$$...ไขข้อข้องใจ กลัวอะไรกับจีนกันจังเลย? ...$$

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
นายมานะ
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1116
ผู้ติดตาม: 0

$$...ไขข้อข้องใจ กลัวอะไรกับจีนกันจังเลย? ...$$

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เศรษฐกิจอเมริกาทำท่าจะฟื้น จนมาถึงทางที่ Ben Bernanke ต้องคิดหนักว่าจะชะลอ QE ช่วงไหน และทำให้เงินทุนในตลาดเกิดใหม่ไหลออกไปสร้างความปวดหัวให้นักลงทุนไม่น้อย อีกหนึ่งปัญหาที่เริ่มเขย่าตลาดหุ้นทั้งเอเชียนิดๆก็กำลังค่อยๆโผล่ขึ้น ผมขอโอกาสนี้อธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นในจีน ณ ปัจจุบัน ให้ฟังกันคร่าวๆนะครับ

หากย้อนกลับไปในช่วงหลังวิกฤต Subprime ในปี 2008 เป็นต้นมา จีนประสบปัญหากับการชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจมาตลอด ซึ่งสาเหตุก็อย่างที่เรารู้กันว่าเกิดจากยอดเกินดุลการค้าจากการส่งออกไปตลาดหลักอย่างยุโรป และอเมริกา หดตัวลงอย่างรุนแรงจากการลดการบริโภค และการประสบปัญหาการคลังของโครงสร้างเศรษฐกิจของ 2 ประเทศคู่ค้ารายใหญ่

ดูจากกราฟด้านล่าง จะเห็นว่า ในช่วงก่อน Subprime นั้น การส่งออกของจีน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงเกือบ 45% ของ GDP ทั้งหมด พอเกิดวิกฤตปั๊บ ตัวเลขสัดส่วนส่งออกต่อ GDP ก็ลดลงเหลือไม่ถึง 40% และก็คาดกันว่า ไม่น่าจะขึ้นมาเกินกว่า 40% ได้ในช่วงทศวรรษข้างหน้า ซึ่งหากเทียบกับอเมริกาแล้ว สัดส่วนการส่งออกต่อ GDP น่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่โตเพราะกู้เยอะๆ เน้นการบริโภคในประเทศ ซึ่งตรงกันข้ามกับจีนเลยก็ว่าได้

จีนกำหนดกรอบ GDP Growth ของประเทศไว้ที่ 7.5% จริงๆแล้ว นักวิเคราะห์ทั้งหลายก็ลุ้นๆกันว่า ไตรมาส 4 ปีที่แล้ว กับไตรมาส 1 ปีนี้ น่าจะได้เห็น GDP ของจีนผงกหัวขึ้น หรือพูดง่ายๆคือ เก็งกันว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า HSBC, Morgan Stanley, UBS และ Goldman Sachs รวมหัวกันหัน GDP Growth จีนในปีนี้และปีหน้าลง แถมในปีนี้ ยังให้ต่ำกว่า 7.5% ที่รัฐบาลกำหนดไว้เสียอีก เป็นงี้ ทุกคนก็เผ่นครับ!!

ปัญหามันอยู่ตรงไหน ทำไมต้องกลัวจีนกัน?
ส่วนใหญ่ก็ขายแห่ตามกันเพราะความกลัวครับ นักลงทุนจำนวนไม่มากที่รู้ปัญหาของจีนจริงๆจังๆ ปัจจัยที่ทำให้นักวิเคราะห์กังวลกับจีนจริงๆ เกิดจากสินเชื่อที่เติบโตอย่างรวดเร็วหลังจากที่รัฐบาลจีนใช้มาตรการนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อรับมือมือกับวิกฤตฝั่งอเมริกาและยุโรป
เอาให้เห็นภาพมากขึ้นนะครับ Fitch Rating ได้ประเมินสินทรัพย์ของภาคธนาคารจีนไว้ และ Credit Suisse ก็ได้เอาตัวเลขนี้มาเผยแพร่ใน Research Paper ตั้งแต่เดือน มี.ค. ที่ผ่านมา จากตัวเลข จะเห็นว่า หลังจากวิกฤต Subprime หนี้สินภาครัฐ และภาคเอกชนของจีน โตมาจากเดือน 124% ตอนปี 2003 เป็นล่าสุดเกือบๆ 190% ซึ่งส่วนที่บวมขึ้นมา ไม่ได้มาจากการช่องทางการกู้ยืมธรรมดา แต่มาจากระบบที่เรียกว่า “Shadow Banking”

ระบบ Shadow Banking หรือ ระบบธนาคารเงา ก็คือ ระบบ Trust ซึ่งปัจจุบัน กลายเป็นระบบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจากระบบธนาคาร (ใหญ่กว่าประกันซะอีก)
ระบบ Trust เกิดจากโมเดลพื้นฐานของรัฐบาลจีน ที่ต้องการผลักให้เกิดการเติบโตด้านสินเชื่อทดแทนการส่งออกที่หดตัว ซึ่งการลงทุนที่ตรงและง่ายที่สุดก็คือ การลงทุนภาครัฐ (G) แต่ปัญหาก็คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนของภาครัฐกลับลดลงต่อเนื่องจากการชะลอตัวของยุโรป และการคอรับชั่นกันเองของข้าราชการ ทำให้จีนติดกับดักสินเชื่อ จำเป็นต้องเพิ่มระดับสินเชื่อขึ้นไปอีก อัดฉีดเงินเข้าไปอีก เพื่อพยุง GDP ให้โตได้ดังใจหวัง

Bank of America Merrill Lynch ประเมินไว้ว่า จีนต้องใช้เงินลงทุน $5 เพื่อให้ GDP โต $3 (ที่หายไป $2 คงรู้นะ ว่าหายไปไหน)
แต่อย่างที่พวกคุณรู้กันว่า รัฐบาลและธนาคารกลางก็กลัวฟองสบู่ ก็เลยใช้วิธี ขึ้นดอกเบี้ย และขึ้น RRR มาตลอด 2 ปีก่อน ทำให้ธนาคารคิดจะปล่อยกู้ก็ลำบาก เลยเลี่ยงด้วยการไปตั้งทรัสต์ โยกย้ายตัวเลขออกนอกงบดุล โอนหนี้ไปให้ Trust แล้วเอาพวกโครงการการภาครัฐเหล่านี้มาผูกกันเป็น Package ขายให้กับลูกค้ารายใหญ่อีกทอด พอได้เงินจากลูกค้า ก็เอามาปล่อยกู้ภาครัฐ แล้วทำเป็นทอดๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ

หนี้ภาครัฐเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น (LGFVs) ซึ่งมีปัญหาขาดสภาพคล่องไม่สามารถกู้ธนาคารได้ เพราะโครงการส่วนใหญ่เป็นโครงการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะกำไร จึงขาดสภาพคล่องในระยะสั้น การเกิดขึ้นของ Trust จึงเป็นการปล่อยกู้ให้โครงการ LGFVs เหล่านี้ โดยใช้เงินของนักลงทุนรายย่อย ซึ่งการตรวจสอบไส้ในของ Package เหล่านี้ก็เป็นไปด้วยความยาก ประธานของ Bank of China ถึงกับเรียกผลิตภัณฑ์ตัวนี้ว่าเป็น “แชร์ลูกโซ่” เพราะเงินที่ได้จาก Package ตัวใหม่ บางทีก็เอาไปจ่ายให้กับ Package ตัวเก่าที่กำลังหมดอายุ ซึ่งเป็นการยืดอายุหนี้ให้โครงการรัฐที่ล้มเหลวไปเรื่อยๆ

ขนาดของ Trust เหล่านี้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ Credit Suisse ประเมินว่า เกินกว่า 50% ของสินเชื่อในปี 2555 มาจากระบบ Shadow Banking นี้ เนื่องจากความระมัดระวังไม่ให้ปล่อยสินเชื่อมากเกินไปของรัฐบาลผ่านระบบธนาคารธรรมดา

ปัญหาของ Shadow Banking คืออะไร?
ถ้าย้อนกลับไปตอนวิกฤต Subprime ระบบ Shadow Banking นี้ ก็คือ CDOs ดีๆนี้เอง การผิดนัดชำระหนี้ของทรัสต์อาจจะเกิดขึ้นตอนใดก็ได้ และอาจกลายเป็นลูกโซ่ที่มีปัญหาหนักขึ้น ประเด็นก็เพราะ ตัวเลขขนาดของทรัสต์ในปัจจุบัน ไม่มีใครทราบแน่ชัด และไม่มีใครกล้าออกมาเผิดเผยว่า ธนาคารตัวเองถือหุ้นในทรัสต์ที่ไหน และเท่าไหร่บ้าง การเกิด Domino Effect ในอนาคตจึงเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้

หากเทียบกับตอนวิกฤตปี 2008 แล้ว ธนาคารในจีนตอนนี้มีเงินทุนสำรองอยู่ในระดับต่ำกว่าสัดส่วนหนี้อยู่ค่อนข้างมาก ยิ่งไม่ต้องถามถึงธนาคารขนาดกลาง และขนาดเล็กในจีนเลย ธนาคารเหล่านี้แทบไม่มีเงินสำรองด้วยซ้ำ

ดังนั้น เราน่าจะเห็นการให้ความช่วยเหลือระบบธนาคารจากธนาคารกลางและรัฐบาลจีนไม่ช้าก็เร็ว ซึ่งตอนนั้น คงต้องมาพนันกันว่า มันจะสายเกินไปเหมือนตอน Lehman Brothers หรือเปล่า

พูดมาถึงตรงนี้ น่าจะเห็นภาพไม่มากก็น้อยนะครับว่าเศรษฐกิจจีนตอนนี้ กำลังมีปัญหาที่รัฐบาลและธนาคารกลางต้องเร่งแก้ไขให้ได้

และก็อีกนั้นหล่ะ จีนถือเป็นตลาดส่งออก และตลาดนำเข้ารายใหญ่ของประเทศไทยเรา มีความผูกพันกันสูงในเชิงเศรษฐกิจกับไทย นับจากนี้ไป ผมมองว่า นักลงทุนไทย มีปัจจัยที่ต้องระวังมากขึ้น แต่ไม่ใช่ถึงกับถอนเงินไปฝากธนาคารทั้งหมดนะครับ ทั้งหมดที่ผมคุยในวันนี้ คือภาพปัจจุบันซึ่งเรายังไม่รู้ว่ามันจะพัฒนาไปในทางใด และใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่

เพียงแต่ว่า ... ถ้าดูจากตัวอย่างเหตุการณ์ในอดีตแล้ว มันน่ากังวลอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ถ้าถามผมว่า ตอนนี้กลยุทธ์ของผมคืออะไร ก็ต้องบอกว่า "หลีกเลี่ยงการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับจีน และสินค้าโภคภัณฑ์ไปก่อน"

----------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ

credit : http://pantip.com/topic/30703160
Sasueke
Verified User
โพสต์: 37
ผู้ติดตาม: 0

Re: $$...ไขข้อข้องใจ กลัวอะไรกับจีนกันจังเลย? ...$$

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณครับ เห็นภาพชัดเจนเลย
ปีศาจน้อย
Verified User
โพสต์: 3
ผู้ติดตาม: 0

Re: $$...ไขข้อข้องใจ กลัวอะไรกับจีนกันจังเลย? ...$$

โพสต์ที่ 3

โพสต์

:D Thank you for the info
WorriedInvestor
Verified User
โพสต์: 262
ผู้ติดตาม: 0

Re: $$...ไขข้อข้องใจ กลัวอะไรกับจีนกันจังเลย? ...$$

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณ จขกท. มากๆ คร้าบผม :bow:
drsp
Verified User
โพสต์: 381
ผู้ติดตาม: 0

Re: $$...ไขข้อข้องใจ กลัวอะไรกับจีนกันจังเลย? ...$$

โพสต์ที่ 5

โพสต์

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจมากครับ
แต่ในอีกด้านหนึ่ง จีนค้าขายเกินดุลจํานวนมากมานาน
แบงก์ชาติจีนมีเงินสํารองสกุลต่างประเทศมากที่สุดในโลก
จําตัวเลขแน่นอนไม่ได้ แต่เอาเป็นว่าหลายล้านล้านเหรียญสหรัฐ
สิ่งนี้เป็นหลักประกันว่าจีนจะไม่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจแน่ๆ
หนี้เน่าจีนรวมหมดอย่างมากก็แค่หลายหมื่นล้านเหรียญ

อีกอย่างดัชนีหุ้นจีนติดลบมายาวนานหลายปี
จากดัชนี6พันกว่าตอนนี้แค่2พัน
จากp/e50กว่าๆตอนนี้เหลือแค่13
เรียกได้ว่าถูกที่สุดในโลกตลาดหนึ่ง
จีนgdpขยายตัว7%p/e13
ไทยgdpขยายตัว4%p/e15
ใครมีความเสี่ยงมากกกว่ากัน

ที่น่ากลัวสําหรับจีนจริงๆ
ผมว่าเป็นเรื่องการเมืองและสังคมมากกว่า
ระบบคอมมิวนิสต์ไม่สอดคล้องกับสังคมยุคใหม่
คนต้องการสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่ปิดกั้นเซ็นเซ๋อทุกอย่าง
คอรัปชั่นมากมายมหาศาล คนรวยคนจนเหมือนฟ้ากับเหว
ปัญหาคนจนไม่มีที่อยู่อาศัย ฯลฯ
ผมว่าในระยะยาวระบบคอมมิวนิสต์จีนจะอยู่ไม่ได้เหมือนรัสเซีย
แต่คงเป็นเหตุกาาณ์ในอนาคตอีกยาวนาน
PLUSLOVE
Verified User
โพสต์: 1474
ผู้ติดตาม: 0

Re: $$...ไขข้อข้องใจ กลัวอะไรกับจีนกันจังเลย? ...$$

โพสต์ที่ 6

โพสต์

หลีกเลี่ยงการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับจีน และสินค้าโภคภัณฑ์ไปก่อน"

ข้อนี้ ไม่เห็นด้วยครับ ผมกลับมองว่าช่วงนี้ สิ่งที่เราควรจะต้องทำคือ

ลงทุนที่จีนและลงทุนในสินค้า COMMODITYครับ

ภาพที่เห็นในวันนี้ อาจจะไม่ใช่ภาพที่ใหญ่ในอนาคต ครับ นักลงทุน ต้องมองภาพใหญ่ๆครับ

สิ่งที่เสี่ยงที่สุดของนักลงทุน คือ การที่ไม่รู้ว่า ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ครับ


ผมขอไม่เขียนเยอะ ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ
โพสต์โพสต์