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งจีดีพีที่ปรับตัวขึ้นในไตรมาส 3 ของสเปน ถือเป็นการยุติภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ยืดเยื้อมากว่า 2 ปี เนื่องจากนายกรัฐมนตรีมาริอาโน ราฮอยของสเปนได้มุ่งเน้นการส่งออกเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมกับการปรับลดงบประมาณครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ ก่อนหน้านี้นายราฮอยให้คำมั่นที่จะสร้างเสถียรภาพให้แก่รัฐบาลก่อนวาระการดำรงตำแหน่งของเขาจะหมดลงในปี 2558
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าเศรษฐกิจยุโรปนั้นพลิกกลับมาขยายตัวได้ด้วยมาตรการรัดเข็มขัดเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการออกมาตรการพิมพ์เงินเข้าไปกระตุ้นเหมือนสหรัฐและญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจของบางประเทศในยูโรโซนกลับสู่เส้นทางขยายตัวแล้ว แต่ตัวเลขจีดีพียังนับว่าต่ำมาก จึงอาจกล่าวได้ว่าแม้ภาวะถดถอยของยูโรโซนยุติลงแล้ว แต่วิกฤติหนี้ยังมีอยู่ และน่าจะใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ กว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะช่วยลดตัวเลขหนี้สาธารณะของหลายประเทศลงได้ กระนั้นก็ตาม การฟื้นตัวของยูโรโซนถือเป็นข่าวดี เพราะว่าจะช่วยหนุนนำแนวโน้มเศรษฐกิจโลกได้
สรุปได้ว่า แม้เส้นทางเศรษฐกิจในปี 2557 จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่อย่างน้อยหลายๆประเทศก็เริ่มมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์กันบ้างแล้ว
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4802
ส่องคนเสพสื่อปี'57 ยุคสารพัดแพลตฟอร์ม
โดย : ประกายดาว แบ่งสันเทียะ
ไลฟ์สไตล์การเสพสื่อที่เปลี่ยนไป ในจังหวะรอยต่อที่ "สื่อหลัก" เริ่มลดอิทธิพลลง แต่ยังไม่ยอมสิโรราบให้ "สื่อใหม่"การสื่อสารจึงไม่ง่าย
เมื่อบริบทการเสพสื่อแทรกซึม เปลี่ยนรูป (Transformation) จากสื่อหลักดั้งเดิม (Traditional Media) ที่มีไม่กี่แพลตฟอร์มอย่าง หนังสือพิมพ์ ทีวี วิทยุ มาสู่สื่อใหม่ (New Media) ผ่านช่องทางสังคมออนไลน์อันหลากหลาย ตั้งแต่ twitter,facebook, line, Instagram และ Applications พาผู้บริโภค "เสพติด" โลกอินเตอร์แอคทีฟ แทนการสื่อสารแบบทางเดียว โดยมีอัจฉริยะมือถืออย่าง "สมาร์ทโฟน" เป็นตัวขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลง
สังเกตจากในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา "นักการตลาด" รุ่นเก่า-ใหม่ต้องปรับกลยุทธ์กันพัลวัน เพื่อตอบโจทย์ให้ได้ว่า จะเลือกใช้ "สื่อเก่า" เพื่อเล็งผลเลิศไปยังหามวลมหาชน (Mass) หรือจะใช้ "สื่อใหม่" ยิงตรงหัวใจกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง (Segmentation)
สื่อแบบไหนจะทรงพลังกว่ากัน !!!
"หมัดเด็ด" มัดใจผู้บริโภควันวาน อาจใช้ไม่ได้ในวันนี้ วันที่ช่องทางการรับสื่อมีมากมายหลากแพลตฟอร์ม ยิ่งในปี 2557 ที่วิถีแห่งออนไลน์ จะเข้มข้นมากขึ้นทุกขณะ
ศรินทร วานิชพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีเวอเรจ จำกัด มีเดียเอเยนซี่ คว่ำหวอดในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค มานานกว่า 30 ปี ให้ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคว่า อัตราการใช้สมาร์ทโฟนแพร่หลายจนมียอดเติบโตพุ่งถึง 50% ในปี 2556 ในยุคที่ผู้คนใช้เวลานั่งไล่นิ้วจิ้มหน้าจอทัชสกรีนกันเป็นบ้าเป็นหลัง พฤติกรรมเช่นนี้ยังกลายเป็นช่องทางหลักในการหาข้อมูล "แซงหน้า" คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะไปแล้ว "ถึง 3 เท่า"
แถมท้ายด้วยการใช้สมาร์ทโฟนเป็นทางเลือกในการดูทีวีอินเทอร์เน็ตย้อนหลัง ในยามที่พลาดรายการโปรด
ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. ยังระบุว่า ชั่วโมงการเสพสื่อออนไลน์ในปี 2556 เพิ่มขึ้นมาก โดยมีจำนวนชั่วโมงการเสพเฉลี่ยสูงถึง 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในจำนวนนี้เป็นการดูทีวีออนไลน์ เฉลี่ยสูงถึง 10.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (1 ใน 3 ) และพบว่า เป็นการดูฟรีทีวีย้อนหลังเพื่อตามติดรายการโปรดที่ตัวเองพลาดมากถึง 82%
เรียกว่าเกิดการ "เปลี่ยนโหมด" การดูทีวีจากหน้าจอทีวีปกติ เป็นการดูผ่านสมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต (Tablet)
สิ่งเหล่านี้ทำให้นักการตลาดต้องทำการบ้านหนักขึ้น หากต้องการเข้าถึงมนุษย์พันธุ์ใหม่ ผู้ซึ่งไม่ปล่อยให้สื่อดั้งเดิมจูงจมูกอีกต่อไป
หากจะต้องเชื่ออะไรสักอย่าง พวกเขาจะเลือกเชื่อข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมากกว่าถึง 70% เป็นรองเพียงการเชื่อข้อมูลจากคนใกล้ชิด โดยพวกเขาจะเลือกหันไปรับฟังข้อมูลจากบล็อกเกอร์ หรือ ผู้ทรงอิทธิพล (Influencer) ทั้งหลายไปพร้อมกัน
ศรินทร ยกตัวอย่างเหล่าผู้ทรงอิทธิพลที่ "แจ้งเกิด" จากโซเชียลมีเดีย จนต้องคลิกไลค์ หรืออยากฟอลโล่ว เช่น น้องเนย เด็กประถมต่างจังหวัดหน้าตาธรรมดา ที่ถูกใช้รูปนำมาถ่ายทอดเรื่องราวเสียดสีแดกดันเรื่องสิ่งแวดล้อม รักสังคมและ รักษ์โลก หรือแม้แต่เจย์เดอะแรบบิท (Jaytherabbit) ที่ถ่ายทอดแนวคิดเรื่องราวกัดจิกสังคม โดนใจคนวัยทำงาน เช่น ชีวิตของคนโสดหรือคนขึ้นคาน เป็นต้น
"น้องเนย ไม่เปิดเผยตัวจริง เป็นเพียงการเล่นสนุกในโลกโซเชียลมีเดีย แต่สำหรับเจย์แรบบิทเปิดเผยตัวตน และมีแฟนเพจเข้ามากดไลค์ประมาณ 4.4 แสนคน จำนวนคนตามที่มากพอทำให้พวกเขาเป็นตัวสะท้อนที่นักการตลาดต้องแทรกเข้าไปทำแคมเปญโดยใช้คนเหล่านี้เป็นตัวบอกเล่าเรื่องราว และกิจกรรมทางการตลาดอย่างแนบเนียน เจย์เดอะแรบบิทจึงมีสินค้าหลากหลายชิ้นที่ใช้เจ้าตัว somebody เป็นเครื่องมือทางการตลาดบอกเล่าเรื่องราวสินค้า"
ขณะที่บล็อกเกอร์ผู้ทรงอิทธิพล เช่น โมเม อดีตนักร้อง ที่ผันตัวเองมาเป็นกูรูด้านแต่งหน้า การใช้เครื่องสำอาง มีสาวกคนรักสวยรักงาม ตามดูวิธีการทำสวยด้วยตัวเองไม่น้อย หรือแม้กระทั่งบล็อกเกอร์ผู้เชี่ยวชาญการใช้อุปกรณ์ไอที ก็มีคนตามเป็นสาวกมากมาย
นั่นทำให้นักการตลาดเวลาจัดงานแถลงข่าว นอกจากจะจัดรอบสื่อมวลชนแล้ว ยังต้องจัดรอบ"บล็อกเกอร์" เพิ่มขึ้นอีก เพื่อนำเนื้อหาของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เปิดตัวนำเสนอกับบรรดาบล็อกเกอร์ได้ยลโฉมแล้ว เพื่อให้หยิบไปเขียนลงบล็อก
นั่นคือปรากฏการณ์ของผู้ทรงอิทธิพลที่เข้ามามีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของผู้บริโภคในยุคใหม่ แทนสื่อหลัก
ที่พูดกันเรื่อง "โฆษณาชวนเชื่อ" (Propaganda)
ศรินทร ยังบอกด้วยว่า คนยุคนี้จะ "เกาะเกี่ยว" สังคมไปกับเขาทุกที่ทุกเวลา ไม่เฉพาะกับวัยรุ่นที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต โดยพบว่าอายุกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตขยับสูงไปถึงวัย 35-65 ปี ขยายมาถึงยุคเบบี้บูมเมอร์บางส่วน ที่ไม่อยากตกกระแส
"สัดส่วนคนสูงอายุใช้อินเทอร์เน็ตเยอะขึ้นจริง โดยเฉพาะวัยเกษียณอายุ คนเหล่านี้มีกลุ่มเพื่อนที่ชวนพูดคุยเรื่องสนุกสนาน เรื่องสุขภาพ และกลุ่มชวนเที่ยว ถือเป็นวัยที่มองข้ามไม่ได้เลย เพราะเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อจากเงินสะสมที่มีอยู่ เพื่อใช้เติมเต็มความสุขในบั้นปลายชีวิต"
สัดส่วนคนสูงอายุไม่ใช่น้อยๆ ประชากรไทยวัยมากกว่า 50 ปีขึ้นไปจะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นถึง 14% ในปี 2558 หรือมีจำนวนถึง 9.5 ล้านคน
โดยทั่วไปที่มักจะใช้โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะไลน์ เพราะใช้ง่ายและใกล้ชิดกับกลุ่มเพื่อนในสังคมได้ตลอดเวลา มีชีวิตร่วมกันแชร์ร่วมกันพูดคุยแสดงความคิดเห็นในชีวิตประจำวันที่ประสบพบเจอ แต่ละคนโดยเฉลี่ยจึงมีกลุ่มไลน์ไม่ต่ำกว่า 3 กลุ่มเป็นอย่างน้อย
ตั้งแต่วัยเรียนระดับมัธยม ที่คบกันมาเหนียวแน่น ข้ามมาถึงกลุ่มมหาวิทยาลัย และต่อเนื่องมาถึงกลุ่มวัยทำงาน
"กลุ่มก้อนโซเชียลมีเดีย จะตามติดและอยู่กับคนในโลกยุคหน้าในสัดส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ"
นั่นคือเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นอย่างเข้มข้นกับสังคมไทยในปี 2557 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่จะขยายตัวมากขึ้นอย่างรวดเร็วต่อเนื่องมาจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
"แน่นอนว่าเมื่อสังคมเราใช้เวลาในแต่ละวันหมดไปกับการนั่งอยู่กับจอเป็นหลัก ทำให้พฤติกรรมการสื่อสารเปลี่ยนไป เราอาจจะเก่งในการแสดงออกผ่านหน้าจอ ทั้งสามีและภรรยา เมื่ออยู่ในที่ทำงานคุยกันผ่านไลน์ แต่เมื่อกลับมาบ้าน กลับไม่คุยกัน แต่กลับเอาเวลาที่อยู่ในบ้านไปสื่อสารกับเพื่อนในจอมือถือเป็นหลัก"
แปลกแต่จริงที่คนยุคหน้าจะไม่ถนัดในด้านการสื่อสารผ่านตัวต่อตัว (Face to Face) เท่ากับการสื่อสารผ่านหน้าจอ
ผลสำรวจของสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน ใน ม.ค.ปี 2556 สำรวจเด็กไทย 3,058 คน สะท้อนถึงพฤติกรรมการใช้สื่อที่เปลี่ยนไป พบว่า ใน 1 วัน เด็กในสัดส่วน 35% ใช้เวลาอยู่กับจอโซเชียลมีเดียถึงวันละ 8 ชั่วโมง โดยเด็กกลุ่มนี้จะเช็คเฟซบุ๊คและไลน์ก่อนนอน ใช้มือถือเพื่อติดต่อผ่านโซเชียลมีเดียถึง 75.7% สัดส่วน 20.3% กดเล่นมือถือระหว่างที่ยังเรียนหนังสือ
ที่สำคัญสัดส่วนที่ทนไม่ได้หากไม่มีมือถือมีสูงถึง 42.5%
ขณะที่คนไทยทั่วไปใช้อินเทอร์เน็ต 69% ใช้โซเชียลมีเดีย 65% แชทผ่านทางไลน์ 57% เล่นแอพพลิเคชั่นต่างๆ 57% ส่งเอสเอ็มเอส 44% ส่งอีเมล์ 34% และดูคลิปวีดีโอผ่านทางยูทูป 32%
อย่างไรก็ตาม ศรินทร มองว่า ในแง่การซื้อสื่อใน 1-2 ปีข้างหน้า จะยังไม่เทไปที่สื่อใหม่เสียทีเดียว แม้อนาคตจะต้องเปลี่ยนไปก็ตาม เนื่องจากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นเฉพาะในสังคมเมืองสัดส่วน 30% ของประชากรทั้งประเทศ 60 กว่าล้านคน ที่หมายถึงคนในกรุงเทพฯ และในหัวเมืองในต่างจังหวัด ที่เข้าถึงสมาร์ทโฟน
ไม่นับคนในต่างจังหวัดที่ไกลออกไป ซึ่งสื่อดั้งเดิมยังคงมีอิทธิพลต่อพวกเขาอยู่ไม่น้อย
-------------------------------------------------------------
ผสานสื่อเก่า-สื่อใหม่ ยุครอยต่อ
ศรินทร วานิชพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีเวอเรจ จำกัด ให้ทัศนะถึงการซื้อสื่อโฆษณาว่า สื่อที่ใช้จะต้องผสมผสานให้หลากหลาย อาจมีส่วนผสมของ "สื่อเก่า-สื่อใหม่" เข้าด้วยกัน นักการตลาดจะต้องแก้สมการให้ได้ เพราะผู้บริโภคเป้าหมายกระจัดกระจายตามวิถีชีวิตที่ต่างกัน จึงต้องตีโจทย์ให้แตกสร้างเนื้อหา (Content) ให้โดน
เธอยกตัวอย่างว่า หากเจ้าของสินค้าต้องการใช้สื่อโฆษณาสินค้า น่าจะเริ่มต้นจากมีเว็บไซต์เพื่อบอกเล่าความเป็นภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) ขณะที่โซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และไลน์ เป็นพื้นที่บอกเล่ากิจกรรมการตลาด แคมเปญ สื่อสารกับผู้บริโภค เป็นการปฏิสัมพันธ์กันโดยตรงระหว่างแบรนด์กับลูกค้า
“สื่อเก่าต่างกันก็ตรงที่เราวัดความน่าจะเป็นจากการรับรู้ จดจำแบรนด์จากเรตติ้ง ขณะที่สื่อใหม่สามารถระบุจำนวนได้เลยว่า คน เพศ อายุ ในการสื่อสารมีจำนวนเท่าไหร่ สามารถเลือกทำการตลาดได้ตรงกลุ่มเป้าหมายกว่า นั่นจะทำให้เจ้าของสินค้าทุกแบรนด์ต้องปรับตัวมี ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค แฟนเพจ รวมถึง ไลน์"
นักวางแผนกลยุทธ์การใช้สื่อ ยังยกกรณีศึกษาการใช้สื่อแบบผสมผสานสื่อใหม่และสื่อเก่าได้อย่างลงตัว เช่น แคมเปญไอศกรีมแมกนั่ม (Campaign Magnum) แม้จะใช้งบการตลาดที่ว่ากันว่าสูงถึง 100 ล้านบาท แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับยอดขายที่กลับมาใน 1 เดือนเปิดตัวประมาณเดือนมิ.ย.ในปี 2555 ขายได้ 10 ล้านแท่ง ถือว่าสูงกว่ายอดขายทั้งปี 2554
โดยแมกนั่ม เริ่มต้นจากการใช้ดารา ที่เป็นเซเลบ สื่อสารจุดประกายความฟินจากการกินไอศกรีมช็อคโกแลตจากเบลเยี่ยม ผ่านทางอินสตาแกรมของดารา ก็เป็นการเล่นกับโซเชียลมีเดีย มีการทำเฟซบุ๊คแฟนเพจ ที่มีคนมาร่วมกดไลค์ติดตามถึง 460,983 คน พร้อมกับการทุ่มงบประมาณเปิดตัวอย่างอลังการ ขณะเดียวกัน ก็ไม่ทิ้งสื่อเก่า (offline) ซื้อสื่อทางทีวี วิทยุ ภาพยนตร์ และแมกนั่มคาเฟ่ (Magnum Cafe)
เมื่อสื่อใหม่เข้าจะมีอิทธิพลและขยายวงกว้างต่อผู้บริโภคมากขึ้น แต่ก็เป็นสัดส่วนสังคมเมืองที่มีอยู่ราว 30% เท่านั้น จึงไม่อาจเหมารวมว่าเป็นแนวทางการทำตลาดของคนทั้งประเทศ เพราะยังมีกลุ่มคนที่ยังไม่เข้าถึงสื่อใหม่ ในสัดส่วนราว 60-70% ซึ่งเป็นตลาดส่วนใหญ่ ที่ยังคงอิงกับการบริโภคสื่อเก่าเป็นหลัก
นักการตลาดจึงทิ้งสื่อเก่าไม่ได้ !!!
ในเมื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีทีวีดูสัดส่วนถึง 92% นั่นย่อมทำให้นักการตลาดสามารถใช้เงินเทลงไปในสื่อเก่า แม้จะมีสื่อใหม่เกิดขึ้นก็ตามที อัตราค่าโฆษณาที่ครองแชมป์สูง เพราะคำนวณตามความถี่ในการเข้าถึงคนส่วนใหญ่ ต้องยกให้กับละคร รองลงมาคือรายการข่าว
“ปี 2557 กลับมีรายการข่าวและละครกล้าขึ้นอัตราค่าโฆษณาเพราะมั่นใจว่า ยังดึงคนดูได้ นอกจากรายการแล้ว ยังเป็นเพราะการทำการตลาดของสื่อเก่าที่เชื่อมโยงไปหาสื่อใหม่”
ขณะที่รสนิยมคนต่างจังหวัดส่วนใหญ่ ยังค่อนข้างแตกต่างจากคนเมือง จากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ไม่ทั่วถึง เมื่อสื่อที่พวกเขารับได้ยังคงเป็นสื่อเก่า สินค้าที่ยังคงเกาะติดกับสื่อเก่าจึงได้แก่สินค้าในกลุ่มที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Product) ซึ่งจะต้องใช้สื่อเก่าทำให้แบรนด์สินค้าของตัวเองไปโผล่อยู่ในสายตาคนหมู่มากให้ได้มากที่สุด
หากเจาะแยกไปถึงระดับการเสพสื่อในแต่ละวัย เอเจนซี่รายนี้เล่าว่า เด็กอายุต่ำกว่า 15-18 ปี ยังคงนิยมฟังเพลง ช่องทางหลักยังคงเป็นการฟังผ่านวิทยุ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดและทัศนคติของพวกเขาก็ คือ ศิลปิน ดารานักร้อง เด็กวัยนี้จึงชอบที่จะเป็นแฟนคลับติดตามศิลปิน
ส่วนเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย อายุระหว่าง 18-25 ปี วัยศึกษาระดับมหาวิทยาลัย จนถึงระดับวัยเริ่มทำงาน (First Jobber) กลุ่มคนรุ่นใหม่ จะเน้นการเสพสื่อผ่านออนไลน์ เกาะติดสังคมออนไลน์ ในโลกโซเชียมีเดียเป็นหลัก
ส่วนวัย 25-35 ปี เป็นเด็กที่กลางเก่ากลางใหม่ เติบโตมาในยุคเทคโนโลยีเฟื่องฟู แต่ขณะเดียวกันก็ทันกลิ่นอายของอิทธิพลสื่อรุ่นเก่า แม้จะมีครอบครัวไปแล้ว ต้องถูกดึงความสนใจไปให้กับครอบครัว แต่ชีวิตก็ต้องมีโลกออนไลน์มาคู่กัน เพราะกลัวหลุดกระแส
เช่นเดียวกันคนวัย 35 ปีขึ้นไปจนถึงเบบี้บูม แม้จะไม่ได้เติบโตมากับเทคโนโลยี แต่พวกเขาก็มีกำลังซื้อ และกลัวตกเทรนด์ไม่แพ้กัน จึงให้ไม่พลาดที่จะเกาะกลุ่มเพื่อน ในเมื่อสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ง่าย เข้าถึงง่าย
สื่อการโฆษณาที่โดนใจคนยุคนี้ ยังจะต้องไปกระตุ้นความรู้สึก Cool เท่ ถึงจะถูกจริต
โดย : ประกายดาว แบ่งสันเทียะ
ไลฟ์สไตล์การเสพสื่อที่เปลี่ยนไป ในจังหวะรอยต่อที่ "สื่อหลัก" เริ่มลดอิทธิพลลง แต่ยังไม่ยอมสิโรราบให้ "สื่อใหม่"การสื่อสารจึงไม่ง่าย
เมื่อบริบทการเสพสื่อแทรกซึม เปลี่ยนรูป (Transformation) จากสื่อหลักดั้งเดิม (Traditional Media) ที่มีไม่กี่แพลตฟอร์มอย่าง หนังสือพิมพ์ ทีวี วิทยุ มาสู่สื่อใหม่ (New Media) ผ่านช่องทางสังคมออนไลน์อันหลากหลาย ตั้งแต่ twitter,facebook, line, Instagram และ Applications พาผู้บริโภค "เสพติด" โลกอินเตอร์แอคทีฟ แทนการสื่อสารแบบทางเดียว โดยมีอัจฉริยะมือถืออย่าง "สมาร์ทโฟน" เป็นตัวขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลง
สังเกตจากในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา "นักการตลาด" รุ่นเก่า-ใหม่ต้องปรับกลยุทธ์กันพัลวัน เพื่อตอบโจทย์ให้ได้ว่า จะเลือกใช้ "สื่อเก่า" เพื่อเล็งผลเลิศไปยังหามวลมหาชน (Mass) หรือจะใช้ "สื่อใหม่" ยิงตรงหัวใจกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง (Segmentation)
สื่อแบบไหนจะทรงพลังกว่ากัน !!!
"หมัดเด็ด" มัดใจผู้บริโภควันวาน อาจใช้ไม่ได้ในวันนี้ วันที่ช่องทางการรับสื่อมีมากมายหลากแพลตฟอร์ม ยิ่งในปี 2557 ที่วิถีแห่งออนไลน์ จะเข้มข้นมากขึ้นทุกขณะ
ศรินทร วานิชพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีเวอเรจ จำกัด มีเดียเอเยนซี่ คว่ำหวอดในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค มานานกว่า 30 ปี ให้ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคว่า อัตราการใช้สมาร์ทโฟนแพร่หลายจนมียอดเติบโตพุ่งถึง 50% ในปี 2556 ในยุคที่ผู้คนใช้เวลานั่งไล่นิ้วจิ้มหน้าจอทัชสกรีนกันเป็นบ้าเป็นหลัง พฤติกรรมเช่นนี้ยังกลายเป็นช่องทางหลักในการหาข้อมูล "แซงหน้า" คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะไปแล้ว "ถึง 3 เท่า"
แถมท้ายด้วยการใช้สมาร์ทโฟนเป็นทางเลือกในการดูทีวีอินเทอร์เน็ตย้อนหลัง ในยามที่พลาดรายการโปรด
ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. ยังระบุว่า ชั่วโมงการเสพสื่อออนไลน์ในปี 2556 เพิ่มขึ้นมาก โดยมีจำนวนชั่วโมงการเสพเฉลี่ยสูงถึง 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในจำนวนนี้เป็นการดูทีวีออนไลน์ เฉลี่ยสูงถึง 10.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (1 ใน 3 ) และพบว่า เป็นการดูฟรีทีวีย้อนหลังเพื่อตามติดรายการโปรดที่ตัวเองพลาดมากถึง 82%
เรียกว่าเกิดการ "เปลี่ยนโหมด" การดูทีวีจากหน้าจอทีวีปกติ เป็นการดูผ่านสมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต (Tablet)
สิ่งเหล่านี้ทำให้นักการตลาดต้องทำการบ้านหนักขึ้น หากต้องการเข้าถึงมนุษย์พันธุ์ใหม่ ผู้ซึ่งไม่ปล่อยให้สื่อดั้งเดิมจูงจมูกอีกต่อไป
หากจะต้องเชื่ออะไรสักอย่าง พวกเขาจะเลือกเชื่อข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมากกว่าถึง 70% เป็นรองเพียงการเชื่อข้อมูลจากคนใกล้ชิด โดยพวกเขาจะเลือกหันไปรับฟังข้อมูลจากบล็อกเกอร์ หรือ ผู้ทรงอิทธิพล (Influencer) ทั้งหลายไปพร้อมกัน
ศรินทร ยกตัวอย่างเหล่าผู้ทรงอิทธิพลที่ "แจ้งเกิด" จากโซเชียลมีเดีย จนต้องคลิกไลค์ หรืออยากฟอลโล่ว เช่น น้องเนย เด็กประถมต่างจังหวัดหน้าตาธรรมดา ที่ถูกใช้รูปนำมาถ่ายทอดเรื่องราวเสียดสีแดกดันเรื่องสิ่งแวดล้อม รักสังคมและ รักษ์โลก หรือแม้แต่เจย์เดอะแรบบิท (Jaytherabbit) ที่ถ่ายทอดแนวคิดเรื่องราวกัดจิกสังคม โดนใจคนวัยทำงาน เช่น ชีวิตของคนโสดหรือคนขึ้นคาน เป็นต้น
"น้องเนย ไม่เปิดเผยตัวจริง เป็นเพียงการเล่นสนุกในโลกโซเชียลมีเดีย แต่สำหรับเจย์แรบบิทเปิดเผยตัวตน และมีแฟนเพจเข้ามากดไลค์ประมาณ 4.4 แสนคน จำนวนคนตามที่มากพอทำให้พวกเขาเป็นตัวสะท้อนที่นักการตลาดต้องแทรกเข้าไปทำแคมเปญโดยใช้คนเหล่านี้เป็นตัวบอกเล่าเรื่องราว และกิจกรรมทางการตลาดอย่างแนบเนียน เจย์เดอะแรบบิทจึงมีสินค้าหลากหลายชิ้นที่ใช้เจ้าตัว somebody เป็นเครื่องมือทางการตลาดบอกเล่าเรื่องราวสินค้า"
ขณะที่บล็อกเกอร์ผู้ทรงอิทธิพล เช่น โมเม อดีตนักร้อง ที่ผันตัวเองมาเป็นกูรูด้านแต่งหน้า การใช้เครื่องสำอาง มีสาวกคนรักสวยรักงาม ตามดูวิธีการทำสวยด้วยตัวเองไม่น้อย หรือแม้กระทั่งบล็อกเกอร์ผู้เชี่ยวชาญการใช้อุปกรณ์ไอที ก็มีคนตามเป็นสาวกมากมาย
นั่นทำให้นักการตลาดเวลาจัดงานแถลงข่าว นอกจากจะจัดรอบสื่อมวลชนแล้ว ยังต้องจัดรอบ"บล็อกเกอร์" เพิ่มขึ้นอีก เพื่อนำเนื้อหาของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เปิดตัวนำเสนอกับบรรดาบล็อกเกอร์ได้ยลโฉมแล้ว เพื่อให้หยิบไปเขียนลงบล็อก
นั่นคือปรากฏการณ์ของผู้ทรงอิทธิพลที่เข้ามามีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของผู้บริโภคในยุคใหม่ แทนสื่อหลัก
ที่พูดกันเรื่อง "โฆษณาชวนเชื่อ" (Propaganda)
ศรินทร ยังบอกด้วยว่า คนยุคนี้จะ "เกาะเกี่ยว" สังคมไปกับเขาทุกที่ทุกเวลา ไม่เฉพาะกับวัยรุ่นที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต โดยพบว่าอายุกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตขยับสูงไปถึงวัย 35-65 ปี ขยายมาถึงยุคเบบี้บูมเมอร์บางส่วน ที่ไม่อยากตกกระแส
"สัดส่วนคนสูงอายุใช้อินเทอร์เน็ตเยอะขึ้นจริง โดยเฉพาะวัยเกษียณอายุ คนเหล่านี้มีกลุ่มเพื่อนที่ชวนพูดคุยเรื่องสนุกสนาน เรื่องสุขภาพ และกลุ่มชวนเที่ยว ถือเป็นวัยที่มองข้ามไม่ได้เลย เพราะเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อจากเงินสะสมที่มีอยู่ เพื่อใช้เติมเต็มความสุขในบั้นปลายชีวิต"
สัดส่วนคนสูงอายุไม่ใช่น้อยๆ ประชากรไทยวัยมากกว่า 50 ปีขึ้นไปจะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นถึง 14% ในปี 2558 หรือมีจำนวนถึง 9.5 ล้านคน
โดยทั่วไปที่มักจะใช้โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะไลน์ เพราะใช้ง่ายและใกล้ชิดกับกลุ่มเพื่อนในสังคมได้ตลอดเวลา มีชีวิตร่วมกันแชร์ร่วมกันพูดคุยแสดงความคิดเห็นในชีวิตประจำวันที่ประสบพบเจอ แต่ละคนโดยเฉลี่ยจึงมีกลุ่มไลน์ไม่ต่ำกว่า 3 กลุ่มเป็นอย่างน้อย
ตั้งแต่วัยเรียนระดับมัธยม ที่คบกันมาเหนียวแน่น ข้ามมาถึงกลุ่มมหาวิทยาลัย และต่อเนื่องมาถึงกลุ่มวัยทำงาน
"กลุ่มก้อนโซเชียลมีเดีย จะตามติดและอยู่กับคนในโลกยุคหน้าในสัดส่วนมากขึ้นเรื่อยๆ"
นั่นคือเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นอย่างเข้มข้นกับสังคมไทยในปี 2557 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่จะขยายตัวมากขึ้นอย่างรวดเร็วต่อเนื่องมาจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
"แน่นอนว่าเมื่อสังคมเราใช้เวลาในแต่ละวันหมดไปกับการนั่งอยู่กับจอเป็นหลัก ทำให้พฤติกรรมการสื่อสารเปลี่ยนไป เราอาจจะเก่งในการแสดงออกผ่านหน้าจอ ทั้งสามีและภรรยา เมื่ออยู่ในที่ทำงานคุยกันผ่านไลน์ แต่เมื่อกลับมาบ้าน กลับไม่คุยกัน แต่กลับเอาเวลาที่อยู่ในบ้านไปสื่อสารกับเพื่อนในจอมือถือเป็นหลัก"
แปลกแต่จริงที่คนยุคหน้าจะไม่ถนัดในด้านการสื่อสารผ่านตัวต่อตัว (Face to Face) เท่ากับการสื่อสารผ่านหน้าจอ
ผลสำรวจของสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน ใน ม.ค.ปี 2556 สำรวจเด็กไทย 3,058 คน สะท้อนถึงพฤติกรรมการใช้สื่อที่เปลี่ยนไป พบว่า ใน 1 วัน เด็กในสัดส่วน 35% ใช้เวลาอยู่กับจอโซเชียลมีเดียถึงวันละ 8 ชั่วโมง โดยเด็กกลุ่มนี้จะเช็คเฟซบุ๊คและไลน์ก่อนนอน ใช้มือถือเพื่อติดต่อผ่านโซเชียลมีเดียถึง 75.7% สัดส่วน 20.3% กดเล่นมือถือระหว่างที่ยังเรียนหนังสือ
ที่สำคัญสัดส่วนที่ทนไม่ได้หากไม่มีมือถือมีสูงถึง 42.5%
ขณะที่คนไทยทั่วไปใช้อินเทอร์เน็ต 69% ใช้โซเชียลมีเดีย 65% แชทผ่านทางไลน์ 57% เล่นแอพพลิเคชั่นต่างๆ 57% ส่งเอสเอ็มเอส 44% ส่งอีเมล์ 34% และดูคลิปวีดีโอผ่านทางยูทูป 32%
อย่างไรก็ตาม ศรินทร มองว่า ในแง่การซื้อสื่อใน 1-2 ปีข้างหน้า จะยังไม่เทไปที่สื่อใหม่เสียทีเดียว แม้อนาคตจะต้องเปลี่ยนไปก็ตาม เนื่องจากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นเฉพาะในสังคมเมืองสัดส่วน 30% ของประชากรทั้งประเทศ 60 กว่าล้านคน ที่หมายถึงคนในกรุงเทพฯ และในหัวเมืองในต่างจังหวัด ที่เข้าถึงสมาร์ทโฟน
ไม่นับคนในต่างจังหวัดที่ไกลออกไป ซึ่งสื่อดั้งเดิมยังคงมีอิทธิพลต่อพวกเขาอยู่ไม่น้อย
-------------------------------------------------------------
ผสานสื่อเก่า-สื่อใหม่ ยุครอยต่อ
ศรินทร วานิชพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีเวอเรจ จำกัด ให้ทัศนะถึงการซื้อสื่อโฆษณาว่า สื่อที่ใช้จะต้องผสมผสานให้หลากหลาย อาจมีส่วนผสมของ "สื่อเก่า-สื่อใหม่" เข้าด้วยกัน นักการตลาดจะต้องแก้สมการให้ได้ เพราะผู้บริโภคเป้าหมายกระจัดกระจายตามวิถีชีวิตที่ต่างกัน จึงต้องตีโจทย์ให้แตกสร้างเนื้อหา (Content) ให้โดน
เธอยกตัวอย่างว่า หากเจ้าของสินค้าต้องการใช้สื่อโฆษณาสินค้า น่าจะเริ่มต้นจากมีเว็บไซต์เพื่อบอกเล่าความเป็นภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) ขณะที่โซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และไลน์ เป็นพื้นที่บอกเล่ากิจกรรมการตลาด แคมเปญ สื่อสารกับผู้บริโภค เป็นการปฏิสัมพันธ์กันโดยตรงระหว่างแบรนด์กับลูกค้า
“สื่อเก่าต่างกันก็ตรงที่เราวัดความน่าจะเป็นจากการรับรู้ จดจำแบรนด์จากเรตติ้ง ขณะที่สื่อใหม่สามารถระบุจำนวนได้เลยว่า คน เพศ อายุ ในการสื่อสารมีจำนวนเท่าไหร่ สามารถเลือกทำการตลาดได้ตรงกลุ่มเป้าหมายกว่า นั่นจะทำให้เจ้าของสินค้าทุกแบรนด์ต้องปรับตัวมี ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค แฟนเพจ รวมถึง ไลน์"
นักวางแผนกลยุทธ์การใช้สื่อ ยังยกกรณีศึกษาการใช้สื่อแบบผสมผสานสื่อใหม่และสื่อเก่าได้อย่างลงตัว เช่น แคมเปญไอศกรีมแมกนั่ม (Campaign Magnum) แม้จะใช้งบการตลาดที่ว่ากันว่าสูงถึง 100 ล้านบาท แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับยอดขายที่กลับมาใน 1 เดือนเปิดตัวประมาณเดือนมิ.ย.ในปี 2555 ขายได้ 10 ล้านแท่ง ถือว่าสูงกว่ายอดขายทั้งปี 2554
โดยแมกนั่ม เริ่มต้นจากการใช้ดารา ที่เป็นเซเลบ สื่อสารจุดประกายความฟินจากการกินไอศกรีมช็อคโกแลตจากเบลเยี่ยม ผ่านทางอินสตาแกรมของดารา ก็เป็นการเล่นกับโซเชียลมีเดีย มีการทำเฟซบุ๊คแฟนเพจ ที่มีคนมาร่วมกดไลค์ติดตามถึง 460,983 คน พร้อมกับการทุ่มงบประมาณเปิดตัวอย่างอลังการ ขณะเดียวกัน ก็ไม่ทิ้งสื่อเก่า (offline) ซื้อสื่อทางทีวี วิทยุ ภาพยนตร์ และแมกนั่มคาเฟ่ (Magnum Cafe)
เมื่อสื่อใหม่เข้าจะมีอิทธิพลและขยายวงกว้างต่อผู้บริโภคมากขึ้น แต่ก็เป็นสัดส่วนสังคมเมืองที่มีอยู่ราว 30% เท่านั้น จึงไม่อาจเหมารวมว่าเป็นแนวทางการทำตลาดของคนทั้งประเทศ เพราะยังมีกลุ่มคนที่ยังไม่เข้าถึงสื่อใหม่ ในสัดส่วนราว 60-70% ซึ่งเป็นตลาดส่วนใหญ่ ที่ยังคงอิงกับการบริโภคสื่อเก่าเป็นหลัก
นักการตลาดจึงทิ้งสื่อเก่าไม่ได้ !!!
ในเมื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีทีวีดูสัดส่วนถึง 92% นั่นย่อมทำให้นักการตลาดสามารถใช้เงินเทลงไปในสื่อเก่า แม้จะมีสื่อใหม่เกิดขึ้นก็ตามที อัตราค่าโฆษณาที่ครองแชมป์สูง เพราะคำนวณตามความถี่ในการเข้าถึงคนส่วนใหญ่ ต้องยกให้กับละคร รองลงมาคือรายการข่าว
“ปี 2557 กลับมีรายการข่าวและละครกล้าขึ้นอัตราค่าโฆษณาเพราะมั่นใจว่า ยังดึงคนดูได้ นอกจากรายการแล้ว ยังเป็นเพราะการทำการตลาดของสื่อเก่าที่เชื่อมโยงไปหาสื่อใหม่”
ขณะที่รสนิยมคนต่างจังหวัดส่วนใหญ่ ยังค่อนข้างแตกต่างจากคนเมือง จากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ไม่ทั่วถึง เมื่อสื่อที่พวกเขารับได้ยังคงเป็นสื่อเก่า สินค้าที่ยังคงเกาะติดกับสื่อเก่าจึงได้แก่สินค้าในกลุ่มที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Product) ซึ่งจะต้องใช้สื่อเก่าทำให้แบรนด์สินค้าของตัวเองไปโผล่อยู่ในสายตาคนหมู่มากให้ได้มากที่สุด
หากเจาะแยกไปถึงระดับการเสพสื่อในแต่ละวัย เอเจนซี่รายนี้เล่าว่า เด็กอายุต่ำกว่า 15-18 ปี ยังคงนิยมฟังเพลง ช่องทางหลักยังคงเป็นการฟังผ่านวิทยุ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดและทัศนคติของพวกเขาก็ คือ ศิลปิน ดารานักร้อง เด็กวัยนี้จึงชอบที่จะเป็นแฟนคลับติดตามศิลปิน
ส่วนเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย อายุระหว่าง 18-25 ปี วัยศึกษาระดับมหาวิทยาลัย จนถึงระดับวัยเริ่มทำงาน (First Jobber) กลุ่มคนรุ่นใหม่ จะเน้นการเสพสื่อผ่านออนไลน์ เกาะติดสังคมออนไลน์ ในโลกโซเชียมีเดียเป็นหลัก
ส่วนวัย 25-35 ปี เป็นเด็กที่กลางเก่ากลางใหม่ เติบโตมาในยุคเทคโนโลยีเฟื่องฟู แต่ขณะเดียวกันก็ทันกลิ่นอายของอิทธิพลสื่อรุ่นเก่า แม้จะมีครอบครัวไปแล้ว ต้องถูกดึงความสนใจไปให้กับครอบครัว แต่ชีวิตก็ต้องมีโลกออนไลน์มาคู่กัน เพราะกลัวหลุดกระแส
เช่นเดียวกันคนวัย 35 ปีขึ้นไปจนถึงเบบี้บูม แม้จะไม่ได้เติบโตมากับเทคโนโลยี แต่พวกเขาก็มีกำลังซื้อ และกลัวตกเทรนด์ไม่แพ้กัน จึงให้ไม่พลาดที่จะเกาะกลุ่มเพื่อน ในเมื่อสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ง่าย เข้าถึงง่าย
สื่อการโฆษณาที่โดนใจคนยุคนี้ ยังจะต้องไปกระตุ้นความรู้สึก Cool เท่ ถึงจะถูกจริต
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4803
มาอัพรูปเที่ยวปีใหม่ให้เสร็จครับ
หลังจากช่วงนี้จะยุ่งนิดๆแล้วครับ
กลับมาเรื่องเที่ยวเขาค้อ - เขาใหญ่ต่อ
วันรุ่งขึ้นอีกวันเดินทางออกจากเขาใหญ่ ตอนเช้าอากาศดีมาก.ก.กกก เช้า 8 องศา พอสายๆหน่อย 11 องศา อากาศดีมากครับ
แวะเติมน้ำมันก่อนไป มีแต่ Gasohol 95 ไม่มี E20 E85 ครับ
ผมกลับทางเส้นทางหลวง 12 ว่าจะแวะร้านกาแฟ route 12 ปรากฎว่าอยู่ทางไป พิษณุโลก เลยเอาไว้คราวหน้าละกันครับ
ขากลับ แวะ อุทยาน เพชรบุระ ไหว้พระศรีธรรมราชา พระคู่บ้านชาวเพชรบูรณ์ เป็นศิริมงคลของตัวเองครับ
หลังจากช่วงนี้จะยุ่งนิดๆแล้วครับ
กลับมาเรื่องเที่ยวเขาค้อ - เขาใหญ่ต่อ
วันรุ่งขึ้นอีกวันเดินทางออกจากเขาใหญ่ ตอนเช้าอากาศดีมาก.ก.กกก เช้า 8 องศา พอสายๆหน่อย 11 องศา อากาศดีมากครับ
แวะเติมน้ำมันก่อนไป มีแต่ Gasohol 95 ไม่มี E20 E85 ครับ
ผมกลับทางเส้นทางหลวง 12 ว่าจะแวะร้านกาแฟ route 12 ปรากฎว่าอยู่ทางไป พิษณุโลก เลยเอาไว้คราวหน้าละกันครับ
ขากลับ แวะ อุทยาน เพชรบุระ ไหว้พระศรีธรรมราชา พระคู่บ้านชาวเพชรบูรณ์ เป็นศิริมงคลของตัวเองครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4804
updated: 16 ม.ค. 2557 เวลา 16:40:29 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงความรุ่งเรืองเศรษฐกิจ ที่กำลังจะย้ายฟากจากมหาสมุทรแอตแลนติกมายังมหาสมุทร แปซิฟิก นับวันดูเหมือนว่าจะเริ่มเป็นจริงมากขึ้น สำหรับเหล่าประเทศรอบมหาสมุทรแปซิฟิกในซีกเอเชีย
สื่อต่างชาติหลายสำนักเปิด เผยว่า จีนได้ก้าวขึ้นมาสู่ประเทศที่มีการค้าขายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่ผ่านมา แทนที่สหรัฐซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตการคลัง ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะเริ่มมีสัญญาณแห่งการฟื้นตัวเกิดขึ้นบ้างแล้วก็ตาม
ด้านตัวเลขการค้าบีบีซีเปิดเผยโดยอ้างอิงจากข้อมูลล่าสุดว่า การค้าของจีนประจำปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต 7.6% โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 4.16 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่สหรัฐแม้ว่าจะยังไม่ได้เปิดเผยตัวเลขของทั้งปีออกมา แต่ในช่วงสิบเอ็ดเดือนของปีที่ผ่านมา สหรัฐมีมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 3.5 ล้านล้านดอลลาร์
ไม่ใช่ครั้งแรกที่จีนครองตำแหน่งแชมป์ทางด้านการค้า ก่อนหน้านี้จีนเคยครองตำแหน่งประเทศส่งออกสินค้ารายใหญ่ของโลกในปี 2551 ขณะที่การนำเข้าก็มีจำนวนมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ตัวอย่างที่ชัดคือ ปริมาณการนำเข้าน้ำมันจำนวนมากของจีน เพื่อป้อนเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ไฟแนนซ์เชียล ไทมส์รายงานว่า จีนครองตำแหน่งแชมป์ผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกไปเรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว ข้อมูลเมื่อเดือนกันยายน 2556 ระบุว่า จีนนำเข้าน้ำมันในเดือนดังกล่าวเพิ่มขึ้น 7.4% เมื่อเทียบกับปี 2555
มีการคาดการณ์จากโฆษกสำนักงานศุลกากรของจีน นายเจิ้ง หยู่เชิง ที่กล่าวในทำนองที่ว่าจีนมีแนวโน้มที่จะแย่งตำแหน่งสหรัฐมาเป็นประเทศที่มี การค้าใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังชี้อีกว่าตัวเลขการค้าที่ปรากฏนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการพัฒนาบริการการค้าของจีน
พร้อมกันนี้ นายเจิ้งยังได้คาดหวังว่าภายในปี 2557 นี้ เศรษฐกิจโลกเริ่มกลับเข้าร่องเข้ารอยและปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการปฏิรูปเศรษฐกิจภายในของจีนเอง ที่มีภาพรวมพุ่งเป้าไปยังการลดราคาสินค้า โดยทั้งหมดนี้จะช่วยชดเชยค่าแรงที่สูงขึ้น รวมไปถึงปัญหาด้านการเงินของผู้ผลิตชาวจีน
ด้าน ซีเอ็นเอ็น มันนีย์ ได้เปิดเผยมุมมองต่อการก้าวมาเป็นอันดับหนึ่งด้านการค้าว่า การนำเข้าน้ำมันปริมาณมหาศาลเป็นตัวเร่งเร้าให้ภาพรวมการค้าทั้งหมดจีนพุ่งตามขึ้นไป ทั้งนี้จีนซึ่งได้รับการขนานนามว่า "โรงงานของโลก" ที่เน้นการผลิตอุตสาหกรรมเบาและสิ่งทอ
แต่ในปัจจุบัน จีนมีการพัฒนามากยิ่งขึ้น สินค้าราคาแพงอย่างสินค้าจำพวกเทคโนโลยีเอง ก็มีฐานการผลิตอยู่ในจีนเช่นกัน
ขณะเดียวกัน บีบีซีก็ได้นำเสนอคำพูดจาก นายราจีฟ บิสวัส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากไอเอชเอส โกลบอล อินไซต์ มองว่า ในปี 2556 ช่องว่างการค้าทั้งหมดของจีนและสหรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว มีส่วนต่างอยู่ที่ 250,000 ล้านดอลลาร์ ถึงแม้ว่าตัวเลขดังกล่าวดูเหมือนว่ายังสามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลา เมื่อเทียบกับขนาดการค้าของทั้งสองประเทศ
แต่อย่างไรก็ตาม การแซงหน้าสหรัฐครั้งนี้ ใช่ว่าจะเป็นการก้าวขึ้นสู่เบอร์หนึ่งของโลก ซีเอ็นบีซีอ้างรายงานของบริษัทให้คำปรึกษา ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจจากอังกฤษ หรือซีอีบีอาร์ ว่า จีนจะยังไม่สามารถวัดรอยเท้ากับสหรัฐได้จนกว่าจะถึงปี 2571 ซึ่งตอนนั้นตัวเลขจีดีพีจะโตถึง 33,513 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 8,939 ล้านดอลลาร์
จากข้อมูลเศรษฐกิจที่ผ่านมา จีนเคยเติบโตอย่างร้อนแรง เป็นอันดับต้น ๆ แต่ในช่วงที่ผ่านมานี้ เศรษฐกิจจีนกลับไม่โตเท่าที่ควร ซีอีบีอาร์ให้เหตุผลว่า จีนต้องประสบกับปัญหาเศรษฐกิจภายในและปัญหาเศรษฐกิจโลก จนนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
ซีอีบีอาร์ คาดด้วยว่า จีนจะก้าวขึ้นมาแทนที่สหรัฐในปี 2571 ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบ 2 ทศวรรษ เนื่องจากจีนยังมีความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาคอยู่มาก ขณะเดียวกันปัญหาด้านประชากร ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนมีการพัฒนาเศรษฐกิจที่ช้าลง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนยังมีความกังวลในเรื่องข้อมูลการค้าของตัวเองอยู่ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2555-2556 หลังจากที่มีการแจ้งจากเจ้าหน้าที่สถิติว่า มีการบิดเบือนข้อมูลตัวเลขนำเข้า-ส่งออกในช่วงดังกล่าวในระดับมหาศาล โดยบริษัทต่างๆ และระดับรายบุคคล โยงไปถึงข้อสงสัยที่ว่าจีนจะยังสามารถเอาชนะสหรัฐขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของ โลกภายใน 20 ปีได้หรือไม่
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงความรุ่งเรืองเศรษฐกิจ ที่กำลังจะย้ายฟากจากมหาสมุทรแอตแลนติกมายังมหาสมุทร แปซิฟิก นับวันดูเหมือนว่าจะเริ่มเป็นจริงมากขึ้น สำหรับเหล่าประเทศรอบมหาสมุทรแปซิฟิกในซีกเอเชีย
สื่อต่างชาติหลายสำนักเปิด เผยว่า จีนได้ก้าวขึ้นมาสู่ประเทศที่มีการค้าขายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่ผ่านมา แทนที่สหรัฐซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตการคลัง ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะเริ่มมีสัญญาณแห่งการฟื้นตัวเกิดขึ้นบ้างแล้วก็ตาม
ด้านตัวเลขการค้าบีบีซีเปิดเผยโดยอ้างอิงจากข้อมูลล่าสุดว่า การค้าของจีนประจำปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต 7.6% โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 4.16 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่สหรัฐแม้ว่าจะยังไม่ได้เปิดเผยตัวเลขของทั้งปีออกมา แต่ในช่วงสิบเอ็ดเดือนของปีที่ผ่านมา สหรัฐมีมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 3.5 ล้านล้านดอลลาร์
ไม่ใช่ครั้งแรกที่จีนครองตำแหน่งแชมป์ทางด้านการค้า ก่อนหน้านี้จีนเคยครองตำแหน่งประเทศส่งออกสินค้ารายใหญ่ของโลกในปี 2551 ขณะที่การนำเข้าก็มีจำนวนมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ตัวอย่างที่ชัดคือ ปริมาณการนำเข้าน้ำมันจำนวนมากของจีน เพื่อป้อนเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ไฟแนนซ์เชียล ไทมส์รายงานว่า จีนครองตำแหน่งแชมป์ผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกไปเรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว ข้อมูลเมื่อเดือนกันยายน 2556 ระบุว่า จีนนำเข้าน้ำมันในเดือนดังกล่าวเพิ่มขึ้น 7.4% เมื่อเทียบกับปี 2555
มีการคาดการณ์จากโฆษกสำนักงานศุลกากรของจีน นายเจิ้ง หยู่เชิง ที่กล่าวในทำนองที่ว่าจีนมีแนวโน้มที่จะแย่งตำแหน่งสหรัฐมาเป็นประเทศที่มี การค้าใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังชี้อีกว่าตัวเลขการค้าที่ปรากฏนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการพัฒนาบริการการค้าของจีน
พร้อมกันนี้ นายเจิ้งยังได้คาดหวังว่าภายในปี 2557 นี้ เศรษฐกิจโลกเริ่มกลับเข้าร่องเข้ารอยและปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการปฏิรูปเศรษฐกิจภายในของจีนเอง ที่มีภาพรวมพุ่งเป้าไปยังการลดราคาสินค้า โดยทั้งหมดนี้จะช่วยชดเชยค่าแรงที่สูงขึ้น รวมไปถึงปัญหาด้านการเงินของผู้ผลิตชาวจีน
ด้าน ซีเอ็นเอ็น มันนีย์ ได้เปิดเผยมุมมองต่อการก้าวมาเป็นอันดับหนึ่งด้านการค้าว่า การนำเข้าน้ำมันปริมาณมหาศาลเป็นตัวเร่งเร้าให้ภาพรวมการค้าทั้งหมดจีนพุ่งตามขึ้นไป ทั้งนี้จีนซึ่งได้รับการขนานนามว่า "โรงงานของโลก" ที่เน้นการผลิตอุตสาหกรรมเบาและสิ่งทอ
แต่ในปัจจุบัน จีนมีการพัฒนามากยิ่งขึ้น สินค้าราคาแพงอย่างสินค้าจำพวกเทคโนโลยีเอง ก็มีฐานการผลิตอยู่ในจีนเช่นกัน
ขณะเดียวกัน บีบีซีก็ได้นำเสนอคำพูดจาก นายราจีฟ บิสวัส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากไอเอชเอส โกลบอล อินไซต์ มองว่า ในปี 2556 ช่องว่างการค้าทั้งหมดของจีนและสหรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว มีส่วนต่างอยู่ที่ 250,000 ล้านดอลลาร์ ถึงแม้ว่าตัวเลขดังกล่าวดูเหมือนว่ายังสามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลา เมื่อเทียบกับขนาดการค้าของทั้งสองประเทศ
แต่อย่างไรก็ตาม การแซงหน้าสหรัฐครั้งนี้ ใช่ว่าจะเป็นการก้าวขึ้นสู่เบอร์หนึ่งของโลก ซีเอ็นบีซีอ้างรายงานของบริษัทให้คำปรึกษา ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจจากอังกฤษ หรือซีอีบีอาร์ ว่า จีนจะยังไม่สามารถวัดรอยเท้ากับสหรัฐได้จนกว่าจะถึงปี 2571 ซึ่งตอนนั้นตัวเลขจีดีพีจะโตถึง 33,513 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 8,939 ล้านดอลลาร์
จากข้อมูลเศรษฐกิจที่ผ่านมา จีนเคยเติบโตอย่างร้อนแรง เป็นอันดับต้น ๆ แต่ในช่วงที่ผ่านมานี้ เศรษฐกิจจีนกลับไม่โตเท่าที่ควร ซีอีบีอาร์ให้เหตุผลว่า จีนต้องประสบกับปัญหาเศรษฐกิจภายในและปัญหาเศรษฐกิจโลก จนนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
ซีอีบีอาร์ คาดด้วยว่า จีนจะก้าวขึ้นมาแทนที่สหรัฐในปี 2571 ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบ 2 ทศวรรษ เนื่องจากจีนยังมีความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาคอยู่มาก ขณะเดียวกันปัญหาด้านประชากร ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนมีการพัฒนาเศรษฐกิจที่ช้าลง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนยังมีความกังวลในเรื่องข้อมูลการค้าของตัวเองอยู่ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2555-2556 หลังจากที่มีการแจ้งจากเจ้าหน้าที่สถิติว่า มีการบิดเบือนข้อมูลตัวเลขนำเข้า-ส่งออกในช่วงดังกล่าวในระดับมหาศาล โดยบริษัทต่างๆ และระดับรายบุคคล โยงไปถึงข้อสงสัยที่ว่าจีนจะยังสามารถเอาชนะสหรัฐขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของ โลกภายใน 20 ปีได้หรือไม่
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4805
น่าคิดครับ ประเด็น การปรับตัวเพื่อรับมือ ของไปรษณีย์ไทย
updated: 14 ม.ค. 2557 เวลา 19:40:39 น.
โดย สรกล อดุลยนนท์
คอลัมน์ Market-think
สารภาพแบบเชย ๆ เลยว่าผมไม่เคยซื้อสินค้าออนไลน์เลยครับ
แฮ่ม...ยกเว้น "สติ๊กเกอร์" ของไลน์
แต่เห็นการเติบโตของการค้าออนไลน์แล้วน่าตกใจมาก
ยิ่งมาฟัง "ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ" ของ "ตลาดดอทคอม" แล้ว ยิ่งตื่นตาตื่นใจ
โลกของการค้าออนไลน์มโหฬารจริง ๆ ครับ
เพราะถ้าเป็นร้านค้าปลีกทั่วไป กลุ่มเป้าหมายของเขาก็คือคนที่ผ่านหน้าร้าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนในพื้นที่
แต่ถ้าปรับมาเป็นขายแบบออนไลน์
กลุ่มลูกค้าของเขาไม่ใช่เพียงแค่คนในพื้นที่เท่านั้น
แต่เป็นทั่วประเทศ
ขอโทษ ไม่ใช่ครับ
"ภาวุธ" บอกว่า "ทั่วโลก"
กลุ่มเป้าหมาย คือ คนทั้งโลก
อยู่ที่ไหนก็ซื้อได้
ที่สำคัญ ไม่ใช่แค่สินค้าเล็ก ๆ เบา ๆ
ที่ขนส่งง่าย ๆ เท่านั้นที่ขายดีในโลกออนไลน์ แต่ระดับเฟอร์นิเจอร์หนัก ๆ ก็ขายได้ในโลกออนไลน์
เขายกตัวอย่างร้านเฟอร์นิเจอร์ร้านหนึ่งที่เริ่มขายทางออนไลน์ ขายดิบขายดีจน
วันนี้ไม่มีหน้าร้านแล้ว
ขายออนไลน์อย่างเดียว
ในต่างประเทศ ค้าปลีกใหญ่ ๆ อย่าง "เทสโก้" ก็ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่
หันมาขายทางออนไลน์มากขึ้น
เพราะยอดขายตามช่องทางเดิมเริ่มลดต่ำลง
ที่เมืองไทย "เซเว่นอีเลฟเว่น" ที่เคยมี "เซเว่นแค็ตตาล็อก" ตอนนี้ก็ปรับมาขายออนไลน์มากขึ้น
ปัญหาใหญ่ของเมืองไทยตอนนี้ก็คือ ระบบการขนส่งสินค้า
ทำอย่างไรจะส่งสินค้าไปถึงมือคนซื้อได้มีประสิทธิภาพที่สุด
ตอนนี้ "ไปรษณีย์ไทย" เป็นคำตอบที่ดีที่สุดของการค้าออนไลน์
ใคร ๆ ก็ส่งผ่านไปรณีย์ไทย
และต้องยอมรับว่า "ไปรษณีย์ไทย" ถือเป็นรัฐวิสาหกิจที่ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้เก่งมาก
ในอดีตเคยมีรายได้หลักจากการส่งจดหมาย
แต่พอโลกนี้มีอีเมล์ มีโซเชียลมีเดียที่เร็วกว่า และไม่ต้องเสียเงิน
การส่งจดหมายหากันก็น้อยลง
ตอนนั้นใคร ๆ ก็คิดว่าไปรษณีย์ไทยจะตาย
แต่สุดท้ายเขาสามารถปรับตัวรับโลกยุคใหม่ ด้วยการเปลี่ยนมุมคิด
ถามตัวเองอีกครั้งว่า "เราอยู่ในธุรกิจอะไร"
และได้คำตอบใหม่คือ "เราอยู่ในธุรกิจโลจิสติกส์"
จัดส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภค
ใช้จุดแข็งดั้งเดิมให้เป็นประโยชน์
ดังนั้น ยิ่งโลกการค้าออนไลน์ขยายตัวมากเท่าไร
ไปรษณีย์ไทยก็รับเละมากเท่านั้น
ในอีกมุมหนึ่ง "โอกาส" ของธุรกิจนี้ก็เปิดกว้างให้ "คู่แข่ง" รายใหม่เข้ามา
มีข่าวว่าบริษัทในต่างประเทศหลายแห่งเริ่มขยับแล้ว
ในมุมหนึ่ง นี่คือ "โอกาส" ของบริษัทจัดจำหน่ายในประเทศที่มีเครือข่ายการขนส่งสินค้าทั่วประเทศ อย่างเช่นหนังสือพิมพ์รายวันที่ต้องวิ่งรถ
ทุกวัน ทุกจังหวัด
ถ้าจับมือกับบริษัทต่างประเทศที่มี "โนว์ฮาว" ในการส่งสินค้าออนไลน์
ทั้งระบบส่งของถึงมือผู้บริโภค และโกดังจัดเก็บสินค้า
บางทีอาจเกิดเครือข่ายจัดจำหน่ายใหม่
กลายเป็น "คู่แข่ง" ของ "ไปรษณีย์ไทย" ก็ได้
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4806
นักลงทุนนอกเริ่มชะลอลงทุน "พยุงศักดิ์" เผย ตปท.รับกังวลการเมือง"บีโอไอ"เปิดยอดขอส่งเสริมยังไม่ตก
updated: 16 ม.ค. 2557 เวลา 15:20:47 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
′บีโอไอ′จัดทีมแจงนักลงทุนทุกช่องทาง หลังสอบถามเข้ามามาก ชี้ส่วนใหญ่เป็นรายใหม่ แต่รายเก่ายังมั่นใจ ยื่นขอลงทุนต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ′พยุงศักดิ์′เผยผู้บริหารบริษัทข้ามชาติรายใหญ่แจ้งชะลอลงทุน กังวลการเมืองไทย อยากให้จบเร็ว
นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ถึงสถานการณ์การชัตดาวน์กรุงเทพฯของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ว่า สิ่งที่นักลงทุนมักสอบถามบีโอไอมี 2 ประเด็น คือ 1.การเปิดบริการปกติหรือไม่ เนื่องจากสำนักงานบีโอไอซึ่งอยู่ในพื้นที่บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) มีการปิดอาคาร เพราะใกล้พื้นที่ชุมนุมบริเวณห้าแยกลาดพร้าว ทั้งนี้ บีโอไอจะให้บริการนักลงทุนที่อาคารจามจุรีสแควร์ ที่สามย่านแทน และยังเปิดให้บริการข้อมูลทางโทรศัพท์และผ่านระบบออนไลน์ ถือเป็นระบบหลักในการให้บริการขณะนี้ 2.ความชัดเจนของนโยบายส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่ที่มีการปรับสิทธิประโยชน์บางประเภทให้อุตสาหกรรมไทยได้รับประโยชน์จากการลงทุนมากขึ้น ซึ่งบีโอไอกำหนดบังคับใช้ต้นปี 2558 เพราะนักลงทุนกังวลว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย โดยบีโอไอยืนยันว่ายังคงบังคับใช้ตามเดิมแน่นอน
"นักลงทุนที่กังวลส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนหน้าใหม่ บีโอไอได้ชี้แจงให้เกิดความมั่นใจได้ ขณะที่นักลงทุนหน้าเก่า หรือนักลงทุนที่ลงทุนในไทยอยู่ก่อนแล้วค่อนข้างมั่นใจการลงทุนในไทย โดยช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนมกราคมนี้ พบว่ายังมีนักลงทุนยื่นขอส่งเสริมการลงทุนกับบีโอไออย่างต่อเนื่อง" นายอุดมกล่าว
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ได้หารือกับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติพบว่าส่วนใหญ่จะบ่นเกี่ยวกับสถานการณ์ว่ากระทบต่อธุรกิจ และตั้งคำถามว่าจะมีบทสรุปอย่างไรเพราะยืดเยื้อมาหลายเดือนแล้ว โดยนักลงทุนไม่กังวลกับเหตุการณ์มากเพราะไม่มีความรุนแรง และไม่มีการปิดสนามบิน ท่าเรือ ที่กระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจ การขนส่ง สถานการณ์ปัจจุบันจึงสรุปได้ว่าทำให้ความเชื่อมั่นด้านการลงทุนของประเทศลดลง ประกอบกับการรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจของหลายหน่วยงานเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจมีการเติบโตที่ช้าลง ภาพรวมจึงไม่ดีนัก
"อย่างไรก็ตาม มีผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่ของต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยบางรายระบุว่าจะชะลอการลงทุนในไทยออกไปก่อน เพราะมีความกังวล อยากให้สถานการณ์จบโดยเร็ว และประเทศเกิดความสงบ" นายพยุงศักดิ์กล่าว
นายพยุงศักดิ์กล่าวว่า ล่าสุดได้หารือกับอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างพบว่าการเติบโตของปีนี้มีโอกาสลดลง ผิดไปจากที่คาดการณ์ก่อนการชุมนุมว่าการก่อสร้างของประเทศจะเติบโต ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเผชิญปัญหาไม่สามารถวางแผนธุรกิจได้ เพราะยังมีความไม่แน่นอนในภาพรวม
updated: 16 ม.ค. 2557 เวลา 15:20:47 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
′บีโอไอ′จัดทีมแจงนักลงทุนทุกช่องทาง หลังสอบถามเข้ามามาก ชี้ส่วนใหญ่เป็นรายใหม่ แต่รายเก่ายังมั่นใจ ยื่นขอลงทุนต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ′พยุงศักดิ์′เผยผู้บริหารบริษัทข้ามชาติรายใหญ่แจ้งชะลอลงทุน กังวลการเมืองไทย อยากให้จบเร็ว
นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ถึงสถานการณ์การชัตดาวน์กรุงเทพฯของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ว่า สิ่งที่นักลงทุนมักสอบถามบีโอไอมี 2 ประเด็น คือ 1.การเปิดบริการปกติหรือไม่ เนื่องจากสำนักงานบีโอไอซึ่งอยู่ในพื้นที่บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) มีการปิดอาคาร เพราะใกล้พื้นที่ชุมนุมบริเวณห้าแยกลาดพร้าว ทั้งนี้ บีโอไอจะให้บริการนักลงทุนที่อาคารจามจุรีสแควร์ ที่สามย่านแทน และยังเปิดให้บริการข้อมูลทางโทรศัพท์และผ่านระบบออนไลน์ ถือเป็นระบบหลักในการให้บริการขณะนี้ 2.ความชัดเจนของนโยบายส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่ที่มีการปรับสิทธิประโยชน์บางประเภทให้อุตสาหกรรมไทยได้รับประโยชน์จากการลงทุนมากขึ้น ซึ่งบีโอไอกำหนดบังคับใช้ต้นปี 2558 เพราะนักลงทุนกังวลว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย โดยบีโอไอยืนยันว่ายังคงบังคับใช้ตามเดิมแน่นอน
"นักลงทุนที่กังวลส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนหน้าใหม่ บีโอไอได้ชี้แจงให้เกิดความมั่นใจได้ ขณะที่นักลงทุนหน้าเก่า หรือนักลงทุนที่ลงทุนในไทยอยู่ก่อนแล้วค่อนข้างมั่นใจการลงทุนในไทย โดยช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนมกราคมนี้ พบว่ายังมีนักลงทุนยื่นขอส่งเสริมการลงทุนกับบีโอไออย่างต่อเนื่อง" นายอุดมกล่าว
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ได้หารือกับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติพบว่าส่วนใหญ่จะบ่นเกี่ยวกับสถานการณ์ว่ากระทบต่อธุรกิจ และตั้งคำถามว่าจะมีบทสรุปอย่างไรเพราะยืดเยื้อมาหลายเดือนแล้ว โดยนักลงทุนไม่กังวลกับเหตุการณ์มากเพราะไม่มีความรุนแรง และไม่มีการปิดสนามบิน ท่าเรือ ที่กระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจ การขนส่ง สถานการณ์ปัจจุบันจึงสรุปได้ว่าทำให้ความเชื่อมั่นด้านการลงทุนของประเทศลดลง ประกอบกับการรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจของหลายหน่วยงานเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจมีการเติบโตที่ช้าลง ภาพรวมจึงไม่ดีนัก
"อย่างไรก็ตาม มีผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่ของต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยบางรายระบุว่าจะชะลอการลงทุนในไทยออกไปก่อน เพราะมีความกังวล อยากให้สถานการณ์จบโดยเร็ว และประเทศเกิดความสงบ" นายพยุงศักดิ์กล่าว
นายพยุงศักดิ์กล่าวว่า ล่าสุดได้หารือกับอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างพบว่าการเติบโตของปีนี้มีโอกาสลดลง ผิดไปจากที่คาดการณ์ก่อนการชุมนุมว่าการก่อสร้างของประเทศจะเติบโต ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเผชิญปัญหาไม่สามารถวางแผนธุรกิจได้ เพราะยังมีความไม่แน่นอนในภาพรวม
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4807
บทความล่าสุด ดร.นเวศน์ มุมมองตลาดหุ้นและเศรษฐกิจญี่ปุ่น
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น
มกราคม 13, 2014 Filed under บทความ Posted by ดร.นิเวศน์
ผมเพิ่งกลับจากการไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่ผมได้ไปเยี่ยมเยือนมาหลายครั้งย้อนหลังไปประมาณ 30 ปีเศษ ๆ ความรู้สึกในภาพรวมทั่ว ๆ ไปก็คือ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ “เจริญมาก” ในทุก ๆ ด้านทั้งทางด้านวัตถุและจิตใจซึ่งส่งผลให้สังคมของญี่ปุ่นที่ผมมองเห็นจากภายนอกนั้นดู “สมบูรณ์” ไปหมด ประเด็นก็คือ มันดีแบบนี้มาตั้งแต่ครั้งแรก ๆ ที่ผมไปญี่ปุ่น ดังนั้น ถ้าจะพูดถึงการ “เติบโต” หรือ “อัตราการพัฒนา” ให้ดีขึ้นนั้น อาจจะไม่สูงเลย ว่าที่จริงในช่วงกว่า 10 ปี หรืออาจจะใกล้ ๆ 20 ปีมาแล้วที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอาจจะ “ไม่ไปไหนเลย” สาเหตุใหญ่นั้นผมคิดว่าน่าจะมาจากการที่อัตราการเกิดของพลเมืองญี่ปุ่นนั้นต่ำมาก และคนก็มีอายุที่ยืนยาวมาก ดังนั้นอายุเฉลี่ยของคนจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจน กลายเป็นสังคมของ “คนแก่” และญี่ปุ่นเองก็ไม่ต้องการที่จะรับคนต่างชาติเข้าเมืองเนื่องจากเกรงว่าจะทำให้สังคมของญี่ปุ่น “ด้อยลง” นอกจากประเด็นเรื่องคนแก่ตัวลงแล้ว ผมคิดว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นชะงักงันยาวนานอาจจะเป็นเพราะนิสัยหรือแนวความคิดของคนญี่ปุ่นเองนั้น ค่อนข้างที่จะอนุรักษ์นิยมมาก หรือเป็นคนที่มีวินัยสูง ทุกคนต่างก็ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคมอย่างเคร่งครัด ไม่ใคร่มีใคร “แหกกฎ” หรือ “คิดแตกต่าง” ซึ่งนี่อาจจะทำให้ความคิดสร้างสรรค์ลดน้อยลงไป ซึ่งในอดีตนั้น อาจจะไม่มีปัญหาในการแข่งขันทางเศรษฐกิจมากนัก แต่ในระยะหลังเป็นสิ่งจำเป็น และนี่อาจจะทำให้ญี่ปุ่นมีปัญหาพอสมควรทีเดียวในโลกยุคปัจจุบัน
สิ่งที่ผมพูดข้างต้นนั้นก็เป็นเรื่องของการพรรณนาที่เราต่างก็ได้รับรู้จากการได้สัมผัส จากสื่อและหนังสือที่มีการเผยแพร่มาต่อเนื่อง ในฐานะที่เป็นนักลงทุน ผมเองอยากที่จะ “อ่าน” ข้อมูลที่เป็นตัวเลขที่สะท้อนออกมาจากตลาดหุ้นนั่นก็คือ ดัชนีนิกเกอิที่เป็นดัชนีตลาดหุ้นหลักของญี่ปุ่นเพื่อที่จะดูหรือยืนยันว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นเป็นจริงตามที่มีการพูดกันแค่ไหน และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ พยายามทำนายว่ามันจะไปอย่างไรต่อไป
มองย้อนหลังไป 30 ปี ตั้งแต่ปี 1983 นั้น ดัชนีนิกเกอิเริ่มต้นประมาณ 10,000 จุดเศษ ๆ และนั่นเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นกำลัง “ขึ้นสุดยอด” ผมยังจำได้ถึงสถานะและบทบาทของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ของญี่ปุ่นที่ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทชั้นนำของโลก ไล่ตั้งแต่บริษัทที่ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างเนชั่นแนล เครื่องเสียงของโซนี่ที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ของเจมส์บอนด์ รถยนต์ของโตโยต้าและนิสสันที่กำลังเป็นที่นิยมทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศไทย และชิ้นส่วนสินค้าไฮเท็คจำนวนมากที่แม้แต่บริษัทชั้นนำของอเมริกันหรือนาซ่าก็ต้องพึ่งพิง นอกจากนั้น ความรู้และแนวความคิดในการบริหารงานแบบญี่ปุ่นเช่น ระบบการควบคุมสินค้าคงคลังแบบเป็นศูนย์หรือการบริหารงานแบบ Just in Time และแนวความคิดอื่น ๆ อีกมากต่างก็ได้รับการขานรับว่าเป็นวิธีการบริหารงานที่ทำให้ญี่ปุ่น “ครองโลก” ในทางธุรกิจ หนังสือ How To หรือการพัฒนาตนเองทางธุรกิจบนแผงหนังสือต่างก็เป็นเรื่องของญี่ปุ่น
ในช่วงประมาณ 6 ปี คือถึงสิ้นปี 1989 ดัชนีนิเกอิได้ปรับขึ้นไปอย่างต่อเนื่องแทบไม่สะดุดเลยขึ้นไปเป็นประมาณ 39,000 จุดหรือขึ้นไปเป็นเกือบ 4 เท่า คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นประมาณปีละ 25% และนี่น่าจะเรียกว่าเป็น “ทศวรรษทอง” ของญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ราคาของหุ้นญี่ปุ่นนั้นสูงจนนักวิชาการหลายคนบอกว่า “เป็นไปไม่ได้” ค่า PE ของตลาดสูงเป็นหลายสิบเท่า ผมจำได้ว่ามากกว่า 50 เท่า แต่นักลงทุนและนักวิเคราะห์จำนวนมากที่เห็นดัชนีขึ้นเอา ๆ ต่างก็เถียงว่าญี่ปุ่นนั้น “ไม่เหมือนสหรัฐ” หรือประเทศอื่นในโลก หุ้นของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ถือโดยสถาบันหรือบริษัทญี่ปุ่นด้วยกันล็อกกันไว้หมดและไม่ขาย แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ อัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยของญี่ปุ่นต่ำมากแค่ 1-2% ต่อปี ดังนั้น การลงทุนในหุ้นที่มีค่า PE 50 เท่าก็ไม่แพง เพราะเท่ากับมีผลตอบแทนของกำไรปีละประมาณ 2% เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ราคาที่ดินของญี่ปุ่นเองก็สูงมาก อาจจะยิ่งกว่าหุ้น มีการคำนวณกันว่า ราคาที่ดินทั้งประเทศของญี่ปุ่นนั้น ถ้าคิดตามราคาตลาดแล้ว มีค่ามากกว่าราคาที่ดินทั้งหมดของสหรัฐที่มีพื้นที่ใหญ่กว่าไม่รู้กี่สิบเท่า ที่ดินเฉพาะในโตเกียวก็สูงกว่ารัฐใหญ่ที่สุดหลาย ๆ รัฐของอเมริการวมกัน
สิ้นปี 1989 สำหรับผมก็คือ “ยอดดอยฟูจี” ของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตลาดหุ้นเริ่มถล่มทะลาย ภายในเวลาหนึ่งปี ดัชนีตกลงไปเหลือประมาณ 24,000 จุด หรือลดลงประมาณ 38% แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพังทะลายของความเชื่อเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่ว่าหุ้นของญี่ปุ่นไม่มีวันตกเพราะมันถูกถือโดยคนที่จะไม่ขาย มันเป็นจุดเริ่มต้นของการพังทลายของความคิดที่ว่าญี่ปุ่นคือ “ราชัน” ทางเศรษฐกิจที่จะยึดกุมโลก มันเป็นจุดเริ่มต้นของการพังทลายของความเชื่อที่ว่าสินค้าญี่ปุ่นนั้นจะครองใจคนทั้งโลกโดยที่คู่แข่งไม่มีทางตามทันเพราะญี่ปุ่นมีคนที่ดีและฉลาดที่สุดและมีตลาดภายในที่ใหญ่พอที่จะสร้าง Economies of Scale ที่เป็นฐานให้กับกิจการทุกชนิดได้ มีแต่อเมริกาเท่านั้นที่อาจจะเป็นคู่แข่ง ประเทศเล็กอย่างเกาหลีในเอเซียหรือฟินแลนด์ในยุโรปไม่ได้อยู่ในสายตาที่จะก้าวเข้ามาแข่งขันได้
ดัชนีนิกเกอิตกลงมาต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 3 ปีจนถึงเดือนมีนาคม 2003 เหลือเพียงประมาณ 8,000 จุด หรือลดลงมาประมาณ 80% ซึ่งนี่ก็คือลักษณะของวิกฤติอย่างแท้จริงซึ่งเป็นเหมือนกันทั่วโลก หลายประเทศรวมถึงไทยนั้นพบว่าเมื่อเกิดวิกฤติใหญ่ดัชนีหุ้นมักจะลดลงต่อเนื่องประมาณ 3 ปี และดัชนีจะตกลงมาเหลือเพียง 10% ถึง 20% จากจุดสูงสุด หลังจากนั้นดัชนีนิกเกอิก็เริ่มฟื้นตัว ดัชนีปรับขึ้นไปเป็นเวลากว่า 4 ปีเป็นประมาณ 18,000 จุด ในปี 2007 แต่แล้วในปี 2008 ก็เกิดวิกฤติซับไพรม์ในอเมริกาและลามไปทั่วโลกซึ่งทำให้ดัชนีนิกเกอิตกลงไปถึงเกือบ 60% เหลือเพียงประมาณ 7,500 จุดในช่วงต้นปี 2009
จนถึงสิ้นปี 2012 ดัชนีนิกเกอิก็ยังอยู่ที่เพียงประมาณ 10,400 จุด ห่างไกลจากจุดสูงสุดก่อนซับไพรม์ที่ 18,000 จุด มากในขณะที่ตลาดหุ้นอื่น ๆ โดยเฉพาะในเอเชียที่ดัชนีวิ่งเกินไปมากแล้ว ญี่ปุ่นนั้นดูเหมือนว่ามีปัญหาทางด้าน “พื้นฐาน” ของเศรษฐกิจประเทศและบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ บริษัทที่เคยยิ่งใหญ่หลายบริษัทใกล้ล้มละลายและไม่สามารถแข่งขันได้โดยเฉพาะในสินค้าไฮเท็คยุคใหม่ แม้แต่สินค้าธรรมดา ๆ อย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ถูกแย่งชิงตลาดไปมาก คนญี่ปุ่นเองแม้ว่าจะยังฉลาดและมีวินัยสูงแต่ด้วยวัยที่สูงขึ้นมากก็ยากที่จะเติบโตต่อไป การเติบโตทางเศรษฐกิจดูเหมือนว่าจะนิ่งมาเป็นสิบ ๆ ปี เรียกว่าเป็น Loss Decade หรือเป็น “ทศวรรษที่หายไป” อย่างไรก็ตาม การตกต่ำของดัชนีนิกเกอินั้นก็ทำให้หุ้นของญี่ปุ่นกลายเป็นหุ้นที่ไม่แพงโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอดีต ว่าที่จริงหลาย ๆ บริษัทนั้นถูกกว่าหุ้นของบริษัทในเมืองไทยที่ทำธุรกิจคล้าย ๆ กันด้วยซ้ำ
สังคมญี่ปุ่นเองคงถึงจุดที่ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ประเทศ “ติดหล่ม” มานาน และนี่ก็เป็นที่มาของการที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มีนโยบาย “ก้าวร้าว” และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ นายอาเบะกล้าที่จะพิมพ์เงินเพื่อ “สร้างเงินเฟ้อ” เพื่อผลักดันเศรษฐกิจ เขากล้าแม้กระทั่งยอมให้คนไทยเข้าประเทศโดยไม่ต้องมีวีซ่าเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เขายังทำอะไรอีกหลายอย่างที่ไม่มีใครเคยคิดทำในสังคมแบบญี่ปุ่น และนี่ทำให้ดัชนีนิกเกอิของปีที่แล้วปรับตัวขึ้นถึง 57% เป็นประมาณ 16,300 จุด เป็นการปรับตัวสูงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี และน่าจะดีที่สุดในโลกสำหรับตลาดหุ้นหลัก ๆ ประเด็นต่อจากนี้ก็คือ เศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะไปได้ต่อไหมและมากน้อยแค่ไหน จริงอยู่ แนวความคิด วัฒนธรรม และวิธีการนั้นสามารถเปลี่ยนได้โดยเฉพาะในคนญี่ปุ่นที่ฉลาด มุ่งมั่นและมีวินัยสูงรวมถึงการเป็นคนที่มีสุขภาพดีเลิศ แต่การที่คนแก่ตัวลงและโอกาสหรือความตั้งใจที่จะเพิ่มคนนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย มองในระยะยาวแล้ว ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าญี่ปุ่นนั้นจะฟื้นได้จริง ๆ มากน้อยแค่ไหน ดังนั้น ถ้าจะลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นแล้ว ผมคิดว่าผมคงอยากที่จะเลือกเป็นรายตัวมากกว่าการซื้อกองทุนรวมที่อิงอยู่กับเศรษฐกิจโดยรวมของญี่ปุ่น
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4808
วันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2014 เวลา 14:24 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ เศรษฐกิจโลก -
คอลัมน์ : ตลาดต่างประเทศ
ยอดขายไอโฟนและไอแพดจำนวนมากของแอปเปิล ช่วยส่งให้ยอดขายแอพพลิเคชันผ่านแอพสโตร์เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดยปีที่ผ่านมายอดขายบนแอปเปิลแอพสโตร์มีมูลค่าเกินกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แอปเปิล อิงค์ เปิดเผยในสัปดาห์นี้ว่า ในปี 2556 ที่ผ่านมา ผู้บริโภคใช้จ่ายผ่านทางแอพสโตร์ของบริษัทเป็นมูลค่าเกินกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่าเป็นการเติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงเท่าตัว "เราอยากขอบคุณผู้บริโภคของเราที่ทำให้ปี 2556 เป็นปีที่ดีที่สุดสำหรับแอพสโตร์" เอ็ดดี้ คิว รองประธานอาวุโสฝ่ายซอฟต์แวร์และบริการอินเตอร์เน็ตกล่าว
เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล ระบุว่า เมื่อหักค่าธรรมเนียม 30% รายได้ที่เข้าสู่กระเป๋าแอปเปิลคิดเป็นเกินกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกำไรเกือบทั้งหมด รายได้ระดับดังกล่าวสะท้อนถึงวงจรความสำเร็จของไอโฟนและไอแพด โดยเมื่อผู้ใช้อุปกรณ์แอปเปิลซื้อแอพพลิเคชันหรือใช้จ่ายเงินบนแอพสโตร์ จะเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มีต่อระบบปฏิบัติการไอโอเอสให้แข็งแกร่งขึ้น และเพิ่มโอกาสที่ผู้บริโภคจะเลือกซื้ออุปกรณ์แอปเปิลอีกในอนาคต
แม้ว่ารายได้จากแอพสโตร์ยังคิดเป็นสัดส่วนเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับรายได้ 9.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แอปเปิลทำได้จากไอโฟนเมื่อปีงบประมาณก่อนที่สิ้นสุดในเดือนกันยายน 2556 แต่นับเป็นธุรกิจที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วในเวลาที่การเติบโตของรายได้โดยรวมของแอปเปิลกำลังชะลอตัวลง
แอปเปิลกล่าวว่า เดือนธันวาคมที่ผ่านมาเป็นเดือนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของแอพสโตร์ โดยมีผู้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชันเกือบ 3 ล้านแอพฯ คิดเป็นรายได้เกินกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แอปเปิลกล่าวอีกว่า นับตั้งแต่ปี 2551 นักพัฒนาแอพพลิเคชันทำรายได้จากแอพสโตร์ได้ถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่ายอดขายแอพพลิเคชันทั้งหมดนับตั้งแต่ช่วงเวลาดังกล่าวมีมูลค่าเกินกว่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เมื่อครั้งที่แอปเปิลนำไอโฟนออกมาเปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2550 สตีฟ จ็อบส์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลังเลที่จะเปิดให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์จากภายนอกเข้ามาพัฒนาโปรแกรมให้กับไอโฟน โดยกังวลว่าจะเป็นอุปสรรคขัดขวางการทำงานของฟังก์ชันหลักๆ ของไอโฟน อย่างไรก็ดี บริษัทเปลี่ยนแนวคิดในปีถัดมา และเปิดแอพโสตร์ขึ้น
ในช่วง 2-3 ปีแรกของแอพสโตร์ ตำแหน่งผู้นำของแอปเปิลในตลาดสมาร์ทโฟนดึงดูดให้นักพัฒนานำแอพพลิเคชันมาจำหน่ายบนระบบไอโอเอสเป็นลำดับแรก หรือบางแอพฯ ก็พัฒนาขึ้นสำหรับไอโอเอสเพียงระบบเดียว ปรากฏการณ์ดังกล่าวช่วยให้อุปกรณ์ของแอปเปิลได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ใช้ระบบแอนดรอยด์และอื่นๆ อย่างไรก็ดี เวลานี้แนวโน้มเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อส่วนแบ่งตลาดของอุปกรณ์ระบบแอนดรอยด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จีน มันสเตอร์ นักวิเคราะห์จากไพเพอร์ แจฟฟรีย์ กล่าวว่า ปัจจุบันคุณภาพและการใช้งานของแอพพลิเคชันไม่ใช่ปัจจัยที่สร้างความแตกต่างให้กับอุปกรณ์ระบบไอโอเอสและแอนดรอยด์อีกต่อไป โดยเมื่อเปรียบเทียบเรตติ้งของผู้ใช้งานแอพพลิเคชัน 200 ลำดับแรกทั้งแบบเสียเงินและฟรีบนไอโอเอสและแอนดรอยด์ พบว่าคุณภาพและประสบการณ์การใช้งานบนระบบทั้งสองอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน
มันสเตอร์กล่าวว่า สนามแข่งขันต่อไปจะเป็นบริการที่มีอยู่เฉพาะบนระบบใดระบบหนึ่ง เช่น สิริ (Siri)บริการให้ความช่วยเหลือด้วยเสียงของไอโอเอส และกูเกิลนาว (Google Now) บริการให้ความช่วยเหลือส่วนตัวบนระบบแอนดรอยด์ที่สามารถตอบคำถาม แนะนำ และคาดเดาข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการ
ทั้งนี้ แอปเปิลกล่าวว่า ยอดขายบนแอพสโตร์ในปี 2556 ได้รับแรงหนุนจากแอพพลิเคชันอย่าง เกม Heads Up!ของเอลเลน ดีเจเนเรส พิธีกรชื่อดังชาวอเมริกัน แอพพลิเคชันคำนวณแคลอรี Moves แอพพลิเคชันตัดแต่งภาพ Afterlight และเกม Impossible Road เป็นต้น ขณะที่ความสำเร็จอย่างดียิ่งของแอพฯ เช่น Candy Crush Saga, Puzzle & Dragons และ Minecraft มาจากต่างประเทศ
ปัจจุบันแอพสโตร์ของแอปเปิลมีแอพพลิเคชันให้เลือกซื้อและดาวน์โหลดกว่า 1 ล้านแอพฯ สำหรับอุปกรณ์ไอโฟน ไอแพด และไอพอดทัช ด้วยคอนเทนต์ที่หลากหลาย เช่น ข่าว เกม กีฬา ท่องเที่ยว และอื่นๆ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,913 วันที่ 12 - 15 มกราคม พ.ศ. 2557
คอลัมน์ : ตลาดต่างประเทศ
ยอดขายไอโฟนและไอแพดจำนวนมากของแอปเปิล ช่วยส่งให้ยอดขายแอพพลิเคชันผ่านแอพสโตร์เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดยปีที่ผ่านมายอดขายบนแอปเปิลแอพสโตร์มีมูลค่าเกินกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แอปเปิล อิงค์ เปิดเผยในสัปดาห์นี้ว่า ในปี 2556 ที่ผ่านมา ผู้บริโภคใช้จ่ายผ่านทางแอพสโตร์ของบริษัทเป็นมูลค่าเกินกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่าเป็นการเติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงเท่าตัว "เราอยากขอบคุณผู้บริโภคของเราที่ทำให้ปี 2556 เป็นปีที่ดีที่สุดสำหรับแอพสโตร์" เอ็ดดี้ คิว รองประธานอาวุโสฝ่ายซอฟต์แวร์และบริการอินเตอร์เน็ตกล่าว
เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล ระบุว่า เมื่อหักค่าธรรมเนียม 30% รายได้ที่เข้าสู่กระเป๋าแอปเปิลคิดเป็นเกินกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกำไรเกือบทั้งหมด รายได้ระดับดังกล่าวสะท้อนถึงวงจรความสำเร็จของไอโฟนและไอแพด โดยเมื่อผู้ใช้อุปกรณ์แอปเปิลซื้อแอพพลิเคชันหรือใช้จ่ายเงินบนแอพสโตร์ จะเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มีต่อระบบปฏิบัติการไอโอเอสให้แข็งแกร่งขึ้น และเพิ่มโอกาสที่ผู้บริโภคจะเลือกซื้ออุปกรณ์แอปเปิลอีกในอนาคต
แม้ว่ารายได้จากแอพสโตร์ยังคิดเป็นสัดส่วนเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับรายได้ 9.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แอปเปิลทำได้จากไอโฟนเมื่อปีงบประมาณก่อนที่สิ้นสุดในเดือนกันยายน 2556 แต่นับเป็นธุรกิจที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วในเวลาที่การเติบโตของรายได้โดยรวมของแอปเปิลกำลังชะลอตัวลง
แอปเปิลกล่าวว่า เดือนธันวาคมที่ผ่านมาเป็นเดือนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของแอพสโตร์ โดยมีผู้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชันเกือบ 3 ล้านแอพฯ คิดเป็นรายได้เกินกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แอปเปิลกล่าวอีกว่า นับตั้งแต่ปี 2551 นักพัฒนาแอพพลิเคชันทำรายได้จากแอพสโตร์ได้ถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่ายอดขายแอพพลิเคชันทั้งหมดนับตั้งแต่ช่วงเวลาดังกล่าวมีมูลค่าเกินกว่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เมื่อครั้งที่แอปเปิลนำไอโฟนออกมาเปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2550 สตีฟ จ็อบส์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลังเลที่จะเปิดให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์จากภายนอกเข้ามาพัฒนาโปรแกรมให้กับไอโฟน โดยกังวลว่าจะเป็นอุปสรรคขัดขวางการทำงานของฟังก์ชันหลักๆ ของไอโฟน อย่างไรก็ดี บริษัทเปลี่ยนแนวคิดในปีถัดมา และเปิดแอพโสตร์ขึ้น
ในช่วง 2-3 ปีแรกของแอพสโตร์ ตำแหน่งผู้นำของแอปเปิลในตลาดสมาร์ทโฟนดึงดูดให้นักพัฒนานำแอพพลิเคชันมาจำหน่ายบนระบบไอโอเอสเป็นลำดับแรก หรือบางแอพฯ ก็พัฒนาขึ้นสำหรับไอโอเอสเพียงระบบเดียว ปรากฏการณ์ดังกล่าวช่วยให้อุปกรณ์ของแอปเปิลได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ใช้ระบบแอนดรอยด์และอื่นๆ อย่างไรก็ดี เวลานี้แนวโน้มเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อส่วนแบ่งตลาดของอุปกรณ์ระบบแอนดรอยด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จีน มันสเตอร์ นักวิเคราะห์จากไพเพอร์ แจฟฟรีย์ กล่าวว่า ปัจจุบันคุณภาพและการใช้งานของแอพพลิเคชันไม่ใช่ปัจจัยที่สร้างความแตกต่างให้กับอุปกรณ์ระบบไอโอเอสและแอนดรอยด์อีกต่อไป โดยเมื่อเปรียบเทียบเรตติ้งของผู้ใช้งานแอพพลิเคชัน 200 ลำดับแรกทั้งแบบเสียเงินและฟรีบนไอโอเอสและแอนดรอยด์ พบว่าคุณภาพและประสบการณ์การใช้งานบนระบบทั้งสองอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน
มันสเตอร์กล่าวว่า สนามแข่งขันต่อไปจะเป็นบริการที่มีอยู่เฉพาะบนระบบใดระบบหนึ่ง เช่น สิริ (Siri)บริการให้ความช่วยเหลือด้วยเสียงของไอโอเอส และกูเกิลนาว (Google Now) บริการให้ความช่วยเหลือส่วนตัวบนระบบแอนดรอยด์ที่สามารถตอบคำถาม แนะนำ และคาดเดาข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการ
ทั้งนี้ แอปเปิลกล่าวว่า ยอดขายบนแอพสโตร์ในปี 2556 ได้รับแรงหนุนจากแอพพลิเคชันอย่าง เกม Heads Up!ของเอลเลน ดีเจเนเรส พิธีกรชื่อดังชาวอเมริกัน แอพพลิเคชันคำนวณแคลอรี Moves แอพพลิเคชันตัดแต่งภาพ Afterlight และเกม Impossible Road เป็นต้น ขณะที่ความสำเร็จอย่างดียิ่งของแอพฯ เช่น Candy Crush Saga, Puzzle & Dragons และ Minecraft มาจากต่างประเทศ
ปัจจุบันแอพสโตร์ของแอปเปิลมีแอพพลิเคชันให้เลือกซื้อและดาวน์โหลดกว่า 1 ล้านแอพฯ สำหรับอุปกรณ์ไอโฟน ไอแพด และไอพอดทัช ด้วยคอนเทนต์ที่หลากหลาย เช่น ข่าว เกม กีฬา ท่องเที่ยว และอื่นๆ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,913 วันที่ 12 - 15 มกราคม พ.ศ. 2557
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4809
วันพุธที่ 15 มกราคม 2014 เวลา 10:51 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ ข่าวหน้า1 - คอลัมน์ : BIG STORIES
รัฐ-เอกชนงัดแผนฉุกเฉินรับมือชัตดาวน์ กางตำราBCPรักษาความต่อเนื่องการให้บริการ ทั้งย้ายไปศูนย์สำรอง เร่งแบ็กอัพข้อมูลวางระบบไอทีให้ทำงานได้จากหลายที่ จนถึงให้พนักงานส่งงานจากที่บ้าน พร้อมให้บริการลูกค้า-ผู้ใช้บริการได้ต่อเนื่อง แม้ถูกปิดสำนักงานใหญ่ มั่นใจเครือข่ายระบบแบงก์ สื่อสาร ไอที ไฟฟ้า น้ำมัน ยังมีพร้อมให้ใช้ โรงแรมหรูใจกลางเมืองรับลูกค้าเผ่น แห่อัดแคมเปญพิเศษหั่นราคาห้องพักเกือบครึ่งดูดลูกค้าคนไทย ตลอดช่วงชุมนุมกลางเมืองนี้เท่านั้น
ท่ามกลางความหวาดวิตกว่า ปฏิบัติการ"ชัตดาวน์กรุงเทพฯ"ของมวลชนกปปส.อย่างเต็มรูปเมื่อ 13 มกราคม 2557 โดยกระจายเวทีชุมนุม 7 จุดหลัก ปิดเส้นทางสัญจรหลักเพื่อให้กลไกราชการเป็นอัมพาต อาจส่งผลกระทบให้ชีพจรเศรษฐกิจธุรกิจสะดุดหยุดลงไปด้วยนั้น ผลในช่วงต้นปรากฏว่าคนกรุงเทพฯหยุดใช้รถยนต์ เปลี่ยนมาเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน และบางส่วนหยุดงานหรือทำงานจากที่บ้านเฝ้าดูสถานการณ์ ทำให้การสัญจรยังพอไปได้ ขณะที่องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ต่างปรับตัวงัดแผนบริหารความเสี่ยงออกมาใช้โดยพร้อมเพรียง จึงยังรักษาการให้บริการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องไว้ได้อยู่
-ราชการเผ่นตั้งสนง.สำรอง
ทั้งนี้ ผู้บริหารหน่วยงานราชการต่าง ๆ ตกเป็นเป้าการชุมนุมปิดล้อมของกลุ่มมวลชน เพื่อกดดันให้ยุติการทำงาน เพื่อไม่ให้เผชิญหน้าได้สั่งใช้แผนบริหารความเสี่ยง โดยย้ายไปทำงานที่ศูนย์สำรอง สาขาที่ไม่ได้รับผลกระทบ หรือทำงานจากที่บ้านโดยทั่วกันเกือบทุกกระทรวงแล้ว โดยนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้ให้ข้าราชการกระทรวงการคลัง แยกย้ายไปทำงานในพื้นที่ที่สำรองข้อมูลไว้นอกพื้นที่ชุมนุม หรือจากบ้าน โดยกรมบัญชีกลางที่เกี่ยวกับการเบิกจ่ายต่าง ๆ ให้ไปปฏิบัติงานที่กองทัพอากาศ
ด้านนายราฆพ ศรีศุภอรรก อธิบดีกรมศุลกากร เผยว่า รัฐมนตรีคลังมอบหมายนโยบายให้ทุกหน่วยงาน รักษาสถานที่ไม่ให้เสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน และปฏิบัติตามแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว เพื่อให้บริการประชาชนได้โดยไม่สะดุด และเฝ้าประเมินสถานการณ์ทุกชั่วโมง โดยมีตัวแทนระดับผู้บริหารกรม เป็นผู้เจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม
ส่วนงานบริการของกรมศุลกากรย้ายไปที่ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และท่าเรือเอกชน 20 แห่ง ส่วนหน่วยจัดเก็บส่วนใหญ่อยู่นอกกรมตามด่านศุลกากรต่าง ๆ ยังไม่กระทบ แต่เวลานี้การทำงานติดขัดล่าช้าจากปกติบ้าง
เช่นกันนายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ให้เจ้าหน้าที่ไปทำงานที่สำนักงานสรรพากรเขตต่าง ๆ แทน และบางส่วนทำงานจากบ้าน จึงไม่กระทบต่อการชำระหรือขอคืนภาษี เนื่องจากกรมมีระบบสำรองการทำงานไว้พร้อมก่อนแล้ว ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานเขตพื้นที่ต่าง ๆ ที่ยังเปิดให้บริการหรือใกล้เคียง หรือยื่นทางอินเตอร์เน็ต ที่จะได้รับการขยายเวลาให้อีก 8 วัน
ขณะที่นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ก็ยืนยันเช่นกันว่า การถูกปิดล้อมไม่กระทบการให้บริการ หากเดินทางมาใช้บริการในหน่วยงานกรุงเทพฯชั้นในไม่ได้ ก็ไปยื่นที่สาขาที่ยังเปิดให้บริการได้อยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะดูแลให้เต็มที่
-พาณิชย์ตั้งหลักบางไทร
เช่นเดียวกับกระทรวงพาณิชย์ นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ ปลัดกระทรวง มีคำสั่งให้ปิดกระทรวงตั้งแต่ 13 มกราคม โดยผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่ผู้อำนวยการขึ้นไป ให้ไปทำงานที่ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ(องค์การมหาชน) อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชั่วคราว จนกว่าการชุมนุมจะคลี่คลาย ส่วนระดับปฏิบัติงานที่ไม่เกี่ยวกับการให้บริการ ผู้บริหารหน่วยงานอาจสั่งให้ทำงานจากที่บ้าน
ส่วนหน่วยงานที่ต้องเปิดให้บริการประชาชน อาทิ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการค้าต่างประเทศ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าภายใน และองค์การคลังสินค้า(อคส.) ยังเปิดให้บริการตามปกติ แต่ได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบว่า จะสามารถใช้บริการต่าง ๆ ได้ตามสาขานอกเขตกรุงเทพฯ หรือพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุชุมนุม เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน
ด้านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวง ได้มีคำสั่งตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2556 กำหนดให้สำนักงานชลประทานที่ 11 กรมชลประทานปากเกร็ด เป็นสถานที่ปฏิบัติงานชั่วคราว ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหาในทุกมิติ เช่น ผลกระทบจากการปิดสถานที่ราชการในภูมิภาค หรือภาคการเกษตรได้รับผลกระทบจากการชุมนุมหรือไม่อย่างไร เพื่อให้การบริการของกระทรวงเกษตรฯยังเกิดประโยชน์สูงสุด (ดูตารางหน่วยงานราชการที่ย้ายไปศูนย์สำรองและแผนรองรับประกอบ)
-ทหารไทยยันเปิดปกติ
ด้านธนาคารทหารไทย(ทีเอ็มบี) ที่มีเวทีของผู้ชุมนุมกปปส.ตั้งเวทีบนถนนพหลโยธินก่อนถึงแยกลาดพร้าวหน้าอาคารสำนักงานใหญ่นั้น นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี ยืนยันว่า ธนาคารยังคงเปิดให้บริการตามปกติทุกด้านอย่างต่อเนื่อง สำหรับทั้งลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจ โดยแผนฉุกเฉินรองรับความต่อเนื่องของธุรกิจ (Business Continuity Plan-BCP) จะแจ้งพนักงานวันต่อวัน โดยส่งผ่านSMSให้รับทราบแผนการทำงานในวันรุ่งขึ้น ซึ่งได้มีการแบ่งระดับความสำคัญแต่ละสายไว้ชัดเจน พนักงานเทียร์ วัน ซึ่งมีความสำคัญนั้นจะหยุดงานไม่ได้ ประกอบด้วยฝ่าย ไอที หรือประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังมีเทียร์ทู ,เทียร์ทรี พร้อมให้ปฏิบัติงานที่ศูนย์สำรองหรือที่บ้าน
-อนันดาย้ายออฟฟิศหนีอโศก
ขณะที่นางสาวกลุนรี มีแก้ว ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท อนันดา ดีเวลลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN กล่าวว่า บริษัทมีสำนักงานประจำที่อาคารเลค รัชดา ออฟฟิศ คอมเพล็กซ์ ซึ่งอยู่ใกล้พื้นที่เขตชุมนุมบริเวณแยกอโศก จึงให้ย้ายพนักงานกว่า 100 คน ไปทำงานที่สำนักงานเดิม ซอยหมู่บ้านวินด์มิลล์ บางนา-ตราด (ก.ม. 10.5) ตั้งแต่วันที่ 13-17 มกราคม 2557 สำหรับพนักงานที่เดินทางไปสำนักงานบางนาลำบาก หรือหน้าที่ที่รับผิดชอบไม่จำเป็นต้องเข้าสำนักงาน อนุญาตให้ทำงานผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้ ในส่วนของบิสิเนสยูนิตให้ประจำ ณ โครงการไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท และพระราม 9
- ยัน"การบิน-ซื้อขายหุ้น"ไม่สะดุด
ส่วนที่นายนิติธร ล้ำเหลือ แกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนเพื่อประเทศไทย(คปท.) ประกาศจะปิดอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) และวิทยุการบิน หากนายกฯยังไม่ยอมออกจากตำแหน่งในวันที่ 15 มกราคมนี้ จนแวดวงธุรกิจหวั่นวิตกจะกระทบการซื้อขายหุ้นและการจราจรทางอากาศนั้น ล่าสุดผู้บริหารหน่วยงานทั้งสองแห่งยืนยันแล้วว่า มีระบบสำรองเพื่อให้บริการเดินหน้าต่อเนื่องได้แน่นอน
โดยนายบดินทร์ อูนากูล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหาร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 มกราคม ที่ผ่านมา ตลท.ได้ตัดสินใจสั่งปิดรั้ว หน้าที่ทำการตลท.(ย่านคลองเตย)แล้ว แต่ยังคงให้บริการนักลงทุนอยู่ ตามแผนบริหารงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน (Business Continuity Plans )หรือBCP เพื่อให้การซื้อขายดำเนินการได้ตามปกติ
ทั้งนี้ ตลท.ได้ใช้แผน BCP ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยลดเจ้าหน้าที่จากกว่า 700 คนเหลือเพียง 100 คนเศษ และต่ำลงอีกในวันที่ 15 มกราคมนี้ ให้คงไว้เฉพาะที่เกี่ยวกับระบบซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของบริษัทหลักทรัพย์ที่รับผิดชอบ และยังทำงานได้ตามปกติ ไม่พบปัญหาแต่อย่างใด ส่วนระบบตรวจสอบความผิดปกติของราคาหุ้นก็ทำงานปกติ และจะเฝ้าประเมินสถานการณ์วันต่อวัน ตามแผนฉุกเฉินนี้สามารถรองรับสถานการณ์ยืดเยื้อได้กว่า 1 เดือน
การรับมือผู้ชุมนุมหากเคลื่อนขบวนมายังอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น จะเน้นการเจรจาเป็นหลัก ซึ่งผู้ชุมนุมก็ย้ำตลอดว่า ชุมนุมอย่างสันติอหิงสา จึงไม่น่ามีปัญหา ส่วนการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น จะเป็นตัวเลือกสุดท้าย หากสถานการณ์ยกระดับเป็นความรุนแรง ถึงขั้นบุกเข้าทำลายสิ่งของในอาคารที่ทำการตลาดหลักทรัพย์ฯ
เช่นเดียวกัน น.ต. ประจักษ์ สัจจโสภณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ได้ชี้แจงสร้างความมั่นใจสายการบินต่าง ๆ แล้ว ว่ามีแผนรองรับหากผู้ชุมนุมปิดสำนักงานใหญ่ที่ทุ่งมหาเมฆ เพื่อให้บริการจราจรทางอากาศ ทั้งที่ขึ้น-ลงวันละกว่า 2 พันเที่ยว หรือเครื่องบินที่บินผ่านน่านฟ้าไทย ให้ต่อเนื่องเป็นปกติต่อไปได้
โดยหากไม่สามารถให้บริการจราจรทางอากาศจากที่สำนักงานใหญ่ ก็ได้เตรียมความพร้อมทั้ง ระบบ อุปกรณ์ และบุคลากร ไปทำงานในสถานที่ปฏิบัติงานสำรองได้ทันที โดยมีที่สำรองไว้กว่า 3 แห่งทั้งในส่วนกลางและต่างจังหวัด ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยที่ตั้งได้ รวมทั้งได้เปิดทดลองระบบล่วงหน้าแล้ว พบว่าสามารถรักษาความสามารถการให้บริการไว้ได้เช่นเดิม ใช้คลื่นความถี่เดิมในการสื่อสารระหว่างนักบินกับเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ เพื่อความราบรื่นและต่อเนื่องการให้บริการ โดยเป็นการเชื่อมข้อมูลจากระบบเรดาร์ โดยจัดผู้บริหารระดับสูงเข้าเวรอำนวยการตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ขอเรียกร้องว่า เนื่องจากบวท. เป็นหน่วยงานให้บริการจราจรทางอากาศในเขตน่านฟ้าไทยระดับสากล ที่ต้องให้บริการจราจรทางอากาศด้วยความปลอดภัยสูงสุด ตามมาตรฐานสากลขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)จึงขอให้ตระหนักถึงผลกระทบและความเสียหาย ทั้งต่อทรัพย์สินและโดยเฉพาะความเชื่อมั่นของนานาชาติ
-ธุรกิจแห่งัดแผนBCPรับมือ
ขณะที่ภาคธุรกิจเอกชนต่างงัดแผนฉุกเฉิน เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อเนื่อง(BCP) กันถ้วนหน้า โดย นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อาคารสำนักงานปตท.ถนนวิภาวดีรังสิตถูกผู้ชุมนุมปิดล้อม ปตท.ยังปฏิบัติงานต่อเนื่องได้ โดยพนักงานบางส่วนทำงานที่บ้าน และบางส่วนไปทำงานสำนักงานสำรอง ตามแผนบริหารความเสี่ยง ซึ่งใช้ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นระยะ เช่น น้ำท่วม ความขัดแย้งทางการเมือง จึงได้เรียนรู้และฝึกฝนมาเป็นระยะ
ส่วนการให้บริการกรณีสถานีบริการน้ำมันใกล้พื้นที่เสี่ยง ปตท.ปิดให้บริการไปก่อน เพื่อความปลอดภัย ส่วนการขนส่งน้ำมันและก๊าซยังคงดำเนินการตามปกติ ซึ่ง ปตท. ยังคงดำเนินการเช่นนี้ต่อไปจนกว่าจะสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ อีกส่วนหนึ่ง อาทิ แผนกการเงิน จ่ายบิล หรือรับคำสั่งลูกค้า ก็ทำงานในสำนักงานออฟฟิศสำรอง จึงไม่มีปัญหา
-ไฟฟ้าเฝ้าระวัง
ด้านความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้านั้นนายพิบูลย์ บัวแช่ม รองผู้ว่าการบริหาร การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะประธานศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว เปิดเผยว่า กฟผ. ได้ตั้งศูนย์เฉพาะกิจ ขึ้นเพื่อเฝ้าระวังในเรื่องการดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ในส่วนของการผลิตและจ่ายไฟฟ้า ทั้งในส่วนของโรงไฟฟ้าและระบบส่งอย่างใกล้ชิด มีเจ้าหน้าที่ประจำไว้ตามจุดสำคัญต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
นอกจากนี้ ได้ประสานกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เตรียมพร้อม 3 ระดับ คือ ระดับปกติ ระดับเสี่ยง และระดับเสี่ยงมาก สำหรับสถานการณ์ในวันนี้ประเมินว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ กฟผ. ได้สั่งการให้โรงไฟฟ้า และสถานีไฟฟ้าแรงสูง มีความพร้อมในการผลิตและจ่ายไฟฟ้า ไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงรักษา ซึ่งโรงไฟฟ้าในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล อาทิ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ และโรงไฟฟ้าพระนครใต้ มีความพร้อมในการจ่ายไฟฟ้าได้ตามปกติ
-ธุรกิจวางระบบคอมพ์รับทรัพย์
ความตื่นตัววางระบบสำรองเพื่อให้ดำเนินงานได้ต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจที่ปรึกษาและวางระบบคอมพิวเตอร์เป็นที่ต้องการอย่างหนัก โดยนางภิรดา ภักดีสัตยพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ หน่วยงานที่ปรึกษา โอเปอเรชั่นนอล เอ็กเซลเล้นช์ บริษัท พีดับซี คอนซัลติ้ง ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่ปลายปี 2556 และต้นปี 2557 ที่ผ่านมา มีองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน โรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจการบิน และโทรคมนาคม รวมถึงรัฐวิสาหกิจ ทั้งในพื้นที่ชุมนุมและนอกพื้นที่ชุมนุม เข้ามาใช้บริการให้คำปรึกษาทำแผนบริหารความต่อเนื่องธุรกิจ (Business Continuity Management: BCM) ค่อนข้างมาก ส่วนกลุ่มธนาคารนั้น ที่ผ่านมาได้ลงทุนจัดทำแผนบริหารความต่อเนื่องธุรกิจไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2553-2554 เนื่องจากเป็นกฎระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทย หลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2553
"ภัยที่ส่งผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องมี 2 ประเภท คือภัยธรรมชาติ กับภัยที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งขณะนี้องค์กรเริ่มตระหนักแล้วว่า ทุกอย่างมีโอกาสเป็นไปได้หมด และทำให้ตื่นตัวในการจัดทำแผนรองรับ"
เช่นกันนายวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน บริษัทซิสโก ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย)ฯ กล่าวว่า ความตื่นตัวการทำแผนความต่อเนื่องธุรกิจนั้น ไม่ใช่เฉพาะด้านไอทีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภคด้วย เช่น การตัดไฟ ที่มีผลต่อการทำงานของระบบไอทีด้วย จึงต้องมีแผนไว้เป็นกรอบเพื่อให้สามารถปรับแต่งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทันที
นอกจากนี้ด้วยประสิทธิภาพของ 3จี และ 4จี ที่เกิดขึ้น ทำให้องค์กรตื่นตัวในเรื่องโมบายออฟฟิศ หรือ การทำงานที่บ้านมากขึ้น เนื่องจากความเร็วของ 3 จี ช่วยให้การใช้งานแอพพลิเคชันต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ อาทิ การประชุมทางไกล ที่สามารถใช้งานได้ดีมากขึ้น
-ตั้งแบ็กอัพสำรอง
ด้านนายกรัณย์พล อัศวสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการโครงข่าย ให้ความมั่นใจลูกค้า ว่า หากเกิดเหตุชุมนุมไม่สามารถสัญจรหากันได้ตามปกติ บริษัทจะจัดหาเส้นทางสำรองหรือเส้นทางใหม่ รวมถึงย้ายอุปกรณ์โครงข่ายแก่ลูกค่าที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งจัดเตรียมรถบริการและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเคลื่อนที่ให้พร้อมตลอด โดยระบบไฟฟ้าสำรองที่ทางบริษัทฯจัดเตรียมไว้สามารถให้บริการได้อย่างน้อย 10 ชั่วโมงขึ้นไป และ จัดเตรียมพนักงานประจำการและอุปกรณ์โครงข่ายในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯเพื่อตรวจตรา สอดส่อง และ ดูแลศูนย์วางอุปกรณ์เชื่อมโยงโครงข่ายหลักและโครงข่ายย่อย (Node)เพื่อให้สามารถให้บริการอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากกรณีที่เหตุการณ์ชุมนุมทวีความรุนแรง และส่งผลกระทบกับการปฏิบัติงานที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท สามารถโยกย้ายพนักงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติงาน ณ ศูนย์ปฏิบัติการโครงข่ายสำรองที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งมีความพร้อมในการปฏิบัติงานได้เสมือนที่สำนักงานใหญ่
- เอไอเอส เสริมเครือข่ายเฉพาะกิจ
ขณะที่ผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่มั่นใจให้บริการ โดยนายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า ขณะนี้ เอไอเอส พยายามเพื่อจำนวนสัญญาณเครือข่ายรองรับเป็นจำนวนมากเท่าที่จะมากได้ โดยขณะนี้เตรียมการวางสถานีเฉพาะกิจเพิ่มเติม แต่ขึ้นอยู่กับม็อบจะไปชุมนุมบริเวณไหน "บางครั้งเราไม่รู้ล่วงหน้าว่าม็อบจะไปชุมนุมที่ไหน แต่เราก็ต้องมาแก้ปัญหาตามหลังหากสัญญาณติดขัด เอไอเอส ก็ต้องไปเจรจากับเจ้าของสถานที่นั้น ๆ จะอนุญาตให้ติดตั้งเพิ่มเติมหรือไม่"
-รร.หรูหั่นครึ่งห้องพักรับคนไทย
ขณะเดียวกันผลจากการจัดชุมนุมกลางเมืองหลวงครั้งนี้ ทำให้แขกที่เข้าพักโรงแรมหรูกลางเมืองไม่มั่นใจความปลอดภัยตัดสินใจเช็กเอาต์ก่อนกำหนด ทำให้ทางโรงแรมต้องปรับตัวรับมือจ้าละหวั่น โดย ดร.รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัทโรงแรมเซ็นทรัล พลาซา จำกัด(มหาชน) รับว่า ผลการชุมนุมทำให้โรงแรมในพื้นที่ใกล้จุดชุมนุม คือ เซ็นทารา แกรนด์แอทเซ็นทรัลเวิลด์ และ เซ็นทารา แกรนด์แอทเซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว ช่วงหลังจากวันที่ 15 มกราคม 2557 เป็นต้นไปจนถึงสิ้นเดือนนี้ อัตราการเข้าพักของทั้ง 2 โรงแรมลดลงเหลือง 40 % จากปกติอยู่ที่ราว 65% แต่ยังไม่กระทบภาพรวมรายได้ไตรมาสแรก เพราะอัตราเข้าพักโรงแรมในต่างจังหวัดยังสูง
"ฐานเศรษฐกิจ"สำรวจพบว่า โรงแรมในพื้นที่บริเวณการชุมนุมได้รับผลกระทบรุนแรง บางแห่งอัตราเข้าพักเหลือเพียง 30 % หลังวันเริ่มปฏิบัติการชัตดาวน์ และส่วนใหญ่ได้ออกแคมเปญ ส่งเสริมให้คนไทยไปใช้บริการห้องพักและอาหาร ในช่วงการชุมนุมทางการเมืองด้วย เช่น โรงแรม อโนมา สี่แยกราชประสงค์ ประกาศขายห้องพักผ่านเฟซบุ๊ก ว่า มีการจัดสเปเชียล แพ็กเกจ 2014 ระหว่างวันที่ 12-16 มกราคม ขายห้องพัก ในราคาคืนละ 1.8 - 2 พันบาท สำหรับห้องสุพีเรียร์ ส่วนโรงแรมเอเชีย ราชเทวี ขายห้องพักราคาพิเศษ 1.6 พันบาทสำหรับห้องเดี่ยว และห้องคู่ 1.8 พันบาท รวมอาหารเช้า เป็นราคาพิเศษที่ขายตลอดการชุมนุม
ส่วนโรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ขายห้องพักราคา 4.5 พันบาทรวมอาหารเช้า จากปรกติที่ราคาห้องพักในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงพีกซีซัน จะขายห้องพักจะอยู่ที่ 6-8 พันบาท โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ขายคืนละ 4.8 พันบาท โรงแรมแลนด์มาร์ค สุขุมวิท มีการจัดบุฟเฟ่ต์ราคาพิเศษมื้อกลางวัน คิดหัวละ 800 บาท จากเดิมขายหัวละ 2 พันบาท แต่จะลดอาหารบางเมนู ขายเฉพาะช่วงการชุมนุม ส่วนห้องพักกำลังจะลดราคาพิเศษสำหรับคนไทย โรงแรมสยามเคมปินสกี ขายห้องพักราคา 4.8 พันบาท จากปกติ 8 พันบาท เฉพาะภายในอาทิตย์นี้
"ราคาดังกล่าวใช้เฉพาะคนไทยเท่านั้น เนื่องจากโรงแรมส่วนใหญ่ในพื้นที่ชุมนุม ต่างได้รับผลกระทบจากการยกเลิกการจองห้องพัก ห้องประชุม กันเป็นจำนวนมาก
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,914 วันที่ 16 - 18 มกราคม พ.ศ. 2557
รัฐ-เอกชนงัดแผนฉุกเฉินรับมือชัตดาวน์ กางตำราBCPรักษาความต่อเนื่องการให้บริการ ทั้งย้ายไปศูนย์สำรอง เร่งแบ็กอัพข้อมูลวางระบบไอทีให้ทำงานได้จากหลายที่ จนถึงให้พนักงานส่งงานจากที่บ้าน พร้อมให้บริการลูกค้า-ผู้ใช้บริการได้ต่อเนื่อง แม้ถูกปิดสำนักงานใหญ่ มั่นใจเครือข่ายระบบแบงก์ สื่อสาร ไอที ไฟฟ้า น้ำมัน ยังมีพร้อมให้ใช้ โรงแรมหรูใจกลางเมืองรับลูกค้าเผ่น แห่อัดแคมเปญพิเศษหั่นราคาห้องพักเกือบครึ่งดูดลูกค้าคนไทย ตลอดช่วงชุมนุมกลางเมืองนี้เท่านั้น
ท่ามกลางความหวาดวิตกว่า ปฏิบัติการ"ชัตดาวน์กรุงเทพฯ"ของมวลชนกปปส.อย่างเต็มรูปเมื่อ 13 มกราคม 2557 โดยกระจายเวทีชุมนุม 7 จุดหลัก ปิดเส้นทางสัญจรหลักเพื่อให้กลไกราชการเป็นอัมพาต อาจส่งผลกระทบให้ชีพจรเศรษฐกิจธุรกิจสะดุดหยุดลงไปด้วยนั้น ผลในช่วงต้นปรากฏว่าคนกรุงเทพฯหยุดใช้รถยนต์ เปลี่ยนมาเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน และบางส่วนหยุดงานหรือทำงานจากที่บ้านเฝ้าดูสถานการณ์ ทำให้การสัญจรยังพอไปได้ ขณะที่องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ต่างปรับตัวงัดแผนบริหารความเสี่ยงออกมาใช้โดยพร้อมเพรียง จึงยังรักษาการให้บริการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องไว้ได้อยู่
-ราชการเผ่นตั้งสนง.สำรอง
ทั้งนี้ ผู้บริหารหน่วยงานราชการต่าง ๆ ตกเป็นเป้าการชุมนุมปิดล้อมของกลุ่มมวลชน เพื่อกดดันให้ยุติการทำงาน เพื่อไม่ให้เผชิญหน้าได้สั่งใช้แผนบริหารความเสี่ยง โดยย้ายไปทำงานที่ศูนย์สำรอง สาขาที่ไม่ได้รับผลกระทบ หรือทำงานจากที่บ้านโดยทั่วกันเกือบทุกกระทรวงแล้ว โดยนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้ให้ข้าราชการกระทรวงการคลัง แยกย้ายไปทำงานในพื้นที่ที่สำรองข้อมูลไว้นอกพื้นที่ชุมนุม หรือจากบ้าน โดยกรมบัญชีกลางที่เกี่ยวกับการเบิกจ่ายต่าง ๆ ให้ไปปฏิบัติงานที่กองทัพอากาศ
ด้านนายราฆพ ศรีศุภอรรก อธิบดีกรมศุลกากร เผยว่า รัฐมนตรีคลังมอบหมายนโยบายให้ทุกหน่วยงาน รักษาสถานที่ไม่ให้เสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน และปฏิบัติตามแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว เพื่อให้บริการประชาชนได้โดยไม่สะดุด และเฝ้าประเมินสถานการณ์ทุกชั่วโมง โดยมีตัวแทนระดับผู้บริหารกรม เป็นผู้เจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม
ส่วนงานบริการของกรมศุลกากรย้ายไปที่ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และท่าเรือเอกชน 20 แห่ง ส่วนหน่วยจัดเก็บส่วนใหญ่อยู่นอกกรมตามด่านศุลกากรต่าง ๆ ยังไม่กระทบ แต่เวลานี้การทำงานติดขัดล่าช้าจากปกติบ้าง
เช่นกันนายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ให้เจ้าหน้าที่ไปทำงานที่สำนักงานสรรพากรเขตต่าง ๆ แทน และบางส่วนทำงานจากบ้าน จึงไม่กระทบต่อการชำระหรือขอคืนภาษี เนื่องจากกรมมีระบบสำรองการทำงานไว้พร้อมก่อนแล้ว ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถติดต่อได้ที่สำนักงานเขตพื้นที่ต่าง ๆ ที่ยังเปิดให้บริการหรือใกล้เคียง หรือยื่นทางอินเตอร์เน็ต ที่จะได้รับการขยายเวลาให้อีก 8 วัน
ขณะที่นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ก็ยืนยันเช่นกันว่า การถูกปิดล้อมไม่กระทบการให้บริการ หากเดินทางมาใช้บริการในหน่วยงานกรุงเทพฯชั้นในไม่ได้ ก็ไปยื่นที่สาขาที่ยังเปิดให้บริการได้อยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะดูแลให้เต็มที่
-พาณิชย์ตั้งหลักบางไทร
เช่นเดียวกับกระทรวงพาณิชย์ นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ ปลัดกระทรวง มีคำสั่งให้ปิดกระทรวงตั้งแต่ 13 มกราคม โดยผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่ผู้อำนวยการขึ้นไป ให้ไปทำงานที่ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ(องค์การมหาชน) อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชั่วคราว จนกว่าการชุมนุมจะคลี่คลาย ส่วนระดับปฏิบัติงานที่ไม่เกี่ยวกับการให้บริการ ผู้บริหารหน่วยงานอาจสั่งให้ทำงานจากที่บ้าน
ส่วนหน่วยงานที่ต้องเปิดให้บริการประชาชน อาทิ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการค้าต่างประเทศ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าภายใน และองค์การคลังสินค้า(อคส.) ยังเปิดให้บริการตามปกติ แต่ได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบว่า จะสามารถใช้บริการต่าง ๆ ได้ตามสาขานอกเขตกรุงเทพฯ หรือพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุชุมนุม เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน
ด้านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้น นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวง ได้มีคำสั่งตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2556 กำหนดให้สำนักงานชลประทานที่ 11 กรมชลประทานปากเกร็ด เป็นสถานที่ปฏิบัติงานชั่วคราว ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหาในทุกมิติ เช่น ผลกระทบจากการปิดสถานที่ราชการในภูมิภาค หรือภาคการเกษตรได้รับผลกระทบจากการชุมนุมหรือไม่อย่างไร เพื่อให้การบริการของกระทรวงเกษตรฯยังเกิดประโยชน์สูงสุด (ดูตารางหน่วยงานราชการที่ย้ายไปศูนย์สำรองและแผนรองรับประกอบ)
-ทหารไทยยันเปิดปกติ
ด้านธนาคารทหารไทย(ทีเอ็มบี) ที่มีเวทีของผู้ชุมนุมกปปส.ตั้งเวทีบนถนนพหลโยธินก่อนถึงแยกลาดพร้าวหน้าอาคารสำนักงานใหญ่นั้น นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี ยืนยันว่า ธนาคารยังคงเปิดให้บริการตามปกติทุกด้านอย่างต่อเนื่อง สำหรับทั้งลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจ โดยแผนฉุกเฉินรองรับความต่อเนื่องของธุรกิจ (Business Continuity Plan-BCP) จะแจ้งพนักงานวันต่อวัน โดยส่งผ่านSMSให้รับทราบแผนการทำงานในวันรุ่งขึ้น ซึ่งได้มีการแบ่งระดับความสำคัญแต่ละสายไว้ชัดเจน พนักงานเทียร์ วัน ซึ่งมีความสำคัญนั้นจะหยุดงานไม่ได้ ประกอบด้วยฝ่าย ไอที หรือประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังมีเทียร์ทู ,เทียร์ทรี พร้อมให้ปฏิบัติงานที่ศูนย์สำรองหรือที่บ้าน
-อนันดาย้ายออฟฟิศหนีอโศก
ขณะที่นางสาวกลุนรี มีแก้ว ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท อนันดา ดีเวลลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN กล่าวว่า บริษัทมีสำนักงานประจำที่อาคารเลค รัชดา ออฟฟิศ คอมเพล็กซ์ ซึ่งอยู่ใกล้พื้นที่เขตชุมนุมบริเวณแยกอโศก จึงให้ย้ายพนักงานกว่า 100 คน ไปทำงานที่สำนักงานเดิม ซอยหมู่บ้านวินด์มิลล์ บางนา-ตราด (ก.ม. 10.5) ตั้งแต่วันที่ 13-17 มกราคม 2557 สำหรับพนักงานที่เดินทางไปสำนักงานบางนาลำบาก หรือหน้าที่ที่รับผิดชอบไม่จำเป็นต้องเข้าสำนักงาน อนุญาตให้ทำงานผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้ ในส่วนของบิสิเนสยูนิตให้ประจำ ณ โครงการไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท และพระราม 9
- ยัน"การบิน-ซื้อขายหุ้น"ไม่สะดุด
ส่วนที่นายนิติธร ล้ำเหลือ แกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนเพื่อประเทศไทย(คปท.) ประกาศจะปิดอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) และวิทยุการบิน หากนายกฯยังไม่ยอมออกจากตำแหน่งในวันที่ 15 มกราคมนี้ จนแวดวงธุรกิจหวั่นวิตกจะกระทบการซื้อขายหุ้นและการจราจรทางอากาศนั้น ล่าสุดผู้บริหารหน่วยงานทั้งสองแห่งยืนยันแล้วว่า มีระบบสำรองเพื่อให้บริการเดินหน้าต่อเนื่องได้แน่นอน
โดยนายบดินทร์ อูนากูล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหาร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 มกราคม ที่ผ่านมา ตลท.ได้ตัดสินใจสั่งปิดรั้ว หน้าที่ทำการตลท.(ย่านคลองเตย)แล้ว แต่ยังคงให้บริการนักลงทุนอยู่ ตามแผนบริหารงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน (Business Continuity Plans )หรือBCP เพื่อให้การซื้อขายดำเนินการได้ตามปกติ
ทั้งนี้ ตลท.ได้ใช้แผน BCP ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยลดเจ้าหน้าที่จากกว่า 700 คนเหลือเพียง 100 คนเศษ และต่ำลงอีกในวันที่ 15 มกราคมนี้ ให้คงไว้เฉพาะที่เกี่ยวกับระบบซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของบริษัทหลักทรัพย์ที่รับผิดชอบ และยังทำงานได้ตามปกติ ไม่พบปัญหาแต่อย่างใด ส่วนระบบตรวจสอบความผิดปกติของราคาหุ้นก็ทำงานปกติ และจะเฝ้าประเมินสถานการณ์วันต่อวัน ตามแผนฉุกเฉินนี้สามารถรองรับสถานการณ์ยืดเยื้อได้กว่า 1 เดือน
การรับมือผู้ชุมนุมหากเคลื่อนขบวนมายังอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น จะเน้นการเจรจาเป็นหลัก ซึ่งผู้ชุมนุมก็ย้ำตลอดว่า ชุมนุมอย่างสันติอหิงสา จึงไม่น่ามีปัญหา ส่วนการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น จะเป็นตัวเลือกสุดท้าย หากสถานการณ์ยกระดับเป็นความรุนแรง ถึงขั้นบุกเข้าทำลายสิ่งของในอาคารที่ทำการตลาดหลักทรัพย์ฯ
เช่นเดียวกัน น.ต. ประจักษ์ สัจจโสภณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ได้ชี้แจงสร้างความมั่นใจสายการบินต่าง ๆ แล้ว ว่ามีแผนรองรับหากผู้ชุมนุมปิดสำนักงานใหญ่ที่ทุ่งมหาเมฆ เพื่อให้บริการจราจรทางอากาศ ทั้งที่ขึ้น-ลงวันละกว่า 2 พันเที่ยว หรือเครื่องบินที่บินผ่านน่านฟ้าไทย ให้ต่อเนื่องเป็นปกติต่อไปได้
โดยหากไม่สามารถให้บริการจราจรทางอากาศจากที่สำนักงานใหญ่ ก็ได้เตรียมความพร้อมทั้ง ระบบ อุปกรณ์ และบุคลากร ไปทำงานในสถานที่ปฏิบัติงานสำรองได้ทันที โดยมีที่สำรองไว้กว่า 3 แห่งทั้งในส่วนกลางและต่างจังหวัด ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยที่ตั้งได้ รวมทั้งได้เปิดทดลองระบบล่วงหน้าแล้ว พบว่าสามารถรักษาความสามารถการให้บริการไว้ได้เช่นเดิม ใช้คลื่นความถี่เดิมในการสื่อสารระหว่างนักบินกับเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ เพื่อความราบรื่นและต่อเนื่องการให้บริการ โดยเป็นการเชื่อมข้อมูลจากระบบเรดาร์ โดยจัดผู้บริหารระดับสูงเข้าเวรอำนวยการตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ขอเรียกร้องว่า เนื่องจากบวท. เป็นหน่วยงานให้บริการจราจรทางอากาศในเขตน่านฟ้าไทยระดับสากล ที่ต้องให้บริการจราจรทางอากาศด้วยความปลอดภัยสูงสุด ตามมาตรฐานสากลขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)จึงขอให้ตระหนักถึงผลกระทบและความเสียหาย ทั้งต่อทรัพย์สินและโดยเฉพาะความเชื่อมั่นของนานาชาติ
-ธุรกิจแห่งัดแผนBCPรับมือ
ขณะที่ภาคธุรกิจเอกชนต่างงัดแผนฉุกเฉิน เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อเนื่อง(BCP) กันถ้วนหน้า โดย นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อาคารสำนักงานปตท.ถนนวิภาวดีรังสิตถูกผู้ชุมนุมปิดล้อม ปตท.ยังปฏิบัติงานต่อเนื่องได้ โดยพนักงานบางส่วนทำงานที่บ้าน และบางส่วนไปทำงานสำนักงานสำรอง ตามแผนบริหารความเสี่ยง ซึ่งใช้ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นระยะ เช่น น้ำท่วม ความขัดแย้งทางการเมือง จึงได้เรียนรู้และฝึกฝนมาเป็นระยะ
ส่วนการให้บริการกรณีสถานีบริการน้ำมันใกล้พื้นที่เสี่ยง ปตท.ปิดให้บริการไปก่อน เพื่อความปลอดภัย ส่วนการขนส่งน้ำมันและก๊าซยังคงดำเนินการตามปกติ ซึ่ง ปตท. ยังคงดำเนินการเช่นนี้ต่อไปจนกว่าจะสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ อีกส่วนหนึ่ง อาทิ แผนกการเงิน จ่ายบิล หรือรับคำสั่งลูกค้า ก็ทำงานในสำนักงานออฟฟิศสำรอง จึงไม่มีปัญหา
-ไฟฟ้าเฝ้าระวัง
ด้านความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้านั้นนายพิบูลย์ บัวแช่ม รองผู้ว่าการบริหาร การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะประธานศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าว เปิดเผยว่า กฟผ. ได้ตั้งศูนย์เฉพาะกิจ ขึ้นเพื่อเฝ้าระวังในเรื่องการดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ในส่วนของการผลิตและจ่ายไฟฟ้า ทั้งในส่วนของโรงไฟฟ้าและระบบส่งอย่างใกล้ชิด มีเจ้าหน้าที่ประจำไว้ตามจุดสำคัญต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
นอกจากนี้ ได้ประสานกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เตรียมพร้อม 3 ระดับ คือ ระดับปกติ ระดับเสี่ยง และระดับเสี่ยงมาก สำหรับสถานการณ์ในวันนี้ประเมินว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ กฟผ. ได้สั่งการให้โรงไฟฟ้า และสถานีไฟฟ้าแรงสูง มีความพร้อมในการผลิตและจ่ายไฟฟ้า ไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงรักษา ซึ่งโรงไฟฟ้าในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล อาทิ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ และโรงไฟฟ้าพระนครใต้ มีความพร้อมในการจ่ายไฟฟ้าได้ตามปกติ
-ธุรกิจวางระบบคอมพ์รับทรัพย์
ความตื่นตัววางระบบสำรองเพื่อให้ดำเนินงานได้ต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจที่ปรึกษาและวางระบบคอมพิวเตอร์เป็นที่ต้องการอย่างหนัก โดยนางภิรดา ภักดีสัตยพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ หน่วยงานที่ปรึกษา โอเปอเรชั่นนอล เอ็กเซลเล้นช์ บริษัท พีดับซี คอนซัลติ้ง ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่ปลายปี 2556 และต้นปี 2557 ที่ผ่านมา มีองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน โรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจการบิน และโทรคมนาคม รวมถึงรัฐวิสาหกิจ ทั้งในพื้นที่ชุมนุมและนอกพื้นที่ชุมนุม เข้ามาใช้บริการให้คำปรึกษาทำแผนบริหารความต่อเนื่องธุรกิจ (Business Continuity Management: BCM) ค่อนข้างมาก ส่วนกลุ่มธนาคารนั้น ที่ผ่านมาได้ลงทุนจัดทำแผนบริหารความต่อเนื่องธุรกิจไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2553-2554 เนื่องจากเป็นกฎระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทย หลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2553
"ภัยที่ส่งผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องมี 2 ประเภท คือภัยธรรมชาติ กับภัยที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งขณะนี้องค์กรเริ่มตระหนักแล้วว่า ทุกอย่างมีโอกาสเป็นไปได้หมด และทำให้ตื่นตัวในการจัดทำแผนรองรับ"
เช่นกันนายวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีน บริษัทซิสโก ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย)ฯ กล่าวว่า ความตื่นตัวการทำแผนความต่อเนื่องธุรกิจนั้น ไม่ใช่เฉพาะด้านไอทีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภคด้วย เช่น การตัดไฟ ที่มีผลต่อการทำงานของระบบไอทีด้วย จึงต้องมีแผนไว้เป็นกรอบเพื่อให้สามารถปรับแต่งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทันที
นอกจากนี้ด้วยประสิทธิภาพของ 3จี และ 4จี ที่เกิดขึ้น ทำให้องค์กรตื่นตัวในเรื่องโมบายออฟฟิศ หรือ การทำงานที่บ้านมากขึ้น เนื่องจากความเร็วของ 3 จี ช่วยให้การใช้งานแอพพลิเคชันต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ อาทิ การประชุมทางไกล ที่สามารถใช้งานได้ดีมากขึ้น
-ตั้งแบ็กอัพสำรอง
ด้านนายกรัณย์พล อัศวสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการโครงข่าย ให้ความมั่นใจลูกค้า ว่า หากเกิดเหตุชุมนุมไม่สามารถสัญจรหากันได้ตามปกติ บริษัทจะจัดหาเส้นทางสำรองหรือเส้นทางใหม่ รวมถึงย้ายอุปกรณ์โครงข่ายแก่ลูกค่าที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งจัดเตรียมรถบริการและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเคลื่อนที่ให้พร้อมตลอด โดยระบบไฟฟ้าสำรองที่ทางบริษัทฯจัดเตรียมไว้สามารถให้บริการได้อย่างน้อย 10 ชั่วโมงขึ้นไป และ จัดเตรียมพนักงานประจำการและอุปกรณ์โครงข่ายในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯเพื่อตรวจตรา สอดส่อง และ ดูแลศูนย์วางอุปกรณ์เชื่อมโยงโครงข่ายหลักและโครงข่ายย่อย (Node)เพื่อให้สามารถให้บริการอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากกรณีที่เหตุการณ์ชุมนุมทวีความรุนแรง และส่งผลกระทบกับการปฏิบัติงานที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท สามารถโยกย้ายพนักงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติงาน ณ ศูนย์ปฏิบัติการโครงข่ายสำรองที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งมีความพร้อมในการปฏิบัติงานได้เสมือนที่สำนักงานใหญ่
- เอไอเอส เสริมเครือข่ายเฉพาะกิจ
ขณะที่ผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่มั่นใจให้บริการ โดยนายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า ขณะนี้ เอไอเอส พยายามเพื่อจำนวนสัญญาณเครือข่ายรองรับเป็นจำนวนมากเท่าที่จะมากได้ โดยขณะนี้เตรียมการวางสถานีเฉพาะกิจเพิ่มเติม แต่ขึ้นอยู่กับม็อบจะไปชุมนุมบริเวณไหน "บางครั้งเราไม่รู้ล่วงหน้าว่าม็อบจะไปชุมนุมที่ไหน แต่เราก็ต้องมาแก้ปัญหาตามหลังหากสัญญาณติดขัด เอไอเอส ก็ต้องไปเจรจากับเจ้าของสถานที่นั้น ๆ จะอนุญาตให้ติดตั้งเพิ่มเติมหรือไม่"
-รร.หรูหั่นครึ่งห้องพักรับคนไทย
ขณะเดียวกันผลจากการจัดชุมนุมกลางเมืองหลวงครั้งนี้ ทำให้แขกที่เข้าพักโรงแรมหรูกลางเมืองไม่มั่นใจความปลอดภัยตัดสินใจเช็กเอาต์ก่อนกำหนด ทำให้ทางโรงแรมต้องปรับตัวรับมือจ้าละหวั่น โดย ดร.รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัทโรงแรมเซ็นทรัล พลาซา จำกัด(มหาชน) รับว่า ผลการชุมนุมทำให้โรงแรมในพื้นที่ใกล้จุดชุมนุม คือ เซ็นทารา แกรนด์แอทเซ็นทรัลเวิลด์ และ เซ็นทารา แกรนด์แอทเซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว ช่วงหลังจากวันที่ 15 มกราคม 2557 เป็นต้นไปจนถึงสิ้นเดือนนี้ อัตราการเข้าพักของทั้ง 2 โรงแรมลดลงเหลือง 40 % จากปกติอยู่ที่ราว 65% แต่ยังไม่กระทบภาพรวมรายได้ไตรมาสแรก เพราะอัตราเข้าพักโรงแรมในต่างจังหวัดยังสูง
"ฐานเศรษฐกิจ"สำรวจพบว่า โรงแรมในพื้นที่บริเวณการชุมนุมได้รับผลกระทบรุนแรง บางแห่งอัตราเข้าพักเหลือเพียง 30 % หลังวันเริ่มปฏิบัติการชัตดาวน์ และส่วนใหญ่ได้ออกแคมเปญ ส่งเสริมให้คนไทยไปใช้บริการห้องพักและอาหาร ในช่วงการชุมนุมทางการเมืองด้วย เช่น โรงแรม อโนมา สี่แยกราชประสงค์ ประกาศขายห้องพักผ่านเฟซบุ๊ก ว่า มีการจัดสเปเชียล แพ็กเกจ 2014 ระหว่างวันที่ 12-16 มกราคม ขายห้องพัก ในราคาคืนละ 1.8 - 2 พันบาท สำหรับห้องสุพีเรียร์ ส่วนโรงแรมเอเชีย ราชเทวี ขายห้องพักราคาพิเศษ 1.6 พันบาทสำหรับห้องเดี่ยว และห้องคู่ 1.8 พันบาท รวมอาหารเช้า เป็นราคาพิเศษที่ขายตลอดการชุมนุม
ส่วนโรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ขายห้องพักราคา 4.5 พันบาทรวมอาหารเช้า จากปรกติที่ราคาห้องพักในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงพีกซีซัน จะขายห้องพักจะอยู่ที่ 6-8 พันบาท โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ขายคืนละ 4.8 พันบาท โรงแรมแลนด์มาร์ค สุขุมวิท มีการจัดบุฟเฟ่ต์ราคาพิเศษมื้อกลางวัน คิดหัวละ 800 บาท จากเดิมขายหัวละ 2 พันบาท แต่จะลดอาหารบางเมนู ขายเฉพาะช่วงการชุมนุม ส่วนห้องพักกำลังจะลดราคาพิเศษสำหรับคนไทย โรงแรมสยามเคมปินสกี ขายห้องพักราคา 4.8 พันบาท จากปกติ 8 พันบาท เฉพาะภายในอาทิตย์นี้
"ราคาดังกล่าวใช้เฉพาะคนไทยเท่านั้น เนื่องจากโรงแรมส่วนใหญ่ในพื้นที่ชุมนุม ต่างได้รับผลกระทบจากการยกเลิกการจองห้องพัก ห้องประชุม กันเป็นจำนวนมาก
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,914 วันที่ 16 - 18 มกราคม พ.ศ. 2557
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4810
วันพุธที่ 15 มกราคม 2014 เวลา 10:12 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ การเงิน FINANCIAL - คอลัมน์ : การเงิน FINANCIAL
นายแบงก์ประเมินกนง.ลดอาร์พีเหลือ 2% จาก 2.25% หลังภาคการผลิตยังไม่มั่นใจขยายการลงทุนฉุดตัวเลขเศรษฐกิจหดทุกตัวขณะที่แนวโน้มไตรมาสแรกยังซึม ทั้งการบริโภคไม่ฟื้น-การลงทุนชะงัก พ่วงการเมืองผสมโรงย้ำเลื่อนเลือกตั้งหรือไม่ จีดีพีโตได้ตามกรอบเดิม 3% ด้านงบลงทุนภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจสะดุด โปรเจ็กต์สุ่มเสี่ยงเกิดไม่ง่าย ดร.อมรเทพ จาวะลา หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)มีมติ 6 ต่อ 1 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย(อาร์พี) ลง 0.25% จาก 2.50% เป็น 2.25% ต่อปีเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 อย่างไรก็ตาม ในปี 2557 นี้ การประชุมบอร์ดกนง.ครั้งแรกที่จะมีขึ้นในวันที่ 22 มกราคมนั้น
ดร.อมรเทพ จาวะลา หัวหน้าส่วนวิจัยเศรษฐกิจและตลาดการเงิน สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า มีแนวโน้มที่กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.25% เหลือ 2.00% เนื่องจากหากมองตัวแปรสำคัญ คือ ตัวเลขดัชนีการชี้วัดเศรษฐกิจจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทั้งในส่วนของการบริโภคภายในประเทศ ความเชื่อมั่นการลงทุน การส่งออก และการนำเข้า โดยเฉพาะสินค้าทุนที่ยังมีอัตราการหดตัว เนื่องจากผู้ประกอบการภาคการผลิตยังมีความไม่มั่นใจในการขยายการลงทุน จึงไม่มีการนำเข้าสินค้าทุน เครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิต แม้ว่าสัญญาณเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวก็ตาม ดังนั้น หากมองปัจจัยพื้นฐานสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้ส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่เด่นชัดนัก
ขณะเดียวกัน ปัจจัยทางด้านการเมืองก็ยังไม่มีความชัดเจน โอกาสที่แนวโน้มตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในไตรมาสแรกก็ยังคงซึมๆ ไม่ได้ขยายตัวเด่นชัด เพราะต้องรอแผนการดำเนินการของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวไม่ดีนัก การใช้ผ่อนคลายทางการเงินจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมในเวลานี้ โดยศูนย์วิจัยให้กรอบจีดีพีอยู่ที่ 3.4% และจะมีการประเมินภาพรวมอีกครั้งหลังสถานการณ์มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
"ไม่ว่าจะมีหรือเลื่อนการเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาลและสภา กว่าจะเห็นคงครึ่งปีแรก สิ่งที่น่าห่วงคือการเบิกจ่ายงบประมาณการลงทุน ดังนั้น ช่วงนี้ผู้ประกอบการเอกชนที่เตรียมการลงทุน ก่อสร้างถนน ต้องระมัดระวัง เน้นไปลงทุนที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกดีกว่า"
ดร.อมรเทพ กล่าวว่าข้อเสียของการปรับลดดอกเบี้ย 2 ข้อ คือ 1.ปัญหาฟองสบู่ ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำจะกดราคาบ้านและอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวสูงขึ้น ข้อ 2.การก่อหนี้ครัวเรือนเพิ่มหากอัตราดอกเบี้ยต่ำ แม้ปัจจุบันสัดส่วนหนี้ครัวเรือนแม้จะไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้น แต่ก็ยังมีสัดส่วนที่สูงอยู่
"ถ้าเหตุการณ์ไม่ช็อกจริง ธปท.ก็ลดดอกเบี้ย 0.25% และค่อยๆ ลด และมองสถานการณ์ระยะข้างหน้า เพราะต้องเก็บกระสุนไว้ใช้ในเหตุการณ์คับขันในกรณีที่การเมืองลากยาว เพราะตอนนี้มีเรื่องของเงินไหลออก เงินบาทอ่อนค่า ซึ่งมีผลต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ"
นายตรรก บุนนาค ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านบริหารการเงิน บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า กนง.คงยืนดอกเบี้ยอาร์พี แต่ก็มีโอกาสลด โดยกนง.จะต้องคิดหนักว่าถ้าลดดอกเบี้ยจะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการได้หรือเปล่า และจะมีปัจจัยอะไรที่มาชดเชยดอกเบี้ยต่ำในส่วนอื่นๆ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจออกมาไม่ดี ปัจจัยการเมืองก็ไม่แน่นอนเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย แต่ถามว่าทั้งปีเศรษฐกิจน่าจะขยายตัวได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการเลื่อนเลือกตั้งหรือไม่เลื่อน เพราะปัจจัยสนับสนุนการส่งออกดีขึ้น รับอานิสงส์ต่างประเทศ แต่ผู้ประกอบการก็ต้องปรับตัวให้ดีด้วย
หากมองภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยถูกปรับลดการขยายตัวมาโดยตลอดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ประกอบกับปัจจุบันสถานการณ์ต่างๆ เข้ามามากมายอาทิ ค่าเงิน และเงินทุนไหลออก ทั้งในส่วนของตัวแปรทางการเมือง เหล่านี้จะเป็นตัวแปรที่กนง.จะต้องนำไปพิจารณาทบทวนในการดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสม
อย่างไรก็ดี แม้การเมืองเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถคาดเดา ในประเด็นการเบิกจ่ายงบประมาณด้านต่างๆ เชื่อว่า จะเป็นไปตามกลไกที่มีการอนุมัติ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายในหน่วยงานราชการ ทบวง กรมต่างๆ ยังสามารถเดินหน้า แต่หากเป็นงบการลงทุนที่มีความสุ่มเสี่ยง อาจจะชะลอโครงการออกเพื่อพิจารณาทบทวนอีกครั้ง ดังนั้นเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวทั้งคุณภาพสินค้าและความสามารถในการแข่งขันตามกลไกที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากกลไกขับเคลื่อนภายในประเทศถูกกระทบ คงต้องมองหาตัวขับเคลื่อนในต่างประเทศ เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มยูโรโซนปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการในตลาดมากขึ้น ทำให้การส่งออกจะได้รับอานิสงส์เติบโตมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยมองกรอบการเติบโตเศรษฐกิจทั้งปีอยู่ที่ 3%
นายชัยณรงค์ เอื้อสิทธิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจรายย่อยและเครือข่าย บมจ.ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจสำคัญในปีนี้จะมาจากภาคเอกชน แต่หลังจากมีปัญหาการเมืองเข้ามา กนง.จึงมีสิทธิจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เพื่อประคองเศรษฐกิจไม่ให้แย่กว่าเดิม เพราะจะเห็นว่าการเบิกจ่ายงบบางส่วนที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทำไม่ได้มาก เพราะมีความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมืองค่อนข้างเยอะ และตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจหายไปค่อนข้างมาก ซึ่งสะท้อนผ่านตัวเลขดัชนีต่างๆ ที่ออกมาไม่ค่อยดีนัก ตลอดจนอัตราเงินเฟ้อไม่ได้เป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตลอดจนตัวแปรการเลื่อนการเลือกตั้งหรือไม่เลื่อนนั้น คงไม่ได้มีผลต่อภาพรวมอัตราการขยายตัวต่อเศรษฐกิจมากนัก เพราะปัจจุบันการเบิกจ่ายงบประมาณที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจก็ชะลอตัวออกไป แม้ว่าการเบิกจ่ายงบประจำสำหรับหน่วยงานราชการต่างๆ ยังสามารถดำเนินงานได้ตามปกติ แต่ก็มีงบการลงทุนบางโปรเจ็กต์ที่ต้องชะลอการลงทุนไปก่อน โดยเฉพาะงบการลงทุนที่จะต้องมีการกู้ยืมเพิ่มเติมไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ดังนั้น จากภาพรวมทั้งหมด ธนาคารมองกรอบอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้อยู่ที่ 3%
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,914 วันที่ 16 - 18 มกราคม พ.ศ. 2557
นายแบงก์ประเมินกนง.ลดอาร์พีเหลือ 2% จาก 2.25% หลังภาคการผลิตยังไม่มั่นใจขยายการลงทุนฉุดตัวเลขเศรษฐกิจหดทุกตัวขณะที่แนวโน้มไตรมาสแรกยังซึม ทั้งการบริโภคไม่ฟื้น-การลงทุนชะงัก พ่วงการเมืองผสมโรงย้ำเลื่อนเลือกตั้งหรือไม่ จีดีพีโตได้ตามกรอบเดิม 3% ด้านงบลงทุนภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจสะดุด โปรเจ็กต์สุ่มเสี่ยงเกิดไม่ง่าย ดร.อมรเทพ จาวะลา หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)มีมติ 6 ต่อ 1 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย(อาร์พี) ลง 0.25% จาก 2.50% เป็น 2.25% ต่อปีเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 อย่างไรก็ตาม ในปี 2557 นี้ การประชุมบอร์ดกนง.ครั้งแรกที่จะมีขึ้นในวันที่ 22 มกราคมนั้น
ดร.อมรเทพ จาวะลา หัวหน้าส่วนวิจัยเศรษฐกิจและตลาดการเงิน สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า มีแนวโน้มที่กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.25% เหลือ 2.00% เนื่องจากหากมองตัวแปรสำคัญ คือ ตัวเลขดัชนีการชี้วัดเศรษฐกิจจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทั้งในส่วนของการบริโภคภายในประเทศ ความเชื่อมั่นการลงทุน การส่งออก และการนำเข้า โดยเฉพาะสินค้าทุนที่ยังมีอัตราการหดตัว เนื่องจากผู้ประกอบการภาคการผลิตยังมีความไม่มั่นใจในการขยายการลงทุน จึงไม่มีการนำเข้าสินค้าทุน เครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิต แม้ว่าสัญญาณเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวก็ตาม ดังนั้น หากมองปัจจัยพื้นฐานสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้ส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่เด่นชัดนัก
ขณะเดียวกัน ปัจจัยทางด้านการเมืองก็ยังไม่มีความชัดเจน โอกาสที่แนวโน้มตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในไตรมาสแรกก็ยังคงซึมๆ ไม่ได้ขยายตัวเด่นชัด เพราะต้องรอแผนการดำเนินการของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวไม่ดีนัก การใช้ผ่อนคลายทางการเงินจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมในเวลานี้ โดยศูนย์วิจัยให้กรอบจีดีพีอยู่ที่ 3.4% และจะมีการประเมินภาพรวมอีกครั้งหลังสถานการณ์มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
"ไม่ว่าจะมีหรือเลื่อนการเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาลและสภา กว่าจะเห็นคงครึ่งปีแรก สิ่งที่น่าห่วงคือการเบิกจ่ายงบประมาณการลงทุน ดังนั้น ช่วงนี้ผู้ประกอบการเอกชนที่เตรียมการลงทุน ก่อสร้างถนน ต้องระมัดระวัง เน้นไปลงทุนที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกดีกว่า"
ดร.อมรเทพ กล่าวว่าข้อเสียของการปรับลดดอกเบี้ย 2 ข้อ คือ 1.ปัญหาฟองสบู่ ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำจะกดราคาบ้านและอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวสูงขึ้น ข้อ 2.การก่อหนี้ครัวเรือนเพิ่มหากอัตราดอกเบี้ยต่ำ แม้ปัจจุบันสัดส่วนหนี้ครัวเรือนแม้จะไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้น แต่ก็ยังมีสัดส่วนที่สูงอยู่
"ถ้าเหตุการณ์ไม่ช็อกจริง ธปท.ก็ลดดอกเบี้ย 0.25% และค่อยๆ ลด และมองสถานการณ์ระยะข้างหน้า เพราะต้องเก็บกระสุนไว้ใช้ในเหตุการณ์คับขันในกรณีที่การเมืองลากยาว เพราะตอนนี้มีเรื่องของเงินไหลออก เงินบาทอ่อนค่า ซึ่งมีผลต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ"
นายตรรก บุนนาค ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านบริหารการเงิน บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า กนง.คงยืนดอกเบี้ยอาร์พี แต่ก็มีโอกาสลด โดยกนง.จะต้องคิดหนักว่าถ้าลดดอกเบี้ยจะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการได้หรือเปล่า และจะมีปัจจัยอะไรที่มาชดเชยดอกเบี้ยต่ำในส่วนอื่นๆ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจออกมาไม่ดี ปัจจัยการเมืองก็ไม่แน่นอนเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย แต่ถามว่าทั้งปีเศรษฐกิจน่าจะขยายตัวได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการเลื่อนเลือกตั้งหรือไม่เลื่อน เพราะปัจจัยสนับสนุนการส่งออกดีขึ้น รับอานิสงส์ต่างประเทศ แต่ผู้ประกอบการก็ต้องปรับตัวให้ดีด้วย
หากมองภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยถูกปรับลดการขยายตัวมาโดยตลอดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ประกอบกับปัจจุบันสถานการณ์ต่างๆ เข้ามามากมายอาทิ ค่าเงิน และเงินทุนไหลออก ทั้งในส่วนของตัวแปรทางการเมือง เหล่านี้จะเป็นตัวแปรที่กนง.จะต้องนำไปพิจารณาทบทวนในการดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสม
อย่างไรก็ดี แม้การเมืองเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถคาดเดา ในประเด็นการเบิกจ่ายงบประมาณด้านต่างๆ เชื่อว่า จะเป็นไปตามกลไกที่มีการอนุมัติ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายในหน่วยงานราชการ ทบวง กรมต่างๆ ยังสามารถเดินหน้า แต่หากเป็นงบการลงทุนที่มีความสุ่มเสี่ยง อาจจะชะลอโครงการออกเพื่อพิจารณาทบทวนอีกครั้ง ดังนั้นเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวทั้งคุณภาพสินค้าและความสามารถในการแข่งขันตามกลไกที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากกลไกขับเคลื่อนภายในประเทศถูกกระทบ คงต้องมองหาตัวขับเคลื่อนในต่างประเทศ เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มยูโรโซนปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการในตลาดมากขึ้น ทำให้การส่งออกจะได้รับอานิสงส์เติบโตมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยมองกรอบการเติบโตเศรษฐกิจทั้งปีอยู่ที่ 3%
นายชัยณรงค์ เอื้อสิทธิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจรายย่อยและเครือข่าย บมจ.ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจสำคัญในปีนี้จะมาจากภาคเอกชน แต่หลังจากมีปัญหาการเมืองเข้ามา กนง.จึงมีสิทธิจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เพื่อประคองเศรษฐกิจไม่ให้แย่กว่าเดิม เพราะจะเห็นว่าการเบิกจ่ายงบบางส่วนที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทำไม่ได้มาก เพราะมีความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมืองค่อนข้างเยอะ และตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจหายไปค่อนข้างมาก ซึ่งสะท้อนผ่านตัวเลขดัชนีต่างๆ ที่ออกมาไม่ค่อยดีนัก ตลอดจนอัตราเงินเฟ้อไม่ได้เป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตลอดจนตัวแปรการเลื่อนการเลือกตั้งหรือไม่เลื่อนนั้น คงไม่ได้มีผลต่อภาพรวมอัตราการขยายตัวต่อเศรษฐกิจมากนัก เพราะปัจจุบันการเบิกจ่ายงบประมาณที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจก็ชะลอตัวออกไป แม้ว่าการเบิกจ่ายงบประจำสำหรับหน่วยงานราชการต่างๆ ยังสามารถดำเนินงานได้ตามปกติ แต่ก็มีงบการลงทุนบางโปรเจ็กต์ที่ต้องชะลอการลงทุนไปก่อน โดยเฉพาะงบการลงทุนที่จะต้องมีการกู้ยืมเพิ่มเติมไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ดังนั้น จากภาพรวมทั้งหมด ธนาคารมองกรอบอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้อยู่ที่ 3%
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,914 วันที่ 16 - 18 มกราคม พ.ศ. 2557
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4811
ต่อเรื่องเที่ยว ทริปปีใหม่ให้เสร็จครับ เพราะหลังจากเดือนนี้ไป ผมจะยิ่งยุ่งขึ้นทวีคูณ
มีภารกิจเพียบเลย
หลังจาก อุทยานเพชรบุระ แล้วเราก็ตรงไปต่อ ที่ไร่กำนัลจุล มีหลายสาขามาก ขากลับกรุงเทพ จะเป็นสาขา 2
คนเยอะมาก น่าจะนับเงินกันไม่ไหวเลยทีเดียว น่าจะเอามาเข้าตลาด MAI นะครับ ดูแล้วมีหลายสาขามาก
จุดเด่นและของฝากหลักๆเค้าคือ product of Mulberry ซึ่งคู่แข่งน้อยนะผมว่า
mulberry ก็จะเหมือนองุ่นพวงเล็กๆ ที่อัดกันจนแทบจะมาเป็นผลเดียวกัน กินได้ทั้งคำครับ อร่อยดี มือที่หม่ำจะเปื้อนสีแดงม่วงกันเลยทีเดียว ต้านความแก่ กะ ต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจดีครับ สารสีม่วง
ใครแวะไปห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ แต่ของฝากอื่นๆนี่ แค่ชิมก็อิ่มแล้วครับ ทั้งมะขาม ทั้งแหนมปลาส้ม ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ครับ
มีภารกิจเพียบเลย

หลังจาก อุทยานเพชรบุระ แล้วเราก็ตรงไปต่อ ที่ไร่กำนัลจุล มีหลายสาขามาก ขากลับกรุงเทพ จะเป็นสาขา 2
คนเยอะมาก น่าจะนับเงินกันไม่ไหวเลยทีเดียว น่าจะเอามาเข้าตลาด MAI นะครับ ดูแล้วมีหลายสาขามาก
จุดเด่นและของฝากหลักๆเค้าคือ product of Mulberry ซึ่งคู่แข่งน้อยนะผมว่า
mulberry ก็จะเหมือนองุ่นพวงเล็กๆ ที่อัดกันจนแทบจะมาเป็นผลเดียวกัน กินได้ทั้งคำครับ อร่อยดี มือที่หม่ำจะเปื้อนสีแดงม่วงกันเลยทีเดียว ต้านความแก่ กะ ต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจดีครับ สารสีม่วง
ใครแวะไปห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ แต่ของฝากอื่นๆนี่ แค่ชิมก็อิ่มแล้วครับ ทั้งมะขาม ทั้งแหนมปลาส้ม ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4812
จากนั้นก็เดินทางต่อไป เขาใหญ่ ระหว่างทางที่ไปทางลัดนี่ แสนจะสนุกเพราะถามทางกันไปตลอดเลยทีเดียว พอออกเขาใหญ่ได้ก็รถติดสุดๆ ตอนมาสงกรานต์ ยังไม่แน่นเท่าปีใหม่เลย 
เข้าพักที่ โรงแรมประจำที่มาพัก อากาศที่เขาใหญ่ คราวนี้สบายกว่าทุกครั้ง เพราะไม่เคยมาเขาใหญ่ตอนช่วงปีใหม่กัน

เข้าพักที่ โรงแรมประจำที่มาพัก อากาศที่เขาใหญ่ คราวนี้สบายกว่าทุกครั้ง เพราะไม่เคยมาเขาใหญ่ตอนช่วงปีใหม่กัน

คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4814
ลิมบอกไปว่า ตอนแรกตั้งใจจะ มาหม่ำ Smoke House ปรากฎว่า ปิดกิจการซะแล้ว อดหม่ำสเต็กอร่อยๆ พร้อมบรรยากาศสวยๆเลย เสียดายจริงๆ
ขากลับบ้าน เลยแวะไปเที่ยว ฟาร์มเลี้ยงแกะแห่งใหม่ของเขาใหญ๋ Sheepland ไปป้อนอาหาร ลูกๆสนุกกันใหญ่เลยทีเดียว
ป้อนไปก็เสียวไปกลัวมันงับผิดที่ อิอิ

ขากลับบ้าน เลยแวะไปเที่ยว ฟาร์มเลี้ยงแกะแห่งใหม่ของเขาใหญ๋ Sheepland ไปป้อนอาหาร ลูกๆสนุกกันใหญ่เลยทีเดียว
ป้อนไปก็เสียวไปกลัวมันงับผิดที่ อิอิ

คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4817
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 8 มกราคม 2557 14:24:58 น.
เราเพิ่งบอกลาปี 2556 กันไปได้เพียง 8 วัน เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนมักตั้งความหวังกันว่า ปีใหม่ย่อมดีกว่าปีเก่า และสิ่งเก่าๆก็ผ่านพ้นไป จงเตรียมต้อนรับสิ่งใหม่ๆที่จะเข้ามาในชีวิต
หากเราย้อนกลับไปดูเศรษฐกิจโลกในปี 2556 หลายคนมองเห็นภาพนักกีฬาวินด์เซิร์ฟที่พยายามยืนทรงตัวอย่างระมัดระวังบนกระดานโต้คลื่น นั่นเพราะเศรษฐกิจปี 2556 ต้องรับผลพวงของวิกฤตหน้าผาการคลังในสหรัฐ วิกฤตหนี้ยูโรโซน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งปัจจัยทั้งปวงนี้ได้ฉุดลากเอาเศรษฐกิจเกือบทั่วโลกซบเซาลงอย่างมีนัยสำคัญ
ไม่เพียงเท่านั้น ปี 2556 นักลงทุนทั่วโลกยังขวัญผวากับผลกระทบของการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมทั้ง "วิกฤตสภาพคล่องจีน" ที่ผุดขึ้นมาท้าทายฝีมือของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
อาจกล่าวได้ว่า...วิกฤตสภาพคล่องในจีนและความสับสนเรื่อง QE ของเฟด ถือเป็นภาพหลอนที่เขย่าใจนักลงทุนในตลาดการเงินมากที่สุดในปี 2556 ก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งสัญญาณที่สับสนกันไปคนละทางสองทางของเจ้าหน้าที่เฟด ความสับสนในเรื่องนี้ได้ทุบตลาดหุ้นสหรัฐและหุ้นทั่วโลกดิ่งเหวอยู่นานหลายวัน กระทั่งทุกฝ่ายพากันโล่งอกเมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดตัดสินใจลดขนาด QE ในการประชุมวาระสุดท้ายของปี และยังช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐและหุ้นทั่วโลกรีบาวด์ขึ้นไปด้วย เนื่องจากตลาดมองว่า การลด QE ของเฟดสะท้อนให้เห็นว่าเฟดมีความเชื่อมั่นมากขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐ และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ "เซอร์ไพรซ์ปลายปี" เมื่อธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) หั่นดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.25% จาก 0.5%
ส่วนในปี 2557 นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งในนิวยอร์กมองว่า รัฐบาลทั่วโลกไม่ควรละเลยผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการลด QE ของเฟด บางสำนักคาดการณ์ถึงขนาดที่ว่า เฟดอาจจะเลือกใช้ Exit Strategy หรือ ถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบ หลังจากที่เฟดอัดฉีดมาตรการ QE รวม 4 รอบเข้าสู่ระบบ วงเงินรวม 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน ก่อนที่จะเริ่มเปลี่ยนโหมดนโยบายการเงินด้วยการลดขนาด QE ลงเหลือ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ความผันผวนด้านการเงินทั่วโลกจะยังคงมีอยู่สูง และควรจะต้องจับตา 3 ปัจจัยใหญ่ด้วยกัน ปัจจัยแรกคือ "ท่าทีการส่งสัญญาณ" ของเจ้าหน้าที่เฟดว่า จะลดขนาด QE ลงอีกหรือไม่และมีความชัดเจนเพียงใด
ปัจจัยที่สองคือ ทิศทางเศรษฐกิจญี่ปุ่นภายหลังการขึ้นภาษีการค้าว่า จะส่งผลกระทบต่อการบริโภคและเงินเฟ้อมากเพียงใด และจะทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ต้องเพิ่มการอัดฉีดสภาพคล่องหรือไม่
และปัจจัยที่สาม การเมืองโลกที่จะเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ โดย 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ของตลาดเกิดใหม่อย่างอินเดียและอินโดนีเซียกำลังจะมีการเลือกตั้งผู้นำสูงสุดในขณะที่สหรัฐและยุโรปที่จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาคองเกรสและสภายุโรปตามลำดับ
ทั้งนี้ การเปลี่ยนผู้นำฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายนิติบัญญัติ มักจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายไม่มากก็น้อย ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่เราจะเห็นการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมืองไปสู่พรรคที่เป็นฝ่ายค้านในอินเดียและอินโดนีเซีย ส่วนในสหรัฐนั้น มีความเป็นไปได้ว่าในช่วงก่อนการเลือกตั้ง เราอาจจะเห็นความขัดแย้งระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันเกิดขึ้นอีกครั้ง ทำให้ความเสี่ยงทางการเมืองสหรัฐที่เริ่มลดน้อยลงไปบ้างแล้วนั้น กลับปะทุขึ้นอีก และจะทำให้ประเด็นเศรษฐกิจที่เกี่ยวพันกับการเมืองที่สำคัญๆ เช่น การขยายเพดานหนี้สาธารณะ นโยบายประกันสุขภาพหรือ Obamacare กลายเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและตลาดเงินตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง นโยบายโอบามาแคร์สร้างปัญหาให้กับประธานาธิบดีโอบามาอย่างมาก เนื่องจากความคาดหวังของประชาชนอเมริกันสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลต้องเร่งผลักดันนโยบายนี้ ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่จะปฏิรูปรูปแบบการให้บริการของรัฐออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีหลายฝ่ายที่คัดค้าน โดยเฉพาะกลุ่ม Tea Party ที่ไม่ยกมือสนับสนุนนโยบายนี้
ส่วนในหลายประเทศที่แม้จะไม่มีการเลือกตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ก็เพิ่งเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจ รวมถึงการปฏิรูปภาคการเงินในจีน ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค เช่น หมู่เกาะเซนโกกุ/เตียวหยู ที่เป็นข้อพิพาทระหว่างจีนและญี่ปุ่น ประเด็นความมั่นคงในคาบสมุทรเกาหลี และโอกาสที่จะเกิดสงครามในอิหร่านและซีเรีย ล้วนแล้วแต่เป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ตลาดการเงินยังจับตาความเคลื่อนไหวของประเทศตลาดเกิดใหม่ในกลุ่ม MINT อันประกอบด้วย เม็กซิโก (Mexico) อินโดนีเซีย (Indonesia) ไนจีเรีย (Nigeria) และตุรกี (Turkey) โดยจิม โอนีล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่งโกลด์แมน แซคส์ คาดว่า กลุ่ม MINT จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในอนาคตไม่น้อยไปกว่ากลุ่ม BRIC (บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) และจีน (China)
ปี 2557 เพิ่งจะเริ่มต้นได้เพียงไม่กี่วัน เรายังมีเวลาอีกมากที่จะปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ขอให้ทุกคนตอบสนองสิ่งนั้นอย่างมีสติ และโชคดีมีชัยกันถ้วนหน้า
เราเพิ่งบอกลาปี 2556 กันไปได้เพียง 8 วัน เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนมักตั้งความหวังกันว่า ปีใหม่ย่อมดีกว่าปีเก่า และสิ่งเก่าๆก็ผ่านพ้นไป จงเตรียมต้อนรับสิ่งใหม่ๆที่จะเข้ามาในชีวิต
หากเราย้อนกลับไปดูเศรษฐกิจโลกในปี 2556 หลายคนมองเห็นภาพนักกีฬาวินด์เซิร์ฟที่พยายามยืนทรงตัวอย่างระมัดระวังบนกระดานโต้คลื่น นั่นเพราะเศรษฐกิจปี 2556 ต้องรับผลพวงของวิกฤตหน้าผาการคลังในสหรัฐ วิกฤตหนี้ยูโรโซน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งปัจจัยทั้งปวงนี้ได้ฉุดลากเอาเศรษฐกิจเกือบทั่วโลกซบเซาลงอย่างมีนัยสำคัญ
ไม่เพียงเท่านั้น ปี 2556 นักลงทุนทั่วโลกยังขวัญผวากับผลกระทบของการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมทั้ง "วิกฤตสภาพคล่องจีน" ที่ผุดขึ้นมาท้าทายฝีมือของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
อาจกล่าวได้ว่า...วิกฤตสภาพคล่องในจีนและความสับสนเรื่อง QE ของเฟด ถือเป็นภาพหลอนที่เขย่าใจนักลงทุนในตลาดการเงินมากที่สุดในปี 2556 ก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งสัญญาณที่สับสนกันไปคนละทางสองทางของเจ้าหน้าที่เฟด ความสับสนในเรื่องนี้ได้ทุบตลาดหุ้นสหรัฐและหุ้นทั่วโลกดิ่งเหวอยู่นานหลายวัน กระทั่งทุกฝ่ายพากันโล่งอกเมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดตัดสินใจลดขนาด QE ในการประชุมวาระสุดท้ายของปี และยังช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐและหุ้นทั่วโลกรีบาวด์ขึ้นไปด้วย เนื่องจากตลาดมองว่า การลด QE ของเฟดสะท้อนให้เห็นว่าเฟดมีความเชื่อมั่นมากขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐ และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ "เซอร์ไพรซ์ปลายปี" เมื่อธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) หั่นดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.25% จาก 0.5%
ส่วนในปี 2557 นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งในนิวยอร์กมองว่า รัฐบาลทั่วโลกไม่ควรละเลยผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการลด QE ของเฟด บางสำนักคาดการณ์ถึงขนาดที่ว่า เฟดอาจจะเลือกใช้ Exit Strategy หรือ ถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบ หลังจากที่เฟดอัดฉีดมาตรการ QE รวม 4 รอบเข้าสู่ระบบ วงเงินรวม 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน ก่อนที่จะเริ่มเปลี่ยนโหมดนโยบายการเงินด้วยการลดขนาด QE ลงเหลือ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ความผันผวนด้านการเงินทั่วโลกจะยังคงมีอยู่สูง และควรจะต้องจับตา 3 ปัจจัยใหญ่ด้วยกัน ปัจจัยแรกคือ "ท่าทีการส่งสัญญาณ" ของเจ้าหน้าที่เฟดว่า จะลดขนาด QE ลงอีกหรือไม่และมีความชัดเจนเพียงใด
ปัจจัยที่สองคือ ทิศทางเศรษฐกิจญี่ปุ่นภายหลังการขึ้นภาษีการค้าว่า จะส่งผลกระทบต่อการบริโภคและเงินเฟ้อมากเพียงใด และจะทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ต้องเพิ่มการอัดฉีดสภาพคล่องหรือไม่
และปัจจัยที่สาม การเมืองโลกที่จะเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ โดย 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ของตลาดเกิดใหม่อย่างอินเดียและอินโดนีเซียกำลังจะมีการเลือกตั้งผู้นำสูงสุดในขณะที่สหรัฐและยุโรปที่จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาคองเกรสและสภายุโรปตามลำดับ
ทั้งนี้ การเปลี่ยนผู้นำฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายนิติบัญญัติ มักจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายไม่มากก็น้อย ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่เราจะเห็นการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมืองไปสู่พรรคที่เป็นฝ่ายค้านในอินเดียและอินโดนีเซีย ส่วนในสหรัฐนั้น มีความเป็นไปได้ว่าในช่วงก่อนการเลือกตั้ง เราอาจจะเห็นความขัดแย้งระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันเกิดขึ้นอีกครั้ง ทำให้ความเสี่ยงทางการเมืองสหรัฐที่เริ่มลดน้อยลงไปบ้างแล้วนั้น กลับปะทุขึ้นอีก และจะทำให้ประเด็นเศรษฐกิจที่เกี่ยวพันกับการเมืองที่สำคัญๆ เช่น การขยายเพดานหนี้สาธารณะ นโยบายประกันสุขภาพหรือ Obamacare กลายเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและตลาดเงินตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง นโยบายโอบามาแคร์สร้างปัญหาให้กับประธานาธิบดีโอบามาอย่างมาก เนื่องจากความคาดหวังของประชาชนอเมริกันสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลต้องเร่งผลักดันนโยบายนี้ ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่จะปฏิรูปรูปแบบการให้บริการของรัฐออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีหลายฝ่ายที่คัดค้าน โดยเฉพาะกลุ่ม Tea Party ที่ไม่ยกมือสนับสนุนนโยบายนี้
ส่วนในหลายประเทศที่แม้จะไม่มีการเลือกตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ก็เพิ่งเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจ รวมถึงการปฏิรูปภาคการเงินในจีน ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค เช่น หมู่เกาะเซนโกกุ/เตียวหยู ที่เป็นข้อพิพาทระหว่างจีนและญี่ปุ่น ประเด็นความมั่นคงในคาบสมุทรเกาหลี และโอกาสที่จะเกิดสงครามในอิหร่านและซีเรีย ล้วนแล้วแต่เป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ตลาดการเงินยังจับตาความเคลื่อนไหวของประเทศตลาดเกิดใหม่ในกลุ่ม MINT อันประกอบด้วย เม็กซิโก (Mexico) อินโดนีเซีย (Indonesia) ไนจีเรีย (Nigeria) และตุรกี (Turkey) โดยจิม โอนีล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่งโกลด์แมน แซคส์ คาดว่า กลุ่ม MINT จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในอนาคตไม่น้อยไปกว่ากลุ่ม BRIC (บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) และจีน (China)
ปี 2557 เพิ่งจะเริ่มต้นได้เพียงไม่กี่วัน เรายังมีเวลาอีกมากที่จะปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ขอให้ทุกคนตอบสนองสิ่งนั้นอย่างมีสติ และโชคดีมีชัยกันถ้วนหน้า
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4818
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 25 ธันวาคม 2556 14:30:00 น.
อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ปีใหม่กันแล้ว In Focus ประจำสัปดาห์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ขอพาทุกท่านย้อนรอยไปกับสถานการณ์เมืองทั่วโลกตลอดทั้งปี 2556
มกราคม-กุมภาพันธ์: ช่วงต้นปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่โดดเด่นเกิดขึ้นในแถบเอเชียไม่น้อย ขอเริ่มจากเกาหลีใต้ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อ ปัก กึน-ฮเย ลูกสาวของอดีตประธานิบดีของเกาหลีใต้ สามารถคว้าชัยจากการเลือกตั้งขึ้นแท่นเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของแดนโสม ปัก กึน-ฮเย สามารถพิสูจน์ตัวเองให้เห็นถึงความเหมาะสมในการเป็นผู้นำประเทศ แม้ว่า เธอจะโชคดีที่มีประสบการณ์ทางการเมืองโดยตรง เนื่องจากเธอเป็นบุตรสาวคนโตของประธานาธิบดีคนที่ 3 ของเกาหลีใต้ แต่เธอก็ไต่เต้าและคลุกคลีอยู่ในวงการการเมืองมาโดยตลอด การตัดสินใจลงรับสมัครเลือกตั้งของเธอถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ทำให้ประชาชนได้ตัดสินใจว่าจะเปิดโอกาสให้เธอได้ทำหน้าที่ผู้นำประเทศหรือไม่ และชาวเกาหลีใต้ก็เปิดโอกาสให้กับเธอ จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ปรากฎม็อบไล่เธอออกจากตำแหน่งแต่อย่างใด
จีนก็เป็นอีกประเทศที่มีการผลัดใบผู้นำประเทศ โดยนายสี จิ้นผิง เป็นผู้ที่เข้ามารับไม้ต่อในตำแหน่งประธานาธิบดีจีนคนใหม่ของประเทศ ในช่วงที่จีนเดินหน้าปฏิรูปประเทศ พร้อมกับตั้งเป้าขจัดการทุจริตซึ่งเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้การพัฒนาเมืองและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยการเข้ามาทำหน้าที่ของนายสี จิ้นผิง สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนานาประเทศได้ดี เนื่องจากประวัติที่ดี และนโยบายในการปฏิรูปที่เปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ในขณะเดียวกันรัฐบาลจีนก็มุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาที่คาราคาซังในประเทศแบบค่อยเป็นค่อยไปและจริงจัง
กรกฎาคม: เมื่อผู้นำเกาหลีใต้และจีนฉายรัศมีโดดเด่นกันไปแล้ว ดาวเด่นการเมืองประจำปีที่ต้องกล่าวถึง คือ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ผู้ซึ่งมีบทบาทโดดเด่นแซงหน้าผู้นำสหรัฐไปได้ไม่น้อยทีเดียว
สถานการณ์การเมืองระหว่างสหรัฐและคู่ปรับเก่าอย่างรัสเซียคุกรุ่นขึ้นมา เมื่อ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตพนักงานหน่วยข่าวกรองกลางสหรัฐ (CIA) และอดีตพนักงานสัญญาจ้างของสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ (NSA) วัย 30 ปี ดอดเดินทางเข้าไปยังรัสเซีย โดยขอพักอยู่ในบริเวณที่รอขึ้นเครื่องบินของสนามบินกรุงมอสโคและอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเวลานานพอที่จะแสดงให้เห็นว่า รัสเซียให้การปกป้องสโนว์เดน ผู้เปิดโปงรัฐบาลสหรัฐเรื่องการดักฟังโทรศัพท์เสียชนิดที่สหรัฐมองหน้าหลายประเทศไม่ติดไปอีกนาน
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียก็ไม่ได้ปฏิเสธการขอลี้ภัยในแดนหมีขาวของนายสโนว์เดนแต่อย่างใด งานนี้ได้ใจจากกลุ่มผู้สนับสนุนเรื่องสิทธิส่วนบุคคลไปไม่น้อย แต่ก็สร้างความขุ่นเคืองให้กับสหรัฐไม่น้อยเช่นกัน
อียิปต์ ถือเป็นอีกประเทศที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองขึ้น โดยกลุ่มประชาชนที่ไม่พอใจการทำหน้าที่ของนายโมฮัมเหม็ด มอร์ซี ประธานาธิบดีอียิปต์ ได้ลุกฮือประท้วงและสามารถโค่นนายมอร์ซีลงจากตำแหน่งได้ในที่สุด แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ก็นำมาซึ่งการปะทะและการสูญเสีย
สิงหาคม: การใช้อาวุธเคมีกับประชาชนของซีเรีย จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึงว่า 1,000 คน โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพลเรือนและเด็กนั้น ทำให้นานาชาติออกมาประณามซีเรียที่กล้าใช้อาวุธเคมีกับประชาชนผู้บริสุทธิ์โดยไม่คำนึงถึงมนุษยธรรม หวังเพียงแต่จะทำลายฐานที่มั่นของกลุ่มที่คาดว่าจะเป็นผู้ต่อต้านรัฐบาล สถานการณ์ลุกลามระส่ำระสายไปจนกระทั่งสหรัฐเตรียมประกาศทำสงครามในขอบเขตที่จำกัดกับซีเรียร่วมกับชาติพันธมิตร เนื่องจากรัฐบาลซีเรียไม่ยอมออกมารับผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลายฝ่ายเกรงกันว่า สงครามจะขยายวงและนำมาซึ่งเหตุการณ์เลวร้าย โชคดีที่รัสเซียซึ่งสนิทกับซีเรียยื่นมือเข้ามาช่วยหาทางออก ด้วยการเสนอให้ซีเรียทำลายอาวุธเคมี
เมื่อประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียเข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งที่อาจจะทำให้เกิดสงครามขึ้นมาได้นี้ ผู้นำแห่งรัสเซียก็ได้หน้าไปแบบเต็มๆ เพราะการเข้ามาแทรกแซงครั้งนี้ทำให้หน่วยงานภายใต้การดูแลของสหประชาชาติอย่างองค์การห้ามการใช้อาวุธเคมี (OPCW) สามารถเข้ามาดูแลการทำลายอาวุธเคมีของซีเรียได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย สร้างความไว้วางใจได้ในระดับหนึ่งว่า ท้ายที่สุดแล้วซีเรียจะต้องทำลายอาวุธเคมีที่มีอยู่ในประเทศ
พฤศจิกายน: สถานการณ์ในแถบทะเลจีนตะวันออกกลับมาคุกรุ่นอีกครั้งเมื่อจีนประกาศจัดตั้งพื้นที่ป้องกันทางอากาศขึ้นมา โดยมีอาณาเขตเหนือหมู่เกาะข้อพิพาทในทะเลจีนตะวันออก ส่งผลให้ประเทศเพื่อนบ้านฉุนกันเป็นแถบๆ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวครอบคลุมบริเวณที่ทางญี่ปุ่นก็อ้างในกรรมสิทธิ ขณะที่สหรัฐซึ่งเป็นพันธมิตรของญี่ปุ่นก็ยังคงจุดยืนในการสนับสนุนญี่ปุ่น และวิจารณ์ว่า การดำเนินการดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านความมั่นคงในเอเชียตะวันออก ส่วนเกาหลีใต้เอง ก็ไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งเขตพื้นที่ครั้งนี้
การจัดตั้งพื้นที่ป้องกันภัยทางอากาศครั้งนี้เป็นการจัดตั้งขึ้นมาเพียงฝ่ายเดียวครั้งนี้ จีนระบุว่า ขอให้สายการบินต่างๆที่ต้องการบินไปยังพื้นที่ดังกล่าว ยื่นแผนการบินให้ทราบล่วงหน้า ซึ่งในช่วงแรกมีสายการบินของญี่ปุ่นที่ได้แจ้งข้อมูลเที่ยวบินให้ทราบ แต่หลังจากที่ทางการญี่ปุ่นได้ออกมาระบุว่า สายการบินในประเทศไม่จำเป็นต้องรายงานข้อมูลเที่ยวบิน ทางสายการบินเหล่านี้จึงไม่ได้แจ้งข้อมูลแต่อย่างใด
นอกจากนี้ สหรัฐและญี่ปุ่นยังได้ส่งเครื่องบินบินเข้าไปยังเขตพื้นที่จัดตั้งใหม่ของจีน โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า คล้ายกับจะส่งสัญญาณการคัดค้านการจัดตั้งพื้นที่ดังกล่าว
เดือนพฤศจิกายนยังเป็นเดือนเดือดของสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย โดยประชาชนพร้อมด้วยแกนนำได้ออกมาประท้วงพรบ.นิรโทษกรรม จนท้ายที่สุดวุฒิสภาได้โหวตคว่ำกฎหมายดังกล่าว แต่สถานการณ์การประท้วงก็ยังไม่สิ้นสุดลงแม้ว่า จะมีการประกาศยุบสภาและจัดการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 2 ก.พ. 2557 เนื่องจากผู้ประท้วงต้องการขับไล่นายกฯรักษาการออกจากตำแหน่ง และปฏิรูปประเทศก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้ง
ในขณะที่ประเทศข้างต้นต้องเผชิญกับสถานการณ์ทางการเมือง แต่อิหร่านกลับเป็นประเทศที่จุดประกายความหวังเรื่องการยุติโครงการนิวเคลียร์ หลังจากที่อิหร่านตกเป็นไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่มประเทศตะวันตกมานานด้วยเรื่องการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์และการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมที่สามารถนำมาใช้เป็นพลังงานในการผลิตนิวเคลียร์ที่อิหร่านย้ำนักย้ำหนาว่า เป็นโครงการนิวเคลียร์เพื่อสันติ แต่ก็ไม่ใคร่จะมีใครเชื่อใจเท่าไรนัก ดังนั้น การเปิดฉากจัดการเจรจาหารือระหว่างอิหร่านกับ 6 ชาติมหาอำนาจของโลกหรือกลุ่ม P5+1 ที่นครเจนีวาเมื่อวันที่ 7-9 พ.ย. จึงถือเป็นการจุดประกายความหวังว่า จะไม่มีการผลิตอาวุธนิวเคลียร์เพิ่มขึ้นในโลกใบนี้
ธันวาคม: แต่ดูเหมือนโสมแดงอาจจะเป็นประเทศที่ดับฝันเรื่องการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในแถบเอเชียได้ ภายใต้การนำของผู้นำประเทศคนล่าสุด ซึ่งตกเป็นข่าวไปทั่วโลกกับคำสั่งประหารชีวิต พลเอกจาง ซองแต๊ก ซึ่งเป็นศักดิ์เป็นลุง จากการแต่งงานกับ คิม คยอง ฮี พี่สาวคนโตของ คิม จอง อิล บิดาของ คิม จอง อึน ผู้นำรุ่นที่ 3 ของเกาหลีเหนือ นายจางเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลมากคนหนึ่งทั้งในพรรคกรรมกรและกองทัพ และยังเป็น หนึ่งใน 7 นายพลพี่เลี้ยงที่ให้การดูแลผู้นำเกาหลีเหนือ
เกาหลีเหนือได้ประหารชีวิตนายจาง ซองแต๊ก เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์มองว่า การกำจัดนายจางนั้น เนื่องจากคิม จองอึน ต้องการที่จะกำจัดภัยคุกคามและต้องการสลัดตัวเองให้หลุดพ้นจากเงาอำนาจของคิม จอง อิล ผู้ซึ่งเป็นบิดา ด้วยการสร้างฐานอำนาจใหม่ของตนเองขึ้นมา
เดือนนี้ ยังเป็นเดือนของการสูญเสียหนึ่งในตำนานแห่งผู้นำของโลก นายเนลสัน แมนเดลา วีรบุรุษชาวแอฟริกันซึ่งถึงแก่อสัญกรรมที่บ้านในกรุงโจฮันเนสเบิร์ก ขณะที่มีอายุ 95 ปี เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายแมนเดลา มีปัญหาเกี่ยวกับปอดซึ่งเป็นผลมาจากการป่วยด้วยโรควัณโรคในขณะที่ถูกจำคุก อดีตผู้นำของแอฟริกาใต้มีปัญหาที่ระบบทางเดินหายใจ และต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเพรโทเรียเป็นเวลานาน นายแมนเดลาจึงไม่ได้ปรากฎตัวต่อสาธารณชนมาตั้งแต่ปี 2547
แมนเดลา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอีกชื่อในแอฟริกาใต้ว่า เมดิบา ถือเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญแห่งทศวรรษที่ 20 ที่ได้รับการยกย่องจากทั่วโลกในเรื่องของจุดยืนในการต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว และประสบความสำเร็จในการนำพาประเทศหลุดพ้นจากการปกครองแบบเหยียดสีผิวของชนผิวขาวมาสู่ประชาธิปไตย ตลอดจนการเป็นตัวอย่างของการต่อสู้แบบสันติที่สามารถเห็นเป็นรูปธรรม และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก
ย้อนกลับมายังสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชานั้นก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน เมื่อนายสม รังสี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของกัมพูชาได้ระดมประชาชนเพื่อประท้วงขับไล่รัฐบาลฮุนเซน โดยมีการจัดการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง และการชุมนุมต่อต้านครั้งใหญ่ที่สุดเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. เนื่องจากผู้ประท้วงต้องการให้นายกรัฐมนตรีกัมพูชาลาออกจาตำแหน่งหรือจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่ เนื่องจากผู้ประท้วงมองว่า การเลือกตั้งเมื่อเดือนก.ค.นั้น ไม่โปร่งใส
อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ปีใหม่กันแล้ว In Focus ประจำสัปดาห์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ขอพาทุกท่านย้อนรอยไปกับสถานการณ์เมืองทั่วโลกตลอดทั้งปี 2556
มกราคม-กุมภาพันธ์: ช่วงต้นปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่โดดเด่นเกิดขึ้นในแถบเอเชียไม่น้อย ขอเริ่มจากเกาหลีใต้ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อ ปัก กึน-ฮเย ลูกสาวของอดีตประธานิบดีของเกาหลีใต้ สามารถคว้าชัยจากการเลือกตั้งขึ้นแท่นเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของแดนโสม ปัก กึน-ฮเย สามารถพิสูจน์ตัวเองให้เห็นถึงความเหมาะสมในการเป็นผู้นำประเทศ แม้ว่า เธอจะโชคดีที่มีประสบการณ์ทางการเมืองโดยตรง เนื่องจากเธอเป็นบุตรสาวคนโตของประธานาธิบดีคนที่ 3 ของเกาหลีใต้ แต่เธอก็ไต่เต้าและคลุกคลีอยู่ในวงการการเมืองมาโดยตลอด การตัดสินใจลงรับสมัครเลือกตั้งของเธอถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ทำให้ประชาชนได้ตัดสินใจว่าจะเปิดโอกาสให้เธอได้ทำหน้าที่ผู้นำประเทศหรือไม่ และชาวเกาหลีใต้ก็เปิดโอกาสให้กับเธอ จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ปรากฎม็อบไล่เธอออกจากตำแหน่งแต่อย่างใด
จีนก็เป็นอีกประเทศที่มีการผลัดใบผู้นำประเทศ โดยนายสี จิ้นผิง เป็นผู้ที่เข้ามารับไม้ต่อในตำแหน่งประธานาธิบดีจีนคนใหม่ของประเทศ ในช่วงที่จีนเดินหน้าปฏิรูปประเทศ พร้อมกับตั้งเป้าขจัดการทุจริตซึ่งเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้การพัฒนาเมืองและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยการเข้ามาทำหน้าที่ของนายสี จิ้นผิง สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนานาประเทศได้ดี เนื่องจากประวัติที่ดี และนโยบายในการปฏิรูปที่เปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ในขณะเดียวกันรัฐบาลจีนก็มุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาที่คาราคาซังในประเทศแบบค่อยเป็นค่อยไปและจริงจัง
กรกฎาคม: เมื่อผู้นำเกาหลีใต้และจีนฉายรัศมีโดดเด่นกันไปแล้ว ดาวเด่นการเมืองประจำปีที่ต้องกล่าวถึง คือ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ผู้ซึ่งมีบทบาทโดดเด่นแซงหน้าผู้นำสหรัฐไปได้ไม่น้อยทีเดียว
สถานการณ์การเมืองระหว่างสหรัฐและคู่ปรับเก่าอย่างรัสเซียคุกรุ่นขึ้นมา เมื่อ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตพนักงานหน่วยข่าวกรองกลางสหรัฐ (CIA) และอดีตพนักงานสัญญาจ้างของสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ (NSA) วัย 30 ปี ดอดเดินทางเข้าไปยังรัสเซีย โดยขอพักอยู่ในบริเวณที่รอขึ้นเครื่องบินของสนามบินกรุงมอสโคและอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเวลานานพอที่จะแสดงให้เห็นว่า รัสเซียให้การปกป้องสโนว์เดน ผู้เปิดโปงรัฐบาลสหรัฐเรื่องการดักฟังโทรศัพท์เสียชนิดที่สหรัฐมองหน้าหลายประเทศไม่ติดไปอีกนาน
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียก็ไม่ได้ปฏิเสธการขอลี้ภัยในแดนหมีขาวของนายสโนว์เดนแต่อย่างใด งานนี้ได้ใจจากกลุ่มผู้สนับสนุนเรื่องสิทธิส่วนบุคคลไปไม่น้อย แต่ก็สร้างความขุ่นเคืองให้กับสหรัฐไม่น้อยเช่นกัน
อียิปต์ ถือเป็นอีกประเทศที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองขึ้น โดยกลุ่มประชาชนที่ไม่พอใจการทำหน้าที่ของนายโมฮัมเหม็ด มอร์ซี ประธานาธิบดีอียิปต์ ได้ลุกฮือประท้วงและสามารถโค่นนายมอร์ซีลงจากตำแหน่งได้ในที่สุด แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ก็นำมาซึ่งการปะทะและการสูญเสีย
สิงหาคม: การใช้อาวุธเคมีกับประชาชนของซีเรีย จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึงว่า 1,000 คน โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพลเรือนและเด็กนั้น ทำให้นานาชาติออกมาประณามซีเรียที่กล้าใช้อาวุธเคมีกับประชาชนผู้บริสุทธิ์โดยไม่คำนึงถึงมนุษยธรรม หวังเพียงแต่จะทำลายฐานที่มั่นของกลุ่มที่คาดว่าจะเป็นผู้ต่อต้านรัฐบาล สถานการณ์ลุกลามระส่ำระสายไปจนกระทั่งสหรัฐเตรียมประกาศทำสงครามในขอบเขตที่จำกัดกับซีเรียร่วมกับชาติพันธมิตร เนื่องจากรัฐบาลซีเรียไม่ยอมออกมารับผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลายฝ่ายเกรงกันว่า สงครามจะขยายวงและนำมาซึ่งเหตุการณ์เลวร้าย โชคดีที่รัสเซียซึ่งสนิทกับซีเรียยื่นมือเข้ามาช่วยหาทางออก ด้วยการเสนอให้ซีเรียทำลายอาวุธเคมี
เมื่อประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียเข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งที่อาจจะทำให้เกิดสงครามขึ้นมาได้นี้ ผู้นำแห่งรัสเซียก็ได้หน้าไปแบบเต็มๆ เพราะการเข้ามาแทรกแซงครั้งนี้ทำให้หน่วยงานภายใต้การดูแลของสหประชาชาติอย่างองค์การห้ามการใช้อาวุธเคมี (OPCW) สามารถเข้ามาดูแลการทำลายอาวุธเคมีของซีเรียได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย สร้างความไว้วางใจได้ในระดับหนึ่งว่า ท้ายที่สุดแล้วซีเรียจะต้องทำลายอาวุธเคมีที่มีอยู่ในประเทศ
พฤศจิกายน: สถานการณ์ในแถบทะเลจีนตะวันออกกลับมาคุกรุ่นอีกครั้งเมื่อจีนประกาศจัดตั้งพื้นที่ป้องกันทางอากาศขึ้นมา โดยมีอาณาเขตเหนือหมู่เกาะข้อพิพาทในทะเลจีนตะวันออก ส่งผลให้ประเทศเพื่อนบ้านฉุนกันเป็นแถบๆ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวครอบคลุมบริเวณที่ทางญี่ปุ่นก็อ้างในกรรมสิทธิ ขณะที่สหรัฐซึ่งเป็นพันธมิตรของญี่ปุ่นก็ยังคงจุดยืนในการสนับสนุนญี่ปุ่น และวิจารณ์ว่า การดำเนินการดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านความมั่นคงในเอเชียตะวันออก ส่วนเกาหลีใต้เอง ก็ไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งเขตพื้นที่ครั้งนี้
การจัดตั้งพื้นที่ป้องกันภัยทางอากาศครั้งนี้เป็นการจัดตั้งขึ้นมาเพียงฝ่ายเดียวครั้งนี้ จีนระบุว่า ขอให้สายการบินต่างๆที่ต้องการบินไปยังพื้นที่ดังกล่าว ยื่นแผนการบินให้ทราบล่วงหน้า ซึ่งในช่วงแรกมีสายการบินของญี่ปุ่นที่ได้แจ้งข้อมูลเที่ยวบินให้ทราบ แต่หลังจากที่ทางการญี่ปุ่นได้ออกมาระบุว่า สายการบินในประเทศไม่จำเป็นต้องรายงานข้อมูลเที่ยวบิน ทางสายการบินเหล่านี้จึงไม่ได้แจ้งข้อมูลแต่อย่างใด
นอกจากนี้ สหรัฐและญี่ปุ่นยังได้ส่งเครื่องบินบินเข้าไปยังเขตพื้นที่จัดตั้งใหม่ของจีน โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า คล้ายกับจะส่งสัญญาณการคัดค้านการจัดตั้งพื้นที่ดังกล่าว
เดือนพฤศจิกายนยังเป็นเดือนเดือดของสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย โดยประชาชนพร้อมด้วยแกนนำได้ออกมาประท้วงพรบ.นิรโทษกรรม จนท้ายที่สุดวุฒิสภาได้โหวตคว่ำกฎหมายดังกล่าว แต่สถานการณ์การประท้วงก็ยังไม่สิ้นสุดลงแม้ว่า จะมีการประกาศยุบสภาและจัดการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 2 ก.พ. 2557 เนื่องจากผู้ประท้วงต้องการขับไล่นายกฯรักษาการออกจากตำแหน่ง และปฏิรูปประเทศก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้ง
ในขณะที่ประเทศข้างต้นต้องเผชิญกับสถานการณ์ทางการเมือง แต่อิหร่านกลับเป็นประเทศที่จุดประกายความหวังเรื่องการยุติโครงการนิวเคลียร์ หลังจากที่อิหร่านตกเป็นไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่มประเทศตะวันตกมานานด้วยเรื่องการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์และการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมที่สามารถนำมาใช้เป็นพลังงานในการผลิตนิวเคลียร์ที่อิหร่านย้ำนักย้ำหนาว่า เป็นโครงการนิวเคลียร์เพื่อสันติ แต่ก็ไม่ใคร่จะมีใครเชื่อใจเท่าไรนัก ดังนั้น การเปิดฉากจัดการเจรจาหารือระหว่างอิหร่านกับ 6 ชาติมหาอำนาจของโลกหรือกลุ่ม P5+1 ที่นครเจนีวาเมื่อวันที่ 7-9 พ.ย. จึงถือเป็นการจุดประกายความหวังว่า จะไม่มีการผลิตอาวุธนิวเคลียร์เพิ่มขึ้นในโลกใบนี้
ธันวาคม: แต่ดูเหมือนโสมแดงอาจจะเป็นประเทศที่ดับฝันเรื่องการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในแถบเอเชียได้ ภายใต้การนำของผู้นำประเทศคนล่าสุด ซึ่งตกเป็นข่าวไปทั่วโลกกับคำสั่งประหารชีวิต พลเอกจาง ซองแต๊ก ซึ่งเป็นศักดิ์เป็นลุง จากการแต่งงานกับ คิม คยอง ฮี พี่สาวคนโตของ คิม จอง อิล บิดาของ คิม จอง อึน ผู้นำรุ่นที่ 3 ของเกาหลีเหนือ นายจางเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลมากคนหนึ่งทั้งในพรรคกรรมกรและกองทัพ และยังเป็น หนึ่งใน 7 นายพลพี่เลี้ยงที่ให้การดูแลผู้นำเกาหลีเหนือ
เกาหลีเหนือได้ประหารชีวิตนายจาง ซองแต๊ก เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์มองว่า การกำจัดนายจางนั้น เนื่องจากคิม จองอึน ต้องการที่จะกำจัดภัยคุกคามและต้องการสลัดตัวเองให้หลุดพ้นจากเงาอำนาจของคิม จอง อิล ผู้ซึ่งเป็นบิดา ด้วยการสร้างฐานอำนาจใหม่ของตนเองขึ้นมา
เดือนนี้ ยังเป็นเดือนของการสูญเสียหนึ่งในตำนานแห่งผู้นำของโลก นายเนลสัน แมนเดลา วีรบุรุษชาวแอฟริกันซึ่งถึงแก่อสัญกรรมที่บ้านในกรุงโจฮันเนสเบิร์ก ขณะที่มีอายุ 95 ปี เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายแมนเดลา มีปัญหาเกี่ยวกับปอดซึ่งเป็นผลมาจากการป่วยด้วยโรควัณโรคในขณะที่ถูกจำคุก อดีตผู้นำของแอฟริกาใต้มีปัญหาที่ระบบทางเดินหายใจ และต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเพรโทเรียเป็นเวลานาน นายแมนเดลาจึงไม่ได้ปรากฎตัวต่อสาธารณชนมาตั้งแต่ปี 2547
แมนเดลา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอีกชื่อในแอฟริกาใต้ว่า เมดิบา ถือเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญแห่งทศวรรษที่ 20 ที่ได้รับการยกย่องจากทั่วโลกในเรื่องของจุดยืนในการต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว และประสบความสำเร็จในการนำพาประเทศหลุดพ้นจากการปกครองแบบเหยียดสีผิวของชนผิวขาวมาสู่ประชาธิปไตย ตลอดจนการเป็นตัวอย่างของการต่อสู้แบบสันติที่สามารถเห็นเป็นรูปธรรม และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก
ย้อนกลับมายังสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชานั้นก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน เมื่อนายสม รังสี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของกัมพูชาได้ระดมประชาชนเพื่อประท้วงขับไล่รัฐบาลฮุนเซน โดยมีการจัดการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง และการชุมนุมต่อต้านครั้งใหญ่ที่สุดเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. เนื่องจากผู้ประท้วงต้องการให้นายกรัฐมนตรีกัมพูชาลาออกจาตำแหน่งหรือจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่ เนื่องจากผู้ประท้วงมองว่า การเลือกตั้งเมื่อเดือนก.ค.นั้น ไม่โปร่งใส
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4819
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 15 มกราคม 2557 16:18:11 น.
ในปี 2556 ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ตลาดเทคโนโลยีร้อนระอุ เกิดการแข่งขันในตลาดอย่างคึกคัก เจ้าตลาดพากันผุดสินค้าซึ่งมีทั้งประสบความสำเร็จ และสามารถโกยเงินได้เป็นกอบเป็นกำ อาทิ สมาร์ทโฟเรือธงไอโฟนของแอปเปิ้ล และสมาร์ทโฟนรุ่น Galaxy S5 และ Galaxy Note 3 จากซัมซุง ที่รับทรัพย์อู้ฟู่เหมือนทุกปีที่ผ่านมา และก็มีที่คว้าน้ำเหลวบ้าง อย่างเช่น นาฬิกาข้อมูล Galaxy Gear ของซัมซุงที่ทำยอดขายได้ต่ำกว่าเป้า อย่างไรก็ดี วงการไอทีไม่เคยนิ่งอยู่กับที่ และเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวใหม่ๆตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่า จะออกมาให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอันในอนาคตแน่นอน แต่ทิศทางในปีนี้อาจจะมุ่งไปที่ปัจจัยจำเป็นอื่นๆนอกเหนือจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ เครื่องใช้ภายในบ้าน หรือแม้กระทั่งเงิน? เริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมคะว่าสิ่งเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับเทคโนโลยีได้อย่างไร ติดตามตามกันได้ใน In Focus สัปดาห์นี้ได้เลยค่ะ
*Smart Car รถยนต์ก็รันระบบคอมพิวเตอร์ได้
แนวคิดในการนำระบบปฏิบัติการมาใส่ในรถยนต์อาจกลายเป็นเรื่องจริงในปีนี้ เมื่อกูเกิ้ล บริษัทไอทีแห่งซิลิคอนวัลเลย์ ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลกและเป็นผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์สำหรับสมาร์ทโฟนต่างๆ ได้จับมือแบรนด์รถยนต์เจ้าดังของโลกไม่ว่าจะเป็น ออดี้, เจนเนอรัล มอเตอร์ส, ฮอนด้า มอเตอร์, ฮุนได มอเตอร์ รวมถึง NVIDIA ผู้ผลิตการ์ดจอรายใหญ่ของโลก ร่วมกันก่อตั้ง Open Automotive Alliance (OAA) ซึ่งเป็นการรวมตัวกันเพื่อผลักดันระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ในรถยนต์ และเพื่อเร่งให้เกิดการเปิดกว้างและการปรับแต่งต่างๆในรถยนต์ได้ตามความต้องการ โดยกลุ่ม OAA คาดหวังว่า จะสามารถจะทำให้เทคโนโลยีในรถยนต์มีความปลอดภัย และเข้ากับชีวิตทุกคนได้อย่างกลมกลืนมากขึ้น
ขณะเดียวกันด้วยแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างและเป็นที่คุ้นเคยอย่างแอนดรอยด์ก็จะช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยไปสู่ผู้ขับขี่ได้ง่ายดายขึ้น และเป็นการเปิดโอกาสของนักพัฒนาให้สามารถส่งมอบประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์แก่ทั้งคนขับและผู้โดยสารในแนวทางที่ปลอดภัยและยืดหยุ่นได้
อย่างไรก็ดีแม้ว่า ทางกูเกิ้ลและพันธมิตรผู้ผลิตรถยนต์จะยังไม่ได้เผยโฉมรถยนต์ที่รันระบบแอนดรอยด์ แต่กูเกิ้ลก็แย้มออกมาแล้วว่า เราน่าจะได้เห็นรถยนต์ที่รันแอนดรอยด์คันแรกๆ ภายในสิ้นปีนี้
แต่สำหรับใครที่ทนไม่ไหว อยากครอบครองรถยนต์สั่งงานได้ด้วยคอมพิวเตอร์บ้างสักคันและมีเงินหนาหน่อย คุณอาจจะไม่ต้องรอนาน เพราะทาง QMX บริษัทลูกของแบลคเบอร์รี่ได้เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบ QNX Car ที่งาน CES 2014 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่จัดขึ้นทุกปีจัดขึ้นที่ลาสเวกัส โดยเป็นรถยนต์ที่ผนวกแพลตฟอร์มที่สามารถแจ้งเตือน รับคำสั่งด้วยเสียง และเป็นระบบความบันเทิงภายในรถ โดยใช้รถยนต์ Mercedes-Benz CLA45 AMG เป็นต้นแบบ สำหรับ QNX Car นั้น มีหน้าปัดรถที่ไม่เหมือนรถยนต์ทั่วไป เนื่องจากสามารถแจ้งเตือนเมื่อมีสายโทรศัพท์เข้า และมีการแจ้งเตือนเมื่อมีข้อความเข้ามาด้วยเช่นกัน ซึ่งหากต้องการฟังว่าเป็นข้อความอะไร ก็สามารถกดปุ่มที่พวงมาลัยเพื่อฟัง ดูภาพเคลื่อนไหวจากกล้องหน้าและหลังรถ และยังแสดงผลนำทางแบบ Turn-by-turn อีกด้วย
ขณะที่ในส่วนโมดูลหน้าจอข้างๆกันนั้น สามารถแสดงการนำทางที่สามารถเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดได้ และยังรองรับการทำงานของแอพพลิเคชั่นของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์และ HTML5 อีกทั้งสามารถสั่งงานด้วยเสียงได้แม้ว่าจะกำลังเปิดเพลงฟังอยู่ และสามารถตรวจสอบความเสียหายของชิ้นส่วนเครื่องยนต์ผ่านหน้าจอดังกล่าวได้ ทาง QNX ยังเปิดเผยว่าภาพหน้าจออุปกรณ์ iOS ที่แสดงหน้าการตรวจสอบความเสียหายดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยQNX ระบุว่า เป็นการทำงานผ่านระบบคลาวด์ เราน่าจะได้เห็น QNX Car เวอร์ชั่นพร้อมจำหน่ายในเร็วๆนี้
* Smart Home เมื่อเราสอดส่องอุปกรณ์ในบ้านได้แม้อยู่ไกลกันข้ามโลก
และที่งาน CES 2014 เช่นกัน ซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มบริการ Samsung Smart Home เพื่อให้เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านตั้งแต่สมาร์ททีวี ตู้เย็น ยันเครื่องซักผ้า และสมาร์ทโฟน รวมถึงนาฬิกา Galaxy Gear สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้และสามารถควบคุมโดยการใช้แพลตฟอร์มเดียวกัน โดยซัมซุงระบุว่าเตรียมนำแพลตฟอร์มนี้วางจำหน่ายภายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และจะร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อให้บริการ Smart Home ตลอดจนขยายแพลตฟอร์มนี้ให้สามารถใช้งานได้กับบริษัทแนวร่วม ซึ่งจะเป็นการสร้างพื้นฐานให้กับภาวะแวดล้อมที่อุปกรณ์ภายในบ้านสามารถเชื่อมถึงกันได้ ขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
ซัมซุงได้ออกแบบการทำงานของ Smart Home ออกเป็น 3 ฟังก์ชั่น ได้แก่ ‘device control’ เปิดทางให้เราใช้สมาร์ทโฟนซีรีส์ Galaxy นาฬิกา Galaxy Gear รวมถึงสมาร์ททีวี ในการควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ในบ้านได้แม้ว่าตัวผู้ใช้งานจะอยู่นอกบ้าน และสามารถสั่งการด้วยเสียงผ่าน Galaxy Gear ว่า ‘going out’ ให้ปิดไฟและอุปกรณ์ที่กำหนดไว้ และเมื่อสั่งการผ่านรีโมทของ Smart TV ว่า ‘good night’ โทรทัศน์ก็จะปิดเองขณะที่แสงไฟก็จะค่อยๆหรี่ลงจนดับไป
ต่อมาคือฟังก์ชั่น “Home View" ที่ทำให้เราสามารถดูภาพความเคลื่อนไหวภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนได้แบบเรียลไทม์ โดยภาพจะมาจากกล้องที่ติดตั้งมากับเครื่องใช้ในบ้าน ส่วนฟีเจอร์สุดท้ายคือ “smart customer service" ออกแบบมาเพื่อแจ้งเตือนเมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าเสียหายหรือมีชิ้นส่วนที่ต้องเปลี่ยน และช่วยประสานงานไปยังหน่วยบริการหลังการขายอีกด้วย
ขณะเดียวกัน ซัมซุงยังได้พัฒนา Smart Home software protocol (SHP) เพื่อการนี้โดยเฉพาะเพื่อให้อุปกรณ์ในแพลตฟอร์ม Samsung Smart Home ในบ้านทั้งหมดสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้
Smart (Bit)Coin เมื่อเราใช้เงินได้โดยไม่ต้องควักกระเป๋า
การเงินอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นอีกกระแสไอทีหนึ่งที่น่าจะจับตามอง และโดนเด่นที่สุดในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีแนวโน้มไปถึงอนาคตด้วยนั่นก็คือ BitCoin สกุลเงินดิจิตอลซึ่งแลกเปลี่ยนและควบคุมโดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และไม่มีธนาคารเป็นตัวกลางเหมือนกันเงินรูปแบบอื่น เนื่องจากไม่มีตัวกลาง ข้อมูลการโอนและการฝากระหว่างสองฝั่งจะประมวลผลออกมาได้ช้า จึงมีกลุ่มที่ผันตัวอุทิศให้กับคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงเปิดเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้เครือข่าย BitCoin สามารถทำงานได้ตลอดเวลา เพื่อให้การโอนและการฝากสามารถทำได้อย่างรวดเร็วขึ้น โดยคนกลุ่มนี้จะได้ BitCoin เป็นค่าตอบแทน
กระบวนการในการได้ BitCoin นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องยากเพียงแค่ต้องติดต่อบริษัทตัวกลางเพื่อใช้เงินสกุลใดๆก็ได้ในการซื้อ BitCoin ในระบบ อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางของแต่ละประเทศก็มีข้อกำหนดเกี่ยวกับสกุลเงินเสมือนจริงดังกล่าวนี้ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป โดยธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งห้ามใช้ระบบกิจการแลกเปลี่ยน BitCoin ในประเทศ เนื่องจากกังวลว่าจะมีการนำไปใช้เพื่อเก็งกำไรค่าเงินบาท ขณะที่ธนาคารกลางจีนก็ห้ามไม่ให้สถาบันทางการเงินให้บริการ BitCoin และไม่ให้บริษัทตัวกลางของ BitCoin 10 แห่ง จ่ายและรับ BitCoin ส่วนธนาคารกลางสิงคโปร์ประกาศไม่แทรกแซง BitCoin และสามารถนำมาใช้ในการใช้จ่ายได้ ซึ่งแน่นอนว่าข่าวเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของ BitCoin ช่วงที่จีนประกาศห้ามทำธุรกรรมแลกเปลี่ยน BitCoin เมื่อต้นเดือนธันวาคมปีที่แล้วนั้น ราคา BitCoin ร่วงกว่า 300 ดอลลาร์ แตะที่ 751.60 ดอลลาร์ และร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ซิงก้า (Zynga) บริษัทเกมออนไลน์มือถือจากสหรัฐ เจ้าของเกมดังอย่าง “Farmville" ได้กลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาว หลังมีข่าวว่า บริษัทนำร่องได้ทดลองนำ BitCoin มาใช้ซื้อของในเกมได้ ซึ่งทำให้อัตรา BitCoin พุ่งทะลุ 1,000 ดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาและทำให้ BitCoin กลับมาเป็นที่จับตามองอีกครั้ง
ในปี 2556 ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ตลาดเทคโนโลยีร้อนระอุ เกิดการแข่งขันในตลาดอย่างคึกคัก เจ้าตลาดพากันผุดสินค้าซึ่งมีทั้งประสบความสำเร็จ และสามารถโกยเงินได้เป็นกอบเป็นกำ อาทิ สมาร์ทโฟเรือธงไอโฟนของแอปเปิ้ล และสมาร์ทโฟนรุ่น Galaxy S5 และ Galaxy Note 3 จากซัมซุง ที่รับทรัพย์อู้ฟู่เหมือนทุกปีที่ผ่านมา และก็มีที่คว้าน้ำเหลวบ้าง อย่างเช่น นาฬิกาข้อมูล Galaxy Gear ของซัมซุงที่ทำยอดขายได้ต่ำกว่าเป้า อย่างไรก็ดี วงการไอทีไม่เคยนิ่งอยู่กับที่ และเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวใหม่ๆตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่า จะออกมาให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอันในอนาคตแน่นอน แต่ทิศทางในปีนี้อาจจะมุ่งไปที่ปัจจัยจำเป็นอื่นๆนอกเหนือจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ เครื่องใช้ภายในบ้าน หรือแม้กระทั่งเงิน? เริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมคะว่าสิ่งเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับเทคโนโลยีได้อย่างไร ติดตามตามกันได้ใน In Focus สัปดาห์นี้ได้เลยค่ะ
*Smart Car รถยนต์ก็รันระบบคอมพิวเตอร์ได้
แนวคิดในการนำระบบปฏิบัติการมาใส่ในรถยนต์อาจกลายเป็นเรื่องจริงในปีนี้ เมื่อกูเกิ้ล บริษัทไอทีแห่งซิลิคอนวัลเลย์ ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลกและเป็นผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์สำหรับสมาร์ทโฟนต่างๆ ได้จับมือแบรนด์รถยนต์เจ้าดังของโลกไม่ว่าจะเป็น ออดี้, เจนเนอรัล มอเตอร์ส, ฮอนด้า มอเตอร์, ฮุนได มอเตอร์ รวมถึง NVIDIA ผู้ผลิตการ์ดจอรายใหญ่ของโลก ร่วมกันก่อตั้ง Open Automotive Alliance (OAA) ซึ่งเป็นการรวมตัวกันเพื่อผลักดันระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ในรถยนต์ และเพื่อเร่งให้เกิดการเปิดกว้างและการปรับแต่งต่างๆในรถยนต์ได้ตามความต้องการ โดยกลุ่ม OAA คาดหวังว่า จะสามารถจะทำให้เทคโนโลยีในรถยนต์มีความปลอดภัย และเข้ากับชีวิตทุกคนได้อย่างกลมกลืนมากขึ้น
ขณะเดียวกันด้วยแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างและเป็นที่คุ้นเคยอย่างแอนดรอยด์ก็จะช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยไปสู่ผู้ขับขี่ได้ง่ายดายขึ้น และเป็นการเปิดโอกาสของนักพัฒนาให้สามารถส่งมอบประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์แก่ทั้งคนขับและผู้โดยสารในแนวทางที่ปลอดภัยและยืดหยุ่นได้
อย่างไรก็ดีแม้ว่า ทางกูเกิ้ลและพันธมิตรผู้ผลิตรถยนต์จะยังไม่ได้เผยโฉมรถยนต์ที่รันระบบแอนดรอยด์ แต่กูเกิ้ลก็แย้มออกมาแล้วว่า เราน่าจะได้เห็นรถยนต์ที่รันแอนดรอยด์คันแรกๆ ภายในสิ้นปีนี้
แต่สำหรับใครที่ทนไม่ไหว อยากครอบครองรถยนต์สั่งงานได้ด้วยคอมพิวเตอร์บ้างสักคันและมีเงินหนาหน่อย คุณอาจจะไม่ต้องรอนาน เพราะทาง QMX บริษัทลูกของแบลคเบอร์รี่ได้เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบ QNX Car ที่งาน CES 2014 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่จัดขึ้นทุกปีจัดขึ้นที่ลาสเวกัส โดยเป็นรถยนต์ที่ผนวกแพลตฟอร์มที่สามารถแจ้งเตือน รับคำสั่งด้วยเสียง และเป็นระบบความบันเทิงภายในรถ โดยใช้รถยนต์ Mercedes-Benz CLA45 AMG เป็นต้นแบบ สำหรับ QNX Car นั้น มีหน้าปัดรถที่ไม่เหมือนรถยนต์ทั่วไป เนื่องจากสามารถแจ้งเตือนเมื่อมีสายโทรศัพท์เข้า และมีการแจ้งเตือนเมื่อมีข้อความเข้ามาด้วยเช่นกัน ซึ่งหากต้องการฟังว่าเป็นข้อความอะไร ก็สามารถกดปุ่มที่พวงมาลัยเพื่อฟัง ดูภาพเคลื่อนไหวจากกล้องหน้าและหลังรถ และยังแสดงผลนำทางแบบ Turn-by-turn อีกด้วย
ขณะที่ในส่วนโมดูลหน้าจอข้างๆกันนั้น สามารถแสดงการนำทางที่สามารถเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดได้ และยังรองรับการทำงานของแอพพลิเคชั่นของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์และ HTML5 อีกทั้งสามารถสั่งงานด้วยเสียงได้แม้ว่าจะกำลังเปิดเพลงฟังอยู่ และสามารถตรวจสอบความเสียหายของชิ้นส่วนเครื่องยนต์ผ่านหน้าจอดังกล่าวได้ ทาง QNX ยังเปิดเผยว่าภาพหน้าจออุปกรณ์ iOS ที่แสดงหน้าการตรวจสอบความเสียหายดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยQNX ระบุว่า เป็นการทำงานผ่านระบบคลาวด์ เราน่าจะได้เห็น QNX Car เวอร์ชั่นพร้อมจำหน่ายในเร็วๆนี้
* Smart Home เมื่อเราสอดส่องอุปกรณ์ในบ้านได้แม้อยู่ไกลกันข้ามโลก
และที่งาน CES 2014 เช่นกัน ซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มบริการ Samsung Smart Home เพื่อให้เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านตั้งแต่สมาร์ททีวี ตู้เย็น ยันเครื่องซักผ้า และสมาร์ทโฟน รวมถึงนาฬิกา Galaxy Gear สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้และสามารถควบคุมโดยการใช้แพลตฟอร์มเดียวกัน โดยซัมซุงระบุว่าเตรียมนำแพลตฟอร์มนี้วางจำหน่ายภายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และจะร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อให้บริการ Smart Home ตลอดจนขยายแพลตฟอร์มนี้ให้สามารถใช้งานได้กับบริษัทแนวร่วม ซึ่งจะเป็นการสร้างพื้นฐานให้กับภาวะแวดล้อมที่อุปกรณ์ภายในบ้านสามารถเชื่อมถึงกันได้ ขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
ซัมซุงได้ออกแบบการทำงานของ Smart Home ออกเป็น 3 ฟังก์ชั่น ได้แก่ ‘device control’ เปิดทางให้เราใช้สมาร์ทโฟนซีรีส์ Galaxy นาฬิกา Galaxy Gear รวมถึงสมาร์ททีวี ในการควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ในบ้านได้แม้ว่าตัวผู้ใช้งานจะอยู่นอกบ้าน และสามารถสั่งการด้วยเสียงผ่าน Galaxy Gear ว่า ‘going out’ ให้ปิดไฟและอุปกรณ์ที่กำหนดไว้ และเมื่อสั่งการผ่านรีโมทของ Smart TV ว่า ‘good night’ โทรทัศน์ก็จะปิดเองขณะที่แสงไฟก็จะค่อยๆหรี่ลงจนดับไป
ต่อมาคือฟังก์ชั่น “Home View" ที่ทำให้เราสามารถดูภาพความเคลื่อนไหวภายในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนได้แบบเรียลไทม์ โดยภาพจะมาจากกล้องที่ติดตั้งมากับเครื่องใช้ในบ้าน ส่วนฟีเจอร์สุดท้ายคือ “smart customer service" ออกแบบมาเพื่อแจ้งเตือนเมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าเสียหายหรือมีชิ้นส่วนที่ต้องเปลี่ยน และช่วยประสานงานไปยังหน่วยบริการหลังการขายอีกด้วย
ขณะเดียวกัน ซัมซุงยังได้พัฒนา Smart Home software protocol (SHP) เพื่อการนี้โดยเฉพาะเพื่อให้อุปกรณ์ในแพลตฟอร์ม Samsung Smart Home ในบ้านทั้งหมดสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้
Smart (Bit)Coin เมื่อเราใช้เงินได้โดยไม่ต้องควักกระเป๋า
การเงินอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นอีกกระแสไอทีหนึ่งที่น่าจะจับตามอง และโดนเด่นที่สุดในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีแนวโน้มไปถึงอนาคตด้วยนั่นก็คือ BitCoin สกุลเงินดิจิตอลซึ่งแลกเปลี่ยนและควบคุมโดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และไม่มีธนาคารเป็นตัวกลางเหมือนกันเงินรูปแบบอื่น เนื่องจากไม่มีตัวกลาง ข้อมูลการโอนและการฝากระหว่างสองฝั่งจะประมวลผลออกมาได้ช้า จึงมีกลุ่มที่ผันตัวอุทิศให้กับคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงเปิดเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้เครือข่าย BitCoin สามารถทำงานได้ตลอดเวลา เพื่อให้การโอนและการฝากสามารถทำได้อย่างรวดเร็วขึ้น โดยคนกลุ่มนี้จะได้ BitCoin เป็นค่าตอบแทน
กระบวนการในการได้ BitCoin นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องยากเพียงแค่ต้องติดต่อบริษัทตัวกลางเพื่อใช้เงินสกุลใดๆก็ได้ในการซื้อ BitCoin ในระบบ อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางของแต่ละประเทศก็มีข้อกำหนดเกี่ยวกับสกุลเงินเสมือนจริงดังกล่าวนี้ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป โดยธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งห้ามใช้ระบบกิจการแลกเปลี่ยน BitCoin ในประเทศ เนื่องจากกังวลว่าจะมีการนำไปใช้เพื่อเก็งกำไรค่าเงินบาท ขณะที่ธนาคารกลางจีนก็ห้ามไม่ให้สถาบันทางการเงินให้บริการ BitCoin และไม่ให้บริษัทตัวกลางของ BitCoin 10 แห่ง จ่ายและรับ BitCoin ส่วนธนาคารกลางสิงคโปร์ประกาศไม่แทรกแซง BitCoin และสามารถนำมาใช้ในการใช้จ่ายได้ ซึ่งแน่นอนว่าข่าวเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของ BitCoin ช่วงที่จีนประกาศห้ามทำธุรกรรมแลกเปลี่ยน BitCoin เมื่อต้นเดือนธันวาคมปีที่แล้วนั้น ราคา BitCoin ร่วงกว่า 300 ดอลลาร์ แตะที่ 751.60 ดอลลาร์ และร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ซิงก้า (Zynga) บริษัทเกมออนไลน์มือถือจากสหรัฐ เจ้าของเกมดังอย่าง “Farmville" ได้กลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาว หลังมีข่าวว่า บริษัทนำร่องได้ทดลองนำ BitCoin มาใช้ซื้อของในเกมได้ ซึ่งทำให้อัตรา BitCoin พุ่งทะลุ 1,000 ดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาและทำให้ BitCoin กลับมาเป็นที่จับตามองอีกครั้ง
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4820
updated: 21 ม.ค. 2557 เวลา 11:01:42 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เปิดโพยทำเลทองแผนลงทุนอสังหาฯต่างจังหวัด ทุนเมืองกรุง 9 บริษัทเสี่ยสั่งลุย จ่อผุด 50 โครงการ กระจายทำเล 16 จังหวัดครบทุกภาค "ศุภาลัย-ซีพีแลนด์" รั้งแชมป์มากสุด "อุบลฯ-นครพนม-หนองคาย-สระบุรี-ราชบุรี-สุพรรณฯ-นครศรีฯ" ติดโผจังหวัดน้องใหม่แห่ชิมลางลงทุนดักเออีซี
ผู้สื่อข่าวสำรวจแผนลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดปี 2557 ของบริษัทพัฒนาที่ดินทั้งรายใหญ่-รายกลาง 9 บริษัทในกรุงเทพฯ อาทิ บมจ.แสนสิริ, บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ หรือคิวเฮ้าส์, บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์, บมจ.ศุภาลัย, บจ.กานดา พร็อพเพอร์ตี้ ฯลฯ พบว่า ถึงแม้ขณะนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง เพราะกำลังซื้อชะลอตัว แต่ดูเหมือนจะเป็นผลกระทบที่โฟกัสเฉพาะตลาดใหญ่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
ในขณะที่แผนลงทุนในต่างจังหวัดแนวโน้มยังคึกคัก อาจเป็นเพราะได้รับผลกระทบน้อยกว่ากรุงเทพฯ รวมทั้งจังหวัดชายแดนก็ได้รับอานิสงส์จากการนับถอยหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 โดยพบว่าทั้ง 9 บริษัทวางแผนเปิดตัวใหม่รวมกันอย่างน้อย 50 โครงการ ในจำนวนนี้มี 10 จังหวัดที่เป็นพื้นที่การลงทุนต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา ภูเก็ต และมีอีก 7 จังหวัดใหม่ที่จะเห็นการลงทุนปีนี้ ได้แก่ อุบลราชธานี นครพนม หนองคาย สระบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี และนครศรีธรรมราช
ศุภาลัยรุก 10 โครงการ
จากการสำรวจพบว่า บมจ.ศุภาลัยสรุปแผนล่าสุดเตรียมเปิดตัวโครงการต่างจังหวัดไม่ต่ำกว่า 10-11 โครงการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ 9-10 โครงการ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท โดยเป็นแผนเปิดตัวในจังหวัดที่เข้าไปลงทุนแล้ว 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา ภูเก็ต ขณะเดียวกัน มีจังหวัดใหม่ที่ยังไม่เคยเปิดโครงการ 3 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา อุบลราชธานี นครศรีธรรมราช
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ยอดขาย-ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ นอกเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง ล่าสุดจึงเตรียมรุกตลาดต่างจังหวัดเต็มที่
"ทิศทางปีนี้เราเน้นบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ ส่วนคอนโดฯจะลดการลงทุนลง เพราะปีที่ผ่านมา บางจังหวัดมีซัพพลายจำนวนมาก เฉพาะไตรมาสแรก ศุภาลัยจะเปิดในภูมิภาค 3-4 โปรเจ็กต์" นายไตรเตชะกล่าว
คิวเฮ้าส์ลุยเหนือ-ตะวันออก
ส่วน บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ พร้อมรุกตลาดต่างจังหวัดปีนี้ 6 โครงการ ใน 3 จังหวัด คือชลบุรี เชียงราย ประจวบคีรีขันธ์ มูลค่าขายรวม 6 พันล้าน ได้แก่ 1.โครงการเดอะทรัสต์คอนโด อมตะ-ชลบุรี 2.เดอะทรัสต์คอนโด พัทยาเหนือ 3.คาซ่าคอนโด จ.เชียงราย 4.ทาวน์เฮาส์ใน จ.ชลบุรี 2 โครงการ และ 5.คิวซีไซด์ หัวหิน
แหล่งข่าวจาก บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ กล่าวว่า ปีนี้กลุ่มคิวเฮ้าส์จะรุกตลาดต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น โดยเปิด 6 โครงการ เทียบปีที่แล้วเปิดตัว 2 โครงการ มีเดอะทรัสต์คอนโด พัทยากลาง กับเดอะทรัสต์คอนโด หัวหิน ซอย 5 แผนปีนี้จะเปิดคอนโดฯใน จ.เชียงราย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของบริษัท ตามแผนจะเปิดตัวแบรนด์ "คาซ่าคอนโด" ราคาเริ่มต้น 1-2 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท เจาะกลุ่มเป้าหมายคนไทยและชาวจีน
"เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัว มีนักลงทุนจีนเข้ามาตั้งโรงงานอบยางพาราเพื่อส่งกลับประเทศ บางส่วนก็ส่งลูกหลานมาเรียนที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในด้านกำลังซื้อ" แหล่งข่าวกล่าว
แสนสิริ-LPN 6 โครงการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ บมจ.แสนสิริปีนี้ประกาศลดการลงทุนต่างจังหวัด คาดว่าจะเปิดโครงการใหม่เพียง 3 แห่ง เทียบกับปีที่ผ่านมาบุกตลาดต่างจังหวัดถึง 25 โครงการ อาทิ เปิดตัวบ้านเดี่ยวในขอนแก่น, คอนโดฯในพิษณุโลก ฯลฯ เหตุผลที่รุกต่างจังหวัดน้อยลง เนื่องจากแผนลงทุนของรัฐบาล ภายใต้โครงการ 2 ล้านล้าน ยังไม่มีความชัดเจน
ส่วน บมจ.แอล.พี.เอ็น.ฯ เตรียมเปิดคอนโดฯในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,000-4,000 ล้านบาท ทั้งหมดเป็นแผนที่เลื่อนมาจากปีที่ผ่านมา ได้แก่ ชะอำ 2 โครงการ และหัวหิน ซอย 7 อีก 1 โครงการ
ซีพีแลนด์จองหัวเมืองรอง
บมจ.ซีพีแลนด์จะเปิดโครงการในต่างจังหวัด 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคอนโดฯ แบรนด์ "กัลปพฤกษ์" ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 1.1-1.3 ล้านบาท ทำเลที่สรุปแล้ว ได้แก่ หนองคาย นครราชสีมา สกลนคร เชียงใหม่ พิษณุโลก กาญจนบุรี สงขลา เชียงราย โดยมองว่าการเปิดเออีซีจะเป็นปัจจัยหนุนให้เศรษฐกิจต่างจังหวัดขยายตัว
ส่วน บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง ตั้งเป้าเปิดตัวในต่างจังหวัด 1-2 โครงการ ที่สรุปแล้วคือเชียงใหม่ ซึ่งเพิ่งจะเข้ามาเป็นครั้งแรก เตรียมเปิดขายเป็นทางการกุมภาพันธ์นี้ ทำเลติดถนนซุปเปอร์ไฮเวย์-ฟ้าฮ่าม ใกล้สะพานข้ามแม่น้ำปิง เฟสแรก 2 อาคาร รวม 150 ยูนิต แบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 30 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 1.8 ล้านบาท/ยูนิต
ทั้งนี้จะเห็นว่าตลาดคอนโดฯในเชียงใหม่เริ่มแข่งขันสูง ปัจจุบันมีผู้ประกอบการจากกรุงเทพฯเข้าไปทำโครงการ อาทิ ควอลิตี้เฮ้าส์, แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, แสนสิริ, พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ฯลฯ
เพอร์เฟคบุกเมืองท่องเที่ยว
ด้าน บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มีแผนลงทุนเปิดตัวในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่าโครงการ 4,000-5,000 ล้านบาท โดยจะรุกตลาดบ้านเดี่ยว แบรนด์ "เพอร์เฟคเพลส" จ.เชียงใหม่ ราคา 3-4 ล้านบาท ส่วนจังหวัดใหม่ ๆ พบว่ามีที่เขาใหญ่และหัวหิน โดยจะรุกตลาดเขาใหญ่ เปิดโครงการที่ดินจัดสรรเพื่อสร้างบ้านพักตากอากาศ และคอนโดฯ "เบลล่า คอสต้า" เขาเต่า ออกแบบโลว์ไรส์ 1-7 ชั้น 9 อาคาร รวม 325 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.85 ล้านบาท
ขณะที่ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ยังไม่ได้ประกาศแผนธุรกิจปี 2557 แต่มีข้อมูลว่าเตรียมเปิดตัวโครงการ "สีวลี" จ.เชียงราย ราคา 3.5-10 ล้านบาท กว่า 300 ยูนิต เป็นโครงการที่เลื่อนเปิดตัวจากเดือนพฤศจิกายน 2556 และบจ. กานดา พร็อพเพอร์ตี้ มีแผนเปิดทาวน์เฮาส์อีก 1 โครงการ ในภูเก็ต ยูนิตละ 1.9-2 ล้านบาท
7 จังหวัดใหม่ติดโผลงทุน
พบว่ามีจังหวัดใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีผู้ประกอบการอสังหาฯจากเมืองกรุงเข้าไปลงทุน แต่จะได้เห็นการลงทุนในปีนี้อย่างน้อย 7 จังหวัดด้วยกัน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลางและภาคอีสาน ได้แก่ อุบลราชธานี นครพนม หนองคาย สระบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี และนครศรีธรรมราช
โดย "ศุภาลัย" ที่ประกาศตัวว่ามีความถนัดโครงการแนวราบในต่างจังหวัด เตรียมเจาะตลาดบ้านจัดสรรที่อุบลฯ กับนครศรีฯ เป็นครั้งแรก หลังจากศึกษาพื้นที่ 1-2 ปีมาแล้ว พบว่าทั้ง 2 จังหวัดมีศักยภาพ โดยอุบลฯ มีจุดเด่นเป็นจังหวัดชายแดนติด สปป.ลาว เศรษฐกิจจึงขยายตัวได้จาก 2 ส่วน คืออุตสาหกรรม-การค้า และการเกษตร ส่วนนครศรีฯ เป็นจังหวัดที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวดี
ฟาก "ซีพีแลนด์" ปีที่ผ่านมาเปิดตัวอสังหาฯแล้ว 16 จังหวัด สำหรับปีนี้ยังเดินเกมรุกต่อเนื่องในจังหวัดใหม่ ๆ อย่างน้อย 5 แห่ง ได้แก่ นครพนม หนองคาย สระบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี โดยมองว่าพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ในต่างจังหวัดอยากอยู่คอนโดฯ ส่วนหนึ่งซื้อเพื่อทดแทนการเช่าอพาร์ตเมนต์
กลยุทธ์หลักค่าย ซีพีแลนด์ มุ่งกระจายลงทุนหลายจังหวัด เพื่อลดความเสี่ยง เน้นพัฒนาแต่ละโครงการให้มียูนิตจำนวนไม่มาก 100-500 ยูนิต ราคาขาย 1.1-1.3 ล้านบาท โดยเชื่อว่าการเปิดเออีซีจะทำให้เศรษฐกิจต่างจังหวัดขยายตัวได้อีก
ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า อสังหาฯต่างจังหวัดปีนี้มีแนวโน้มคึกคักและสดใสเป็นอย่างยิ่ง

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เปิดโพยทำเลทองแผนลงทุนอสังหาฯต่างจังหวัด ทุนเมืองกรุง 9 บริษัทเสี่ยสั่งลุย จ่อผุด 50 โครงการ กระจายทำเล 16 จังหวัดครบทุกภาค "ศุภาลัย-ซีพีแลนด์" รั้งแชมป์มากสุด "อุบลฯ-นครพนม-หนองคาย-สระบุรี-ราชบุรี-สุพรรณฯ-นครศรีฯ" ติดโผจังหวัดน้องใหม่แห่ชิมลางลงทุนดักเออีซี
ผู้สื่อข่าวสำรวจแผนลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัดปี 2557 ของบริษัทพัฒนาที่ดินทั้งรายใหญ่-รายกลาง 9 บริษัทในกรุงเทพฯ อาทิ บมจ.แสนสิริ, บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ หรือคิวเฮ้าส์, บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์, บมจ.ศุภาลัย, บจ.กานดา พร็อพเพอร์ตี้ ฯลฯ พบว่า ถึงแม้ขณะนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง เพราะกำลังซื้อชะลอตัว แต่ดูเหมือนจะเป็นผลกระทบที่โฟกัสเฉพาะตลาดใหญ่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
ในขณะที่แผนลงทุนในต่างจังหวัดแนวโน้มยังคึกคัก อาจเป็นเพราะได้รับผลกระทบน้อยกว่ากรุงเทพฯ รวมทั้งจังหวัดชายแดนก็ได้รับอานิสงส์จากการนับถอยหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 โดยพบว่าทั้ง 9 บริษัทวางแผนเปิดตัวใหม่รวมกันอย่างน้อย 50 โครงการ ในจำนวนนี้มี 10 จังหวัดที่เป็นพื้นที่การลงทุนต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา ภูเก็ต และมีอีก 7 จังหวัดใหม่ที่จะเห็นการลงทุนปีนี้ ได้แก่ อุบลราชธานี นครพนม หนองคาย สระบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี และนครศรีธรรมราช
ศุภาลัยรุก 10 โครงการ
จากการสำรวจพบว่า บมจ.ศุภาลัยสรุปแผนล่าสุดเตรียมเปิดตัวโครงการต่างจังหวัดไม่ต่ำกว่า 10-11 โครงการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ 9-10 โครงการ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท โดยเป็นแผนเปิดตัวในจังหวัดที่เข้าไปลงทุนแล้ว 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น อุดรธานี ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา ภูเก็ต ขณะเดียวกัน มีจังหวัดใหม่ที่ยังไม่เคยเปิดโครงการ 3 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา อุบลราชธานี นครศรีธรรมราช
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ยอดขาย-ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ นอกเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง ล่าสุดจึงเตรียมรุกตลาดต่างจังหวัดเต็มที่
"ทิศทางปีนี้เราเน้นบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ ส่วนคอนโดฯจะลดการลงทุนลง เพราะปีที่ผ่านมา บางจังหวัดมีซัพพลายจำนวนมาก เฉพาะไตรมาสแรก ศุภาลัยจะเปิดในภูมิภาค 3-4 โปรเจ็กต์" นายไตรเตชะกล่าว
คิวเฮ้าส์ลุยเหนือ-ตะวันออก
ส่วน บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ พร้อมรุกตลาดต่างจังหวัดปีนี้ 6 โครงการ ใน 3 จังหวัด คือชลบุรี เชียงราย ประจวบคีรีขันธ์ มูลค่าขายรวม 6 พันล้าน ได้แก่ 1.โครงการเดอะทรัสต์คอนโด อมตะ-ชลบุรี 2.เดอะทรัสต์คอนโด พัทยาเหนือ 3.คาซ่าคอนโด จ.เชียงราย 4.ทาวน์เฮาส์ใน จ.ชลบุรี 2 โครงการ และ 5.คิวซีไซด์ หัวหิน
แหล่งข่าวจาก บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ กล่าวว่า ปีนี้กลุ่มคิวเฮ้าส์จะรุกตลาดต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น โดยเปิด 6 โครงการ เทียบปีที่แล้วเปิดตัว 2 โครงการ มีเดอะทรัสต์คอนโด พัทยากลาง กับเดอะทรัสต์คอนโด หัวหิน ซอย 5 แผนปีนี้จะเปิดคอนโดฯใน จ.เชียงราย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของบริษัท ตามแผนจะเปิดตัวแบรนด์ "คาซ่าคอนโด" ราคาเริ่มต้น 1-2 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท เจาะกลุ่มเป้าหมายคนไทยและชาวจีน
"เชียงรายเป็นจังหวัดชายแดนที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัว มีนักลงทุนจีนเข้ามาตั้งโรงงานอบยางพาราเพื่อส่งกลับประเทศ บางส่วนก็ส่งลูกหลานมาเรียนที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในด้านกำลังซื้อ" แหล่งข่าวกล่าว
แสนสิริ-LPN 6 โครงการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ บมจ.แสนสิริปีนี้ประกาศลดการลงทุนต่างจังหวัด คาดว่าจะเปิดโครงการใหม่เพียง 3 แห่ง เทียบกับปีที่ผ่านมาบุกตลาดต่างจังหวัดถึง 25 โครงการ อาทิ เปิดตัวบ้านเดี่ยวในขอนแก่น, คอนโดฯในพิษณุโลก ฯลฯ เหตุผลที่รุกต่างจังหวัดน้อยลง เนื่องจากแผนลงทุนของรัฐบาล ภายใต้โครงการ 2 ล้านล้าน ยังไม่มีความชัดเจน
ส่วน บมจ.แอล.พี.เอ็น.ฯ เตรียมเปิดคอนโดฯในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,000-4,000 ล้านบาท ทั้งหมดเป็นแผนที่เลื่อนมาจากปีที่ผ่านมา ได้แก่ ชะอำ 2 โครงการ และหัวหิน ซอย 7 อีก 1 โครงการ
ซีพีแลนด์จองหัวเมืองรอง
บมจ.ซีพีแลนด์จะเปิดโครงการในต่างจังหวัด 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคอนโดฯ แบรนด์ "กัลปพฤกษ์" ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 1.1-1.3 ล้านบาท ทำเลที่สรุปแล้ว ได้แก่ หนองคาย นครราชสีมา สกลนคร เชียงใหม่ พิษณุโลก กาญจนบุรี สงขลา เชียงราย โดยมองว่าการเปิดเออีซีจะเป็นปัจจัยหนุนให้เศรษฐกิจต่างจังหวัดขยายตัว
ส่วน บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง ตั้งเป้าเปิดตัวในต่างจังหวัด 1-2 โครงการ ที่สรุปแล้วคือเชียงใหม่ ซึ่งเพิ่งจะเข้ามาเป็นครั้งแรก เตรียมเปิดขายเป็นทางการกุมภาพันธ์นี้ ทำเลติดถนนซุปเปอร์ไฮเวย์-ฟ้าฮ่าม ใกล้สะพานข้ามแม่น้ำปิง เฟสแรก 2 อาคาร รวม 150 ยูนิต แบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 30 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 1.8 ล้านบาท/ยูนิต
ทั้งนี้จะเห็นว่าตลาดคอนโดฯในเชียงใหม่เริ่มแข่งขันสูง ปัจจุบันมีผู้ประกอบการจากกรุงเทพฯเข้าไปทำโครงการ อาทิ ควอลิตี้เฮ้าส์, แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, แสนสิริ, พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ฯลฯ
เพอร์เฟคบุกเมืองท่องเที่ยว
ด้าน บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มีแผนลงทุนเปิดตัวในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่าโครงการ 4,000-5,000 ล้านบาท โดยจะรุกตลาดบ้านเดี่ยว แบรนด์ "เพอร์เฟคเพลส" จ.เชียงใหม่ ราคา 3-4 ล้านบาท ส่วนจังหวัดใหม่ ๆ พบว่ามีที่เขาใหญ่และหัวหิน โดยจะรุกตลาดเขาใหญ่ เปิดโครงการที่ดินจัดสรรเพื่อสร้างบ้านพักตากอากาศ และคอนโดฯ "เบลล่า คอสต้า" เขาเต่า ออกแบบโลว์ไรส์ 1-7 ชั้น 9 อาคาร รวม 325 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.85 ล้านบาท
ขณะที่ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ยังไม่ได้ประกาศแผนธุรกิจปี 2557 แต่มีข้อมูลว่าเตรียมเปิดตัวโครงการ "สีวลี" จ.เชียงราย ราคา 3.5-10 ล้านบาท กว่า 300 ยูนิต เป็นโครงการที่เลื่อนเปิดตัวจากเดือนพฤศจิกายน 2556 และบจ. กานดา พร็อพเพอร์ตี้ มีแผนเปิดทาวน์เฮาส์อีก 1 โครงการ ในภูเก็ต ยูนิตละ 1.9-2 ล้านบาท
7 จังหวัดใหม่ติดโผลงทุน
พบว่ามีจังหวัดใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีผู้ประกอบการอสังหาฯจากเมืองกรุงเข้าไปลงทุน แต่จะได้เห็นการลงทุนในปีนี้อย่างน้อย 7 จังหวัดด้วยกัน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลางและภาคอีสาน ได้แก่ อุบลราชธานี นครพนม หนองคาย สระบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี และนครศรีธรรมราช
โดย "ศุภาลัย" ที่ประกาศตัวว่ามีความถนัดโครงการแนวราบในต่างจังหวัด เตรียมเจาะตลาดบ้านจัดสรรที่อุบลฯ กับนครศรีฯ เป็นครั้งแรก หลังจากศึกษาพื้นที่ 1-2 ปีมาแล้ว พบว่าทั้ง 2 จังหวัดมีศักยภาพ โดยอุบลฯ มีจุดเด่นเป็นจังหวัดชายแดนติด สปป.ลาว เศรษฐกิจจึงขยายตัวได้จาก 2 ส่วน คืออุตสาหกรรม-การค้า และการเกษตร ส่วนนครศรีฯ เป็นจังหวัดที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวดี
ฟาก "ซีพีแลนด์" ปีที่ผ่านมาเปิดตัวอสังหาฯแล้ว 16 จังหวัด สำหรับปีนี้ยังเดินเกมรุกต่อเนื่องในจังหวัดใหม่ ๆ อย่างน้อย 5 แห่ง ได้แก่ นครพนม หนองคาย สระบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี โดยมองว่าพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ในต่างจังหวัดอยากอยู่คอนโดฯ ส่วนหนึ่งซื้อเพื่อทดแทนการเช่าอพาร์ตเมนต์
กลยุทธ์หลักค่าย ซีพีแลนด์ มุ่งกระจายลงทุนหลายจังหวัด เพื่อลดความเสี่ยง เน้นพัฒนาแต่ละโครงการให้มียูนิตจำนวนไม่มาก 100-500 ยูนิต ราคาขาย 1.1-1.3 ล้านบาท โดยเชื่อว่าการเปิดเออีซีจะทำให้เศรษฐกิจต่างจังหวัดขยายตัวได้อีก
ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า อสังหาฯต่างจังหวัดปีนี้มีแนวโน้มคึกคักและสดใสเป็นอย่างยิ่ง

- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4821
updated: 21 ม.ค. 2557 เวลา 08:09:15 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สำรวจผลกระทบชัตดาวน์กรุงเทพฯ ยกแรก 7 จุด ธุรกิจ-ร้านค้า มีทั้ง ส้มหล่น-รายได้หด ฟู้ดคอร์ตสบจังหวะปั๊มยอด เซเว่นฯ 50 สาขา ลูกค้าแห่เข้าเพิ่มเท่าตัว ส่วนแฟชั่นหงอย โรงแรมหั่นราคาเรียกลูกค้า ผู้ค้าราชประสงค์ฮึดอัดแคมเปญกระตุ้น
ระวังภัย - ทหารหลายหน่วยส่งกำลังพลเสริมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อรักษาความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน หลังกลุ่ม กปปส.ชัตดาวน์กรุงเทพฯเกือบสัปดาห์เต็ม และเหตุรุนแรงทั้งลอบยิง ปาระเบิดเกิดขึ้นหลายจุด
แม้หลายฝ่ายจะเป็นห่วงว่าการเคลื่อนขบวนยึดพื้นที่บริเวณถนนสายสำคัญ7 จุดหลักทั่วกรุงเทพฯ ตามแผนชัตดาวน์กรุงเทพฯจะกระทบเศรษฐกิจในภาพรวม แต่ที่ผ่านมาเกือบสัปดาห์ปรากฏว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้รุนแรงเหมือนกับที่คาดการณ์และส่งผลทั้งด้านบวกและลบต่อหลายธุรกิจ
ผู้สื่อข่าว"ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจธุรกิจร้านค้าในพื้นที่ชุมนุมหลายจุด เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา พบว่าบริเวณห้าแยกลาดพร้าว หนึ่งในที่ตั้งเวทีชุมนุมของ กปปส. ร้านค้ารายย่อยโดยรอบรวมถึงศูนย์การค้าเซ็นทรัล ยังเปิดให้บริการตามปกติ ร้านอาหาร ฟ๊าสต์ฟู้ด ฯลฯ มีผู้เข้าไปใช้บริการจำนวนมาก ส่วนช่วงเย็นเป็นโอกาสของร้านค้าแผงลอยทั้งแฟชั่นและอาหารที่มีจำนวนมาก ตรงกันข้ามกับร้านค้าแฟชั่นในห้าง "เดอะวันพาร์ค" ที่อยู่ติดกันทราฟฟิกน้อยลง ทำให้ขายสินค้าได้น้อยลง
เซเว่นฯ สต๊อกเพิ่มเท่าตัว
แหล่งข่าวจากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นเปิดเผยว่า จากการสำรวจยอดขายร้านเซเว่นฯ รอบ ๆ พื้นที่ชุมนุมมีอยู่ราว 40-50 แห่ง พบว่ายอดขายโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเท่าตัว สินค้าที่ขายดีคือกลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เครื่องดื่มร้อน กาแฟกระป๋อง น้ำดื่ม ยากันยุง ทำให้ต้องบริหารจัดการสต๊อกให้เพียงพอกับความต้องการ โดยเพิ่มสินค้าอีกเท่าตัว การจัดส่งสินค้ายังไม่มีอุปสรรค เนื่องจากปรับเปลี่ยนเวลากระจายสินค้าเข้าร้านเป็นช่วงเวลาตี 3-ตี 4 จากปกติ 20.00-21.00 น.
รร.ยอดหด 30% ลุ้นตรุษจีนฟื้น
นายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ หรือ (RSTA) กล่าวว่า สมาคมได้สำรวจผลกระทบการชุมนุมทางการตลาดจากสมาชิก พบว่าธุรกิจที่เกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มยังมีการเติบโตตามปกติ โดยเฉพาะช่วง 2 วันแรกของการชุมนุมมีคนเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก แต่วันถัดมาลดลง 60% จากปกติ อัตราการเข้าพักในโรงแรมลดลง 30% จากปกติอยู่ที่ 80-85% ของห้องพักทั้งหมด 4,000 ห้อง แต่คาดหวังว่าอารมณ์จับจ่ายและกำลังซื้อจะฟื้นกลับมาช่วงตรุษจีน และหากสถานการณ์ยืดเยื้อก็เตรียมแผนงานรองรับแล้ว
จัดแคมเปญให้ส่วนลดกระตุ้น
ทั้งนี้ สมาคมและสมาชิกวางแผนจัดโปรโมชั่นกระตุ้นระยะสั้น อาทิ กลุ่มสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ให้ส่วนลดสูงสุด 80% กลุ่มอาหาร 30% โรงแรมห้องพัก 40% และให้กลุ่มร้านค้ารายย่อยนำสินค้า อาหารหรือเบเกอรี่มาขายด้านหน้าอาคารเพื่อเพิ่มโอกาสการขาย เตรียมแผนกลยุทธ์การตลาด ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาใช้บริการ สร้างบรรยากาศให้คึกคัก และเน้นให้ข้อมูลคนทั่วไปและนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับเส้นทางสัญจร มาตรฐานความปลอดภัย โดยได้ติดตั้งซีซีทีวีกว่า 1,000 จุดและเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็น1,700 คน จาก 1,400 คน
ด้านนายศิริชัย ประพันธ์ธุรกิจ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารอาคาร ศูนย์การค้าเดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ กล่าวว่า ยังเปิดให้บริการตามปกติ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับร้านค้าและลูกค้าที่มาใช้บริการ พบว่าลูกค้าที่มาเดินภายในศูนย์ลดลงจากเดิม 60% รถยนต์ที่มาจอดบนอาคารลดลง 90% ร้านค้าเปิดให้บริการเกือบ 100% หลายร้านค้าจึงปรับกลยุทธ์ขายทางออนไลน์มากขึ้น
ศูนย์จะยังมีการจัด The Platinum ChineseNew Year 2014 (22 ม.ค.-2 ก.พ.) ในช่วงเทศกาลตรุษจีนตามแผนที่วางไว้ส่วนอีเวนต์ที่มีผู้มาเช่าพื้นที่จัดกิจกรรมบางงานถูกเลื่อนไปบางส่วน
รร.ดัมพ์ค่าห้องพัก-อาหาร
นายรณชิตมหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโส ฝ่ายการเงินและบริหาร บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา เปิดเผยถึงแผนทำตลาดรับมือยอดจองห้องพักตกช่วงนี้ว่า ใช้กลยุทธ์ราคาช่วย โดยมีเรตราคาห้องพักดึงตลาดคนไทย ที่เซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ลดราคาจากปกติ 5,000 บาทขึ้นไป เหลือ 3,199 บาท/คืน เซ็นทารา แกรนด์ แอทเซ็นทรัล ลาดพร้าว ลดจาก 4,000 บาท เหลือ 2,899 บาท/คืน โปรโมชั่นอาหาร มา 4 คน จ่าย 2 คน เพื่อให้มีรายได้เป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปและเงินเดือนพนักงาน
ส่วนโรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่นใกล้พื้นที่ชุมนุมแจ้งวัฒนะ จัดโปรโมชั่นพิเศษShut Down Bangkok Promotion ด้วยห้องพัก Superior ราคาพิเศษ ห้องพักเดี่ยวและห้องพักคู่เพียง 1,800 บาทสุทธิ รวมอาหารเช้า 15-21 ม.ค.นี้ พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สยามสแควร์ ใกล้เวทีชุมนุมปทุมวันและราชประสงค์ โปรโมชั่นห้องพักราคาพิเศษสำหรับคนไทยเพียงคืนละ 2,200 บาท หรือ 1,500 บาทแบบไม่ค้างคืน พักได้ถึง 6 โมงเย็น ไม่รวมอาหารเช้า ถึง 30 ม.ค.นี้
ด้านนายชนินทธ์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า โรงแรมดุสิตธานีซึ่งตั้งอยู่ในจุดที่กลุ่ม กปปส.ชุมนุมเช่นกัน ขณะนี้ยอดเข้าพักหายไป 20-30% อัตราเข้าพักลดลงเหลือ 20% ส่วนใหญ่เป็นนักเดินทางเพื่อธุรกิจและตลาดไมซ์ที่ยังคอนเฟิร์มห้องเพื่อดีลธุรกิจ ส่วนเดือน ก.พ. ยอดจองห้องพักล่วงหน้าไม่ค่อยมีเข้ามา
ผู้นำเข้ารถอ่วมจดทะเบยนไม่ได้
ขณะที่นางสาวชลลธร ศรีรัตนประภาส กรรมการบริหาร บจ.เบนซ์ รามคำแหงกรุ๊ป หรือ BRG ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์อิสระเปิดเผยว่า สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อยอดขายและจำนวนรถยนต์ที่เข้ามาใช้บริการหลังการขายมาก ในส่วนของเซอร์วิสลูกค้าเข้ามาใช้บริการหายไปถึง 60% เนื่องจากโชว์รูมและศูนย์บริการของบริษัทอยู่ในพื้นที่การชุมนุมย่านรัชโยธิน-ห้าแยกลาดพร้าวด้วย ขณะที่โชว์รูมอื่น ๆ หายไป 40-50%
นอกจากนี้จากการที่ผู้ชุมนุมได้เข้าไปปิดหน่วยงานราชการ ทั้งกรมศุลกากรและกรมขนส่งทางบก ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจรถนำเข้า ทำให้ในส่วนของผู้นำเข้าไม่สามารถดำเนินการยื่นขอจดทะเบียนนำเข้ารถได้ ซึ่งถ้าเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็คงพอรับได้ แต่ถ้ายืดเยื้อไม่มีเจ้าหน้าที่ทำงานก็คงค้าขายลำบาก
เอสบีฯ งัดแคมเปญกระตุกยอด
เช่นเดียวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน โดยนางธัญญรักข์ ชวาลดิฐ กรรมการบริหารฝ่ายงานการตลาด กลุ่มบริษัทเอสบี เฟอร์นิเจอร์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่มีม็อบชุมนุมแยกราชประสงค์ ศูนย์เฟอร์นิเจอร์เอสบี ดีไซน์สแควร์ บนชั้น 5 เซ็นทรัลเวิลด์ มียอดขายและปริมาณลูกค้าลดลงจากปกติ 50% หากการชุมนุมยืดเยื้อ 1 เดือนขึ้นไปได้วางแผนรับมือ 2 ส่วน 1) แจ้งลูกค้าที่มีฐานรายชื่อให้ไปใช้บริการสาขาอื่นที่อยู่รอบนอก 2) เร่งจัดกิจกรรมกระตุ้นการขาย
หากการชุมนุมยืดเยื้อเกินกว่า 1-2 เดือน อาจทำให้ยอดขายปีนี้เติบโตไม่ถึง 10% หรือกว่า 6,600-7,000 ล้านบาทตามเป้าที่ตั้งไว้
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สำรวจผลกระทบชัตดาวน์กรุงเทพฯ ยกแรก 7 จุด ธุรกิจ-ร้านค้า มีทั้ง ส้มหล่น-รายได้หด ฟู้ดคอร์ตสบจังหวะปั๊มยอด เซเว่นฯ 50 สาขา ลูกค้าแห่เข้าเพิ่มเท่าตัว ส่วนแฟชั่นหงอย โรงแรมหั่นราคาเรียกลูกค้า ผู้ค้าราชประสงค์ฮึดอัดแคมเปญกระตุ้น
ระวังภัย - ทหารหลายหน่วยส่งกำลังพลเสริมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อรักษาความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน หลังกลุ่ม กปปส.ชัตดาวน์กรุงเทพฯเกือบสัปดาห์เต็ม และเหตุรุนแรงทั้งลอบยิง ปาระเบิดเกิดขึ้นหลายจุด
แม้หลายฝ่ายจะเป็นห่วงว่าการเคลื่อนขบวนยึดพื้นที่บริเวณถนนสายสำคัญ7 จุดหลักทั่วกรุงเทพฯ ตามแผนชัตดาวน์กรุงเทพฯจะกระทบเศรษฐกิจในภาพรวม แต่ที่ผ่านมาเกือบสัปดาห์ปรากฏว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้รุนแรงเหมือนกับที่คาดการณ์และส่งผลทั้งด้านบวกและลบต่อหลายธุรกิจ
ผู้สื่อข่าว"ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจธุรกิจร้านค้าในพื้นที่ชุมนุมหลายจุด เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา พบว่าบริเวณห้าแยกลาดพร้าว หนึ่งในที่ตั้งเวทีชุมนุมของ กปปส. ร้านค้ารายย่อยโดยรอบรวมถึงศูนย์การค้าเซ็นทรัล ยังเปิดให้บริการตามปกติ ร้านอาหาร ฟ๊าสต์ฟู้ด ฯลฯ มีผู้เข้าไปใช้บริการจำนวนมาก ส่วนช่วงเย็นเป็นโอกาสของร้านค้าแผงลอยทั้งแฟชั่นและอาหารที่มีจำนวนมาก ตรงกันข้ามกับร้านค้าแฟชั่นในห้าง "เดอะวันพาร์ค" ที่อยู่ติดกันทราฟฟิกน้อยลง ทำให้ขายสินค้าได้น้อยลง
เซเว่นฯ สต๊อกเพิ่มเท่าตัว
แหล่งข่าวจากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นเปิดเผยว่า จากการสำรวจยอดขายร้านเซเว่นฯ รอบ ๆ พื้นที่ชุมนุมมีอยู่ราว 40-50 แห่ง พบว่ายอดขายโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเท่าตัว สินค้าที่ขายดีคือกลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เครื่องดื่มร้อน กาแฟกระป๋อง น้ำดื่ม ยากันยุง ทำให้ต้องบริหารจัดการสต๊อกให้เพียงพอกับความต้องการ โดยเพิ่มสินค้าอีกเท่าตัว การจัดส่งสินค้ายังไม่มีอุปสรรค เนื่องจากปรับเปลี่ยนเวลากระจายสินค้าเข้าร้านเป็นช่วงเวลาตี 3-ตี 4 จากปกติ 20.00-21.00 น.
รร.ยอดหด 30% ลุ้นตรุษจีนฟื้น
นายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ หรือ (RSTA) กล่าวว่า สมาคมได้สำรวจผลกระทบการชุมนุมทางการตลาดจากสมาชิก พบว่าธุรกิจที่เกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มยังมีการเติบโตตามปกติ โดยเฉพาะช่วง 2 วันแรกของการชุมนุมมีคนเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก แต่วันถัดมาลดลง 60% จากปกติ อัตราการเข้าพักในโรงแรมลดลง 30% จากปกติอยู่ที่ 80-85% ของห้องพักทั้งหมด 4,000 ห้อง แต่คาดหวังว่าอารมณ์จับจ่ายและกำลังซื้อจะฟื้นกลับมาช่วงตรุษจีน และหากสถานการณ์ยืดเยื้อก็เตรียมแผนงานรองรับแล้ว
จัดแคมเปญให้ส่วนลดกระตุ้น
ทั้งนี้ สมาคมและสมาชิกวางแผนจัดโปรโมชั่นกระตุ้นระยะสั้น อาทิ กลุ่มสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ให้ส่วนลดสูงสุด 80% กลุ่มอาหาร 30% โรงแรมห้องพัก 40% และให้กลุ่มร้านค้ารายย่อยนำสินค้า อาหารหรือเบเกอรี่มาขายด้านหน้าอาคารเพื่อเพิ่มโอกาสการขาย เตรียมแผนกลยุทธ์การตลาด ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาใช้บริการ สร้างบรรยากาศให้คึกคัก และเน้นให้ข้อมูลคนทั่วไปและนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับเส้นทางสัญจร มาตรฐานความปลอดภัย โดยได้ติดตั้งซีซีทีวีกว่า 1,000 จุดและเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็น1,700 คน จาก 1,400 คน
ด้านนายศิริชัย ประพันธ์ธุรกิจ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารอาคาร ศูนย์การค้าเดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ กล่าวว่า ยังเปิดให้บริการตามปกติ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับร้านค้าและลูกค้าที่มาใช้บริการ พบว่าลูกค้าที่มาเดินภายในศูนย์ลดลงจากเดิม 60% รถยนต์ที่มาจอดบนอาคารลดลง 90% ร้านค้าเปิดให้บริการเกือบ 100% หลายร้านค้าจึงปรับกลยุทธ์ขายทางออนไลน์มากขึ้น
ศูนย์จะยังมีการจัด The Platinum ChineseNew Year 2014 (22 ม.ค.-2 ก.พ.) ในช่วงเทศกาลตรุษจีนตามแผนที่วางไว้ส่วนอีเวนต์ที่มีผู้มาเช่าพื้นที่จัดกิจกรรมบางงานถูกเลื่อนไปบางส่วน
รร.ดัมพ์ค่าห้องพัก-อาหาร
นายรณชิตมหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโส ฝ่ายการเงินและบริหาร บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา เปิดเผยถึงแผนทำตลาดรับมือยอดจองห้องพักตกช่วงนี้ว่า ใช้กลยุทธ์ราคาช่วย โดยมีเรตราคาห้องพักดึงตลาดคนไทย ที่เซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ลดราคาจากปกติ 5,000 บาทขึ้นไป เหลือ 3,199 บาท/คืน เซ็นทารา แกรนด์ แอทเซ็นทรัล ลาดพร้าว ลดจาก 4,000 บาท เหลือ 2,899 บาท/คืน โปรโมชั่นอาหาร มา 4 คน จ่าย 2 คน เพื่อให้มีรายได้เป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปและเงินเดือนพนักงาน
ส่วนโรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่นใกล้พื้นที่ชุมนุมแจ้งวัฒนะ จัดโปรโมชั่นพิเศษShut Down Bangkok Promotion ด้วยห้องพัก Superior ราคาพิเศษ ห้องพักเดี่ยวและห้องพักคู่เพียง 1,800 บาทสุทธิ รวมอาหารเช้า 15-21 ม.ค.นี้ พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สยามสแควร์ ใกล้เวทีชุมนุมปทุมวันและราชประสงค์ โปรโมชั่นห้องพักราคาพิเศษสำหรับคนไทยเพียงคืนละ 2,200 บาท หรือ 1,500 บาทแบบไม่ค้างคืน พักได้ถึง 6 โมงเย็น ไม่รวมอาหารเช้า ถึง 30 ม.ค.นี้
ด้านนายชนินทธ์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า โรงแรมดุสิตธานีซึ่งตั้งอยู่ในจุดที่กลุ่ม กปปส.ชุมนุมเช่นกัน ขณะนี้ยอดเข้าพักหายไป 20-30% อัตราเข้าพักลดลงเหลือ 20% ส่วนใหญ่เป็นนักเดินทางเพื่อธุรกิจและตลาดไมซ์ที่ยังคอนเฟิร์มห้องเพื่อดีลธุรกิจ ส่วนเดือน ก.พ. ยอดจองห้องพักล่วงหน้าไม่ค่อยมีเข้ามา
ผู้นำเข้ารถอ่วมจดทะเบยนไม่ได้
ขณะที่นางสาวชลลธร ศรีรัตนประภาส กรรมการบริหาร บจ.เบนซ์ รามคำแหงกรุ๊ป หรือ BRG ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์อิสระเปิดเผยว่า สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อยอดขายและจำนวนรถยนต์ที่เข้ามาใช้บริการหลังการขายมาก ในส่วนของเซอร์วิสลูกค้าเข้ามาใช้บริการหายไปถึง 60% เนื่องจากโชว์รูมและศูนย์บริการของบริษัทอยู่ในพื้นที่การชุมนุมย่านรัชโยธิน-ห้าแยกลาดพร้าวด้วย ขณะที่โชว์รูมอื่น ๆ หายไป 40-50%
นอกจากนี้จากการที่ผู้ชุมนุมได้เข้าไปปิดหน่วยงานราชการ ทั้งกรมศุลกากรและกรมขนส่งทางบก ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจรถนำเข้า ทำให้ในส่วนของผู้นำเข้าไม่สามารถดำเนินการยื่นขอจดทะเบียนนำเข้ารถได้ ซึ่งถ้าเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็คงพอรับได้ แต่ถ้ายืดเยื้อไม่มีเจ้าหน้าที่ทำงานก็คงค้าขายลำบาก
เอสบีฯ งัดแคมเปญกระตุกยอด
เช่นเดียวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน โดยนางธัญญรักข์ ชวาลดิฐ กรรมการบริหารฝ่ายงานการตลาด กลุ่มบริษัทเอสบี เฟอร์นิเจอร์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่มีม็อบชุมนุมแยกราชประสงค์ ศูนย์เฟอร์นิเจอร์เอสบี ดีไซน์สแควร์ บนชั้น 5 เซ็นทรัลเวิลด์ มียอดขายและปริมาณลูกค้าลดลงจากปกติ 50% หากการชุมนุมยืดเยื้อ 1 เดือนขึ้นไปได้วางแผนรับมือ 2 ส่วน 1) แจ้งลูกค้าที่มีฐานรายชื่อให้ไปใช้บริการสาขาอื่นที่อยู่รอบนอก 2) เร่งจัดกิจกรรมกระตุ้นการขาย
หากการชุมนุมยืดเยื้อเกินกว่า 1-2 เดือน อาจทำให้ยอดขายปีนี้เติบโตไม่ถึง 10% หรือกว่า 6,600-7,000 ล้านบาทตามเป้าที่ตั้งไว้
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4822
updated: 20 ม.ค. 2557 เวลา 15:46:05 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ประมูล รถไฟฟ้าสายสีเขียวฝุ่นตลบ 31 รับเหมาไทย-เทศ รุมทึ้งเค้ก 2.6 หมื่นล้าน เมกะโปรเจ็กต์เดียวแห่งปี หลังโครงการ 2 ล้านล้านชะลอ รฟม.เปิดยื่นซอง 11 เม.ย.นี้ ชี้ 4 บิ๊กแบรนด์เต็ง "ITD-ช.การช่าง-ซิโน-ไทยฯ-ยูนิคฯ" ส่วนบีทีเอสเล็งกินรวบงานเดินรถไฟฟ้า
นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ผลการซื้อซองประมูลงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 18.2 กิโลเมตร จำนวน 4 สัญญา วงเงิน 26,642 ล้านบาท มีผู้รับเหมาไทยและต่างชาติให้ความสนใจทั้งสิ้น 31 บริษัท แยกเป็นบริษัทไทย 14 บริษัท และต่างชาติ 17 บริษัท จากประเทศจีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฝรั่งเศส และมาเลเซีย
รับเหมาไทย-เทศแห่ชิงเค้ก
ขั้น ตอนต่อจากนี้ ในวันที่ 11 เมษายนนี้ รฟม.จะเปิดให้ยื่นซองประมูล จากนั้นจะลงนามสัญญาก่อสร้างภายในเดือนตุลาคม 2557 และเริ่มก่อสร้างได้เดือนพฤศจิกายน 2557 นี้ ใช้เวลก่อสร้าง 1,350 วัน หรือประมาณ 4 ปี ตามแผนงานจะสร้างเสร็จพร้อมเปิดให้บริการกลางปี 2561
"รับเหมาไทยและต่างชาติให้ความสนใจเยอะ เพราะเขาหวังตั้งแต่โครงการ 2 ล้านล้านแล้ว เมื่อมีโครงการใหญ่เหลือโครงการเดียว จึงให้ความสนใจกันมาก"
นาย ยงสิทธิ์กล่าวว่า สำหรับทั้ง 4 สัญญา แยกเป็น 1.งานโยธา ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ระยะทาง 11.4 กิโลเมตร และสถานี 12 สถานี วงเงิน 14,201 ล้านบาท มีซื้อแบบ 17 ราย 2.งานโยธา ช่วงสะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 6.8 กิโลเมตร และสถานี 4 สถานี วงเงิน 6,125 ล้านบาท มีซื้อแบบ 21 ราย 3.งานศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดแล้วจร 2 แห่ง วงเงิน 3,708 ล้านบาท ซื้อแบบ 23 ราย และ 4.งานวางระบบราง 2,608 ล้านบาท ซื้อแบบ 21 ราย
โดย บริษัทซื้อทั้ง 4 สัญญา มี 10 บริษัท ได้แก่ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น, บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น, บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์, บมจ.ช.การช่าง, บจ.ไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ทรี เอ็นจิเนียริ่งกรุ๊ป, บจ.ชิโนไฮโดร, บมจ.เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง, บจ.กรุงธนเอนยิเนียร์, บ.ไชน่าเรลเวย์ 23 โบโรลกรุ๊ป, บจ.ไชน่าเรลเวย์ คอนสตรัคชั่น และ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอสซี)
ชี้งานประมูลมีน้อย
นาย อังสุรัสมิ์ อารีกุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ.เอส. แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้งานประมูลโครงการของรัฐบาลมีออกมาน้อยมาก เหลือรถไฟฟ้าสายสีเขียวสายเดียวเป็นโครงการใหญ่ และเปิดประมูลเป็นโครงการแรกในปีนี้ จึงทำให้ผู้รับเหมาเข้าไปซื้อซองประมูลกันมาก จะทำให้เกิดการแข่งขันสูง ดูได้จากการกำหนดทีโออาร์ที่เปิดกว้างมาก ทำให้ทั้งรับเหมาไทยและต่างชาติมีสิทธิเข้าร่วมได้ทุกราย
ในส่วนของ บริษัท สนใจยื่นประมูลงานสัญญา 3 เป็นงานอาคารศูนย์ซ่อมบำรุง และสัญญาที่ 4 งานวางราง เพราะมีประสบการณ์จากรถไฟฟ้าบีทีเอสสายตากสิน-บางหว้ามาอยู่แล้ว
วงในชี้ 4 บิ๊กเนมมีลุ้น
ด้าน แหล่งข่าวจากวงการรับเหมาก่อสร้างเปิดเผยว่า ตอนนี้ทุกคนที่ซื้อซองประมูล ยังไม่มีความเคลื่อนไหวว่าจะจับมือกับใครบ้าง ทุกคนยังปิดตัวกันเงียบ และแม้จะมีต่างชาติมาซื้อซองจำนวนมาก แต่ตอนนี้อำนาจต่อรองอยู่ที่ผู้รับเหมาไทย เพราะยังไงต่างชาติจะต้องมาร่วมกับผู้รับเหมาไทยยื่นประมูล โครงการ นี้เป็นงานใหญ่ชิ้นเดียวของประเทศตอนนี้ ทุกคนอยากจะได้งาน ทำให้รับเหมารายใหญ่และรายกลางเข้ามาซื้อซองกันมาก ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ทิพากร บริษัท กรุงธนฯ บริษัท คริสเตรียนี บริษัท รวมนครก่อสร้างฯ
อย่าง ไรก็ตาม มีแนวโน้มจะมีรับผู้เหมาไทยที่เป็นรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯจะได้งานไป ไม่ว่าจะเป็น บมจ.ซิโน-ไทยฯ บมจ.ยูนิคฯ บมจ.อิตาเลียนไทย บมจ.ช.การช่าง ที่ต้องรอดูต่อไปคือจะมีบริษัทจากต่างประเทศใครบ้างที่จะมาจับมือจอยต์เวน เจอร์ด้วย
ขณะที่นายสุระพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี กล่าวว่า บริษัทซื้อเอกสารทั้ง 4 สัญญามาศึกษาแบบรายละเอียดก่อสร้าง เนื่องจากสนใจจะยื่นประมูลงานเดินรถไฟฟ้าสายนี้ในอนาคต เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางจากรถไฟฟ้าบีทีเอสสายเดิม จากสถานีหมอชิต และเตรียมเงินลงทุนไว้เรียบร้อยแล้ว
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ประมูล รถไฟฟ้าสายสีเขียวฝุ่นตลบ 31 รับเหมาไทย-เทศ รุมทึ้งเค้ก 2.6 หมื่นล้าน เมกะโปรเจ็กต์เดียวแห่งปี หลังโครงการ 2 ล้านล้านชะลอ รฟม.เปิดยื่นซอง 11 เม.ย.นี้ ชี้ 4 บิ๊กแบรนด์เต็ง "ITD-ช.การช่าง-ซิโน-ไทยฯ-ยูนิคฯ" ส่วนบีทีเอสเล็งกินรวบงานเดินรถไฟฟ้า
นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ผลการซื้อซองประมูลงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 18.2 กิโลเมตร จำนวน 4 สัญญา วงเงิน 26,642 ล้านบาท มีผู้รับเหมาไทยและต่างชาติให้ความสนใจทั้งสิ้น 31 บริษัท แยกเป็นบริษัทไทย 14 บริษัท และต่างชาติ 17 บริษัท จากประเทศจีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฝรั่งเศส และมาเลเซีย
รับเหมาไทย-เทศแห่ชิงเค้ก
ขั้น ตอนต่อจากนี้ ในวันที่ 11 เมษายนนี้ รฟม.จะเปิดให้ยื่นซองประมูล จากนั้นจะลงนามสัญญาก่อสร้างภายในเดือนตุลาคม 2557 และเริ่มก่อสร้างได้เดือนพฤศจิกายน 2557 นี้ ใช้เวลก่อสร้าง 1,350 วัน หรือประมาณ 4 ปี ตามแผนงานจะสร้างเสร็จพร้อมเปิดให้บริการกลางปี 2561
"รับเหมาไทยและต่างชาติให้ความสนใจเยอะ เพราะเขาหวังตั้งแต่โครงการ 2 ล้านล้านแล้ว เมื่อมีโครงการใหญ่เหลือโครงการเดียว จึงให้ความสนใจกันมาก"
นาย ยงสิทธิ์กล่าวว่า สำหรับทั้ง 4 สัญญา แยกเป็น 1.งานโยธา ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ระยะทาง 11.4 กิโลเมตร และสถานี 12 สถานี วงเงิน 14,201 ล้านบาท มีซื้อแบบ 17 ราย 2.งานโยธา ช่วงสะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 6.8 กิโลเมตร และสถานี 4 สถานี วงเงิน 6,125 ล้านบาท มีซื้อแบบ 21 ราย 3.งานศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดแล้วจร 2 แห่ง วงเงิน 3,708 ล้านบาท ซื้อแบบ 23 ราย และ 4.งานวางระบบราง 2,608 ล้านบาท ซื้อแบบ 21 ราย
โดย บริษัทซื้อทั้ง 4 สัญญา มี 10 บริษัท ได้แก่ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น, บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น, บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์, บมจ.ช.การช่าง, บจ.ไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ทรี เอ็นจิเนียริ่งกรุ๊ป, บจ.ชิโนไฮโดร, บมจ.เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง, บจ.กรุงธนเอนยิเนียร์, บ.ไชน่าเรลเวย์ 23 โบโรลกรุ๊ป, บจ.ไชน่าเรลเวย์ คอนสตรัคชั่น และ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอสซี)
ชี้งานประมูลมีน้อย
นาย อังสุรัสมิ์ อารีกุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ.เอส. แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้งานประมูลโครงการของรัฐบาลมีออกมาน้อยมาก เหลือรถไฟฟ้าสายสีเขียวสายเดียวเป็นโครงการใหญ่ และเปิดประมูลเป็นโครงการแรกในปีนี้ จึงทำให้ผู้รับเหมาเข้าไปซื้อซองประมูลกันมาก จะทำให้เกิดการแข่งขันสูง ดูได้จากการกำหนดทีโออาร์ที่เปิดกว้างมาก ทำให้ทั้งรับเหมาไทยและต่างชาติมีสิทธิเข้าร่วมได้ทุกราย
ในส่วนของ บริษัท สนใจยื่นประมูลงานสัญญา 3 เป็นงานอาคารศูนย์ซ่อมบำรุง และสัญญาที่ 4 งานวางราง เพราะมีประสบการณ์จากรถไฟฟ้าบีทีเอสสายตากสิน-บางหว้ามาอยู่แล้ว
วงในชี้ 4 บิ๊กเนมมีลุ้น
ด้าน แหล่งข่าวจากวงการรับเหมาก่อสร้างเปิดเผยว่า ตอนนี้ทุกคนที่ซื้อซองประมูล ยังไม่มีความเคลื่อนไหวว่าจะจับมือกับใครบ้าง ทุกคนยังปิดตัวกันเงียบ และแม้จะมีต่างชาติมาซื้อซองจำนวนมาก แต่ตอนนี้อำนาจต่อรองอยู่ที่ผู้รับเหมาไทย เพราะยังไงต่างชาติจะต้องมาร่วมกับผู้รับเหมาไทยยื่นประมูล โครงการ นี้เป็นงานใหญ่ชิ้นเดียวของประเทศตอนนี้ ทุกคนอยากจะได้งาน ทำให้รับเหมารายใหญ่และรายกลางเข้ามาซื้อซองกันมาก ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ทิพากร บริษัท กรุงธนฯ บริษัท คริสเตรียนี บริษัท รวมนครก่อสร้างฯ
อย่าง ไรก็ตาม มีแนวโน้มจะมีรับผู้เหมาไทยที่เป็นรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯจะได้งานไป ไม่ว่าจะเป็น บมจ.ซิโน-ไทยฯ บมจ.ยูนิคฯ บมจ.อิตาเลียนไทย บมจ.ช.การช่าง ที่ต้องรอดูต่อไปคือจะมีบริษัทจากต่างประเทศใครบ้างที่จะมาจับมือจอยต์เวน เจอร์ด้วย
ขณะที่นายสุระพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี กล่าวว่า บริษัทซื้อเอกสารทั้ง 4 สัญญามาศึกษาแบบรายละเอียดก่อสร้าง เนื่องจากสนใจจะยื่นประมูลงานเดินรถไฟฟ้าสายนี้ในอนาคต เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางจากรถไฟฟ้าบีทีเอสสายเดิม จากสถานีหมอชิต และเตรียมเงินลงทุนไว้เรียบร้อยแล้ว
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4823
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4824
จบ trip ไปแบบประทับใจมากค่ะ...รู้สึกว่าอากาศหนาวจะตามพี่หมอมุขมาด้วยนะคะPaul VI เขียน:ต่อเรื่องเที่ยว ทริปปีใหม่ให้เสร็จครับ
สู้ๆ นะคะ...นุชรอติดตามหนังสือของพี่หมอมุขอยู่ด้วยค่ะPaul VI เขียน:เพราะหลังจากเดือนนี้ไป ผมจะยิ่งยุ่งขึ้นทวีคูณ
มีภารกิจเพียบเลย![]()

มีการวิเคราะห์เรื่อง competitive advantage ตลอดเวลาPaul VI เขียน:ไร่กำนัลจุล มีหลายสาขามาก ขากลับกรุงเทพ จะเป็นสาขา 2
คนเยอะมาก น่าจะนับเงินกันไม่ไหวเลยทีเดียว น่าจะเอามาเข้าตลาด MAI นะครับ ดูแล้วมีหลายสาขามาก
จุดเด่นและของฝากหลักๆเค้าคือ product of Mulberry ซึ่งคู่แข่งน้อยนะผมว่า
อืม...หรือนี่คือหนึ่งในหัวใจของการประสพความสำเร็จ...กลืนเข้ากับวิถีชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ

ขอบคุณค่ะ...รอติดตามทุก trip ค่ะ...Paul VI เขียน:เอาไว้เจอทริปหน้า สงกรานต์ ว่าจะเป็นที่ไหนกันต่อไปครับ

- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4825
อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นมากเลยครับ หลังจากที่ได้อ่านโพสต์ของคุณนุชtheenuch เขียน:จบ trip ไปแบบประทับใจมากค่ะ...รู้สึกว่าอากาศหนาวจะตามพี่หมอมุขมาด้วยนะคะPaul VI เขียน:ต่อเรื่องเที่ยว ทริปปีใหม่ให้เสร็จครับ
สู้ๆ นะคะ...นุชรอติดตามหนังสือของพี่หมอมุขอยู่ด้วยค่ะPaul VI เขียน:เพราะหลังจากเดือนนี้ไป ผมจะยิ่งยุ่งขึ้นทวีคูณ
มีภารกิจเพียบเลย![]()
![]()
มีการวิเคราะห์เรื่อง competitive advantage ตลอดเวลาPaul VI เขียน:ไร่กำนัลจุล มีหลายสาขามาก ขากลับกรุงเทพ จะเป็นสาขา 2
คนเยอะมาก น่าจะนับเงินกันไม่ไหวเลยทีเดียว น่าจะเอามาเข้าตลาด MAI นะครับ ดูแล้วมีหลายสาขามาก
จุดเด่นและของฝากหลักๆเค้าคือ product of Mulberry ซึ่งคู่แข่งน้อยนะผมว่า
อืม...หรือนี่คือหนึ่งในหัวใจของการประสพความสำเร็จ...กลืนเข้ากับวิถีชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ![]()
ขอบคุณค่ะ...รอติดตามทุก trip ค่ะ...Paul VI เขียน:เอาไว้เจอทริปหน้า สงกรานต์ ว่าจะเป็นที่ไหนกันต่อไปครับ

หนังสือ น่าจะเดือนหน้าครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับ บก. แล้วครับ อีกอย่างพยายามทำออกมาให้ดูดีที่สุดครับ และเอาไปใช้ได้ตลอดการลงทุนระยะยาวๆเลยครับ
เดือนหน้าผมจะมีอบรมความรู้ส่วนตัวด้วยครับ แถมลุ้นยาวเรื่องเตรียมสอบของลูกสาวด้วยครับ
สนุกดีครับ ชีวิต

- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4826
สุดยอดเรื่องราวที่หมอมุขคัดมาไม่ผิดหวังจริง ๆ สุดยอดครับPaul VI เขียน:อ่านแล้วดีมากครับ เลยเอามาฝาก
เรื่องาาวของคนสู้ชีวิตจริงๆครับ![]()
http://pantip.com/topic/31546057
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4827
Nevercry.boy เขียน:สุดยอดเรื่องราวที่หมอมุขคัดมาไม่ผิดหวังจริง ๆ สุดยอดครับPaul VI เขียน:อ่านแล้วดีมากครับ เลยเอามาฝาก
เรื่องาาวของคนสู้ชีวิตจริงๆครับ![]()
http://pantip.com/topic/31546057
ผมนึกถึงเพลงนี้ครับ
ชีวิตลิขิตเอง
ชีวิตแต่ละคนมีลงมีขึ้นสลับกันไป
ชีวิตช่วงเด็กๆ ผมก็ลำบากพอควรครับ รู้แต่ว่าเราต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ ท่องกับตัวเองทุกวันตั้งแต่เด็กแล้วครับ ล้มแล้วลุกขึ้นทุกครั้ง มองชีวิตไปข้างหน้า ลิขิตชีวิตตัวเองครับ
เล่าแล้วยาวครับ
มอบเพลงนี้ให้พวกเราทุกคนที่ต้องการ ชีวิตที่ลิขิตเอง ครับ
[youtube]vQiQn1leuA8[/youtube]
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4828
สรุปว่ามติศาลรธน.8-0 เสียงออกพรฎ.ใหม่เลื่อนเลือกตั้ง และมีมติ 7-1 ให้นายกฯ หารือกับกกต.เลื่อนเลือกตั้งร่วมกัน
ที่เหลือก็มาคิดกันต่อไป ว่าหุ้นจะเดินไปยังไง
แต่พื้นฐานกิจการแต่ละที่ ก็คงว่าไปตามผลกระทบในระยะปานกลางถึงยาวครับ
ที่เหลือก็มาคิดกันต่อไป ว่าหุ้นจะเดินไปยังไง
แต่พื้นฐานกิจการแต่ละที่ ก็คงว่าไปตามผลกระทบในระยะปานกลางถึงยาวครับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4829
ข้อความและความในใจที่อยากจะสื่อถึงสมาชิกชาว ThaiVI ของท่านนายกโจ ของพวกเราล่ะครับ
อ่านแล้วสรุปได้ใจความและเป็นสัจธรรมมากๆครับ
นับถือความคิดจริงๆครับ
อ่านแล้วสรุปได้ใจความและเป็นสัจธรรมมากๆครับ
นับถือความคิดจริงๆครับ



ขอพื้นที่เล็กๆตรงนี้ กราบสวัสดีปีใหม่ 2557 พี่ๆ น้องๆ สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า ทุกท่าน กราบสวัสดีอาจารย์ ดร.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ พี่ปรัชญา พี่ครรชิต ลุงขวด เฮียคลายเครียด พี่หมอ jfk พี่กะละมัง พี่พี พี่วัฒน์ พี่หลิน พี่หนิง พี่หมอสามัญชน พี่พรรณ พี่ไก่ พี่มน พี่บู พี่วิบูลย์ พี่นัน พี่ตี้ พี่จรัญ หมอหนึ่ง พี่เวป พี่ฉัตร พี่มุข พี่คนขายของ พีเจ๋ง พี่นริศ พี่พอใจ ขอคุณพระศรีรัตนตรัย คุ้มครองให้ทุกท่านปลอดภัย ปลอดโรคเบียดเบียน พอร์ตโตเฟื่องฟูลอย เหมือนดั่งที่ตั้งใจครับ![]()
ปี 2556 ผ่านไปอีกปี คนมองโลกแง่ร้าย มักบอกตัวเองว่าแก่ขึ้นอีกหนึ่งปี คนมองแง่ดีแบบผม บอกว่าเราโชคดี ได้อยู่รอดปลอดภัยบนโลกใบนี้ ได้พบเจอสิ่งดีๆ มีประสบการณ์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปี สภาพตลาดหุ้นปีที่ผ่านมาเป็นแบบ “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปเป็นบ้องกัญชา” ครึ่งปีแรกดัชนีไต่สูงขึ้นต่อเนื่องจากปีที่แล้วพร้อมกับข่าวดีที่โถมทะลักเข้ามา นักลงทุนทุกคนกำไรมากบ้างน้อยบ้าง งานสัมมนาหุ้นผู้คนล้นห้อง หนังสือหุ้นติดชาร์ทซีเอ็ด หนุ่มๆสาวๆใผ่ฝันหาอิสรภาพทางการเงิน แต่โลกนี้ยุติธรรม เข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง ข่าวร้ายก็ทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ สิ้นปีดัชนีที่รวมเงินปันผล(3.23%) ให้ผลตอบแทนสุทธิ -3.47% ติดลบครั้งแรกตั้งแต่วิกฤติซับพลามปี 2551 จากสิ้นปี2555 ดัชนีอยู่ที่ 1391.93 จุด ระหว่างปีทำจุดสูงสุดประมาณ 1650 ต่ำสุดประมาณ 1260 และปิดปลายปีที่ 1298.71 จุด
ผลตอบแทนส่วนตัวก็ยังน่าพอใจ เหมือนทุกๆปี แม้ลดลงจากปีก่อนๆมาก ที่จริงผลตอบแทนหลายปีก่อนๆอาจจะดีเกินไป ตอนนี้กลับสู่ความเป็นจริง >> regression to the mean กลยุทธ์การลงทุนส่วนตัวยังกระจายความเสี่ยงถือหุ้นประมาณ 20 ตัว ไม่ใช้อินไซด์ ไม่กู้เงินมาลงทุน หรือกู้แต่มีเงินสดค้ำประกันทั้งจำนวน ถือหุ้น 90-100% เหมือนที่เคยทำ เน้นการลงทุนในหุ้นคุณภาพดี ราคาถูก ไม่ซื้อหุ้นดี พีอีสูง ดังคำพูดที่ว่า “ แสวงหาการลงทุนที่ดี มิใช่แสวงหาหุ้นคุณภาพดีๆ” พยายามมองหาโอกาสจากการมองสั้นๆของตลาด เข้าซื้อหุ้นที่ประสบปัญหาชั่วคราวที่จะแก้ไขได้ในเวลาไม่นาน ราคาที่ลดลงมาก เป็นโอกาสสำหรับคนที่มองยาวกว่า วิธีนี้ซื้อหุ้นแบบนี้ใช้ได้ผลดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ทุกๆปีก็ยังมีข้อผิดพลาดที่ต้องแก้ไขบ้าง บางคนพูดว่า “ความผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของความสำเร็จ” นี่น่าจะจริง สิ่งทิ่ผิดพลาดในปีที่แล้วคือซื้อหุ้นบางตัว ในเวลาที่ตัวเลขอะไรๆดูดีเกินจริง ซึ่งสุดท้ายมันก็ไม่ยั่งยืน โดยคาดหวังว่าจะขายได้ทันก่อนที่มันจะกลับไปแย่ คิดได้แต่ทำไม่ทันหรือการไม่ยอมแพ้ในหุ้นบางตัวที่เราคิดผิด แต่มิจฉาทิฐิ เป็นอคติบังตาให้เราถัวสู้ สุดท้ายความเสียหายลุกลามเพิ่มขึ้น แต่ข้อดีก็ยังพอมีบ้าง หุ้นบางตัวเราคิดผิด ยอมแพ้แต่เนิ่นๆ ขาดทุนเล็กน้อย ดีกว่าเสียหายหนักหรือเสียโอกาส การไม่ยอมจำนนโดยไปซื้อกิจการที่พีอีสูงๆ กิจการที่สิ่งดีๆถูกสะท้อนเข้าไปในราคาหมดแล้ว ทำให้หลีกเลี่ยงการขาดทุนหนักๆในปีที่ผ่านมาได้
ระยะเวลาการลงทุนในตลาดหุ้นตลอด 14 ปีที่ผ่านมา พอจะเข้าใจบ้างแล้วว่า ไม่มีแนวทางการลงทุนแบบใดๆที่ทำได้ดี ทุกครั้ง ทุกช่วงเวลา แม้กระทั่งแนวทางแบบวีไอ แต่จากที่เห็นและที่พิสูจน์ด้วยตัวเองยังเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่า ในระยะยาวที่ผ่านทั้งช่วงดีและร้าย หลักการลงทุนแบบวีไอจะยังเป็นแนวทางการลงทุนที่ดีที่สุด สามารถสร้างความมั่งคั่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ สร้างคุณภาพชีวิต รักษาสมดุลของสภาพจิตใจ โดยแทบไม่มีข้อจำกัดของอายุนักลงทุนหรือขนาดพอร์ตการลงทุน… บนเส้นทางการลงทุน ซึ่งขอเรียกเท่ห์ๆว่า เส้นทางเกียรติยศ เส้นนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่ถึงจุดหมาย คนที่ทำได้ ต้องทนในสิ่งที่คนอื่นทนไม่ได้ ต้องทำในสิ่งที่คนอื่นทำได้ยาก นี่เป็นหน้าที่ของเราที่จะทำอย่างเต็มใจ (วันแรกของปี2557 ที่เขียนบทความนี้หุ้นตก 5.23%) ยิ่งหุ้นตกเท่าไหร่ ความเสี่ยงในมุมมองของนักลงทุนวีไอ ย่อมลดลงเท่านั้น ดังนั้นเวลาหุ้นตก อย่าทำหงอย แต่ควรกระตือรือร้นศึกษาบริษัทให้มากขึ้น มองหาโอกาสที่ตลาดมีความผิดพลาดระหว่าง "ราคา" กับ "มูลค่า" มากที่สุด ฉกฉวยโอกาสนั้น ในเวลาที่คนอื่นแห่ขายหนีตาย การชนะคนอื่นนั้น เราควรชนะใจตัวเองก่อน การเรียนรู้เท่าทันอารมณ์ การมองความเสี่ยงก่อนเสมอ การไม่หวังผลเลิศเกินไป การแยกตัวออกจากฝูงชน ควรระลึกเสมอว่า อะไรที่มันดูดี มักดีเกินจริง แต่อะไรที่มันดูแย่ ทุกคนหมางเมิน มักจะมีสิ่งดีๆรออยู่เช่นกัน
สิ่งดีๆอีกอย่างในปีที่ผ่านมาคือได้ร่วมงานแสดงมุฑิตาจิตครบ 60 ปี ของท่านอาจารย์ดร.นิเวศน์ ซึ่งสำหรับผมและอีกหลายๆคน คงไม่ได้พูดเกินจริง ที่จะพูดว่า “มีวันนี้เพราะอาจารย์ให้” ขอขอบพระคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับจากอาจารย์ครับ และในปีนี้เองท่านดร.นิเวศน์ได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 99 นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ในหนังสือที่ชื่อว่า The World’s 99 Greatest Investors-The Secret of Success. สำหรับชีวิตนักลงทุน การเลือกอาจารย์ให้ถูกคน เปรียบเสมือนการเริ่มต้นได้ครึ่งทางแล้ว ขอยืนยันอีกเสียงว่านี่เป็นความจริง !!
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
โพสต์ที่ 4830
ขอบคุณพี่หมอมุขมากๆ สำหรับ "ข้อความและความในใจที่อยากจะสื่อถึงสมาชิกชาว ThaiVI ของท่านนายกโจ ของพวกเรา" ค่ะPaul VI เขียน:ข้อความและความในใจที่อยากจะสื่อถึงสมาชิกชาว ThaiVI ของท่านนายกโจ ของพวกเราล่ะครับ
อ่านแล้วสรุปได้ใจความและเป็นสัจธรรมมากๆครับ
นับถือความคิดจริงๆครับ![]()
![]()
![]()
นุชเคยอ่านแล้วและเก็บไว้เป็นพรที่มีค่าและเป็นแนวทางสำหรับการลงทุนและการดำเนินชีวิต และเข้าไปอ่านซ้ำเป็นระยะๆ ค่ะ
พี่หมอมุขกรุณานำมาฝากก็ทำให้ได้อ่านและเตือนตัวเองซ้ำๆ นุชจะขออนุญาตนำไปฝากเพื่อนๆ ในกระทู้บ้านๆ ด้วยดีกว่า
ส่วน "ข้อความและความในใจของพี่หมอมุข ของพวกเรา" ผ่านหนังสือที่พี่หมอมุขพยายามทำออกมาให้ดูดีที่สุดPaul VI เขียน:หนังสือ น่าจะเดือนหน้าครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับ บก. แล้วครับ อีกอย่างพยายามทำออกมาให้ดูดีที่สุดครับ และเอาไปใช้ได้ตลอดการลงทุนระยะยาวๆเลยครับ
นุชก็รอที่จะนำมาเป็นแนวทาง "เพื่อไปใช้ได้ตลอดการลงทุนระยะยาวๆ" อย่างที่พี่หมอมุขตั้งใจค่ะ
สู้ สู้ นะคะ พี่หมอมุขเป็นตัวอย่างสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยค่ะPaul VI เขียน:เดือนหน้าผมจะมีอบรมความรู้ส่วนตัวด้วยครับ แถมลุ้นยาวเรื่องเตรียมสอบของลูกสาวด้วยครับ
สนุกดีครับ ชีวิต
ขออนุญาตลุ้นไปกับเหตุการณ์สำคัญๆ ของครอบคุณคุณภาพ
พี่หมอมุขเป็นกำลังใจสำหรับพวกเราเสมอมา...ขอมาช่วยส่งกำลังใจ
และอวยพรขอน้องประสพความสำเร็จเรื่องการเตรียมสอบและการสอบตามที่เขาตั้งใจนะคะ
