มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4621

โพสต์

"มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า"

ชอบครับ...
อ่านแล้วรู้สึกอยากเป็นสมาชิกของกระทู้นี้สุดๆ ฮ่า.. :P
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4622

โพสต์

แรก ๆ ผมนึกว่าหมอชื่อหมอพอล จากเรื่องหมอเจ็บ จะหล่อปานกัน :mrgreen:

ผมก็เรียกหมอพอลมาตั้งนาน

ขอบคุณ คุณหมอมุกทั้งคำแนะนำต่าง ๆ รวมถึงเรื่องสุขภาพที่ผ่านมา ทั้ง Galstone และ PVC

เปลี่ยนชื่อกระทู้แล้วดูดีนะครับ วีไอมันเป็นวิถีมากกว่านะสำหรับผมเป็นวิถีวีไอ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
หวานกับแวว
Verified User
โพสต์: 86
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4623

โพสต์

เราก็หากระทู้เดิมไม่เจอ เปลี่ยนชื่อใหม่นี่เอง :D

ชอบชื่อใหม่นี้ค่ะ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4624

โพสต์

saichon เขียน:"มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า"

ชอบครับ...
อ่านแล้วรู้สึกอยากเป็นสมาชิกของกระทู้นี้สุดๆ ฮ่า.. :P
เป็นไงบ้างครับ น้องสายชล สบายดีนะครับ

งั้นคงชอบชื่อใหม่นี้สิครับ.

มั่งคั่งด้วยหุ้น. ลงทุนอย่างมี (หุ้นเน้น) คุณค่า :D

แวะมาเยี่ยม มาทักทายได้บ่อยๆเลยนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4625

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:แรก ๆ ผมนึกว่าหมอชื่อหมอพอล จากเรื่องหมอเจ็บ จะหล่อปานกัน :mrgreen:

ผมก็เรียกหมอพอลมาตั้งนาน

ขอบคุณ คุณหมอมุกทั้งคำแนะนำต่าง ๆ รวมถึงเรื่องสุขภาพที่ผ่านมา ทั้ง Galstone และ PVC

เปลี่ยนชื่อกระทู้แล้วดูดีนะครับ วีไอมันเป็นวิถีมากกว่านะสำหรับผมเป็นวิถีวีไอ
ใช้ครับ หมอพอล มีตัวตนจริงแต่เป็นลูกชายผมครับ

ตัวจริงผม ต้องมองเป็นบางมุมครับถึงจะพอเรียกได้ว่าหล่อ (เห็นคนไข้ผม เค้าว่างั้น ส่วนมากที่ชมว่าหล่อจะเป็น ผู้สูงอายุทั้งนั้น :mrgreen: )

ผมขอหล่อแค่เสี้ยวของคุณ NB แล้วกันครับ อิอิ :B

ว่าแต่อาการ Gallstone กับ PVC ?? เป็นไงบ้างแล้วครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4626

โพสต์

หวานกับแวว เขียน:เราก็หากระทู้เดิมไม่เจอ เปลี่ยนชื่อใหม่นี่เอง :D

ชอบชื่อใหม่นี้ค่ะ
สวัสดีครับ พี่หวานกับแวว
ผมเพิ่งทราบนี่ล่ะครับ. ว่าพี่เป็นหมอด้วย
ผมจำได้ว่าพี่กับผมเคยทักทายกันที่ไหนซักแห่ง ไม่ในงานสัมมนาก็ใน board thaivi นี้ล่ะ
ลูกพี่ตอนนี้คงโตหมดแล้วสิครับ

ปล พอจะมีชื่อเล่นให้ผมเรียกได้ไหมครับ
หวานกับแวว
Verified User
โพสต์: 86
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4627

โพสต์

กดไรผิดไม่รู้ พิมพ์ไว้หายหมดเลย..
หวานกับแวว เขียน:
Paul VI เขียน:
หวานกับแวว เขียน:เราก็หากระทู้เดิมไม่เจอ เปลี่ยนชื่อใหม่นี่เอง :D

ชอบชื่อใหม่นี้ค่ะ
สวัสดีครับ พี่หวานกับแวว
ผมเพิ่งทราบนี่ล่ะครับ. ว่าพี่เป็นหมอด้วย
ผมจำได้ว่าพี่กับผมเคยทักทายกันที่ไหนซักแห่ง ไม่ในงานสัมมนาก็ใน board thaivi นี้ล่ะ
ลูกพี่ตอนนี้คงโตหมดแล้วสิครับ

ปล พอจะมีชื่อเล่นให้ผมเรียกได้ไหมครับ
หวัดดีค่ะ คุณหมอมุข

ขอบคุณที่จำได้ พี่เคยมาตอบเรื่องชุดผ่าตัดแบบ disposable ในกระทู้นี้น่ะค่ะ

ติดตามการให้ความรู้ของคุณหมอมุขมาสักพักแล้วค่ะ ด้วยความชื่นชม ขอบคุณที่แบ่งปันสิ่งดีๆนะคะ

ลูกสาวคนโต เค้ากำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยค่ะ แม่บอกไว้ว่าถ้าไม่ได้แพทย์ก็ดีไปอย่างนะลูก หนูจะได้ไม่เหนื่อยมาก และมีเวลาค่อยๆศึกษาเรื่องการลงทุนแบบเน้นคุณค่าเสริมไปด้วย 555

ปล. เรียกพี่หมออ้อเหมือนคุณนุชก็ได้ค่ะ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4628

โพสต์

หวานกับแวว เขียน:กดไรผิดไม่รู้ พิมพ์ไว้หายหมดเลย..


หวัดดีค่ะ คุณหมอมุข

ขอบคุณที่จำได้ พี่เคยมาตอบเรื่องชุดผ่าตัดแบบ disposable ในกระทู้นี้น่ะค่ะ

ติดตามการให้ความรู้ของคุณหมอมุขมาสักพักแล้วค่ะ ด้วยความชื่นชม ขอบคุณที่แบ่งปันสิ่งดีๆนะคะ

ลูกสาวคนโต เค้ากำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยค่ะ แม่บอกไว้ว่าถ้าไม่ได้แพทย์ก็ดีไปอย่างนะลูก หนูจะได้ไม่เหนื่อยมาก และมีเวลาค่อยๆศึกษาเรื่องการลงทุนแบบเน้นคุณค่าเสริมไปด้วย 555

ปล. เรียกพี่หมออ้อเหมือนคุณนุชก็ได้ค่ะ

สวัสดีครับพี่อ้อ
ขอบคุณสำหรับคำตอบที่ช่วยผมเรื่องชุดผ่าตัดนะครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4629

โพสต์

สุดยอดแพทย์ไทย สร้างเครื่องมือช่วยวินิจฉันโรคทางสมอง "แผนที่สมองของคนเอเชีย" ครั้งแรกในอาเซียน ทำให้การรักษาโรค แม่นยำมากขึ้น



แพทย์ไทยสร้าง "แผนที่สมองของคนเอเชีย" ครั้งแรกในอาเซียน เป้าหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือช่วยวินิจฉัยโรคทางสมอง ทั้งอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน เพิ่มความแม่นยำและรวดเร็ว ปูทางสู่การป้องกัน-รักษาที่ดีขึ้น

รศ.พญ.จิรพร เหล่าธรรมทัศน์ ประธานราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า วิทยาการทางการแพทย์ที่ก้าวไกลทำให้คนมีอายุยืน จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น อุบัติการณ์โรคทางสมองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โรคทางสมองมีหลายโรค เช่น โรคออทิสติก พาร์กินสันและอัลไซเมอร์ ที่ยากต่อการตรวจวินิจฉัยและไม่อาจตรวจพบได้ด้วยการฉายรังสี

คุณหมอและคณะวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงทำงานวิจัยและพัฒนา "แผนที่สมองของคนเอเชีย" ได้งบสนับสนุนจากรัฐบาล 60 ล้านบาท ในการจัดทำแผนที่สมองของคนไทย เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัยอาการทางสมอง โดยจะช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยแยกโรคพาร์กินสันชนิดเกิดช้า ออกจากโรคพาร์กินสันชนิดเกิดเร็วเนื่องจากพันธุกรรมได้

ทั้งยังช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ได้ตั้งแต่ต้น จึงช่วยรักษาคนไข้ได้ถูกวิธีและชะลออาการของโรคได้ หรือแม้แต่ไข้สมองอักเสบที่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคเพียง 40% ซึ่งเดิมทีนั้น เมืองไทยใช้แผนที่สมองของตะวันตก แต่ด้วยรูปร่างและขนาดของสมองระหว่างคนตะวันตกและคนเชียมีลักษณะที่แตกต่างกัน จึงทำให้ผลที่ได้เกิดความคลาดเคลื่อนและผิดพลาดได้สูง

ทีมวิจัยทำการศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง 1,000 คนจากทุกสาขาอาชีพ โดยแบ่งตามระดับอายุ ผ่านการตรวจร่างกายและตรวจด้านจิตวิทยามาแล้ว ซึ่ง 1,000 คนที่ได้มานั้นจะได้แผนที่สมองเพียง 10 แผนที่เท่านั้น ซึ่งสามารถวินิจฉัยโรคทางสมองได้ชัดเจน แม้ว่าการสแกนสมองด้วยเครื่อง MRI จะช่วยได้ แต่ก็สามารถวินิจฉัยได้เพียง 80-90%

แผนที่สมองที่จัดทำขึ้นใช้ Ingenia MR เป็นเครื่องตรวจอวัยวะด้วยคลื่นแม่เหล็กกำลังสูงระบบดิจิตอลความเร็วสูง เครื่องแรกที่พัฒนานำร่องโดยฟิลิปส์ อาศัยการแปลงสัญญาณจากอนาล็อกเป็นดิจิตอล พร้อมเคเบิลใยแก้วนำแสง ช่วยให้เกิดการเชื่อมต่อแบบดิจิตอลตลอดกระบวนการสแกนของเอ็มอาร์ไอ ปรับปรุงอัตราส่วนของสัญญาณต่อสัญญาณรบกวนให้ดีขึ้นถึงร้อยละ 40 จึงให้ภาพที่คมชัดในเวลาที่สั้นกว่า

"แต่พอมีแผนที่สมอง จะสามารถวินิจฉัยได้ถึงระดับโมเลกุล ดูได้ถึงน้ำในสมอง จึงทำให้ส่งคนไข้ไปทำการรักษาได้ทันท่วงที รวดเร็ว เช่น เด็กออทิสติกที่มักอยู่ไม่สุข เข้าเครื่องตรวจ MRI แล้ว พบว่าสมองก็ปกติดี แต่พอนำมาเทียบกับแผนที่สมองแล้ว พบว่าสมองมีเส้นใยสมองโยงใยผิดปกติ เป็นต้น" คุณหมอกล่าว

ผลการวิจัยเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นในการค้นหาคำตอบของโรคทางสมอง ซึ่งนอกจากควรป้องกันและปกป้องสมองแล้ว รศ.พญ.จิรพร แนะวิธีชะลอการเสื่อมของสมองด้วยการฝึกสมอง เช่น เล่นเกมครอสเวิร์ด เกมไพ่นกกระจอก เพื่อให้สมองใช้การได้อย่างดีตลอดชีวิต

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4630

โพสต์

กลายเป็นกระแสที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนไทยได้ไม่แพ้ประเด็นทางการเมือง หลังจากในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาโลกโซเชียล เน็ตเวิร์ก มีการแชร์ข้อความให้ระมัดระวังการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านตู้เอทีเอ็มของธนาคารแห่งหนึ่ง.......

อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1gJiLSi
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4631

โพสต์

เอามาฝากครับ
ดร.วรศักดิ์ ทุมมานนท์ มือ1ด้านบัญชีที่เกี่ยวกับการลงทุน อธิบายให้ฟังสำหรับผู้ที่ไม่ได้เรียนบัญชีมาแต่อยากจะเข้าใจบัญชี งบการเงินจะต้องดูตรงไหน ยังไงเพื่อที่จะมาลงทุนในหุ้น ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างนักลงทุนภายนอก ที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปบริหารงาน อย่างน้อยก็มีอะไรมาบอกเราทุกๆไตรมาศว่าผลการดำเนินงาน / ฐานะการเงิน / บริษัทมีกระแสเงินสดเข้าออกในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาเป็นยังไงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจลงทุน

งบการเงินมีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วนที่ต้องสนใจคือ

1. ผลการดำเนินงาน ก็คือ งบกำไร-ขาดทุน
2. ฐานะทางการเงิน ก็ดูที่ งบดุล
3. กระแสเงินสด ก็คือ งบกระแสเงินสด

แต่ส่วนใหญ่พอเอาเข้าจริง ๆ นักลงทุนไม่ค่อยสนใจงบดุลและงบกระแสเงินสด ทุกคนก็ดูแค่บรรทัดสุดท้ายของงบกำไร-ขาดทุนเท่านั้นที่ พอเค้าบอกว่าปีนี้กำไรดีขึ้นก็แปลว่าบริษัทก็คงจะดีขึ้นไปด้วย ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วบางทีก็เป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นมาอย่างผิดปกติ

เช่น มีการไปจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการเพิ่ม ช่องทางในการกู้ยืมเงินดี ๆ นี่เอง คือแทนที่จะไปหาแบ็งค์ซึ่งดอกเบี้ยก็สูงกว่าจะผ่านพิธีการทำเรื่องขอกู้จบก็นานเลยทำให้ระยะหลังช่วง 4 ปีที่ผ่านมาหลาย ๆ บริษัทพออยากขยายตัวก็ใช้วิธีนำเอาทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นสัญญาเช่า

หรือตัวอาคารและที่ดินขายเข้าสู่กองทุน แล้วก็ตั้งเงื่อนไขว่าเจ้าของเดิมจะเข้าไปถือหุ้น 30 %แต่ จริง ๆ แล้วก็เป็นที่รู้กันว่าไม่ได้เป็นการขายขาดในหลายๆสัญญาโดยทำการซ่อน เงื่อนไขว่าให้เจ้าของเดิมเป็นผู้เข้าไปบริหารทรัพย์สินที่ขายได้

บางทีก็ตกลงในสัญญาว่าทรัพย์สินที่ขายไปหากนำไปปล่อยให้เช่าแล้วได้ค่าเช่าต่ำกว่าที่ตกลงไว้ในสัญญาทางบริษัทผู้ขายจะชดใช้ส่วนต่างให้แต่หากปล่อยเช่าได้สูงกว่าในสัญญาส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นจะต้องจ่ายคืนให้กับบริษัทผู้ขาย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4632

โพสต์

ชีวิตสุดสลดใช้เงินหมดแล้วยังไม่ตาย...ฮ่า ฮ่า....

อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1cXD22v
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4633

โพสต์

แรงซื้อ Q4 วิกฤติหนัก ห้างกระหน่ำอัดโปรโมชันเรียกมู้ดจับจ่าย
กำลังซื้อโค้งท้ายเข้าขั้นวิกฤติ ธุรกิจทำใจเร่งปรับแผนอัดแคมเปญ โปรโมชันรับมือ ทั้งซื้อ 1 แถม 1 ลดราคาพุ่งสูงถึง 50% เดอะ มอลล์/เอ็มเค/คาโอ ชี้ชุมนุมการเมืองเริ่มส่งสัญญาณรั้งมู้ดการจับจ่าย วอนจบเร็ว ขณะที่พรานทะเลหวั่นกำลังซื้อทรุดต่อ แนะจับตาภาคส่งออกกระทบเศรษฐกิจประเทศ

นายศุภวุฒิ ไชยประสิทธิ์กุล ผู้จัดการใหญ่บริหารสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ต บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารโฮม เฟรช มาร์ท และกูร์เม่ต์ มาร์เก็ต เปิดเผยว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นได้จากการจับจ่ายที่ลดลง ทั้งในกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค และสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องจัดโปรโมชันเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นซื้อ 1 แถม 1 การลดราคาสินค้า ซึ่งปีนี้มีการแข่งกันลดราคาสินค้ามากกว่า 50% ถือเป็นตัวเลขที่สูง ทำให้ผู้ประกอบการต้องทำงานหนักขึ้น โดยเฉพาะในปีหน้า

ขณะที่ภาพรวมของธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมามีการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ และคาดว่าสิ้นปีจะมีรายได้ 1 หมื่นล้านบาท เติบโต 10% ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ว่าขณะนี้จะมีปัจจัยลบทางการเมืองมากระทบส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอกำลังซื้อ

ด้านนายฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กล่าวว่า การชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้น่าจะส่งผลเสียในด้านอารมณ์ของผู้บริโภคมากกว่า ซึ่งเบื้องต้นมองว่าไม่น่าจะมีความรุนแรง และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมมากนัก แต่กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ส่งผลให้จำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในร้านเอ็มเค สุกี้ลดลงตามไปด้วย ขณะที่ยอดการใช้จ่ายยังคงอยู่ในระดับเดิมเฉลี่ยที่ประมาณ 280 บาทต่อคน

"บริษัทต้องปรับแผนการตลาด เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญแจกทอง ลุ้นรวยแสนทุกวัน ลุ้นรวยล้านทุกเดือน จากเดิมจะจัดกิจกรรมลุ้นโชคกินฟรี"

อย่างไรก็ดี เอ็มเคฯ เองเคยผ่านวิกฤติต่างๆ มามากและสามารถผ่านไปได้ด้วยดีทุกครั้ง ทำให้แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนเดิมที่วางไว้ โดยในปีหน้าบริษัทมีแผนขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 50-60 สาขาเช่นเดียวกับปีนี้ แม้ปีนี้จะเลื่อนการเปิดสาขาไป 4-5 สาขา แต่สาเหตุเพราะศูนย์การค้าซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เลื่อนการเปิดให้บริการ ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมืองแต่อย่างใด

นายฤทธิ์ยังกล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการธุรกิจที่สามารถนำมาต่อยอดธุรกิจได้อีก 2-3 ราย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจร้านอาหาร จากปัจจุบันบริษัทมีธุรกิจร้านอาหารในเครือเปิดให้บริการ 4 แบรนด์ รวมกว่า 500 สาขา ทั่วประเทศ ซึ่งแบรนด์ที่มีจำนวนสาขาเปิดให้บริการมากที่สุด ได้แก่ เอ็มเค สุกี้ มีจำนวนสาขากว่า 400 สาขา ร้านยาโยอิกว่า 100 สาขา ส่วนอีก 2 แบรนด์ คือ ร้านมิยาซากิและร้านราเมน ฮากาตะ โดยในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ 1.3 หมื่นล้านบาท เติบโต 10%

แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท คาโอคอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของไตรมาส 4 ปีนี้ ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวต่อเนื่อง ขณะที่ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กำลังซื้อสินค้าของผู้บริโภคในซูเปอร์มาร์เก็ตลดลงอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุหลักมาจากความไม่แน่ใจ ทำให้ผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายและเลือกที่จะออมเงิน อย่างไรก็ดีต้องการให้สถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายและจบลงได้ภายในปีนี้ ซึ่งถ้าปีนี้ผ่านพ้นไป เชื่อว่ากำลังจะกลับมาดีในปีหน้าอย่างแน่นอน

"ผู้บริโภคตัดสินใจช้ากว่าปกติ แต่แม้ว่ากำลังซื้อจะชะลอตัว โดยภาพรวมบริษัทยังคาดว่าจะเติบโต 10-11% ในปีนี้ และในปีหน้าเชื่อว่าจะยังเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก แม้จะมีหลายปัจจัยทำให้ประเมินได้ยาก แต่บริษัทเตรียมแผนการทำตลาดไว้แล้ว ทั้งการออกสินค้าใหม่ เช่น บิโอเร เมน ที่เตรียมออกแคมเปญรับกระแสฟุตบอลโลก และการทำกลยุทธ์พาร์ตเนอร์ชิพ เพื่อสร้างความน่าสนใจ"

ขณะที่นายอนุรัตน์ โค้วคาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า กำลังซื้อในไตรมาส 4 เป็นสิ่งที่น่าห่วงมากกว่าสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เนื่องจากการชุมนุมครั้งนี้ถือเป็นรูปแบบของการเมืองสมัยใหม่ที่ไม่มีความรุนแรง อีกสิ่งที่น่ากังวลคือการส่งออก ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสูงถึง 70% ของจีดีพีของประเทศ ทำให้ต้องติดตามว่าจีดีพีปีหน้าจะเป็นเช่นไร หากเป็นไปตามที่รัฐบาลคาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ 5-10% น่าจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

อย่างไรก็ดี บริษัทเองได้ปรับกลยุทธ์เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้นผ่านการทำโปรโมชันลดราคาสินค้า และล่าสุดได้เข้าร่วมแคมเปญ "รวมพลังร่วมใจ ช่วยคนไทยลดค่าครองชีพ" กับห้างเทสโก้โลตัส ทำโปรโมชันซื้อข้าวต้ม 3 กล่อง ในราคา 100 บาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,897 วันที่ 17 - 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4634

โพสต์

เรื่องน่ารู้ที่ควรทราบเกี่ยวกับ EIA
"วิเชษฐ์" รมว.กระทรวงทรัพย์ รื้อระบบไดโนเสาร์อีไอเอ ผ่าทางตันเพิ่มปริมาณบริษัทที่ปรึกษารับทำรายงานอีไอเอ แค่มีคุณสมบัติด้านประเมินผลกระทบสวล. ได้ไลเซนส์ สามารถรับงานได้เหมือนบริษัทรับตรวจสอบบัญชี-ทนายความ เผยปัจจุบันมีแค่ 20 บริษัท ไม่สอดรับปริมาณงาน ส่วนกฎใหม่อีไอเอ คอนโดฯสูงไม่เกิน 8 ชั้น ไม่เกินหมื่นตร.ม.มีเฮ ไม่ต้องทำรายงาน รอครม.ไฟเขียวบังคับใช้ธ.ค.นี้ สมาคมคอนโดฯขานรับลดรายจ่าย-เวลา

วิเชษฐ์ เกษมทองศรี นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าจากกรณีปัญหาบริษัทที่ปรึกษารับทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอที่ปัจจุบันจำนวนบริษัทมีจำนวนไม่สอดรับกับปริมาณโครงการคอนโดมิเนียมที่ยื่นขออนุญาตทำอีไอเอทั่วประเทศ ดังนั้นจึงมองว่าควรจะเพิ่มปริมาณบริษัทที่ปรึกษารับทำรายงานอีไอเอ ที่ปัจจุบันมีเพียง 20 รายเท่านั้น ขณะที่จำนวนโครงการคอนโดมิเนียมมีนับ 100 รายทั่วประเทศ ส่งผลทำให้เกิดความล่าช้า

ขณะเดียวกันมีผู้ประกอบการร้องเรียนเข้ามา ซึ่งได้มอบให้สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือ (สผ.)ดำเนินการว่าจะกำหนดเกณฑ์เพิ่มปริมาณบริษัทที่ปรึกษาฯให้มากขึ้น โดยหลักการในเบื้องต้นจะเปิดกว้าง เหมือนกับบริษัทรับว่าความหรือทนายความ บริษัทรับตรวจสอบบัญชี ฯลฯ ที่สามารถรับงานได้หลายบริษัทไม่จำกัดหรือ ได้ไลเซนส์แล้วต้องผูกขาดรายใดรายหนึ่ง

ดังนั้นแนวทางแก้ไข หากบริษัทดังกล่าวมีความเชี่ยวชาญด้านประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และได้ไลเซนส์ก็สามารถรับงานทำอีไอเอได้หลายโครงการจากเดิมที่มีข้อจำกัดบริษัทมีน้อยเพราะเนื้องานค่อนข้างยาก ทำให้เกิดข้อจำกัดด้านผู้เชี่ยวชาญที่ชำนาญงานเฉพาะด้าน ทั้งนี้หากทำถูกทุกขั้นตอน ตรวจเอกสารเสร็จคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณาผ่านสิ่งแวดล้อมก็ถือว่าจบไม่ควรผูกขาดบริษัทใดบริษัทหนึ่ง

นายวิเชษฐ์ยังกล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างแก้ไขหลักเกณฑ์การพิจารณาอีไอเอ ว่าขณะนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วและเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา จากนั้นจะนำเข้าสู่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาต่อไป คาดว่าจะประกาศใช้ได้ภายในเดือนธันวาคม 2556 นี้

ทั้งนี้สาระสำคัญ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 46วรรค 3 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 กำหนดให้อาคารอยู่อาศัย ประเภทคอนโดมิเนียม โรงแรม ความสูงน้อยกว่า 23 เมตร 8 ชั้น และพื้นที่อาคารรวม น้อยกว่าหมื่นตารางเมตรสามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องทำอีไอเอ หรือไม่ต้องจ้างบริษัทที่ปรึกษา ทำรายงานอีไอเอ แต่จะต้องทำตามมาตรการที่ สผ.กำหนดหรือโค้ด เช่น พื้นที่สีเขียวกี่ตารางเมตร มีบ่อบำบัดน้ำเสียหรือไม่ เป็นต้น โดยที่ผ่านมามีข้อครหามากทั้งในเรื่องระยะเวลาที่ดำเนินการ ความล่าช้า ไม่โปร่งใสเรื่องระบบของอีไอเอ เมื่อโครงการประเภทและขนาดดังกล่าวได้รับการยกเว้น ส่งผลให้ ระยะเวลาและเนื้องานลดลง 30%

สำหรับอาคารขนาดตั้งแต่หมื่นตารางเมตรขึ้นไป สูงเกิน 23 เมตร หรือเกิน 8 ชั้น จะต้องทำอีไอเอ แต่สิ่งที่ดำเนินการคือ การลดขั้นตอน ให้เหลือเพียง 98 วัน จาก 105 วัน ซึ่งมี 4 ขั้นตอน คือขั้นตอนที่ 1.ตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นจาก 15วันเหลือ 7 วันทำการ ขั้นตอนที่ 2 จัดทำวาระเสนอคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) 15 วัน ขั้นตอนนี้ลดไม่ได้เพราะต้องออกไปตรวจสอบพื้นที่โครงการ จัดทำวาระต่างๆ มองว่าระยะเวลาเหมาะสมแล้ว ขั้นตอนที่ 3 ขั้นพิจารณาอีไอเอของคชก. 45 วัน ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ถูกกล่าวหาก็มีคือใช้เวลานานเกิน 45 วัน เพราะมีการเรียกเอกสารหลายครั้ง หรือเรียกแล้วเรียกอีก โดยจะแก้ด้วยการกำหนดให้เปิดประเด็นเรียกเอกสารครั้งเดียว เพื่อแก้ปัญหาดึงเรื่องและทุจริต เช่น ขาดเอกสารพื้นที่สีเขียว ขาดเรื่องน้ำทิ้งคอนโดฯ รวม 2 เรื่องก็เรียกครั้งเดียว ที่ผ่านมามักเรียก 2 ครั้ง เปิดประเด็นครั้งเดียวจะลดเวลาลงทุนที ส่วนขั้นตอนที่ 4 ใช้เวลา 30 วัน ซึ่งเป็นขั้นตอนการพิจารณาอีไอเอของคชก. ครั้งที่ 2 ถือว่าสิ้นสุดการพิจารณาให้ผ่านอีไอเอ รวมแล้วระยะเวลาจะลดลงไปไม่ถึง 100 วัน ส่วนการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นพิจารณาอีไอเอ พบว่าไม่มีความจำเป็น แต่จะเพิ่มช่องทางทุจริต ที่สำคัญโครงการส่วนใหญ่อยู่ในกทม.

ต่อเรื่องนี้นายธำรง ปัญญาสกุลวงค์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีทั้งเรื่องการแก้ปัญหาบริษัทที่ปรึกษาที่มีจำกัด ที่สามารถเปิดให้รับงานมากขึ้น ขณะเดียวกันเห็นด้วยกับการลดขั้นตอนอีไอเอโดยเฉพาะคอนโดฯ ขนาดไม่เกินหมื่นตารางเมตร สูงไม่เกิน 8 ชั้นไม่ต้องทำรายงานอีไอเอ เพียงปฏิบัติตามโค้ดก็เพียงพอแล้ว ส่งผลให้ต้นทุนลดลงมาก

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,897 วันที่ 17 - 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4635

โพสต์

วางแผนการเงิน...จาก 'ความสุข' และ 'ความพอเพียง'
กระทู้ข่าว
การบริหารจัดการการเงินการออมเงินการลงทุน
credit : bangkokbiznews.com
------

ไขเคล็ดลับกุญแจสู่ความสำเร็จด้านการเงิน ของ "อดิศร เสริมชัยวงศ์" ด้วยการสร้างวินัยในการออม ใช้ชีวิตส่วนตัวให้มีความสุข และรู้จักพอเพียง

"ความสำเร็จในการออมคือวินัยที่เราสร้างขึ้น จัดพอร์ตให้เหมาะกับเป้าหมายชีวิต ผลตอบแทนจะตามมา หากไม่มีวินัยก็ไม่มีเงิน เมื่อไม่มีเงินจะต่อยอดยังไง เพราะการลงทุนเป็นการต่อยอด อย่าหวังรวยจากการลงทุน เรื่องแบบนี้ต้องใช้ทักษะเฉพาะซึ่งโลกนี้ทำได้จริงไม่กี่คน ไม่งั้นคนก็รวยทั่วโลก"

นั่นคือกุญแจสู่ความสำเร็จทางด้านการเงินของ "อดิศร เสริมชัยวงศ์" รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย หนึ่งในผู้ที่คิดค้นหาแนวทางการออมการลงทุนให้ลูกค้ากลุ่มผู้มีอันจะกินของธนาคารระดับภูมิภาคแห่งนี้ หรือ CIMB Preferred นั้นเอง

แต่ในมุมชีวิตส่วนตัวแล้วอดิศรวางแผนการเงินของตัวเองให้ล้อไปกับเป้าหมายชีวิตในแต่ละจังหวะที่ดำเนินไป แม้ว่าจุดเริ่มต้นการออมของเขาไม่ได้วางรากฐานมายาวนาน แต่เริ่มต้นขึ้นพร้อม ๆ ไปกับการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวนั่นเอง ในวันที่เขาค้นพบว่าการสร้างเรือนหอที่ต่อเติมจากบ้านของพ่อแม่นั้นได้ทำให้เงินในบัญชีที่เขาพอจะมีก่อนแต่งงานหมดเกลี้ยงไปซะแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยวางเป้าหมายทางการเงินไว้เลย

เขายอมรับว่า ชีวิตที่ไม่มีความฝันจะไม่มีแรงจูงใจให้เก็บเงิน พอแต่งงานทำให้เขาได้คิดว่าอายุขนาดนี้แล้ว มีครอบครัว จะมีลูก แต่ไม่มีเงินเก็บ ประสบการณ์ครั้งนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต เลิกซื้อของเล่นแล้วหันมาบังคับตัวเองด้วยการ "สร้างวินัย" และ "กลไกการออม" เชิงบังคับออมให้ตัวเอง เริ่มจากการตัดเงินเดือนอัตโนมัติเข้าไปในผลิตภัณฑ์ขั้นพื้นฐานอย่างบัญชีเงินฝากประจำและประกันชีวิต ที่เปิดให้ตัวเอง ภรรยาและลูก ๆ ทุกคน ขณะเดียวกันจะมีเงินออมในรูปแบบของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วยยอดเงินสูงสุดที่บริษัทมีให้ รวมถึงเงินลงทุนใน "กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)" และ "กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)" เพื่อลดหย่อนภาษี จากนั้นจะวางแผนการใช้เงินให้สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตระยะสั้นและระยะกลาง ในช่วง 3-4 ปีแรก เขาถึงกับทำตารางใน Excel ดูว่าเงินที่ต้องใช้แต่ละปีเป็นเท่าไร แล้วเงินเก็บกับรายได้ในแต่ละปีจะมีเงินเท่าไร

"เริ่มต้นวิธีการคือต้องบังคับออม ต้องสร้างวินัยให้ตัวเอง ไม่งั้นเราทำงานเราจะมีแรงจูงใจให้รางวัลตัวเอง ยิ่งเงินเดือนเยอะยิ่งใช้มากขึ้น เงินเดือนเข้ามาคิดเลย รถ นาฬิกา ของเล่น เป็นความจริงที่เกิดขึ้น เพราะงั้นต้องเริ่มจากบังคับออมให้พอ ค่อยกลับมาดูว่าจะวางแผนอย่างไร ให้ล้อกับความฝัน ไม่งั้น เก็บ ๆ ไปจะรู้สึกว่าเก็บทำไม ก็ต้องวางแผนอย่างละเอียดให้มีวัตถุประสงค์ชัด อีกกี่ปีลูกจะเข้าโรงเรียน อีกกี่ปีจะขยายบ้าน พอมีลูกคนที่ 2 แผนเริ่มใหญ่ขึ้นก็มีจำนวนเงินก็มากขึ้น ก็เพิ่มวงเงินออมมากขึ้นไปเรื่อย ๆ"

เมื่อมาถึงจังหวะชีวิตที่เงินเดือนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มาถึงจุดที่รายได้เริ่มไล่ทันค่าใช้จ่ายพื้นฐาน ทั้งค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาของลูก ๆ และเงินที่เตรียมไว้สำหรับการวางแผนเกษียณที่เมื่อหักแล้วยังมีเงินเหลือ อดิศร มองว่า มันถึงเวลาที่ต้องกลับมาทบทวนแผนทางการเงินและกลไกการออมแล้ว จึงรื้อและปรับแผนการเงินเสียใหม่

เขาแบ่งพอร์ตออกเป็น 3 พอร์ต ก้อนแรกคือ "พอร์ตเงินเพื่อการศึกษาในอนาคตของลูก" เป็นก้อนที่ให้ความสำคัญที่สุดที่ต้องกันไว้ให้ครบ 100% ของยอดเงินต้นที่ได้จากการประมาณการค่าใช้จ่ายในอนาคตเอาไว้ แล้วเติมให้เต็มเพื่อความสบายใจ จากนั้นจึงบริหารเงินออมก้อนนี้ให้มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เช่น เงินฝาก กองทุนมันนี่มาร์เก็ต ตราสารหนี้หรือประกันชีวิตโดยมีเป้าหมายแค่ให้มีผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อเป็นพอ และเมื่อเติมเงินต้นในพอร์ตแรกจนเต็มจึงหันไปหยอดเงินออมสำหรับพอร์ตที่สองคือ "พอร์ตเกษียณ" ที่เขายอมเพิ่มความเสี่ยงในพอร์ตนี้ให้อยู่ในระดับปานกลางถึงสูง ผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ LTF และ RMF ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นยกเว้นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ถูกจำกัดด้วยนโยบายของบริษัท

ขณะเดียวกันด้วยความที่ชอบท่องเที่ยวและด้วยวัยที่ใกล้เลข 5 เข้าไปทุกที เขาจึงให้น้ำหนักกับการให้รางวัลตัวเองด้วยการเพิ่ม "พอร์ตท่องเที่ยว" ที่ถือเป็นอีกส่วนสำคัญของชีวิต พอร์ตสำหรับ Enjoy life ของอดิศรมีรูปแบบที่แตกต่างจากมนุษย์เงินเดือนทั่วไป กล่าวคือเงินในพอร์ตนี้จะต้องบริหารด้วยความเสี่ยงต่ำ ขณะที่มุมมองของบางคนจะลงทุนในความเสี่ยงสูงเพื่อนำกำไรไปเที่ยว เพราะเขายืนยันหนักแน่นว่าไม่ว่าจะยังไงก็ต้องเที่ยว พอร์ตนี้จึงต้องการความแน่นอน

"คนไทยยังไงลูกก็ต้องมาก่อน แม้จะบอกเขาว่าเราไม่มีเงินเก็บไว้ให้ แต่ก็ปล่อยไม่ได้ยังไงก็ต้องเก็บกันไว้ให้เงินต้นเต็มก่อน ล็อกไว้เลย เป็นสไตล์ของผม พอเต็มก็หันไปหยอดฝั่งเกษียณที่วันนี้ยังมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ผมก็กลัวว่าถ้าแก่แล้วจะไม่มีแรงเที่ยว เลยมีส่วนที่ 3 ด้วยการเก็บระยะสั้น เพื่อปีหนึ่งจะมีทริปใหญ่สัก 1-2 ครั้ง โดยรวมผลตอบแทนการลงทุนที่ได้รับกลับมายังมากกว่า 4% ต่อปีถือว่าพอได้ แต่หากตลาดหุ้นดีผลตอบแทนของพอร์ตก็น่าจะได้สัก 6%"

ถึงกระนั้นก็ตามเขาให้มุมมองว่า "การบริหารการเงินไม่ใช่เรื่องยาก ความยากอยู่ที่หาจุดที่คุณพอ" เขาย้ำว่าเงินที่มีจะมากหรือน้อยไม่สำคัญเลย ความสำคัญอยู่ที่ "ความสุข" ที่ได้ใช้ชีวิตอย่างใจคิด โดยไม่เกิดความขัดสน จุดเริ่มต้นของความสุขในความคิดของเขา คือการได้ทำงานที่มีความสุข ตรงกับลักษณะนิสัยและจริตของตัวเอง ภูมิใจกับงานที่ทำโดยไม่ต้องหวังรวยจากอย่างอื่น ขณะเดียวกันต้องมีวินัยที่จะเก็บออม เพราะการวางแผนทางการเงินเพื่อให้รู้แจ้งว่า "ความพอใจ" และสถานะเราอยู่ตรงไหน ขีดความสามารถเราอยู่ตรงไหน เพื่อจะตั้งความหวังความฝันไว้ให้สอดคล้องกับความสามารถของตัวเอง

"ในมุมของผมเริ่มจากทำงานที่ชอบ งานที่มีคุณค่า คุณค่าเหล่านี้จะถูกสะท้อนเป็นรายได้กลับมาที่เหมาะสมระดับหนึ่ง จากตรงนั้นตั้งเป้าเงินออมที่เหมาะสม และสร้างระเบียบวินัย พอเห็นเงินที่เก็บได้ เราจะรู้ว่าประมาณการตั้งความคาดหวังชีวิตอย่างไรที่จะพอเพียงไม่เดือดร้อนใคร สามารถใช้ชีวิตส่วนตัวได้มีความสุขพอควร เพราะทุกวันนี้ในโลกมีอะไรที่ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ แพงไปเรื่อย ๆ ทั้งนั้น แต่สุดท้ายคือความพอเพียงของเราอยู่ตรงไหน เงินจะมากหรือน้อยไม่สำคัญ"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4636

โพสต์

จะว่าไป เพิ่งหายป่วยครับ
นอนน้อยไปหย่อย แถมโดนฝน เลยเป็นไข้หวัดหลายวันเลย
แต่จะให้นอนเฉยๆอย่างเดียวก็เบื่อครับ

เลยเอารูปสวยๆของหิมะ ที่เมือง Harbin มาฝากครับ เพิ่งอ่านเจอจากข่าวว่า โดนพายุหิมะหนักสุดในรอบ 50 ปี

อิตาลี ก็มีไซโคลนเข้าที่เกาะซาร์ดิเนีย ตายไปหลายคน
ไม่รู้โลกเราทุกวันนี้จะเกิดขึ้นอะไรกับรุ่นลูกรุ่นหลานของเราบ้างนะครับ แปรปรวนรุนแรงขึ้นทุกวันเลย

พูดถึง Harbin เป็นที่เที่ยวที่อยากไปมาก ยิ่งตอน -30 องศา นี่อยากไปมาก แต่เจอคุณแฟน เธอบอกว่าจะไหวเหรอ ขนาดเมืองไทยแค่อากาศเปลี่ยน ยังไม่ค่อยจะรอด 555

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4637

โพสต์

updated: 19 พ.ย. 2556 เวลา 19:14:15 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

นางเบญจา หลุยเจริญ รมช.คลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา(พรฎ) ลดอัตราภาษีรัษฎากร(ฉบับที่...)พ.ศ...(มาตรการปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงิน ได้สำหรับบุคคลธรรมดา)เพื่อให้การชำระภาษีประจำ 2556 ตั้งแต่1ม.ค.2557บุคคลธรรมลดลงเหลือ35%ของรายได้สุทธิต่อปี จากเดิม37% ของรายได้สุทธิต่อปี และสำหรับขั้น(ช่วงรายได้) รายได้ในการคำนวนรายได้จะเพิ่มเป็น 7 ขั้นจากเดิมมี5ขั้น ซึ่งการคำนวนภาษีใหม่นี้จะทำให้ผู้มีรายได้น้อยได้ประโยชน์มากขึ้น เพราะขั้นในการคำนวณภาษีถี่ขึ้น ส่งผลให้ผู้มีรายได้น้อยเสียชำระภาษีในอัตราลดลง โดยอัตราภาษีที่ลดลงในอัตราใหม่ จะทำให้อัตราการเสียภาษีลดลงอีก 5-50% จากอัตราภาษีเดิม


“อัตราภาษีใหม่ที่มีความ ละเอียดในแต่ละขั้นการชำระภาษี ส่งผลให้ครัฐบาลจะสูญเสียรายได้ประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท แต่สำหรับรัฐบาลถือว่าไม่มีปัญหา เพราะประโยชน์จะกลับคืนสู่ประชาชนผู้เสียภาษีของไทย ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ”นางเบญจา กล่าว


นาง เบญจา กล่าวว่า สำหรับรายละเอียดตามบันได 7 ขั้นนั้น ผู้มีรายได้รายได้ระหว่าง 0-300,000 บาทแรกจะเสียภาษีในอัตรา 5% ของรายได้สุทธิต่อปี โดยที่รัฐบาลยังคงยกเว้นภาษีสำหรับผู้มีรายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทแรกตามเดิม ส่วนผู้มีเงินได้สุทธิ ระหว่าง 300,001 บาท แต่ไม่เกิน 500,000 บาท จะถูกเก็บภาษีในอัตรา 10% เท่ากับอัตราเดิมผู้มีเงินได้สุทธิช่วง 500,001 ถึง 750,000 บาท เสียภาษีในอัตรา 15% ลดลงจากอัตราเดิมที่ 20%ผู้มีเงินได้สุทธิ 750,001 บาทถึง 1 ล้านบาท เสียภาษีอัตรา 20% เท่าเดิม ผู้มีเงินได้สุทธิ 1,000,001 บาทถึง 2 ล้านบาท เสียภาษีอัตรา 25% ลดลงจากอัตรา 30% ผู้มีเงินได้สุทธิ 2,000,001 บาทถึง 4 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 30% เท่ากับอัตราเดิม และผู้มีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 4,000,001 ขึ้นไปเสียภาษีในอัตรา 35% ลดลงจากอัตราปัจจุบันที่เสียไว้ 37%


ทั้งนี้การ เสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ตั้งแต่1ม.ค.2557 ผู้ที่มีรายได้อยู่ในขั้นที่1ผู้มีเงินได้ไม่เกิน150,000บาท/ปีมีจำจำนวน ทั้งสิ้น6.5ล้านคนผู้มีรายได้300,001-500,000บาทมีจำนวนผู้เสียภาษีทั้ง สิ้น1.4ล้านคนขณะที่ผู้ที่มีรายได้มากกว่า 4 บ้านบาทมีจำนวนทั้งสิ้นพียง 2หมื่นคน โดยผู้ที่ใต้องเสียภาษีส่วนใหญ่เป็นมนุษย์เงินเดือน จเได้ระโยชน์จากการเสียภาษีจำนวนมากดังนี้สำหรับฐานเงินเดือน 20,000บาท/เดือน หรือรายได้ต่อปี 240,000 บาท ไม่ตัองเสียภาษี อัตราเงินเดือน30,000บาท หรือรายได้ต่อปี 360,000 บาท เดิมต้องเสียภาษี 12,000 บาท แต่อัตราภาษีใหม่จะลดลง 50 % เหลือ 6,000 บาท ผู้มีรายได้ 40,000 บาท/เดือน หรือรายได้ต่อปี 480,000 บาท เดิมจะเสียภาษี 24,000 บาทจะลดลง 31.25% เหลือ 16,500 บาท


สำหรับผู้มี รายได้ 50,000 บาท/เดือน หรือรายได้ต่อปี 600,000 บาท เดิมเสียภาษี 37,000 จะลดลง 21.62% เหลือชำระภาษี 29,000 บาท ผู้มีรายได้ 80,000 บาท/เดือน หรือรายได้ต่อปี 960,000 บาทเดิมเสียภาษี 109,000 จะลดลง 18.35% เหลือชำระภาษี 89,000 บาท ผู้มีรายได้ 100,000 บาท/เดือน หรือรายได้ต่อปี 1,200,000 บาทเดิมเสียภาษี 168,000 จะลดลง 15.18% เหลือชำระภาษี 142,500 บาท

ผู้มีรายได้ 120,000 บาท/เดือนหรือรายได้ต่อปี 1,440,000 บาท เดิมเสียภาษี 240,700 จะลดลง 15.63% เหลือชำระภาษี 202,500 บาท ผู้มีรายได้ 150,000 บาท/เดือนหรือรายได้ต่อปี 1,800,000 บาท เดิมเสียภาษี 348,000 จะลดลง 15.95% เหลือชำระภาษี 292,500 บาท ผู้มีรายได้ 200,000 บาท/เดือน หรือรายได้ต่อปี 2,400,000 บาท เดิมเสียภาษี 528,700 จะลดลง 13.26% เหลือชำระภาษี 458,000 บาท ผู้มีรายได้ 250,000 บาท/เดือน หรือรายได้ต่อปี 3,000,000 บาท เดิมเสียภาษี 708,00 จะลดลง 9.89% เหลือชำระภาษี 638,000 บาท


ผู้มีรายได้ 300,000 บาท/เดือน หรือรายได้ต่อปี 3,600,000 บาท เดิมเสียภาษี 888,000บาท จะลดลง 7.88% เหลือชำระภาษี 818,000 บาท ผู้มีรายได้ 350,000 บาท/เดือน หรือรายได้ต่อปี 4,200,000 บาท เดิมเสียภาษี 1,075,700บาท จะลดลง 6.71% เหลือชำระภาษี 1,003,500 บาท ผู้มีรายได้ 400,000 บาท/เดือน หรือรายได้ต่อปี 4,800,000 บาท เดิมเสียภาษี 1,297,700บาท จะลดลง 6.49% เหลือชำระภาษี 1,213,500 บาท และผู้มี รายได้ 800,000 บาท/เดือนหรือรายได้ต่อปี 9,600,000 บาท เดิมเสียภาษี 3,073,700 บาท จะลดลง 5.86% เหลือชำระภาษี 2,893,500 บาท เป็นต้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4638

โพสต์

ให้ผมเสียภาษีเท่าเดิมหรือมากกว่านี้ผมยอมนะ ผมขอแค่ 2 อย่าง

1. รัฐสวัสดิการดีขึ้น คุณภาพการศึกษา การรักษาพยาบาลใกล้เคียงกัน
2. กระจายโอกาสให้คนจนมากขึ้นจากเงินภาษีของผมนี่หล่ะ

ขอแค่นี้
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4639

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:ให้ผมเสียภาษีเท่าเดิมหรือมากกว่านี้ผมยอมนะ ผมขอแค่ 2 อย่าง

1. รัฐสวัสดิการดีขึ้น คุณภาพการศึกษา การรักษาพยาบาลใกล้เคียงกัน
2. กระจายโอกาสให้คนจนมากขึ้นจากเงินภาษีของผมนี่หล่ะ

ขอแค่นี้
ที่คุณ NB หวังไว้ ก็เป็นสิ่งที่่ผมและใครหลายๆคนก็หวังไว้นะครับ
เพียงแต่ว่่า เมื่อไหร่

จะเป็นไปได้ไหม ให้มันเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง แม้มันจะคืบไปได้ทีละนิด แต่ก็เดินหน้าแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม จะยาวแค่ไหนแต่ถ้าตั้งใจจะแก้ มันต้องสำเร็จในที่สุด

ถ้าเราลดการเหลื่อมล้ำความเหลื่อมล้ำกันได้มากกว่านี้ สังคมเราจะอยู่กันอย่างเข้าอกเข้าใจกว่านี้ และปลอดภัยขึ้นกว่านี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4640

โพสต์

ตลาดหุ้นตกอีกมากแค่ไหน เมื่อ Fed เริ่มลด QE จริงๆ

โดย : ไพบูลย์ นลินทรางกูร

ช่วง 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทย Underperformed ตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกรวมเอเชียค่อนข้างมาก

สาเหตุนั้น ทุกท่านทราบดีอยู่แล้วว่า มีการชุมนุมเกิดขึ้น ช่วงแรกๆ เพื่อต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรม แต่พอรัฐบาลได้ถอนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทุกฉบับออกไปจากสภาฯ และให้สัตยาบันว่า จะไม่นำกลับมาพิจารณาอีก การชุมนุมกลับยังคงดำเนินต่อไปโดยปรับเปลี่ยนเป้าหมาย เป็นการต่อต้านและอาจไปถึงขั้นขับไล่รัฐบาล ผมไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ปัจจุบัน จะจบลงอย่างไรและเมื่อไร แต่จะมีผลทางลบต่อตลาดหุ้นน้อยลงเรื่อยๆ เพราะประเด็นการชุมนุม เริ่มมีเหตุผลน้อยลง รวมถึงแนวสนับสนุนจากภาคธุรกิจ สถาบันการศึกษา นักวิชาการ ก็เริ่มลดลงด้วย

เรื่องที่ผมจะเขียนถึงไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องผลกระทบที่จะมีต่อตลาดหุ้น เมื่อ Fed เริ่มลดการอัดฉีดเม็ดเงินจากมาตรการ Quantitative Easing หรือ QE จริงจัง การที่นักลงทุนทั่วโลกมีอาการดีใจทุกครั้งที่มีสัญญาณว่า Fed จะยังไม่ลดวงเงิน QE เช่น เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ออกมาต่ำกว่าคาด หรือคำแถลงการณ์ของประธาน Fed ที่ส่อว่ายังเป็นห่วงเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือการเห็นแรงเทขายอย่างหนักทุกครั้ง ที่มีสัญญาณว่า Fed อาจจะลด QE เร็วกว่าคาด แสดงว่า QE ยังเป็นปัจจัยที่นักลงทุนทั่วโลกให้น้ำหนักสูงมาก

ที่เป็นอย่างนี้เพราะนักลงทุน น่าจะยังจำเหตุการณ์เมื่อ พ.ค. ที่ผ่านมาได้ดี หลังจากที่ Fed ส่งสัญญาณเป็นครั้งแรกว่า จะเริ่มลดวงเงิน QE ช่วงนั้นตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาด Emerging Markets ปรับลดลงอย่างหนัก ตลาดหุ้นไทย ก็ปรับลงเกือบ 300 จุดภายในไม่กี่อาทิตย์ จากนั้นไม่นานพอมีข่าวว่านาย Lawrence Summers (ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยสนับสนุนการใช้นโยบาย QE) อาจจะได้รับการเสนอชื่อเป็นประธาน Fed คนใหม่ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ตกอย่างแรงอีก ช่วงนั้นตลาดไทยลงไปอีกเกือบ 100 จุด จนถึงวันนี้แม้ยังไม่ลดวงเงิน QE ตลาดหุ้นไทยก็ยังไม่สามารถกลับไปสู่ระดับเดิมที่ 1,600-1,650 จุดได้ ซึ่งเป็นระดับก่อนเกิดความกังวลเรื่องลด QE

สิ่งที่นักลงทุนกังวลที่สุดคือ เมื่อ Fed เริ่มลดวงเงิน QE จริงๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นใน 1-4 เดือนนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทยจะตกอีกมากแค่ไหน ความเห็นของผมคือพอถึงเวลานั้นจริง ราคาหุ้นน่าจะลดลงไม่มาก หากลงมากน่าจะแค่ช่วงแรกๆ ที่นักลงทุนอยู่ในอาการตกใจ หลังจากนั้นตลาดหุ้นทั่วโลกจะกลับสู่ขาขึ้น และน่าจะขึ้นยาวไปอีก 2 ปี ผมมีเหตุผลสนับสนุนแนวคิดของผมอยู่ 5 ข้อ

1. แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกชัดเจนขึ้นมากเมื่อเทียบกับเดือน พ.ค. ตอนที่ Fed ออกมาส่งสัญญาณ อาจจะปรับลดวงเงิน QE เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนนัก การประกาศแผนลด QE ของ Fed ช่วงนั้นทำให้นักลงทุนกังวลว่าจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจให้ย่ำแย่ลงอีก เป็นผลทำให้เกิดแรงเทขายครั้งใหญ่ในตลาดหุ้น แต่ตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแรงขึ้นมาก เศรษฐกิจโลกเริ่มเข้าสู่วงจรการฟื้นตัวชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น ยุโรป ญี่ปุ่น จีน ผมเชื่อว่าการลด QE ถ้าทำในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว จะไม่ทำให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้น เพราะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ช่วยให้ภาคธุรกิจมีผลประกอบการดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักให้ราคาหุ้นปรับสูงขึ้น

2. นักลงทุนเริ่มเข้าใจว่าการลด QE ไม่ได้แปลว่า Fed เริ่มใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา Fed พยายามทำให้นักลงทุนแยกแยะระหว่างการลด QE กับการเปลี่ยนนโยบายทางการเงิน โดยบอกชัดเจนว่ามาตรการ QE มีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือควบคุม Momentum ของเศรษฐกิจระยะสั้น ขณะที่นโยบายด้านดอกเบี้ย เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการบริหารนโยบายการเงินและรักษาเสถียรภาพทางการเงินระยะยาว แปลง่ายๆ คือ การที่ Fed จะตัดสินใจลด QE ไม่ได้หมายความว่า Fed จะเปลี่ยนไปใช้นโยบายการเงินที่รัดกุมขึ้น แต่แปลว่า มีความมั่นใจมากขึ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ผมเชื่อว่านักลงทุนเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับมาตรการ QE และการลด QE จะเห็น Panic Selling ลดลงมาก ที่สำคัญเริ่มมีข่าวว่า Fed อาจปรับเป้าการว่างงานที่ใช้เป็นตัวกำหนดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเมื่อไร ลงจากเดิมที่ 6.5% เป็น 5.5-6% ซึ่งจะเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้น

3. นักลงทุนเริ่มแยกแยะตลาดเกิดใหม่ที่เสี่ยงต่ำออกจากกลุ่มเสี่ยงสูง นักลงทุนแยกแยะตลาดเกิดใหม่ออกจากกันชัดเจนขึ้น ระหว่างกลุ่มเสี่ยงต่ำกับความเสี่ยงสูง ดังนั้นการลด QE ถ้าจะมีผลกระทบทางลบ น่าจะเป็นกับกลุ่มเสี่ยงสูง ไม่น่าส่งผลให้สภาพคล่องไหลเข้าสู่ตลาดกลุ่มเสี่ยงต่ำลดลง ซึ่งวิธีดูว่าประเทศไหนเสี่ยงระดับใด ดูจากดุลบัญชีเดินสะพัด ประเทศไหนที่อดีตการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด หรือมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจอ่อนแอ (ส่งออกน้อย แต่นำเข้าสูง) หรือพึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์สูงๆ (ปัจจุบันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำ) จะทำให้ถูกจัดอยู่ในประเทศที่เสี่ยงสูง สำหรับไทย แม้ครึ่งปีแรกจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แต่ไม่น่ากลัว เพราะที่ผ่านมานำเข้าทองคำสูงมาก ถัดมาดูทิศทางดอกเบี้ยภายในว่า จะปรับขึ้นเร็วและมากกว่าดอกเบี้ยโลกหรือไม่ ผมเชื่อว่าดอกเบี้ยไทยไปในทิศทางเดียวกับดอกเบี้ยโลก เพราะเงินเฟ้อไทยใกล้เคียงกับโลก และสภาพคล่องของไทยสูงมาก ค่าเงินบาทไม่ได้ Overvalued ผมเชื่อว่าไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่เสี่ยงต่ำ ปัจจัยเดียวที่จะทำให้ภาพนี้เปลี่ยนไปคือการเมืองที่เลวร้ายลงมากๆ

4. Valuations ของตลาดเกิดใหม่ลดลงมากแล้ว ช่วงก่อนมีคำขู่จาก Fed ว่าจะลด QE ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่บางแห่งมี Valuations แพงกว่าตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว แต่ล่าสุดตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่มีค่า P/E Ratio เฉลี่ย 12 เท่า ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วมี P/E Ratio เฉลี่ย 17 เท่า หรือ Valuations ถูกกว่าถึง 40% ซึ่งกระตุ้นให้ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่น่าสนใจ เพราะพฤติกรรมนักลงทุน คือ ชอบของถูก นอกจากนี้ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ ยัง Underperformed ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วค่อนข้างมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เงินจะเริ่มไหลเข้าตลาดเกิดใหม่

5. เงินลงทุนจะ Rotate ออกจากตราสารหนี้เข้าตลาดหุ้นมากขึ้น การลด QE แม้ยังไม่ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายกลับสู่ขาขึ้น แต่เป็นแรงกดดันทำให้ดอกเบี้ยระยะยาวปรับสูงขึ้นอีก เม็ดเงินส่วนหนึ่งที่ลงทุนอยู่ในตลาดตราสารหนี้จะถูกโยกเข้าสู่ตลาดหุ้น เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องดอกเบี้ย

จากเหตุผลทั้ง 5 ข้อ ผมมองว่า การปรับลด QE ไม่น่ากลัวสำหรับตลาดหุ้นไทยอย่างที่คิดกัน โดยเฉพาะการดำเนินการตอนที่เศรษฐกิจโลกฟื้น ตัวอย่างชัดเจนจะทำให้นักลงทุนตื่นตระหนกน้อยกว่ารอบที่แล้วแน่นอน
ReRedrum
Verified User
โพสต์: 198
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4641

โพสต์

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ :D
"ผมไม่ได้ลงทุนในหุ้นเพียงเพราะว่าผมต้องการเงินมากมาย
แต่มันเป็นความสนุกในการค้นหาบริษัทชั้นเยี่ยม
เฝ้าดูมันเติบโต และทำเงินให้เรา"

"เบื้องหลังของด้านหลัง ก็คือ ด้านหน้า"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4642

โพสต์

ReRedrum เขียน:ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ :D
ยินดีครับ
น้อง ReRedrum ชื่อนี้สื่อถึงอะไรครับ ขอเป็นความรู้หน่อยครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4643

โพสต์

นายพนัส สิมะเสถียร ประธานคณะทำงานผู้ทรงคุณวุฒิในการตัดสินรางวัล SET Awards 2013 กล่าวว่า“ การคัดเลือกและเฟ้นหาผู้รับรางวัลมีความยากและซับซ้อนขึ้นทุกปี เป็นความท้าทายของคณะกรรมการในการตัดสินที่ในแต่ละปีได้มีการพิจารณาและอภิปรายข้อมูลร่วมกันอย่างเข้มข้น จนกว่าจะสามารถสรุปเป็นรางวัลประกาศแก่สาธารณชนได้ อย่างไรก็ตามเม้จะเป็นภารกิจที่ยากขึ้นและมีแง่มุมให้ต้องพิจารณาในแต่ละปีที่ต่างกันไป แต่คณะทำงานทุกคนต่างภาคภูมิใจที่รางวัล SET Awards สามารถเป็นกำลังใจให้บริษัทในตลาดทุนและผู้บริหารทุกคนมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพของการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป เพื่อความเข้มแข็งของตลาดทุนไทย และเศรษฐกิจของประเทศ”

พิธีประกาศผลและมอบรางวัล SET Awards 2013 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 พร้อมฉลองวาระครบรอบ 10 ปี ภายใต้แนวคิด “The ERA of Growth” โดยในปีนี้มีผู้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมและ SET Award of Honor ทั้งสิ้น 51 รางวัล จาก 42 บริษัท ซึ่งในโอกาสครบรอบ 10 ปีของรางวัล SET Awards ตลาดหลักทรัพย์ฯ และวารสารการเงินธนาคารได้จัดทำหนังสือที่ระลึกซึ่งบันทึกเรื่องราวและความเป็นมาของรางวัล รวมทั้งสัมภาษณ์ผู้บริหารที่เคยได้รับรางวัล ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องแจกในงานด้วย

รายละเอียดผู้ได้รับรางวัล SET Awards 2013

รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จ (SET Award of Honor) รางวัลที่มอบให้แก่บริษัทที่มีความเป็นเลิศในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

บริษัทที่มีความเป็นเลิศต่อเนื่อง ปี 2008-2013

§ ด้านการรายงานบรรษัทภิบาล: บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP)

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK)

§ ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม: บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP)

บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) (SCC)

บริษัทที่มีความเป็นเลิศต่อเนื่อง ปี 2009-2013

§ ด้านการรายงานบรรษัทภิบาล: ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB)

บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (SAT)

บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) (SE-ED)

บริษัทที่มีความเป็นเลิศต่อเนื่อง ปี 2010-2013

§ ด้านการรายงานบรรษัทภิบาล: ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) (KKP)

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB)

§ ด้านการให้บริการหลักทรัพย์แก่นักลงทุนสถาบัน: บริษัทหลักทรัพย์เครดิต สวิส (ประเทศไทย) จำกัด (CS)

บริษัทที่มีความเป็นเลิศต่อเนื่อง ปี 2011-2013

§ ด้านการรายงานบรรษัทภิบาล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY)

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN)

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO)

บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP)

บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TISCO)

§ ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT)

บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (SAT)

§ ด้านการให้บริการหลักทรัพย์อนุพันธ์: บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด (MTSGF)

รางวัลยอดเยี่ยม (SET Awards) รางวัลที่มอบให้แก่บริษัทที่มีความเป็นเลิศในด้านต่างๆ ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัล ได้แก่

1. รางวัลผู้บริหารสูงสุดยอดเยี่ยม (Best CEO Awards) แยกตามตลาดหลักทรัพย์

§ CEO ของบริษัทจดทะเบียนใน SET:

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่

บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) (PS)

§ CEO ของบริษัทจดทะเบียนใน mai:

นายวิโรจน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (JUBILE)

2. รางวัลบริษัทจดทะเบียนด้านผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม (Best Company Performance Awards)

§ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงกว่า 50,000 ล้านบาท: บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (INTUCH)

§ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดระหว่าง 20,000-50,000 ล้านบาท: บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) (PS)

§ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดระหว่าง 10,000-20,000 ล้านบาท: บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) (TVO)

§ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดระหว่าง 2,000-10,000 ล้านบาท: บริษัท ไทยรุ่งยูเนียนคาร์ จำกัด (มหาชน) (TRU)

§ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดไม่เกิน 2,000 ล้านบาท: บริษัท ทักษิณคอนกรีต จำกัด (มหาชน) (SCP)

§ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai): บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) (MACO)

3. รางวัลบริษัทจดทะเบียนด้านการรายงานบรรษัทภิบาลดีเยี่ยม (Top Corporate Governance Report Awards)

§ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET):

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU)

บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) (DRT)

บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (MCOT)

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT)

บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SAMART)

บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) (SAMTEL)

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SC)

บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (SIS)

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP)

§ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai):

บริษัท ผลธัญญะ จำกัด (มหาชน) (PHOL)

บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (TRC)

4. รางวัลบริษัทจดทะเบียนด้านนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม (Best Investor Relations Awards)

§ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงกว่า 50,000 ล้านบาท: บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC)

§ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดระหว่าง 20,000-50,000 ล้านบาท: บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP)

§ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดระหว่าง 10,000-20,000 ล้านบาท: บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) (PSL)

§ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดระหว่าง 2,000-10,000 ล้านบาท: บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ERW)

§ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดไม่เกิน 2,000 ล้านบาท: บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TOG)

§ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai): บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (JUBILE)

5. รางวัลบริษัทจดทะเบียนด้านความรับผิดชอบต่อสังคมยอดเยี่ยม (Best Corporate Social Responsibility Awards)

§ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงกว่า 50,000 ล้านบาท: บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP)

§ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดระหว่าง 20,000-50,000 ล้านบาท: ไม่มีผู้ได้รับรางวัล

§ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดระหว่าง 10,000-20,000 ล้านบาท: ไม่มีผู้ได้รับรางวัล

§ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดระหว่าง 2,000-10,000 ล้านบาท: บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BMCL)

§ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดไม่เกิน 2,000 ล้านบาท: บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TOG)

§ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai): ไม่มีผู้ได้รับรางวัล

6. รางวัลบริษัทหลักทรัพย์ยอดเยี่ยม (Best Securities Company Awards) แยกตามการให้บริการผลิตภัณฑ์และประเภทลูกค้า

§ ด้านการให้บริการหลักทรัพย์แก่นักลงทุนสถาบัน: บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KSMACQ)

§ ด้านการให้บริการหลักทรัพย์แก่นักลงทุนบุคคล: บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KSMACQ)

§ ด้านการให้บริการอนุพันธ์: บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด (KTZ)

7. รางวัลบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนยอดเยี่ยม (Best Asset Management Company Awards)

§ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (BBLAM)

ผู้สนใจสามารถติดตามชมภาพความประทับใจได้จากเทปบันทึกพิธีมอบรางวัล SET Awards 2013 ได้ทาง Money Channel (True Vision ช่อง 14) ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2556 เวลา 13:00 น. เป็นต้นไป และสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของรางวัล SET Awards ได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th/setawards
ReRedrum
Verified User
โพสต์: 198
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4644

โพสต์

Paul VI เขียน:
ReRedrum เขียน:ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ :D
ยินดีครับ
น้อง ReRedrum ชื่อนี้สื่อถึงอะไรครับ ขอเป็นความรู้หน่อยครับ :D
ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ คือว่าตอนนี้ผมก็จำไม่ได้แล้วว่ามีสื่อถึงอะไร :? เพราะว่าใช้มาตั้งนานแล้วครับชื่อนี้

ปล. ตอนนี้กำลังไล่อ่านโพสในกระทู้นี้อยู่นะครับ อ่านแล้วได้ข้อคิด ข้อมูลดีมากมายเลย ขอบคุณครับ
"ผมไม่ได้ลงทุนในหุ้นเพียงเพราะว่าผมต้องการเงินมากมาย
แต่มันเป็นความสนุกในการค้นหาบริษัทชั้นเยี่ยม
เฝ้าดูมันเติบโต และทำเงินให้เรา"

"เบื้องหลังของด้านหลัง ก็คือ ด้านหน้า"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4645

โพสต์

ReRedrum เขียน: ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ คือว่าตอนนี้ผมก็จำไม่ได้แล้วว่ามีสื่อถึงอะไร :? เพราะว่าใช้มาตั้งนานแล้วครับชื่อนี้

ปล. ตอนนี้กำลังไล่อ่านโพสในกระทู้นี้อยู่นะครับ อ่านแล้วได้ข้อคิด ข้อมูลดีมากมายเลย ขอบคุณครับ
ยินดีครับ มีโอกาส จะเอาข้อมูล ข่าวสารมาโพสต์ ยินดีเลยนะครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4646

โพสต์

จากกระทู้ของ พี่ yy ประชาสัมพันธ์งาน VI เชียงใหม่
เลยเอามาช่วยประชาสัมพันธ์เพิ่มครับ

ผมไปพูดในฐานะตัวแทนจากสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า ( ประเทศไทย) ครับ

ก็เลยจัดเตรียมสไลด์ชุดพิเศษ สำหรับ ชาวเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียง
มีแถมรูปท่องเที่ยวของผมไปด้วย อิอิ

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 3#p1585073
อาทิตย์ 1 ธันวาคม 2556
14.00 น. เป็นต้นไป
ณ ห้อง 313 อาคาร 30 ปี (ตึก 8 ชั้น) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(อยู่ใกล้กับหอนาฬิกา ... )

บรรยายพิเศษ โดย คุณหมอ Paul VI อุปนายกสมาคมฯ
ในหัวข้อ "แก่นของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า"

พร้อมกับการนำเสนอข้อมูลของบริษัทจากนักลงทุนหน้าใหม่ และค่อนข้างใหม่
เพื่อสร้างประสบการณ์ในการวิเคราะห์บริษัท และรับฟังความคิดเห็นจากคนหน้าเก่าๆ

กำหนดเลิกประมาณ 17.00 น.
แล้วไปเลี้ยงอาหารเย็นขอบคุณวิทยากร

ไม่มีค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนใดๆ
(งานเลี้ยงอาหารเย็น หารยาวเฉพาะคนที่ร่วมทานอาหาร)

ใครสนใจเข้าร่วมงาน เชิญลงชื่อได้ ... พร้อมระบุด้วยว่าจะไปทานอาหารเย็นด้วยหรือไม่
เพื่อจะได้เตรียมสถานที่ให้เหมาะสมกับจำนวนคน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4647

โพสต์

ถูกใจจริงๆ บทความ ดร. นิเวศน์ อาทิตย์นี้

เห็นด้วยอย่างมาก
ในระยะหลังประมาณ 4-5 ปี ที่ผ่านมาหรือตั้งแต่สิ้นปี 2551 ในวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยตกต่ำลงเหลือเพียง 450 จุด มาจนถึงปัจจุบันที่ดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นมาเป็นประมาณ 1400 จุด สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น “VI” จำนวนหนึ่งร่ำรวยขึ้นมากจนสามารถลาออกจากการเป็นพนักงานที่ทำงานกินเงินเดือนในกิจการธุรกิจหรือบริษัทต่าง ๆ และหันมาเป็นนักลงทุน “เต็มตัว” หรือจะเรียกว่าเป็น “นักลงทุนอาชีพ” ก็ไม่ผิด เหตุผลที่พวกเขาลาออกมาลงทุนเต็มตัวนั้นก็เพราะว่าเขาจะได้มีเวลาศึกษาและค้นหาหุ้นที่น่าลงทุนซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้เวลามากและบ่อย ๆ ต้องใช้เวลาในเวลางาน เช่น การไป Visit Company เยี่ยมชมบริษัท หรือไปพบผู้บริหารในงาน Opportunity Day ซึ่งจัดในเวลางาน

การทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาและค้นหาหุ้นลงทุนนั้น นักลงทุน “ผู้มุ่งมั่น” ที่กล่าวถึงนั้นเชื่อมั่นว่ามันจะทำให้พวกเขาลงทุนได้ดีขึ้น สามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น “คุ้ม” กับรายได้ที่จะเสียไปจากการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีเงินในพอร์ต 10 ล้านบาท และถ้าเขาทำผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้จากปกติปีละ 5-10% ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะทำได้ “ไม่ยาก” เขาก็จะได้เงินเพิ่มขึ้นปีละ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเงินเดือนทั้งปีของเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลาออกจากงาน และมุ่งมั่นสู่ “ดวงดาว” นั่นก็คือ รวยเป็นเศรษฐีจากตลาดหุ้น และนั่นก็คือนักลงทุนที่ Aggressive หรือกล้าหาญและมั่นใจสุด ๆ อาจจะ เนื่องจากผลงานที่ทำมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นโดดเด่นมาก ๆ ผลตอบแทนทำได้ปีละอาจจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย

เช่นเดียวกัน นักลงทุนรุ่นหนุ่มสาวที่เพิ่งจะจบการศึกษาหลายคนที่พ่อแม่มีเงินมากและอาจจะไม่ได้มีธุรกิจใหญ่พอที่จะต้องให้ลูกมาดูแลธุรกิจหรือไม่อยากให้ลูกเข้ามาทำงานในธุรกิจของตนเอง อาจจะรู้สึกว่าการลงทุนโดยเฉพาะแบบที่เป็น “VI”นั้น ก็เป็น “การทำธุรกิจ” เหมือนกัน ดังนั้น พวกเขาก็เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ โดยการขอเงินพ่อแม่มาลงทุน การลงทุนในช่วงแรกด้วยเงินไม่มากอาจจะประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดความมั่นใจทั้งตัวเองและพ่อแม่ ดังนั้น เขาจึงได้เงินลงทุนเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ ด้วย “ฝีมือ” และอาจจะด้วยโชคหรืออะไรก็ตามแต่

ผลตอบแทนที่ได้ก็ยังสูงลิ่วทำให้พอร์ตของเขาโตขึ้นเป็นสิบล้านบาทขึ้นไปในเวลาอันสั้น ดังนั้น เขาก็เลิกทำงานอย่างอื่นทั้งหมดและหันมาเป็นนักลงทุนอาชีพเต็มตัว ลึก ๆ แล้วเขาอาจจะกำลังคิดถึง วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่แทบไม่เคยทำงานประจำอย่างอื่นหลังจากเรียนจบ แต่ประสบความสำเร็จระดับโลก ว่าที่จริงเขาอาจจะคิดว่าเขาเก่งไม่แพ้บัฟเฟตต์เลย เพราะผลตอบแทนของเขาที่ผ่านมานั้นสูงกว่าสถิติของบัฟเฟตต์มากแม้ในช่วงที่บัฟเฟตต์ยังมีพอร์ตเล็ก ๆ ในช่วงต้นของชีวิตการลงทุน

ประเด็นที่ผมจะพูดต่อไปก็คือ เราควรที่จะเลิกทำงานประจำเป็นคนกินเงินเดือนแล้วมาลงทุน เป็นนักลงทุนอาชีพเต็มตัวไหม? และจะเลิกทำงานเมื่อไร? หรือสำหรับคนที่พ่อแม่มีเงินมากพอ ควรหรือไม่ที่เราจะเริ่มชีวิตการลงทุนตั้งแต่เรียนจบ หรือเราควรที่จะทำงานไป-ลงทุนไป?

ผมเองอยากจะเริ่มที่เรื่องของการทำงานประจำหรืองานที่ต้อง “ใช้แรง” เสียก่อนว่าทุกคนควรที่จะต้องทำเพื่อเป็น “ประสบการณ์ของชีวิต” การทำงานใช้แรงหรือทำงานประจำในหน่วยงานหรือการทำงานที่ต้องประสานเกี่ยวข้องกับคนอื่นนั้น จะช่วยให้เราเป็นคนที่ “สมบูรณ์” ขึ้น มันไม่ใช่เรื่องของการหาเงินเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของสังคมที่คนควรจะมีเพื่อนที่ทำงานเกี่ยวข้องกันซึ่งจะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตในสังคมที่ดีขึ้น เข้าใจชีวิตของคนอื่นได้ดีขึ้น ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้การลงทุนในอนาคตของเราดีขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้น ผมคิดว่าการเริ่มต้นเป็นนักลงทุนเต็มตัวตั้งแต่อายุยังน้อยและยังไม่ได้ผ่านการทำงานแบบใช้แรงมานานพอนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร วอเร็น บัฟเฟตต์ เองนั้น ทำงานใช้แรงมานานหลายปีทีเดียวตั้งแต่เรียนชั้นประถมและมัธยมรวมถึงช่วงจบมหาวิทยาลัยไปอีกไม่น้อยกว่า 3-4 ปีในฐานะนักวิเคราะห์หุ้นก่อนที่จะเริ่มชีวิตการลงทุนอาชีพ ดังนั้น คนที่เรียนจบใหม่ ๆ จึงควรที่จะต้องทำงานไปด้วยถ้าอยากจะลงทุน คนที่ไม่ทำงานเลยเอาแต่จะลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้น บางทีอาจจะเป็น “ข้ออ้าง” ของคนที่ “ขี้เกียจ” ทำงานที่ต้องใช้แรงงานก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเขาลงทุนโดยไม่ได้ใช้เวลาศึกษาอะไรมากนัก

สำหรับคนที่ไม่ได้มีพ่อแม่รวยและต้องพึ่งตนเองเป็นหลักนั้น การทำงานกินเงินเดือนหรือการใช้แรงทำงานนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก รายได้จากการทำงานนั้นเป็นรายได้ที่สม่ำเสมอและมักจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็วโดยเฉพาะคนที่มีความสามารถและทุ่มเทให้กับการทำงาน และถ้าโชคดีได้งานที่ชอบ การทำงานก็ไม่ได้เป็นภาระที่หนักอกหรือต้อง “ฝืนใจทำ” มันก็อาจจะเป็นกิจกรรมที่ทำแล้ว “มีความสุข” ว่าที่จริงในยุคสมัยปัจจุบันและในอนาคต การทำงานมีโอกาสที่จะทำให้เรา “ร่ำรวย” ได้เหมือนกัน ซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่คนทำงานกินเงินเดือนนั้น “ไม่มีโอกาสรวย” แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร การทำงานนั้น เป็นกิจกรรมที่ดีเยี่ยมในแง่ของสังคมและบ่อยครั้งในแง่ของการทำเงิน เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นการได้ผลตอบแทนที่มักจะมีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้น ก่อนที่เราจะละทิ้งมัน เราควรจะพิจารณาให้รอบคอบจริง ๆ

ข้อเสียของการทำงานสำหรับนักลงทุนก็คือ พวกเขาคิดว่ามันทำให้เขาไม่มีเวลาไปวิเคราะห์หุ้นเท่าที่ควรและเขา “เชื่อว่า” มันทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนน้อยลงไม่ต่ำกว่า 5% หรือ 10% หรือหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่ในประเด็นนี้ผมเองคิดว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อนั้น อาจจะไม่จริง เหตุผลก็คือ ในสมัยนี้เรามีเทคโนโลยีที่สามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเอามาศึกษานอกเวลาได้อย่างสะดวก การไปเยี่ยมบริษัทเองนั้น ก็อาจจะไม่ได้เพิ่มคุณค่าของการวิเคราะห์มากนัก ดังนั้น ความจำเป็นต้องลาออกจากงานเพื่อมาศึกษาหุ้นจึงมีความจำเป็นน้อยโดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้มีพอร์ตใหญ่โตมากมายอะไรนัก

ส่วนตัวผมเองคิดว่ากลยุทธ์ที่ดีกว่าก็คือ เราควรที่จะทำงานไป-ลงทุนไปเรื่อย ๆ การทำงานนั้นเป็นขั้นตอนแรกที่จะสะสมเงินทุนเริ่มต้นที่จะต้องนำไปลงทุนซื้อหุ้นในตลาด รายได้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการทำงานจะทำให้เรามีเงินเติมลงไปในพอร์ตเรื่อย ๆ ทำให้พอร์ตโตเร็วขึ้นซึ่งในที่สุดก็จะทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงิน นั่นก็คือ คร่าว ๆ พอร์ตควรจะใหญ่เป็นประมาณอย่างน้อย 200 เท่าของรายจ่ายประจำเดือนโดยเฉลี่ยซึ่งจะทำให้เราสามารถเลิกทำงานประจำได้โดยไม่เดือดร้อน อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ควรเลิกทำงาน เหตุผลก็คือ รายจ่ายในอนาคตของเราอาจจะเพิ่มขึ้นมาก อาจจะเนื่องจากการแต่งงาน มีลูก เจ็บป่วยรุนแรง และเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่น ๆ รวมถึงการที่หุ้นอาจจะตกลงมารุนแรงทำให้ความมั่งคั่งที่เหลืออยู่ไม่พอใช้จ่ายอย่างสบายใจ การทำงานต่อไปจะทำให้เรามี “Margin of Safety” หรือความปลอดภัยเพิ่มขึ้นในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

การที่เราจะเลิกทำงานและหันมาลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้น ผมคิดว่าเราควรยึดหลักว่า หนึ่ง เราชอบทำงานหรือไม่ ถ้าชอบ เราก็ไม่จำเป็นต้องเลิกเลย ทำไปลงทุนไป แต่ถ้าไม่ได้รักหรือชอบงานที่ทำ เราก็ต้องคำนึงถึงว่ามันทำเงินให้เราคุ้มค่าหรือเพียงพอหรือไม่ที่เราจะทำต่อ ผมเองคิดว่าตราบใดที่ผลตอบแทนจากการทำงานยังสูงถึง 20-30% ของรายได้จากการลงทุนต่อปี ผมก็เห็นว่ามันยังคุ้มค่าที่จะทำ เพราะการทำงานประจำด้วยจะทำให้พอร์ตหรือเงินเราโตเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากว่ามันน้อยกว่านั้นแล้ว การเลิกทำงานและลงทุนเพียงอย่างเดียวก็อาจจะดีกว่าและทำให้เรามีความสุขในชีวิตมากกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4648

โพสต์

updated: 25 พ.ย. 2556 เวลา 10:40:21 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

นายโวล์ฟกัง ชอยเบิล รัฐมนตรีคลังเยอรมนี กล่าวเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า ไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่กระจายของวิกฤตการเงินในกลุ่มประเทศผู้ใช้ เงินสกุลยูโร (ยูโรโซน) อีกต่อไป และนายกรัฐมนตรีอันโตนิส ซามาราส ของกรีซยืนยันว่าประเทศของเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงินนอกเหนือไป จากนี้แล้ว

ชอยเบิลระบุว่าความสำเร็จของกรีซในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาซึ่งรวมถึงอัตราการเติบโตที่ดีกว่าที่คาดหมายและพัฒนาการใน การลดการขาดดุล สมควรได้รับความชื่นชม เขายังชี้ไปที่ความแตกต่างที่ลดน้อยลงระหว่างผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล เยอรมนีกับพันธบัตรของรัฐบาลกรีซด้วย

"ค่าเงินยูโรมีเสถียรภาพ ตลาดการเงินไม่เป็นกังวลเกี่ยวกับอนาคตของยูโรโซนและไม่มีความเสี่ยงที่ วิกฤตจะลุกลามแพร่กระจายอีกต่อไป" รัฐมนตรีคลังเยอรมนีกล่าวในงานประชุมในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีที่จัดขึ้นโดยหนังสือพิมพ์ซุดดอยเช่ ไซตุ้ง

ขณะที่นายกรัฐมนตรีซามาราสของกรีซ กล่าวภายหลังในงานประชุมสัมมนาเวทีเดียวกันนี้ ย้ำว่าประเทศของเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงินที่มากไปกว่านี้และถึง ตอนนี้เหลือเพียงแค่การทำให้ได้ตามเงื่อนไขในโครงการที่กำหนดไว้เท่านั้น

กรีซประกาศว่า พวกเขาจะสามารถหลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างยาวนาน 6 ปี ได้สำเร็จในปีหน้า และจะมีงบประมาณเกินดุลมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ 2 เท่าก่อนหน้าที่จะถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยในปีนี้

กรีซและยูโรโซนหลุดพ้นออกจากวิกฤตแล้วจริงหรือ

บรรดาเจ้าหนี้นานาชาติอยู่ระหว่างการประเมินผลงานของกรีซในการปฏิรูปให้ได้ตาม เป้าหมายรอบล่าสุด โดยหากสามารถจัดทำงบประมาณเกินดุลได้ก่อนหน้าที่จะต้องชำระดอกเบี้ยจะเป็น การเปิดทางไปสู่การสามารถร้องขอให้มีการผ่อนปรนหรือว่าปรับโครงสร้างหนี้ได้ แต่ซามาราสบอกว่า "ผมคิดว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เราไม่ต้องการโครงการอื่นๆ เราเพียงแค่ต้องยึดติดกับโครงการนี้ต่อไป"

หลังจากช่วงเวลามากกว่า 2 เดือนของการประเมินทบทวนเศรษฐกิจกรีซ บรรดาเจ้าหนี้นานาชาติยังคงไม่เห็นว่าควรจะปล่อยเงินกู้งวดต่อไปให้กรีซจาก การที่พวกเขายังไม่เห็นด้วยกับกรีซในเรื่องขนาดของช่องว่างทางการคลังของปี งบประมาณ 2557-2558 และวิธีการที่จะลดช่องว่างเหล่านี้

เจ้าหน้าที่จาก "ทรอยก้า" หรือคณะกรรมการร่วมผู้ตรวจสอบวินัยการคลังของยุโรป ที่ประกอบไปด้วย คณะกรรมาธิการยุโรป, ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มีกำหนดที่จะต้องเดินทางกลับมาตรวจสอบและประเมินสถานการณ์การเงินการคลัง ของกรีซอีกครั้งในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้

ซามาราสกล่าวว่า "ผมคิดว่าสิ่งที่เราต้องการในตอนนี้คือการบรรลุผลสำเร็จในการปฏิรูปที่ ดำเนินอยู่ให้ทันภายในสิ้นปีนี้ นั่นคือเพื่อให้ผ่านการรับรองที่จะให้ได้รับเงินช่วยเหลืองวดต่อไปจากทรอย ก้า"

นายกรัฐมนตรีกรีซย้ำว่า กรีซไม่ต้องการเวลาเพิ่มในการลดหนี้แต่อย่างใด โดยบอกว่า "ในตอนนี้เราต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว เราไม่ต้องการรอเวลามากไปกว่านี้"

ทั้งนี้ รัฐบาลกรีซต้องชำระหนี้พันธบัตรมูลค่า 1,850 ล้านยูโร (ราว 79,000 ล้านบาท) ภายในต้นเดือนมกราคมปีหน้า โดยก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กรีซระบุว่าพวกเขาสามารถจัดทำงบประมาณเกินดุลเบื้องต้นได้ก่อนหน้าที่จะถึง กำหนดชำระดอกเบี้ย คิดเป็น 0.4 เปอร์เซ็นต์ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของปีนี้

ทว่าภายใต้เงื่อนไขของการรับความช่วยเหลือทางการ เงินจากนานาชาติ กรีซจะต้องจัดทำงบประมาณเกินดุลให้ได้ถึง 4.5 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพีในปี 2559 ซึ่งรัฐบาลกรีซบอกว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายดังกล่าวโดยไม่ต้องใช้มาตรการ รัดเข็มขัดที่ไม่เป็นที่ความนิยมมากไปกว่านี้ แต่อาศัยความช่วยเหลือจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและระบบการจัดเก็บภาษีที่ดี ขึ้น

ทว่าทรอยก้ายืนยันว่ากรีซจะต้องตัดลดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มอีก เนื่องจากพวกเขากังขาว่า ความแข็งแกร่งของระดับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการปราบปรามบรรดาผู้ที่หลบ เลี่ยงภาษีอย่างเอาจริงเอาจังคงไม่สามารถฟื้นฟูสถานะทางการเงินของกรีซได้ มากเพียงพอ

นอกจากนี้ กรีซและบรรดาเจ้าหนี้นานาชาติยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในประเด็นสำคัญๆ อีกหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงการจัดทำงบประมาณของปี 2557 ยุทธศาสตร์ทางการคลังระยะกลางระหว่างปี 2557-2560 และกฎการเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ใหม่
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4649

โพสต์

updated: 21 พ.ย. 2556 เวลา 20:08:07 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

คอลัมน์ เวทีอาเซียน
โดย สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ


เมื่อ เร็ว ๆ นี้ นักการทูตของประเทศสมาชิกอาเซียนในเมียนมาร์ ได้ประชุมร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนทรรศนะในหลายประเด็น โดยเฉพาะพัฒนาการเศรษฐกิจของเมียนมาร์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากนับจากการปฏิรูปการเมืองการปกครองเมื่อปี 2551

ในภาพรวม ที่ประชุมเห็นว่ารัฐบาลเมียนมาร์ยังคงเดินหน้าปฏิรูปประเทศ และกำลังเร่งจัดทำกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ โดย เฉพาะในด้านโทรคมนาคมและการธนาคาร ซึ่งมีความคืบหน้าที่สำคัญคือ การมีกระบวนการประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ซึ่งได้รับการวิจารณ์ในเชิงบวกจากบริษัทให้คำปรึกษาต่างชาติในด้านความโปร่ง ใส และช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของเมียนมาร์ว่าสามารถดำเนินมาตรการปฏิรูปได้ผล จริงในด้านนี้ ในภาคการเงินการธนาคาร นอกจากการผ่านร่างกฎหมาย "ธนาคารกลางเมียนมาร์" แล้ว ยังมีการออกกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ (Securities Exchange Law) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อเป็นเครื่องมือในการร่นระยะเวลาการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ของประเทศ จากเดิมที่กำหนดไว้ในปี 2558

อย่างไรก็ดี ในเรื่องนี้ภาคเอกชนต่างประเทศที่เกี่ยวข้องเห็นว่า มีความเป็นไปได้น้อยมากที่เมียนมาร์จะจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ได้ก่อนปี 2558 เนื่องจากยังมีเงื่อนไขอีกหลายประการที่ต้องดำเนินการให้บรรลุผลก่อน โดยเฉพาะการจัดตั้งองค์กรควบคุมตามที่กฎหมาย (Securities Regulator)

ในภาคแรงงาน ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเมียนมาร์ได้ออกกฎหมายหลายฉบับ โดยเฉพาะ "กฎหมายค่าแรงขั้นต่ำ" ที่มีผลบังคับใช้แล้ว โดยคณะกรรมาธิการซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการกำหนด อัตราค่าแรงขั้นต่ำของแต่ละสาขาการประกอบการที่ชัดเจน

นอกจากนี้ ยังมี "กฎหมายการจ้างงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน" ซึ่งมีการผ่านร่างไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ กฎหมายฉบับนี้จะมีบทบาทสำคัญในการจัดระบบแรงงานในเมียนมาร์ให้มีมาตรฐานและ มีสวัสดิการที่ชัดเจนตามที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งนายจ้างทั้งในและต่างประเทศต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทดลองงาน เงินเดือน ชั่วโมงการทำงาน สวัสดิการทางการแพทย์ การทำงานล่วงเวลา และการสมทบเงินของนายจ้างในกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน

นอก จากประเด็นข้างต้นแล้ว ที่ประชุมยังได้หารือกันถึงบทบาทและท่าทีของประเทศมหาอำนาจที่ไปลงทุนในเมีย นมาร์ด้วย โดยเฉพาะชาติตะวันตก จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยเห็นว่า มาตรการหนึ่งที่วิสาหกิจจากประเทศเหล่านี้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ควบคู่กับการขยายการลงทุนในเมียนมาร์คือ การดำเนินโครงการ CSR (Corporate Social Responsibility) และ "การลงทุนที่รับผิดชอบต่อผลกระทบของประชาชน" รวมถึงการสื่อสารกับมวลชนมากยิ่งขึ้น (Reach out) ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างให้ประชาชนเมียนมาร์มีทัศนคติที่ดีต่อการลงทุนจากต่างประเทศ

"แม้ ว่ารัฐบาลเมียนมาร์กำลังดำเนินการผลักดันให้มีการลงทุนจากต่างประเทศมากยิ่ง ขึ้น แต่ปัจจุบันเมียนมาร์มีต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงมาก โดยเฉพาะค่าเช่าที่ดินและค่าเช่าที่พัก ซึ่งเป็นประเด็นท้าทายของรัฐบาลเมียนมาร์ที่ต้องรีบแก้ไข" นักการทูตอาเซียนคนหนึ่งในที่ประชุมกล่าวทิ้งท้าย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

โพสต์ที่ 4650

โพสต์

เหลือเวลาอีก 1 เดือนเศษ ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะหมดปี"56 ถือเป็นอีกปีที่ผู้ประกอบการอสังหาฯเจอกับปัจจัยลบหลากหลายกระทบให้การทำธุรกิจอยู่บนความผันผวน ก่อนจะหมดปี

"REIC-ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์" ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้จัดสัมมนา "ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย กรุงเทพฯและปริมณฑล ปี 2557"

ไฮไลต์ของงานประเดิมด้วยการบรรยายของ "สัมมา คีตสิน" ผู้อำนวยการ REIC และวงสัมมนาของดีเวลอปเปอร์กับนักวิจัยในแวดวงการเงินที่มาฉายภาพตลาดอสังหาฯปี"56 ต่อเนื่องไปถึงมุมมองแนวโน้มปี"57

ปีนี้คอนโดฯเปิดใหม่ทุบสถิติ

เปิดฉากที่ "ผอ.สัมมา" แจกแจงผลสำรวจคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่ช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ ทุบสถิติใหม่ในรอบ 16 ปีนับจากวิกฤตฟองสบู่ มีคอนโดฯเปิดใหม่ถึง 75,000 หน่วย มากกว่าปี"55 ทั้งปีซึ่งอยู่ที่ 62,000 หน่วย และคาดว่าถึงสิ้นปีจะทะลุ 8 หมื่นหน่วยแน่นอน !

แม้ว่า ผอ.สัมมาเลี่ยงจะฟันธงว่า ตลาดคอนโดฯมีฟองสบู่หรือไม่ ! แต่เสียงสะท้อน คือ คอนโดฯเปิดตัวใหม่ควรลดความร้อนแรงลง ควรลดลงจากปี"56 ลึก ๆ แล้วเรื่องฟองสบู่ก็น่าห่วง เพราะตลาดคอนโดฯปี"55 ฟื้นเร็วหลังจากน้ำท่วมใหญ่ เดิมจึงคาดว่าปีนี้คอนโดฯเปิดใหม่ไม่ควรเติบโตมาก

แต่จริง ๆ ผิดคาด ! และมีกลุ่มซื้อเก็งกำไร



ส่วนตัวเลขภาพรวมสถิติอาคารชุดในกรุงเทพฯและปริมณฑล ทั้งที่ยังไม่เริ่มสร้าง อยู่ระหว่างก่อสร้าง และสร้างเสร็จ ณ ครึ่งปีแรก 2556 มีจำนวนรวม 170,232 หน่วย ในจำนวนนี้ขายได้แล้ว 75% หรือ 127,328 หน่วย สัดส่วน

ห้องชุดที่ขายได้ค่อนข้างสูง แต่คาดว่าคงไม่มีลูกค้ามาโอนกรรมสิทธิ์หมดทั้ง 100% จึงน่าจะต้องมีห้องชุดบางส่วนนำกลับมา "รีเซล" ขายใหม่อีกรอบ ดังนั้น ปีหน้าคอนโดฯเปิดตัวใหม่ควรจะลดลงได้แล้ว

ตลาดบ้านจัดสรรยังขายดี

ในฝั่งผู้ประกอบการ "อิสระ บุญยัง" เอ็มดีค่ายกานดา พร็อพเพอร์ตี้ ดีกรีอดีตนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรวิเคราะห์ว่า แนวโน้มปีหน้าจะเห็นผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่รุกตลาดบ้านแนวราบชัดเจนขึ้น เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ฯเปลี่ยนวิธีการรับรู้รายได้ทางบัญชีใหม่เป็นรับรู้รายได้เมื่อโอนกรรมสิทธิ์

ที่ผ่านมาในจำนวนบริษัทพัฒนาที่ดิน 15 รายแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายบริษัทปรับโมเดลธุรกิจมาทำบ้านแนวราบระดับกลาง 3-5 ล้านบาทเพิ่มขึ้น และปรับเปลี่ยนมาเป็นผู้รับเหมาติดตั้งชิ้นส่วนผนังคอนกรีตสำเร็จรูปเอง เช่น พฤกษา เรียลเอสเตท ควอลิตี้เฮ้าส์ แสนสิริ ปริญสิริ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ฯลฯ เพื่อรองรับการใช้ระบบผนังพรีแฟบและระบบ Tunnel Form

ขณะที่ต้นทุนค่าก่อสร้าง ค่าพัฒนาสาธารณูปโภค และราคาวัสดุปรับสูงขึ้น จะทำให้การพัฒนาทาวน์เฮาส์ปรับฐานราคาจาก 1 ล้าน-1 ล้านต้น ๆ บวกลบเป็น 1 ล้านกลาง ๆ

โดยสถิติ 10 เดือนแรกปีนี้ "บ้านแนวราบ" เปิดตัวใหม่ 27,749 หน่วย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11% ในจำนวนนี้ที่อยู่อาศัยราคา 1-2 ล้านบาท เป็นกลุ่มใหญ่สุดมีสัดส่วน 37% หรือ 35,315 หน่วย รองลงมาคือ 2-3 ล้านบาท 21% หรือ 19,748 หน่วย

ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยจากที่พบกับผู้บริหารระดับรองผู้จัดการใหญ่สถาบันการเงินต่าง ๆ ส่งสัญญาณดอกเบี้ยเงินกู้ปีหน้ามีแนวโน้มปรับขึ้น

ตจว.โต-คาดคอนโดฯปีหน้าแผ่ว

ขณะที่ "พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์" นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยมองว่า ตลาดอสังหาฯต่างจังหวัดปีหน้ายังขยายตัวต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันมีกว่า 30 จังหวัดที่ยังไม่มีผังเมืองบังคับใช้ ทำให้ไม่มีข้อจำกัดในการพัฒนา หรืออีกนัยหนึ่งมีข้อจำกัดน้อยกว่าในกรุงเทพฯ

ในเวลาเดียวกัน มองว่าตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯ และปริมณฑลเชื่อว่าอย่างน้อยจะไม่แย่กว่าปีนี้ เพียงแต่จะสามารถสร้างสถิติใหม่ได้หรือไม่...ยังไม่แน่ใจ

"อนงค์ลักษณ์ แพทยานันท์" รองเอ็มดีค่ายเจ้าพระยามหานคร เจ้าของแบรนด์คอนโดฯ "แบงค์คอค ฮอไรซอน-แบงค์คอก เฟลิซ" วิเคราะห์ว่า ปีหน้าตลาดคอนโดฯ น่าจะชะลอตัวจากต้นทุนพัฒนาโครงการเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการจะต้องหาทำเลที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก เช่น ใกล้ห้าง แหล่งชุมชน มหาวิทยาลัย ฯลฯ

ส่วนกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อคอนโดฯเพื่อปล่อยเช่า เชื่อว่ายังมีลูกค้ากลุ่มนี้อยู่ แต่จะเลือกซื้อโครงการที่อยู่ในทำเลติดสถานีรถไฟฟ้าเท่านั้น

สุดท้าย "แสนผิน สุขี" เอ็มดีโกลเด้นแลนด์ เรสซิเด้นซ์ ในเครือ บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทพัฒนาที่ดินของตระกูลสิริวัฒนภักดี ระบุว่า การทำธุรกิจอสังหาฯนับจากนี้เป็นยุค "ปลาเร็วกินปลาช้า" ไม่ใช่ "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" อีกต่อไป

นั่นคือจะทำอย่างไรให้สามารถสร้างได้เร็ว ขายได้เร็ว โอนกรรมสิทธิ์ได้เร็ว เพื่อมีกระแสเงินสดเข้ามาขยายงานได้มากขึ้น เป็นการย้อนกลับมาว่าปีหน้าจะเห็นผู้ประกอบการทำโครงการ "แนวราบ" และหันมาใช้ระบบ "ผนังพรีแฟบ" เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน ก็จะว่าจ้างบริษัทภายนอกในลักษณะเอาต์ซอร์ซลดลง เพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย

หนี้สินต่อทุนอสังหาฯพุ่ง

หนึ่งในวิทยากรที่ได้รับเชิญจาก REIC ในวันนั้น คือ "เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม" ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยไทย บล.เอเซีย พลัส ที่มาส่งสัญญาณเตือนว่าถึงอสังหาฯยังเติบโต แต่ก็ต้องโตอย่างระมัดระวัง

จากการเก็บสถิติโดยเอเซีย พลัสช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทอสังหาฯจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯที่มียอดรับรู้รายได้สูงสุด 15 รายแรก มีค่าเฉลี่ยสัดส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน

เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 1 เท่า เป็น 1.2 เท่า ขณะที่ช่วง 3-4 ปีก่อนมีค่าเฉลี่ยที่ 0.4 เท่า เนื่องจากเปิดตัวคอนโดฯเพิ่มขึ้น และเวลาสร้าง 1-3 ปีกว่าจะรับรู้รายได้

ขณะที่ยอดขาย 9 เดือนแรกของ 15 บริษัทอสังหาฯในตลาดหลักทรัพย์ฯมีจำนวน 192,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 12% แต่เมื่อแยกดูตัวเลขเป็นรายไตรมาส 1-2-3 เห็นสัญญาณชะลอตัว โดยมียอดขายไตรมาสละ 70,000 ล้านบาท, กว่า 60,000 ล้านบาท และ 55,000 ล้านบาทตามลำดับ

สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นสัญญาณว่ามีภาวะโอเวอร์ซัพพลายหรือกำลังซื้อชะลอตัวเกิดขึ้น !

ขณะที่ 15 บริษัทมียอดรับรู้รายได้ 9 เดือนแรกรวมกัน 134,000 ล้านบาท มีกำไรสุทธิรวม 17,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกำไรต่อยอดรับรู้รายได้ที่ 13% ลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ 15%

ส่วน "แบ็กล็อก" หรือยอดรับรู้รายได้รอโอนกรรมสิทธิ์ มีตัวเลข 9 เดือนแรกรวมกัน 279,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นสัดส่วน "คอนโดมิเนียม" ถึง 77% หรือ 240,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และ "บ้านจัดสรร" 23% หรือ 39,000 ล้านบาท

สิ่งที่ต้องติดตาม คือ "คุณภาพแบ็กล็อก" หากขายได้โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ จะกระทบสภาพคล่องและหนี้สินต่อทุนเพิ่มขึ้น

จุดอันตรายคือ โครงการคอนโดฯที่มีลูกค้าซื้อเก็งกำไร เก็บดาวน์น้อย ๆ แต่ราคาไม่สามารถปรับขึ้นได้ ที่สุดก็จะขายไม่ได้และไม่มาโอนกรรมสิทธิ์

โดยทำแบบจำลองประเมินว่า ในกรณีจำนวนที่มีสัดส่วนลูกค้าคอนโดฯซื้อเก็งกำไรเฉลี่ย 20% หรือ 48,000 ล้านบาท จาก 240,000 ล้านบาท หากไม่มารับโอนจะกระทบต่อภาระหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio เฉลี่ยของบริษัทอสังหาฯ 15 รายจะเพิ่มจาก 1.2 เท่า เป็น 1.4 เท่า

อย่างไรก็ตาม พบว่าดีเวลอปเปอร์พยายามควบคุมหนี้สินต่อทุนไม่ให้เกิน 2 เท่า ดังนั้นคาดว่าปีหน้าจะเห็นการเพิ่มพอร์ตลงทุนโครงการแนวราบ เพราะสร้างเสร็จ+โอนเร็วกว่าคอนโดฯ

รูปภาพ