แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 91
shutdown กรุงเทพ
เป็นการทดสอบประสิทธิภาพของการขนส่งสาธารณะไม่ว่าจะเป็นเรือด่วน เรือคลองแสนแสบ ทางด่วน รถไฟฟ้า BTS BMCL Airport link รถเมล์ ว่ามีประสิทธิภาพในการรับส่งคนหรือเปล่า
มองอีกด้าน ประชาชนทั่วไปลดการใช้รถยนต์ และทำงานอยู่ที่บ้านมากขึ้น
ทำให้ถนนโล่งระดับเดียวกับช่วงปีใหม่เลยที่เดียว
แต่จุดที่ติดหนักคือ แถวพระรามสี่ ช่วงแยกศาลาแดง และสาธร
ถนนสุขุมวิท แยกอโศก
เป็นการทดสอบประสิทธิภาพของการขนส่งสาธารณะไม่ว่าจะเป็นเรือด่วน เรือคลองแสนแสบ ทางด่วน รถไฟฟ้า BTS BMCL Airport link รถเมล์ ว่ามีประสิทธิภาพในการรับส่งคนหรือเปล่า
มองอีกด้าน ประชาชนทั่วไปลดการใช้รถยนต์ และทำงานอยู่ที่บ้านมากขึ้น
ทำให้ถนนโล่งระดับเดียวกับช่วงปีใหม่เลยที่เดียว
แต่จุดที่ติดหนักคือ แถวพระรามสี่ ช่วงแยกศาลาแดง และสาธร
ถนนสุขุมวิท แยกอโศก
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 92
ปิด Shutdown วันแรก ถนนโล่งมากครับ
คนอยู่บ้านกันมากมาย รถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน นับคันได้
ใช้ความเร็วได้ แต่อย่างไรเสีย
มนุษย์มีการปรับตัว พอมาวันนี้ (14 ม.ค. 2557 ) ปริมาณรถยนต์เริ่มมากขึ้น
ถ้าเป็นแบบนี้เดี๋ยวอีกไม่เกิน 1 อาทิตย์ ปริมาณรถยนต์จะเท่าเดิม
คนอยู่บ้านกันมากมาย รถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน นับคันได้
ใช้ความเร็วได้ แต่อย่างไรเสีย
มนุษย์มีการปรับตัว พอมาวันนี้ (14 ม.ค. 2557 ) ปริมาณรถยนต์เริ่มมากขึ้น
ถ้าเป็นแบบนี้เดี๋ยวอีกไม่เกิน 1 อาทิตย์ ปริมาณรถยนต์จะเท่าเดิม
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 93
ในหลักการของการเงิน ที่สอนๆๆกันอยู่ในชั้นเรียน
หากรัฐบาลไม่มีเงินในการคืนเงินกู้หรือเงินในการดำเนินการ
เท่ากับประเทศนั้น ล้มละลาย คนในประเทศก็ล้มละลายไปด้วย
ทำไมเป็นแบบนี้ เพราะว่าประชาชนในประเทศก็จ่ายภาษีให้แก่รัฐ
รัฐจึงมีรายได้เพื่อไปจ่ายออกในรูปของงบประมาณ ทั้งงบประจำหรืองบการลงทุน
ในอดีตเคยมีไหม ก็เห็นๆๆกันอยู๋คือ ประเทศกรีซ อาเจนติน่า ที่เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้เลย
หากรัฐบาลไม่มีเงินในการคืนเงินกู้หรือเงินในการดำเนินการ
เท่ากับประเทศนั้น ล้มละลาย คนในประเทศก็ล้มละลายไปด้วย
ทำไมเป็นแบบนี้ เพราะว่าประชาชนในประเทศก็จ่ายภาษีให้แก่รัฐ
รัฐจึงมีรายได้เพื่อไปจ่ายออกในรูปของงบประมาณ ทั้งงบประจำหรืองบการลงทุน
ในอดีตเคยมีไหม ก็เห็นๆๆกันอยู๋คือ ประเทศกรีซ อาเจนติน่า ที่เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้เลย
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 94
ตอนเีรียนปริญญาโท มีเพื่อนคนหนึ่งไ้ด้ทำ IS ในเรื่องที่เกี่ยวกับการลงทุนพระเครื่อง
หรือเช่าพระเครื่องว่าคุ้มค่าหรือไม่
ปัจจัยของพระเครื่องคือ
1. เกจิที่ปลุกเสก
2. ประวัติที่แคล้วคลาด ไม่ว่าจะเป็นรถคว่ำแล้วห้อยพระแล้วไม่มีแผล หรือแผลแบบแมวข่วน หรือ ยิงไม่เข้า หรือ แทงไม่เข้า พวกนี้
3. อายุของพระเครื่อง
ฯลฯ
แต่ปัญหาของการศึกษาในเรื่องนี้
1. ราคาของพระเครื่อง ที่ไม่สม่ำเสมอ ส่วนใหญ่ได้ข้อมูลจาก web site
2. ราคาที่เช่าพระเครื่อง จากวัด ที่ไม่รู้ว่าเท่าไร
3. ราคาที่ไมไ่ด้ปรับปรุงเรื่องเงินเฟ้อ
ฯลฯ
เนี่ยคือสิ่งที่ใกล้ตัวของนักลงทุนไทย แต่ไกลตัวสำหรับทุกคนในเรื่องที่ไม่ได้เข้าหาศีลธรรม
หรือเช่าพระเครื่องว่าคุ้มค่าหรือไม่
ปัจจัยของพระเครื่องคือ
1. เกจิที่ปลุกเสก
2. ประวัติที่แคล้วคลาด ไม่ว่าจะเป็นรถคว่ำแล้วห้อยพระแล้วไม่มีแผล หรือแผลแบบแมวข่วน หรือ ยิงไม่เข้า หรือ แทงไม่เข้า พวกนี้
3. อายุของพระเครื่อง
ฯลฯ
แต่ปัญหาของการศึกษาในเรื่องนี้
1. ราคาของพระเครื่อง ที่ไม่สม่ำเสมอ ส่วนใหญ่ได้ข้อมูลจาก web site
2. ราคาที่เช่าพระเครื่อง จากวัด ที่ไม่รู้ว่าเท่าไร
3. ราคาที่ไมไ่ด้ปรับปรุงเรื่องเงินเฟ้อ
ฯลฯ
เนี่ยคือสิ่งที่ใกล้ตัวของนักลงทุนไทย แต่ไกลตัวสำหรับทุกคนในเรื่องที่ไม่ได้เข้าหาศีลธรรม
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 95
การเดินทางไปต่างจังหวัดรอบนี้เดินทางด้วยทางรถยนต์
สิ่งที่เห็นได้แตกต่างของปั้มต่างๆทั้งที่เป็นของไทยและของนอก
จดทะเบียนในตลาด(ห)ลักทรัพย์หรือไม่จดทะเบียน
คือ
1. ร้านสะดวกซื้อ
2. ร้านอาหาร
3. ร้านกาแฟ
4. ห้องน้ำ
5. ร้านรวงที่ตั้งในบริเวณ ปั้มน้ำมัน
เมื่อก่อนนี้มีกลยุทธ์เรื่องปั้มน้ำมันห้องน้ำสะอาดนั้นเป็นจริงๆด้วย
กลยุทธ์นี้ใช้ได้เสมอๆ ถ้าหากเราเป็นนักเดินทางต่างถิ่นแล้วต้องเดินทางไกล
ห้องน้ำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เมื่อปวดเบาหรือปวดหนักต้องเข้าห้องน้ำ
ยิ่งในหน้าหนาวด้วยแล้ว เข้าห้องน้ำบ่อยมากๆๆ
ส่วนอีกเรื่อองหนึ่งคือ ร้านสะดวกซื้อ ที่ไปพร้อมกับปั้มน้ำมัน ซึ่งเป็นจุดพักรถไปในตัว
เพราะ ลงไปเข้าห้องน้ำยึดเส้นยืดสาย ทำให้บริษัทน้ำมันเข้าร่วมมือกับร้านสะดวกซื้อในการนี้
ส่วนที่สังเกตเห็นคือ ปั้มที่เป็น Local นั้นค่อยๆหายไปจากเส้นทางหลักๆๆ
เข้าไปอยู่ในเส้นทางรองๆๆมากขึ้น และ ห้องน้ำไม่สะอาดเท่าไร ดึงดูดแต่คนท้องถิ่นเท่านั้น
อันนี้เป็นสิ่งที่น่าคิดมากๆๆ ที่คนที่ดำเนินการห้องน้ำสะอาดได้หายไปจากตลาดแล้ว
สิ่งที่เห็นได้แตกต่างของปั้มต่างๆทั้งที่เป็นของไทยและของนอก
จดทะเบียนในตลาด(ห)ลักทรัพย์หรือไม่จดทะเบียน
คือ
1. ร้านสะดวกซื้อ
2. ร้านอาหาร
3. ร้านกาแฟ
4. ห้องน้ำ
5. ร้านรวงที่ตั้งในบริเวณ ปั้มน้ำมัน
เมื่อก่อนนี้มีกลยุทธ์เรื่องปั้มน้ำมันห้องน้ำสะอาดนั้นเป็นจริงๆด้วย
กลยุทธ์นี้ใช้ได้เสมอๆ ถ้าหากเราเป็นนักเดินทางต่างถิ่นแล้วต้องเดินทางไกล
ห้องน้ำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เมื่อปวดเบาหรือปวดหนักต้องเข้าห้องน้ำ
ยิ่งในหน้าหนาวด้วยแล้ว เข้าห้องน้ำบ่อยมากๆๆ
ส่วนอีกเรื่อองหนึ่งคือ ร้านสะดวกซื้อ ที่ไปพร้อมกับปั้มน้ำมัน ซึ่งเป็นจุดพักรถไปในตัว
เพราะ ลงไปเข้าห้องน้ำยึดเส้นยืดสาย ทำให้บริษัทน้ำมันเข้าร่วมมือกับร้านสะดวกซื้อในการนี้
ส่วนที่สังเกตเห็นคือ ปั้มที่เป็น Local นั้นค่อยๆหายไปจากเส้นทางหลักๆๆ
เข้าไปอยู่ในเส้นทางรองๆๆมากขึ้น และ ห้องน้ำไม่สะอาดเท่าไร ดึงดูดแต่คนท้องถิ่นเท่านั้น
อันนี้เป็นสิ่งที่น่าคิดมากๆๆ ที่คนที่ดำเนินการห้องน้ำสะอาดได้หายไปจากตลาดแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 96
สิ่งที่ได้พบเจอะเจอกับการมาทำงานที่ต่างจังหวัดอีกเรื่องหนึ่งคือ
ความหนาวที่เจอะเจอ ปี 2556 ปลายปีก็เดินทางไปปายเจอประมาณ 1x องศาเซลเซียส
ตอนนี้ก็เจอประมาณ 15 องศาเซลเซียส ปีนี้โชคดีจริงๆไปต่างจังหวัดเจอแต่อากาศหนาว
โต้ลมหนาวในตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่พอ มาเจอะเจอกับตอนไปเที่ยวและทำงานได้
เรื่องที่จะเล่าคือ มีสิ่งที่สังเกตได้ว่า ราคาอาหารที่ต่างจังหวัดนั้น ราคาไม่ถูกกว่ากรุงเทพเลย
ข้าวพัดหมูจานละ 35-40 บาท ก๋วยเตี๋ยวเจอไป 35-40 บาทต่อชามเช่นเดียวกับกรุงเทพ
ราคาไม่แตกต่างกันเลย และที่เจออีกคือ รถเมล์ประจำทางในกรุงเทพมี แต่ต่างจังหวัดไม่ค่อยเห็นเท่าไร
ส่วนใหญ่ใช้รถส่วนตัวกันมาก แปลกไหมละ ส่งเสริมการใช้ขนส่งมวลชนเท่าไร ประชาชนยิ่งหนีหายจากระบบขนส่งมวลชนไปใช้ส่วนตัวกันมากขึ้นเท่านั้น เป็นแรงหนีศูนย์กลางเลยทีเดียว
ความหนาวที่เจอะเจอ ปี 2556 ปลายปีก็เดินทางไปปายเจอประมาณ 1x องศาเซลเซียส
ตอนนี้ก็เจอประมาณ 15 องศาเซลเซียส ปีนี้โชคดีจริงๆไปต่างจังหวัดเจอแต่อากาศหนาว
โต้ลมหนาวในตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่พอ มาเจอะเจอกับตอนไปเที่ยวและทำงานได้
เรื่องที่จะเล่าคือ มีสิ่งที่สังเกตได้ว่า ราคาอาหารที่ต่างจังหวัดนั้น ราคาไม่ถูกกว่ากรุงเทพเลย
ข้าวพัดหมูจานละ 35-40 บาท ก๋วยเตี๋ยวเจอไป 35-40 บาทต่อชามเช่นเดียวกับกรุงเทพ
ราคาไม่แตกต่างกันเลย และที่เจออีกคือ รถเมล์ประจำทางในกรุงเทพมี แต่ต่างจังหวัดไม่ค่อยเห็นเท่าไร
ส่วนใหญ่ใช้รถส่วนตัวกันมาก แปลกไหมละ ส่งเสริมการใช้ขนส่งมวลชนเท่าไร ประชาชนยิ่งหนีหายจากระบบขนส่งมวลชนไปใช้ส่วนตัวกันมากขึ้นเท่านั้น เป็นแรงหนีศูนย์กลางเลยทีเดียว
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 97
คิดต่างกับคนอื่นๆ
ตอนที่ปิดกรุงเทพนั้น ผมได้เขียนไ้ว้ว่า ผมไม่กลัว
ไม่กลัว คือ ไม่ต้องตุนน้ำ ไม่ต้องตุนอาหาร เดินทางได้เหมือนเดิม แถมสะดวกด้วย
ผมมองสวนกับคนอื่นๆ ที่กลัวว่าปิดกรุงเทพเดินทางไม่ได้ อาหารและน้ำดื่มขาดแคลน
เมื่อเวลาผ่านไป ประชาชนเริ่มปรับตัว รู้ตัวว่า เดินทางไปไหนมาไหนได้ ไม่มีอันตรายในการเดินทาง
ร้านค้าหยุดงานนานก็มิได้ ต้องทำงาน สามารถดำรงชีวิตของตัวเองได้คือ ไปหาข้าวทาน อาหารทาง
ห้างก็เปิด สามารถเดินเล่นได้ดังเดิม
แต่ผมคิดว่า ตอนนี้แหละที่ผมว่าเดินทางไม่สะดวก เพราะ ถนนมีจำนวนน้อยลง รถยนต์ก็เอาออกมาใช้เหมือนปกติ
ทำให้เส้นทางจราจรติดขัดมากขึ้นกว่าเดิม
ผมมองต่างในประเด็นไว้ละกัน
แต่อย่างไงเสีย ผมไม่ได้รับผลกระทบในชีวิตประจำวันในการเดินทาง
การเดินทางของผม ผ่านสามสี่เวทีในขาที่ไปทำงาน
ไล่ตั้งแต่ เวทีที่มาบุญครอง เฉียดเวทีราชประสงค์ เวทีอนุสาวรีย์ชัย และเวทีห้าแยกลาดพร้าว
ส่วนขากลับผมไม่ได้ผ่านเวทีเลย เพราะผมเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นๆแทนได้
ตอนที่ปิดกรุงเทพนั้น ผมได้เขียนไ้ว้ว่า ผมไม่กลัว
ไม่กลัว คือ ไม่ต้องตุนน้ำ ไม่ต้องตุนอาหาร เดินทางได้เหมือนเดิม แถมสะดวกด้วย
ผมมองสวนกับคนอื่นๆ ที่กลัวว่าปิดกรุงเทพเดินทางไม่ได้ อาหารและน้ำดื่มขาดแคลน
เมื่อเวลาผ่านไป ประชาชนเริ่มปรับตัว รู้ตัวว่า เดินทางไปไหนมาไหนได้ ไม่มีอันตรายในการเดินทาง
ร้านค้าหยุดงานนานก็มิได้ ต้องทำงาน สามารถดำรงชีวิตของตัวเองได้คือ ไปหาข้าวทาน อาหารทาง
ห้างก็เปิด สามารถเดินเล่นได้ดังเดิม
แต่ผมคิดว่า ตอนนี้แหละที่ผมว่าเดินทางไม่สะดวก เพราะ ถนนมีจำนวนน้อยลง รถยนต์ก็เอาออกมาใช้เหมือนปกติ
ทำให้เส้นทางจราจรติดขัดมากขึ้นกว่าเดิม
ผมมองต่างในประเด็นไว้ละกัน
แต่อย่างไงเสีย ผมไม่ได้รับผลกระทบในชีวิตประจำวันในการเดินทาง
การเดินทางของผม ผ่านสามสี่เวทีในขาที่ไปทำงาน
ไล่ตั้งแต่ เวทีที่มาบุญครอง เฉียดเวทีราชประสงค์ เวทีอนุสาวรีย์ชัย และเวทีห้าแยกลาดพร้าว
ส่วนขากลับผมไม่ได้ผ่านเวทีเลย เพราะผมเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นๆแทนได้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 98
เรื่องของปั้มน้ำมันต่อเนื่อง
ข้อสังเกต จุดพักรถส่วนใหญ่ที่เจอ เป็น ปั้ม PTT
มีจุดพักรถที่ไม่ใช่ของ PTT คือ เป็นคล้ายๆตลาด หรือจุดพักของตำรวจทางหลวง
หากเป็นจุดพักรถของ PTT
ในตัวปั้มจะมี 7-11 หรือ Jiffy อยู่
ห้องน้ำสะอาด ไม่ต้องกังวล
ไฟสว่างมากๆๆ ไม่มืด
ป้ายบอกจุดพัก บอกเลยว่า
มีอะไรในจุดพักบ้าง
ส่วนปั้มในตรอก ซอย หรือปั้มๆอื่นๆๆ นั้น
เท่าที่สังเกต เริ่มทำแบบ PTT แต่ทว่าทำเล สู้ของ PTT ไม่ได้
และเรื่องของป้ายบอกที่อยู่ริมทาง ที่สู้ของ PTT ที่บอกว่าเป็นจุดพักรถไม่ได้
ผมยกตัวอย่างเข่น เลี่ยงเมืองสระบุรีเพื่อเข้ากรุงเทพ มีแค่ PTT ปั้มเดียว
มีห้องน้ำ สองข้าง ปั้มใหญ่มากๆๆ
ป้ายบอกที่ระยะ 5 km ,3km,1km และ 500m ก่อนถึงปั้ม
เอาซิ ใครที่คิดว่า ปั้มอื่นมาลุยได้ ก็คิดหนักในเรื่องการบริการหน่อยละ
ส่วนถ้าใครลุยเรื่องราคาที่ขายต่อหน่วยก็ต้องบอกว่าราคาโดยควบคุมด้วยปัจจัยคือ ค่าเงินและราคาที่ตลาดสิงคโปร์เป็นหลัก ถ้าต้องแข่งราคาคือต้องหั่น margin โดยลดค่าการตลาดลดหน่อยละ
ข้อสังเกต จุดพักรถส่วนใหญ่ที่เจอ เป็น ปั้ม PTT
มีจุดพักรถที่ไม่ใช่ของ PTT คือ เป็นคล้ายๆตลาด หรือจุดพักของตำรวจทางหลวง
หากเป็นจุดพักรถของ PTT
ในตัวปั้มจะมี 7-11 หรือ Jiffy อยู่
ห้องน้ำสะอาด ไม่ต้องกังวล
ไฟสว่างมากๆๆ ไม่มืด
ป้ายบอกจุดพัก บอกเลยว่า
มีอะไรในจุดพักบ้าง
ส่วนปั้มในตรอก ซอย หรือปั้มๆอื่นๆๆ นั้น
เท่าที่สังเกต เริ่มทำแบบ PTT แต่ทว่าทำเล สู้ของ PTT ไม่ได้
และเรื่องของป้ายบอกที่อยู่ริมทาง ที่สู้ของ PTT ที่บอกว่าเป็นจุดพักรถไม่ได้
ผมยกตัวอย่างเข่น เลี่ยงเมืองสระบุรีเพื่อเข้ากรุงเทพ มีแค่ PTT ปั้มเดียว
มีห้องน้ำ สองข้าง ปั้มใหญ่มากๆๆ
ป้ายบอกที่ระยะ 5 km ,3km,1km และ 500m ก่อนถึงปั้ม
เอาซิ ใครที่คิดว่า ปั้มอื่นมาลุยได้ ก็คิดหนักในเรื่องการบริการหน่อยละ
ส่วนถ้าใครลุยเรื่องราคาที่ขายต่อหน่วยก็ต้องบอกว่าราคาโดยควบคุมด้วยปัจจัยคือ ค่าเงินและราคาที่ตลาดสิงคโปร์เป็นหลัก ถ้าต้องแข่งราคาคือต้องหั่น margin โดยลดค่าการตลาดลดหน่อยละ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 99
ประวัติศาสตร์ของ Video on demand
ลองอ่านดู
http://en.wikipedia.org/wiki/Video_on_demand
อันนี้จำได้เลยว่า มันพูดกันนานมากแล้ว
ตัวนี้จะเติบโตคู่กับ Network ที่เติบโตขึ้น เทคโนโลยี่ที่เปลี่ยนแปลงไป
และตัวตูของตูที่เอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น ไม่สนใจใคร คือจะดูฉันก็จ่ายเงิน
ลองอ่านดู
http://en.wikipedia.org/wiki/Video_on_demand
อันนี้จำได้เลยว่า มันพูดกันนานมากแล้ว
ตัวนี้จะเติบโตคู่กับ Network ที่เติบโตขึ้น เทคโนโลยี่ที่เปลี่ยนแปลงไป
และตัวตูของตูที่เอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น ไม่สนใจใคร คือจะดูฉันก็จ่ายเงิน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 100
สงสัยใน Pantip มีการหิ้วกระทู้ที่เกี่ยวกับ เกี่ยวกับวิกฤติการเงิน Financial Crisis
ชื่อกระทู้ที่ว่า "6 หนังน่าดู เกี่ยวกับวิกฤติการเงิน Financial Crisis (วิธีเรียนลัด คือการศึกษาจาก Case Study จากหนัง)"
ผมเลยไปหาในแคชดูว่าชื่อหนังมีอะไรบ้างในกระทู้นั้น เลยเจอะเจอมาดังนี้
1. Margin Call (2011)
2. Too Big To Fail (2011)
3. Inside Job (2010)
4. Frontline: The Warning (2009)
5. The Flaw (2010)
6. Enron: The Smartest Guys in the Room (2005)
7. Rogue Trader (1999)
8. Boiler Room (2000)
ชื่อกระทู้ที่ว่า "6 หนังน่าดู เกี่ยวกับวิกฤติการเงิน Financial Crisis (วิธีเรียนลัด คือการศึกษาจาก Case Study จากหนัง)"
ผมเลยไปหาในแคชดูว่าชื่อหนังมีอะไรบ้างในกระทู้นั้น เลยเจอะเจอมาดังนี้
1. Margin Call (2011)
2. Too Big To Fail (2011)
3. Inside Job (2010)
4. Frontline: The Warning (2009)
5. The Flaw (2010)
6. Enron: The Smartest Guys in the Room (2005)
7. Rogue Trader (1999)
8. Boiler Room (2000)
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 101
เมื่อวานหรือวานซืน
มีข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์หรือบทวิเคราะห์ที่เกี่ยวกับตลาดทุน
พาดหัวในเรื่องของประเทศตรุษกีขึ้นดอกเบี้ย
พอขึ้นปุ๊บทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเขียว แต่ในใจผมไม่กล้าที่สวนนักลงทุน
ทำไมผมคิดสวน เพราะการขึ้นดอกเบี้ยมันบ่งบอกว่า ต้นทุนเงินทุนของคุณสูงขึ้น
ในเืมื่อต้นทุนสูงขึ้น บ่งบอกถึงว่า บริษัทหาเงินทุนได้ยากขึ้น โดยตัวสำคัญคือธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกัน และ กองทุน
พวกนี้โดนเรื่องนี้ไปเต็มๆ
ธนาคารพาณิชย์ ดอกเบี้ยขยับขึ้นปุ๊บแสดงว่า คุณวิ่งเข้าตลาดเงิน คุณต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น ทั้งกู้ระหว่างธนาคารด้วยกันหรือระดมเงินฝาก
ส่วนบริษัทประกัน อันนี้โดนเรื่อง mark to market พันธบัตร ที่ราคาลดลงเมื่อดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
ส่วนกองทุนนี้จะโดยเรื่อง mark to market ไม่พอ จะโดนเรื่องเงินทุน เสถียรภาพของการลงทุนด้วย
เมื่อตลาดทุนปั่นปวน เกิดขึ้นแบบนี้ น่าจะลดลงมากกว่า แต่ดันสวนทาง ทำไมสวนทางได้
เพราะว่า ก่อนหน้านั้น มีข่าวเรื่องของอาร์เจติน่าลดค่าเงิน ถ้าหากมุมย้อนกลับไปในปี ที่แล้ว 2013 นั้น
ประเทศอาร์เจติน่านั้น ได้ผลตอบแทนที่สูงมากๆติดอันดับ 1-5 แถมมีอยู่ช่วงหนึ่งผลตอบแทน 100% กว่าๆๆด้วยซ้ำไป แต่จบประมาณ 80-90% แพ้ผลตอบแทนที่ประเทศดูไบ
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า เงินทุนไหลออก เพราะเขากำไรจากตลาดหุ้น ตั้งมากมาย ซึ่งผลคือตลาดต่างประเทศในวันศุกร์(24 มกราคม 2557) ลดลงแบบน่าตกใจ แต่ของไทยนี้ ปิดก่อนเลยไม่โดน มาโดนผลวันจันทร์
ปีนี้เป็นปีที่ลงทุนยาก คือ ตลาดสวนกับมุมมองที่ควรจะเป็น ทำไมเป็นแบบนั้น
มันคือการเล่นตรงข้ามกับจิตวิทยามวลชน เพื่อให้มวลชนยอมแรงเงินที่นายตลาดบังคับไว้
ดังนั้น ปีนี้ ควรอยู่นิ่งๆๆไปก่อน แล้วค่อยดูๆๆ ว่ากลางปีผ่านไปแล้ว ประเทศไทยได้รับความบอมช้ำแค่ไหน
แล้วสามารถฟื้นไข้ได้แค่ไหน
ขอให้โชคดี
มีข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์หรือบทวิเคราะห์ที่เกี่ยวกับตลาดทุน
พาดหัวในเรื่องของประเทศตรุษกีขึ้นดอกเบี้ย
พอขึ้นปุ๊บทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเขียว แต่ในใจผมไม่กล้าที่สวนนักลงทุน
ทำไมผมคิดสวน เพราะการขึ้นดอกเบี้ยมันบ่งบอกว่า ต้นทุนเงินทุนของคุณสูงขึ้น
ในเืมื่อต้นทุนสูงขึ้น บ่งบอกถึงว่า บริษัทหาเงินทุนได้ยากขึ้น โดยตัวสำคัญคือธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกัน และ กองทุน
พวกนี้โดนเรื่องนี้ไปเต็มๆ
ธนาคารพาณิชย์ ดอกเบี้ยขยับขึ้นปุ๊บแสดงว่า คุณวิ่งเข้าตลาดเงิน คุณต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น ทั้งกู้ระหว่างธนาคารด้วยกันหรือระดมเงินฝาก
ส่วนบริษัทประกัน อันนี้โดนเรื่อง mark to market พันธบัตร ที่ราคาลดลงเมื่อดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
ส่วนกองทุนนี้จะโดยเรื่อง mark to market ไม่พอ จะโดนเรื่องเงินทุน เสถียรภาพของการลงทุนด้วย
เมื่อตลาดทุนปั่นปวน เกิดขึ้นแบบนี้ น่าจะลดลงมากกว่า แต่ดันสวนทาง ทำไมสวนทางได้
เพราะว่า ก่อนหน้านั้น มีข่าวเรื่องของอาร์เจติน่าลดค่าเงิน ถ้าหากมุมย้อนกลับไปในปี ที่แล้ว 2013 นั้น
ประเทศอาร์เจติน่านั้น ได้ผลตอบแทนที่สูงมากๆติดอันดับ 1-5 แถมมีอยู่ช่วงหนึ่งผลตอบแทน 100% กว่าๆๆด้วยซ้ำไป แต่จบประมาณ 80-90% แพ้ผลตอบแทนที่ประเทศดูไบ
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า เงินทุนไหลออก เพราะเขากำไรจากตลาดหุ้น ตั้งมากมาย ซึ่งผลคือตลาดต่างประเทศในวันศุกร์(24 มกราคม 2557) ลดลงแบบน่าตกใจ แต่ของไทยนี้ ปิดก่อนเลยไม่โดน มาโดนผลวันจันทร์
ปีนี้เป็นปีที่ลงทุนยาก คือ ตลาดสวนกับมุมมองที่ควรจะเป็น ทำไมเป็นแบบนั้น
มันคือการเล่นตรงข้ามกับจิตวิทยามวลชน เพื่อให้มวลชนยอมแรงเงินที่นายตลาดบังคับไว้
ดังนั้น ปีนี้ ควรอยู่นิ่งๆๆไปก่อน แล้วค่อยดูๆๆ ว่ากลางปีผ่านไปแล้ว ประเทศไทยได้รับความบอมช้ำแค่ไหน
แล้วสามารถฟื้นไข้ได้แค่ไหน
ขอให้โชคดี
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 102
ปัจจุบันไม่เคยที่ย้อนไปดูประวัติศาสตร์ว่าในอดีตมีใครทำเช่นไรแล้วผลเช่นไร
ตัวอย่างเช่น การที่ต้องการเป็นคนที่กำหนดทิศทางตลาดโภคภัณฑ์
ไล่ตั้งแต่ ดีบุก เป็นบทเรียนของประเทศมาเลเซีย ,ทองแดง ,โลหะของเงิน เป็นต้น
ดังนั้นไม่จึงไม่แน่แปลกใจที่ อดีตเหล่านั้นกำลังมาหลอกหลอนนั้นเอง
~
ตัวอย่างเช่น การที่ต้องการเป็นคนที่กำหนดทิศทางตลาดโภคภัณฑ์
ไล่ตั้งแต่ ดีบุก เป็นบทเรียนของประเทศมาเลเซีย ,ทองแดง ,โลหะของเงิน เป็นต้น
ดังนั้นไม่จึงไม่แน่แปลกใจที่ อดีตเหล่านั้นกำลังมาหลอกหลอนนั้นเอง
~
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 103
ถ้าหากเปิดอดีตในช่วงต้มยำกุ้งเกิดขึ้นในประเทศนั้น
สาเหตุหนึ่งในการที่เกิดต้มยำกุ้งคือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น
และมีการเปิดเรื่องสถานะการเงินของธนาคารกรุงเทพ พาณิชยการ ที่ย่ำแย่
แต่จริงๆแล้วมันคือข้อมูลในอดีต แต่อย่างไงเสียการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น
มีการถ่ายทอดสด และมีการบอกปากต่อปาก จึงทำให้ประชาชนทั่วไป
แห่กันถือสมุดเงินฝากของธนาคาแห่งนี้ไปถอนเงิน จนทำให้ธนาคารเกิดภาวะ
Bank run (ธนาคารวิ่งได้)
เมื่อมองกลับไป มันก็เหมือนเหตุการณ์ในปัจจุบันหรือเปล่าหนอ
ในความคิดของผมมันคล้ายกันเลยล่ะ แต่เวทีจากเมื่อก่อนอยู่ในห้องประชุมติดแอร์สบายๆ
กลายเป็นมาอยู่ตามท้องถนนแทน แล้วเอาประชาชนของประเทศส่วนใหญ่ที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติเป็นเดิมพัน
และธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ อันดับที่ 2 ซึ่งไม่ได้อยู่ในความควบคุมของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นตัวประกัน
สุดท้ายภาพในปี 2540 อย่างให้กลับมาละกัน
ทุกอย่างควรจบบนโต๊ะการเจรจาพูดคุยกัน แต่กลับไม่ได้ยอมรับฟัง
หรือเรียกได้ว่า ไม่ฟังเลย มันก็เลยเป็นแบบนี้ไงล่ะ
ส่วนท้าย
ถ้ามองดีๆๆ ถ้าไม่มีเรื่องนี้แล้วไซร้ เงินลงทุนไหลออกหรือเปล่า
ผมขอตอบเลยว่าไหลออกอยู่ดี เพราะว่า เงินไหลเข้ามาเพื่อ "ซื้อถูก ขายแพง" เอากำไรนั้นเอง
ไม่มีใครที่ทำแล้วขาดทุนยกเว้น สมาคมที่ไม่แสวงหาผลกำไร
สาเหตุหนึ่งในการที่เกิดต้มยำกุ้งคือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น
และมีการเปิดเรื่องสถานะการเงินของธนาคารกรุงเทพ พาณิชยการ ที่ย่ำแย่
แต่จริงๆแล้วมันคือข้อมูลในอดีต แต่อย่างไงเสียการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น
มีการถ่ายทอดสด และมีการบอกปากต่อปาก จึงทำให้ประชาชนทั่วไป
แห่กันถือสมุดเงินฝากของธนาคาแห่งนี้ไปถอนเงิน จนทำให้ธนาคารเกิดภาวะ
Bank run (ธนาคารวิ่งได้)
เมื่อมองกลับไป มันก็เหมือนเหตุการณ์ในปัจจุบันหรือเปล่าหนอ
ในความคิดของผมมันคล้ายกันเลยล่ะ แต่เวทีจากเมื่อก่อนอยู่ในห้องประชุมติดแอร์สบายๆ
กลายเป็นมาอยู่ตามท้องถนนแทน แล้วเอาประชาชนของประเทศส่วนใหญ่ที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติเป็นเดิมพัน
และธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ อันดับที่ 2 ซึ่งไม่ได้อยู่ในความควบคุมของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นตัวประกัน
สุดท้ายภาพในปี 2540 อย่างให้กลับมาละกัน
ทุกอย่างควรจบบนโต๊ะการเจรจาพูดคุยกัน แต่กลับไม่ได้ยอมรับฟัง
หรือเรียกได้ว่า ไม่ฟังเลย มันก็เลยเป็นแบบนี้ไงล่ะ
ส่วนท้าย
ถ้ามองดีๆๆ ถ้าไม่มีเรื่องนี้แล้วไซร้ เงินลงทุนไหลออกหรือเปล่า
ผมขอตอบเลยว่าไหลออกอยู่ดี เพราะว่า เงินไหลเข้ามาเพื่อ "ซื้อถูก ขายแพง" เอากำไรนั้นเอง
ไม่มีใครที่ทำแล้วขาดทุนยกเว้น สมาคมที่ไม่แสวงหาผลกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 104
สิ่งที่แปลกประหลาดในวันที่หวยออก ทุกๆๆวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน (ยกเว้นเดือน พฤษภาคมเป็นวันที่ 2 และเดือนมกราคม ออกวันที่ 30 ธันวาคม)
สิ่งที่ผมเจอะเจอคือ Application ที่เปิดให้ Download ทั้ง Google App store และ Apple App Store ทั้งสองแห่ง
มีโปรแกรมสำหรับตรวจสผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ขึ้น Top Chart ในช่วงเวลาดังกล่าว
อยู่ใน Top Chart ประมาณ 2-3 วันก็หายไป เป็นแบบนี้ทุกรอบเดือนที่เกิดขึ้น
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่แปลกๆ เพราะแสดงว่า คนที่มี Smart Phone มีเพิ่มขึ้น และเป็นประชาชนที่ซื้อสลากกินแบ่ง
จึงทำให้ Application ดังกล่าว Download ได้จนติด Top Chart เกิดขึ้น
ทุกคนลองสังเกต Top Chart ของ application ดีๆๆ แล้วจะเห็นสิ่งที่แปลกๆๆเสมอ
สิ่งที่ผมเจอะเจอคือ Application ที่เปิดให้ Download ทั้ง Google App store และ Apple App Store ทั้งสองแห่ง
มีโปรแกรมสำหรับตรวจสผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ขึ้น Top Chart ในช่วงเวลาดังกล่าว
อยู่ใน Top Chart ประมาณ 2-3 วันก็หายไป เป็นแบบนี้ทุกรอบเดือนที่เกิดขึ้น
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่แปลกๆ เพราะแสดงว่า คนที่มี Smart Phone มีเพิ่มขึ้น และเป็นประชาชนที่ซื้อสลากกินแบ่ง
จึงทำให้ Application ดังกล่าว Download ได้จนติด Top Chart เกิดขึ้น
ทุกคนลองสังเกต Top Chart ของ application ดีๆๆ แล้วจะเห็นสิ่งที่แปลกๆๆเสมอ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 105
ครั้งสุดท้ายที่เดินพันธทิพก็เหมือนสองปีที่แล้ว
ตอนนี้ชั้นลอยยังไม่ได้ปรับปรุง แต่วันนี้มีโอกาสได้เดินพันธทิพอีกครั้ง
สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เลย
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ ร้านขายคอมพิวเตอร์น้อยลงกว่าเดิม มีร้านขายคอมมือสองเพิ่มขึ้น มีร้านขายกล้องเพิ่มเติม
ร้านค้าบางส่วนก็ปิดไป ที่สำคัญคือ อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับมือถือมากขึ้นเช่นร้านที่รับติดสติ้กเกอร์มือถือ อุปกรณ์ต่อพ่วงมือถือมากขึ้น ร้านดอกหญ้าเป็นร้านที่เล็กลง ศูนย์อาหารชั้นลอยเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร เป็นต้น
สิ่งนี้คือความไม่จีรัง นั้นเอง
ตอนนี้ชั้นลอยยังไม่ได้ปรับปรุง แต่วันนี้มีโอกาสได้เดินพันธทิพอีกครั้ง
สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เลย
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ ร้านขายคอมพิวเตอร์น้อยลงกว่าเดิม มีร้านขายคอมมือสองเพิ่มขึ้น มีร้านขายกล้องเพิ่มเติม
ร้านค้าบางส่วนก็ปิดไป ที่สำคัญคือ อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับมือถือมากขึ้นเช่นร้านที่รับติดสติ้กเกอร์มือถือ อุปกรณ์ต่อพ่วงมือถือมากขึ้น ร้านดอกหญ้าเป็นร้านที่เล็กลง ศูนย์อาหารชั้นลอยเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร เป็นต้น
สิ่งนี้คือความไม่จีรัง นั้นเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 106
ถนนที่มุ่งหน้าสู่ TV Digital นั้น ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
แต่อย่างไรเสีย ถนนเส้นนี้มีผู้ชนะ โดยที่ผู้ชนะนั้น เป็นบริษัีทที่มีดีในเรื่องการบริหารจัดการสื่อที่อยู่ในรูปแบบดิจิตอล
ทำไมต้องบอกแบบนั้น TV Digital เบื้องหลัง เส้นเลือดที่ถ่ายทอด Content ไปยังผู้รับชม คือ เครือข่ายสื่อสาร
ทั้งในรูปแบบของสายก็ดี แบบทางอากาศก็ดี
ไม่เพียงแค่นั้น ระบบคอมพิวเตอร์ก็ต้องมีส่วนสำคัญที่วัดการแพ้การชนะของธุรกิจนี้ ทำไมล่ะ
เพราะ สื่อมันเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบเดิม ที่เป็นอนาล็อก เป็น ดิจิตอล
สื่อต่างๆจัดเก็บในรูปแบบของดิจิตอลไฟส์ ที่ใช้พื้นที่ในการจัดเก็บขนาดใหญ่
คิดดูเอาเองล่ะกัน หนังหนึ่งเรื่องความยาว 2 ชั่วโมงโดยประมาณ (120 นาที)
บรรจุในรูปแบบของ DVD แต่ไมไ่ด้การันตีว่าคุณภาพเป็น HD หรือไม่ ถ้าต้องการความคมชัดสูงมันก็ยิ่งต้องใช้
พื้นที่ในการจัดเก็บสูง และยิ่งมีความละเอียดสูงเท่าไร ความเร็วของระบบเครือข่ายก็ต้องใช้ความเร็วสูงไปด้วย
ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนหลงลืมประเด็นจากเรื่องของทีวีดิจิตอล คือ การลงทุนในเรื่องของ IT สำหรับบริษัทที่ประมูล ทีวีดิจิตอลได้ ว่า ลงทุนในเรื่องของ Software ,Hardware และ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องของคน (PeopleWare) ที่ยุ่งยากมากกว่าส่วนอื่นๆ
หลายหลากบริษัทที่อยู่ในกิจการที่เป็นผู้ชนะนั้น บางบริษัทนั้น เทคโนโลยี่ที่ใช้ต่ำมาก ก็เป็นผู้ชนะได้
แต่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ที่ชนะเป็นเจ้าตลาดนั้น IT เป็น หัวใจสำคัญอย่างมากๆ แพ้ชนะกันอยู่ที่ IT
ในอดีต เมื่อหลายสิบกว่าปีก่อน ในยุคหนึ่ง ประเทศไทย ก็มี Super Computer ที่ติดอันดับ ใช้ในประเทศไทย
เพื่อระบบการสื่อสารเคลื่อนที่ได้
มันน่าแปลกประหลาดหรือเปล่า บริษัทมือถือลงทุนระบบ IT เป็น Super Computer เลยทีเดียว และเขาก็เป็นผู้ชนะ
ส่วนบริษัทที่ค้าปลีก หัวใจของบริหารและการจัดการสินค้า ก็คือระบบ IT ที่รู้ยอดขาย ,รู้ว่าผู้ใช้บริการแต่ละสาขาเป็นใคร,รู้ว่าช่วงไหนของเดือนที่ขายดีหรือขายไม่ได้ ,รู้ว่าวันที่อากาศเย็น จะมีผลต่อสินค้าแบบไหน เป็นต้น บริษัทนี้ก็ทุ่มให้เกิดการพัฒนาจากภายในองค์กร ไม่ง้อ Package ต่างประเทศ หรือ เอาโครงสร้างมา (Frameworkมา) แล้วมาโมเอาเองเลย
เนี่ยคือสิ่งที่นักลงทุนละเลยไปในประเด็นดังกล่าว
ถ้าหากมีเวลาน่าคุยกับพี่ธันวาในเรื่องประเด็นนี้จังเลย เพราะ พี่ธันวา เป็นนักลงทุนท่านหนึ่งที่มีประสบการณ์จากบริษัท IT ขนาดใหญ่ต่างชาติ ท่านเป็นนักลงทุนที่เชียวชาญในด้านนี้มากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทยก็ว่าได้
แต่อย่างไรเสีย ถนนเส้นนี้มีผู้ชนะ โดยที่ผู้ชนะนั้น เป็นบริษัีทที่มีดีในเรื่องการบริหารจัดการสื่อที่อยู่ในรูปแบบดิจิตอล
ทำไมต้องบอกแบบนั้น TV Digital เบื้องหลัง เส้นเลือดที่ถ่ายทอด Content ไปยังผู้รับชม คือ เครือข่ายสื่อสาร
ทั้งในรูปแบบของสายก็ดี แบบทางอากาศก็ดี
ไม่เพียงแค่นั้น ระบบคอมพิวเตอร์ก็ต้องมีส่วนสำคัญที่วัดการแพ้การชนะของธุรกิจนี้ ทำไมล่ะ
เพราะ สื่อมันเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบเดิม ที่เป็นอนาล็อก เป็น ดิจิตอล
สื่อต่างๆจัดเก็บในรูปแบบของดิจิตอลไฟส์ ที่ใช้พื้นที่ในการจัดเก็บขนาดใหญ่
คิดดูเอาเองล่ะกัน หนังหนึ่งเรื่องความยาว 2 ชั่วโมงโดยประมาณ (120 นาที)
บรรจุในรูปแบบของ DVD แต่ไมไ่ด้การันตีว่าคุณภาพเป็น HD หรือไม่ ถ้าต้องการความคมชัดสูงมันก็ยิ่งต้องใช้
พื้นที่ในการจัดเก็บสูง และยิ่งมีความละเอียดสูงเท่าไร ความเร็วของระบบเครือข่ายก็ต้องใช้ความเร็วสูงไปด้วย
ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนหลงลืมประเด็นจากเรื่องของทีวีดิจิตอล คือ การลงทุนในเรื่องของ IT สำหรับบริษัทที่ประมูล ทีวีดิจิตอลได้ ว่า ลงทุนในเรื่องของ Software ,Hardware และ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องของคน (PeopleWare) ที่ยุ่งยากมากกว่าส่วนอื่นๆ
หลายหลากบริษัทที่อยู่ในกิจการที่เป็นผู้ชนะนั้น บางบริษัทนั้น เทคโนโลยี่ที่ใช้ต่ำมาก ก็เป็นผู้ชนะได้
แต่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ที่ชนะเป็นเจ้าตลาดนั้น IT เป็น หัวใจสำคัญอย่างมากๆ แพ้ชนะกันอยู่ที่ IT
ในอดีต เมื่อหลายสิบกว่าปีก่อน ในยุคหนึ่ง ประเทศไทย ก็มี Super Computer ที่ติดอันดับ ใช้ในประเทศไทย
เพื่อระบบการสื่อสารเคลื่อนที่ได้
มันน่าแปลกประหลาดหรือเปล่า บริษัทมือถือลงทุนระบบ IT เป็น Super Computer เลยทีเดียว และเขาก็เป็นผู้ชนะ
ส่วนบริษัทที่ค้าปลีก หัวใจของบริหารและการจัดการสินค้า ก็คือระบบ IT ที่รู้ยอดขาย ,รู้ว่าผู้ใช้บริการแต่ละสาขาเป็นใคร,รู้ว่าช่วงไหนของเดือนที่ขายดีหรือขายไม่ได้ ,รู้ว่าวันที่อากาศเย็น จะมีผลต่อสินค้าแบบไหน เป็นต้น บริษัทนี้ก็ทุ่มให้เกิดการพัฒนาจากภายในองค์กร ไม่ง้อ Package ต่างประเทศ หรือ เอาโครงสร้างมา (Frameworkมา) แล้วมาโมเอาเองเลย
เนี่ยคือสิ่งที่นักลงทุนละเลยไปในประเด็นดังกล่าว
ถ้าหากมีเวลาน่าคุยกับพี่ธันวาในเรื่องประเด็นนี้จังเลย เพราะ พี่ธันวา เป็นนักลงทุนท่านหนึ่งที่มีประสบการณ์จากบริษัท IT ขนาดใหญ่ต่างชาติ ท่านเป็นนักลงทุนที่เชียวชาญในด้านนี้มากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทยก็ว่าได้
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 107
กลับไปอ่านการแก้ไขปัญหาวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540
อ่านไปได้อ 2-3 ธุรกิจ ที่สายงานปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยจัดทำหนังสือออกมา
ธุรกิจที่มีปัญหาอยู่ก่อนหน้านั้น เช่น สิ่งทอ เป็นต้น
เจ้าหนี้เองก็รู้อยู่แล้วว่า จัดการอย่างไง ตั้งคือ เจ้าหนี้เตรียมพร้อมรับมืออยู่แล้ว
แต่ธุรกิจอื่นๆ เจ้าหนี้ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรมากเท่าไร บุคคลากรในสมัยนั้นก็มีน้อยด้วย
ทำให้การเจรจาตกลงเรื่องหนี้ล่าช้ามากๆๆ
ไม่เพียงแค่นั้น ลูกหนี้เองก็รักษาสินทรัพย์ที่ตัวเองสร้างมาหากสินทรัพย์นั้นยังคงทำรายได้ และกำไรให้แก่เขา
ไม่อย่าให้คนอื่นมาแบ่งออกไปด้วย
อ่านแล้วก็ได้มุมมองในการจัดการหนี้ การหลุดพ้นจากภาระดังกล่าวว่ายากลำบากอย่างไง
การตั้งรับของเจ้าหนี้เป็นเช่นไร และ ลูกหนี้แก้ไขอย่างไรในเหตุการณ์เหล่านั้นด้วย
อ่านไปได้อ 2-3 ธุรกิจ ที่สายงานปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยจัดทำหนังสือออกมา
ธุรกิจที่มีปัญหาอยู่ก่อนหน้านั้น เช่น สิ่งทอ เป็นต้น
เจ้าหนี้เองก็รู้อยู่แล้วว่า จัดการอย่างไง ตั้งคือ เจ้าหนี้เตรียมพร้อมรับมืออยู่แล้ว
แต่ธุรกิจอื่นๆ เจ้าหนี้ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรมากเท่าไร บุคคลากรในสมัยนั้นก็มีน้อยด้วย
ทำให้การเจรจาตกลงเรื่องหนี้ล่าช้ามากๆๆ
ไม่เพียงแค่นั้น ลูกหนี้เองก็รักษาสินทรัพย์ที่ตัวเองสร้างมาหากสินทรัพย์นั้นยังคงทำรายได้ และกำไรให้แก่เขา
ไม่อย่าให้คนอื่นมาแบ่งออกไปด้วย
อ่านแล้วก็ได้มุมมองในการจัดการหนี้ การหลุดพ้นจากภาระดังกล่าวว่ายากลำบากอย่างไง
การตั้งรับของเจ้าหนี้เป็นเช่นไร และ ลูกหนี้แก้ไขอย่างไรในเหตุการณ์เหล่านั้นด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 108
การเปรียบเทียบการแต่งงงาน
แบบไทย ดำเนินการแห่ขันหมาก รดน้ำสังข์
แบบจีน ทานบัวลอย มีของรับไหว้ ยกน้ำชา
แบบคริสต์ เข้าโบสถ์ รับศีล (แต่ก่อนงานต้องไปก่อนหลายวัน)
แต่ละแบบมีข้อดีแลข้อเสียแตกต่างกัน
ดำเนินการเปรียบเทียบได้ละ
แบบไทย ดำเนินการแห่ขันหมาก รดน้ำสังข์
แบบจีน ทานบัวลอย มีของรับไหว้ ยกน้ำชา
แบบคริสต์ เข้าโบสถ์ รับศีล (แต่ก่อนงานต้องไปก่อนหลายวัน)
แต่ละแบบมีข้อดีแลข้อเสียแตกต่างกัน
ดำเนินการเปรียบเทียบได้ละ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 111
มีเกร็ดเรื่องการลงทุนเรื่องหนึ่งน่าจะคุยกันเกี่ยวกับราคา IPO
โดยส่วนใหญ่ หุ้น IPO นั้น ราคาวันแรกที่ทำการซื้อขายส่วนใหญ่ปิดเขียว มากกว่าปิดแดง
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น น่าจะมีการศึกษาเชิงลึกลงไปว่า
1. การประเมินมูลค่าการขายหุ้น IPO นั้น ราคาต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งจุดนี้ โดยทั่วไปให้ส่วนลดอยู่แ้ล้ว
2. สภาวะตลาดในช่วงที่หุ้น IPO เข้าซื้อขาย ว่าเป็นเช่นไร (เท่าที่ดูมีส่วนอย่างมากกับหุ้น IPO)
3. ชื่อบริษัทที่เป็นแกนในทำ IPO ว่าบริษัทไหนเป็นแกนทำ IPO แล้วเป็นเช่นไร
4. การกระจายหุ้นให้แก่รายย่อยมากน้อยแค่ไหน
พวกนี้เป็นสิ่งที่น่าศึกษากันเอาไว้
`
โดยส่วนใหญ่ หุ้น IPO นั้น ราคาวันแรกที่ทำการซื้อขายส่วนใหญ่ปิดเขียว มากกว่าปิดแดง
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น น่าจะมีการศึกษาเชิงลึกลงไปว่า
1. การประเมินมูลค่าการขายหุ้น IPO นั้น ราคาต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งจุดนี้ โดยทั่วไปให้ส่วนลดอยู่แ้ล้ว
2. สภาวะตลาดในช่วงที่หุ้น IPO เข้าซื้อขาย ว่าเป็นเช่นไร (เท่าที่ดูมีส่วนอย่างมากกับหุ้น IPO)
3. ชื่อบริษัทที่เป็นแกนในทำ IPO ว่าบริษัทไหนเป็นแกนทำ IPO แล้วเป็นเช่นไร
4. การกระจายหุ้นให้แก่รายย่อยมากน้อยแค่ไหน
พวกนี้เป็นสิ่งที่น่าศึกษากันเอาไว้
`
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 112
หนึ่งถึงสองปีมานี้ ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับนักลงทุนในเรื่อง การนำบริษัทลูกเข้ามาในตลาด ระยะสั้นๆ
ผมพอสรุปได้ว่า การนำบริษัทลูกเข้ามาจดทะเบียนในตลท เพื่อให้
1. บริษัทลูกมีมูลค่าเท่าไร
2. บริษัทแม่ได้เงินจากการขายหุ้นบริษัทลูก (ลดการถือครองหุ้น)
3. ตลท มีสินค้าเพิ่มขึ้น
สิ่งนี้นิยมดำเนินการอยู่ช่วงหนึ่งของปี 2555-2556 เรียกได้ว่า มีการนำบริษัทลูกจดทะเบียเข้าตลท
โดยนักลงทุนที่สนใจบริษัทลูก จำเป็นต้องถือบริษัทแม่เพื่อได้สิืทธิ์ในการจองหุ้น IPO ของบริษัทลูก
หลังจากนั้น นักลงทุนก็เริ่มการ Price in ราคาให้บริษัทลูกแล้วกระทบไปหาบริษัทแม่ต่อไป
ก็ได้มูลค่าที่เหมาะสมของบริษัทแม่ ควบคู่กับมูลค่าที่เหมาะกับบริษัทลูกด้วยในเวลาเดียวกัน
แถมข้อมูลก็เริ่มหาได้ง่ายขึ้นจากแต่ก่อนที่ เราได้ข้อมูลแค่บริษัทแม่เท่านั้น บริษัทลูกเอาไม่ได้ข้อมูลเลย
ต้องตามหากันยากลำบาก
ผมพอสรุปได้ว่า การนำบริษัทลูกเข้ามาจดทะเบียนในตลท เพื่อให้
1. บริษัทลูกมีมูลค่าเท่าไร
2. บริษัทแม่ได้เงินจากการขายหุ้นบริษัทลูก (ลดการถือครองหุ้น)
3. ตลท มีสินค้าเพิ่มขึ้น
สิ่งนี้นิยมดำเนินการอยู่ช่วงหนึ่งของปี 2555-2556 เรียกได้ว่า มีการนำบริษัทลูกจดทะเบียเข้าตลท
โดยนักลงทุนที่สนใจบริษัทลูก จำเป็นต้องถือบริษัทแม่เพื่อได้สิืทธิ์ในการจองหุ้น IPO ของบริษัทลูก
หลังจากนั้น นักลงทุนก็เริ่มการ Price in ราคาให้บริษัทลูกแล้วกระทบไปหาบริษัทแม่ต่อไป
ก็ได้มูลค่าที่เหมาะสมของบริษัทแม่ ควบคู่กับมูลค่าที่เหมาะกับบริษัทลูกด้วยในเวลาเดียวกัน
แถมข้อมูลก็เริ่มหาได้ง่ายขึ้นจากแต่ก่อนที่ เราได้ข้อมูลแค่บริษัทแม่เท่านั้น บริษัทลูกเอาไม่ได้ข้อมูลเลย
ต้องตามหากันยากลำบาก
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 113
ปี 2555-2556 เป็นปีที่อุตสาหกรรมรถยนต์คึกคักมากๆๆ
มีปริมาณผลิตรถยนต์ ส่งมอบรถยนต์สูงที่สุดช่วงหนึ่งของอุตสาหกรรมนี้
เนื่องจากมาตราการรถยนต์คันแรก
จุดเริ่มต้นคือ คนไปจองรถยนต์ที่งานแสดงรถยนต์หรือที่ศูนย์รถยนต์ ในราคาเพียง 5,000 บาท โรงงานก็ผลิตไป จุดนี้ทำให้เกิดการจ้างงาน การขยายงานของโรงงานผลิตรถยนต์ และส่วนประกอบรถยนต์ ชิ้นส่วนต่างๆที่ใช้ในรถยนต์ก็เติบโตไปด้วย พอรถยนต์ส่งมอบก็ทำให้อุตสาหกรรมการเงิน ในส่วนของสินเชื่อรถยนต์ (เช่าซื้อรถยนต์) ขยายตัว ไม่เพียงเท่านั้น การจองคิวต้องการป้ายรถยนต์เพิ่มขึ้น จากเดิม จองวันละ 1,000 หมายเลยโดยประมาณ (โดยประมาณเพราะ มีเลขสวยด้วย แต่จองวันละ 1001-2000 ,2001-3000,3001-4000 ไปเรื่อยๆยกเว้น 1-1000 จะรวมเอา 1001-2000 ไปด้วย) ก็เริ่มมีการต่อคิวยาวขึ้น (เปิดรับบัตรคิวตอน 0700 เริ่มคิว 1 เวลา 0800) กลายเป็นต้องจองที่5000 หมายเลขหรือกว่านั้น ในเขตกรุงเทพมานคร เมื่อมีการออกรถยนต์ ก็ต้องมีพรบ และทำประกันภัยชั้น 1 แถมมากับรถยนต์ด้วย (แต่บางแห่ง ไม่แถม ให้เจ้าของรถยนต์ซื้อตั้งแต่วันแรก ก็มี) ทุกปีครบอายุ จำเป็นต้องต่อ พรบ เป็นอย่างน้อย ส่วนประกันภัยชั้น 1 นั้นสามารถต่อหรือไม่ทำก็ได้ หรือเลือกเป็นชั้น 2,3 ก็ได้ แล้วแต่เงินในกระเป๋าของผู้ขับขี่ปีต่อไป
เมืื่อใช้รถยนต์ไปเรื่อยๆ เจ้าของรถยนต์ก็นำรถยนต์เข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็คสภาพ ทุก 1,000 km แรก (บางรุ่นมาเจอกันที่ 10,000 km เลย) 10,000 km ,20,000km ,30,000km 40,000 km ,50,000km และ 100,000km
ทำให้อุตสาหกรรม น้ำมันหล่อลื่นก็ขยายตัวไปด้วย พวกอะไหล่ที่ใช้กับรถยนต์ก็เติบโตไปด้วย ส่วนล้อรถยนต์นั้น หากใช้ 3 ปีหรือกว่า 30,000km ก็ต้องเริ่มพิจารณาในการเปลี่ยนยาง ว่าสมควรเปลี่ยนยางหรือเปล่า
จากนั้นเมื่อมีรถยนต์ก็ต้องล้างรถ หรือ เคลือบ คริสตัล ทำให้อุตสาหกรรมล้างรถยนต์ หรือเคลือบเพิ่มขึ้น งานล้นมือในบางช่วงเวลา
ไม่เพียงเท่านั้น รถยนต์มีมากๆขึ้นก็ย่อมทำให้เกิดอุบัติเหตุมากขึ้น (บริษัทประกันภัยไม่ค่อยชอบ แต่อู่ชอบ ทั้งอู่ห้างหรืออู่ช่างรถยนต์ต่างๆ) ทำให้เกิดงานเพิ่มขึ้น คิวในการทำสีก็ยาวเมื่อก่อน จองคิวกันไม่นานคือ 1 อาทิตย์ก็อย่างเก่ง กลับกลายเป็น 1 เดือน เป็น 2 เดือน ในการจองคิว เพราะ คิวมันแน่นมากๆๆ ถ้าแน่นแบบนี้ก็ทำให้อู่ต้องขยายงานทั้งเครื่องจักร ทั้งคนในการดำเนินการเพิ่มขึ้น
แล้วที่สำคัญที่สุดเมื่อรถยนต์ออกมามากๆๆ โดยรถยนต์ส่วนใหญ่ยังใช้น้ำมัน พวกไฮบริค มีน้อย เมื่อเทียบสัดส่วนแล้ว รถยนต์แล่นได้เพราะมีการจุดระเบิดในห้องเครื่องโดยใช้น้ำมันในการจุดระเบิด ดังนั้น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับน้ำมันก็มีบริโภคที่เพิ่มขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อรถยนต์ใช้ไปใช้ไป ก็ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ เมื่ออายุประมาณ 2 ปี (แต่ถ้าหากขับเป็นระยะทางยาวๆ อายุแบตก็ยาวนานขึ้นเพื่อมีการได้ชาร์จไฟและจ่ายไฟที่ยาวนานขึ้น ทำให้แบตเก็บประจุได้ดี เหมือนแบตมือถือนั้นเอง)
ยังไม่หมด เมื่อเจ้าของรถยนต์ผ่อนรถไม่ได้ ก็ต้องมีการจัดการในการตามหนี้ หรือ จัดการยึดรถยนต์เพื่อดำเนินการขายรถยนต์เคลียร์หนี้สินที่ค้างชำระ ไปด้วย
มีปริมาณผลิตรถยนต์ ส่งมอบรถยนต์สูงที่สุดช่วงหนึ่งของอุตสาหกรรมนี้
เนื่องจากมาตราการรถยนต์คันแรก
จุดเริ่มต้นคือ คนไปจองรถยนต์ที่งานแสดงรถยนต์หรือที่ศูนย์รถยนต์ ในราคาเพียง 5,000 บาท โรงงานก็ผลิตไป จุดนี้ทำให้เกิดการจ้างงาน การขยายงานของโรงงานผลิตรถยนต์ และส่วนประกอบรถยนต์ ชิ้นส่วนต่างๆที่ใช้ในรถยนต์ก็เติบโตไปด้วย พอรถยนต์ส่งมอบก็ทำให้อุตสาหกรรมการเงิน ในส่วนของสินเชื่อรถยนต์ (เช่าซื้อรถยนต์) ขยายตัว ไม่เพียงเท่านั้น การจองคิวต้องการป้ายรถยนต์เพิ่มขึ้น จากเดิม จองวันละ 1,000 หมายเลยโดยประมาณ (โดยประมาณเพราะ มีเลขสวยด้วย แต่จองวันละ 1001-2000 ,2001-3000,3001-4000 ไปเรื่อยๆยกเว้น 1-1000 จะรวมเอา 1001-2000 ไปด้วย) ก็เริ่มมีการต่อคิวยาวขึ้น (เปิดรับบัตรคิวตอน 0700 เริ่มคิว 1 เวลา 0800) กลายเป็นต้องจองที่5000 หมายเลขหรือกว่านั้น ในเขตกรุงเทพมานคร เมื่อมีการออกรถยนต์ ก็ต้องมีพรบ และทำประกันภัยชั้น 1 แถมมากับรถยนต์ด้วย (แต่บางแห่ง ไม่แถม ให้เจ้าของรถยนต์ซื้อตั้งแต่วันแรก ก็มี) ทุกปีครบอายุ จำเป็นต้องต่อ พรบ เป็นอย่างน้อย ส่วนประกันภัยชั้น 1 นั้นสามารถต่อหรือไม่ทำก็ได้ หรือเลือกเป็นชั้น 2,3 ก็ได้ แล้วแต่เงินในกระเป๋าของผู้ขับขี่ปีต่อไป
เมืื่อใช้รถยนต์ไปเรื่อยๆ เจ้าของรถยนต์ก็นำรถยนต์เข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็คสภาพ ทุก 1,000 km แรก (บางรุ่นมาเจอกันที่ 10,000 km เลย) 10,000 km ,20,000km ,30,000km 40,000 km ,50,000km และ 100,000km
ทำให้อุตสาหกรรม น้ำมันหล่อลื่นก็ขยายตัวไปด้วย พวกอะไหล่ที่ใช้กับรถยนต์ก็เติบโตไปด้วย ส่วนล้อรถยนต์นั้น หากใช้ 3 ปีหรือกว่า 30,000km ก็ต้องเริ่มพิจารณาในการเปลี่ยนยาง ว่าสมควรเปลี่ยนยางหรือเปล่า
จากนั้นเมื่อมีรถยนต์ก็ต้องล้างรถ หรือ เคลือบ คริสตัล ทำให้อุตสาหกรรมล้างรถยนต์ หรือเคลือบเพิ่มขึ้น งานล้นมือในบางช่วงเวลา
ไม่เพียงเท่านั้น รถยนต์มีมากๆขึ้นก็ย่อมทำให้เกิดอุบัติเหตุมากขึ้น (บริษัทประกันภัยไม่ค่อยชอบ แต่อู่ชอบ ทั้งอู่ห้างหรืออู่ช่างรถยนต์ต่างๆ) ทำให้เกิดงานเพิ่มขึ้น คิวในการทำสีก็ยาวเมื่อก่อน จองคิวกันไม่นานคือ 1 อาทิตย์ก็อย่างเก่ง กลับกลายเป็น 1 เดือน เป็น 2 เดือน ในการจองคิว เพราะ คิวมันแน่นมากๆๆ ถ้าแน่นแบบนี้ก็ทำให้อู่ต้องขยายงานทั้งเครื่องจักร ทั้งคนในการดำเนินการเพิ่มขึ้น
แล้วที่สำคัญที่สุดเมื่อรถยนต์ออกมามากๆๆ โดยรถยนต์ส่วนใหญ่ยังใช้น้ำมัน พวกไฮบริค มีน้อย เมื่อเทียบสัดส่วนแล้ว รถยนต์แล่นได้เพราะมีการจุดระเบิดในห้องเครื่องโดยใช้น้ำมันในการจุดระเบิด ดังนั้น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับน้ำมันก็มีบริโภคที่เพิ่มขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อรถยนต์ใช้ไปใช้ไป ก็ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ เมื่ออายุประมาณ 2 ปี (แต่ถ้าหากขับเป็นระยะทางยาวๆ อายุแบตก็ยาวนานขึ้นเพื่อมีการได้ชาร์จไฟและจ่ายไฟที่ยาวนานขึ้น ทำให้แบตเก็บประจุได้ดี เหมือนแบตมือถือนั้นเอง)
ยังไม่หมด เมื่อเจ้าของรถยนต์ผ่อนรถไม่ได้ ก็ต้องมีการจัดการในการตามหนี้ หรือ จัดการยึดรถยนต์เพื่อดำเนินการขายรถยนต์เคลียร์หนี้สินที่ค้างชำระ ไปด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 114
เมื่อวานอ่านข่าวเรื่องของกรมสรรพามิต จ่ายเงินคืนภาษีสรรพามิตของรถยนต์คันแรก
(ถ้าจ่ายปีนี้แสดงว่า ซื้อรถตอนปี 2556 เพราะเงื่อนไขการคืนภาษีสรรพาสามิตของโครงการนี้คือ ถือครองอย่างน้อย 1 ปี และ เจ้าของต้องถือครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี ถ้าน้อยกว่า 5 ปีมีการขาย โอนทรัพย์สิน เจ้าของรถยนต์ต้องคืนภาษีสรรพาสามิตคืนให้กรมสรรพาสามิต ยกเว้นกรณีตาย)
แต่ยอดยังค้างคาในระบบอยู่อีก เป็นหมื่นล้านบาท แต่มีเงินงบประมาณไม่เท่าไรในการจ่าย ตอนนี้กำลังหาหนทางในการดำเนินการอยู่่จ่ายกันอย่างไง (อย่าให้เป็นการซ้ำรอย จำนำข้าวที่เป็นนโยบายยอดนิยมละกัน)
เงินจำนวนนี้ มีตั้งแต่ได้คืน 5 หมื่นกลางๆ (พวกที่เป็นเกียร์อัตโนมือ) จนถึงเต็มเพดานคือ 100,000 บาท เงินก้อนนี้เหมือนเงินที่โบยออกจาก ฮ.ที่บินบนฟากฟ้า มาใส่มือประชาชน เป็นการกระตุ้นยอดจับจ่ายให้แก่ประชาชนในช่วงนี้ แต่หากหมดเงินโครงการนี้อีกโครงการหนึ่ง ปีหน้าก็ไม่มีนโยบายยอดนิยมมาพยุงเศรษฐกิจไทย
กลับมาเรื่องรถยนต์ ยอดขายรถยนต์ปี 2556 ตกลงในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งปกติแล้ว รถยนต์ นั้นยอดจดทะเบียนจะมากในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย. เท่านั้น ไม่นิยมจดทะเบียนในเดือน ก.ค. ถึง ธ.ค.ของแต่ละปีเนื่องจาก การนับอายุของรถยนต์นั้นเอง
จดวันที่ 31 ธ.ค. 2556 (ถ้าหากรัฐบาลเปิดทำการ) ก็นับเป็นรถปี 2556 อยู่ดี การซื้อขายรถยนต์ในตลาดรอง นับปีรถยนต์ตามปีที่จดทะเบียน ส่วน Model นั้นรถยนต์มีส่วนคือ เป็น Model หลัก หรือ Model ที่ปร้บปรุงเปลี่ยนแปลงมาก โดยรถยนต์แต่ละ Model มีอายุประมาณ 2-5 ปีในการปรับปรุง เล็กหรือใหญ่ก็ตาม เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายของค่ายรถยนต์ไปในตัวด้วย
เดี๋ยวไปอ่านเรื่อง ลูกชิ้นทำไมมันเล็กลง ในหน้าหนังสือพิมพ์ก่อนละ
ช่วงนี้ก็สังเกตเห็นอยู่เหมือนกันว่า ร้านก๋วยเตี๋ยวให้ลูกชิ้นน้อยลงและลูกเล็กกว่าเดิม
มันมีปัญหาที่จุดไหนหนอในเรื่องก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น
(ถ้าจ่ายปีนี้แสดงว่า ซื้อรถตอนปี 2556 เพราะเงื่อนไขการคืนภาษีสรรพาสามิตของโครงการนี้คือ ถือครองอย่างน้อย 1 ปี และ เจ้าของต้องถือครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี ถ้าน้อยกว่า 5 ปีมีการขาย โอนทรัพย์สิน เจ้าของรถยนต์ต้องคืนภาษีสรรพาสามิตคืนให้กรมสรรพาสามิต ยกเว้นกรณีตาย)
แต่ยอดยังค้างคาในระบบอยู่อีก เป็นหมื่นล้านบาท แต่มีเงินงบประมาณไม่เท่าไรในการจ่าย ตอนนี้กำลังหาหนทางในการดำเนินการอยู่่จ่ายกันอย่างไง (อย่าให้เป็นการซ้ำรอย จำนำข้าวที่เป็นนโยบายยอดนิยมละกัน)
เงินจำนวนนี้ มีตั้งแต่ได้คืน 5 หมื่นกลางๆ (พวกที่เป็นเกียร์อัตโนมือ) จนถึงเต็มเพดานคือ 100,000 บาท เงินก้อนนี้เหมือนเงินที่โบยออกจาก ฮ.ที่บินบนฟากฟ้า มาใส่มือประชาชน เป็นการกระตุ้นยอดจับจ่ายให้แก่ประชาชนในช่วงนี้ แต่หากหมดเงินโครงการนี้อีกโครงการหนึ่ง ปีหน้าก็ไม่มีนโยบายยอดนิยมมาพยุงเศรษฐกิจไทย
กลับมาเรื่องรถยนต์ ยอดขายรถยนต์ปี 2556 ตกลงในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งปกติแล้ว รถยนต์ นั้นยอดจดทะเบียนจะมากในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย. เท่านั้น ไม่นิยมจดทะเบียนในเดือน ก.ค. ถึง ธ.ค.ของแต่ละปีเนื่องจาก การนับอายุของรถยนต์นั้นเอง
จดวันที่ 31 ธ.ค. 2556 (ถ้าหากรัฐบาลเปิดทำการ) ก็นับเป็นรถปี 2556 อยู่ดี การซื้อขายรถยนต์ในตลาดรอง นับปีรถยนต์ตามปีที่จดทะเบียน ส่วน Model นั้นรถยนต์มีส่วนคือ เป็น Model หลัก หรือ Model ที่ปร้บปรุงเปลี่ยนแปลงมาก โดยรถยนต์แต่ละ Model มีอายุประมาณ 2-5 ปีในการปรับปรุง เล็กหรือใหญ่ก็ตาม เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายของค่ายรถยนต์ไปในตัวด้วย
เดี๋ยวไปอ่านเรื่อง ลูกชิ้นทำไมมันเล็กลง ในหน้าหนังสือพิมพ์ก่อนละ
ช่วงนี้ก็สังเกตเห็นอยู่เหมือนกันว่า ร้านก๋วยเตี๋ยวให้ลูกชิ้นน้อยลงและลูกเล็กกว่าเดิม
มันมีปัญหาที่จุดไหนหนอในเรื่องก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 115
เรื่องของลูกชิ้นนั้น เป็นเรื่องของลูกชิ้นหมูเจ้าหนึ่ง ที่มีหน้าร้านเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ในห้างดังแถวใจกลางเมืองด้วย ราคาหมูเพิ่มขึ้น 20 บาทต่อกิโลกรัม แต่พลักภาระไปให้ผู้ซื้อลูกชิ้นได้แค่ 10 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น อีก 10 บาทต่อกิโลกรัมที่เพิ่มขึ้นมาแบกไว้กับตัวเอง ทำให้จำนวนลูกชิ้นที่เราๆท่านๆทานนั้น ขนาดเล็กลง และ ได้จำนวนที่น้อยลง
เนี่ยคือ ผลพลวงจากสิ่งที่เกิดขึ้น
ยังไม่รวมเรื่องค่า GAS ที่เพิ่ม ,ค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้น ด้วย
เนี่ยคือ ผลพลวงจากสิ่งที่เกิดขึ้น
ยังไม่รวมเรื่องค่า GAS ที่เพิ่ม ,ค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้น ด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 116
ปีที่แล้ว (2556) นั้น เป็นปีทองของอุตสาหกรรมประกัน
ทำไม ถึงพูดแบบนั้นได้ เดี๋ยวไล่เรียงให้ดูว่าทำไม
1. การที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง. ลง มันทำให้ราคาตราสารหนี้เพิ่มขึ้น
จุดนี้มีผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทประกันโดยตรง ที่ส่วนใหญ่การลงทุนนั้นถือครองตราสารหนี้เป็นหลัก
2. คปภ เพิ่มสัดส่วนในการลงทุนตราสารทุนได้ ซึ่งตลาดตราสารทุนในครึ่งปีแรกของ 2556 (นับแค่ถึงเดือน พ.ค. 2556) เรียกได้ว่า ซื้อตัวไหนก็ขึ้นทั้งหมด
3. การกระตุ้นการบริโภคของรัฐ ที่มีมาตราการทั้งรถคันแรก ,บ้านหลังแรก การปรับลดภาษีของนิติบุคคล
4. บุคคลธรรมและนิติบุคคลให้ความสำคัญในการประกันภัยมากขึ้น หลังจากเกิดเหตุการณ์ มหาอุทกภัย ขึ้นในปี 2554
5. ปี 2556 ไม่มีภัยธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมประกันอย่างมาก ซึ่งทำให้มีกำไรจากการรับประกันมากขึ้น
6. ประกันชีวิตเอง ก็ได้แรงจากการที่ธนาคารพาณิชย์ ใหญ่ๆ ทำตัวเป็น Bank assurance เพิ่มขึ้น (ที่หนึ่งจากเดิม SCB เป็น KBANK)
7. ปี 2556 นั้นมีการขายธุรกิจประกันชีวิต และประกันวินาศภัย เป็นปีที่ธุรกิจประกันขยับตัวมากปีหนึ่ง มีเหล้าเก่าในขวดใหม่นั้นเอง
หลายต่อหลายท่านเริ่มให้ความสนใจในธุรกิจประกันมากขึ้น จากเมื่อก่อนนักลงทุนไม่ค่อยให้ความสนใจในหุ้นกลุ่มนี้ แต่เดี๋ยวนี้ให้ความสนใจมากขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างไรเสีย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น คปภ หรือ กลต เองก็ดี ยังไม่ค่อยให้ความรู้แก่นักลงทุนในเรื่องของประกันเท่่าไร คปภ เองมุ่งเน้นให้ประชาชนนั้นเข้าใจการทำประกันในด้านของความเสี่ยงที่เกิดขึ้น การเครมประกันในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ ส่วน กลต. ไม่ให้ความรู้ในการลงทุนเกี่ยวกับประกันเลย (รวมถึงไม่มีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไร ทั้งจาก คปภ เองด้วย)
ดังนั้น อุตสาหกรรม ประกัน ยังเป็นแดนสนธยาของนักลงทุนต่อไป
ทำไม ถึงพูดแบบนั้นได้ เดี๋ยวไล่เรียงให้ดูว่าทำไม
1. การที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง. ลง มันทำให้ราคาตราสารหนี้เพิ่มขึ้น
จุดนี้มีผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทประกันโดยตรง ที่ส่วนใหญ่การลงทุนนั้นถือครองตราสารหนี้เป็นหลัก
2. คปภ เพิ่มสัดส่วนในการลงทุนตราสารทุนได้ ซึ่งตลาดตราสารทุนในครึ่งปีแรกของ 2556 (นับแค่ถึงเดือน พ.ค. 2556) เรียกได้ว่า ซื้อตัวไหนก็ขึ้นทั้งหมด
3. การกระตุ้นการบริโภคของรัฐ ที่มีมาตราการทั้งรถคันแรก ,บ้านหลังแรก การปรับลดภาษีของนิติบุคคล
4. บุคคลธรรมและนิติบุคคลให้ความสำคัญในการประกันภัยมากขึ้น หลังจากเกิดเหตุการณ์ มหาอุทกภัย ขึ้นในปี 2554
5. ปี 2556 ไม่มีภัยธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมประกันอย่างมาก ซึ่งทำให้มีกำไรจากการรับประกันมากขึ้น
6. ประกันชีวิตเอง ก็ได้แรงจากการที่ธนาคารพาณิชย์ ใหญ่ๆ ทำตัวเป็น Bank assurance เพิ่มขึ้น (ที่หนึ่งจากเดิม SCB เป็น KBANK)
7. ปี 2556 นั้นมีการขายธุรกิจประกันชีวิต และประกันวินาศภัย เป็นปีที่ธุรกิจประกันขยับตัวมากปีหนึ่ง มีเหล้าเก่าในขวดใหม่นั้นเอง
หลายต่อหลายท่านเริ่มให้ความสนใจในธุรกิจประกันมากขึ้น จากเมื่อก่อนนักลงทุนไม่ค่อยให้ความสนใจในหุ้นกลุ่มนี้ แต่เดี๋ยวนี้ให้ความสนใจมากขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างไรเสีย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น คปภ หรือ กลต เองก็ดี ยังไม่ค่อยให้ความรู้แก่นักลงทุนในเรื่องของประกันเท่่าไร คปภ เองมุ่งเน้นให้ประชาชนนั้นเข้าใจการทำประกันในด้านของความเสี่ยงที่เกิดขึ้น การเครมประกันในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ ส่วน กลต. ไม่ให้ความรู้ในการลงทุนเกี่ยวกับประกันเลย (รวมถึงไม่มีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไร ทั้งจาก คปภ เองด้วย)
ดังนั้น อุตสาหกรรม ประกัน ยังเป็นแดนสนธยาของนักลงทุนต่อไป
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 117
ณ วันนี้ (16 เมษายน 2557)
ถ้าหากนักลงทุนเอาเงินไปฝากธนาคาร โดยฝากประจำ 1 ปีได้ผลตอบแทน 1.75-2.90
(อ้างอิง http://www.bot.or.th/thai/statistics/fi ... _Rate.aspx ) แถมการลงทุนแบบนี้เสียภาษี 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับด้วย
ส่วนการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ อาจจะได้ประมาณ 2.5-3% ต่อปี มากกว่า เงินฝากประจำของธนาคาร
หากลงทุนโดยการฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ได้ประมาณ 3.5% ต่อปี หรือมากกว่า
หากลงทุนพันธบัตรรัฐบายอายุ 1 ปี 2.09%
ดังนั้น เมื่อดูแล้ว ผลตอบแทนของ หุ้น ที่อยู่ในรูปปันผล ปีนี้ไปสู่ปีหน้า ควรที่ได้มากกว่า 3.5% ถ้าเทียบกับเงินฝากแล้ว
ซีึ่งในปัจจุบัน พูดกันอยู่ที่ 3% ซึ่งถ้าหากปันผลในระดับ 3% นั้น แสดงว่า ความเสี่ยงต่อผลตอบแทนของเรานั้น วัดออกมาแล้วได้ค่าที่สูงเกินไป หรือเปล่า เกินความเหมาะสมหรือเปล่า น่าจะพิจารณาดูล่ะกัน
ปล
ที่ผมในเรื่องนี้ มันคือการเทียบในด้านของดอกเบี้ย และ ปันผล
ไม่ได้เทียบในเรื่องของ Capital Gain ล่ะครับ
สิ่งที่เทียบนี้ เป็นสิ่งที่สะท้อนอะไำรบ้างอย่างในวิธีการคิดของ VI ในหนังสือของ คุณเกรแฮม อยู่ด้วย
ลองไปเปิดหาดูล่ะกันครับ
ถ้าหากนักลงทุนเอาเงินไปฝากธนาคาร โดยฝากประจำ 1 ปีได้ผลตอบแทน 1.75-2.90
(อ้างอิง http://www.bot.or.th/thai/statistics/fi ... _Rate.aspx ) แถมการลงทุนแบบนี้เสียภาษี 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับด้วย
ส่วนการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ อาจจะได้ประมาณ 2.5-3% ต่อปี มากกว่า เงินฝากประจำของธนาคาร
หากลงทุนโดยการฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ได้ประมาณ 3.5% ต่อปี หรือมากกว่า
หากลงทุนพันธบัตรรัฐบายอายุ 1 ปี 2.09%
ดังนั้น เมื่อดูแล้ว ผลตอบแทนของ หุ้น ที่อยู่ในรูปปันผล ปีนี้ไปสู่ปีหน้า ควรที่ได้มากกว่า 3.5% ถ้าเทียบกับเงินฝากแล้ว
ซีึ่งในปัจจุบัน พูดกันอยู่ที่ 3% ซึ่งถ้าหากปันผลในระดับ 3% นั้น แสดงว่า ความเสี่ยงต่อผลตอบแทนของเรานั้น วัดออกมาแล้วได้ค่าที่สูงเกินไป หรือเปล่า เกินความเหมาะสมหรือเปล่า น่าจะพิจารณาดูล่ะกัน
ปล
ที่ผมในเรื่องนี้ มันคือการเทียบในด้านของดอกเบี้ย และ ปันผล
ไม่ได้เทียบในเรื่องของ Capital Gain ล่ะครับ
สิ่งที่เทียบนี้ เป็นสิ่งที่สะท้อนอะไำรบ้างอย่างในวิธีการคิดของ VI ในหนังสือของ คุณเกรแฮม อยู่ด้วย
ลองไปเปิดหาดูล่ะกันครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 118
ทำไมช่วงนี้ต่างชาติซื้อ หุ้นสามัญกัน
ถ้าหากมองย้อนกลับไปเดือน มกราคม 2557 มีดิวอันหนึ่งประกาศคือ ACE ซื้อ SCSMG จาก SCB จำนวนเงินที่ใช้ในการซื้อเบื้องต้นคือ 3,744,238,742.40 บาท (27.6บาทต่อหุ้น * จำนวนหุ้นที่ SCB ถือครองคือ 135,660,824หุ้น)
ซึ่งดิวนี้ SCB ถือ ครองหุ้น SCSMG แค่ 60.86 % ของหุ้นทั้งหมด ดังนั้นทำ Tender Offer ด้วย (ข่าวออกเดือนมกราคม 2557)
เงิน 3-4 พันล้านบาท นั้น การที่เอาเงินเข้าออกแต่ละครั้ง จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการเอาเข้าออก ถ้าเอาเข้าพรวดเดียวนั้น ทำให้ ค่าเงินโดนแรงกระแทกมากมาย เมื่อเอาเข้ามาในประเทศแล้ว จำเป็นต้องหาที่พักเงิน เช่นธนาคาร (ถ้าธนาคารมีเงินฝากๆๆมากก ก็มีผลกระทบ ต้องขออนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย) ,พักไว้ที่ตราสารหนี้ระยะสั้น ,ลงทุนในหลักทรัพย์ในหุ้นสามัญระยะสั้นๆ (อันนี้เสี่ยงมากๆๆ แต่ไม่รู้ว่ามีทำหรือเปล่า)
ประกอบกับค่าเงินบาท เทียบกับ ดอลล่าร์ที่เริ่มแข็งค่าจาก 33 บาทต่อ $1 มาอยู่ที่ประมาณ 32.1-32.3 บาทต่อ $1 แล้วในเวลานี้
เรียกได้ว่า Flow Fund ได้กลับมาทำงานของมันแล้วหรือเปล่า
ถ้าหาก ACE กู้เงินเพื่อมาซื้อก็สามารถทำได้ แต่ เงินกู้ขนาด 1 พันล้านบาท จำเป็นต้องกู้หลายธนาคาร ไม่ใช่แค่ 1 ธนาคารสามารถปล่อยกู้ (ดูเคสของ CPALL ซื้อ MAKRO ปี 2556 ที่ข่าวตอนแรก SCB ปล่อยกู้เจ้าเดียว แต่สุดท้ายอย่างไงๆ ก็มีธนาคารหลายแห่งปล่อยกู้ SCB ธนาคารเดียวปล่อยกู้ ก็เหนื่อยเอาเรื่องเพราะ ขอ ธปท เลย)
ลองติดตามดูละกัน
ปล
ถ้าใครดูกลุ่มธนาคาร ปีที่แล้วปลายปี มี CASE พิเศษคือ BAY โดน มิตซุย ซื้อ
ปีนี้และปีหน้าจับตาว่า BAY ควบรวมกับมิตซุยเมื่อไร เพราะ มิตซุยของผ่อนผันกับ ธปท ไว้ ให้ตัวเองมีธนาคารได้สองแห่งในประเทศไทย คือ BAY และ มิตซุย สาขาประเทศไทยนั้นเอง
อีกธนาคาร คือ TMB ก็มีข่าวออกจากหนังสือหุ้น เป็นประจำสม่ำเสมอเลย ว่ามีคนใจเข้า Take Over แต่สุดท้ายแล้ว
ก็ไม่เป็นความจริง
ดังนั้น ท่องไว้ครับ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศีกษาก่อนการลงทุน
ถ้าหากมองย้อนกลับไปเดือน มกราคม 2557 มีดิวอันหนึ่งประกาศคือ ACE ซื้อ SCSMG จาก SCB จำนวนเงินที่ใช้ในการซื้อเบื้องต้นคือ 3,744,238,742.40 บาท (27.6บาทต่อหุ้น * จำนวนหุ้นที่ SCB ถือครองคือ 135,660,824หุ้น)
ซึ่งดิวนี้ SCB ถือ ครองหุ้น SCSMG แค่ 60.86 % ของหุ้นทั้งหมด ดังนั้นทำ Tender Offer ด้วย (ข่าวออกเดือนมกราคม 2557)
เงิน 3-4 พันล้านบาท นั้น การที่เอาเงินเข้าออกแต่ละครั้ง จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการเอาเข้าออก ถ้าเอาเข้าพรวดเดียวนั้น ทำให้ ค่าเงินโดนแรงกระแทกมากมาย เมื่อเอาเข้ามาในประเทศแล้ว จำเป็นต้องหาที่พักเงิน เช่นธนาคาร (ถ้าธนาคารมีเงินฝากๆๆมากก ก็มีผลกระทบ ต้องขออนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย) ,พักไว้ที่ตราสารหนี้ระยะสั้น ,ลงทุนในหลักทรัพย์ในหุ้นสามัญระยะสั้นๆ (อันนี้เสี่ยงมากๆๆ แต่ไม่รู้ว่ามีทำหรือเปล่า)
ประกอบกับค่าเงินบาท เทียบกับ ดอลล่าร์ที่เริ่มแข็งค่าจาก 33 บาทต่อ $1 มาอยู่ที่ประมาณ 32.1-32.3 บาทต่อ $1 แล้วในเวลานี้
เรียกได้ว่า Flow Fund ได้กลับมาทำงานของมันแล้วหรือเปล่า
ถ้าหาก ACE กู้เงินเพื่อมาซื้อก็สามารถทำได้ แต่ เงินกู้ขนาด 1 พันล้านบาท จำเป็นต้องกู้หลายธนาคาร ไม่ใช่แค่ 1 ธนาคารสามารถปล่อยกู้ (ดูเคสของ CPALL ซื้อ MAKRO ปี 2556 ที่ข่าวตอนแรก SCB ปล่อยกู้เจ้าเดียว แต่สุดท้ายอย่างไงๆ ก็มีธนาคารหลายแห่งปล่อยกู้ SCB ธนาคารเดียวปล่อยกู้ ก็เหนื่อยเอาเรื่องเพราะ ขอ ธปท เลย)
ลองติดตามดูละกัน
ปล
ถ้าใครดูกลุ่มธนาคาร ปีที่แล้วปลายปี มี CASE พิเศษคือ BAY โดน มิตซุย ซื้อ
ปีนี้และปีหน้าจับตาว่า BAY ควบรวมกับมิตซุยเมื่อไร เพราะ มิตซุยของผ่อนผันกับ ธปท ไว้ ให้ตัวเองมีธนาคารได้สองแห่งในประเทศไทย คือ BAY และ มิตซุย สาขาประเทศไทยนั้นเอง
อีกธนาคาร คือ TMB ก็มีข่าวออกจากหนังสือหุ้น เป็นประจำสม่ำเสมอเลย ว่ามีคนใจเข้า Take Over แต่สุดท้ายแล้ว
ก็ไม่เป็นความจริง
ดังนั้น ท่องไว้ครับ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศีกษาก่อนการลงทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 119
อดีตย้อนรอยปัจจุบัน ภาคประมูล 4G
ยังจำกันได้หรือเปล่า การประมูล 3G ที่ผ่านมาไม่นาน
ในการประมูลนั้น มีการปล่อยกู้จากธนาคารพาณิชย์ (สังเกตจากการนำส่งเงินหลังประมูล 3G
จะเห็นป้ายขนาดใหญ่ที่ บริษัทที่ประมูลได้ มีตราโลโก้จากธนาคารแปะอยู่ด้วย)
หากประมูล 4G เกิดในปีนี้ไม่มีโลกเลื่อน สิ่งที่น่าจับตาคือ ธนาคารพาณิชย์เอาเงินที่ไหนในการปล่อยกู้รอบนี้
ตอนนี้ไตรมาสที่ 1/2557 ยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขยายตัวน้อยมากหรือ ไม่ขยายตัวเลย
ข่าวหลายข่าวกลัว NPL แต่จริงๆ แล้ว ถ้าอ่านเกมนี้ คือ ธนาคารพาณิชย์รอปล่อยกู้โครงการขนาดใหญ่แทน
(หลังจากอกหักจาก 2 ล้านล้านที่แท้งไป)
ในรอบที่ประมูล 3G เงินไหลเข้ามาในประเทศไทย เพื่อรับการประมูล3G นั้นเอง แต่ก่อนที่เงินไหลเข้า
ต่างชาิติก็มองแล้ว ถ้าเงินเราไม่อ่อนค่า เขาใช้เงินมากในการนี้ ดังนั้น ถ้าให้ดีต้องทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าก่อน
งานนี้ ทำอย่างไรให้ค่าเงินมันอ่อนค่าละเนี่ย มันต้องมีวิธีทางของมัน
งานนี้รัฐก็อมยิ้มเลย ถ้าหากประมูลได้ ก็มีเงินส่งจาก กสทช นั้นเอง รัฐก็นั่งยิ้มว่า มีเงินในการใช้พัฒนาต่อไปนั้นเอง
(เดี๋ยวมาเขียนต่อ)
ยังจำกันได้หรือเปล่า การประมูล 3G ที่ผ่านมาไม่นาน
ในการประมูลนั้น มีการปล่อยกู้จากธนาคารพาณิชย์ (สังเกตจากการนำส่งเงินหลังประมูล 3G
จะเห็นป้ายขนาดใหญ่ที่ บริษัทที่ประมูลได้ มีตราโลโก้จากธนาคารแปะอยู่ด้วย)
หากประมูล 4G เกิดในปีนี้ไม่มีโลกเลื่อน สิ่งที่น่าจับตาคือ ธนาคารพาณิชย์เอาเงินที่ไหนในการปล่อยกู้รอบนี้
ตอนนี้ไตรมาสที่ 1/2557 ยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขยายตัวน้อยมากหรือ ไม่ขยายตัวเลย
ข่าวหลายข่าวกลัว NPL แต่จริงๆ แล้ว ถ้าอ่านเกมนี้ คือ ธนาคารพาณิชย์รอปล่อยกู้โครงการขนาดใหญ่แทน
(หลังจากอกหักจาก 2 ล้านล้านที่แท้งไป)
ในรอบที่ประมูล 3G เงินไหลเข้ามาในประเทศไทย เพื่อรับการประมูล3G นั้นเอง แต่ก่อนที่เงินไหลเข้า
ต่างชาิติก็มองแล้ว ถ้าเงินเราไม่อ่อนค่า เขาใช้เงินมากในการนี้ ดังนั้น ถ้าให้ดีต้องทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าก่อน
งานนี้ ทำอย่างไรให้ค่าเงินมันอ่อนค่าละเนี่ย มันต้องมีวิธีทางของมัน
งานนี้รัฐก็อมยิ้มเลย ถ้าหากประมูลได้ ก็มีเงินส่งจาก กสทช นั้นเอง รัฐก็นั่งยิ้มว่า มีเงินในการใช้พัฒนาต่อไปนั้นเอง
(เดี๋ยวมาเขียนต่อ)
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โพสต์ที่ 120
สัญญาณจากหน่วยงานภาครัฐผิดเพี้ยนหรือเปล่า
สัญญาณจากภาครัฐ ไล่ตั้งแต่
1. หน่วยงานแรก ธปท หน่วยงานนี้ เปิดวู๊ด ดัง ในเรื่องของหนี้สินภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาหลังจากน้ำท่วม ปี 2554 เป็นต้นมา
2. หน่วยงานที่สองคือ กรมสรรพากร ที่บอกว่าเก็บภาษีที่ได้น้อยลง แสดงว่า แรงอะไรที่มีผลมากกว่ากัน 1 รายได้ของนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาที่ลดลง หรือ 2. อัตราภาษีที่ลดลงจากเดิมทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา
3. หน่วยงานที่สามออกมาคือ กรมสรรพาสามิต ที่ออกมาโวยวายเรื่องไม่มีเงินจ่ายประชาชนในส่วนของรถยนต์คันแรก (เงื่อนไขของการรับภาษีสรรพาสามิตคืนในส่วนของโครงการรถยนต์คันแรกคือ เจ้าของไม่คืนซื้อรถยนต์มาก่อนเลยเพิ่งซื้อรถยนต์คันแรก , ต่อมาคือ ราคารถยนต์ ไม่เกิน 1 ล้านบาท , สำหรับเบนซินความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1500 cc ,ถือครองอย่างน้อย 1 ปี (อันนี้ตีความว่า เจ้าของรถจดทะเบียนต่อกรมขนส่งทางบกมาอย่างน้อย 1 ปี นั้นคือ จดทะเบียนเดือน มิ.ย. 2556 ได้เงินภาษีสรรพาสามิตรถยนต์คืน ก.ค. 2557 ) ,เจ้าของไม่ขายรถยนต์คันนี้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี)
สัญญาณจากสิ่งรอบข้างจากอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์
1. ยอดการปล่อยสินเชื่อที่หดตัว หรือ คงตัว
2. ยอดการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ใช่อัตราเร่งเครื่องใส่เกียร์ 5 แต่เริ่มๆๆ ใส่เกียร์เดินหน้าที่เร็วขึ้น
3. สัญญาณเตือนการเกิดซึนามิทางการเงินจาก เครดิต บูโรทัง ที่เริ่มเป่าประกาศว่า ยอดบัญชีที่เพิ่มขึ้นมีสัญญาณที่ลดลง, ยอดการจ่ายล่าช้าในระยะเวลา 1 -90 วันเพิ่มขึ้น สำหรับลูกหนี้กล่าวถึงเป็นพิเศษ ,ที่สำคัญคือ จำนวนผู้ใช้บริการจากตอนที่ก่อตั้งใช้ 50,000 ครั้งต่อปี กลับกลายเป็นตอนนี้เดือนละประมาณ 50,000 ครั้งแล้ว มันเติบโต 12 เท่าเลย ในระยะเวลาอันสั้น
เนี่ยคือ สัญญาณเตือนที่เห็น ที่ส่งมาผิดเพี้ยน
แต่อย่างไรเสีย คำถามว่าทำไมไตรมาส 1/2014 ประกาศออกมา ทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ รวมถึงสินเชื่อบุคคลรายใหญ่ แสดงตัวเลขออกมาเติบโต สิ่งเราเห็นคือ ยอดสินเชื่อไม่เพิ่มเท่าไร แต่ทำไมหนอกำไรเพิ่มขึ้น เพราะว่า มีกิจการอื่นๆช่วย เช่น ตัวแทน/นายประกันภัย ,รายได้จากการลงทุน เป็นต้น และที่สำคัญ คือ อานิจสงฆ์จากการปล่อยสินเชื่อในช่วงก่อนหน้านี้ ประชาชนยังมีกำลังจ่ายอยู่ในระดับหนึ่งอยู่ถ้าเกิดปัญหาตอนนี้ ประชาชนเดินไปคุยกับสถาบันการเงินมากขึ้น แต่อย่างไรเสีย สัญญาณมันบอกอยู่ว่าอะไรคืออะไร
สรุป ในสายตาของผม ไตรมาส 1/2014 ยังดูดีเห็นได้จากกำไรจากบริษัทจดทะเบียน
แต่ไตรมาส 2/2014 ผมไม่กล้าเสี่ยงทาย ณ ตอนนี้
สัญญาณจากภาครัฐ ไล่ตั้งแต่
1. หน่วยงานแรก ธปท หน่วยงานนี้ เปิดวู๊ด ดัง ในเรื่องของหนี้สินภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาหลังจากน้ำท่วม ปี 2554 เป็นต้นมา
2. หน่วยงานที่สองคือ กรมสรรพากร ที่บอกว่าเก็บภาษีที่ได้น้อยลง แสดงว่า แรงอะไรที่มีผลมากกว่ากัน 1 รายได้ของนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาที่ลดลง หรือ 2. อัตราภาษีที่ลดลงจากเดิมทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา
3. หน่วยงานที่สามออกมาคือ กรมสรรพาสามิต ที่ออกมาโวยวายเรื่องไม่มีเงินจ่ายประชาชนในส่วนของรถยนต์คันแรก (เงื่อนไขของการรับภาษีสรรพาสามิตคืนในส่วนของโครงการรถยนต์คันแรกคือ เจ้าของไม่คืนซื้อรถยนต์มาก่อนเลยเพิ่งซื้อรถยนต์คันแรก , ต่อมาคือ ราคารถยนต์ ไม่เกิน 1 ล้านบาท , สำหรับเบนซินความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1500 cc ,ถือครองอย่างน้อย 1 ปี (อันนี้ตีความว่า เจ้าของรถจดทะเบียนต่อกรมขนส่งทางบกมาอย่างน้อย 1 ปี นั้นคือ จดทะเบียนเดือน มิ.ย. 2556 ได้เงินภาษีสรรพาสามิตรถยนต์คืน ก.ค. 2557 ) ,เจ้าของไม่ขายรถยนต์คันนี้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี)
สัญญาณจากสิ่งรอบข้างจากอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์
1. ยอดการปล่อยสินเชื่อที่หดตัว หรือ คงตัว
2. ยอดการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ใช่อัตราเร่งเครื่องใส่เกียร์ 5 แต่เริ่มๆๆ ใส่เกียร์เดินหน้าที่เร็วขึ้น
3. สัญญาณเตือนการเกิดซึนามิทางการเงินจาก เครดิต บูโรทัง ที่เริ่มเป่าประกาศว่า ยอดบัญชีที่เพิ่มขึ้นมีสัญญาณที่ลดลง, ยอดการจ่ายล่าช้าในระยะเวลา 1 -90 วันเพิ่มขึ้น สำหรับลูกหนี้กล่าวถึงเป็นพิเศษ ,ที่สำคัญคือ จำนวนผู้ใช้บริการจากตอนที่ก่อตั้งใช้ 50,000 ครั้งต่อปี กลับกลายเป็นตอนนี้เดือนละประมาณ 50,000 ครั้งแล้ว มันเติบโต 12 เท่าเลย ในระยะเวลาอันสั้น
เนี่ยคือ สัญญาณเตือนที่เห็น ที่ส่งมาผิดเพี้ยน
แต่อย่างไรเสีย คำถามว่าทำไมไตรมาส 1/2014 ประกาศออกมา ทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ รวมถึงสินเชื่อบุคคลรายใหญ่ แสดงตัวเลขออกมาเติบโต สิ่งเราเห็นคือ ยอดสินเชื่อไม่เพิ่มเท่าไร แต่ทำไมหนอกำไรเพิ่มขึ้น เพราะว่า มีกิจการอื่นๆช่วย เช่น ตัวแทน/นายประกันภัย ,รายได้จากการลงทุน เป็นต้น และที่สำคัญ คือ อานิจสงฆ์จากการปล่อยสินเชื่อในช่วงก่อนหน้านี้ ประชาชนยังมีกำลังจ่ายอยู่ในระดับหนึ่งอยู่ถ้าเกิดปัญหาตอนนี้ ประชาชนเดินไปคุยกับสถาบันการเงินมากขึ้น แต่อย่างไรเสีย สัญญาณมันบอกอยู่ว่าอะไรคืออะไร
สรุป ในสายตาของผม ไตรมาส 1/2014 ยังดูดีเห็นได้จากกำไรจากบริษัทจดทะเบียน
แต่ไตรมาส 2/2014 ผมไม่กล้าเสี่ยงทาย ณ ตอนนี้