VI บ้าน ๆ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 121

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:รอฟังต่อครับคุณ cobain_vi
Copy คุณ NB ด้วยค่ะ

หลงรักกระทู้ตัวเองซะแล้ว
ดีกว่าตอนเป็นกระทู้เดิม...ตอนนั้นคุยอยู่คนเดียวเลย

พอมาเป็น " VI บ้านๆ "
มีเพื่อนๆ ที่แวะมาเติมเรื่องราว
มีสีสันมีความหลากหลาย มีรอยยิ้ม
(นานๆครั้งก็มีน้ำตาบ้าง)
ต้องขอบคุณ คุณ f.escape อีกครั้งที่ตั้งชื่อกระทู้เก๋ๆ ให้

เหมือนบ้านหลังเล็กๆ ของทุกคนจริงๆ เลย

อ่านเรื่องของ คุณ cobain_vi ซำ้อีก
เห็นภาพเด็กชายเล็กๆ "สาละวน" อยู่กับการ ทำโน่นทำนี่

บ่อยครั้งก็ต้องคิดและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตนเอง
แต่ก็ทำได้ดีเสมอ เช่น ปล่อยลมยางล้อหน้า. คิดเงินค่ารถกับค่าลูกไก่ ฯลฯ
ภาพขำๆ ก็มีตอนที่มดกัดปาก (อิ อิ) แต่อย่างที่เจ้าตัวบอกมีความสุขมาก
เชื่อแน่ว่าตอนนั่งพิมพ์อยู่มีหัวเราะขำตัวเองบ้าง
คนอ่านก็มีความสุขตามกันถ้วนหน้า

เคยอ่านบทความของ "อาจารย์สมพงษ์ จิตระดับ" (ครุศาสตร์_จุฬาฯ)
ท่านให้มุมองเรื่อง "เด็กด้อยโอกาส" ไว้น่าสนใจ
ว่าชนชั้นกลางทั่วไปก็นึกถึงว่า "เด็กด้อยโอกาส"
คงเป็นเด็กยากจนตามชนบท

แท้จริงแล้วพบว่า "ลูกของชนชั้นกลางที่ค่อนขึ้นไปทางจะเริ่มรวย"
คือเด็ก "ด้อยโอกาสตัวจริง" เพราะจะถูกปกป้องจาก
การทำงานบ้าน การลำบากกายและการต้องดิ้นรนใดๆ
เพราะพ่อแม่ที่เคยลำบากมาก่อน
พอเริ่มจะมีฐานะขึ้นมาก็กลัวลูกลำบาก
คิดว่าการศึกษาเท่านั้นที่สามารถพาให้ลูกพบความมั่น่ในชีวิต
ก็จะให้เรียน เรียน เรียนลูกเดียว

แต่ก็ขาดประสบการณ์ที่เด็กบ้านรวยได้รับเช่นท่องโลกกว้าง
Class เสริมทักษะต่างๆ พ่อแม่บ้านรวยแล้ว
มีเงินซื้อประสบการณ์ตรงที่ดีที่สุดให้ลูก...เด็กกลุ่มนี้ก็ลอยลำไป

ส่วนเด็กที่(ดูเหมือน)ด้อยโอกาสกลุ่มเก่า คือกลุ่มแบบคุณ cobain_vi
ถ้าพิจารณาให้ดีแท้จริงแล้วเป็นเด็กที่ได้มีโอกาสดิ้นรน
และมีโอกาสได้ฝึกใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาพื้นฐานมากที่สุด

เชื่อว่าพวกเรากลุ่มใหญ่ที่นี่อาจกำลังเป็นพ่อแม่แบบชนชั้นกลางกำลังจะรวย
น่าลองพิจารณามุมมองของท่านอาจารย์สมพงษ์ แล้วปิดดจุดอ่อนนั้น
ให้กับลูกๆ ของเรากันก็น่าจะดีไม่น้อย...ที่บ้านก็ทำอยู่ค่ะ

เมื่อวานเพิ่งให้ลูกล้างพัดลมไป 4 ตัว และตัว (ตั้งแต่ถอด ล้าง ประกอบกลับ)
และก็มีงานอื่นๆ ที่ลูกต้องรับผิดชอบอีกด้วย

จำได้ว่าเคยบอกไว้ว่าจะเล่าเรื่องลูกไปทำงานช่วงปิดเทอม
ตั้งแต่กระทู้เก่ายังไม่ได้เล่าจนบัดนี้...ขอติดไว้อีกนะคะ
ว่างๆ ค่อยเล่า...ค่อนข้างยาวค่ะ :D

ขอคุณคุณ cobain_vi และเพื่อนที่ได้ร่วมแลกเปลี่ยน
ที่ย้ำเตือนให้ได้รู้ว่า ชีวิตและเส้นทางของแต่ละคนล้วนมึคุณค่า
แน่นอนกับตัวเอง และเมื่อได้ถ่ายทอดออกมาก็ยิ่งมีคุณค่าต่อผู้อื่นอีกด้วย
โดยเจ้าตัวอาจคาดไม่ถึงทีเดียวค่ะ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 122

โพสต์

คุณครู ที่ชื่อ "ความลำบาก" กับ อาจารย์ที่ชื่อ "ความล้มเหลว"
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 123

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:คุณครู ที่ชื่อ "ความลำบาก" กับ อาจารย์ที่ชื่อ "ความล้มเหลว"
:bow: :bow: :bow:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 124

โพสต์

theenuch เขียน:
Nevercry.boy เขียน:คุณครู ที่ชื่อ "ความลำบาก" กับ อาจารย์ที่ชื่อ "ความล้มเหลว"
:bow: :bow: :bow:
มิกล้าครับ :bow:

สงสัยเราจบมาจาก ม. เดียวกัน ครูบาอาจารย์เลยชื่อเดียวกัน

ปล. ทุกวันนี้ยังเรียนไม่จบเลยครับ คุณครูและอาจารย์ แวะเวียนมาสอนบ่อย ๆ มาก
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 125

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:
theenuch เขียน:
Nevercry.boy เขียน:คุณครู ที่ชื่อ "ความลำบาก" กับ อาจารย์ที่ชื่อ "ความล้มเหลว"
:bow: :bow: :bow:
มิกล้าครับ :bow:

สงสัยเราจบมาจาก ม. เดียวกัน ครูบาอาจารย์เลยชื่อเดียวกัน

ปล. ทุกวันนี้ยังเรียนไม่จบเลยครับ คุณครูและอาจารย์ แวะเวียนมาสอนบ่อย ๆ มาก
เช่นกันค่ะ ยิ่งเรียนยิ่งเก่ง สู้ สู้ ไปด้วยกัน :P
cobain_vi
Verified User
โพสต์: 358
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 126

โพสต์

ขอเล่าอีกหน่อย ความสุขของผมอีกอย่างนึงคือการฟังวิทยุไม่ทราบว่าชอบฟังกันไหมครับ เด็กๆที่บ้านไม่มีทีวี (เวลาจะดูทีนึงก็ต้องอาศัยไปดูบ้านคนอื่น แอบเมียงๆไปก่อนถ้าเป็นรายการที่ชอบก็ยืนดูข้างนอก ยืนนานๆเมื่อยก็แอบมานั่งกับพื้นนอกบ้านเค้า ดูมากๆบางทีเค้าก็รำคาญแกล้งปิดก็มี แกล้งเปลี่ยนช่องก็มี บางคนใจดีเรียกให้มาดูในบ้านก็มี) มันน่ารำคาญไม่อยากง้อใครเลยเก็บเงินไปซื้อวิทยุมาเครื่องนึง วิทยุของผมเป็นวิทยุทรานซิสเตอร์ จำได้ว่านั่งรถเมล์ไปซื้อที่ตลาดโพธารามราคาประมาณสองร้อยบาท สีออกดำๆ เป็นวิทยุที่ใช้ฟังคลื่น am อย่างเดียว ตอนเย็นกลับจากรร.แล้วผมจะเปิดฟังทุกวัน มันจะมีอยู่ช่องนึงซึ่งเป็นนิทาน(เสียงอ่านจากหนังสือวรรณกรรมสำหรับเยาวชน) เรื่องที่ผมประทับใจมากๆคือเรื่องอยู่กับก๋ง มันสะท้อนชีวิตตัวเองใกล้เคียงกันมาก ในเรื่องมีเด็กผู้ชายอยู่กับก๋งคล้ายๆกันกับตัวผม (แต่ตัวผมจะมีแม่แล้วก็ยายเพิ่มขึ้นมาด้วย) พอฟังเสร็จผมก็จะปิด(เพื่อเซฟถ่าน)แล้วไปทำงานหว่านอาหารกุ้ง รดน้ำผัก อ้อ ลืมเล่าไปผมจะชอบปลูกผักไว้กินเองมากนะครับ ปลูกตั่งแต่ป.2แล้ว ถ้าแม่ไม่อยู่ผมจะทำกับข้าวเอง(เดี๋ยวนี้ผมก็ยังชอบทำกับข้าวอยู่ ถ้าใครมีโอกาสได้ชิมจะติดใจ ผมทำอาหารอร่อยมากนะครับ^^) ผักที่ผมปลูกบ่อยๆคือคะน้า ผักชี ผักกวางตุ้ว ถั่วงอก ถั่วงอกผมจะใช้แกลบเผาที่ไปขอจากโรงสีข้าวใกล้บ้าน มาใส่ในปี๊บ ใส่ขี้แกลบไปหนาสัก3น้ิวก็จะเอาถั่วเขียวโรย จากนั่นก็จะเอาขี้แกลบใส่ทับแล้วก็เอาถั่วเขียวใส่อีกทำอย่างนั่นไปเรื่อยๆจนเต็มปี๊บ จำนวนปี๊บสูงสุดที่มีจำได้ว่าสามปี๊บ ขายทีได้เงินหลายบาทเลย จากนั้นก็เอาน้ำรดทุกวัน เช้าเย็น (ปี๊บต้องเจาะรูเพื่อให้น้ำไหลออก) พอถั่วงอกแล้วก็จะฝากให้ยายขาย ถั่วงอกของผมมีเคล็ดลับที่ผมไม่เคยบอกใครคือผมจะเอาฉี่ใส่ขวด หมักไว้สองสามวัน พอเหม็นได้ที่แล้วก็จะเอามารดแทนปุ๋ย ถั่วงอกจะงาม อวบมาก ใครกินแล้วติดใจทุกคน ^^
พอทำงานเสร็จหลังจากกินข้าวแล้วผมจะทำการบ้าน(ใช้ตะเกียง เพราะบ่อกุ้งไม่มีไฟฟ้า) ก่อนนอนผมจะเปิดวิทยุอีกครั้งเพื่อฟังรายการต่างๆ แต่ที่ผมชอบคือรายการขบวนการลูกนกฮูก(เคยได้ยินไหมครับ ถ้าเป็นเด็ก ตจว ผมว่าต้องเคยฟังแน่ๆ) เป็นนิยายเกี่ยวกับเรื่องผี ฟังแรกๆพอตอนผีใกล้จะมาก็รีบเปลี่ยนคลื่น ไม่ใช่อะไรบางทีนอนคนเดียวแล้วกลัว ^^ พอตอนผีไปแล้วก็กลับมาฟังใหม่ ฮา บางทีเผลอหลับลืมปิดวิทยุ ถ่านหมดจะเซ็งมากต้องเก็บเงินเพื่อซื้อมันหลายวันเลย (วิทยุจะใช้ถ่านก้อนใหญ่สองก้อน สมัยนั้นถ้าจำไม่ผิดก้อนนึงราคา3.5บาท ถ้าเป็นตรากระรอกจะถูกกว่าเนชั่นแนลก้อนนึงสักสามบาท แต่มันจะมีน้ำเยิ้มออกมาสู้ยี่ห้อเนชั่นแนลไม่ได้ หมดแล้วไม่มีน้ำเยิ้ม ) พอถ่านหมดบ่อยๆซื้อไม่ไหวแล้ว ผมจะเอาสายไฟมาต่อตรงกับเเบตเตอรี่ลูกใหญ่ ซึ่งโวลท์มันจะมากกว่าใช้นานๆควันจะขึ้นเลย เครื่องร้อนจี๋ต้องรีบปิดเพราะกลัวพัง

ไหนๆเล่าแล้วก็ขอเล่าอีกหน่อย(น้ำลายกำลังแตกฟอง)หวังว่าคงจะไม่เบื่อไปเสียก่อน
ตอนเด็กๆถ้าช่วงไหนฝนตกแล้วตรงกับปิดเทอมพอดีแม่มักจะพาผมไปไร่ที่ระยองด้วย ไปครั้งนึงก็เกือบเดือน จะพานั่งรถเมล์ออกจากราชบุรีตอนตีห้า(รถเที่ยวแรก) มาลงที่แยกบางแพ นั่งรถเมล์สีส้มมาลงที่สายใต้เก่า(สามแยกไฟฉาย) จากนั้นก็นั่งรถเมล์สายอะไรไม่รู้มาลงที่เอกมัย จากนั้นก็นั่งรถเมล์ส้มไปลงที่ศรีราชา ที่ศรีราชาจะมีรถเมล์ไปมาบเตยมีแค่วันละเที่ยวกว่าจะถึงไร่ก็5-6โมงเย็น มีอยู่ครั้งนึงที่ฝนตกถนนขาดรถเมล์เข้ามาส่งไม่ได้ ผมกับแม่ก็จะเดินไปด้วยกัน(เดินไกลมากเลยครับ หลายกิโลเลย ผมตัวเล็กเดินหลายก้าวกว่าจะเท่าแม่ก้าวนึง บางทีก็ให้แม่อุ้ม) เวลาได้เข้ากรุงเทพผมจะตื่นเต้นมากเพราะจะได้ดูตึกสูงๆ เวลานั่งรถเมล์ด้วยความที่ตัวเล็กผมจะยืนบนเบาะแล้วมองทาง ตลอดทางผมจะไม่ค่อยนั่งเลยเพราะอยากดูทางมันเป็นความสุขที่หาได้ยากในวัยเด็ก อีกอย่างนึงที่ชอบและถือเป็นไฮไลท์ประจำทริปเลยคือได้ซื้อหนังสือการ์ตูน ผมจะได้ทุกครั้งๆนึงอย่างน้อย1เล่มเสมอ พอกลับไปถึงบ้านก็จะเอาไปอวดเพื่อน(ในห้องนอกจากลูกครูแล้ว แทบไม่มีใครที่มีหนังสือการ์ตูนและได้ไปกรุงเทพแบบผม)
ส่วนไร่ผักกาดที่สวนผึ้ง ราชบุรีนั้นไม่ต้องรอให้ปิดเทอม ถ้าช่วงไหนตรงกับเสาร์อาทิตย์แม่ก็มักจะพาผมไปด้วยเสมอ แต่เชื่อไหมครับจากราชบุรีไปสวนผึ้งสมัยก่อนนี่นั่งรถเมล์เป็นวันเลย จากราชบุรีไปแค่60กว่ากิโล ทางลูกรังฝุ่นเยอะมากไปถึงไร่ตัวนี่เต็มไปด้วยฝุ่น
ถ้าช่วงไหนตรงกับเปิดเทอมแม่ผมก็จะเอาไปฝากไว้กับก๋งและยาย บางทีก็เอาไปฝากไว้บ้านโกว(พี่สาวของก๋ง) ช่วงนี้จะเป็นความทรมานของผมมาก ผมจะคิดถึงเเม่มากๆ บางวันก็นอนร้องไห้เพราะความคิดถึง บางทีฝนตกที่นี่ก็จะคิดถึงแม่กลัวแม่เปียกฝนเป็นห่วงจริงๆ คิดไปเรื่อยว่าแม่จะกินข้าวยังนะ แม่จะนอนที่ไหน มีใครมาทำร้ายแม่หรือป่าว เป็นห่วงแม่มากบางทีก็จะอธิษฐานถ้าจะมีสิ่งร้ายๆอะไรเกิดขึ้นกับแม่ขอให้เรารับเคราะห์แทนแม่เอง
ตอนเด็กๆผมจะติดแม่มากเรียกว่าถ้าไม่เห็นแม่สักชั่วโมงนี่จะต้องตามหาแล้ว อาจจะเป็นเพราะผมมีแม่อยู่คนเดียวก็เป็นได้ ดูๆไปไม่เห็นมีใครรักเราจริงๆเท่าแม่คนนี้เลย บางครั้งผมแอบเห็นแม่ร้องไห้คนเดียวผมจะไม่กล้าถามว่าเป็นอะไร จริงๆก็รู้นะครับรู้ว่าแม่ร้องไห้เพราะว่าแม่เหนื่อยที่ต้องเลี้ยงผมคนเดียว พอเห็นแม่ร้องไห้ทีไรผมจะอยากโตไวๆ อยากช่วยแม่ อยากทำงานมากกว่านี้ ส่วนเรื่องพ่อ ผมเคยถามแม่อยู่ครั้งเดียวผมก็ไม่ค่อยได้ถามอีก(นานมากๆจึงจะถามทีนึง เพราะอยากรู้ว่าพ่อเราเป็นใคร อยู่ที่ไหนฯลฯ) ครั้งนึงผมกลับจากรร. กลับมาบ้านผมถามแม่ว่าลูกกำพร้าเป็นยังไง ผมถามแค่นั้นแม่ก็ร้องไห้ หลังจากนั้นผมก็จะไม่พยายามพูดถึงอีกเลย แต่ก็ดีอย่างผมไม่เคยรู้สึกว่าขาดพ่อเลย อาจจะเป็นเพราะแม่ทำหน้าที่ได้อย่างดีมากๆจนผมลืมไปเลยว่าไม่มีพ่อ
พูดถึงแม่แล้วก็สงสารหลายครั้งที่แม่ไม่มีเงินเลย ครั้งนึงช่วงม.ต้นจำได้ว่าแม่มีเงินติดตัวแค่หกสลึง(ไปรร.ผมจะใดัวันละสามบาท ค่าข้าวสองบาท ส่วนอีกบาทนึงถ้าไม่จำเป็นผมจะเก็บเอาไว้ใช้วันต่อไป) ตอนที่ผมเรียนหลายครั้งมากๆที่แม่ไม่มีเงินให้ แม่ต้องไปยืมเงินคนอื่นมาให้ผมไปรร. แม่ยืมคนอื่นบ่อยมากตั้งแต่ม.ต้นจนม.ปลาย เสื้อผ้าผมนานๆทีจะได้ใหม่สักตัวนึง เสื้อผมส่วนใหญ่ญาติเค้าจะให้ เป็นเสื้อไซส์ผู้ใหญ่พอผมมาใส่แล้วมันจะยาวไปเกือบถึงหัวเข่า บางทีเราก็จะอายๆเพื่อนเหมือนกัน กางเกงถ้าเป็นงานสำคัญผมจะใช้กางเกงนักเรียน ชอบใส่มากเพราะคิดว่ามันทนที่สุด ส่วนรองเท้าแตะถ้ามันขาดผมจะเอาลวดซ่อมมาร้อยพอที่จะใช้ไปได้อีกสักระยะนึง ช่วงจบม.ปลายผมต้องทำงานหนักมาก อยากมีเงินไปเรียน ในใจลึกๆอยากเรียนต่อมหาลัยเพราะคิดว่าลำพังความรู้แค่ม.6คงไม่พอแน่ (เพื่อนสมัยเด็กๆที่ราชบุรีได้เรียนกันไม่กี่คน) ผมสมัครทำงานที่บ.รับเหมาเดินท่อน้ำแห่งนึงที่อ.ปลวกแดง เงินเดือน5000บาท ทำอยู่สองเดือนก็ลาออกเพราะคิดว่าเงินแค่นี้ใช้เองคงจะไม่พอ หนี้สินของแม่อย่าหวังว่าจะใช้ได้เลย ผมลาออก รวบรวมเงินที่มีทั้งหมดทั้งบ้าน ไปดาวน์รถปิคอัพมือสอง จำได้ว่าดาวน์ไปสี่หมื่นบาท ผ่อนเดือนละหกพันกว่าบาท(ต้องผ่อนห้าปี ราคารถแค่สองแสนกว่า แต่ดอกเบี้ยร้อยละ13บาท สมัยนั้นดอกเบี้ยแพงมาก) ถอยออกมาก็ต้องขับเองช่วงนี้วิ่งล้อแทบหลุด เดือนละหกพันกว่าทำไมมันไวยังนั้น เดี๋ยวเดือนๆ เครียดมาก ช่วงนั้นปลูกทั้งมันสำปะหลังทั้งสัประรด งานในไร่หลังจากเสร็จแล้ว ก็จะไปวิ่งหามะม่วงหิมพานต์ คือใครเค้าว่าอะไรหรือแนะนำอะไรทำมันหมด อยากจะได้เงินอย่างเดียว ประสบการณ์อะไรก็ไม่มี วิ่งไปหาเม็ดมะม่วงทั้งวัน เช้าออกจากระยองวิ่งไปทับสะแก ประจวบ วิ่งตีขึ้นไปทองผาภูมิ วกกลับมาระยอง เรียกว่าทั้งวันอยู่แต่ในรถ สมัยนั้นน้ำมันลิตรละ7.2บาท ถูกหน่อยค่อยยังชั่ว ถ้าเป็นตอนนี้น้ำมันลิตรละ30บาท หัวคงฟู ^^
มาได้จุดเปลี่ยนก็ตอนเอาสัประรดไปขายที่ตลาดสี่มุมเมือง คือสัประรดมันถูก เอาไปโรงงานไม่ทันตัดสินใจเอาไปขายที่ตลาดสี่มุมเมือง เอาสัประรดใส่ไปเต็มกระบะเลย เกือบสี่ตัน กะว่าเอาไปให้คุ้ม ไปถึงสี่มุมเมืองก็หาที่จอด เอาร่มมากางที่ท้ายรถขายทั้งวันทั้งคืนกว่าจะหมด พอหมดแล้วก็วิ่งเข้าไร่ไปเอามาอีก ทำซ้ำๆอยู่หลายเดือนจนสัประรดหมด จะวิ่งไปหาเม็ดมะม่วงหิมพานต์ก็ไม่ไหว ค่าน้ำมันกินหมด เห็นพวกพ่อค้าด้วยกันพูดว่าไปขายตลาดโน้นดี ตลาดนี้ดี เราก็อยากไปบ้างพอดีเห็นขนุนที่วางขายที่ตลาดได้ไอเดีย บอกแม่ว่าเราไปหาที่ขายขนุนกันเถอะ (ครั้งแรกเอาขนุนไปแกะขายที่ตลาดรถไฟ ศิริราช เมื่อก่อนเค้าให้ขายของได้) แม่ผมก็แกะขายที่หลังรถ กลางคืนแม่ก็กางมุ้งนอนที่ท้ายรถ ส่วนผมก็นอนหน้ารถ ยุงก็กัด ท้ายรถนอนไม่หมดเพราะมีทั้งขนุนสัประรดอยู่ด้วย แม่ตัวเล็กพอจะนอนได้ น้ำท่าไม่ได้อาบกันหลายวันเลย ทุเรศทุรังมาก ใกล้เวลาเอนทรานซ์แล้วด้วย หนังสือก็แทบจะไม่มีเวลาอ่าน จบมาเกือบปีก็ลืมไปเกือบหมด เวลาวิ่งไปหาขนุน ตอนหยุดรถก็หยิบขึ้นมาอ่านๆได้นิดๆหน่อยๆก็ต้องขับต่ออีก กังวลใจมากคิดว่าครั้งนี้คงเอนทรินซ์ไม่ติดแน่ๆ(แต่โชคดีที่ยังฟลุ๊คติด ) ขายอยู่ไดัเกือบเดือนบอกแม่ว่าไปหาทำเลใหม่เหอะ ที่นี่ขายไม่ค่อยดี เอนทรานซ์ติดแล้วต้องไปเรียน จะมาเร่ร่อนแบบนี้ไม่ดีแน่อยากได้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หาอยู่นานกว่าจะได้ผมไปขายทั่วเลย แถวนนท์แถวที่ไหนๆไปหมด ไปที่ไหม่ที่ตลาดบางชันแถวๆมีนบุรี ที่นี่ขายดีมากๆเพราะมีโรงงาน คนงานเยอะมาก ไปเช่าห้อง(เป็นตึกแถว ชั้นนึงแบ่งเป็นห้องเล็กๆ ใช้ไม้อัดกั้นขนาดประมาณ 2x2เมตร พอซุกหัวนอนได้ ห้องน้ำรวม เสียค่าเช่าเดือนละ400บาท) พอขนุนใกล้หมดผมก็จะตระเวนไปตามไร่ วิ่งไปทั่วเลยทั้งราชบุรี กาญจน์ ระยอง เจอตรงไหนที่มีก็เข้าไปซื้อ ขนมาให้แม่ขายเสาร์อาทิตย์ วันธรรมดาผมก็ไปเรียน แม่ผมขายขนุนจนผมเรียนจนจบ พอจบมาก็เลิกขายพอดีเพราะเริ่มจะขายไม่ดีมาเกือบปีแต่แม่ก็ทนขายไปก่อนรอให้ผมเรียนจบแล้วค่อยตัดสินใจกันใหม่

เปลี่ยนเรื่องดีกว่า
พูดถึงเรื่องทำบาปบ้าง ด้วยความที่ผมต้องทำงานมาตั้งแต่เด็ก ผมจะเป็นคนโมโหร้ายมากถ้าเครียด แต่ก็ดีอย่างคือจะหายเร็ว ตอนเลี้ยงไก่ผมตีไก่ตายไปหลายตัวเลย คือเวลากลับจากรร.แล้วที่นอนในกระต๊อบเลอะขี้ไก่(จะเหม็นมากถ้าเป็นขี้ไก่สีน้ำตาล)ผมจะต้องมาคอยเช็ดบางทีเข้าไปเช็ดข้างใน หม้อข้าวอยู่ด้านนอกไก่จะมาจิกกิน ไม่รู้เป็นอะไร(ผมจะเอาก้อนไฟฉายที่ใช้แล้วปา)ผมจะขว้างโดนหัวมันทุกที ความแม่นเข้าขั้นจริงๆ บางทีมีไม้อยู่ใกล้ๆจะเอาไม้ฟาดโดนคอไก่ ไก่ก็จะตายคาที่เลย พอมันตายผมก็จะจับถอนขนแล้วต้มกิน
หมา วันเสาร์อาทิตย์ผมจะช่วยแม่บดอาหารกุ้ง(ถ้าซื้อเป็นถุงจะแพงมาก กระสอบนึง280-320บาท )ถ้าทำเองต้นทุนจะถูกกว่านั้นเกือบครึ่ง พอบดเสร็จแล้วก็จะต้องตากแดดเพื่อให้แห้ง ระหว่างนั่นก็ต้องเฝ้า หลายครั่งที่หมาจรจัดมันแอบเข้ามากันเพราะความหิว แต่ตอนนั้นด้วยความจน ใจคอมันไม่เห็นแก่เพื่อนร่วมโลกหรอกครับ คิดอยู่อย่างเดียวว่าอย่ามาขโมยนะ พอจับได้ผมจะเอาไม้ตีกลางหลังเลย มานึกถึงตอนนี้แล้วหดหู่ใจมากไม่นึกเลยว่าครั้งนึงเราเป็นคนโหดร้ายขนาดนั้น เดี๋ยวนี้กรรมที่ทำไว้ครั้งนั้นให้ผลแล้ว คือหลังผมปวดมากเป็นมา6ปีแล้วทำยังไงก็ไม่หาย ส่วนที่คอก็ปวดต้องให้หมอนวดจับเส้นอยู่ตลอด ถ้าย้อนอดีตกลับไปได้ผมจะไม่ทำเด็ดขาด แต่เราย้อนไปไม่ได้ก็ต้องชดใช้กรรมที่ทำไว้
ปลา ตั้งแต่เด็กๆผมจะตกปลาบ่อยมากตกปลาได้แล้วก็จะฆ่าเอาไปทำอาหาร พอซักตอนม.1 ก็จะซื้อปืนยิงปลาคือเป็นปืนทำจากไม้ มีเหล็กปลายแหลมวางพาดด้านบนแล้วก็มีหนังสติ๊กเส้นใหญ่เป็นตัวขึงเวลายิงแรงจากหนังสติ๊กจะเป็นตัวดันออกไป ผมจะใช้เวลาว่างเสาร์อาทิตย์ไปดำน้ำยิงปลา คือจะมีหน้ากากอันใหญ่ใส่อีกที พอดำน้ำลงไปเจอปลาก็จะยิงใต้น้ำ วิธีหาปลาแบบนี้จะได้ปลาตัวใหญ่กว่าการตก แต่ปลาจะเป็นรูไปขายไม่ค่อยได้(ส่วนใหญ่จะเอาไว้กินเอง) อีกวิธีคือจะเอาตะคัด(ภาษาแถวบ้าน =ตะข่ายดักปลา เป็นเอ็นใสๆ) ไปดักปลาในคลอง แบบนี้จะสามารถเอาปลาไปขายได้ผมทำอยู่หลายปีเลย กรรมจากอันนี้คงจะให้ผลในไม่ช้า
เดี๋ยวนี้เชื่อสนิทใจเลยครับ ว่าบาปมี บุญมี กรรมมีจริงๆ


ส่วนเรื่องสนใจธรรมะผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากยิ่งตอนวัยรุ่นลืมไปเลยว่าโลกนี้มีศาสนาพุทธอยู่ มัวแต่เที่ยวเล่นเพลินๆไปวันนึงๆ แต่คนส่วนใหญ่ช่วงวัยรุ่นก็จะเป็นแบบนั้นทุกคน ผมโชคดีอยู่บ้างคือตอนเด็กๆตั้งแต่จำความได้แม่จะพาไปวัดบ่อยๆ ไปวิ่งเล่นบนกุฏินั่นแหละ ถ้าเป็นวันเกิด(ผมเกิดวันพระพอดี ซึ่งจะเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาและเป็นวันหยุด แม่ก็มักจะพาไปทำบุญที่วัด) พอตอนปิดเทอมใหญ่ก็จะไปบวชเณรแทบทุกปี ไม่ใช่ลึกซึ้งอะไรหรอก ที่บวชเพราะอยากได้ตังค์ที่วัดเค้าจะแจกเงินเณรหลังสงกรานต์ทุกปีๆนึงก็จะได้ไม่เท่ากัน สองร้อยบ้าง สามร้อยบ้าง ซึ่งสำหรับผมมันเยอะมาก มาสนใจอีกทีก็ตอนบวชนี่แหละครับ คือบวชนานๆแล้วมันถูกใจ ชอบมากๆ มันสบายใจมาก ตั้งแต่บวชมาก็สนใจธรรมะมาตลอด ได้อ่าน ได้ปฏิบัติ ได้เจอครูบาอาจารย์ สงสัยอะไรก็จะถามท่าน ความเข้าใจก็มีมากขึ้นๆตามลำดับ
ผมเคยเป็นเด็กวัดด้วยนะครับ ตอนม.1 แม่ผมสงสารไม่อยากให้ผมขี่จักรยานไปกลับ เลยไปฝากไว้กับหลวงพ่อ ให้เป็นเด็กวัดอยู่ที่วัดเลย แต่ผมต่อรองว่าขอไปอยู่วัดเฉพาะตอนกินข้าวกลางวัน เพราะไม่อยากนอนวัด อยากนอนกับแม่ แม่ก็ไม่ว่าอะไร ผมอยู่ไม่ถึงเดือนก็ไม่ไปแล้วเพราะ คิดถึงแม่ และอีกอย่างนึงคือเด็กวัดที่ตัวโตกว่ามักจะชอบแกล้ง
เรื่องนึงผมสังเกตุมาตั้งแต่เด็ก คือสังเกตุว่าพระจะให้ความเมตตากับผมมากๆ ปัจจุบันก็เป็นนะครับ ไม่ว่าพระทั่วไปหรือว่าครูบาอาจารย์( สังเกตุดูท่านจะเมตตากับผมมากจะสนิทกันอย่ารวดเร็ว เดี๋ยวนี้ผมจะมีแต่เพื่อนที่เป็นพระ เพื่อนใหม่นี่จะเป็นพระซะส่วนใหญ่) เป็นอย่างนั้นจริงๆ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
ภาพประจำตัวสมาชิก
vim
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2748
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 127

โพสต์

ขอบคุณพี่ cobain_vi ที่มาแบ่งปันเรื่องราวให้ฟังครับ เขียนต่อนะครับ ผมแอบตามอ่านอยู่เรื่อยๆ ผมได้แนวคิดดีๆหลายๆอย่างในการใช้ชีวิตจากกระทู้นี้เยอะเลยครับ
Vi IMrovised
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 128

โพสต์

อ่านเรื่องของคุณ cabain_vi แล้วเราขำ
เพราะเราเป็นพวก "ลูกครู" ไง อิ อิ

..........................

พวกลูกครูได้สิทธิพิเศษจริงๆ
เวลาเล่นบางอย่าง เช่น ขี่ม้าส่งเมือง แน่นอนต้องมี "ม้า" กับ "คนขี่"
แต่เราตัวเล็กและผอมบางมาก เราเป็นม้าไม่ไหวอ้ะ แต่ก็อยากเล่น
ก็ได้เพื่อนๆ ตัวโตๆ บางคนเพราะเรียนนาน ที่ยอมเป็นม้าให้ตลอด

แต่เราก็ติดเหาทั้งปีเลยนะ แม่ก็บอกว่าอย่าเล่นกับเพื่อนที่มีเหาเยอะสิ
แต่เพื่อนที่เหาเยอะเนี่ยแหละที่ยอมเสียสละให้เราเสมอเลย
(ถ้าแม่รู้ว่าเล่นกับเพื่อนเพื่อเอาเปรียบเพื่อน...เราโดนดุแน่)

..........................

ตอนเด็กๆ ชอบตามน้องๆ ผู้ชายลูกอาแปะไปตกปลา
พวกนี้ก็แปลกมะขามเทศ ฝรั่งขี้นก ต้องปีนไปเก็บและนั่งกินบนหลังคายุ้งข้าว
เสร็จแล้วไม่ปีนลงทางเดิมอีก ต้องเดินตามขื่อหลังคายุ้งไปลงอีกทาง
บางทีก็ไปทิ้งตัวลงในข้าวเปลือกเพื่อที่จะปีนไปออกอีกทาง
ไอ้เราก็ต้องปีนตามไปด้วย

ทำบาปก็เคยเหมือนกัน เพราะน้องๆ บอกว่าเราเสียงดังปลาหนีหมด
ถ้าจะไปด้วยต้องมีหน้าที่เอาไส้เดือนเกี่ยวเบ็ด
ชั่วโมงนั้นจะให้ทำอะไรก็ยอม เพราะเราอยากตามไปเล่นด้วย

...........................

ช่วงประถมเป็นวัยที่สนุกจากการเล่นจริงๆ
พอมามีลูกจึงให้ความสำคัญกับการเล่นของลูก
คือให้เวลามากพอ และออกแบบกิจกรรมให้ลงไม้ลงมือทำ
ที่สำคัญและภูมิใจคือ "ลูกไม่ติดเกม" ค่ะ

...........................

พอ ม.1 ต้องเข้ามาเรียนในเมืองหลวง
เราขอทุนด้วย...ได้อีกต่างหาก แต่เตี่ยกับแม่ให้เอาไปคืน

เรารู้สึกว่าในกรุงเทพวิถีชีวิตเปลี่ยนจากเดิมมาก
ไปไหนต้องนั่งรถเมล์ ไม่มีมะขามเทศ ฝรั่งขี้นกให้เด็ดกินแล้ว
และเตี่ยกับแม่ต้องซื้อไข่ ทำเนื้อเค็มมาฝากบ้านญาติครั้งละมากๆ

เราเลยอบากแบ่งเบาภาระเตี่ยกับแม่

ถ้าโรงเรียนให้ไปทำกิจกรรมวันหยุดนะ
เพื่อนๆ จ้องจะใส่ชุดไปรเวท
แต่เราใส่ชุดนักเรียนไป ชุดนักเรียนไปได้ทุกที่

เราไม่มีชุดไปรเวทและไม่ได้ขอให้เตี่ยกับแม่ซื้อ
มีแต่พวกกางเกงขาสั้นอยู่บ้าน และเสื้อยืด "ยันม่า"
ที่เอามาจากอ่างทองด้วย บ้านอาแปะขายเครื่องยันม่า
ก็เลยมีเสื้อยืดมาให้ลูกๆ หลานๆ ใส่กัน

ส่งผลให้เป็นคนไม่ชอบแต่งตัวมาจนบัดนี้เลยค่ะ
ดีที่ทำงานมีชุดฟอร์มมาแทบตลอด
ก็เลยใส่ชุดฟอร์มเป็นหลัก...จนในที่สุด
เวลาจำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าดีๆ ไปไหนขึ้นมาไม่ค่อยมีเลย

กลายเป็นว่าแต่งตัวไม่เป็นไปเลยค่ะ
เพราะใส่แต่พวกชุดฟอร์มเสียจนชิน

.............................

อยากบอกว่าคุณ cabain_vi ไม่มีพ่อก็ไม่เป็นไรนะ
เราเพิ่งมารู้ตอนโตว่า ผลการวิจัยทางจิตวิทยาพบว่า
เด็กที่อยู่ในบ้านพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว
ดีต่อสุขภาพจิตมากกว่าเด็กที่อยู่ในบ้านที่
มีทั้งพ่อและแม่....แต่ไม่ได้รักกัน


.............................

ถ้ามีโอกาสผ่านไปแถวบ้านคุณ cabain_vi
สงสัยต้องไปแวะชิมฝีมือทำอาหารเสียหน่อยแล้ว
ชื่นชมนะคะ ทำอะไรเก่งหลายอย่างเลย :bow: :bow:

.............................

มีข้อสงสัยว่าเดี๋ยวนี้ยังมีใครใช้วิธีนั้น
กับถั่วงอกอยู่หรือไม่...จะได้ระวัง :ohno:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 129

โพสต์

อรุณสวัสดิ์ครับผม สวัสดี อ.นุช และทุก ๆ ท่านครับ

ความหมายของชีวิตมีมาในรูปแบบต่าง ๆ

ซิ่งท้าฝัน ครับ ลองชมดู

[youtube]Y1imV6Vp96Y[/youtube]
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
happymom
Verified User
โพสต์: 104
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 130

โพสต์

ขอบคุณ คุณนุชและทุกๆท่านค่ะ
ชอบกระทู้นี้มาก ครบทุกรสจริงๆ ตามอ่านทุกวันค่ะ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 131

โพสต์

happymom เขียน:ขอบคุณ คุณนุชและทุกๆท่านค่ะ
ชอบกระทู้นี้มาก ครบทุกรสจริงๆ ตามอ่านทุกวันค่ะ
ยินดีต้อนรับค่ะ คุณ happymom แวะมาคุยกับเพื่อนๆ ก็ได้นะคะ
ดูจากชื่อแล้วต้องเป็นคุณแม่ที่มีความสุขแน่นอน
มาเล่าเรื่องลูกก็ได้... ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ :wink:
f.escape
Verified User
โพสต์: 439
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 132

โพสต์

เห็นคุณ cobain โพสต์เรื่องทำบาป เราว่าเด็กผู้ชายมีโอกาสทำบาปมากกว่าเด็กผู้หญิง
ตอนลูกชายยังเล็กๆอยู่ เขาจับลูกหนูแรกเกิดมาเล่นจนตาย (ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน)
เห็นแล้วตกใจดุไปว่าอย่าไปเล่น มันสกปรก
เขาตอบว่า "ไม่สกปรกหรอก อาบน้ำทาแป้งแล้ว หอม"
(รู้เลยว่าทำไมลูกหนูถึงตาย)
หวานกับแวว
Verified User
โพสต์: 86
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 133

โพสต์

สวัสดีคุณนุช และพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกท่านค่ะ

ขอลงชื่อเป็นแขกประจำบ้านนี้ด้วยนะคะ ตามอ่านแล้วถูกจริตมากมาย ได้รับหลายรสชาติดีจัง ทั้งประสบการณ์ดีๆ และการแบ่งปันแนวทางการใช้ชีวิต ที่น่าจะส่งผลให้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม

สงสัยว่าตัวเองไปอยู่ที่ไหนมาน้อ..ถึงเพิ่งได้เข้ามาอ่าน รู้จักคุณนุชในกระทู้คุณหมอมุข ยังชอบใจใน style การแบ่งปัน :)

ตัวเองเพิ่งเข้ามาศึกษาการลงทุนแบบ VI ค่ะ ตอนนี้ก็เน้นลงทุนกับตัวเองอยู่ โดยการหาความรู้ไปเรื่อยๆ รู้ว่ามีจุดอ่อนตรงที่ไม่ค่อยถูกโรคกับเรื่องตัวเลข อ่านงบการเงินแล้วเวียนเฮดเอาการ แต่ไม่ท้อค่ะ สู้ๆ

ไว้จะขอแชร์ประสบการณ์เรื่องการตามดูกายดูใจบ้างนะคะ สนใจในสภาวะจิตว่างที่เล่ามาค่ะ เพราะเวลาตัวเองไปเดินช๊อปปิ้งในซุปเปอร์ มักได้ของที่ไม่ได้ตั้งใจมาซื้อก่อนของใน list ทุกทีไป อิอิ...
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 134

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:อรุณสวัสดิ์ครับผม สวัสดี อ.นุช และทุก ๆ ท่านครับ

ความหมายของชีวิตมีมาในรูปแบบต่าง ๆ

ซิ่งท้าฝัน ครับ ลองชมดู

[youtube]Y1imV6Vp96Y[/youtube]
ติดคุณ NB ไว้ว่า กลับถึงบ้านมาดูสิ่งที่คุณ NB
กรุณานำมาแบ่งปันไว้แต่เช้า แล้วจะมาคุยต่อ

ดูแล้วรู้สึกว่ามีพลังนะ ....ย้ำสิ่งที่เราเชื่อมาตลอดว่า
"ชีวิตคือการเลือก" และเราต้องมีเป้าหมาย (ภาพใหญ่ของชีวิต)
และจินตนาการก็สำคัญต่อการสร้างภาพใหญ่
และเรื่องที่คุณ NB เอามาฝากก็ช่วยเติมอีกสิ่งนึง
ที่ช่วยให้ทั้งหมดสมบูรณ์ยิ่งขึ้น มันคือ "ความไฝ่ฝัน"

ทำให้นึกถึงเพลง เพลงนึงขึ้นมา...ที่น่าจะมีความหมายไปในทางเดียวกัน

ถนนสายแสงตะวัน

[youtube]bJL0mhZUwTg[/youtube]
ถ้าใครเคยอ่านส่วนต้นๆ ของกระทู้นี้
ที่เราเคยเขียนไว้เรื่อง "เด็กยากจน"
คุณ cobain_vi เล่าเรื่องตัวเองฉายภาพตรงกับ
สภาพของชุดนักเรียนของเพื่อนที่เป็นเด็กยากจน...ที่เราเล่าถึงไว้เลย

ที่เราเล่าว่า....เราต้องขอบคุณเพื่อนๆ กลุ่มนี้ที่ทำให้เรา
น้อมใจรู็จักคำว่าพอเพียง ไม่อยากได้ชุดนักเรียนใหม่
เพราะไม่อยากให้ช่องว่างระหว่างเรากับเพื่อนห่างไปมากกว่านี้

เพราะเพื่อนกลุ่มนี้มีน้ำใจต่อเราไม่น้อย
ที่เล่น "ขี่ม้าส่งเมือง" เราเคยเกรงใจบอกเพื่อนว่า
เราไม่อยากให้เธอเป็นม้าตลอดหรอก เราจะไปหาคู่
เป็นเพื่อตัวเล็กๆ เหมือนเรา เพื่อจะได้ผลัดกันเป็นม้า
แต่เพื่อนบอกว่าไม่เป็นไรเค้ายินดีเป็นม้าให้เราเสมอ

ทำให้เราไม่อาจปฏิเสธการเป็น "ผู้รับ"
ดังที่คุณ f.escape เคยกล่าวไว้
เพื่อนจนของเราไม่มีอะไรจะให้เรา นอกจากน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ นั้น
แต่เขาจะรู้มั้ยว่า....เขาได้สอนสิ่งที่ยิ่งใหญ่แก่เรา
คือคำว่า "มิตรภาพ" แบบที่ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ

............................

MV ถนนสายแสงตะวัน...เหมือนชีวิตเราสมัย ม.ต้น
ที่เคยเล่าไว้ในกระทู้เดิมว่า เราเดินกลับบ้านทุกวัน
จาก รร.เบจมราชาลัย กลับเทเวศร์ เปลี่ยนเส้นทางไปเรื่อย
เพื่อสังเกตชีวิตผู้คนรอบตัวแบบไม่มีส่วนร่วม

เพราะชีวิตสมัยเด็กๆ ของเราไม่ได้ลำบากมากนัก
แต่โชคดีที่เป็นคน "เอาใจเขา มาใส่ใจเรา" ได้เก่ง
เราจึงสามารถเรียนรู้ และพอจะเข้าใจความรู้สึกของผู้คน
ผ่านการสังเกตขณะเดินกลับบ้าน....แบบพระเอก MV เพลงนี้

คุณ cobain_vi อาจจะโชคดีกว่าพวกเราก็ได้นะ
ที่ได้มีโอกาส จนเอง เจ็บเอง เหนื่อยเอง
พยายามทุกๆ อย่างด้วยตนเอง จนมาถึงวันที่ "สำเร็จ" ด้วยตัวเอง

เพราะเชื่อแน่ว่า ความสำเร็จที่ได้มายากนั้น จะ "ยั่งยืน" มากทีเดียว

................................

ขอมอบเพลง "ถนนสายแสงตะวัน" สำหรับทุกคนที่กำลังแสวงหา
เผื่อไว้ดูวันที่ท้อๆ หรือเป้าหมายสั่นคลอนไป
เพื่อให้มีพลังสู้ๆ กันต่อไไปนะคะ

ส่วนใครที่มีชีวิตที่ดีแล้ว....ก็จะได้เข้าใจชีวิต
ของผู้คนที่ยังลำบากกว่าเราได้ดียิ่งขึ้นค่ะ :wink:
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 135

โพสต์

หวานกับแวว เขียน:สวัสดีคุณนุช และพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกท่านค่ะ
ขอลงชื่อเป็นแขกประจำบ้านนี้ด้วยนะคะ
ยินดีต้อนรับค่ะ คุณ "หวานกับแหวว" เราว่าเพื่อนๆ ที่บ้านเราน่ารักทุกคนค่ะ
เชื่อว่ามีเพื่อนอีกหลายคนที่แวะมา เยี่ยมๆ มองๆ แถวบ้านเราอยู่
แต่ยังไม่ได้แวะเข้ามาทักทายกันก็มี ไม่เป็นไรค่ะ
เข้ามาอ่านแล้ว "ยิ้มเบาๆ" ก็ OK แล้วค่ะ :wink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 136

โพสต์

หลายปีก่อนตอนเริ่มเล่นหุ้น เข้าไปถามพี่ท่านหนึ่งว่า ลงทุน ทำอย่างไร?

พี่เค้าส่งรูป "ชิงช้าหมุน" มาให้
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 137

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:หลายปีก่อนตอนเริ่มเล่นหุ้น เข้าไปถามพี่ท่านหนึ่งว่า ลงทุน ทำอย่างไร?

พี่เค้าส่งรูป "ชิงช้าหมุน" มาให้
คำเดียวสั้นๆ รอ................... :wink:
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 138

โพสต์

theenuch เขียน:
Nevercry.boy เขียน:หลายปีก่อนตอนเริ่มเล่นหุ้น เข้าไปถามพี่ท่านหนึ่งว่า ลงทุน ทำอย่างไร?

พี่เค้าส่งรูป "ชิงช้าหมุน" มาให้
คำเดียวสั้นๆ รอ................... :wink:
รอ..........คำอธิบายเพิ่มจากคุณ NB น่ะค่ะ.........:pray:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 139

โพสต์

ตามนี้เลยครับ อ.นุช กระทู้เมื่อปี 2005 หลายท่านเคยอ่านแล้วอ่านซ้ำอีกทีก็ได้ความรู้นะครับ

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=10587

หลายท่านปัจจุบันไม่ได้โพสแล้ว ผมระลึกถึงพระคุณเสมอครับ

ประโยคอมตะของ T.Rowe Price ที่หลายท่านรวมถึง อ.เคน ฟิชเชอร์ เรียกท่านว่าเป็น Father of Growth Stocks ได้พูดไว้ว่า

"Earnings of most corporations pass through a life cycle which, like the human life cycle, has three important phases -- growth, maturity and decadence."
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
หวานกับแวว
Verified User
โพสต์: 86
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 140

โพสต์

คุณครู ที่ชื่อ "ความลำบาก" กับ อาจารย์ที่ชื่อ "ความล้มเหลว"
ว้าว.. เจอศิษย์สำนักเดียวกัน ดีใจจังค่ะ

มีกัลยาณมิตรท่านนึง เคยบอกไว้ว่า

"ทุกครั้งที่ล้มลง ก่อนจะลุกขึ้น อย่าลืมเก็บเหรียญทองที่พื้นขึ้นมาด้วยนะ"

:wink:
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 141

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:ตามนี้เลยครับ อ.นุช กระทู้เมื่อปี 2005 หลายท่านเคยอ่านแล้วอ่านซ้ำอีกทีก็ได้ความรู้นะครับ

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=10587

หลายท่านปัจจุบันไม่ได้โพสแล้ว ผมระลึกถึงพระคุณเสมอครับ

ประโยคอมตะของ T.Rowe Price ที่หลายท่านรวมถึง อ.เคน ฟิชเชอร์ เรียกท่านว่าเป็น Father of Growth Stocks ได้พูดไว้ว่า

"Earnings of most corporations pass through a life cycle which, like the human life cycle, has three important phases -- growth, maturity and decadence."
ขอบคุณ คุณ NB ที่ชวนคุยประเด็นดีๆ (และยากๆ สำหรับคนทั่วไป) เสมอ :D
จะมีใครว่าเราคุยกันเรื่อง "ยากเกิ๊น" ไหมเนี่ย

ก่อนอื่น อยากให้เรียกเราเหมือนเดิมนะ เรียกแบบนี้เคอะเขิน
และรู้สึกว่าตัวเองยังไม่คู่ควรเลยค่ะ :oops:

ต้องย้อนกลับไปเรื่องขึ้นเขา และลงเขาที่เราคุยกันวันก่อนด้วยนะคะ
ถ้ามอง human life cycle ของตามแบบประโยคอมตะของ T.Rowe Price
ระยะสุดท้ายคือ decadence นั้น
ถ้าเปรียบกับการลงเขาที่เราคุยกันมันน่าจะคล้ายๆ กลิ้งลงมา
คือไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ ถ้าในด้านร่างกายและสุขภาพ
อาจจะใช่ค่ะ เพราะเป็นธรรมดาที่เราทุกคนไม่สามารถที่จะฝืนสังขารไปได้

แต่เราสามารถลงเขาให้สง่างามได้ ขออธิบายโดยยกเอา
“ทฤษฎีพัฒนาบุคลิกภาพ” ของ Erik Erikson มาอธิบายประกอบนะคะ
(ได้ใช้ความรู้ ป.โท ที่เรียนมาให้เป็นประโยชน์เสียที)

อีริคสัน ได้กล่าวถึงพัฒนาการทางบุคลิกภาพว่า
การพัฒนาการทางบุคลิกภาพเกิดขึ้นเนื่องจากการที่
คนติดต่อสัมพันธ์กับสังคม เขาได้แบ่ง
ขั้นพัฒนาการทางบุคลิกภาพออกเป็น 8 ขั้น
ซึ่งจะสืบเนื่องติดต่อกันไปตลอดชีวิต
ในแต่ละขั้นของพัฒนาการทางบุคลิกภาพ
มีโอกาสที่จะพัฒนาไปได้ไม่ ทางบวก ก็ทางลบ

จะขอกล่าวถึงเฉพาะขั้นที่เราคุยกันนะคะ คือ 2 ขั้นสุดท้าย
วัยกลางคนไปจนถึงวัยสุดท้ายของชีวิต

ขั้นที่ 7 ขั้นที่ 7 การสืบทอดกับการคำนึงถึงแต่ตนเอง
(Generativity vs. Self absorption/ Stagnation)
เป็นวัยผู้ใหญ่และเข้าสู่วัยกลางคน ขั้นนี้เป็นขั้นที่คนเริ่มคิดวางแผนอนาคต
ในด้านความมั่นคงทางการงานอาจจะหมายถึงการสร้างหลักฐาน ดูแลครอบครัวได้ดี
บุคคลที่มีพัฒนาการสมบูรณ์จะมีความรู้สึกว่าได้ทำประโยชน์แก่สังคม และสามารถให้ความดูแลอารักขาผู้อื่นได้

ส่วนบุคคลที่ทำได้ไม่ดีนัก เช่นถึงวัยนี้แล้วหน้าที่การงาน
หรือฐานนะยังไม่มั่นคง ยังไม่สามารถดูแลเป็นที่พึ่งให้แก่ครอบครัวได้
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็คือเฉยชา ไม่คิดจะสร้างสรรค์อะไรใว้ให้ใคร
จะพุ่งความสนใจเข้าตัวเอง กลายเป็นคนรักตัวเองหมกมุ่นใฝ่ใจแต่เรื่องของตัวเอง
ไม่รักผู้อื่น ไม่คิดเรื่องสังคมโดยรอบ

ขั้นที่ 8 ความรู้สึกมั่นคงสมบูรณ์ กับ ความหมดหวังทอดอาลัย
(Integrity vs. Despair)
เป็นวัยสุดท้ายที่ประมวลเอาประสบการณ์ในชีวิตใว้
ฉากสุดท้ายของชีวิตนี้จะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า
บุคคลนั้นได้สามารถพัฒนาตนเองมาตั้งแต่ฉากแรกได้อย่างไร
บุคคลได้มีความสัมพันธ์กับสังคมอย่างไร
ช่วงสุดท้ายของชีวิตจะเป็นช่วงสุดท้าย
ที่เราหันกลับไปมองอดีตมาตั้งแต่ต้น
และเหลือตกตะกอนเป็นช่วงปลายของชีวิต

ถ้าชีวิตตั้งแต่ต้นพบกับความสำเร็จ ในขั้นสุดท้ายนี้
บุคคลก็จะพึงพอใจในชีวิตที่ผ่านมา พึงพอใจชีวิตของตน
รู้จักหาความสุขความสงบ พอใจกับการมีชีวิตในวัยชรา
ยอมรับสภาพความเป็นอยู่ตามสภาพความเป็นจริง
เกิดความมั่นคงใจจิตใจ เพราะพร้อมที่จะอำลาจาโลกนี้ไป
เนื่องจากได้ประจักษ์ถึงผลสำเร็จที่ได้เกิดขึ้น
หลายคนพอใจที่จะติดต่อกับคนรุ่นหลัง
เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ให้เป็นบทเรียนแก่คนรุ่นหลัง
สามารถมองโลกได้กว้างไกล มีความรักในมนุษยชาติ
และตระหนักว่าชีวิตเป็นช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์
สามารถสละตัดใจได้ไม่กลัวต่อความตายที่ย่างเข้ามาใกล้

ตรงข้ามกับบุคคลผู้ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
จะมีความกลัวตายเมื่อรู้แน่ชัดว่าเวลาของตนใกล้เข้ามาแล้ว
เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วจะรู้สึกผิดหวัง รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา
ไม่ยอมรับสภาพความเป็นอยู่ และหาความสุขสงบให้กับตนเองไม่ได้เลย
ความหมดหวังท้อแท้ต่อชีวิตปรากฏขึ้น การใช้ชีวิตในบั้นปลาย
จะเป็นการอยู่ไปวันๆอย่างไร้ความหมาย

สรุปคือถ้าเป็น "ทางลบ" ก็จะเป็นdecadence
คือการลงเขาอย่างที่กลิ้งลงมาน่ะค่ะ

ต้องไปธุระข้างนอกแล้ว ค่อยคุยกันใหม่นะคะ :wink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 142

โพสต์

หวานกับแวว เขียน:
คุณครู ที่ชื่อ "ความลำบาก" กับ อาจารย์ที่ชื่อ "ความล้มเหลว"
ว้าว.. เจอศิษย์สำนักเดียวกัน ดีใจจังค่ะ

มีกัลยาณมิตรท่านนึง เคยบอกไว้ว่า

"ทุกครั้งที่ล้มลง ก่อนจะลุกขึ้น อย่าลืมเก็บเหรียญทองที่พื้นขึ้นมาด้วยนะ"

:wink:
มีเพื่อนสนิทชื่อ "โรคภัยไข้เจ็บ" ด้วยครับ หลัง ๆ นี่แวะเวียนมาหาบ่อย ก็ต้องบอกว่า "เฮ้ย นาน ๆ มาที ละกัน" หรือไม่ก็ มาก็มาแป๊บเดียวนะอย่ามาค้าง
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 143

โพสต์

Nevercry.boy เขียน:
หวานกับแวว เขียน:
คุณครู ที่ชื่อ "ความลำบาก" กับ อาจารย์ที่ชื่อ "ความล้มเหลว"
ว้าว.. เจอศิษย์สำนักเดียวกัน ดีใจจังค่ะ

มีกัลยาณมิตรท่านนึง เคยบอกไว้ว่า

"ทุกครั้งที่ล้มลง ก่อนจะลุกขึ้น อย่าลืมเก็บเหรียญทองที่พื้นขึ้นมาด้วยนะ"

:wink:
มีเพื่อนสนิทชื่อ "โรคภัยไข้เจ็บ" ด้วยครับ หลัง ๆ นี่แวะเวียนมาหาบ่อย ก็ต้องบอกว่า "เฮ้ย นาน ๆ มาที ละกัน" หรือไม่ก็ มาก็มาแป๊บเดียวนะอย่ามาค้าง
:bow: :bow: :bow: :bow:
ddoo7
Verified User
โพสต์: 292
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 144

โพสต์

ยังติดตามมาอ่านเสมอ
ไม่คิดว่าชอบเล่น "ขี่ม้าส่งเมือง"
ตอนเป็นคนขี่ก็สนุกสนาน ตอนมาเป็นม้าก็แทบตาย
ก้วนเพื่อนผมดัดแปลงเป็นขี่ม้าชนกัน เล่นกันแรง
ยิ่งตอนล้มหัวคมำ กินดินกินหญ้า เนื้อตัวระบม :'O
ต้องกลับบ้านตัวมอมแมม อาจโดนแม่เอ็ดเล็กน้อย
แทนที่จะเข็ด พรุ่งนี้มาเล่นล้างตากันอีก :mrgreen:
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 145

โพสต์

ddoo7 เขียน:ยังติดตามมาอ่านเสมอ
ไม่คิดว่าชอบเล่น "ขี่ม้าส่งเมือง"
ตอนเป็นคนขี่ก็สนุกสนาน ตอนมาเป็นม้าก็แทบตาย
ก้วนเพื่อนผมดัดแปลงเป็นขี่ม้าชนกัน เล่นกันแรง
ยิ่งตอนล้มหัวคมำ กินดินกินหญ้า เนื้อตัวระบม :'O
ต้องกลับบ้านตัวมอมแมม อาจโดนแม่เอ็ดเล็กน้อย
แทนที่จะเข็ด พรุ่งนี้มาเล่นล้างตากันอีก :mrgreen:
นึกว่า คุณ ddoo7 หายไปไหน ไม่ค่อยเห็นในกระทู้ใดๆ ค่ะ
เพิ่งนึกได้ ว่าเราไม่น่าชวยคุยเรื่องนี้เลย
ชื่อการเล่น บ่งบอกถึงวัยกันเลยนะคะ :D
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 146

โพสต์

เมื่อสักครู่ดูข่าวเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษา
นึกได้ว่าเคยมีความเห็นเกี่ยวกับการศึกษาไว้นิดหน่อย
ในกระทู้ "ธุรกิจกวดวิชาพารวย" จึงขออนุญาตคุณ syj
เพื่อนำมาไว้ที่กระทู้บ้านๆ ด้วย และคุณ syj ตอบว่ายินดี
ขอบคุณ คุณ syj มากค่ะ
:wink:

เคยอ่านเจอจากที่ไหนจำไม่ได้ แต่รู้สึกเห็นด้วย

ว่าโรงเรียนไทยสอนคณิตศาสาตร์ คล้ายๆ จะให้ไปเป็นเครื่องคิดเลข
แต่ต่างประเทศสอนให้เข้าใจหลักการอย่างแท้จริง
ถ้าตัวเลขมากๆ ก็ใช้เครื่องคิดเลขสิ....เค้าอุตส่าห์ประดิษฐ์มาให้ใช้แล้ว

เคยใช้หนังสือของต่างประเทศสอนคณิตศาสตร์ให้ลูกเอง
พบว่าบางบทโจทย์กำหนดแค่ให้เขียนประโยคสัญลักษณ์ให้ถูกต้อง
อย่างเดียวเลย ไม่ต้องคิดผลลัพท์ออกมา
และบางบทก็เค้าจะเน้นเรื่องการประมาณค่า...ให้ใกลเคียงผลลัพท์มากที่สุดด้วย

เคยเจอเด็กที่เรียนพิเศษคณิตศาสตร์ประเภทคิดเลขเร็ว
เห็นประโยคสัญลักษณ์ปุ๊บ ทำได้ปั๊บ
แต่ลองเอาโจทย์ประเภทคณิตศาสาตร์เหตุผล
โจทย์ซับซ้อนหน่อยให้ทำ....บางคนทำไม่ได้

ที่เคยเจอกับตัวเองในช่วงที่ทำงานแล้วก็มี เช่น
มีคนมาขอความช่วยเหลือ....เค้ามีตัวเลขข้อมูลดิบที่แจกแจงมาเองกับมือ
แถมเพิ่งอบรมการใช้ excel ในการคำนวณขั้นสูงไปไม่นาน
แต่ไม่สามารถเอาข้อมูลดิบนั้น....มาจัดกระทำให้ได้ผลลัพท์ที่ต้องการได้
จำได้ว่าเป็นเรื่องของสถิติ พอค่อยไล่เลียงวิธีที่เค้าทำ
พบว่าไม่นำ "ความถี่สะสม" มาคำนวณด้วย...ตกม้าตายเรื่องง่ายๆ เลย

มีความเห็นว่า...ในกรณีที่เด็กมีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะเรียนเอง
ในกรณีนี้ โรงเรียนกวดวิชาสามารถตอบโจทย์ได้
จ่ายเงินเพิ่มเท่าไหร่ก็คุ้ม และเด็กก็ไม่เบื่อไม่ทุกข์

แต่กรณีที่เด็กไม่ได้อยากเรียน (โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ) มันอาจให้ผลในทางกลับกัน
และพาลเบื่อการเรียนทั้งในโรงเรียนและในโรงเรียนกวดวิชาไปเลย....ได้ไม่คุ้มเสีย

ในเรื่องพฤติกรรม ก็ส่งผลให้กลายเป็นคนชอบแข่งขันมากเกินไป
เพราะพ่อแม่บางบ้านกระตุ้นลูกด้วยการเปียบเทียบกับลูกคนอื่น
กลายเป็นเด็กคบเพื่อนได้ไม่สนิทใจ คบไปแข่งไป
คงจะคบกันยากพอสมควร คือคงอดเปรียบเทียบอยู่ในทีไม่ได้

เมื่อจบไปทำงานก็ติดนิสัยไปใช้ในที่ทำงาน....นิสัยชอบแข่งขันเกินเหตุ
เห็นใครดีกว่าไม่ได้จิตใจร้อนรุ่ม บางคนเป็นคนเก่งมาก
แต่ชื่นชมยินดีกับใครไม่เป็นเลย ขี้อิจฉา ใช้การเปรียบเทียบ
เป็นเครื่องตัดสินอย่างหยาบๆ ว่าตัวเองดีหรือด้อยกว่าคนรอบข้าง
และบางครั้งต้องการสูงกว่า...แต่แทนที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นมา
กลับ "กดผู้อื่นให้จมลง" ด้วยวิธีการต่างๆ นาๆ ก็มีให้เห็น
แทนที่จะมีความสุข....กลายเป็นทำการทำงานและใช้ชีวิตด้วยความทรมานไปเสีย

เวลาของเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากัน....แทนที่หลังเลิกเรียนหรือวันหยุด...
เด็กจะได้ใช้เวลาร่วมกับพ่อแม่หรือครอบครัว...กลับต้องไปอยู่ในโรงเรียนกวดวิชา

แล้วพ่อแม่จะเอาเวลาไหนสอนให้ลูกรู้จักโลก สอนให้รู้จักค่าของเงิน
สอนคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เด็ก
สามารถใช้ชีวิตหลังวัยเรียน....ที่แสนยาวนาน....ได้อย่างมีความสุขและสมดุล

และสุดท้าย...เชื่อว่า...ความผูกพันในครอบครัวเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กไฝ่ดี
ถ้าเด็กไฝ่ดี...เดี๋ยวสิ่งดีๆ จะค่อยๆ ตามมา ...ถ้าเค้ารู้สึกว่าเค้ามีคุณค่า
เค้าจะพยายามทำสิ่งที่สมกับคุณค่าของตนเอง...รวมทั้งเรื่องเรียนด้วย

ดึงลูกกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของพ่อแม่...
หรือจะผลักลูกไปสู่อ้อมกอดของโรงเรียนกวดวิชาดีหนอ ?
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 147

โพสต์

สัปดาห์หนังสือปีนี้คงไม่มีโอกาสไป หนังสือที่อ่านแล้วเป็นความประทับใจของแต่ละคนมีอะไรกันบ้างครับ

สำหรับผม

1. เวลาในขวดแก้ว คุณประภัสสร เสวีกุล
2. คนกับเสือ (เรื่องสั้น) คุณเสกสรรค์ ประเสริฐกุล
3. ต้นส้มแสนรัก เซเซ่กับต้นส้มในจินตนาการ โจเซ่ วาสคอนเซลอส
4. ฟ้ากว้างทางไกล (papa you are crazy) วิลเลียม ซาโลยัน (อาจจะสะกดชื่อคนเขียนผิด)
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 148

โพสต์

ตรงกับคุณ NB 2 เล่มค่ะ

1. เวลาในขวดแก้ว
2. ต้นส้มแสนรัก
3. ลำดับสีเทา
เขียน โดยคุณกีรตี ชนา
เป็นเรื่องของเด็กๆ ที่โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก ที่กาญจนบุรี

4. ไล่ตงจิ้นลูกขอทาน
อ่านคืนเดียวจบ (ไม่นอนเลย)
เช้าขึ้นมาตาบวมจากอดนอน
และเรืองราวของหนังสือ

5. กาลครั้งหนึ่งนานมา
เล่มนี้ อ่านแล้วเหมือนเรา "ตีลังกา"
มองโลกในมุมต่างๆ

6. หนังสือของคุณ "พิบูลย์ศักดิ์ ละครพล" หลายเล่ม
ให้่ความรู้สึกเหมือนไปนั่งอ่านอยู่บนภูเขา
ริมลำธาร มีเสียงน้ำไหลเอื่อยๆ สงบเย็น

ที่จริงมีอีกมาก เพราะมีเพื่อนเป็นหนังสือมาแต่ไหนแต่ไรค่ะ

ตอนมัธยมต้น (เวลากลับบ้านที่อ่างทอง)
ไปเล่นน้ำคลองกันหน้าบ้านน้า
เสร็จแล้วชอบมาขลุกตัวอยู่ตามชั้นหนังสือของน้า

เจอหนังสือ "ฉันจึงมาหาความหมาย"
ของอาจารย์วิทยากร เชียงกูล อ่านรวดเดียวจบอีกตามเคย
น้ายังงง ๆ ว่า เด็กอะไรชอบอ่านหนังสือแนวนี้

หลังจากนั้นมาก็อ่านพวกหนังสือรางวัลซีไรท์
เรื่อยมา อ่านแล้วรู้สึกว่าเราแก่ไปเลย
ไม่แน่ใจว่าเคยเป็น "วัยรุ่น" หรือเปล่า 555

พอจบทำงานใหม่ๆ มีเงินของตัวเองแล้ว
ขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามจังหวัดไปอ่านและซื้อหนังสือ
ที่ตัวจังหวัดสุพรรณ เป็นประจำ
ร้าน "คนวรรณกรรม" ถ้าจำไม่ผิด น่าจะชื่อนี้ค่ะ

นอกจากนั้นที่ชอบก็พวกหนังสือ How to และหนังสือคิดบวก
"คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก" "กินกบตัวนั้นซะ"
"เข็มทิศชีวิต" "สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ ฯลฯ

กลุ่มที่เจาะจงลงไปเรื่องเศรษฐศาสตร์และการเงินทั้งหลาย
"พ่อรวยสอนลูก" เกือบครบทั้งชุด
"สนุกกับของไม่ฟรี". "พฤติกรรมพยากรณ์"
หนังสือสอนออม "คัมภีร์ 5 เหรียญ" "เงินทองของไม่หมู"
และพวกเก็บเงิน "ล้าน" ถัดมาก็ "สิบล้าน"
"Millionaire next door" "Richest man in Babylon" ฯลฯ

แน่นอนในที่สุดก็เข้าสูเรื่องการลงทุนในหุ้น
คัมภีร์หุ้น 1 และ 2 "จิตวิทยาการลงทุน 1 และ 2
The Intelligent Investor (ปกแดงๆ เล่มหนาๆนั่นแหละค่ะ)
ที่จริงถ้าใครยังไม่ได้อ่านเล่มนี้ แต่ท้อซะก่อนเพราะความหนา
แนะนำให้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์ ดร.นิเวศน์ ก็ได้ค่ะ
เหมือนได้อ่านเล่มนี้ แถมการยกตัวอย่างวิธีวิเคราะห์
พื้นฐานกิจการเหมาะกับคนไทยมากกว่า เพราะอาจารย์ท่านยกตัวอย่าง
ที่อยู่รอบตัวเรา และบริษัทในประเทศเรา ทำให้เข้าใจง่ายกว่าค่ะ

สุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือหนังสือธรรมะ
หนังสือของท่าน ว.วชิรเมธี เกือบครบทุกเล่ม
ท่าน ป ปยุตโต และ ท่านพุทธทาสภิกขุ

คุยเรื่องหนังสือแล้วมีความสุขค่ะ
ปัจจุบัน หนังสือก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเสมอค่ะ :D
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 149

โพสต์

แปลกอยู่อย่างนึง ที่ไม่เคยรู้จักคำว่า "เหงา" เลย
รู้สึกว่าเวลาเป็นของมีค่ามากแม้แต่เวลาที่อยู่คนเดียว

ตอนแต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีลูก
มีอยู่ครั้งนึงแฟนไปต่างประเทศ
ตรงกับวันหยุดเข้าพรรษาต่อกับเสาร์ อาทิตย์ 4 วัน
ไปซื้อหนังสือมาเพียบ เตรียมเสบียงไว้ให้พอ แล้วอยู่คนเดียวไม่ออกไปไหน
ตอนเย็นขี่จักรยานไปดูข้าวเขียวถนนชนบทใกล้ๆ หมู่บ้าน
สุข สงบดี จริงๆ รู้สึกว่า "ชีวิตเราไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย"

เวลาอยู่ในที่กว้างๆ แล้วมองภาพใหญ่ แบบ bird eyes view
เราจะเห็นตัวเองเล็กๆ อยู่ท่ามกลางสรรพสิ่ง
ตัวเราเป็นแค่เสี้ยวนึงของภาพตรงนั้น

ถ้าเปรียบเป็นภาพเขียน เพียงหยิบยางลบ
มาลบตัวเราในภาพออกไป ทุกๆ สิ่งยังดำเนินต่อไปได้เป็นปกติ
จริงๆ แล้วเราก็มีความสำคัญกับระบบ
เท่านกตัวหนึ่งที่บินผ่านเราไปเมื่อครู่

ถ้านับระบบของธรรมชาติ ณ เวลาที่เรายืนอยู่
ไส้เดือนที่อยู่ใต้ดินตรงนั้น ยังกำลังทำสิ่งมีค่ามากกว่าเราได้เลย
มันกำลังย่อยใบไม้และพรวนดิน ช่วยให้ระบบนิเวศน์ทั้งระบบดีขึ้น

อยู่กับธรรมชาติบ่อยๆ จะพบว่าเราอยากกินน้อยใช้น้อยไปเองเลย...มีเพลงมาฝากค่ะ :D

ความงามที่ซ่อนอยู่

http://youtu.be/G_yOdfxYuqg
syj
Verified User
โพสต์: 4241
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI บ้าน ๆ

โพสต์ที่ 150

โพสต์

ขออนุญาติเอาเรื่องการศึกษามาฝากโพสที่นี่ด้วยนะครับ
จาก >>> http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1382021234

ฟังต้นแบบการศึกษาโลก พัฒนานักเรียน-เสริมแกร่งครูไทย

updated: 17 ต.ค. 2556 เวลา 23:43:49 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ภายในงานมหกรรมการศึกษาเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู ครั้งที่ 6 หรือ EDUCA 2013 Strong Performers and Successful Reformers มีปรมาจารย์ทางด้านการศึกษาระดับโลกหลายคนมาแสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือ "ดร.พาสี ซาลเบิร์ก" อธิบดีกรมพัฒนาความสัมพันธ์และความร่วมมือ กระทรวงศึกษาและวัฒนธรรม จากประเทศฟินแลนด์ ที่จะมาปาฐกถาในหัวข้อ "บทเรียนด้านการศึกษาจากฟินแลนด์ : การเปลี่ยนแปลงสำเร็จ"

"ศ.ดร.ชารอน ฟีแมน-เมเซอร์" ศ.แมนเดล ด้านศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแบรนดีส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่จะมาปาฐกถาในหัวข้อ "ครุศึกษาเพื่ออนาคต : มองครุศึกษาแบบกลับด้าน"

เบื้องต้น "ดร.พาสี ซาลเบิร์ก" บอกว่า ฟินแลนด์พัฒนาระบบการศึกษาตลอดมาตั้งแต่ปี 1970 จนถึงปัจจุบัน จนได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีระบบการศึกษา และระบบโรงเรียนที่ดีที่สุดในโลก


คำถามจึงเกิดขึ้นว่า ฟินแลนด์มีวิธีการพัฒนาการศึกษาอย่างไร ?

"ดร.พาสี ซาลเบิร์ก" จึงตอบว่า เพราะเรามองเรื่องการศึกษาเป็นเรื่องที่ต้องร่วมมือกัน ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ให้การสนับสนุน พร้อมกับกำหนดเรื่องการศึกษาให้เป็นยุทธศาสตร์ของประเทศ

"แต่กระนั้น ไม่ใช่ว่าต้องการให้เป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดในโลก แต่เพราะเราให้ความสำคัญกับสิทธิทางการศึกษาให้เกิดความเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก, สตรี รวมถึงความสนใจในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรม, เศรษฐกิจ และภาคธุรกิจเอง ก็ให้การสนับสนุนการศึกษาด้วย"

แต่กระนั้น ก็ทำให้เกิดความสงสัยว่า แล้วฟินแลนด์ดำเนินนโยบายการศึกษาอย่างไร "ดร.พาสี ซาลเบิร์ก" จึงบอกว่า...เราใช้ GERM มาช่วยจัดระบบการศึกษา ทั้งในเรื่องของ G-Global-ทั่วโลก, E-Education-การศึกษา, R-Reform-การปฏิรูป และ M-Movement-การเคลื่อนไหว


"ที่จะต้องมีองค์ประกอบต่าง ๆ อาทิ การแข่งขัน, ระบบมาตรฐาน, การทดสอบ, ความรับผิดชอบ และโรงเรียนทางเลือก มาเป็นมาตรวัดในการแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ เพราะเราเชื่อว่าโรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนสำหรับทุกคน สำคัญไปกว่านั้น ชั่วโมงการเรียนของนักเรียนเกรด 7-8 ครูจะสอนหนังสือเพียง 2 ชั่วโมง/วัน

ทั้งนั้น เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้จากประสบการณ์นอกห้องเรียน ขณะเดียวกัน ครูจะนำเวลาที่เหลือไปวางแผนในการเป็นครูวิชาชีพมากขึ้น"


ขณะที่ "ศ.ดร.ชารอน ฟีแมน-เนมเซอร์" บอกว่า การเรียนรู้ แนวคิด และมิติใหม่ของครุศึกษา จะเน้นเรื่องความสำคัญของการฝึกสอนเชิงปฏิบัติ และการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ เพื่อความพร้อมของนักศึกษาครู

"ปัจจุบัน เราจำเป็นต้องมองครุศึกษาแบบกลับด้าน คือเป็นการมองที่เปลี่ยนจากการเตรียมความพร้อมทางด้านวิชาการ และการฝึกปฏิบัติที่ไม่ได้อิงกับประสบการณ์จริง เป็นการเตรียมความพร้อม ที่เน้นด้านการฝึกสอนและฝึกประสบการณ์วิชาชีพจริงในชั้นเรียน"

เพราะครูเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของสถาบันการศึกษา สิ่งที่นักศึกษาครูได้เรียนรู้และนำมาปฏิบัติจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงนักเรียนที่จะเกิดกระบวนการเรียนรู้ เหมือนห่วงโซ่ที่เชื่อมโยงกัน ดังนั้น การออกแบบระบบครุศึกษาที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ จึงเชื่อมโยงระหว่างความยั่งยืนของครุศึกษาและการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีประสิทธิภาพเป็นสำคัญ

"แต่การจะทำเช่นนั้นได้ เราต้องให้ความสำคัญ 3 ส่วน คือหนึ่ง-การสร้างกรอบหลักสูตรสำหรับการเรียนรู้เพื่อการเป็นผู้สอน ซึ่งจะต้องครอบคลุมสิ่งที่นักศึกษาครูควรรู้ก่อนที่จะสอน และสิ่งที่นักศึกษาครูต้องเตรียมพร้อมเมื่อเริ่มต้นสู่การเป็นผู้สอน รวมถึงการขยายขีดความสามารถของตนระหว่างที่เป็นผู้สอนอย่างเต็มตัว"

"สอง-วิธีสอนและข้อปฏิบัติของครุศึกษา ที่จะต้องสร้างประสบการณ์การสอนนักเรียนในสถานศึกษาจริง เพราะเป็นการให้โอกาสนักศึกษาครูนำความรู้อันเป็นเนื้อหาวิชาการและความสามารถเฉพาะตนไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติการสอนตามสภาพการณ์จริงในสถาบันการศึกษา รวมถึงการได้รู้จักและศึกษาผู้เรียน, ร่วมทำงานกับครู บุคลากรต่าง ๆ ในสถาบันการศึกษา และการร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย"

นอกจากนั้น ต้องมีวิจัยการสอนของตัวเอง เช่น ทำการสอนแบบจุลภาค คือการสอนในสถานการณ์จริงที่ย่นย่อทั้งเวลาและบทเรียน โดยเน้นทักษะการสอนพื้นฐาน เพียงด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อให้ผู้สอนเกิดความชำนาญ ก่อนที่จะนำมาสอนนักเรียนประมาณ 1-10 คน ในเวลาไม่เกิน 20 นาที

นอกจากนี้ ขณะทำการสอนจะต้องมีการบันทึกเทปเสียง หรือเทปภาพ เพื่อให้ผู้สอนมีโอกาสฟัง หรือเห็นตัวเองในการปฏิบัติงานสอนในภายหลัง พร้อมมีการวิจารณ์ข้อดีข้อเสียต่าง ๆ และสอนซ้ำภายหลังที่เรียนรู้ข้อบกพร่องของตัวเอง เพื่อจะได้นำไปปรับปรุงการสอนให้ดีขึ้น

"สาม-สร้างหลักการ ที่จะพัฒนานักศึกษาครูไปสู่การประกอบอาชีพครูอย่างสมบูรณ์แบบ เช่น วิสัยทัศน์การเรียนการสอนที่ดี, การให้โอกาสครูฝึกหัดวิเคราะห์และสร้างรูปแบบการเรียนการสอน, การช่วยบูรณาการความรู้และทักษะให้กับครูฝึกหัด, การค้นหาโรงเรียนที่ยินดีช่วยเตรียมความพร้อมครูฝึกหัดให้ได้ทำงานร่วมกัน สำหรับการพัฒนาความเป็นครูอย่างต่อเนื่อง"

ซึ่งล้วนเป็นมุมมองที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่ไม่เฉพาะกับครูในประเทศไทยเท่านั้น

หากยังหมายถึงระบบการศึกษาของไทยในอนาคตข้างหน้าอีกด้วย !
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.