จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 193
- ผู้ติดตาม: 0
จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 1
หลักการของ VI คือการหามูลค่าที่แท้จริง (ให้ใกล้เคียงที่สุด) เปรียบเทียบกับราคา หากมูลค่าที่แท้จริงต่ำกว่าราคา ก็จะมี Margin of Safety และเราสามารถลงทุนในกิจการนั้นได้ (อันนี้ความเข้าใจของผม)
แต่ผมมีคำถามว่าจำนวนหุ้นที่ถือของ VI มีประเด็นไหมครับ คือถ้าเรามั่นใจแค่หุ้นตัวเดียว เราถือแค่ตัวเดียว แต่เรารู้จักหุ้นนั้นดี จะเสี่ยงไหมครับ หรือเราควรจะถือสัก 4-5 ตัว (ตามคำแนะนำของ VI อาวุโสหลายท่าน) แต่ตัวอื่น ๆ มันอาจจะมี Margin of Safety ไม่เยอะ เท่าหุ้นตัวที่เรามั่นใจ เราก็ควรจะต้องถือเพื่อลดความเสี่ยงไหมครับ
มีคนบอกความเสี่ยงแปรผกผันกับความรู้จักในสิ่งที่เราทำ ถ้าถือตัวเดียวแต่คิดว่ารู้จักดี ผิดหลักการไหมครับ ใจหนึ่งก็คือเราไม่มีทางคาดการณ์อนาคตข้างหน้าได้ถูกหรอก ลงทุนไว้ตัวเดียว เสี่ยง แต่อีกใจหนึ่งคือตามหลักการ VI ถ้าพื้นฐานเปลี่ยน เราก็ขายหุ้นนั้นได้ นอกจากนี้ถ้าการลงทุนแบบ VI คือการลงทุนในธุรกิจ โดยทั่วไปหากเราทำธุรกิจเอง ส่วนใหญ่คงทำแค่ธุรกิจเดียว ไม่ค่อยมีคนทำ 4-5 ธุรกิจพร้อม ๆ กันนะครับ
ขอความรู้ด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
แต่ผมมีคำถามว่าจำนวนหุ้นที่ถือของ VI มีประเด็นไหมครับ คือถ้าเรามั่นใจแค่หุ้นตัวเดียว เราถือแค่ตัวเดียว แต่เรารู้จักหุ้นนั้นดี จะเสี่ยงไหมครับ หรือเราควรจะถือสัก 4-5 ตัว (ตามคำแนะนำของ VI อาวุโสหลายท่าน) แต่ตัวอื่น ๆ มันอาจจะมี Margin of Safety ไม่เยอะ เท่าหุ้นตัวที่เรามั่นใจ เราก็ควรจะต้องถือเพื่อลดความเสี่ยงไหมครับ
มีคนบอกความเสี่ยงแปรผกผันกับความรู้จักในสิ่งที่เราทำ ถ้าถือตัวเดียวแต่คิดว่ารู้จักดี ผิดหลักการไหมครับ ใจหนึ่งก็คือเราไม่มีทางคาดการณ์อนาคตข้างหน้าได้ถูกหรอก ลงทุนไว้ตัวเดียว เสี่ยง แต่อีกใจหนึ่งคือตามหลักการ VI ถ้าพื้นฐานเปลี่ยน เราก็ขายหุ้นนั้นได้ นอกจากนี้ถ้าการลงทุนแบบ VI คือการลงทุนในธุรกิจ โดยทั่วไปหากเราทำธุรกิจเอง ส่วนใหญ่คงทำแค่ธุรกิจเดียว ไม่ค่อยมีคนทำ 4-5 ธุรกิจพร้อม ๆ กันนะครับ
ขอความรู้ด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 390
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 2
ถือหุ้นกี่ตัวคงขึ้นอยู่กับ Circle of Competence หรือ ขอบข่ายความรู้ ของตัวนักลงทุนเองมากกว่านะครับ
ซึ่งแต่ละคน ก็คงไม่เหมือนกันครับ
ปีเตอร์ ลินซ์ เคยเชียนไว้ว่า : นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ คือ นักลงทุนที่มีหุ้นที่ชนะมาก ๆ ไม่กี่ตัว และตัวบวกจากหุ้นเหล่านั้นจะท่วมตัวลบจากหุ้นที่ไม่ประสบความสำเร็จ
ซึ่งแต่ละคน ก็คงไม่เหมือนกันครับ
ปีเตอร์ ลินซ์ เคยเชียนไว้ว่า : นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ คือ นักลงทุนที่มีหุ้นที่ชนะมาก ๆ ไม่กี่ตัว และตัวบวกจากหุ้นเหล่านั้นจะท่วมตัวลบจากหุ้นที่ไม่ประสบความสำเร็จ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 3
ผมเห็นแทบทุกผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน
ไม่ได้มีธุรกิจเดียวนะครับ เค้ามีการลงทุนในบริษัทอื่นๆด้วย
อาจจะธุรกิจอื่น หรือในสินทรัพย์อื่น
เค้าคงรู้ว่ามันเสี่ยงที่จะอยู่ในธุรกิจเดียว
ถ้าเราถือตัวเดียว มั่นใจว่าเจ้าของอีกนะครับ
การถือหลายบริษัท ในหลายกลุ่ม ถ้าตลาดแย่ก็แย่กันหมด
แต่ถ้าบริษัทแย่ การถือหลายตัว จะป้องกันปัญหานี้ได้
การกระจายการถือหุ้น คือ Margin of Sefety อย่างนึง
เราลงทุนในขอบข่ายของความรู้ แต่ใช่ว่าขอบข่ายความรู้จะขยายไม่ได้
มูลค่าที่แท้จริง ไม่มีวันเป็นเลขตายตัว มันจะแปรผันไปตามปัจจัยต่างๆ
ดังนั้นมูลค่าที่แท้จริงตลอดไปไม่มีจริง เราควรติดตามปัจจัยที่กระทบสม่ำเสมอ
ไม่ได้มีธุรกิจเดียวนะครับ เค้ามีการลงทุนในบริษัทอื่นๆด้วย
อาจจะธุรกิจอื่น หรือในสินทรัพย์อื่น
เค้าคงรู้ว่ามันเสี่ยงที่จะอยู่ในธุรกิจเดียว
ถ้าเราถือตัวเดียว มั่นใจว่าเจ้าของอีกนะครับ
การถือหลายบริษัท ในหลายกลุ่ม ถ้าตลาดแย่ก็แย่กันหมด
แต่ถ้าบริษัทแย่ การถือหลายตัว จะป้องกันปัญหานี้ได้
การกระจายการถือหุ้น คือ Margin of Sefety อย่างนึง
เราลงทุนในขอบข่ายของความรู้ แต่ใช่ว่าขอบข่ายความรู้จะขยายไม่ได้
มูลค่าที่แท้จริง ไม่มีวันเป็นเลขตายตัว มันจะแปรผันไปตามปัจจัยต่างๆ
ดังนั้นมูลค่าที่แท้จริงตลอดไปไม่มีจริง เราควรติดตามปัจจัยที่กระทบสม่ำเสมอ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 4
การลงทุนของผม ผมไม่ได้ยึดติดว่าควรถือกี่ตัวครับ
แต่ผมยึดหลักว่าผมมี(เห็น)หุ้นดีๆกี่ตัวมากกว่า
บางครั้งผมมีหุ้นที่ผมว่าดีที่สุดแค่ตัวเดียว ผมก็ถือตัวเดียว
แต่วันที่ผมเห็นโอกาสหรือเห็นหุ้นดีๆใกล้เคียงกันหลายตัว ผมก็ซื้อหลายตัว
(ผมเคยถือหุ้นตัวเดียวอยู่3ปี เพราะวันนั้นผมมองไม่เห็นหุ้นตัวไหนที่น่าสนใจเท่า)
เอาเป็นว่า...
ถ้ามีหุ้นน่าสนใจหลายตัวก็ซื้อหลายตัวดีกว่าเพื่อเป็นการลดความเสี่ยง
แต่ถ้ามีน่าสนใจตัวเดียวก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปซื้ออีก3-4ตัวที่ไม่น่าสนใจ
หรือถ้าหุ้นทุกตัวไม่น่าสนใจเลย ก็มีคนเปรียบเทียบไว้ ค๊ม คมว่า...
"ส้มลูกใหญ่ที่เน่าลูกเดียว ก็มีค่าเท่ากับ ส้มลูกเล็กที่เน่า5ลูกนั่นแหละครับ"
แต่ผมยึดหลักว่าผมมี(เห็น)หุ้นดีๆกี่ตัวมากกว่า
บางครั้งผมมีหุ้นที่ผมว่าดีที่สุดแค่ตัวเดียว ผมก็ถือตัวเดียว
แต่วันที่ผมเห็นโอกาสหรือเห็นหุ้นดีๆใกล้เคียงกันหลายตัว ผมก็ซื้อหลายตัว
(ผมเคยถือหุ้นตัวเดียวอยู่3ปี เพราะวันนั้นผมมองไม่เห็นหุ้นตัวไหนที่น่าสนใจเท่า)
เอาเป็นว่า...
ถ้ามีหุ้นน่าสนใจหลายตัวก็ซื้อหลายตัวดีกว่าเพื่อเป็นการลดความเสี่ยง
แต่ถ้ามีน่าสนใจตัวเดียวก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปซื้ออีก3-4ตัวที่ไม่น่าสนใจ
หรือถ้าหุ้นทุกตัวไม่น่าสนใจเลย ก็มีคนเปรียบเทียบไว้ ค๊ม คมว่า...
"ส้มลูกใหญ่ที่เน่าลูกเดียว ก็มีค่าเท่ากับ ส้มลูกเล็กที่เน่า5ลูกนั่นแหละครับ"
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 5
อุ้ย...ขออภัยครับพี่โจครับ
พอดีตอนผมกด postreply กระทู้นี้พี่โจยังไม่ได้ตอบ
แต่พอผมโพสเสร็จผมเข้าไปดูมีโพสของพี่ก่อนหน้า ผมไม่มีเจตนาแย้งพี่น๊ะครับ
แฮ่...เกรงพี่จะเข้าใจผิดหน่ะครับ
ผมยังรักและเคารพพี่เหมือนเดิมครับ
พอดีตอนผมกด postreply กระทู้นี้พี่โจยังไม่ได้ตอบ
แต่พอผมโพสเสร็จผมเข้าไปดูมีโพสของพี่ก่อนหน้า ผมไม่มีเจตนาแย้งพี่น๊ะครับ
แฮ่...เกรงพี่จะเข้าใจผิดหน่ะครับ
ผมยังรักและเคารพพี่เหมือนเดิมครับ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 7
การที่นักลงทุนคนหนึง ถือหุ้นตัวเดียว
1.เหมือนเขาเข้าใจและอยากเป็นเจ้าของกิจการนั้น เหมือนกับนักธุรกิจประกอบการกิจการเดียว และไม่สนใจกิจการอื่น
2. ยังหากิจการอื่นๆที่ยังไม่เจอหรือ ต่อรองราคาไม่ได้เท่าที่อยากซื้อ
3. หุ้นของบริษัทที่ถือ มีกิจการย่อยๆ หลากหลาย อาจกระจายไปหลายอุตสาหกรรม
4. มั่นใจในฝีมือและผลงานของ ผบห พนักงาน ซึ่งหาบริษัทอื่นม่เปรียบเทียบไม่ได้
5.ขนาดของเงินทุนไม่ใหญ่พอที่จะกระจายเป็นเบี้ยหัวแตก
6.ต้องการรวมเงินลงทุนให้เป็นก้อนใหญ่ให้พอเป็น strategic share holder
7.etc
1.เหมือนเขาเข้าใจและอยากเป็นเจ้าของกิจการนั้น เหมือนกับนักธุรกิจประกอบการกิจการเดียว และไม่สนใจกิจการอื่น
2. ยังหากิจการอื่นๆที่ยังไม่เจอหรือ ต่อรองราคาไม่ได้เท่าที่อยากซื้อ
3. หุ้นของบริษัทที่ถือ มีกิจการย่อยๆ หลากหลาย อาจกระจายไปหลายอุตสาหกรรม
4. มั่นใจในฝีมือและผลงานของ ผบห พนักงาน ซึ่งหาบริษัทอื่นม่เปรียบเทียบไม่ได้
5.ขนาดของเงินทุนไม่ใหญ่พอที่จะกระจายเป็นเบี้ยหัวแตก
6.ต้องการรวมเงินลงทุนให้เป็นก้อนใหญ่ให้พอเป็น strategic share holder
7.etc
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 193
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 9
ต้องขอบคุณทุกท่านที่มาช่วยให้ความรู้ครับ จริง ๆ การถือหุ้นตัวเดียว ก็อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ขยันในการเสาะหาหุ้นตัวอื่น ๆ ที่มีอยู่มากมายก็ได้ครับ (ถึงแม้ในตอนแรกหุ้นเหล่านั้นที่เราไม่เสาะหาอาจจะอยู่นอก Circle of Competence ของเรา แต่ Circle of Competence ก็ขยายได้ ถ้าเราพยายามพอ)
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความคิดเห็นครับ
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความคิดเห็นครับ
- นายมานะ
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1116
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 10
ในมุมของผู้ถือหุ้นมีหลายคห.ตอบได้ดีแล้ว ผมขอตอบในมุมของผู้ประกอบการนะครับ
ผมว่าเหตุผลที่คนทำธุรกิจมักจะ"เริ่มต้น"จากธุรกิจเดียวน่าจะไม่ใช่เพราะเขาไม่กลัวความเสี่ยง แต่น่าจะมาจากเหตุผลหลักๆ ดังนี้ครับ
1. ทรัพยากรที่จำกัด ทั้งในเรื่องของเงินทุน แรงงาน ยิ่งถ้าผู้ถือหุ้นต้องเป็นผู้บริหารเองด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เรียกได้ว่าหนักกว่าพนักงานทำงานประจำอีกครับ (ใครทำธุรกิจส่วนตัวแล้วยังบริหารกิจการเบ็ดเสร็จเองอยู่น่าจะเห็นภาพนะครับ) แค่ดูแลกิจการเดียวก็ยากที่จะขยายไปทำอย่างอื่นแล้วล่ะครับ ยิ่งถ้าเป็น "กงสี" หรือ "เถ้าแก่" ที่ไม่นิยมการสร้างระบบและทรัพยากรบุคคลด้วยแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยครับ
2. ความเชี่ยวชาญหรือที่พวกเรานิยมเรียกกันว่า Circle of competence ซึ่งผมเชื่อว่าระหว่าง ความเข้าใจของการมอนิเตอร์กิจการในแบบนักลงทุน กับการปฏิบัติจริงในแบบของผู้บริหารนั้น มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควรครับ ซึ่งนอกจากในด้านของความรู้แล้ว ยังมีด้านของ Connection อีกด้วย ซึ่งทุกวันนี้ Connection และบารมีในธุรกิจมีความสำคัญไม่น้อย จนหลายๆ คนนิยมพูดกันว่า know how อาจไม่สำคัญเท่า know who แล้ว ซึ่งถ้าเถ้าแก่ในยุคก่อนเรียนรู้ที่จะสร้างธุรกิจมาค่อนชีวิต หรือเป็น generation แรกที่บุกเบิกธุรกิจแล้ว ยิ่งหาได้ยากที่จะเพิ่มความเชี่ยวชาญขององค์กรเพื่อขยายไปสู่ธุรกิจอื่นครับ ซึ่งโดยส่วนมากแล้วต้องเป็นกิจการที่ยกระดับตัวเองจนมีขนาดใหญ่ระดับหนึ่งครับ และจะนิยมขยายในรูปของ backward/forward หรือแตก product line ในกลุ่มลูกค้าเดิมมากกว่า (ซึ่งมองจากคนนอก ก็อาจเห็นว่ากิจการยังคงทำธุรกิจแค่ธุรกิจเดียวอยู่)
3. ความกล้าได้กล้าเสีย สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ แล้ว หลายๆ คนอาจจะพูดว่า ให้ตายก็คงไม่ไปทำธุรกิจเองครับ เพราะความเสี่ยงสูงกว่ามาก (เคยได้ยินไหมครับที่บอกว่าใน 100 ธุรกิจจะมีเพียง 10 ที่อยู่รอด และมีเพียง 1 ที่ Successful) อีกทั้งยังมีสภาพคล่องต่ำ ขยับตัวได้ลำบาก แถมยังต้องเหนื่อยแรงอีกด้วย เรียกว่าลงทุนในธุรกิจที่มั่นคงแล้ว แม้ว่าราคาจะมี premium บ้าง แต่ trade off กับความเสี่ยงแล้วคุ้มค่ากว่ามาก ผมขอยกตัว คุณต๊อป เถ้าแก่น้อยครับ ตัวคุณต๊อปเองแกยังมองว่าตัวเองตอนเริ่มทำธุรกิจเกาลัดและสาหร่ายนั้นแก "รู้น้อยมาก" ซึ่งความรู้น้อยนี้กลับเป็นผลดีที่ทำให้แกกล้าเสี่ยงและสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ซึ่งถ้าคุณต๊อปเรียนสูงกว่านี้ หรือประเมินความเสี่ยงได้เก่งอย่างตอนนี้แกอาจจะไม่กล้าทำในสิ่งที่แกได้ทำไปแล้วอย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้
4. ทัศนะในเชิงมหภาค ผู้ประกอบการในอดีตส่วนมากจะมาจาก "มวยวัด" ครับ ไม่เหมือนผู้บริหารสมัยนี้ ส่วนมากจะเรียนน้อยไปจนถึงไม่ได้เรียนหนังสือเลย อาศัยความขยัน ซื่อสัตย์ และประสบการณ์ หล่อหลอมธุรกิจเรื่อยมาครับ เพราะฉะนั้นมุมมองในเชิงมหภาค การวิเคราะห์เศรษฐกิจ หรือความเสี่ยงที่ขจัดได้จากการขยายธุรกิจนั้น อาจจะไม่ได้มีอยู่ในสารระบบความคิดของเถ้าแก่บางคนก็เป็นได้ครับ
ผมว่าทั้งข้อจำกัดทั้งหมดนี้ โดยเฉพาะข้อแรกนั้นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลายๆ ธุรกิจ ไม่ได้ขยายไปอย่างที่ใจ "เถ้าแก่" ซึ่งเป็น "ผู้ถือหุ้นใหญ่" ฝันครับ
ผมว่าเหตุผลที่คนทำธุรกิจมักจะ"เริ่มต้น"จากธุรกิจเดียวน่าจะไม่ใช่เพราะเขาไม่กลัวความเสี่ยง แต่น่าจะมาจากเหตุผลหลักๆ ดังนี้ครับ
1. ทรัพยากรที่จำกัด ทั้งในเรื่องของเงินทุน แรงงาน ยิ่งถ้าผู้ถือหุ้นต้องเป็นผู้บริหารเองด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เรียกได้ว่าหนักกว่าพนักงานทำงานประจำอีกครับ (ใครทำธุรกิจส่วนตัวแล้วยังบริหารกิจการเบ็ดเสร็จเองอยู่น่าจะเห็นภาพนะครับ) แค่ดูแลกิจการเดียวก็ยากที่จะขยายไปทำอย่างอื่นแล้วล่ะครับ ยิ่งถ้าเป็น "กงสี" หรือ "เถ้าแก่" ที่ไม่นิยมการสร้างระบบและทรัพยากรบุคคลด้วยแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยครับ
2. ความเชี่ยวชาญหรือที่พวกเรานิยมเรียกกันว่า Circle of competence ซึ่งผมเชื่อว่าระหว่าง ความเข้าใจของการมอนิเตอร์กิจการในแบบนักลงทุน กับการปฏิบัติจริงในแบบของผู้บริหารนั้น มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควรครับ ซึ่งนอกจากในด้านของความรู้แล้ว ยังมีด้านของ Connection อีกด้วย ซึ่งทุกวันนี้ Connection และบารมีในธุรกิจมีความสำคัญไม่น้อย จนหลายๆ คนนิยมพูดกันว่า know how อาจไม่สำคัญเท่า know who แล้ว ซึ่งถ้าเถ้าแก่ในยุคก่อนเรียนรู้ที่จะสร้างธุรกิจมาค่อนชีวิต หรือเป็น generation แรกที่บุกเบิกธุรกิจแล้ว ยิ่งหาได้ยากที่จะเพิ่มความเชี่ยวชาญขององค์กรเพื่อขยายไปสู่ธุรกิจอื่นครับ ซึ่งโดยส่วนมากแล้วต้องเป็นกิจการที่ยกระดับตัวเองจนมีขนาดใหญ่ระดับหนึ่งครับ และจะนิยมขยายในรูปของ backward/forward หรือแตก product line ในกลุ่มลูกค้าเดิมมากกว่า (ซึ่งมองจากคนนอก ก็อาจเห็นว่ากิจการยังคงทำธุรกิจแค่ธุรกิจเดียวอยู่)
3. ความกล้าได้กล้าเสีย สำหรับนักลงทุนอย่างเราๆ แล้ว หลายๆ คนอาจจะพูดว่า ให้ตายก็คงไม่ไปทำธุรกิจเองครับ เพราะความเสี่ยงสูงกว่ามาก (เคยได้ยินไหมครับที่บอกว่าใน 100 ธุรกิจจะมีเพียง 10 ที่อยู่รอด และมีเพียง 1 ที่ Successful) อีกทั้งยังมีสภาพคล่องต่ำ ขยับตัวได้ลำบาก แถมยังต้องเหนื่อยแรงอีกด้วย เรียกว่าลงทุนในธุรกิจที่มั่นคงแล้ว แม้ว่าราคาจะมี premium บ้าง แต่ trade off กับความเสี่ยงแล้วคุ้มค่ากว่ามาก ผมขอยกตัว คุณต๊อป เถ้าแก่น้อยครับ ตัวคุณต๊อปเองแกยังมองว่าตัวเองตอนเริ่มทำธุรกิจเกาลัดและสาหร่ายนั้นแก "รู้น้อยมาก" ซึ่งความรู้น้อยนี้กลับเป็นผลดีที่ทำให้แกกล้าเสี่ยงและสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ซึ่งถ้าคุณต๊อปเรียนสูงกว่านี้ หรือประเมินความเสี่ยงได้เก่งอย่างตอนนี้แกอาจจะไม่กล้าทำในสิ่งที่แกได้ทำไปแล้วอย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้
4. ทัศนะในเชิงมหภาค ผู้ประกอบการในอดีตส่วนมากจะมาจาก "มวยวัด" ครับ ไม่เหมือนผู้บริหารสมัยนี้ ส่วนมากจะเรียนน้อยไปจนถึงไม่ได้เรียนหนังสือเลย อาศัยความขยัน ซื่อสัตย์ และประสบการณ์ หล่อหลอมธุรกิจเรื่อยมาครับ เพราะฉะนั้นมุมมองในเชิงมหภาค การวิเคราะห์เศรษฐกิจ หรือความเสี่ยงที่ขจัดได้จากการขยายธุรกิจนั้น อาจจะไม่ได้มีอยู่ในสารระบบความคิดของเถ้าแก่บางคนก็เป็นได้ครับ
ผมว่าทั้งข้อจำกัดทั้งหมดนี้ โดยเฉพาะข้อแรกนั้นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลายๆ ธุรกิจ ไม่ได้ขยายไปอย่างที่ใจ "เถ้าแก่" ซึ่งเป็น "ผู้ถือหุ้นใหญ่" ฝันครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 11
ตามที่ผมเคยอ่านหนังสือมา(จำไม่ได้แล้วครับว่าเล่มไหน แต่น่าจะเป็นปีเตอร์ ลินซ์)
เขาเขียนไว้ว่า ถือเท่าที่เราสามารถติดตามหุ้นเหล่านั้นได้ครับ ถ้าถือมากๆแล้วเราติดตามหุ้น
ไม่ได้ทุกตัวอันนี้จะแย่ครับ
ส่วนการถือตัวเดียวหรือ 3-4 ตัวเพื่อกระจายความเสี่ยงนั้นผมมองว่าเป็นการบริหารของ
แต่ละคนมากกว่านะครับบางคนมั่นใจ บางคนไม่มั่นใจ บางคนมีแผนสำรองไว้แล้วจากการถือตัวเดียว
บางคนถือตัวนี้ไว้เอาปันผล ตัวนั้นมองเรื่องการเติบโตในอนาคต ตัวนู้นหวังเทิร์นอะลาว ฯลฯ
ผมเลยมองว่าขึ้นอยู่กับแผนการ เป้าหมาย ของแต่ละบุคคลครับ เพียงแต่อย่าถือมากเกินไปจนติดตามหุ้น
ไม่ไหวดังที่กล่าวข้างต้น
ส่วนเรื่องทำธุรกิจเอง ถ้าเท่าที่เราเห็นจะเห้นว่าเขาทำธุรกิจเดียว แต่ข้างหลังเราไม่รู้ครับ เพราะการทำธุรกิจ
เพียงถือหุ้นในอีกบริษัทนึง แล้วไปเป็นเพียงที่ปรึกษาก็ถือว่าทำธุรกิจแล้วครับ
อ้อ มีพี่ขายข้าวมันไก่แถวบ้านผม ตอนเช้าถึงเที่ยงขายข้าวมันไก่ พอบ่ายถึงเย็นสวมเสื้อวิน
ขับรถมอไซด์ด้วยครับ...^^)
เขาเขียนไว้ว่า ถือเท่าที่เราสามารถติดตามหุ้นเหล่านั้นได้ครับ ถ้าถือมากๆแล้วเราติดตามหุ้น
ไม่ได้ทุกตัวอันนี้จะแย่ครับ
ส่วนการถือตัวเดียวหรือ 3-4 ตัวเพื่อกระจายความเสี่ยงนั้นผมมองว่าเป็นการบริหารของ
แต่ละคนมากกว่านะครับบางคนมั่นใจ บางคนไม่มั่นใจ บางคนมีแผนสำรองไว้แล้วจากการถือตัวเดียว
บางคนถือตัวนี้ไว้เอาปันผล ตัวนั้นมองเรื่องการเติบโตในอนาคต ตัวนู้นหวังเทิร์นอะลาว ฯลฯ
ผมเลยมองว่าขึ้นอยู่กับแผนการ เป้าหมาย ของแต่ละบุคคลครับ เพียงแต่อย่าถือมากเกินไปจนติดตามหุ้น
ไม่ไหวดังที่กล่าวข้างต้น
ส่วนเรื่องทำธุรกิจเอง ถ้าเท่าที่เราเห็นจะเห้นว่าเขาทำธุรกิจเดียว แต่ข้างหลังเราไม่รู้ครับ เพราะการทำธุรกิจ
เพียงถือหุ้นในอีกบริษัทนึง แล้วไปเป็นเพียงที่ปรึกษาก็ถือว่าทำธุรกิจแล้วครับ
อ้อ มีพี่ขายข้าวมันไก่แถวบ้านผม ตอนเช้าถึงเที่ยงขายข้าวมันไก่ พอบ่ายถึงเย็นสวมเสื้อวิน
ขับรถมอไซด์ด้วยครับ...^^)
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 193
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 12
มีการเปรียบเทียบว่าอย่าใส่ไข่ในตระกร้าใบเดียว แต่ในทางปฏิบัติ การใส่ไข่ในตระกร้าใบเดียว อาจจะทำให้เราระมัดระวังไข่ในตระกร้าใบนั้น ได้ดีกว่าไข่ที่กระจายใส่ในตระกร้าหลาย ๆ ใบ จนกระทั่งดูได้ไม่ทั่วถึงนะครับ เป็นอีกมุมมองหนึ่งครับ (ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับนักลงทุนเช่นกันว่าสามารถดูแลตระกร้าได้กี่ใบ)
- canuseeme
- Verified User
- โพสต์: 302
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 14
ผมมีเพื่อน ถือตัวเดียวครับ คุยกันครั้งแรกก็ตกใจทำไมบู๊ จัง
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ พอร์มเขา จะโตไวมาก
แต่จะมีข้อเสียตรง ตกไวมากเช่นกัน
และเพื่อนคนนี้เน้นกิน Cap gain ทำให้ต้องมองหาตัวใหม่เสมอ
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ พอร์มเขา จะโตไวมาก
แต่จะมีข้อเสียตรง ตกไวมากเช่นกัน
และเพื่อนคนนี้เน้นกิน Cap gain ทำให้ต้องมองหาตัวใหม่เสมอ
ปัญญาไม่มีในผู้ไม่พิจารณา
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
There is no fate but what we make
https://www.facebook.com/pages/คัดหุ้นซวย
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 15
การถือกี่ตัวนั้น เกิดจากที่เราหา mos ของหุ้นแต่ละตัวมากน้อยแค่ไหน
การที่จะถือ 5ตัว แสดงว่า mos จะต้องเท่าๆกัน เช่น หุ้น 5ตัว มี mos ตัวละ 30% เป็นต้น
ฉะนั้นการถือหุ้นตัวเดียวมันก็เป็นเหมือนการตีแตก หุ้นตัวนี้จะต้องมี mos ที่สูงมากๆๆๆๆ และคาดว่าผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว
การที่จะถือ 5ตัว แสดงว่า mos จะต้องเท่าๆกัน เช่น หุ้น 5ตัว มี mos ตัวละ 30% เป็นต้น
ฉะนั้นการถือหุ้นตัวเดียวมันก็เป็นเหมือนการตีแตก หุ้นตัวนี้จะต้องมี mos ที่สูงมากๆๆๆๆ และคาดว่าผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว
- atsu
- Verified User
- โพสต์: 1218
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 16
จำได้ว่าเรื่องจำนวนหุ้นที่ถือนี่น่าจะมีการถกกันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วครับ
ก็มีทั้งฝ่ายที่บอกว่าถ้าเราเจอหุ้นที่อัพไซด์เป็น 100%แล้ว ทำไมต้องไปซื้อตัวอื่นที่อัพไซด์แค่ 50%อีก
แถมถือตัวเดียวตามง่ายอีก รู้จริงในหุ้นตัวนั้นอีก
อีกฝ่ายก็บอกว่าถือตัวเดียวหรือ2ตัวเสี่ยงไป จะรู้ได้ไงว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้วิเคราะห์อย่างดีทุกด้านแล้ว
ถ้าเกิดเหตุการณ์ black swan ขึ้นมาถึงกับหมดตัวเลยนะ
สุดท้ายแล้วผมว่าคงขึ้นอยู่กับจริตของเราอ่ะครับว่าชอบแบบไหน ทำแบบไหนแล้วสบายใจ
ถ้าพี่ขี้กลัว(แบบผม)แล้วดันอยากเร่งผลตอบแทนเร็วๆด้วยการถือตัวเดียว พี่คงนอนไม่ค่อยหลับ ตอนหุ้นราคาตกก็จะหลอนไปต่างๆนานาว่าเกิดอะไรขึ้นกับหุ้นเรารึเปล่า
ถ้าพี่ไม่ค่อยกลัวอะไรมากชอบความตื่นเต้นเร้าใจ แต่ดันไปกระจายหุ้นไว้ซัก 6-8 ตัว พอหุ้นบางตัวในพอร์ทที่พี่คิดว่าอัพไซด์เยอะสุดวิ่ง แล้วตัวอื่นดันนิ่งๆ พี่ก็คงอึดอัดหาวเรออีกว่า กรูไม่น่ากระจายพอร์ทเลย กำไรน้อยเลย
ส่วนผมปกติจะขี้กลัวครับ เลยชอบกระจายการถือโดยบางช่วงมีหุ้นที่ชอบน้อยก็ถือ3-5ตัว ถ้าช่วงไหนเจอหุ้นน่าถือเต็มไปหมดก็จะถือประมาณ 6-8 ตัวครับ
ก็มีทั้งฝ่ายที่บอกว่าถ้าเราเจอหุ้นที่อัพไซด์เป็น 100%แล้ว ทำไมต้องไปซื้อตัวอื่นที่อัพไซด์แค่ 50%อีก
แถมถือตัวเดียวตามง่ายอีก รู้จริงในหุ้นตัวนั้นอีก
อีกฝ่ายก็บอกว่าถือตัวเดียวหรือ2ตัวเสี่ยงไป จะรู้ได้ไงว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้วิเคราะห์อย่างดีทุกด้านแล้ว
ถ้าเกิดเหตุการณ์ black swan ขึ้นมาถึงกับหมดตัวเลยนะ
สุดท้ายแล้วผมว่าคงขึ้นอยู่กับจริตของเราอ่ะครับว่าชอบแบบไหน ทำแบบไหนแล้วสบายใจ
ถ้าพี่ขี้กลัว(แบบผม)แล้วดันอยากเร่งผลตอบแทนเร็วๆด้วยการถือตัวเดียว พี่คงนอนไม่ค่อยหลับ ตอนหุ้นราคาตกก็จะหลอนไปต่างๆนานาว่าเกิดอะไรขึ้นกับหุ้นเรารึเปล่า
ถ้าพี่ไม่ค่อยกลัวอะไรมากชอบความตื่นเต้นเร้าใจ แต่ดันไปกระจายหุ้นไว้ซัก 6-8 ตัว พอหุ้นบางตัวในพอร์ทที่พี่คิดว่าอัพไซด์เยอะสุดวิ่ง แล้วตัวอื่นดันนิ่งๆ พี่ก็คงอึดอัดหาวเรออีกว่า กรูไม่น่ากระจายพอร์ทเลย กำไรน้อยเลย
ส่วนผมปกติจะขี้กลัวครับ เลยชอบกระจายการถือโดยบางช่วงมีหุ้นที่ชอบน้อยก็ถือ3-5ตัว ถ้าช่วงไหนเจอหุ้นน่าถือเต็มไปหมดก็จะถือประมาณ 6-8 ตัวครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 81
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 18
แนวทางที่ผมทำนะครับ 10 ตัว ตัวละ10% (ดูลักษณะหุ้น เติบโต 5 แข็งแกร่ง 3 วัฐจักร 2) ถ้าเป็นไปตามที่คาดหวัง มีหนึ่งบริษัทได้ 10 เด้ง ที่เหลือ 9 บริษัท คือกำไร แต่ข้อเสียคือผลตอบแทนอาจจะได้ไม่มาก สำคัญคือ เวลาในการลงทุน เงินเย็น ยิ่งนานยิ่งดี ลงทุนแบบความรู้น้อยครับ......
อย่า! ตัดสินคนที่ราคา แต่จงดูที่ ค่าของคน...
-
- Verified User
- โพสต์: 217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 19
ผมว่าขนาดพอร์ท มีส่วนกับจำนวนหุ้นที่ถือด้วย ตอนพอร์ทหุ้นเล็กๆ เทียบกับรายได้ประจำ และสินทรัพย์ เราจะกล้าถือหุ้นน้อยตัว แต่เมื่อพอร์ทโตขึ้นไปเยอะ เป็นทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเรา ส่วนตัวผมเองก็ไม่กล้าถือตัวเดียวครับ
Freedom
- kissme
- Verified User
- โพสต์: 1237
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 20
ความเห็นส่วนตัวนะครับ จากประสบการณ์ตรงเลย
จะตีแตก แตกฉานบรรลุวิชา vi แค่ไหนก็ตาม ไม่ควรทำเด็ดขาด
ควรกระจายความเสี่ยง มั่นใจสุดๆ ก็เต็มที่ 30% พอ
เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอในโลกธุรกิจ และตลาดหุ้น
อย่าลืมอย่างนึง เราเป็นแค่นักลงทุน เราไม่ได้มีอำนาจบริหาร
กรณี คลาสลิคก็ cpall กำไรโตต่อเนื่องทุกปี และทุกคนเห็นเหมือนกันหมด
ธุรกิจแข็งแกร่ง เป็นเบอร์ 1 เป้าขยายปีละ 500 สาขา คำนวนได้เป๊ะๆ โตปีละเท่าไร
จ่ายปันผล 100% จ่ายหุ้นปันผลอีก 1:1 ทุกอย่างสวยหรู
อยู่ๆ วันหนึ่ง ประกาศซื้อ makro นักลงทุนช็อคเทขายหุ้นกังวลหนี้ก้อนโต
ปู่บัฟเฟต ท่านเก่งขนาดนั้น ท่านยังเคยพลาด การกระจายความเสี่ยงผมว่าสำคัญมากกว่า
การเติบโตของพอร์ทนะครับ
จะตีแตก แตกฉานบรรลุวิชา vi แค่ไหนก็ตาม ไม่ควรทำเด็ดขาด
ควรกระจายความเสี่ยง มั่นใจสุดๆ ก็เต็มที่ 30% พอ
เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอในโลกธุรกิจ และตลาดหุ้น
อย่าลืมอย่างนึง เราเป็นแค่นักลงทุน เราไม่ได้มีอำนาจบริหาร
กรณี คลาสลิคก็ cpall กำไรโตต่อเนื่องทุกปี และทุกคนเห็นเหมือนกันหมด
ธุรกิจแข็งแกร่ง เป็นเบอร์ 1 เป้าขยายปีละ 500 สาขา คำนวนได้เป๊ะๆ โตปีละเท่าไร
จ่ายปันผล 100% จ่ายหุ้นปันผลอีก 1:1 ทุกอย่างสวยหรู
อยู่ๆ วันหนึ่ง ประกาศซื้อ makro นักลงทุนช็อคเทขายหุ้นกังวลหนี้ก้อนโต
ปู่บัฟเฟต ท่านเก่งขนาดนั้น ท่านยังเคยพลาด การกระจายความเสี่ยงผมว่าสำคัญมากกว่า
การเติบโตของพอร์ทนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 483
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จำนวนหุ้นที่ถือของ VI
โพสต์ที่ 21
คนที่ถือหุ้นตัวเดียว มีหลายแบบ
1. โลภ ถือหลายตัวกำไรมันได้น้อย
2. หาหุ้นตัวอื่นไม่ได้จริงๆ หรือ ยังไม่ถึงราคาที่ควรซื้อ
3. ต้องการถือตัวเดียวจริงๆ เพราะมั่นใจว่าเลือกมาดีแล้ว
4. ทุนน้อย
5. ถือหุ้นตามเซียน เซียนที่ชอบถือตัวเดียว
6. หลงตัวเอง คิดว่าสิ่งที่ตัวเองวิเคราะห์จะไม่มีวันผิดพลาด
ฯลฯ
1. โลภ ถือหลายตัวกำไรมันได้น้อย
2. หาหุ้นตัวอื่นไม่ได้จริงๆ หรือ ยังไม่ถึงราคาที่ควรซื้อ
3. ต้องการถือตัวเดียวจริงๆ เพราะมั่นใจว่าเลือกมาดีแล้ว
4. ทุนน้อย
5. ถือหุ้นตามเซียน เซียนที่ชอบถือตัวเดียว
6. หลงตัวเอง คิดว่าสิ่งที่ตัวเองวิเคราะห์จะไม่มีวันผิดพลาด
ฯลฯ