ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 1
Buy Thailand. I Am.
The financial world is a mess, both in United States and abroad. Its problems, moreover, have been leaking into the general economy, and the leaks are now turning into a gusher. In the near term, unemployment will rise, business activity will falter and headlines will continue to be scary.
So ... I’ve been buying American stocks.
, ข้อความจาก Buy America, I am., โดย วอร์เรน บัฟเฟตต์ 2008
ผมเริ่มต้นบทความนี้ในคืนนี้เพราะเป็นคืนที่ผมมีสมาธิในการที่จะลุกขึ้นมาเขียนบทความที่เต็มไปด้วยความตั้งใจอยากจะเขียน แม้ว่าร่างกายจะอ่อนล้าเต็มที เพราะมันเป็นคืนนี้และถ้าเป็นคืนอื่นผมคงเขียนไม่ได้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียนบทความ Buy American, I am ในปี 2008. ด้วยข้อความด้านบนเป็นบทความที่ผมชื่นชมแกมหมั่นไส้ อ่านแล้วก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งออกแนวชาตินิยมเสียมาก ผมชื่นชมเพราะเค้าสามารถมองประเทศเค้าได้ออกมาในเชิงบวกทั้งที่ในปี 2008 วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์มันย่ำแย่มาจากอเมริกาโดยแท้ และที่หมั่นไส้ก็เพราะการที่เค้าเป็นชาตินิยมนี่หล่ะครับ
อย่างไรก็ตามวอร์เรน ก็คือ วอร์เรน แนวคิดของวอร์เรนนั้นเป็นอย่างไรเค้าถึงเป็นตำนาน และแล้ววันนี้ ดาวน์โจนส์ก็ทำสถิติใหม่สูงสุดจนได้ วันที่ดาวน์โจนส์ทำสถิติเกิน 16,000 จุดก็มีให้เห็น เปล่าครับผมไม่ได้กำลังจะนำประเทศไทยไปเปรียบเทียบกับอเมริกา
แต่ผมอยากชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีอะไรที่น่าลงทุนแล้วก็คงต้องอ่านความเห็นของคน ๆ หนึ่งที่คลุกคลีกับตลาดเกิดใหม่มานานอย่าง มาร์ค โมเบียส กองทุนเทมพลิตัน โมเบียสเอง เขียนถึงประเทศไทยในหนังสือ Passport To Profit ของเขา และเขายังเขียนถึงคำพังเพย “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” อีกด้วย เมื่อต้นปี ดร. โมเบียส ได้ให้เหตุผลหลาย ๆ เหตุผลที่น่าฟังว่าทำไมท่านจึงเลือกประเทศไทย เมื่อตอนต้นปีท่านบอกว่าสาเหตุสำคัญคือ Capitalizing on the Rising Middle Class จาก (1) การที่ชนชั้นกลางมีมากขึ้น (2) ความเจริญจากเมืองหลวงกระจายสู่ชนบทมากขึ้น และ (3) การที่ไทยล้อมรอบไปด้วยเพื่อนบ้านที่พร้อมจะโตอย่าง ลาว กัมพูชา พม่า นั่นคือสิ่งที่น่าสนใจ รวมถึง (4) Promoting from Within รวมถึงมาตรการภาษีต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการโตของประเทศ นั่นคือสิ่งที่ท่านเขียนไว้เมื่อต้นปีนะครับ
อย่างไรก็ตามแม้สถานการณ์ตอนนี้จะเปลี่ยนไปแล้ว ในระยะสั้น เราต้องเผชิญกับ GDP ที่ไม่ได้ตามเป้า โดยการบริโภคภาคเอกชนยังคงซบเซาโดยไม่ขยายตัวเลย เนื่องจากประชาชนยังระมัดระวังการใช้จ่ายจากความเชื่อมั่นที่ลดลง และตลาดหุ้นที่ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าให้ผมเลือกลงทุน ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสลงทุนในหุ้นประเทศไทย
ทำไม?
1. ผลตอบแทนทางตรง คือ เงินปันผล ผมชอบมองอัตราการตอบแทนเปรียบเทียบ โดยผมมักจะมองว่าถ้าผมไม่ลงทุน ก็คือฝากเงินฝาก อย่างนี้เป็นต้น จากข้อมูลที่ผมติดตาม ณ วันนี้ วันที่ 2 ธันวาคม 2556 อัตราดอกเบี้ยฝากประจำของ ธ.กรุงเทพ = 2.5 กสิกรไทย = 2.35 ไทยพาณิชย์ = 2.45 ในขณะที่เงินปันผลที่ได้รับจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ = 3.05 , http://marketdata.set.or.th/mkt/markets ... country=TH เงินสดเป็นสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่อ Inflation ที่จะทำให้ด้อยค่าลงทุกวัน ในขณะที่การลงทุนในหุ้นมีความสามารถในการเติบโตได้ หากอ้างอิงจากหลักการของ ฟิล ฟิชเชอร์แล้ว สิ่งที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ดีที่สุดคือ “นวัตกรรม”
2. หากใช้หลักการตัดสินใจโดยใช้หลักการ “ไม่เลือกเธอต้องเลือกฉัน” นั่นหมายถึง ถ้าคุณไม่ซื้อหุ้นคุณต้องถือเงินสด สมมติใช้หลักการนี้ ผลตอบแทนจะแยกเป็น 2 แบบ คือ (2.1) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (2.2) E/P คือส่วนกลับของ PE นั่นแปลว่าอะไร? พันธบัตรนั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่าและ E/P จะมากกว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเสมอ ถ้า ผลตอบแทน 2.1 = 2.2 คนจะขายหุ้นแล้วไปซื้อพันธบัตรทันที นั่นคือ 2.2 > 2.1 เสมอ หากตลาดมีวิกฤติขึ้นมาคนจะเป็นโรคโหยหาเงินสด เช่นในเดือน พฤศจิกายน ปี 2551 E/P = 15.92 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (1Y) = 3.31 ปัจจุบัน E/P = 6.5 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (1Y) = 2.58 เห็นภาพที่แตกต่างกันคนยังไม่ได้โหยหาเงินสดมาก อย่างไรก็ตามก็อาจมีเสียงคัดค้านว่า กรณี ปี 2551 นั้นเป็นกรณีสุดโต่ง ก็อาจจะจริงลองดูพฤติกรรมของ EP กับ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (1Y) ที่ผ่านมาครับ จากกราฟ พบว่า (1) เส้นสีแดง EP ลดลงมาจนถึงต้นปี และ Market Cap มีการลดลงตลอด ก็เลยทำให้ EP กลับขึ้นมาบ้าง ไม่ได้เป็นเพราะกำไรสูงขึ้นแต่เป็นเพราะมาร์เก๊ตแค้ปลดลงเลยทำให้ EP สูงขึ้นดูดึงดูดขึ้นมา สูงกว่าเมื่อตอนต้นปีด้วยซ้ำ สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสูงขึ้นบ้างไม่มากทรง ๆ และยังต่ำกว่าตอนต้นปี
ทั้งหมดนี้เป็นงานวิจัยส่วนตัว ซึ่งผมอาจจะมั่วด้วยสถิติก็ได้และผมคงไม่ฟันธงว่าจุดต่ำสุดผ่านไปแล้ว แต่ผมอยากให้เรามองไกลอย่ายอมแพ้กับปัญหาระยะสั้นเพราะความกลัวเกิดขึ้นแล้วและความกลัวแพร่สะพัดไปแล้วและ นลท. หลายคนแม้กระทั่งนักลงทุนสถาบันหรือต่างประเทศก็ขายไปแล้ว
แต่ความกลัวเป็นเรื่องไร้สาระหากมองถึงความคงอยู่ของอนาคต พรุ่งนี้อนาคตของประเทศไทยจะยังคงอยู่ ผมเป็นนักลงทุนไทย เป็นนักธุรกิจไทย เป็นที่ปรึกษาธุรกิจไทย เกิดเมืองไทย พูดภาษาไทยชัด ผมหวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยและขอเป็นกำลังใจให้นักลงทุนทุกคนให้เกิดความเชื่อมั่น
In the near term, Thailand's political volatility would take a major impact, business activity will falter and headlines will continue to be scary.
It is, therefore... I’ve been buying Thai stocks
............................................................................
บทความ Buy Thailand, I am. โดย นักลงทุนไทย Nevercry.boy 2 พฤศจิกายน 2556
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 522
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 2
เอ่อ ถ้าใช้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (1Y) เป็นตัวเปรียบเทียบกับค่า E/P ของตลาดหุ้น
ผมว่าใข้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (10Y) น่าจะดีกว่านะคับ เพราะเป็นการสะท้อนระยะเวลา
การลงทุนที่สมเหตุสมผล รวมถึงเป็นการสะท้อนระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ในระยะยาวเมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล
และถ้าจะให้รอบคอบไปอีก ก็น่าจะเปรียบเทียบกับ Dividend Yield เฉลี่ยในช่วงระยะเวลาที่เราคิดจะลงทุนด้วย
ทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่น่าสนใจและทำได้ไม่ยาก ในการดูภาพใหญ่ว่าตลาดหุ้นน่าสนใจลงทุนไหม?
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ควรเจาะดูหุ้นแต่ละตัวเป็นสำคัญ รวมถึงประเมินมูลค่าที่เหมาะสมก่อนตัดสินใจลงทุนคับ
ผมว่าใข้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (10Y) น่าจะดีกว่านะคับ เพราะเป็นการสะท้อนระยะเวลา
การลงทุนที่สมเหตุสมผล รวมถึงเป็นการสะท้อนระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ในระยะยาวเมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล
และถ้าจะให้รอบคอบไปอีก ก็น่าจะเปรียบเทียบกับ Dividend Yield เฉลี่ยในช่วงระยะเวลาที่เราคิดจะลงทุนด้วย
ทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่น่าสนใจและทำได้ไม่ยาก ในการดูภาพใหญ่ว่าตลาดหุ้นน่าสนใจลงทุนไหม?
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ควรเจาะดูหุ้นแต่ละตัวเป็นสำคัญ รวมถึงประเมินมูลค่าที่เหมาะสมก่อนตัดสินใจลงทุนคับ
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 10
โคตรเท่ห์ เลยพี่
Buy Thailand, me too.
Buy Thailand, me too.
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
- kabu
- Verified User
- โพสต์: 2149
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 11
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีดีเช่นเคยครับ ^^
"หนทางเดียวที่จะก้าวพ้นขอบเขตของความเป็นไปได้ คือก้าวเข้าสู่ความเป็นไปไม่ได้", Arthur C. Clarke
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 13
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ
รักเธอ..ประเทศไทย..
รักเธอ..ประเทศไทย..
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 14
ผมก็อภิเชษฐ์(appreciate)ประเทศไทยครับ
แม้บางคนจะคิดว่า
เป็นuppreciate(แปลว่ามีupside แม้จะอ่านคำไทยว่า อัปป..)
แต่แหม..อ.NBโพสต์แบบนี้
พวกเราหลายคนเลยไม่ได้เป็นmister market เลย
แล้วเมื่อไรจะได้ซื้อของถูกละคับเนี่ย..
แม้บางคนจะคิดว่า
เป็นuppreciate(แปลว่ามีupside แม้จะอ่านคำไทยว่า อัปป..)
แต่แหม..อ.NBโพสต์แบบนี้
พวกเราหลายคนเลยไม่ได้เป็นmister market เลย
แล้วเมื่อไรจะได้ซื้อของถูกละคับเนี่ย..
samatah
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 15
ยอดเยี่ยมอีกแล้วครับท่าน NB
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 23
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 17
ขอบคุณเช่นกันครับ
[มือใหม่หัดลงทุน]
Survive First
You have to lose many battles to win the war.
Survive First
You have to lose many battles to win the war.
-
- Verified User
- โพสต์: 1426
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 18
เชื่อมั่นทุนนิยมเสรี (โลกเลือกแล้ว)
เชื่อมั่นเอเซียผงาดเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก (จีน อินเดีย อาเซียน เป็นดาวเด่น)
เชื่อมั่น aec (อย่างน้อยตลาดก็ใหญ่ขึ้น)
เชื่อมั่นประเทศไทย (ไม่อยากโตก็จะถูกบังคับให้เติบโต-เศรษฐกิจนะ -ส่วนเรื่องอื่น no comment)
เชื่อมั่นกิจการของบริษัทที่เลือก (เติบโต+สร้างมูลค่าเพิ่ม)
เชื่อมั่นผู้บริหาร (ฝีมือ+ธรรมาภิบาล)
ขาดเชื่อมั่นหนึ่งใด คงไม่สามารถถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งได้เกิน 1 ปี
แนวคิด มุมมอง
https://www.facebook.com/pages/Prichar- ... 0152437577
เชื่อมั่นเอเซียผงาดเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก (จีน อินเดีย อาเซียน เป็นดาวเด่น)
เชื่อมั่น aec (อย่างน้อยตลาดก็ใหญ่ขึ้น)
เชื่อมั่นประเทศไทย (ไม่อยากโตก็จะถูกบังคับให้เติบโต-เศรษฐกิจนะ -ส่วนเรื่องอื่น no comment)
เชื่อมั่นกิจการของบริษัทที่เลือก (เติบโต+สร้างมูลค่าเพิ่ม)
เชื่อมั่นผู้บริหาร (ฝีมือ+ธรรมาภิบาล)
ขาดเชื่อมั่นหนึ่งใด คงไม่สามารถถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งได้เกิน 1 ปี
แนวคิด มุมมอง
https://www.facebook.com/pages/Prichar- ... 0152437577
- untrataro25
- Verified User
- โพสต์: 952
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 21
เยี่ยมเลย ขอบคุณครับ
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- Verified User
- โพสต์: 1679
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 23
พี่ blueplanet เอามาจากไหนคับ ปีละ 8%CARPENTER เขียน:ถ้าประเทศไทยไม่คอรัปชั่น gdp จะโตไม่น้อยกว่า ปีละ 8%
โดยรัฐบาลพยายามปรับกลไกรตลาดให้เหมาะสม
เป็นประโยชน์ ต่อคนส่วนมากในประเทศนี้
candle sit รึป่าวอ่ะ
value trap
-
- Verified User
- โพสต์: 423
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 24
"สรุปข่าวการเงิน หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์วรันศ์ บัฟเฟต เขียน:พี่ blueplanet เอามาจากไหนคับ ปีละ 8%CARPENTER เขียน:ถ้าประเทศไทยไม่คอรัปชั่น gdp จะโตไม่น้อยกว่า ปีละ 8%
โดยรัฐบาลพยายามปรับกลไกรตลาดให้เหมาะสม
เป็นประโยชน์ ต่อคนส่วนมากในประเทศนี้
candle sit รึป่าวอ่ะ
เลิกคอร์รัปชั่นศก.รุ่ง ทนงระบุประเทศไทยมีความเสี่ยงรุมเร้า แนะธปท.แก้ปัญหาซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยน
"ทนง" ชำแหละความเสี่ยงเศรษฐกิจไทย กำจัดปัญหาคอร์รัปชั่นได้เศรษฐกิจโต 6-7%
นายทนง พิทยะ อดีต รมว.คลัง และประธานคณะกรรมการที่ปรึกษา บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทหารไทย กล่าวถึงประเมินความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยที่สำคัญที่สุดคือปัญหาการคอร์รัปชั่น ถ้าแก้ไขปัญหานี้ได้เศรษฐกิจไทยจะโตได้ถึงปีละ 6-7% ได้โดยรัฐบาลไม่ต้องออกมาตรการอะไรออกมา แต่ถ้าไม่แก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยก็จะขยายตัวได้ปีละ 3-4% เท่านั้น รองลงมาเป็นความเสี่ยงเชิงนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมที่น่ากลัวที่สุดหากรัฐบาลใช้เงินแจกประชาชนฟรี โดยไม่ได้ใช้เงินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต หรือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน"
ผมอ่านจาก stock2morrow รวมข่าวหุ้นเช้าวันที่ 19/12/2013
ตามความเชื่อผม ผมคิดว่ามากกว่า 7%แน่ๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 75
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 25
ผมขออนุญาติเขียนเป็นdiscliamerนิดนึงนะครับ
ผมคิดว่า การเอาdividend yield มาเทียบกับ ดอกเบี้ยออมทรัพย์ นี่ต้องพูดเรื่องความเสี่ยงเสมอนะครับ
จขกท พูดถึงดอกเบี้ยฝากประจำที่เกือบจะไม่มีความเสี่ยงคือประมาณ 2.5% เอามาเทียบกับdividend yiledที่ประมาณ3% คนที่อาจจะเป็นมือให้ต้องพึงระวังนะครับ เพราะ3-2.5=0.5 หมายถึงส่วนชดชเยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนในตลาดทุนว่า0.5%นี่เพียงพอหรือไม่+/-ความผันผวนในdividend (ไม่นับรวมcapital gainเพราะเข้าใจว่าจขกท ต้องการให้ถือยาว เพราะฉะนั้นคนที่มีนิสัยคัทลอสบ่อยๆควรระวังจุดนี้เช่นกัน)
ส่วนเหตุผลข้อที่สองผมอ่านแล้วยังงงๆอยู่ ใครเข้าใจรบกวนชี้แนะด้วย
ผมคิดว่า การเอาdividend yield มาเทียบกับ ดอกเบี้ยออมทรัพย์ นี่ต้องพูดเรื่องความเสี่ยงเสมอนะครับ
จขกท พูดถึงดอกเบี้ยฝากประจำที่เกือบจะไม่มีความเสี่ยงคือประมาณ 2.5% เอามาเทียบกับdividend yiledที่ประมาณ3% คนที่อาจจะเป็นมือให้ต้องพึงระวังนะครับ เพราะ3-2.5=0.5 หมายถึงส่วนชดชเยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนในตลาดทุนว่า0.5%นี่เพียงพอหรือไม่+/-ความผันผวนในdividend (ไม่นับรวมcapital gainเพราะเข้าใจว่าจขกท ต้องการให้ถือยาว เพราะฉะนั้นคนที่มีนิสัยคัทลอสบ่อยๆควรระวังจุดนี้เช่นกัน)
ส่วนเหตุผลข้อที่สองผมอ่านแล้วยังงงๆอยู่ ใครเข้าใจรบกวนชี้แนะด้วย
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 522
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 26
คุณ melbourne คับ ผู้เขียนคงนำเสนอเป็นไอเดียน่ะคับ
อย่างข้อ 1. ก็เป็นอย่างที่ คุณ melbourne ว่า ว่าคงจะเอา dividend yield เฉลี่ยของตลาดหุ้น มาเทียบกับ ดอกเบี้ยฝากประจำ
นี่ต้องดูเรื่องความเสี่ยงประกอบด้วย มาเทียบกันตรงๆดูจะไม่เหมาะสม ดอกเบี้ยจ่ายแน่นอน ส่วน dividend yield
ขึ้นกับผลกำไรสุทธิ และนโยบายการจ่ายเงินปันผล
ส่วนข้อ 2. ก็ใช้อัตราส่วนกลับของ pe คือ ep มาเป็นตัววัดความน่าสนใจของผลตอบแทนตลาดหุ้น เทียบกับ ผลตอบแทนของพันธบัตร
ซึ่งก็ควรเป็นตอบแทนพันธบัตรระยะยาวอย่างน้อยก็ 5-10 ปีขึ้นไปจะเหมาะสมกว่า
แล้วก็ต้องไม่ลืมด้วยว่า แม้ค่า pe หรือ ep ของตลาดในอดีต หรือ ปัจจุบัน อาจจะไม่ได้สะท้อนค่า pe หรือ ep ในอนาคต
แต่ถ้าคิดให้ละเอียดขึ้น ก็จะได้ว่าเปรียบเทียบ ep กับ ผลตอบแทนของพันธบัตร คงจะไม่พอ
ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวตอนนี้คงประมาณ 4.5% + ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นของตลาดหุ้น 6.5-6.7%
รวมกันตัวเลขที่เหมาะสมคร่าวๆที่สะท้อนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่นักลงทุนรับได้ประมาณ 10-11%
(ซึ่งล้อไปกับอัตราการทำกำไรสุทธิในการทำธุรกิจโดยเฉลี่ย ซึ่งก็แล้วแต่นักลงทุนแต่ละท่านด้วยเช่นกัน
ว่าจะมีวิธีการคิดแบบไหนถึงจะพอใจ ซึ่งอันนี้ผมตั้งไว้เป็นโมเดลคร่าวๆที่ผมพอใจ)
ถ้าจะเทียบ ep น่าจะเทียบกับส่วนนี้มากกว่า โดยอาจจะรวม dividend yield เฉลี่ยของตลาดหุ้นมาบวกด้วย
เช่น หุ้น pe 20 เท่า ep 5% ปันผล 2% รวมกันได้ ยิลต์ 7% ก็ยังถือว่าน้อยกว่า ผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการ 10-11%
หุ้น pe 10 เท่า ep 10% ปันผล 4% รวมกันได้ ยิลต์ 14% มากกว่า 10-11% ถือว่าน่าสนใจ หรือ pe ต่ำลงไปยิ่งน่าสนใจ
แต่อย่าลืมว่าสุดท้าย ep หรือ pe ก็ไม่ใช่ตัวบอกที่แน่นอนว่า ราคาหุ้นเหมาะสม หรือ ราคาหุ้นจะขึ้นไปได้ หรือ เป็นหุ้นดี มีคุณภาพ มีการเติบโตดี
บางที หุ้นที่ ep สูงๆ 20% ยังไม่รวมปันผล ซึ่ง มี pe แค่ 5 เท่า อาจจะเป็นหุ้นที่ไม่เติบโต ไม่น่าสนใจ หรือ เป็นหุ้นวัฏจักร ณ. จุดสูงสุดก็ได้
และกำไรกำลังจะลดลง หรือ เป็นหุ้นที่มีกำไรพิเศษเข้ามาแค่ครั้งเดียว ทำให้ค่า pe ดูต่ำไป หรือ ep ดูสูงไปก็ได้
หรือ หุ้นที่ pe ดูสูง ep ต่ำ แต่อาจจะมีการเติบโตดีในอนาคต หรือ มีการลดลงของกำไรชั่วคราว ทำให้ pe ต่ำลง ep สูงขึ้นก็ได้
หรือ หุ้นที่ pe สูง ep ต่ำ เพราะนักลงทุนให้ความนิยมมาก ดันราคากันจนเกินความสามารถในการเติบโตของกำไร ก็เป็นไปได้อีก
เพราะฉะนั้น คงต้องมาดูกันไปตามเหตุปัจจัย การลงทุนจึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์คับ
อย่างข้อ 1. ก็เป็นอย่างที่ คุณ melbourne ว่า ว่าคงจะเอา dividend yield เฉลี่ยของตลาดหุ้น มาเทียบกับ ดอกเบี้ยฝากประจำ
นี่ต้องดูเรื่องความเสี่ยงประกอบด้วย มาเทียบกันตรงๆดูจะไม่เหมาะสม ดอกเบี้ยจ่ายแน่นอน ส่วน dividend yield
ขึ้นกับผลกำไรสุทธิ และนโยบายการจ่ายเงินปันผล
ส่วนข้อ 2. ก็ใช้อัตราส่วนกลับของ pe คือ ep มาเป็นตัววัดความน่าสนใจของผลตอบแทนตลาดหุ้น เทียบกับ ผลตอบแทนของพันธบัตร
ซึ่งก็ควรเป็นตอบแทนพันธบัตรระยะยาวอย่างน้อยก็ 5-10 ปีขึ้นไปจะเหมาะสมกว่า
แล้วก็ต้องไม่ลืมด้วยว่า แม้ค่า pe หรือ ep ของตลาดในอดีต หรือ ปัจจุบัน อาจจะไม่ได้สะท้อนค่า pe หรือ ep ในอนาคต
แต่ถ้าคิดให้ละเอียดขึ้น ก็จะได้ว่าเปรียบเทียบ ep กับ ผลตอบแทนของพันธบัตร คงจะไม่พอ
ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวตอนนี้คงประมาณ 4.5% + ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นของตลาดหุ้น 6.5-6.7%
รวมกันตัวเลขที่เหมาะสมคร่าวๆที่สะท้อนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่นักลงทุนรับได้ประมาณ 10-11%
(ซึ่งล้อไปกับอัตราการทำกำไรสุทธิในการทำธุรกิจโดยเฉลี่ย ซึ่งก็แล้วแต่นักลงทุนแต่ละท่านด้วยเช่นกัน
ว่าจะมีวิธีการคิดแบบไหนถึงจะพอใจ ซึ่งอันนี้ผมตั้งไว้เป็นโมเดลคร่าวๆที่ผมพอใจ)
ถ้าจะเทียบ ep น่าจะเทียบกับส่วนนี้มากกว่า โดยอาจจะรวม dividend yield เฉลี่ยของตลาดหุ้นมาบวกด้วย
เช่น หุ้น pe 20 เท่า ep 5% ปันผล 2% รวมกันได้ ยิลต์ 7% ก็ยังถือว่าน้อยกว่า ผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการ 10-11%
หุ้น pe 10 เท่า ep 10% ปันผล 4% รวมกันได้ ยิลต์ 14% มากกว่า 10-11% ถือว่าน่าสนใจ หรือ pe ต่ำลงไปยิ่งน่าสนใจ
แต่อย่าลืมว่าสุดท้าย ep หรือ pe ก็ไม่ใช่ตัวบอกที่แน่นอนว่า ราคาหุ้นเหมาะสม หรือ ราคาหุ้นจะขึ้นไปได้ หรือ เป็นหุ้นดี มีคุณภาพ มีการเติบโตดี
บางที หุ้นที่ ep สูงๆ 20% ยังไม่รวมปันผล ซึ่ง มี pe แค่ 5 เท่า อาจจะเป็นหุ้นที่ไม่เติบโต ไม่น่าสนใจ หรือ เป็นหุ้นวัฏจักร ณ. จุดสูงสุดก็ได้
และกำไรกำลังจะลดลง หรือ เป็นหุ้นที่มีกำไรพิเศษเข้ามาแค่ครั้งเดียว ทำให้ค่า pe ดูต่ำไป หรือ ep ดูสูงไปก็ได้
หรือ หุ้นที่ pe ดูสูง ep ต่ำ แต่อาจจะมีการเติบโตดีในอนาคต หรือ มีการลดลงของกำไรชั่วคราว ทำให้ pe ต่ำลง ep สูงขึ้นก็ได้
หรือ หุ้นที่ pe สูง ep ต่ำ เพราะนักลงทุนให้ความนิยมมาก ดันราคากันจนเกินความสามารถในการเติบโตของกำไร ก็เป็นไปได้อีก
เพราะฉะนั้น คงต้องมาดูกันไปตามเหตุปัจจัย การลงทุนจึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์คับ
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 27
สำหรับผม
ลงทุนในหุ้นไทย เพราะผมน่าจะเข้าใจหุ้นไทย มากกว่าคนฝรั่ง หรือคนชาติอื่น ๆ ในโลกใบนี้ครับ อิอิ
ลงทุนในหุ้นไทย เพราะผมน่าจะเข้าใจหุ้นไทย มากกว่าคนฝรั่ง หรือคนชาติอื่น ๆ ในโลกใบนี้ครับ อิอิ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
-
- Verified User
- โพสต์: 75
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 28
เห็นด้วยนะครับTibular เขียน:คุณ melbourne คับ ผู้เขียนคงนำเสนอเป็นไอเดียน่ะคับ
อย่างข้อ 1. ก็เป็นอย่างที่ คุณ melbourne ว่า ว่าคงจะเอา dividend yield เฉลี่ยของตลาดหุ้น มาเทียบกับ ดอกเบี้ยฝากประจำ
นี่ต้องดูเรื่องความเสี่ยงประกอบด้วย มาเทียบกันตรงๆดูจะไม่เหมาะสม ดอกเบี้ยจ่ายแน่นอน ส่วน dividend yield
ขึ้นกับผลกำไรสุทธิ และนโยบายการจ่ายเงินปันผล
ส่วนข้อ 2. ก็ใช้อัตราส่วนกลับของ pe คือ ep มาเป็นตัววัดความน่าสนใจของผลตอบแทนตลาดหุ้น เทียบกับ ผลตอบแทนของพันธบัตร
ซึ่งก็ควรเป็นตอบแทนพันธบัตรระยะยาวอย่างน้อยก็ 5-10 ปีขึ้นไปจะเหมาะสมกว่า
แล้วก็ต้องไม่ลืมด้วยว่า แม้ค่า pe หรือ ep ของตลาดในอดีต หรือ ปัจจุบัน อาจจะไม่ได้สะท้อนค่า pe หรือ ep ในอนาคต
แต่ถ้าคิดให้ละเอียดขึ้น ก็จะได้ว่าเปรียบเทียบ ep กับ ผลตอบแทนของพันธบัตร คงจะไม่พอ
ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวตอนนี้คงประมาณ 4.5% + ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นของตลาดหุ้น 6.5-6.7%
รวมกันตัวเลขที่เหมาะสมคร่าวๆที่สะท้อนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่นักลงทุนรับได้ประมาณ 10-11%
(ซึ่งล้อไปกับอัตราการทำกำไรสุทธิในการทำธุรกิจโดยเฉลี่ย ซึ่งก็แล้วแต่นักลงทุนแต่ละท่านด้วยเช่นกัน
ว่าจะมีวิธีการคิดแบบไหนถึงจะพอใจ ซึ่งอันนี้ผมตั้งไว้เป็นโมเดลคร่าวๆที่ผมพอใจ)
ถ้าจะเทียบ ep น่าจะเทียบกับส่วนนี้มากกว่า โดยอาจจะรวม dividend yield เฉลี่ยของตลาดหุ้นมาบวกด้วย
เช่น หุ้น pe 20 เท่า ep 5% ปันผล 2% รวมกันได้ ยิลต์ 7% ก็ยังถือว่าน้อยกว่า ผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการ 10-11%
หุ้น pe 10 เท่า ep 10% ปันผล 4% รวมกันได้ ยิลต์ 14% มากกว่า 10-11% ถือว่าน่าสนใจ หรือ pe ต่ำลงไปยิ่งน่าสนใจ
แต่อย่าลืมว่าสุดท้าย ep หรือ pe ก็ไม่ใช่ตัวบอกที่แน่นอนว่า ราคาหุ้นเหมาะสม หรือ ราคาหุ้นจะขึ้นไปได้ หรือ เป็นหุ้นดี มีคุณภาพ มีการเติบโตดี
บางที หุ้นที่ ep สูงๆ 20% ยังไม่รวมปันผล ซึ่ง มี pe แค่ 5 เท่า อาจจะเป็นหุ้นที่ไม่เติบโต ไม่น่าสนใจ หรือ เป็นหุ้นวัฏจักร ณ. จุดสูงสุดก็ได้
และกำไรกำลังจะลดลง หรือ เป็นหุ้นที่มีกำไรพิเศษเข้ามาแค่ครั้งเดียว ทำให้ค่า pe ดูต่ำไป หรือ ep ดูสูงไปก็ได้
หรือ หุ้นที่ pe ดูสูง ep ต่ำ แต่อาจจะมีการเติบโตดีในอนาคต หรือ มีการลดลงของกำไรชั่วคราว ทำให้ pe ต่ำลง ep สูงขึ้นก็ได้
หรือ หุ้นที่ pe สูง ep ต่ำ เพราะนักลงทุนให้ความนิยมมาก ดันราคากันจนเกินความสามารถในการเติบโตของกำไร ก็เป็นไปได้อีก
เพราะฉะนั้น คงต้องมาดูกันไปตามเหตุปัจจัย การลงทุนจึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์คับ
ผมถึงเขียนเป็นออกแนวdisclaimerหน่อยๆเผื่อนักลงทุนมือใหม่หน่ะครับ
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 29
ช่วยกัน Buy Thailand หน่อยเร็วครับ!!!
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
-
- Verified User
- โพสต์: 1426
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมผมจึงลงทุนในหุ้นไทย (Buy Thailand, I am)
โพสต์ที่ 30
กับหุ้น
เจ้ามือเป็นเรื่องชั่วคราว
ระยะยาวอยู่ที่ผลประกอบการ
กับหุ้นไทยแลนด์
การเมืองเป็นเรื่องชั่วคราว?
ระยะยาวอยู่ที่การเติบโตของเศรษฐกิจ?
ว่าแต่ ไทยแลนด์มีเจ้ามือหรือเปล่า??
เจ้ามือเป็นเรื่องชั่วคราว
ระยะยาวอยู่ที่ผลประกอบการ
กับหุ้นไทยแลนด์
การเมืองเป็นเรื่องชั่วคราว?
ระยะยาวอยู่ที่การเติบโตของเศรษฐกิจ?
ว่าแต่ ไทยแลนด์มีเจ้ามือหรือเปล่า??