เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
- นายมานะ
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1116
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 121
ผมว่าที่หลายๆ ท่านชื่นชมคุณนุช (แม่น้องธีร์) ไม่ใช่ว่าเพราะเรื่องความรู้ในหัว หรือความคิดวิเคราะห์เท่านั้นครับ และเชื่อว่าหลายๆ ท่านที่อาจประสบความสำเร็จมากกว่าคุณนุชก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม เพราะคุณนุชมี"อุปนิสัยของนักลงทุนคุณค่า" อย่างแท้จริงครับ เท่าที่ตามอ่านที่คุณนุชเล่า คุณนุชเป็นคนที่มองเห็น"คุณค่า"ของหลายๆ สิ่งได้มากกว่าคนทั่วไป ทั้งยังนำทรัพยากรมาใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงมากๆ
และนอกจากนี้เรื่องที่ผมว่าคุณนุชเก่งอีกเรื่องคือความคิดในเชิงบูรณาการ (integrated) ครับ คือคุณนุชจับแง่คิดของเรื่องนู้น เข้ามาจับใช้กับเรื่องนี้ ได้อย่างสนุกและน่าสนใจมากครับ (และผมเชื่อว่าพี่นุชก็น่าจะสนุกกับการเล่าเรื่องให้พวกเราฟังนะครับ ^^) อ่านเรื่องที่คุณนุชเล่าแล้วก็ยังได้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตใหม่ๆ อยู่เสมอ นอกจากจะให้แง่คิดในเรื่องการลงทุนแล้ว ยังให้แง่คิดในเรื่องของการปรับมุมมอง ปรับทัศนคติ ให้มองโลกบวกได้เป็นอย่างดีเลยครับ
สุดท้ายนี้คงจะขยันอ่าน และขยันแบ่งไปให้แฟนอ่านครับ เผื่อว่าวันหนึ่งได้สร้างครอบครัว ก็อย่างจะนำวิธีการใช้ชีวิตของคุณนุชเป็นแนวทางในการใช้ชีวิตและสอนลูกหลานครับ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการแบ่งปันแง่คิดดีๆ เสมอมานะครับ ^^
และนอกจากนี้เรื่องที่ผมว่าคุณนุชเก่งอีกเรื่องคือความคิดในเชิงบูรณาการ (integrated) ครับ คือคุณนุชจับแง่คิดของเรื่องนู้น เข้ามาจับใช้กับเรื่องนี้ ได้อย่างสนุกและน่าสนใจมากครับ (และผมเชื่อว่าพี่นุชก็น่าจะสนุกกับการเล่าเรื่องให้พวกเราฟังนะครับ ^^) อ่านเรื่องที่คุณนุชเล่าแล้วก็ยังได้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตใหม่ๆ อยู่เสมอ นอกจากจะให้แง่คิดในเรื่องการลงทุนแล้ว ยังให้แง่คิดในเรื่องของการปรับมุมมอง ปรับทัศนคติ ให้มองโลกบวกได้เป็นอย่างดีเลยครับ
สุดท้ายนี้คงจะขยันอ่าน และขยันแบ่งไปให้แฟนอ่านครับ เผื่อว่าวันหนึ่งได้สร้างครอบครัว ก็อย่างจะนำวิธีการใช้ชีวิตของคุณนุชเป็นแนวทางในการใช้ชีวิตและสอนลูกหลานครับ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการแบ่งปันแง่คิดดีๆ เสมอมานะครับ ^^
-
- Verified User
- โพสต์: 155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 122
ขอบคุณพี่นุชมากครับ ผมอ่านบทความของพี่นุชแล้วรู้สึกว่าพี่เป็นคนที่มหัศจรรย์มาก
เป็นกำลังใจและรอติดตามบทความอย่างใกล้ชิดครับ
เป็นกำลังใจและรอติดตามบทความอย่างใกล้ชิดครับ
สโลแกน ลงทุนอย่างมีความสุข
ลงทุนเหมือนร่วมทำธุรกิจกับเพื่อน แล้วคุณจะสนใจทั้งธุรกิจและผู้บริหาร
ฟัง Oppday ทาง Website http://www.dcs-digital.com/setweb/index.php
ลงทุนเหมือนร่วมทำธุรกิจกับเพื่อน แล้วคุณจะสนใจทั้งธุรกิจและผู้บริหาร
ฟัง Oppday ทาง Website http://www.dcs-digital.com/setweb/index.php
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 123
ขอบคุณทุกๆ ท่านที่แวะมาอ่านและทักทาย
หลายๆ ท่านก็ชื่นชม และให้คะแนน...ขอบคุณทั้งหมดเลยค่ะ
เกรงใจทาง web ThaiVI เหมือนกันว่า
เราชักจะพาออกทะเลไปไหนแล้วหรือเปล่า?
จะไปทำบล็อกเองก็ทำไม่เป็น
และไม่ทราบว่าจะมีอะไรที่เป็นประโยชน์มาเล่าอีกนานไหม
ช่วงนี้ลูกปิดเทอม และมีผู้ใหญ่ใจดีกรุณาพาไป "อุตลุตทั่วไทย" อยู่
เลยพอมีเวลาแวะมาเป็นผู้ให้เสียบ้าง
...............................................
มาเล่าแต่เรื่องที่ดีๆ.....อาจมีคนสงสัยว่า
เอ๊ะ....แล้วมีเรื่องที่พลาดๆ หรือช่วงที่คิดไม่ได้....ในชีวิตบ้างหรือไม่?
ขอบอกว่ามีค่ะ....มันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ซะด้วย
ที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตของครอบครัวตอนที่เตี่ยกับแม่ใกล้จะแยกทางกัน
และต่อเนื่องหลังจากนั้นมาอีกพักใหญ่ (ตอนนั้นยังไม่ได้เจอคู่ชีวิตเลย)
..................................................
เกือบเอาชีวิตไม่รอด.....(นึกถึงทีไร...ก็น้ำตาซึม)
ช่วงที่ลุ้นอยู่ว่า...จะอยู่ต่อได้หรือไม่นั้น (แน่นอนว่า....อยู่ในโรงพยาบาล)
เป็นช่วงเวลาสำคัญที่มีการ "ตกผลึก" ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต
หลังจากรอดมาได้ก็รู้สึกขอบคุณเหตุการณ์นั้นเหมือนกัน
เพราะเราได้เอาสิ่งที่ "ตกผลึก" ในช่วงวิกฤตมาใช้กับชีวิตในช่วงต่อมาได้มาก
นี่อาจเป็นเหตุนึงที่รู้สึกว่า...ถ้าเรื่องราวการใช้ชีวิตของเรา
พอจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้บ้างก็ยินดีแบ่งปันค่ะ
และก็อยากจะเป็นกำลังใจให้สำหรับผู้ที่กำลังมีวิกฤตต่างๆในชีวิตด้วย
มาถึงวันนี้มองย้อนกลับไป...
เห็นตัวเองเดินเท้าเปล่าบนถนนหนทางที่แสนขรุขระ...
ผ่านทุ่งนาที่แห้งแล้งและแสนจะเปล่าเปลี่ยว....คนเดียว
ทิ้งแผลเป็นไว้เต็มไปหมด....ไว้เป็นเครื่องเตือนใจให้สู้
แต่วันนี้....(การลงทุนแนว VI) ทำให้เราสามารถสร้างทางเดินเองได้แล้ว...
ปลูกต้นไม้เต็มสองข้างทาง...เหมือนเดินลอดอุโมงค์ต้นไม้เลยทีเดียว
และตอนนี้...มีรองเท้าใส่แล้ว
อยากจะให้กำลังใจแก่ผู้อื่นที่อาจจะอยู่ในช่วงวิกฤตของชีวิต
ว่า....ถ้าชีวิตในวันนี้...มันมืดมนหนทางเสียเหลือเกิน
ก็ขอให้ดูเราเป็นตัวอย่างก็ได้นะ....
ถ้าเรา (บังเอิญ) เราผ่านมาไม่ได้.....
ถ้าไม่ตัดสินใจก้าวข้ามช่วงเวลาที่แย่ที่สุดนั้นมา.....
(ตัดสินใจว่าจะร่วมมือในแผนการรักษาหรือไม่)
ป่านนี้คงไม่มีโอกาสพบเจอกับชีวิตที่ดี....อย่างทุกวันนี้หรอกค่ะ
และอยากฝากถึงคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ว่า...เวลามีเรื่องบาดหมางใจใดๆ กัน
โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ.....พยายามเคลียร์กันตอนอยู่ 2 คนก็ดีนะคะ
เชื่อแน่ว่ามีเด็ก (โดยเฉพาะวัยรุ่น) ที่มีจุดหักเหในชีวิต
จากเรื่องพวกนี้...จำนวนมากพอสมควร
ที่กำลังตัดสินใจจะ....?....?.....?....?......
..........................................
จบก่อนดีกว่า....เดี๋ยวบรรยากาศจะเศร้าเกินไป
หลายๆ ท่านก็ชื่นชม และให้คะแนน...ขอบคุณทั้งหมดเลยค่ะ
เกรงใจทาง web ThaiVI เหมือนกันว่า
เราชักจะพาออกทะเลไปไหนแล้วหรือเปล่า?
จะไปทำบล็อกเองก็ทำไม่เป็น
และไม่ทราบว่าจะมีอะไรที่เป็นประโยชน์มาเล่าอีกนานไหม
ช่วงนี้ลูกปิดเทอม และมีผู้ใหญ่ใจดีกรุณาพาไป "อุตลุตทั่วไทย" อยู่
เลยพอมีเวลาแวะมาเป็นผู้ให้เสียบ้าง
...............................................
มาเล่าแต่เรื่องที่ดีๆ.....อาจมีคนสงสัยว่า
เอ๊ะ....แล้วมีเรื่องที่พลาดๆ หรือช่วงที่คิดไม่ได้....ในชีวิตบ้างหรือไม่?
ขอบอกว่ามีค่ะ....มันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ซะด้วย
ที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตของครอบครัวตอนที่เตี่ยกับแม่ใกล้จะแยกทางกัน
และต่อเนื่องหลังจากนั้นมาอีกพักใหญ่ (ตอนนั้นยังไม่ได้เจอคู่ชีวิตเลย)
..................................................
เกือบเอาชีวิตไม่รอด.....(นึกถึงทีไร...ก็น้ำตาซึม)
ช่วงที่ลุ้นอยู่ว่า...จะอยู่ต่อได้หรือไม่นั้น (แน่นอนว่า....อยู่ในโรงพยาบาล)
เป็นช่วงเวลาสำคัญที่มีการ "ตกผลึก" ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต
หลังจากรอดมาได้ก็รู้สึกขอบคุณเหตุการณ์นั้นเหมือนกัน
เพราะเราได้เอาสิ่งที่ "ตกผลึก" ในช่วงวิกฤตมาใช้กับชีวิตในช่วงต่อมาได้มาก
นี่อาจเป็นเหตุนึงที่รู้สึกว่า...ถ้าเรื่องราวการใช้ชีวิตของเรา
พอจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้บ้างก็ยินดีแบ่งปันค่ะ
และก็อยากจะเป็นกำลังใจให้สำหรับผู้ที่กำลังมีวิกฤตต่างๆในชีวิตด้วย
มาถึงวันนี้มองย้อนกลับไป...
เห็นตัวเองเดินเท้าเปล่าบนถนนหนทางที่แสนขรุขระ...
ผ่านทุ่งนาที่แห้งแล้งและแสนจะเปล่าเปลี่ยว....คนเดียว
ทิ้งแผลเป็นไว้เต็มไปหมด....ไว้เป็นเครื่องเตือนใจให้สู้
แต่วันนี้....(การลงทุนแนว VI) ทำให้เราสามารถสร้างทางเดินเองได้แล้ว...
ปลูกต้นไม้เต็มสองข้างทาง...เหมือนเดินลอดอุโมงค์ต้นไม้เลยทีเดียว
และตอนนี้...มีรองเท้าใส่แล้ว
อยากจะให้กำลังใจแก่ผู้อื่นที่อาจจะอยู่ในช่วงวิกฤตของชีวิต
ว่า....ถ้าชีวิตในวันนี้...มันมืดมนหนทางเสียเหลือเกิน
ก็ขอให้ดูเราเป็นตัวอย่างก็ได้นะ....
ถ้าเรา (บังเอิญ) เราผ่านมาไม่ได้.....
ถ้าไม่ตัดสินใจก้าวข้ามช่วงเวลาที่แย่ที่สุดนั้นมา.....
(ตัดสินใจว่าจะร่วมมือในแผนการรักษาหรือไม่)
ป่านนี้คงไม่มีโอกาสพบเจอกับชีวิตที่ดี....อย่างทุกวันนี้หรอกค่ะ
และอยากฝากถึงคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ว่า...เวลามีเรื่องบาดหมางใจใดๆ กัน
โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ.....พยายามเคลียร์กันตอนอยู่ 2 คนก็ดีนะคะ
เชื่อแน่ว่ามีเด็ก (โดยเฉพาะวัยรุ่น) ที่มีจุดหักเหในชีวิต
จากเรื่องพวกนี้...จำนวนมากพอสมควร
ที่กำลังตัดสินใจจะ....?....?.....?....?......
..........................................
จบก่อนดีกว่า....เดี๋ยวบรรยากาศจะเศร้าเกินไป
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 124
ลืมสรุป....
ชีวิตที่ขาดเป้าหมายเป็นชีวิตที่ไร้ทิศทางมาก
พอเจอเรื่องร้ายๆ อะไรมันจะทำให้เราไม่สู้
ตรงข้ามถ้าชีวิตเรามีเป้าหมาย
ต่อให้เจอปัญหาอะไรมากมากมายเราก็จะสู้
พอมีชีวิตคู่ที่ดีมีเป้าหมายร่วมกันยิ่งพลังมากขึ้นไปอีก
สำหรับคนมีลูก อย่าลืมกระตุ้นให้ลูกมีเป้าหมายในชีวิตบ้างนะคะ
เป้ามายของลูกเองนะ...ไม่ใช่เป้าหมายของเรา
การมีเป้าหมายเปรียบได้กับการมี "ภาพใหญ่" ตามบทความของ อาจารย์ ดร.นิเวศน์
หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้"
ในมุมมองของเรา. เราเห็นด้วยอย่างยิ่ง
เพราะจิตนาการสำคัญต่อการมอง "ภาพใหญ่"
ถ้ากล่าวในมุมภาพใหญ่ของชีวิต ถ้าเรามีภาพใหญ่ที่ชัดเจน
เราจะรู้ว่าการเดินทางจากจุดที่เรายืนอยู่ไปสู่ภาพใหญ่นั้นไกลแค่ไหน
และขั้ตอนในการสร้างสะพานเชื่อมไปสู่นั่นแหละที่ต้องใช้ความรู้
และวิธีการเก็บเกี่ยวความรู้ก็สำคัญแม้แพ้ตัวความรู้
แต่สำคัญที่สุดคือระหว่างเดินทางต้องมีแรงจูงใจ และกำลังใจที่มากพอ
กำลังใจที่ดีที่สุดน่าจะมาจากตัวเอง จะมีได้ต้องมี "ภาพใหญ่" ที่ชัดเจนอีกนั่นแหละค่ะ
ชีวิตที่ขาดเป้าหมายเป็นชีวิตที่ไร้ทิศทางมาก
พอเจอเรื่องร้ายๆ อะไรมันจะทำให้เราไม่สู้
ตรงข้ามถ้าชีวิตเรามีเป้าหมาย
ต่อให้เจอปัญหาอะไรมากมากมายเราก็จะสู้
พอมีชีวิตคู่ที่ดีมีเป้าหมายร่วมกันยิ่งพลังมากขึ้นไปอีก
สำหรับคนมีลูก อย่าลืมกระตุ้นให้ลูกมีเป้าหมายในชีวิตบ้างนะคะ
เป้ามายของลูกเองนะ...ไม่ใช่เป้าหมายของเรา
การมีเป้าหมายเปรียบได้กับการมี "ภาพใหญ่" ตามบทความของ อาจารย์ ดร.นิเวศน์
หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้"
ในมุมมองของเรา. เราเห็นด้วยอย่างยิ่ง
เพราะจิตนาการสำคัญต่อการมอง "ภาพใหญ่"
ถ้ากล่าวในมุมภาพใหญ่ของชีวิต ถ้าเรามีภาพใหญ่ที่ชัดเจน
เราจะรู้ว่าการเดินทางจากจุดที่เรายืนอยู่ไปสู่ภาพใหญ่นั้นไกลแค่ไหน
และขั้ตอนในการสร้างสะพานเชื่อมไปสู่นั่นแหละที่ต้องใช้ความรู้
และวิธีการเก็บเกี่ยวความรู้ก็สำคัญแม้แพ้ตัวความรู้
แต่สำคัญที่สุดคือระหว่างเดินทางต้องมีแรงจูงใจ และกำลังใจที่มากพอ
กำลังใจที่ดีที่สุดน่าจะมาจากตัวเอง จะมีได้ต้องมี "ภาพใหญ่" ที่ชัดเจนอีกนั่นแหละค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 129
ขอบคุณคุณโจที่เป็นแรงบันดาลใจและเป็น Idol สำหรับการลงทุนลูกอิสาน เขียน:รอฟังแนวคิดชีวิตคู่อยู่ครับ..
เผื่อเอาไปใช้บ้าง
กระทู้นี้สร้างแรงบันดาลใจและให้แนวคิดดีมากๆเลยครับ
ไปเสริจกระทู้เก่าๆที่เคยคุยเรื่องการประหยัด
อ่านไปอดยิ้มไปไม่ได้ เราก็ผ่านมาแล้วเหมือนกัน..
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=14&t=22071
อ่าน link ดูแล้ว โห...คุณโจประหยัดขั้นเทพจริง
และท่านอื่นที่แลกเปลี่ยนกันอยู่ใน link นี้ก็เป็นตัวอย่างของการประหยัดที่เจ๋งๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 130
ทราบแต่วันบันทึกเทปค่ะ แต่ไม่ทราบวันเผยแพร่เบี้ยว เขียน:ขอบคุณมากครับคุณนุช ทราบวันออกอากาศ money talk ยังครับ ผมจะได้ชวนภรรยาและลูกมานั่งเฝ้าหน้าจอเลย
แต่ว่าตื่นเต้นมาก ถึงมากที่สุดค่ะ
จริงๆ แล้วตัวเองไม่ใช่คนคุยเก่ง
แต่ถ้าพิมพ์หรือเขียนเล่าไปเรื่อยๆ นี่พอได้ค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 131
วิธีคิดเมื่อติดดอย (ฉบับของเราเอง)
(เผื่อเป็นวิธีคิดปลอบใจนักลงทุนมือใหม่...ไม่ให้ใจเสีย..)
(ส่วนท่านที่เก่งๆ ...อ่านแล้วอาจจะแอบขำ)
.............................................................................
เป็นธรรมดาที่เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่า ราคาไหนเป็นราคาต่ำสุดเมื่อเราจะซื้อหุ้นเพิ่ม
แม้จะเลือกแล้วว่าน่าจะมี MOS มากพอควร แต่ในภาวะที่ตลาดผันผวนเก่งแบบช่วงนี้
บางครั้งก็ไม่วายจะแอบติดดอยในช่วงที่ซื้อหุ้นเพิ่มในแต่ละครั้ง
...............................................................................
เรามีวิธีคิดชดเชยแบบนี้ค่ะ เช่น
...................................................................................
ที่จริง....เรามีเงินพอจ้างคนทำงานบ้านนะ.....แต่เราบังเอิญเสียดายเงิน....เลยไม่จ้าง
อัตราเฉลี่ยที่บ้านข้างเคียงจ้างอยู่ก็ 8 – 9 พัน/เดือน (ตีซะว่า 8,500)
สมมติว่าซื้อปุ๊บราคาตก ปั๊บ 85,000 บาท
...................................................................................
เราก็จะคิดว่า....ราคาหุ้นที่ตก เป็นค่าจ้างแม่บ้านได้ 10 เดือน .....ถ้าเราจ้าง
แต่.....ในความเป็นจริงเราไม่ได้จ้าง....เท่ากับเราประหยัดเงินส่วนที่ติดลบนั้น.....ไว้ล่วงหน้าแล้ว
วิธีคิดแบบนี้ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกเสียใจ หรือรู้สึกผิดกับตัวเลขที่ติดลบอยู่
และเมื่อไม่รู้สึกผิด ก็ไม่เข้าสู่ลงจรด้านลบ ที่เคยได้เล่าไปแล้ว
........................................................................................
ส่งผลให้สามารถถือหุ้นที่ติดลบ....จนกลับขึ้นมากลายเป็นกำไรได้เสมอ
(หุ้นตัวนั้นๆ ต้องเป็นหุ้นพื้นฐานดีด้วยนะคะ...)
.....................................................................................
เพื่อนๆ อาจใช้วิธีคิดแบบนี้กับของอย่างอื่นก็ได้ (ที่เรามีเงินพอซื้อ...แต่เราเลือกที่จะไม่ซื้อ)
เช่น เสื้อผ้า, กระเป๋าแบรนด์เนม รองเท้าคู่สวย (ที่สวยบาดใจเหลือเกิน)
กาแฟยี่ห้อดัง (ราคาแก้วละเกินร้อย)...ที่เราทนเดินสูดกลิ่นได้โดยไม่ซื้อ
(กลับมาชงดื่มเองที่บ้าน.. หอมน้อยลงหน่อย...แต่ก็พอได้)
ของตกแต่งรถที่เราชอบแอบมองรถคันอื่นแต่งครบชุดด้วยความชื่นชม... แต่รถเราเองก็เดิมๆ ไม่ได้แต่งอะไร
และ ฯลฯ
ลองฝึกดู ได้ผลยังไงมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ
(เผื่อเป็นวิธีคิดปลอบใจนักลงทุนมือใหม่...ไม่ให้ใจเสีย..)
(ส่วนท่านที่เก่งๆ ...อ่านแล้วอาจจะแอบขำ)
.............................................................................
เป็นธรรมดาที่เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่า ราคาไหนเป็นราคาต่ำสุดเมื่อเราจะซื้อหุ้นเพิ่ม
แม้จะเลือกแล้วว่าน่าจะมี MOS มากพอควร แต่ในภาวะที่ตลาดผันผวนเก่งแบบช่วงนี้
บางครั้งก็ไม่วายจะแอบติดดอยในช่วงที่ซื้อหุ้นเพิ่มในแต่ละครั้ง
...............................................................................
เรามีวิธีคิดชดเชยแบบนี้ค่ะ เช่น
...................................................................................
ที่จริง....เรามีเงินพอจ้างคนทำงานบ้านนะ.....แต่เราบังเอิญเสียดายเงิน....เลยไม่จ้าง
อัตราเฉลี่ยที่บ้านข้างเคียงจ้างอยู่ก็ 8 – 9 พัน/เดือน (ตีซะว่า 8,500)
สมมติว่าซื้อปุ๊บราคาตก ปั๊บ 85,000 บาท
...................................................................................
เราก็จะคิดว่า....ราคาหุ้นที่ตก เป็นค่าจ้างแม่บ้านได้ 10 เดือน .....ถ้าเราจ้าง
แต่.....ในความเป็นจริงเราไม่ได้จ้าง....เท่ากับเราประหยัดเงินส่วนที่ติดลบนั้น.....ไว้ล่วงหน้าแล้ว
วิธีคิดแบบนี้ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกเสียใจ หรือรู้สึกผิดกับตัวเลขที่ติดลบอยู่
และเมื่อไม่รู้สึกผิด ก็ไม่เข้าสู่ลงจรด้านลบ ที่เคยได้เล่าไปแล้ว
........................................................................................
ส่งผลให้สามารถถือหุ้นที่ติดลบ....จนกลับขึ้นมากลายเป็นกำไรได้เสมอ
(หุ้นตัวนั้นๆ ต้องเป็นหุ้นพื้นฐานดีด้วยนะคะ...)
.....................................................................................
เพื่อนๆ อาจใช้วิธีคิดแบบนี้กับของอย่างอื่นก็ได้ (ที่เรามีเงินพอซื้อ...แต่เราเลือกที่จะไม่ซื้อ)
เช่น เสื้อผ้า, กระเป๋าแบรนด์เนม รองเท้าคู่สวย (ที่สวยบาดใจเหลือเกิน)
กาแฟยี่ห้อดัง (ราคาแก้วละเกินร้อย)...ที่เราทนเดินสูดกลิ่นได้โดยไม่ซื้อ
(กลับมาชงดื่มเองที่บ้าน.. หอมน้อยลงหน่อย...แต่ก็พอได้)
ของตกแต่งรถที่เราชอบแอบมองรถคันอื่นแต่งครบชุดด้วยความชื่นชม... แต่รถเราเองก็เดิมๆ ไม่ได้แต่งอะไร
และ ฯลฯ
ลองฝึกดู ได้ผลยังไงมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ
-
- Verified User
- โพสต์: 155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 133
theenuch เขียน:ขอบคุณคุณโจที่เป็นแรงบันดาลใจและเป็น Idol สำหรับการลงทุนลูกอิสาน เขียน:รอฟังแนวคิดชีวิตคู่อยู่ครับ..
เผื่อเอาไปใช้บ้าง
กระทู้นี้สร้างแรงบันดาลใจและให้แนวคิดดีมากๆเลยครับ
ไปเสริจกระทู้เก่าๆที่เคยคุยเรื่องการประหยัด
อ่านไปอดยิ้มไปไม่ได้ เราก็ผ่านมาแล้วเหมือนกัน..
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=14&t=22071
อ่าน link ดูแล้ว โห...คุณโจประหยัดขั้นเทพจริง
และท่านอื่นที่แลกเปลี่ยนกันอยู่ใน link นี้ก็เป็นตัวอย่างของการประหยัดที่เจ๋งๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ
ตอนนี้ก็แอบคิดแบบเดียวกับพี่โจเหมือนกัน
ขอบคุณสำหรับบทความมากครับ มาติดตามผลงานเช่นเคย อ่านแล้วรู้สึกได้แรงบันดาลใจและรู้สึกดีจริงๆครับ ^__^
สโลแกน ลงทุนอย่างมีความสุข
ลงทุนเหมือนร่วมทำธุรกิจกับเพื่อน แล้วคุณจะสนใจทั้งธุรกิจและผู้บริหาร
ฟัง Oppday ทาง Website http://www.dcs-digital.com/setweb/index.php
ลงทุนเหมือนร่วมทำธุรกิจกับเพื่อน แล้วคุณจะสนใจทั้งธุรกิจและผู้บริหาร
ฟัง Oppday ทาง Website http://www.dcs-digital.com/setweb/index.php
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 134
การลงทุนกับชีวิตคู่ (ในความเห็นของเรา)
ชีวิตคู่มีรายละเอียดเยอะ...และมีความละเอียดอ่อนค่อนข้างมาก
และเชื่อแน่ว่าในรายละเอียดของแต่ละคู่นั้นมีความพิเศษในตัวเอง
ชนิดที่มองตากันแล้วเข้าใจกันเอง แบบที่ใครก็ไม่สามารถเข้าใจได้อยู่หลายเรื่องแน่ๆ
(เรื่องที่เก็บไว้อมยิ้นกัน...หรือแม้แต่เรื่องที่กอดคอกันร้องไห้...
แต่ถ้าย้อนนึกถึงแล้วสามารถสร้างพลังที่จะก้าวต่อได้)
.......................................................
ดังนั้นจึงขอแลกเปลี่ยนในเรื่องกว้างๆ เป็นภาพใหญ่ แต่คิดว่าสำคัญดีกว่าค่ะ
...................................................
เพื่อให้เข้าใจง่าย ลองนึกภาพวงกลม 2 วง
สำหรับเรา เราคิดว่าการใช้ชีวิตคู่ น่าจะเป็นเรื่องของการขยับวงกลมให้มาคาบเกี่ยวกัน
(ภาษา SET ….ไม่ใช่ตลาดหลักทรัพย์นะ ...
SET ในทางคณิตศาสตร์เรียกว่า Intersection)
คือมีพื้นที่คาบเกี่ยวกันอยู่บ้างแต่ก็ยังมีพื้นที่ (space) ของตนเองอยู่
เท่าที่เคยเห็นปัญหาครอบครัวมา เรื่องใหญ่ๆ มักจะมีอยู่ 2 รูปแบบ
...............................................................
แบบแรก – ไม่ยอมเอาพื้นที่มาคาบเกี่ยวกัน (เป็นเซตว่าง)
หรือไม่ค่อยๆ ขยับส่วนที่ intersect กันให้ลงตัว
แบบที่สอง – พยายามจะทับซ้อนให้เป็นวงเดียวกันให้ได้
(ในทางคณิตศาสตร์เรื่อง SET มันมีความเป็นไปได้ที่วงกลม 2 วงจะทับซ้อนกันที่เรียกว่า
absolute complement)…..แต่ในชีวิตจริง มองยังไงก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
…………………………………………….
หนังสือเรื่อง “ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์” อธิบายชีวิตคู่ไว้ว่า
เหมือนหยิบผู้ชายจากดาวอังคาร หยิบผู้หญิงมาจากดาวศุกร์
แล้วเอามาวางให้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันบนโลก (แบบทันทีทันใดด้วยนะ)
(ทั้งสองเกิดและเติบโตมาจาก สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ที่แตกต่างกัน พูดคนละภาษาอีก)
....................................................................
ลองจินตนาการเหตุการณ์หลังจากนั้น
ทั้งคู่ต่างต้องมาทำความเข้าใจกับการใช้ชีวิตบนโลก (หมายถึงเป็นชีวิตคู่)
ที่เป็นของแปลกใหม่ของทั้งสองคน
การจะอยู่รอดได้นั้นน่าจะต้องลงทุนที่จะศึกษา background ของแต่ละฝั่ง
ต้องเปิดใจที่จะให้อีกฝ่ายมาเข้าถึง ค่อยสอนภาษาของตัวเองให้อีกฝ่าย
(มีด้วยเหรอพูดคนละภาษา........มีสิ......นึกถึงเดี่ยวของคุณ โน้ต อุดม
เรื่อง Art ตัวแม่ และArt ตัวพ่อ ….จะทำให้เข้าใจง่ายขึ้น)
..........................................................
ก็ไม่มีอะไรมากแค่ทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ได้..... และลงทุนเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง
อย่าพยายามเอาวงกลมของเราไปทับซ้อนกับของคู่ชีวิต......เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ...
ต้องยอมรับความแตกต่างที่แต่ละฝ่ายมี
ซึ่งคือตัวตนของเค้าที่เป็นมาเกือบครึ่งชีวิตก่อนมาเจอเรา
นึกย้อนกลับไปดีๆ......ความต่าง และความเป็นตัวตนเดิมๆ นั้น
อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกเค้ามาเป็นคู่ชีวิตของเราด้วยซ้ำ
………………………………………………………
แต่พอมาใช้ชิวิตร่วมกันจริงๆ (แบบใต้ชายคาเดียวกัน)
และด้วยความไว้วางใจต่อกันอย่างมากที่สุด.....
ก็จะทำให้เราเปิดเผยตัวตนจนได้รู้จักกันมากขึ้นอีก
ต้องเดินทางไปในเส้นทางชีวิตต่อจากนี้ด้วยกัน
ยิ่งถ้ามีลูก และมีเป้าหมายต่างๆ ที่รออยู่ข้างหน้า...
แน่นอนมันไม่ง่าย (แต่มันเป็นธรรมดานะ ใครๆ ก็เป็บแบบนี้แหละ)
ตลอดทางมีบททดสอบมากมาย มีความเหนื่อยยากตรากตรำ
มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไปในแต่ละคู่
………………………………………………..
คล้ายเราลงทุนเลือกหุ้นพื้นฐานดี แต่หุ้นก็ยังอยู่ในกระดานร่วมกับหุ้นตัวอื่น
มีปัจจัยหลายอย่างมาทำให้ราคาขึ้นๆ ลงๆ......ถ้าไม่หนักแน่นทางอารมณ์จริง
เราอาจจะไม่ไหวและขายหุ้นตัวนั้นทิ้ง คือถือแล้วไม่สบายใจ ก็แค่ขายทิ้ง
..................................................................
ชีวิตคู่อาจจะยากกว่าตรงที่ว่าถ้าเห็นพื้นฐานเปลี่ยน.....
หรือไม่เปลี่ยนแต่เราอาจยังไม่ได้ศึกษาทุกแง่มุมมาดีพอ....
แล้วค่อยมาชัดเจนขึ้นตอนมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันแล้ว
มันไม่ใช่อะไรที่จะไปขายทิ้งกันง่ายๆ
การจะประคับประคองกันไปได้ โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ และต้องมีศรัทธาสูงมากทีเดียว
.............................................................................
เหมือนการลงทุนแนว VI ที่นักลงทุนที่เลือกแนวทางนี้
ต้องมีศรัทธาต่อการลงทุนแนว VI มากพอ
....................................................................................
ข้อควรระวังที่เห็นอยู่บ่อยๆ (มักจะเป็น) ฝ่ายดาวศุกร์ที่โดยธรรมชาติ
ต้องการการรับฟังเพื่อให้ผ่านช่วงอารมณ์ที่ผันผวนไปได้
ถ้าเค้าไประบายให้นักลงทุนชีวิตแนว VI ฟังก็โชคดีไป
แต่ถ้าไปปรึกษานักลงทุนชีวิตแนวอื่นนี่.....ได้มีเชียร์ให้ cut loss กันวุ่นแน่นอน
................................................................
ในส่วนของตัวเองออกจะโชคดีอยู่สักหน่อย (ด้วยความที่สนิทกับเตี่ยมากกว่า)
เลยเหมือนเติบโตมาแบบมนุษย์ดาวอังคาร
และสามีเองก็มีความเป็นด้านบวกของดาวศุกร์อยู่ในตัวมากพอสมควร
เลยทำให้ง่ายที่จะบริหารพื้นที่ intersection ของวงกลมร่วมกัน
.............................................................
ในครอบครัวที่มีลูกแล้วก็อย่าลืมให้ space แก่ลูกด้วยนะคะ
เพราะเด็กต้องมีที่ยืนในครอบครัว...
แต่ก็ยังต้องรักษาจุดยืนของตัวเองไว้เหมือนกับผู้ใหญ่เช่นกัน
..........................................................................
สุดท้ายเราต้องเคารพและเชื่อใจขณะที่อีกฝ่าย
อยู่ในพื้นที่ที่ไม่ได้คาบเกี่ยวกันนั้นด้วย
เพราะเชื่อแน่ว่า.....ถ้าคู่ชีวิตหรือลูกของเราได้รับความไว้วางใจ ได้รับความเชื่อใจ
และเห็นคุณค่าในตัวตนที่เค้าเป็น เค้าจะพยายามสร้างสรรค์สิ่งดีๆ มากขึ้นไปอีกแน่นอนค่ะ
ชีวิตคู่มีรายละเอียดเยอะ...และมีความละเอียดอ่อนค่อนข้างมาก
และเชื่อแน่ว่าในรายละเอียดของแต่ละคู่นั้นมีความพิเศษในตัวเอง
ชนิดที่มองตากันแล้วเข้าใจกันเอง แบบที่ใครก็ไม่สามารถเข้าใจได้อยู่หลายเรื่องแน่ๆ
(เรื่องที่เก็บไว้อมยิ้นกัน...หรือแม้แต่เรื่องที่กอดคอกันร้องไห้...
แต่ถ้าย้อนนึกถึงแล้วสามารถสร้างพลังที่จะก้าวต่อได้)
.......................................................
ดังนั้นจึงขอแลกเปลี่ยนในเรื่องกว้างๆ เป็นภาพใหญ่ แต่คิดว่าสำคัญดีกว่าค่ะ
...................................................
เพื่อให้เข้าใจง่าย ลองนึกภาพวงกลม 2 วง
สำหรับเรา เราคิดว่าการใช้ชีวิตคู่ น่าจะเป็นเรื่องของการขยับวงกลมให้มาคาบเกี่ยวกัน
(ภาษา SET ….ไม่ใช่ตลาดหลักทรัพย์นะ ...
SET ในทางคณิตศาสตร์เรียกว่า Intersection)
คือมีพื้นที่คาบเกี่ยวกันอยู่บ้างแต่ก็ยังมีพื้นที่ (space) ของตนเองอยู่
เท่าที่เคยเห็นปัญหาครอบครัวมา เรื่องใหญ่ๆ มักจะมีอยู่ 2 รูปแบบ
...............................................................
แบบแรก – ไม่ยอมเอาพื้นที่มาคาบเกี่ยวกัน (เป็นเซตว่าง)
หรือไม่ค่อยๆ ขยับส่วนที่ intersect กันให้ลงตัว
แบบที่สอง – พยายามจะทับซ้อนให้เป็นวงเดียวกันให้ได้
(ในทางคณิตศาสตร์เรื่อง SET มันมีความเป็นไปได้ที่วงกลม 2 วงจะทับซ้อนกันที่เรียกว่า
absolute complement)…..แต่ในชีวิตจริง มองยังไงก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
…………………………………………….
หนังสือเรื่อง “ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์” อธิบายชีวิตคู่ไว้ว่า
เหมือนหยิบผู้ชายจากดาวอังคาร หยิบผู้หญิงมาจากดาวศุกร์
แล้วเอามาวางให้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันบนโลก (แบบทันทีทันใดด้วยนะ)
(ทั้งสองเกิดและเติบโตมาจาก สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ที่แตกต่างกัน พูดคนละภาษาอีก)
....................................................................
ลองจินตนาการเหตุการณ์หลังจากนั้น
ทั้งคู่ต่างต้องมาทำความเข้าใจกับการใช้ชีวิตบนโลก (หมายถึงเป็นชีวิตคู่)
ที่เป็นของแปลกใหม่ของทั้งสองคน
การจะอยู่รอดได้นั้นน่าจะต้องลงทุนที่จะศึกษา background ของแต่ละฝั่ง
ต้องเปิดใจที่จะให้อีกฝ่ายมาเข้าถึง ค่อยสอนภาษาของตัวเองให้อีกฝ่าย
(มีด้วยเหรอพูดคนละภาษา........มีสิ......นึกถึงเดี่ยวของคุณ โน้ต อุดม
เรื่อง Art ตัวแม่ และArt ตัวพ่อ ….จะทำให้เข้าใจง่ายขึ้น)
..........................................................
ก็ไม่มีอะไรมากแค่ทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ได้..... และลงทุนเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง
อย่าพยายามเอาวงกลมของเราไปทับซ้อนกับของคู่ชีวิต......เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ...
ต้องยอมรับความแตกต่างที่แต่ละฝ่ายมี
ซึ่งคือตัวตนของเค้าที่เป็นมาเกือบครึ่งชีวิตก่อนมาเจอเรา
นึกย้อนกลับไปดีๆ......ความต่าง และความเป็นตัวตนเดิมๆ นั้น
อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกเค้ามาเป็นคู่ชีวิตของเราด้วยซ้ำ
………………………………………………………
แต่พอมาใช้ชิวิตร่วมกันจริงๆ (แบบใต้ชายคาเดียวกัน)
และด้วยความไว้วางใจต่อกันอย่างมากที่สุด.....
ก็จะทำให้เราเปิดเผยตัวตนจนได้รู้จักกันมากขึ้นอีก
ต้องเดินทางไปในเส้นทางชีวิตต่อจากนี้ด้วยกัน
ยิ่งถ้ามีลูก และมีเป้าหมายต่างๆ ที่รออยู่ข้างหน้า...
แน่นอนมันไม่ง่าย (แต่มันเป็นธรรมดานะ ใครๆ ก็เป็บแบบนี้แหละ)
ตลอดทางมีบททดสอบมากมาย มีความเหนื่อยยากตรากตรำ
มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไปในแต่ละคู่
………………………………………………..
คล้ายเราลงทุนเลือกหุ้นพื้นฐานดี แต่หุ้นก็ยังอยู่ในกระดานร่วมกับหุ้นตัวอื่น
มีปัจจัยหลายอย่างมาทำให้ราคาขึ้นๆ ลงๆ......ถ้าไม่หนักแน่นทางอารมณ์จริง
เราอาจจะไม่ไหวและขายหุ้นตัวนั้นทิ้ง คือถือแล้วไม่สบายใจ ก็แค่ขายทิ้ง
..................................................................
ชีวิตคู่อาจจะยากกว่าตรงที่ว่าถ้าเห็นพื้นฐานเปลี่ยน.....
หรือไม่เปลี่ยนแต่เราอาจยังไม่ได้ศึกษาทุกแง่มุมมาดีพอ....
แล้วค่อยมาชัดเจนขึ้นตอนมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันแล้ว
มันไม่ใช่อะไรที่จะไปขายทิ้งกันง่ายๆ
การจะประคับประคองกันไปได้ โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ และต้องมีศรัทธาสูงมากทีเดียว
.............................................................................
เหมือนการลงทุนแนว VI ที่นักลงทุนที่เลือกแนวทางนี้
ต้องมีศรัทธาต่อการลงทุนแนว VI มากพอ
....................................................................................
ข้อควรระวังที่เห็นอยู่บ่อยๆ (มักจะเป็น) ฝ่ายดาวศุกร์ที่โดยธรรมชาติ
ต้องการการรับฟังเพื่อให้ผ่านช่วงอารมณ์ที่ผันผวนไปได้
ถ้าเค้าไประบายให้นักลงทุนชีวิตแนว VI ฟังก็โชคดีไป
แต่ถ้าไปปรึกษานักลงทุนชีวิตแนวอื่นนี่.....ได้มีเชียร์ให้ cut loss กันวุ่นแน่นอน
................................................................
ในส่วนของตัวเองออกจะโชคดีอยู่สักหน่อย (ด้วยความที่สนิทกับเตี่ยมากกว่า)
เลยเหมือนเติบโตมาแบบมนุษย์ดาวอังคาร
และสามีเองก็มีความเป็นด้านบวกของดาวศุกร์อยู่ในตัวมากพอสมควร
เลยทำให้ง่ายที่จะบริหารพื้นที่ intersection ของวงกลมร่วมกัน
.............................................................
ในครอบครัวที่มีลูกแล้วก็อย่าลืมให้ space แก่ลูกด้วยนะคะ
เพราะเด็กต้องมีที่ยืนในครอบครัว...
แต่ก็ยังต้องรักษาจุดยืนของตัวเองไว้เหมือนกับผู้ใหญ่เช่นกัน
..........................................................................
สุดท้ายเราต้องเคารพและเชื่อใจขณะที่อีกฝ่าย
อยู่ในพื้นที่ที่ไม่ได้คาบเกี่ยวกันนั้นด้วย
เพราะเชื่อแน่ว่า.....ถ้าคู่ชีวิตหรือลูกของเราได้รับความไว้วางใจ ได้รับความเชื่อใจ
และเห็นคุณค่าในตัวตนที่เค้าเป็น เค้าจะพยายามสร้างสรรค์สิ่งดีๆ มากขึ้นไปอีกแน่นอนค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 135
ขอขอบคุณสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
ทีมงานผู้ดูแล web ทุกท่าน
ที่มีพื้นที่สำหรับกระทู้เล็กๆให้ได้มาถ่ายทอดเรื่องราว
ที่แม้บางเรื่องจะเป็นการยกตัวอย่างเรื่องของตัวเองบ้าง
แต่แค่อยากนำสิ่งที่เป็นนามธรรมมาถ่ายทอดให้เป็นรูปธรรมเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น
แต่ก็ยังอยากย้ำอยู่เหมือนเดิมว่า
ทุกๆ เรื่องราวที่มีประโยชน์ได้มาจากครูดีรอบตัวที่ไม่อาจกล่าวถึงได้หมด
ทั้งที่เป็นตัวบุคคล และแนวคิดจากหนังสือดีๆ
ตัวเองแค่ทำหน้าที่เก็บเกี่ยว นำมาประมวลผล
เอาใปใช้ในการดำเนินชีวิตของตัวเอง
เมื่อลองปฏิบัติดูแล้วเห็นว่าเกิดประโยชน์
จึงอยากนำมาแบ่งปัน เพราะมีเพื่อนๆ
ที่เป็นคนมีคุณภาพมาแวะเวียนอ่านกันมาก
จะยินดียิ่งขึ้นหากจะมีใครที่ลองจับเอาประเด็นเล็กๆ น้อยๆ
เหล่านี้ไปลองปรับใช้แล้วเกิดประโยชน์
แล้วนำไปถ่ายทอดสู่ผู้อื่นต่อไป
เคยสอนขับรถให้คนรู้จักมาหลายคน (สอนฟรีค่ะ)
ตั้งแต่ 0 จนถึงขับเก่งเลย แต่ละคนใช้เวลาหลายวัน....ไปด้วยกันหลายที่
ทุกครั้งได้พยายามปลูกฝังนิสัยการขับรถที่ดีให้ด้วย
จะชอบตรวจสอบความรู้สึกของผู้เรียนว่าเค้ารู้สึกอย่างไร
ได้รับคำตอบที่ตรงกันหมดเลยว่า
"รู้สึกผ่อนคลายและไม่กดดัน ทำให้สามารเรียนรู้ได้เร็ว
และ....รู้สึกมั่นใจที่จะเคลื่อนรถออกไปทั้งที่ยังเป็นมือใหม่"
ในช่วงเวลาที่ขาดความมั่นใจอย่างที่สุดนั้น
ถ้ามีใครสักคนที่คิดว่าเค้าทำได้ และเชื่อมั่นในตัวเค้า
เค้าจะรู้สึกว่าตัวเองทำได้ และอยากทำให้ดีที่สุด
ควบคู่กันไปจะให้เค้าตรวจสอบความรู้สึกที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมด้วย
ทุกคนก็ตอบตรงกันว่า อยากให้คนอื่นช่วยให้ทางบ้าง
ช่วยให้สัญญาณบ้าง หรือช่วยไม่ขับจี้ติด ไม่บีบแตรไล่
เพราะมือไม้สั่นและเหงื่อตก ยิ่งทำอะไรไม่ถูก
ก็จะบอกเค้าเสมอว่าให้จำความรู้สึกเหล่านี้ไว้นะ
เมื่อวันที่เราขับรถเก่งแล้วก็อย่าได้ลืมสิ่งที่เรา
เคยอยากได้รับจากผู้อื่นในวันที่เราเป็นมือใหม่
ถ้าอยากขอบคุณเราไม่ต้องหาอะไรมาให้
ขอให้จำสิ่งที่เราได้บอกวันนี้ไว้
และถ้าเป็นไปได้ช่วยนำไปถ่ายทอดต่อด้วยยิ่งดี
ไม่ว่าจะเป็นตัวองค์ความรู้ วิธีการ และที่สำคัญ
การช่วยให้กำลังใจ และให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้อื่น
ทำเท่าที่จะมีโอกาสได้ทำ เพราะในที่สุดจะเกิดเป็นนิสัยที่ดี
และสังคมจะน่าอยู่ขึ้น ในที่สุดสิ่งดีๆก็จะวกกลับมาสู่เราในทางอ้อม
ลูกหลานเราจะได้อยู่ในสังคมที่ดี..... ซึ่งมีเงินมากแค่ไหน...ก็ซื้อสังคมที่ดีไม่ได้
อยากให้สังคมดีต้องช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำคนละเล็กละน้อย
เริ่มจากเรื่องใกล้ๆ ตัวนี่แหละ เพราะถ้าต้องเริ่มสิ่งใหญ่...
เดี๋ยวเงื่อนไขจะเยอะ....จะทำยาก ....และไม่ได้เริ่มเสียที
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่แวะมาอ่าน
แค่ยิ้มได้และรู้สึกว่าได้ประโยชน์ และอาจมีโอกาสช่วยกันตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น
ก็ถือเป็นบุญกุศลร่วมกันหมด ทั้งผู้อ่าน ผู้ถ่ายทอด และทีมงาน ThaiVI
ส่วนตัวเองถ้านึกประเด็นไหนออกก็จะทยอยมาแบ่งปันเท่าที่พอจะมีเวลานะคะ
ทีมงานผู้ดูแล web ทุกท่าน
ที่มีพื้นที่สำหรับกระทู้เล็กๆให้ได้มาถ่ายทอดเรื่องราว
ที่แม้บางเรื่องจะเป็นการยกตัวอย่างเรื่องของตัวเองบ้าง
แต่แค่อยากนำสิ่งที่เป็นนามธรรมมาถ่ายทอดให้เป็นรูปธรรมเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น
แต่ก็ยังอยากย้ำอยู่เหมือนเดิมว่า
ทุกๆ เรื่องราวที่มีประโยชน์ได้มาจากครูดีรอบตัวที่ไม่อาจกล่าวถึงได้หมด
ทั้งที่เป็นตัวบุคคล และแนวคิดจากหนังสือดีๆ
ตัวเองแค่ทำหน้าที่เก็บเกี่ยว นำมาประมวลผล
เอาใปใช้ในการดำเนินชีวิตของตัวเอง
เมื่อลองปฏิบัติดูแล้วเห็นว่าเกิดประโยชน์
จึงอยากนำมาแบ่งปัน เพราะมีเพื่อนๆ
ที่เป็นคนมีคุณภาพมาแวะเวียนอ่านกันมาก
จะยินดียิ่งขึ้นหากจะมีใครที่ลองจับเอาประเด็นเล็กๆ น้อยๆ
เหล่านี้ไปลองปรับใช้แล้วเกิดประโยชน์
แล้วนำไปถ่ายทอดสู่ผู้อื่นต่อไป
เคยสอนขับรถให้คนรู้จักมาหลายคน (สอนฟรีค่ะ)
ตั้งแต่ 0 จนถึงขับเก่งเลย แต่ละคนใช้เวลาหลายวัน....ไปด้วยกันหลายที่
ทุกครั้งได้พยายามปลูกฝังนิสัยการขับรถที่ดีให้ด้วย
จะชอบตรวจสอบความรู้สึกของผู้เรียนว่าเค้ารู้สึกอย่างไร
ได้รับคำตอบที่ตรงกันหมดเลยว่า
"รู้สึกผ่อนคลายและไม่กดดัน ทำให้สามารเรียนรู้ได้เร็ว
และ....รู้สึกมั่นใจที่จะเคลื่อนรถออกไปทั้งที่ยังเป็นมือใหม่"
ในช่วงเวลาที่ขาดความมั่นใจอย่างที่สุดนั้น
ถ้ามีใครสักคนที่คิดว่าเค้าทำได้ และเชื่อมั่นในตัวเค้า
เค้าจะรู้สึกว่าตัวเองทำได้ และอยากทำให้ดีที่สุด
ควบคู่กันไปจะให้เค้าตรวจสอบความรู้สึกที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมด้วย
ทุกคนก็ตอบตรงกันว่า อยากให้คนอื่นช่วยให้ทางบ้าง
ช่วยให้สัญญาณบ้าง หรือช่วยไม่ขับจี้ติด ไม่บีบแตรไล่
เพราะมือไม้สั่นและเหงื่อตก ยิ่งทำอะไรไม่ถูก
ก็จะบอกเค้าเสมอว่าให้จำความรู้สึกเหล่านี้ไว้นะ
เมื่อวันที่เราขับรถเก่งแล้วก็อย่าได้ลืมสิ่งที่เรา
เคยอยากได้รับจากผู้อื่นในวันที่เราเป็นมือใหม่
ถ้าอยากขอบคุณเราไม่ต้องหาอะไรมาให้
ขอให้จำสิ่งที่เราได้บอกวันนี้ไว้
และถ้าเป็นไปได้ช่วยนำไปถ่ายทอดต่อด้วยยิ่งดี
ไม่ว่าจะเป็นตัวองค์ความรู้ วิธีการ และที่สำคัญ
การช่วยให้กำลังใจ และให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้อื่น
ทำเท่าที่จะมีโอกาสได้ทำ เพราะในที่สุดจะเกิดเป็นนิสัยที่ดี
และสังคมจะน่าอยู่ขึ้น ในที่สุดสิ่งดีๆก็จะวกกลับมาสู่เราในทางอ้อม
ลูกหลานเราจะได้อยู่ในสังคมที่ดี..... ซึ่งมีเงินมากแค่ไหน...ก็ซื้อสังคมที่ดีไม่ได้
อยากให้สังคมดีต้องช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำคนละเล็กละน้อย
เริ่มจากเรื่องใกล้ๆ ตัวนี่แหละ เพราะถ้าต้องเริ่มสิ่งใหญ่...
เดี๋ยวเงื่อนไขจะเยอะ....จะทำยาก ....และไม่ได้เริ่มเสียที
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่แวะมาอ่าน
แค่ยิ้มได้และรู้สึกว่าได้ประโยชน์ และอาจมีโอกาสช่วยกันตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น
ก็ถือเป็นบุญกุศลร่วมกันหมด ทั้งผู้อ่าน ผู้ถ่ายทอด และทีมงาน ThaiVI
ส่วนตัวเองถ้านึกประเด็นไหนออกก็จะทยอยมาแบ่งปันเท่าที่พอจะมีเวลานะคะ
-
- Verified User
- โพสต์: 155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 138
ขอบคุณมากครับ และรอติดตามบทความของพี่เช่นเคยครับ
สโลแกน ลงทุนอย่างมีความสุข
ลงทุนเหมือนร่วมทำธุรกิจกับเพื่อน แล้วคุณจะสนใจทั้งธุรกิจและผู้บริหาร
ฟัง Oppday ทาง Website http://www.dcs-digital.com/setweb/index.php
ลงทุนเหมือนร่วมทำธุรกิจกับเพื่อน แล้วคุณจะสนใจทั้งธุรกิจและผู้บริหาร
ฟัง Oppday ทาง Website http://www.dcs-digital.com/setweb/index.php
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 139
เลี้ยงลูกให้รู้จักค่าของเงิน
โดยส่วนใหญ่พ่อแม่จะให้ลูกเก็บเงินใส่ในกระปุกออมสิน
หรือไม่ก็ฝากธนาคารกัน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้วค่ะ
แต่เรามองว่ามันเป็นแค่การสอนให้ “เก็บเงิน” เป็น
ในมุมมองของเราการจะ “รู้จักค่า” มันต้องมีความหมายมากกว่านั้นอีกนิดนึง
ที่บ้านเราใช้วิธีให้เค้าเก็บเงินเพื่อที่จะนำออกมาใช้ซื้อของที่ตัวเองอยากได้เอง
บางบ้านก็ทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน
คือให้เอาเงินในออมสินออกมาซื้อของได้บ้าง และที่เหลือก็ให้ “เก็บ” อีกตามเคย
แต่เราสามารถทำได้มากกว่านั้น...โดยการใส่ “ทางเลือก” ลงไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น
ทางเลือกที่ 1 เลือกที่จะเอาเงินออกมาใช้ _ พอใจที่ได้ของ _ เงินก็ยังเหลือเก็บ
ทางเลือกที่ 2 กำหนดเวลาไว้ว่าถ้าถึงวันที่.....เดือน..........เงินเหลือเท่าไหร่
สบทบให้เท่าตัว (นับจากวันที่อยากได้ของนั้นๆ ซัก 1-2 เดือน)
ถ้าลูกเลือก...ทางเลือกที่ 1 ได้ของที่ชอบทันที....มีเงินเหลือด้วย
แต่....................ถ้า....................
เลือกทางที่ 2 คือ อดใจ.....รอ.......อีกสักหน่อย
ผลจะต่างจากเดิมมาก......ได้เงินเพิ่มอีกเท่าตัวก่อน...แล้วค่อยไปซื้อของ
ได้ของเหมือนกันแต่เงินจะเหลือมากกว่าเดิม
แถมบางครั้งพอรอไปรอมา ความพอใจในของชิ้นนั้นอาจลดลงไปด้วย
ผลที่เกิดคือ บ่อยครั้งลงเอยด้วยการไม่ซื้อ (ได้ยินคำว่า "ไม่ซื้อ" คุณแม่เลยใส่เงินเพิ่มให้อีก 30 %)
นี่คือการฝึกให้เกิดนิสัย “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” ที่ใครหลายๆคนบอกว่าชอบข้อนี้จัง
(ข้อ 5 ใน post แรกของเรา)
..............................................................
วันนี้ไปรายการ money talk มาแล้วค่ะ
อาจารย์ทุกท่านเป็นกันเองมากๆ ทำให้ลดความตื่นเต้นลงไปได้มาก
พอรู้สึกสบายๆ ขึ้น เลยคุยเก่งเลยทีนี้
(จะออกแนวสนุกสนานกันพอสมควรนะคะเทปนี้)
.............................................................
ผลคือ......ไม่ค่อยได้พูดเรื่องลงทุน ....หมดเวลาซะก่อน
เพราะเรามัวเล่าบางหัวข้อยาวไป....ยังรู้สึกเกรงใจอาจารย์ ดร.ไพบูลย์มากๆ เลย
..........................................................
ปกติไม่เคยแต่งหน้า....แต่ทางรายการดูแลแต่งหน้าให้นิดหน่อย...”ดูดีขึ้น” ทันใด
(บรรยายศัพท์ _ “ดูดีขึ้น” ไม่ใช่ “ดูดี” นะคะ แต่หมายถึง “ดีขึ้นกว่าเดิม” นิดนึงค่ะ )
โดยส่วนใหญ่พ่อแม่จะให้ลูกเก็บเงินใส่ในกระปุกออมสิน
หรือไม่ก็ฝากธนาคารกัน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้วค่ะ
แต่เรามองว่ามันเป็นแค่การสอนให้ “เก็บเงิน” เป็น
ในมุมมองของเราการจะ “รู้จักค่า” มันต้องมีความหมายมากกว่านั้นอีกนิดนึง
ที่บ้านเราใช้วิธีให้เค้าเก็บเงินเพื่อที่จะนำออกมาใช้ซื้อของที่ตัวเองอยากได้เอง
บางบ้านก็ทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน
คือให้เอาเงินในออมสินออกมาซื้อของได้บ้าง และที่เหลือก็ให้ “เก็บ” อีกตามเคย
แต่เราสามารถทำได้มากกว่านั้น...โดยการใส่ “ทางเลือก” ลงไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น
ทางเลือกที่ 1 เลือกที่จะเอาเงินออกมาใช้ _ พอใจที่ได้ของ _ เงินก็ยังเหลือเก็บ
ทางเลือกที่ 2 กำหนดเวลาไว้ว่าถ้าถึงวันที่.....เดือน..........เงินเหลือเท่าไหร่
สบทบให้เท่าตัว (นับจากวันที่อยากได้ของนั้นๆ ซัก 1-2 เดือน)
ถ้าลูกเลือก...ทางเลือกที่ 1 ได้ของที่ชอบทันที....มีเงินเหลือด้วย
แต่....................ถ้า....................
เลือกทางที่ 2 คือ อดใจ.....รอ.......อีกสักหน่อย
ผลจะต่างจากเดิมมาก......ได้เงินเพิ่มอีกเท่าตัวก่อน...แล้วค่อยไปซื้อของ
ได้ของเหมือนกันแต่เงินจะเหลือมากกว่าเดิม
แถมบางครั้งพอรอไปรอมา ความพอใจในของชิ้นนั้นอาจลดลงไปด้วย
ผลที่เกิดคือ บ่อยครั้งลงเอยด้วยการไม่ซื้อ (ได้ยินคำว่า "ไม่ซื้อ" คุณแม่เลยใส่เงินเพิ่มให้อีก 30 %)
นี่คือการฝึกให้เกิดนิสัย “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” ที่ใครหลายๆคนบอกว่าชอบข้อนี้จัง
(ข้อ 5 ใน post แรกของเรา)
..............................................................
วันนี้ไปรายการ money talk มาแล้วค่ะ
อาจารย์ทุกท่านเป็นกันเองมากๆ ทำให้ลดความตื่นเต้นลงไปได้มาก
พอรู้สึกสบายๆ ขึ้น เลยคุยเก่งเลยทีนี้
(จะออกแนวสนุกสนานกันพอสมควรนะคะเทปนี้)
.............................................................
ผลคือ......ไม่ค่อยได้พูดเรื่องลงทุน ....หมดเวลาซะก่อน
เพราะเรามัวเล่าบางหัวข้อยาวไป....ยังรู้สึกเกรงใจอาจารย์ ดร.ไพบูลย์มากๆ เลย
..........................................................
ปกติไม่เคยแต่งหน้า....แต่ทางรายการดูแลแต่งหน้าให้นิดหน่อย...”ดูดีขึ้น” ทันใด
(บรรยายศัพท์ _ “ดูดีขึ้น” ไม่ใช่ “ดูดี” นะคะ แต่หมายถึง “ดีขึ้นกว่าเดิม” นิดนึงค่ะ )
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 141
ขอบคุณที่แบ่งปันประสบการณ์ครับ
อยากให้ภรรยาแบ่งเงินมาเงินทุนมั่งจัง 5555
อยากให้ภรรยาแบ่งเงินมาเงินทุนมั่งจัง 5555
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 142
ว่าด้วยเรื่องของ “คุณค่า”
ก่อนอื่น....อยากเล่าถึงวันที่ไปอัดเทปรายการ money talk ค่ะ
ที่ตัวเองโชคดีมีโอกาสได้รับทราบ (ทีมงานสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่าคงจะทราบดีอยู่แล้ว)
ก่อนเริ่มรายการเราได้เล่าให้อาจารย์ทั้งสามท่านฟังว่า
ชุดอยู่บ้านบางชุดใส่มาตั้งแต่ก่อนท้อง....จนมีลูก 12 ขวบ แล้วก็ยังใส่
ท่านอาจารย์ ดร.ไพบูลย์ บอกว่า “ขอโทษนะ ขอยกขากางเกงขึ้นมาให้ดูนิดนึงนะ”
ภาพที่เห็นคือ ปลายขากางเกงตรงข้อเท้าด้านหลัง มีรอยขาดรุ่ยๆ (ยาวประมาณ 5-7 ซม.เห็นจะได้)
อาจารย์ท่านบอกว่า “นี่ชุดที่ใส่ออกนอกบ้านเลยนะ เนี่ยขากางเกงเป็นแบบนี้ยังใส่อยู่เลย”
และอีกครั้งระหว่างช่วงพัก เนื่องจากค่อนข้างเย็นแล้ว (ตามประสาพ่อบ้านที่ดี...นี่เราเดาเองนะ)
อาจารย์ทุกท่านก็คงห่วงว่าเผื่อทางบ้านโทรมาบ้างหรือเปล่า
ก็ได้หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเผื่อมี “สายที่ไม่ได้รับ”
พบว่าแต่ละท่านใช้โทรศัพท์ธรรมดาๆ ราคาไม่แพง และสภาพค่อนข้างเก่า
และยังเรื่องของความเป็นกันเอง ที่ชวนให้นึกถึงคำดีๆ ที่เคยอ่านเจอ (จากที่ไหนจำไม่ได้แล้ว)
ที่ว่า “เปิดใจให้กว้าง วางตนให้เล็ก” คุณสมบัตินี้....เรารู้สึกได้ว่ามีอยู่ในตัวอาจารย์ทุกท่านจริงๆ
เรารู้สึกปลื้มปิติมากที่ได้มีโอกาสนั่งอยู่ตรงนั้น......ในช่วงเวลานั้น กลับมาเล่าให้สามีและลูกฟังด้วย
และตั้งใจว่าต้องนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ใน web ThaiVI ได้ทราบด้วย เพื่อยึดถือเป็นแบบอย่างที่ดี
.......................................................................
บางคนอาจมองว่า “อะไรจะขนาดนั้น” ขืนไม่ซื้อเสื้อผ้ากันเลยก็พอดีพ่อค้าแม่ขายไม่ต้องได้เงินกัน
หรือ รวยแล้วมีเงินซื้อใหม่ก็ซื้อไปเหอะ ของเก่าจะได้เอาไปแบ่งปันผู้อื่นบ้าง
ถ้าเราจะนิยามคำว่าแบ่งปันในกรอบที่แคบหน่อย.....ก็อาจจะจริง
การแบ่งปันในนิยามนั้น....คงจะหมายถึงแค่การให้สิ่งของแก่ผู้อื่นเท่านั้น
แต่เราอยากลองชวนเพื่อนๆ มามองในมุมใหม่ๆ ที่กว้างขึ้น ละเอียดขึ้น และมีคุณค่ามากขึ้น....อย่างนี้ค่ะ
ในมุมมองใหม่นี้ เชื่อแน่ว่าท่านอาจารย์และชาว VI อีกหลายท่านน่าจะคิดคล้ายๆ กัน
เช่น ของสิ่งนี้....ถ้ามันยังทำหน้าที่ของมันได้ดีอยู่..เราจะไปซื้อใหม่ทำไม
ไหนจะเปลืองเงิน ไหนจะเปลืองเวลาไปเลือกซื้อ และยังเปลืองทรัพยาการของโลกอีกด้วย
การผลิตและทำลายของแต่ละชิ้นนี่ต้องใช้ทรัพยากรโลกที่มีอยู่อย่างจำกัดไปไม่รู้เท่าไหร่
(และ..ถ้าของใช้พูดได้...เราคงได้ยินคำว่า...ขอบคุณที่ใช้พวกเราจนคุ้มค่านะ)
ถ้ามองในมุม “คุณค่าของการให้” การให้สิ่งของแก่ผู้อื่นคงเปรียบได้แค่การ “ให้ปลา”
ถ้าจำกัดรูปแบบของการแบ่งปันอยู่แค่นั้นจริงๆ... เราว่าทำไม่ยากอยู่แล้วค่ะ
โดยเฉพาะสถานะทางการเงินอย่างอาจารย์ทั้งสามท่าน และนักลงทุน VI ต้นแบบของพวกเราอีกหลายคน
...ยิ่งทำได้ง่ายใหญ่ เพราะมีเงินมากกว่าพวกเราหลายเท่า
แต่เราว่าการจะคาดหวังให้นักลงทุนเน้นคุณค่า “เห็นคุณค่า” “การหยิบยื่นปลาให้ผู้อื่น”
คงจะเป็นการยากอยู่สักหน่อย
มาลองพิจารณาดูว่าท่านเหล่านั้นให้อะไรแก่ผู้อื่น แก่สังคม และแก่พวกเราด้วย
ถ้าจะตอบว่าให้ “วิธีการจับปลา (ที่มีคุณภาพซะด้วย)” น่าจะเหมาะสมกว่า
มาลองมองในมุมของ “การให้เวลา” ก็จะยิ่งดี เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่เท่ากันหมด
ไม่ว่าจะจนจะรวย port เล็ก port ใหญ่....ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันหมด
ทำไมท่านอาจารย์ถึงได้มานั่งจัดรายการ money talk ทั้งที่ไม่มีผลตอบแทนเป็นตัวเงิน
ทำไมทีมงานสมาคมนักลงทุน VI จึงให้ความสำคัญที่จะเป็นธุระในการจัดสัมมนา
เพื่อสอน “วิธีจับปลา” ในรูปแบบต่างๆ ให้แก่พวกเราและนักลงทุนผู้เริ่มต้นเป็นวงกว้าง
“เอาเวลาไปทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าหรือ” คำตอบคงชัดเจนอยู่ในตัวเองแล้ว
พวกเราเองก็เช่นกัน.....ถ้าวันนี้เรารู้สึกว่า....เราไม่ได้มีเงินมากพอ
ที่จะไปบริจาคเพื่อช่วยเหลือมูลนิธิใดๆ.....เพราะเราเองก็ยังต้องสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างครอบครัว
ก็อย่าได้รู้สึกผิดหรือคิดว่าเราไม่ได้ทำประโยชน์ด้วยการแบ่งปันข้าวของให้แก่ผู้อื่น
ยังมีอีกหลายสิ่งที่เราทำได้ หรืออาจทำอยู่ทุกๆ วัน เช่น
การให้กำลังใจ การให้โอกาส การให้น้ำใจ หรือแม้แต่รอยยิ้ม
การที่ครอบครัวเราดำเนินชีวิตโดยยึดมั่นในคุณธรรมขั้นพื้นฐาน
เช่น ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน มีวินัย ไฝ่คุณธรรม ฯลฯ (คล้ายคำขวัญวันเด็กนั่นแหละ)
จะส่งผลให้เรามีฐานะที่มั่นคงพอ เมื่อนั้นเราและสมาชิกในครอบครัวของเรา
ก็ไม่จำเป็นต้องขอรับสวัสดิการสังคม (ปลา) ที่รัฐจัดไว้ให้สำหรับผู้ที่ยังขาดแคลนหรือลำบากกว่าเรา
และเมื่อฐานะของเรามั่นคงขึ้น มีอิสรภาพทางการเงิน
เราอาจจะมีโอกาสแบ่งปันเวลาไปช่วยสอนหรือมีส่วนร่วมในการสอน “วิธีจับปลา” ให้แก่นักลงทุนรุ่นหลัง
เพื่อส่งต่อวิถีการลงทุนแนว VI และส่งต่อความมั่งคั่ง จากรุ่นสู่รุ่น อย่างยังยืนต่อไป
ถ้าเรามองเรื่องของ “การให้” และ “การแบ่งปัน” ในมุมที่กว้างขึ้น ละเอียดขึ้น
และ “มีคุณค่า” มากขึ้น...ก็คงพอจะมองได้ประมาณนี้ค่ะ
ก่อนอื่น....อยากเล่าถึงวันที่ไปอัดเทปรายการ money talk ค่ะ
ที่ตัวเองโชคดีมีโอกาสได้รับทราบ (ทีมงานสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่าคงจะทราบดีอยู่แล้ว)
ก่อนเริ่มรายการเราได้เล่าให้อาจารย์ทั้งสามท่านฟังว่า
ชุดอยู่บ้านบางชุดใส่มาตั้งแต่ก่อนท้อง....จนมีลูก 12 ขวบ แล้วก็ยังใส่
ท่านอาจารย์ ดร.ไพบูลย์ บอกว่า “ขอโทษนะ ขอยกขากางเกงขึ้นมาให้ดูนิดนึงนะ”
ภาพที่เห็นคือ ปลายขากางเกงตรงข้อเท้าด้านหลัง มีรอยขาดรุ่ยๆ (ยาวประมาณ 5-7 ซม.เห็นจะได้)
อาจารย์ท่านบอกว่า “นี่ชุดที่ใส่ออกนอกบ้านเลยนะ เนี่ยขากางเกงเป็นแบบนี้ยังใส่อยู่เลย”
และอีกครั้งระหว่างช่วงพัก เนื่องจากค่อนข้างเย็นแล้ว (ตามประสาพ่อบ้านที่ดี...นี่เราเดาเองนะ)
อาจารย์ทุกท่านก็คงห่วงว่าเผื่อทางบ้านโทรมาบ้างหรือเปล่า
ก็ได้หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเผื่อมี “สายที่ไม่ได้รับ”
พบว่าแต่ละท่านใช้โทรศัพท์ธรรมดาๆ ราคาไม่แพง และสภาพค่อนข้างเก่า
และยังเรื่องของความเป็นกันเอง ที่ชวนให้นึกถึงคำดีๆ ที่เคยอ่านเจอ (จากที่ไหนจำไม่ได้แล้ว)
ที่ว่า “เปิดใจให้กว้าง วางตนให้เล็ก” คุณสมบัตินี้....เรารู้สึกได้ว่ามีอยู่ในตัวอาจารย์ทุกท่านจริงๆ
เรารู้สึกปลื้มปิติมากที่ได้มีโอกาสนั่งอยู่ตรงนั้น......ในช่วงเวลานั้น กลับมาเล่าให้สามีและลูกฟังด้วย
และตั้งใจว่าต้องนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ใน web ThaiVI ได้ทราบด้วย เพื่อยึดถือเป็นแบบอย่างที่ดี
.......................................................................
บางคนอาจมองว่า “อะไรจะขนาดนั้น” ขืนไม่ซื้อเสื้อผ้ากันเลยก็พอดีพ่อค้าแม่ขายไม่ต้องได้เงินกัน
หรือ รวยแล้วมีเงินซื้อใหม่ก็ซื้อไปเหอะ ของเก่าจะได้เอาไปแบ่งปันผู้อื่นบ้าง
ถ้าเราจะนิยามคำว่าแบ่งปันในกรอบที่แคบหน่อย.....ก็อาจจะจริง
การแบ่งปันในนิยามนั้น....คงจะหมายถึงแค่การให้สิ่งของแก่ผู้อื่นเท่านั้น
แต่เราอยากลองชวนเพื่อนๆ มามองในมุมใหม่ๆ ที่กว้างขึ้น ละเอียดขึ้น และมีคุณค่ามากขึ้น....อย่างนี้ค่ะ
ในมุมมองใหม่นี้ เชื่อแน่ว่าท่านอาจารย์และชาว VI อีกหลายท่านน่าจะคิดคล้ายๆ กัน
เช่น ของสิ่งนี้....ถ้ามันยังทำหน้าที่ของมันได้ดีอยู่..เราจะไปซื้อใหม่ทำไม
ไหนจะเปลืองเงิน ไหนจะเปลืองเวลาไปเลือกซื้อ และยังเปลืองทรัพยาการของโลกอีกด้วย
การผลิตและทำลายของแต่ละชิ้นนี่ต้องใช้ทรัพยากรโลกที่มีอยู่อย่างจำกัดไปไม่รู้เท่าไหร่
(และ..ถ้าของใช้พูดได้...เราคงได้ยินคำว่า...ขอบคุณที่ใช้พวกเราจนคุ้มค่านะ)
ถ้ามองในมุม “คุณค่าของการให้” การให้สิ่งของแก่ผู้อื่นคงเปรียบได้แค่การ “ให้ปลา”
ถ้าจำกัดรูปแบบของการแบ่งปันอยู่แค่นั้นจริงๆ... เราว่าทำไม่ยากอยู่แล้วค่ะ
โดยเฉพาะสถานะทางการเงินอย่างอาจารย์ทั้งสามท่าน และนักลงทุน VI ต้นแบบของพวกเราอีกหลายคน
...ยิ่งทำได้ง่ายใหญ่ เพราะมีเงินมากกว่าพวกเราหลายเท่า
แต่เราว่าการจะคาดหวังให้นักลงทุนเน้นคุณค่า “เห็นคุณค่า” “การหยิบยื่นปลาให้ผู้อื่น”
คงจะเป็นการยากอยู่สักหน่อย
มาลองพิจารณาดูว่าท่านเหล่านั้นให้อะไรแก่ผู้อื่น แก่สังคม และแก่พวกเราด้วย
ถ้าจะตอบว่าให้ “วิธีการจับปลา (ที่มีคุณภาพซะด้วย)” น่าจะเหมาะสมกว่า
มาลองมองในมุมของ “การให้เวลา” ก็จะยิ่งดี เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่เท่ากันหมด
ไม่ว่าจะจนจะรวย port เล็ก port ใหญ่....ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันหมด
ทำไมท่านอาจารย์ถึงได้มานั่งจัดรายการ money talk ทั้งที่ไม่มีผลตอบแทนเป็นตัวเงิน
ทำไมทีมงานสมาคมนักลงทุน VI จึงให้ความสำคัญที่จะเป็นธุระในการจัดสัมมนา
เพื่อสอน “วิธีจับปลา” ในรูปแบบต่างๆ ให้แก่พวกเราและนักลงทุนผู้เริ่มต้นเป็นวงกว้าง
“เอาเวลาไปทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าหรือ” คำตอบคงชัดเจนอยู่ในตัวเองแล้ว
พวกเราเองก็เช่นกัน.....ถ้าวันนี้เรารู้สึกว่า....เราไม่ได้มีเงินมากพอ
ที่จะไปบริจาคเพื่อช่วยเหลือมูลนิธิใดๆ.....เพราะเราเองก็ยังต้องสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างครอบครัว
ก็อย่าได้รู้สึกผิดหรือคิดว่าเราไม่ได้ทำประโยชน์ด้วยการแบ่งปันข้าวของให้แก่ผู้อื่น
ยังมีอีกหลายสิ่งที่เราทำได้ หรืออาจทำอยู่ทุกๆ วัน เช่น
การให้กำลังใจ การให้โอกาส การให้น้ำใจ หรือแม้แต่รอยยิ้ม
การที่ครอบครัวเราดำเนินชีวิตโดยยึดมั่นในคุณธรรมขั้นพื้นฐาน
เช่น ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน มีวินัย ไฝ่คุณธรรม ฯลฯ (คล้ายคำขวัญวันเด็กนั่นแหละ)
จะส่งผลให้เรามีฐานะที่มั่นคงพอ เมื่อนั้นเราและสมาชิกในครอบครัวของเรา
ก็ไม่จำเป็นต้องขอรับสวัสดิการสังคม (ปลา) ที่รัฐจัดไว้ให้สำหรับผู้ที่ยังขาดแคลนหรือลำบากกว่าเรา
และเมื่อฐานะของเรามั่นคงขึ้น มีอิสรภาพทางการเงิน
เราอาจจะมีโอกาสแบ่งปันเวลาไปช่วยสอนหรือมีส่วนร่วมในการสอน “วิธีจับปลา” ให้แก่นักลงทุนรุ่นหลัง
เพื่อส่งต่อวิถีการลงทุนแนว VI และส่งต่อความมั่งคั่ง จากรุ่นสู่รุ่น อย่างยังยืนต่อไป
ถ้าเรามองเรื่องของ “การให้” และ “การแบ่งปัน” ในมุมที่กว้างขึ้น ละเอียดขึ้น
และ “มีคุณค่า” มากขึ้น...ก็คงพอจะมองได้ประมาณนี้ค่ะ
- marcus147
- Verified User
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 143
สุดยอดจริงๆ
การลงทุนในตลาดหุ้น ไม่มีทางลัด อยากเก่ง ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
My Blog : http://marcus147.wordpress.com/
My Blog : http://marcus147.wordpress.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 144
ตั้งใจนำเสนอมุมที่ละเอียดมากจนหลงลืมที่จะกล่าวถึงอีกมุมไป ต้องขออภัยด้วยค่ะ
จริงๆ แล้วการแบ่งปันโดยการสอน "วิธีการจับปลา" นั้นมีคุณค่า
และเป็นการแบ่งปันขั้นสูงและนำไปสู่ความยั่งยืนกว่าการ "ให้ปลา" แน่นอน
แต่ลืมบอกว่าในบางกรณี กับผู้รับบางกลุ่ม เค้าก็ต้องการควบคู่กันไปทั้ง "ปลา" ในเหตุการณ์เฉพาะหน้า
และ "วิธีการจับปลา" ในระยะยาว เพราะเคยเจอและเคยได้ช่วยเหลืออยู่เหมือนกันกับบางกรณี
ที่ผู้รับเองก็พยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะเรียนรู้วิธีจับปลา แต่ขาดแคลนอุปกรณ์เสียเหลือเกิน
หรือไม่มีปลากินในวันนี้เพื่อให้มีแรงออกไปจับปลาตามวิธีที่ได้เรียนรู้มาในวันพรุ่งนี้
กรณีถ้าพบเจอก็น่าเห็นใจมาก อาจต้องพิจารณารูปแบบการแบ่งปันให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
ขอให้มีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือแบ่งปัน + ความใส่ใจ....
จะทำให้เราสามารถเลือกรูปแบบการแบ่งปันได้เหมาะสมกับสถานการณ์เองค่ะ
จริงๆ แล้วการแบ่งปันโดยการสอน "วิธีการจับปลา" นั้นมีคุณค่า
และเป็นการแบ่งปันขั้นสูงและนำไปสู่ความยั่งยืนกว่าการ "ให้ปลา" แน่นอน
แต่ลืมบอกว่าในบางกรณี กับผู้รับบางกลุ่ม เค้าก็ต้องการควบคู่กันไปทั้ง "ปลา" ในเหตุการณ์เฉพาะหน้า
และ "วิธีการจับปลา" ในระยะยาว เพราะเคยเจอและเคยได้ช่วยเหลืออยู่เหมือนกันกับบางกรณี
ที่ผู้รับเองก็พยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะเรียนรู้วิธีจับปลา แต่ขาดแคลนอุปกรณ์เสียเหลือเกิน
หรือไม่มีปลากินในวันนี้เพื่อให้มีแรงออกไปจับปลาตามวิธีที่ได้เรียนรู้มาในวันพรุ่งนี้
กรณีถ้าพบเจอก็น่าเห็นใจมาก อาจต้องพิจารณารูปแบบการแบ่งปันให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
ขอให้มีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือแบ่งปัน + ความใส่ใจ....
จะทำให้เราสามารถเลือกรูปแบบการแบ่งปันได้เหมาะสมกับสถานการณ์เองค่ะ
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2748
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 146
Vi IMrovised
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 147
ถ้าคุณ ddoo7 มาแบ่งปัน "วิธีขอเงินภรรยามาลงทุน" ได้จริง สงสัยต้องเปิดสอนแล้วค่ะ
ไม่ใช่สอนการลงทุน การคัดเลือกหุ้นพื้นฐาน หรือ แนว VI ไม่ยาก ฯลฯ อะไรทำนองนั้นนะคะ
แต่เป็นหลักสูตร "อ้อนภรรยา....หาทุน ลงหุ้นพื้นฐาน" หรือ "เจรจา (กับภรรยา)อย่างไร....ให้ได้ผล"
และทีมงาน Thai VI คงเหนื่อยน้อยลง เพราะพ่อบ้านกว่าครึ่งย้ายไปฟังสัมมนาของคุณ ddoo7 แทนค่ะ 555
:
(เราเปิดประเด็นไว้.....รอเจ้าตัวมาชี้แจงดีกว่านะคะคุณ Vim )
-
- Verified User
- โพสต์: 292
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 148
มาแก้ตัวครับ หัวข้อกระทู้ผมเป็นคำถามครับ เพราะผมทำไม่สำเร็จ555theenuch เขียน:ถ้าคุณ ddoo7 มาแบ่งปัน "วิธีขอเงินภรรยามาลงทุน" ได้จริง สงสัยต้องเปิดสอนแล้วค่ะ
ไม่ใช่สอนการลงทุน การคัดเลือกหุ้นพื้นฐาน หรือ แนว VI ไม่ยาก ฯลฯ อะไรทำนองนั้นนะคะ
แต่เป็นหลักสูตร "อ้อนภรรยา....หาทุน ลงหุ้นพื้นฐาน" หรือ "เจรจา (กับภรรยา)อย่างไร....ให้ได้ผล"
และทีมงาน Thai VI คงเหนื่อยน้อยลง เพราะพ่อบ้านกว่าครึ่งย้ายไปฟังสัมมนาของคุณ ddoo7 แทนค่ะ 555
:
(เราเปิดประเด็นไว้.....รอเจ้าตัวมาชี้แจงดีกว่านะคะคุณ Vim )
ที่ผมลงทุนในหุ้นเป็นการ(แอบ)เอามาลงทุน
คนที่สามารถเอาเงินออมของเมียมาลงทุนได้นี่ต้องสุดยอดมาก
มวานผมยังคิดว่า ถ้าผมตกงานได้ซองขาวมี 10 ล้าน ภรรยาผมจะยอมให้มาลงทุนหุ้นเท่าไรเนี่ยะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 149
แซวเสร็จแล้วเพิ่งไปเห็นตัวกระทู้คุณ ddoo7 ค่ะddoo7 เขียน:มาแก้ตัวครับ หัวข้อกระทู้ผมเป็นคำถามครับ เพราะผมทำไม่สำเร็จ555theenuch เขียน:ถ้าคุณ ddoo7 มาแบ่งปัน "วิธีขอเงินภรรยามาลงทุน" ได้จริง สงสัยต้องเปิดสอนแล้วค่ะ
ไม่ใช่สอนการลงทุน การคัดเลือกหุ้นพื้นฐาน หรือ แนว VI ไม่ยาก ฯลฯ อะไรทำนองนั้นนะคะ
แต่เป็นหลักสูตร "อ้อนภรรยา....หาทุน ลงหุ้นพื้นฐาน" หรือ "เจรจา (กับภรรยา)อย่างไร....ให้ได้ผล"
และทีมงาน Thai VI คงเหนื่อยน้อยลง เพราะพ่อบ้านกว่าครึ่งย้ายไปฟังสัมมนาของคุณ ddoo7 แทนค่ะ 555
:
(เราเปิดประเด็นไว้.....รอเจ้าตัวมาชี้แจงดีกว่านะคะคุณ Vim )
ที่ผมลงทุนในหุ้นเป็นการ(แอบ)เอามาลงทุน
คนที่สามารถเอาเงินออมของเมียมาลงทุนได้นี่ต้องสุดยอดมาก
มวานผมยังคิดว่า ถ้าผมตกงานได้ซองขาวมี 10 ล้าน ภรรยาผมจะยอมให้มาลงทุนหุ้นเท่าไรเนี่ยะ
ไปอ่านมาแล้ว ขอบอกว่าน่าสนใจมาก
เพื่อนๆ อย่าลืมไปแวะอ่านกันนะคะ อยู่ที่
เรื่องทั่วไป/ห้องนั่งเล่น ค่ะ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เอาเงิน (สามี) มาลงทุนให้งอกเงย
โพสต์ที่ 150
“แม่”
..............................................................................
คำว่า “แม่” สำหรับเรา...นี่หลากอารมณ์มากเลย
อย่างที่เคยเล่าว่าเกือบตัดสินใจพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต
สาเหตุหลักๆ เลยก็มาจากแม่เนี่ยแหละ
แต่เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่า......
แม่เป็นโรค Bipolar disorder หรือที่เรียกว่า “อารมณ์แปรปรวนสองขั้ว”
ทำให้ในช่วงหลังๆ มาแม่ต้องอยู่คนเดียว.....เพราะไม่มีใครสามารถอยู่กับแม่ได้
....................................................................
ปัจจุบัน ด้วยวัยเพียง 73 ปี แม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ชนิดที่สมองฝ่อยุบอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้แม่อยู่ที่บ้านของตัวเองที่ต่างจังหวัด...มีพี่สาวเราซึ่งไม่ได้ทำงานอยู่เป็นเพื่อน
และยังต้องจ้างคนดูแล (เป็นชาวเวียตนาม) อีก 1 คน ด้วย
เมื่อ 2-3 วัน ก่อน....คนดูแลลากลับเวียตนามชั่วคราว เราเลยรับแม่มาอยู่ที่บ้านด้วย
พอเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม...ส่งผลให้แม่ที่เป็นอัลไซเมอร์ยิ่งทำตัวไม่ถูก
ครั้งที่แล้วที่มาบ้านเรา....แม่ยังกดชักโครกเป็นอยู่เลย
แต่ครั้งนี้.....แม่ก่อวีรกรรมในห้องน้ำ สภาพเกินบรรยาย....ตอนนี้ชักโครกยังกดไม่ลงอยู่เลย
แต่แม่ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำใหเกิดเรื่อง.....แถมพอเราเข้าไปเจอสภาพในห้องน้ำ
แม่ยังบอกว่าไม่ต้องห่วงนะ.....เดี๋ยวจัดการให้....ว่าแล้วก็ล้วงมือลงไปในชักโครกอีก
ต้องห้ามปรามกันจ้าละหวั่น เหนื่อยไป...ขำไป
.................................................................
จะว่าไปแม่ก็มีผลต่อการวางแผนการเงินในช่วงชีวิตต่อมาของเรามากทีเดียว
ตอนเด็กๆ แม่ชอบเอามะยมที่ต้นมากวนให้เราเอาไปขายที่โรงเรียน
ยังทำขนมอื่นๆ อีก ถั่วลิสงคลุกน้ำตาล ท๊อฟฟี่โบราณ
ช่วยฝึกนิสัยการเป็นนักลงทุนและบริหารเงินให้แต่เล็ก
ตัวแม่เองก็ยังเอาของมาขายเงินผ่อนให้กับเพื่อครูด้วย เช่น สร้อยทอง ผ้าไหม
แต่ที่เราไม่ชอบและเตือนให้เราไม่เอาอย่างก็คือ.....เรื่องการปล่อยเงินกู้
แม่คิดดอกไม่แพงหรอกค่ะ แต่บ่อยครั้งเราต้องทำหน้าที่ไปเก็บดอกเบี้ยให้
ไปถึงบ้านลูกหนี้ก็ ได้บ้าง...ไม่ได้บ้าง (กรณีหลัง...รู้สึกว่าทำให้เสียเวลามากๆ)
จนวันนี้...หลังเกษียณ....ศักยภาพในการไปทวงเงินคืนของแม่ก็ลดลงตามไปด้วย
เรานั่งรวมเงินในสัญญาเงินกู้แล้วพบว่า เงินแม่อยู่ที่คนอื่นถึงสองล้านกว่าบาท
ส่วนนึงแม่ก็กู้มาจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูด้วย....เอามาปล่อยกู้เอาส่วนต่าง
โชคยังดีที่เงินเรือนหุ้นในสหกรณ์ออมทรัพย์มากกว่ายอดหนี้
ตอนนี้ สัญญาเงินกู้ก็ให้พี่สาวไปดำเนินการฟ้องร้องเอา.....ซึ่งไม่ง่ายเลย
แถมไม่ได้เป็นเงินก้อนอีก........ต้องทยอยไปรับจากสำนักงานบังคับคดีเป็นงวดๆ ไป
..........................................................................
trend ที่ว่า....ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เจริญก้าวหน้าขึ้น
ส่งผลให้คนเราอายุยืนขึ้นเป็นสังคมผู้สูงอายุ นักลงทุนจึงต้องพิจารณาประเด็นดังกล่าว
ประกอบการเลือกบริษัทที่จะลงทุนด้วย หลายคนก็เลือกที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล
เพื่อให้สอดคล้องกับ trend ดังกล่าว
..............................................................................................
เราอยากบอกว่า.....การวางแผนการเงินในครอบครัว
ก็ต้องคำนึงถึง trend ดังกล่าวนี้ด้วย
เช่น ต้องพิจารณาเสียเนิ่นๆ ว่า เรามีพ่อแม่ที่มีแนวโน้มจะป่วยด้วยโรคเรื้อรังหรือไม่
ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัวเป็นอย่างไร มีกรรมพันธุ์โรคเรื้อรัง
เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด บ้างหรือไม่
ถ้ามี..........ควรต้องเตรียมเงินเผื่อสำหรับการดูแลไว้ด้วย
ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าจ้างคนดูแล ค่าผ้าอ้อมผู้ใหญ่
ค่าปรับปรุงบ้านให้เหมาะสม เช่น ทำราวจับในห้องน้ำ หรือจุดอื่นๆ ตามความเหมาะสม
...............................................................
เพื่อที่ว่าจะได้ไม่รวน.....เมื่อถึงเวลาจริง
เคยเจอบางครอบครวมีพ่อแม่ที่เป็นเส้นเลือดแตกในสมอง....
ทำให้เกิดความพิการอย่างฉับพลันทันใด
แล้วส่งผลให้ฐานะทางการเงินทางบ้านรวนไปหมด
...............................................................
ไม่ได้จะมาแช่งใดๆ นะคะ แต่เราอยากเตือนว่า...
มันเป็นเรื่องธรรมดา และเป็นสัจธรรมมากๆ ที่เราไม่สามารถหนีพ้น
ถ้าเราพิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นธรรมดาและอาจจะเกิดขึ้นได้......เราจะได้เตรียมตัว
ของเรายังดีที่พอจะเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามสิทธิข้าราชการ
(แต่มีแนวโน้มว่าจะเบิกได้น้อยลงเรื่อยๆ)
.................................................................
ทางที่ดีก็อย่าได้ประมาทจะดีกว่านะคะ
..............................................................................
คำว่า “แม่” สำหรับเรา...นี่หลากอารมณ์มากเลย
อย่างที่เคยเล่าว่าเกือบตัดสินใจพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต
สาเหตุหลักๆ เลยก็มาจากแม่เนี่ยแหละ
แต่เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่า......
แม่เป็นโรค Bipolar disorder หรือที่เรียกว่า “อารมณ์แปรปรวนสองขั้ว”
ทำให้ในช่วงหลังๆ มาแม่ต้องอยู่คนเดียว.....เพราะไม่มีใครสามารถอยู่กับแม่ได้
....................................................................
ปัจจุบัน ด้วยวัยเพียง 73 ปี แม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ชนิดที่สมองฝ่อยุบอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้แม่อยู่ที่บ้านของตัวเองที่ต่างจังหวัด...มีพี่สาวเราซึ่งไม่ได้ทำงานอยู่เป็นเพื่อน
และยังต้องจ้างคนดูแล (เป็นชาวเวียตนาม) อีก 1 คน ด้วย
เมื่อ 2-3 วัน ก่อน....คนดูแลลากลับเวียตนามชั่วคราว เราเลยรับแม่มาอยู่ที่บ้านด้วย
พอเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม...ส่งผลให้แม่ที่เป็นอัลไซเมอร์ยิ่งทำตัวไม่ถูก
ครั้งที่แล้วที่มาบ้านเรา....แม่ยังกดชักโครกเป็นอยู่เลย
แต่ครั้งนี้.....แม่ก่อวีรกรรมในห้องน้ำ สภาพเกินบรรยาย....ตอนนี้ชักโครกยังกดไม่ลงอยู่เลย
แต่แม่ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำใหเกิดเรื่อง.....แถมพอเราเข้าไปเจอสภาพในห้องน้ำ
แม่ยังบอกว่าไม่ต้องห่วงนะ.....เดี๋ยวจัดการให้....ว่าแล้วก็ล้วงมือลงไปในชักโครกอีก
ต้องห้ามปรามกันจ้าละหวั่น เหนื่อยไป...ขำไป
.................................................................
จะว่าไปแม่ก็มีผลต่อการวางแผนการเงินในช่วงชีวิตต่อมาของเรามากทีเดียว
ตอนเด็กๆ แม่ชอบเอามะยมที่ต้นมากวนให้เราเอาไปขายที่โรงเรียน
ยังทำขนมอื่นๆ อีก ถั่วลิสงคลุกน้ำตาล ท๊อฟฟี่โบราณ
ช่วยฝึกนิสัยการเป็นนักลงทุนและบริหารเงินให้แต่เล็ก
ตัวแม่เองก็ยังเอาของมาขายเงินผ่อนให้กับเพื่อครูด้วย เช่น สร้อยทอง ผ้าไหม
แต่ที่เราไม่ชอบและเตือนให้เราไม่เอาอย่างก็คือ.....เรื่องการปล่อยเงินกู้
แม่คิดดอกไม่แพงหรอกค่ะ แต่บ่อยครั้งเราต้องทำหน้าที่ไปเก็บดอกเบี้ยให้
ไปถึงบ้านลูกหนี้ก็ ได้บ้าง...ไม่ได้บ้าง (กรณีหลัง...รู้สึกว่าทำให้เสียเวลามากๆ)
จนวันนี้...หลังเกษียณ....ศักยภาพในการไปทวงเงินคืนของแม่ก็ลดลงตามไปด้วย
เรานั่งรวมเงินในสัญญาเงินกู้แล้วพบว่า เงินแม่อยู่ที่คนอื่นถึงสองล้านกว่าบาท
ส่วนนึงแม่ก็กู้มาจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูด้วย....เอามาปล่อยกู้เอาส่วนต่าง
โชคยังดีที่เงินเรือนหุ้นในสหกรณ์ออมทรัพย์มากกว่ายอดหนี้
ตอนนี้ สัญญาเงินกู้ก็ให้พี่สาวไปดำเนินการฟ้องร้องเอา.....ซึ่งไม่ง่ายเลย
แถมไม่ได้เป็นเงินก้อนอีก........ต้องทยอยไปรับจากสำนักงานบังคับคดีเป็นงวดๆ ไป
..........................................................................
trend ที่ว่า....ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เจริญก้าวหน้าขึ้น
ส่งผลให้คนเราอายุยืนขึ้นเป็นสังคมผู้สูงอายุ นักลงทุนจึงต้องพิจารณาประเด็นดังกล่าว
ประกอบการเลือกบริษัทที่จะลงทุนด้วย หลายคนก็เลือกที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล
เพื่อให้สอดคล้องกับ trend ดังกล่าว
..............................................................................................
เราอยากบอกว่า.....การวางแผนการเงินในครอบครัว
ก็ต้องคำนึงถึง trend ดังกล่าวนี้ด้วย
เช่น ต้องพิจารณาเสียเนิ่นๆ ว่า เรามีพ่อแม่ที่มีแนวโน้มจะป่วยด้วยโรคเรื้อรังหรือไม่
ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัวเป็นอย่างไร มีกรรมพันธุ์โรคเรื้อรัง
เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด บ้างหรือไม่
ถ้ามี..........ควรต้องเตรียมเงินเผื่อสำหรับการดูแลไว้ด้วย
ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าจ้างคนดูแล ค่าผ้าอ้อมผู้ใหญ่
ค่าปรับปรุงบ้านให้เหมาะสม เช่น ทำราวจับในห้องน้ำ หรือจุดอื่นๆ ตามความเหมาะสม
...............................................................
เพื่อที่ว่าจะได้ไม่รวน.....เมื่อถึงเวลาจริง
เคยเจอบางครอบครวมีพ่อแม่ที่เป็นเส้นเลือดแตกในสมอง....
ทำให้เกิดความพิการอย่างฉับพลันทันใด
แล้วส่งผลให้ฐานะทางการเงินทางบ้านรวนไปหมด
...............................................................
ไม่ได้จะมาแช่งใดๆ นะคะ แต่เราอยากเตือนว่า...
มันเป็นเรื่องธรรมดา และเป็นสัจธรรมมากๆ ที่เราไม่สามารถหนีพ้น
ถ้าเราพิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นธรรมดาและอาจจะเกิดขึ้นได้......เราจะได้เตรียมตัว
ของเรายังดีที่พอจะเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามสิทธิข้าราชการ
(แต่มีแนวโน้มว่าจะเบิกได้น้อยลงเรื่อยๆ)
.................................................................
ทางที่ดีก็อย่าได้ประมาทจะดีกว่านะคะ