อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
- นายมานะ
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1116
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 1
คือเกิดไม่ทัน(เป็นนักลงทุน)ในช่วงปี 40 น่ะครับ คือช่วงก่อนหน้านี้ 2-3 เดือนจะเห็นกระทู้เรื่องฟองสบู่ใกล้จะแตกแล้วบ่อยมาก มีพี่ๆ หลายท่านคอมเม้นว่าหลายๆ อย่างก็คล้ายช่วง ปี 40 จริง สัญญาณหลายๆ อย่างก็ชัดเจน แต่จนแล้วจนรอด ตอนนี้ก็ยังไม่มีชนวนที่จะเจาะให้ฟองสบู่แตก แต่กลายเป็นว่าตลาดหุ้นมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องรุนแรง จนเริ่มจะสงสัยน่ะครับว่าในช่วงก่อนปี 40 นี้ ตลาดตกลงต่อเนื่องยาวนานก่อนที่จะมีการประกาศลดค่าเงินบาทมั้ยครับ แล้วลักษณะก่อนเกิดวิกฤติคล้ายกับลักษณะช่วงนี้ (คนสงสัยว่าเริ่มเกิดวิกฤติ -> ตลาดหุ้น+ศก.ประเทศโต ความกังวลเริ่มคลี่คลาย -> ตลาดหุ้นเริ่มตกต่ำ ความกังวลในวิกฤติกลับมาใหม่อีกครั้ง ->???) หรือไม่ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1904
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 2
นลท ที่เคยผ่านปี 40 คงมีน้อยมั้งครับถึงไม่มีคนตอบเลย สงสัยกลัวคนรู้ว่าแก่ 555
ชนวนที่จะเจาะฟองสบู่มันมีแล้วครับ โผล่มาให้เห็นแล้ว ก็เรื่องยกเลิกคิวอีไง แค่ว่าประกาศจะลดคิวอีตลาดก็ตอบรับหนักขนาดนี้ แล้วมันไม่ได้จะแค่นี้นะ กว่าจะรู้จริงว่าลดไม่ลดแค่ไหนเนี่ยตั้งเดือนตุลาถึงปลายๆปี ระยะเวลาอีกยาวหลายเดือน ถึงเวลานั้นหุ้นไทยจะเหลือเท่าไหร่ใครก็บอกไม่ได้ครับ เพราะงั้นหุ้นเดือนนี้ถึงตกหนักมากเอาตายเลยทีเดียว กำไรที่เล่นสะสมกันมาทั้งปีหรือหลายปีหายแว๊บไปกับตาภายในเดือนเดียว หุ้นตกหนักและแรงเร็วขนาดนี้ ผมเพิ่งเคยเจอนะ ตลอดการเล่นมาหลายสิบปี มันบ้าแล้วขายได้ทุกราคาไม่ดูแล้วว่าหุ้นอะไร
สาเหตุที่หุ้นตกปี 40 หลักๆคือเรื่องฟอซเซลครับ มันขายกันได้ทุกวันๆ ลงซ้ำลงซากลงยืดเยื้อเป็นปีๆทั้งๆที่สมัยก่อนลงไม่เกินสามเดือนมีเด้งกลับตลอด ขนาดมีปฏิวัติตลาดหุ้นก็ยังผ่านวิกฤตมาได้ ก่อนหน้านี้คุณมนตรีออกมาพูดว่าไม่มีทางฟอซเซลจะทำให้หุ้นตก มาจิ้นตลาดเราสมัยนี้แค่ห้าหมื่นกว่าเอง ปี40ตั้งแสนสอง เทียบกับมาเก็ตแคปแล้วสมัยนี้การปล่อยมาจิ้นแน่นหนากว่าหลายๆเท่า พอถึงวันนี้ความเป็นจริงในสายตาผมก็คือหุ้นตกเพราะฟอซเซลนี่แหละส่วนสำคัญ ไอ้ตัวเลขหนี้มันดูเหมือนน้อยก็จริงแต่แรงขายมันมาจากพวกช๊อตหุ้นด้วย ทำไมเขาถึงกล้าขายช๊อต ก็เพราะเค้าทราบว่าขายหนักๆไปถึงระดับราคาหนึ่งจะมีคนโดนฟอซเซลขายตามเอาของมาคืนให้ กระแสขายช๊อตจึงแรงขึ้นเรื่อยๆ กดหุ้นซะต่ำได้ใจเลยครับ และยังจะเห็นต่ำกว่านี้อีกหากว่าผู้บริหารตลาดมัวแต่แก้ปัญหาด้วยปาก พุดอย่างเดียวแก้ปัญหาอะไรไม่ได้หรอกครับ มันต้องออกกฏห้ามช๊อตเซลได้แล้ว ตลาดตอนนี้เหมือนมีสงครามใหญ่แล้ว หุ้นตกเกือบ 20%ภายในเวลาเดือนเดียว ตายเกลี้ยงตลาดครับ แล้วความสูญเสียทางการลงทุนอันนี้แหละจะลุกลามกัดกินเศรษฐกิจและความมั่นใจในการลงทุนไปถึงอนาคตด้วย
สมัยที่หุ้นขึ้นวีไอไม่วีไอก็กำไรกันเยอะ ความมั่งคั่งทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย พอหุ้นตกแบบนี้วีไอจำเป็นกันไปหมด พอร์ตขาดทุนกันระนาว มูลค่าความมั่งคั่งหายไปเป็นล้านๆบาท กำลังจับจ่ายหายไปเยอะครับ เดี๋ยวคอยดูเหอะถ้ารัฐยังงุ่มง่ามมัวแต่จะแก้ปัญหาการเมืองไม่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจนะ ปัญหาที่เราจะเจอคือ ผลประกอบการบริษัทที่เกี่ยวกับการบริโภคจะลดลง อสังหาขายตก ถึงเวลานั้นก็แก้ยากแล้วครับ เฮ้อไม่อยากจะคิดเลย......
ฟองสบู่ไทยแตกอ่ะมันเรื่องจิ๊บๆเพราะตอนนั้นต่างประเทศรวยๆเค้าขนเงินมาซื้อสินทรัพย์ในไทยราคาถูกๆ แต่ตอนนี้หากฟองสบู่เอเซียแตกล่ะก็เหนื่อยครับ เมื่อวานหุ้นฮ่องกง จีน ถึงลงกันต่อ เมกาอ้างเรื่องเศรษฐกิจดีก็จะเลิกคิวอี แต่ผมว่าปลายปีคงยังเลิกไม่ได้หรอกครับ ครุกแม๊นก็ออกมาพูดแล้ว ถึงเวลานั้นหุ้นอาจบวกรับข่าวต่อคิวอีไปไม่มีกำหนด แต่กว่าจะถึงวันนั้นหุ้นยังต้องผ่านขวากหนามอีกเยอะครับ กระแสแรงๆทั้งนั้นด้วย ขอให้โชคดีรอดพ้นวิกฤตกันทุกคนนะครับ
ชนวนที่จะเจาะฟองสบู่มันมีแล้วครับ โผล่มาให้เห็นแล้ว ก็เรื่องยกเลิกคิวอีไง แค่ว่าประกาศจะลดคิวอีตลาดก็ตอบรับหนักขนาดนี้ แล้วมันไม่ได้จะแค่นี้นะ กว่าจะรู้จริงว่าลดไม่ลดแค่ไหนเนี่ยตั้งเดือนตุลาถึงปลายๆปี ระยะเวลาอีกยาวหลายเดือน ถึงเวลานั้นหุ้นไทยจะเหลือเท่าไหร่ใครก็บอกไม่ได้ครับ เพราะงั้นหุ้นเดือนนี้ถึงตกหนักมากเอาตายเลยทีเดียว กำไรที่เล่นสะสมกันมาทั้งปีหรือหลายปีหายแว๊บไปกับตาภายในเดือนเดียว หุ้นตกหนักและแรงเร็วขนาดนี้ ผมเพิ่งเคยเจอนะ ตลอดการเล่นมาหลายสิบปี มันบ้าแล้วขายได้ทุกราคาไม่ดูแล้วว่าหุ้นอะไร
สาเหตุที่หุ้นตกปี 40 หลักๆคือเรื่องฟอซเซลครับ มันขายกันได้ทุกวันๆ ลงซ้ำลงซากลงยืดเยื้อเป็นปีๆทั้งๆที่สมัยก่อนลงไม่เกินสามเดือนมีเด้งกลับตลอด ขนาดมีปฏิวัติตลาดหุ้นก็ยังผ่านวิกฤตมาได้ ก่อนหน้านี้คุณมนตรีออกมาพูดว่าไม่มีทางฟอซเซลจะทำให้หุ้นตก มาจิ้นตลาดเราสมัยนี้แค่ห้าหมื่นกว่าเอง ปี40ตั้งแสนสอง เทียบกับมาเก็ตแคปแล้วสมัยนี้การปล่อยมาจิ้นแน่นหนากว่าหลายๆเท่า พอถึงวันนี้ความเป็นจริงในสายตาผมก็คือหุ้นตกเพราะฟอซเซลนี่แหละส่วนสำคัญ ไอ้ตัวเลขหนี้มันดูเหมือนน้อยก็จริงแต่แรงขายมันมาจากพวกช๊อตหุ้นด้วย ทำไมเขาถึงกล้าขายช๊อต ก็เพราะเค้าทราบว่าขายหนักๆไปถึงระดับราคาหนึ่งจะมีคนโดนฟอซเซลขายตามเอาของมาคืนให้ กระแสขายช๊อตจึงแรงขึ้นเรื่อยๆ กดหุ้นซะต่ำได้ใจเลยครับ และยังจะเห็นต่ำกว่านี้อีกหากว่าผู้บริหารตลาดมัวแต่แก้ปัญหาด้วยปาก พุดอย่างเดียวแก้ปัญหาอะไรไม่ได้หรอกครับ มันต้องออกกฏห้ามช๊อตเซลได้แล้ว ตลาดตอนนี้เหมือนมีสงครามใหญ่แล้ว หุ้นตกเกือบ 20%ภายในเวลาเดือนเดียว ตายเกลี้ยงตลาดครับ แล้วความสูญเสียทางการลงทุนอันนี้แหละจะลุกลามกัดกินเศรษฐกิจและความมั่นใจในการลงทุนไปถึงอนาคตด้วย
สมัยที่หุ้นขึ้นวีไอไม่วีไอก็กำไรกันเยอะ ความมั่งคั่งทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย พอหุ้นตกแบบนี้วีไอจำเป็นกันไปหมด พอร์ตขาดทุนกันระนาว มูลค่าความมั่งคั่งหายไปเป็นล้านๆบาท กำลังจับจ่ายหายไปเยอะครับ เดี๋ยวคอยดูเหอะถ้ารัฐยังงุ่มง่ามมัวแต่จะแก้ปัญหาการเมืองไม่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจนะ ปัญหาที่เราจะเจอคือ ผลประกอบการบริษัทที่เกี่ยวกับการบริโภคจะลดลง อสังหาขายตก ถึงเวลานั้นก็แก้ยากแล้วครับ เฮ้อไม่อยากจะคิดเลย......
ฟองสบู่ไทยแตกอ่ะมันเรื่องจิ๊บๆเพราะตอนนั้นต่างประเทศรวยๆเค้าขนเงินมาซื้อสินทรัพย์ในไทยราคาถูกๆ แต่ตอนนี้หากฟองสบู่เอเซียแตกล่ะก็เหนื่อยครับ เมื่อวานหุ้นฮ่องกง จีน ถึงลงกันต่อ เมกาอ้างเรื่องเศรษฐกิจดีก็จะเลิกคิวอี แต่ผมว่าปลายปีคงยังเลิกไม่ได้หรอกครับ ครุกแม๊นก็ออกมาพูดแล้ว ถึงเวลานั้นหุ้นอาจบวกรับข่าวต่อคิวอีไปไม่มีกำหนด แต่กว่าจะถึงวันนั้นหุ้นยังต้องผ่านขวากหนามอีกเยอะครับ กระแสแรงๆทั้งนั้นด้วย ขอให้โชคดีรอดพ้นวิกฤตกันทุกคนนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1401
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 4
1) ดอกเบี้ยสูงมาก ฝากธนาคารได้ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ แล้วคิดดูว่า เงินกู้จะเสียดอกเบี้ยเท่าไหร่?
2) อสังหาริมทรัพย์บูมมาก คนแห่กันสร้างทาวน์เฮ้าส์ขาย ราคาที่ดินแพงมากมาย คนที่มีที่และพอมีเงินหน่อย ก็พากันสร้างทาวน์เฮ้าส์ขายเป็นว่าเล่น พวกเก็งกำไรเต็มตลาด ตอนนั้น คอนโดของบางกอกแลนด์ดังมาก เสี่ยช้างเข้ามาลงทุนอสังหาฯ ในประเทศไทยเต็มตัว เปิดเมืองทองธานี
3) ตอนนั้น ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย
4) หนี้เสียของธนาคารต่างๆเยอะมาก ให้กู้กันเป็นว่าเล่น มีการหมกเม็ดและแต่งบัญชีกันมากมาย
5) สมัยนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งไม่มีคนยอมเป็น รมต.คลังเลย หายากมาก คลังสมัยนั้นมีปัญหาหมกเม็ด จนไม่มีใครยอมรับตำแหน่ง
นึกไม่ออกครับ ผมว่า ยังไม่เหมือนตอนนี้หรอกครับ ดอกเบี้ยก็ยังไม่สูง ธุรกิจอสังหาก็ยังระมัดระวังกันมาก ธนาคารก็มีการตั้งสำรองเยอะครับ
2) อสังหาริมทรัพย์บูมมาก คนแห่กันสร้างทาวน์เฮ้าส์ขาย ราคาที่ดินแพงมากมาย คนที่มีที่และพอมีเงินหน่อย ก็พากันสร้างทาวน์เฮ้าส์ขายเป็นว่าเล่น พวกเก็งกำไรเต็มตลาด ตอนนั้น คอนโดของบางกอกแลนด์ดังมาก เสี่ยช้างเข้ามาลงทุนอสังหาฯ ในประเทศไทยเต็มตัว เปิดเมืองทองธานี
3) ตอนนั้น ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย
4) หนี้เสียของธนาคารต่างๆเยอะมาก ให้กู้กันเป็นว่าเล่น มีการหมกเม็ดและแต่งบัญชีกันมากมาย
5) สมัยนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งไม่มีคนยอมเป็น รมต.คลังเลย หายากมาก คลังสมัยนั้นมีปัญหาหมกเม็ด จนไม่มีใครยอมรับตำแหน่ง
นึกไม่ออกครับ ผมว่า ยังไม่เหมือนตอนนี้หรอกครับ ดอกเบี้ยก็ยังไม่สูง ธุรกิจอสังหาก็ยังระมัดระวังกันมาก ธนาคารก็มีการตั้งสำรองเยอะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 168
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 5
การ short sell ก็เป็นโอกาสซื้อให้เราหรือเปล่าครับ ดีกว่าราคาขึ้นทะลุฟ้า
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 6
ผมว่ามันคงต้องดูเป็นกรณีไปครับ คำว่าฟองสบู่แตก เราจะเอาแค่ไหนถึงจะเรียกว่าฟองสบู่แตก บางครั้งตลาดหุ้นที่ลงหนักเพราะมันขึ้นมากเกินไป เศรษฐกิจในประเทศมันก็อาจจะไม่ได้แย่ก็ได้ครับ อาจจะเรียกว่าฟองสบู่ตลาดหุ้นแตก แต่ถ้าแบบของแท้ก็ต้องแย่ทั้งตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ อย่างบางกรณีมันก็อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเราโดยตรงแต่เป็นเหตุการณ์ในส่วนอื่นของโลก แต่ตลาดหุ้นมันก็ลงอย่างรุนแรงไปด้วย
จะว่าไปตอนปี 40 ทุกอย่างมันแย่จนสุกงอมแล้วครับ แต่ก่อนหน้านั้นหุ้นมันก็ผันผวนมาตลอดครับ ตั้งแต่ยุคหลังตลาดขึ้นไป 1700 จุดในปี 37 แล้ว
จะว่าไปตอนปี 40 ทุกอย่างมันแย่จนสุกงอมแล้วครับ แต่ก่อนหน้านั้นหุ้นมันก็ผันผวนมาตลอดครับ ตั้งแต่ยุคหลังตลาดขึ้นไป 1700 จุดในปี 37 แล้ว
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 8
เห็นด้วยครับ ได้ยินข่าวมาว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระหว่างธนาคาร 11% ทำให้ผมนึกถึงธนาคารไทยในตอนนั้นดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุดที่ได้ยินคือ 16%patongpa เขียน:คุณ chootana ว่าไว้น่ะ กำลังเกิดขึ้นที่เมืองจีนครับ ผมล่ะกลัวจริงๆว่าจีนจะเจอเป็ดปักกิ่งไคลซีส
"Become a risk taker, not a risk maker"
- นายมานะ
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1116
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 9
ฟังดูน่ากลัวกว่าต้มยำกุ้งไครซิสจริงๆด้วยครับ บ้านเราสัญญาณยังไม่ชัด เพราะหลายๆ ฝ่ายมีบทเรียนระวังตัวกันเต็มที่ แต่จีนยังเป็นประเทศทุนนิยมเกิดใหม่ ถึงแม้ว่ารัฐจะมีอำนาจค่อนข้างมาก และจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจได้ดี แต่เอาเข้าจริงจีนน่าจะยังไม่เคยผ่านวิกฤติเศรษฐกิจในโลกทุนนิยมปัจจุบันรึเปล่าครับ ถ้าเกิดขึ้นจริงคงเกิดภาวะตึงเครียดทางเศรษฐกิจในแทบทุกประเทศทั่วโลกแน่ๆ น่ากลัวมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1904
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 11
จีน pe ต่ำจนน่าตกใจครับ ทำไมไม่มีคนซื้อหุ้นล่ะ ปู่บัฟไม่สนจีนหรือครับ 555
วันนี้ดาวบวก 150 ผลมาจากนักลงทุนเห็นตัวเลฃจีดีพีของเมกาลดลง เอาไงแน่ฟะ จีดีพีลดแต่หุ้นตอบรับแง่บวก เพราะหวังว่าเฟดจะต่ออายุคิวอีออกไปถึงปีหน้า ยื้อไปยื้อมา ตกลงพี่เหม่งมันจะเอาไงกะคิวอีกันแน่เนี่ย ถ้ายังจะทำต่อจะมาพูดทำไมฟะ วุ่นวายกันไปทั้งโลกแล้ว
วันก่อนดูช่องมันนี่เค้าว่าหากเมกาเลิกคิวอีจริง ดัชนีหุ้นเมกาน่าจะลงมาหมื่น+-นิดๆ ถ้าเป็นจริงแล้วงี้setไทยจะเหลือหรือ ??? เตรียมรับสถานะการไว้บ้างนะครับ วิกฤต 40 มันก็ไม่ได้ว่ามาวันเดียวหรอก ตอนนั้นก็ไม่มีคนรู้ตัว เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายจนมารู้ตัวอีกทีก็ตู๊มแล้ว หนีกันไม่ทัน
วันนี้ดาวบวก 150 ผลมาจากนักลงทุนเห็นตัวเลฃจีดีพีของเมกาลดลง เอาไงแน่ฟะ จีดีพีลดแต่หุ้นตอบรับแง่บวก เพราะหวังว่าเฟดจะต่ออายุคิวอีออกไปถึงปีหน้า ยื้อไปยื้อมา ตกลงพี่เหม่งมันจะเอาไงกะคิวอีกันแน่เนี่ย ถ้ายังจะทำต่อจะมาพูดทำไมฟะ วุ่นวายกันไปทั้งโลกแล้ว
วันก่อนดูช่องมันนี่เค้าว่าหากเมกาเลิกคิวอีจริง ดัชนีหุ้นเมกาน่าจะลงมาหมื่น+-นิดๆ ถ้าเป็นจริงแล้วงี้setไทยจะเหลือหรือ ??? เตรียมรับสถานะการไว้บ้างนะครับ วิกฤต 40 มันก็ไม่ได้ว่ามาวันเดียวหรอก ตอนนั้นก็ไม่มีคนรู้ตัว เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายจนมารู้ตัวอีกทีก็ตู๊มแล้ว หนีกันไม่ทัน
-
- Verified User
- โพสต์: 950
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 13
ยังจำได้ดีครับ ตอนนี้ฝากเงินกันเอเชียทรัสต์ ได้ดอกเบี้ย 14% มหาโหดไหม
ตอนนั้นเราเปิด BIBF คนก็กู้เงินนอกแสนถูก แล้วเอามาฝากธนาคารแค่นี้ก็กำไรไม่รู้เรื่องแล้ว
แถมยัง Fixed ค่าเงินบาทอีก สุดท้ายพวก Hedge Fund ก็ Short เงินบาทซะมโหฬาร
แบงค์ชาติก็ไม่ทันเกมเขา ขาดดุลเงินสดกันเดือนละ 5 หมื่นกว่าล้าน
และมีการปล่อยกู้กันแบบแต่งตัวเลขหลักประกันให้สูงเกินจริง เอาไปปั่นที่ดินกัน
สุดท้ายฟองสบู่แตก เพราะสู้ค่าเงินไม่ไหว ต้องปล่อยลอยตัว เงินบาทวิ่งไป 50 กว่าบาท
ใครมีหนี้ต่างประเทศเจ๊งทุกราย บริษัทปิดกันเป็นว่าเล่น พนักงานถูกลอยแพ
บริษัทที่ผมทำงานก็ต้องปลดคนออกมโหฬาร ร้องไห้กันระงม ยังจำภาพนั้นได้ดี
มีรุ่นพี่ผมคนหนึ่งเป็นประธานธนาคารต่างชาติแห่งหนึ่ง บอกผมว่าถ้าวันนั้นเราทำ Exchange Control
แล้วกวาดเงินบาทตั้งแต่แม่สาย ยันสุไหงโกลก เอาไปส่งมอบ ไม่แน่ IMF อาจต้องย้าย สนง.ใหญ่
มาตั้งที่เมืองไทยก็ได้
ตอนนั้นเราเปิด BIBF คนก็กู้เงินนอกแสนถูก แล้วเอามาฝากธนาคารแค่นี้ก็กำไรไม่รู้เรื่องแล้ว
แถมยัง Fixed ค่าเงินบาทอีก สุดท้ายพวก Hedge Fund ก็ Short เงินบาทซะมโหฬาร
แบงค์ชาติก็ไม่ทันเกมเขา ขาดดุลเงินสดกันเดือนละ 5 หมื่นกว่าล้าน
และมีการปล่อยกู้กันแบบแต่งตัวเลขหลักประกันให้สูงเกินจริง เอาไปปั่นที่ดินกัน
สุดท้ายฟองสบู่แตก เพราะสู้ค่าเงินไม่ไหว ต้องปล่อยลอยตัว เงินบาทวิ่งไป 50 กว่าบาท
ใครมีหนี้ต่างประเทศเจ๊งทุกราย บริษัทปิดกันเป็นว่าเล่น พนักงานถูกลอยแพ
บริษัทที่ผมทำงานก็ต้องปลดคนออกมโหฬาร ร้องไห้กันระงม ยังจำภาพนั้นได้ดี
มีรุ่นพี่ผมคนหนึ่งเป็นประธานธนาคารต่างชาติแห่งหนึ่ง บอกผมว่าถ้าวันนั้นเราทำ Exchange Control
แล้วกวาดเงินบาทตั้งแต่แม่สาย ยันสุไหงโกลก เอาไปส่งมอบ ไม่แน่ IMF อาจต้องย้าย สนง.ใหญ่
มาตั้งที่เมืองไทยก็ได้
- neuhiran
- Verified User
- โพสต์: 815
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 14
naphas12 เขียน:ยังจำได้ดีครับ ตอนนี้ฝากเงินกันเอเชียทรัสต์ ได้ดอกเบี้ย 14% มหาโหดไหม
ตอนนั้นเราเปิด BIBF คนก็กู้เงินนอกแสนถูก แล้วเอามาฝากธนาคารแค่นี้ก็กำไรไม่รู้เรื่องแล้ว
แถมยัง Fixed ค่าเงินบาทอีก สุดท้ายพวก Hedge Fund ก็ Short เงินบาทซะมโหฬาร
แบงค์ชาติก็ไม่ทันเกมเขา ขาดดุลเงินสดกันเดือนละ 5 หมื่นกว่าล้าน
และมีการปล่อยกู้กันแบบแต่งตัวเลขหลักประกันให้สูงเกินจริง เอาไปปั่นที่ดินกัน
สุดท้ายฟองสบู่แตก เพราะสู้ค่าเงินไม่ไหว ต้องปล่อยลอยตัว เงินบาทวิ่งไป 50 กว่าบาท
ใครมีหนี้ต่างประเทศเจ๊งทุกราย บริษัทปิดกันเป็นว่าเล่น พนักงานถูกลอยแพ
บริษัทที่ผมทำงานก็ต้องปลดคนออกมโหฬาร ร้องไห้กันระงม ยังจำภาพนั้นได้ดี
มีรุ่นพี่ผมคนหนึ่งเป็นประธานธนาคารต่างชาติแห่งหนึ่ง บอกผมว่าถ้าวันนั้นเราทำ Exchange Control
แล้วกวาดเงินบาทตั้งแต่แม่สาย ยันสุไหงโกลก เอาไปส่งมอบ ไม่แน่ IMF อาจต้องย้าย สนง.ใหญ่
มาตั้งที่เมืองไทยก็ได้
โทษทีครับช่วยขยายความตรงน้หน่อยได้มั๊ยครับ
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2748
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 16
ซื้อ BYD Auto 10% ครับ มีบริษัทลูกที่ทำทั้งรถยนต์ยี่ห้อจีนหลายๆยี่ห้อ และทำแบตเตอร์รีด้วย รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าของค่ายนี้นั้นดังเป็นพิเศษnameisnothing เขียน:Buffet ซื้อบริษัทผลิตแบตรถยนต์ ชื่อ BYD ครับนายมานะ เขียน:เหมือนเคยอ่านหนังสือเจอว่าปู่บัฟมีลุงในบริษัทรถยนต์ของจีนนะครับ
จำชื่อง่ายๆว่า BYD = Build Your Dreams อยากได้รถหน้าตาแบบไหน (และหน้าตาเหมือนยี่ห้อไหน) ก็ทำได้
Vi IMrovised
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 18
ผมไม่รู้หรอกครับว่าตลอดหุ้นเป็นยังไง รู้แต่ว่า
-"นายแบงค์"ตกงานมาขายก๋วยเตี๋ยว ลูกชิ้นทอด เปิดท้ายขายของ เกลื่อนเลย
- คนทำงานบริษัทเคยได้โบนัส อินเซนทีฟ สวัสดิการ อย่างงาม โดนทั้งเลย์ออฟ ลดเงินเดือน หรือโดนแช่เเข็งค่าแรงนับปีๆ
-ดอกเบี้ยมหาโหด ไม่ต้องพูดถึงดอกเบี้ยนอกระบบ คิดกันเป็นรายวัน คนมีเงินเก็บดอกเบี้ยกิน ได้ทุนคืนใน 1-2เดือน
-รถยนต์ผ่อนกันไม่ไหว..รถสวยๆแพงๆโดนยึดเรียบ ตลาดรถมือสองเริ่มก่อตัว
-"นายแบงค์"ตกงานมาขายก๋วยเตี๋ยว ลูกชิ้นทอด เปิดท้ายขายของ เกลื่อนเลย
- คนทำงานบริษัทเคยได้โบนัส อินเซนทีฟ สวัสดิการ อย่างงาม โดนทั้งเลย์ออฟ ลดเงินเดือน หรือโดนแช่เเข็งค่าแรงนับปีๆ
-ดอกเบี้ยมหาโหด ไม่ต้องพูดถึงดอกเบี้ยนอกระบบ คิดกันเป็นรายวัน คนมีเงินเก็บดอกเบี้ยกิน ได้ทุนคืนใน 1-2เดือน
-รถยนต์ผ่อนกันไม่ไหว..รถสวยๆแพงๆโดนยึดเรียบ ตลาดรถมือสองเริ่มก่อตัว
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 19
เห็นด้วยครับ ที่เราเห็นสัญญาณฟองสบู่ ในมุมมองผมแล้วมันก็ยังจำกัดอยู่ในตลาดหุ้นนะ ตอนนี้ส่วนอื่นยังไม่ซ้ำรอยปี40เท่าไรchootana เขียน:1) ดอกเบี้ยสูงมาก ฝากธนาคารได้ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ แล้วคิดดูว่า เงินกู้จะเสียดอกเบี้ยเท่าไหร่?
ตอนนี้...อย่าให้เซด
2) อสังหาริมทรัพย์บูมมาก คนแห่กันสร้างทาวน์เฮ้าส์ขาย ราคาที่ดินแพงมากมาย คนที่มีที่และพอมีเงินหน่อย ก็พากันสร้างทาวน์เฮ้าส์ขายเป็นว่าเล่น พวกเก็งกำไรเต็มตลาด ตอนนั้น คอนโดของบางกอกแลนด์ดังมาก เสี่ยช้างเข้ามาลงทุนอสังหาฯ ในประเทศไทยเต็มตัว เปิดเมืองทองธานี
3) ตอนนั้น ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย
เหอะๆๆ ตอนนี้เป็นเสือตัวที่5แห่งอาเซียน ตามหลังสิงคโปร์ มาเล เวียดนาม อินโด และกะลังจะตามหลังพม่า
4) หนี้เสียของธนาคารต่างๆเยอะมาก ให้กู้กันเป็นว่าเล่น มีการหมกเม็ดและแต่งบัญชีกันมากมาย
นี่ผมไม่ทราบ ไม่ค่อยยุ่งกับกลุ่มนี้เท่าไร แต่ผมเห็นว่าหนี้เสียยังไม่เยอะ การคุมสินเชื่อยังดี(เพราะผมกู้ไม่ผ่านน่ะนะ)
5) สมัยนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งไม่มีคนยอมเป็น รมต.คลังเลย หายากมาก คลังสมัยนั้นมีปัญหาหมกเม็ด จนไม่มีใครยอมรับตำแหน่ง
ตอนนี้ใครๆก็อยากเป็น ฮ่าาาาา
นึกไม่ออกครับ ผมว่า ยังไม่เหมือนตอนนี้หรอกครับ ดอกเบี้ยก็ยังไม่สูง ธุรกิจอสังหาก็ยังระมัดระวังกันมาก ธนาคารก็มีการตั้งสำรองเยอะครับ
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
-
- Verified User
- โพสต์: 2848
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 22
ผมว่าถ้าเทียบตอนนี้กับปี 40 ผมว่ายังห่างกันพอสมควรเลยนะครับ....
ปี 40 Bank ปล่อยกู้อย่างสุดเหวี่ยงแทบไม่ดูหลักทรัพย์ค้ำประกันเลยด้วยซ้ำ คนก็เลยมันกันซิครับกู้เล่นกันเลย เก็งกำไรที่ดิน บ้าน รถ
ของฟุ่มเฟือย ตอนนั้นพวก Bank กับสถาบันการเงินแทบไม่ได้มีการกันสำรองเหมือนปัจจุบัน ที่พ่อผมกู้มาลงทุนตอนนั้นดอก 25%
ก่อนปี 37 มั๊ง พอได้เงินมาก็โป๊ะคืน Bank หมดปี 39 เพราะเสียดายดอกเบี้ยที่เสียไป แล้วก็หยุดลงทุนเลย โชคดีที่ไม่โลภลงทุนต่อไม่
งั้นก็หนักพอสมควร.....
ช่วงนั้นที่ดิน Boom มาก โฉนดชื้อขายเปลี่ยนมือกันเร็วมาก ผมยังจำได้ตอนนั้นพ่อผมจะซื้อที่ดินแปลงนึงที่แปดริ้ว นัดเจอกันที่ที่ดิน
คนเยอะมากมั่วกันไปหมด คุณเชื่อไม๊คนที่ขายพ่อผมเขาเพิ่งซื้อมาจากอีกคนยังไม่ได้โอนเลย เลยนัดพ่อผมโอนจากคนที่เขาซื้อมามา
เป็นของพ่อผมเลย และที่มันกว่านั้นตอนที่กำลังจะทำเรื่องโอน ก็มีคนมาขอซื้อต่อจากพ่ออีก 2-3 คน โดยบวกให้อีกไร่ละแสน แต่พ่อ
ผมขอเพิ่มราคาเขาไม่ยอม งั้นพ่อผมเลยทำเรื่องรับโอนเลย เพราะพ่อคิดว่าที่มันจะขึ้นอีก แล้วมันก็ขึ้นจริงๆแต่ก็ไม่ได้ขายจนถึงปัจจุบัน
ผมสรุปให้เลยนะปี 40 เหตุผลหลักมาจากพวกสถาบันการเงินที่กู้เงินจากเมืองนอกมาปล่อยกู้แบบอีลุ่ยฉุยแฉกโดยที่ไมีมีการป้องกัน
ความเสี่ยงอะไรเลย และอีกเหตุผลก็คือความโลภที่ไม่มีวันสิ้นสุดของเราเองครับ....
วิกฤติปี 40 ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป ผมเพิ่งเล่นหุ้นก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ผมใช้เงินเก็บของผมที่มีไม่มากนักเล่น ช่วงนั้นจิ้มตัวไหนก็ขึ้น
จนความโลภเข้าสิงเต็มตัวเลยขอ Margin โดยใช้หุ้นที่อยู่มีค้ำไว้ พอฟองเริ่มแตกหุ้นตกทุกวันเปิดมา Floor แล้ว Floor อีกจนระดับ MM
ติดลบ แต่เพราะเราสนิทกับโบรกก็เลยขอไม่ให้ Force Sell ปล่อยตกมาจนสถาบันเจ๊ง ตอนนั้นผมถืออยู่ 2 ตัวที่ราคา 30 บ.กับ 8 บ.
สุดท้ายยอมจำนนขายที่ 2 บ. กับ 0.70 บ.เป็นหนี้ท่วมตัว ดอกเบี้ยจ่ายตอนนั้น 28% เครียดไม่รู้ชีวิตจะเป็นยังไง หยิ่งอีกขอให้พ่อช่วย
55 ... ตอนนั้นเงินเดือนออกเอามาจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยยังแทบจะไม่พอเลย พอดีโบรกใกล้เจ๊งเต็มที่เลยเสนอ Hair Cut ให้ผม 40%ของ
หนี้ แต่ขอเงินสดทั้งหมด ผมยังโชคดีหน่อยที่ตอนนั้นเปิด OD ไว้นิดหน่อยเอาบ้านเข้าไว้แต่ไม่ได้ใช้ ก็เลยได้ใช้อีกอย่าง ดอก OD ตอน
นั้น 15% น้อยกว่าดอกที่ผมจ่าย 28% แต่ก็ขาดอีกมากมาย เลยต้องคุยกับแฟนเอาเงินเก็บของเขากับของลูก พร้อมทรัพย์สินที่เปลี่ยน
เป็นเงินได้เร็วเช่นทองคำ Rolex ฝากเพื่อนไปขาย สุดท้ายก็หมดตัวอย่างสิ้นเชิงและมีหนี้ OD กับหนี้แม่ยายอีกนิดหน่อย.....
ใครไม่ผ่านเหตุการณ์อย่างนี้ไม่รู้หรอกว่ามันเครียดขนาดไหน เอาปืนจ่อปากก็เคยมาแล้วจนแฟนผมต้องเอาปืนไปเก็บซ่อน ตอนนั้นก็ยัง
อายุไม่มากนักคิดแต่ว่าชีวิตหมดสิ้น หันหลังให้หุ้นไปหลายปี(จริงๆไม่มีเงินเล่นแค่จ่ายดอกกับค่าใช้จ่ายในบ้านก็หมดแล้ว) จนพอมีเงิน
จาก OD ที่เหลือบ้างแสนบาท ก็กลับมาลงทุนใหม่ปี 43 ก็ลุ่มๆดอนๆ จนมาถึงปัจจุบันก็ไม่คิดว่าจะกลับมาได้แต่ก็กลับมามากกว่าตอนนั้น
แต่ก็ไม่ได้มากมาย ย้อนหลังไปนั่งคิดดูถ้าตอนนั้นเกิดบ้าทำไรโง่ไป ครอบครัวจะอยู่กันยังไง.....จนปัจจุบันผมก็ไม่คิดจะเล่น Margin อีก
เลย.....ตอนนี้แค่นี้ถึงพอร์ทผมจะไม่มากนักแต่ก็พออยู่พอกินไปได้ไม่ลำบากครับ.......ยาวไปหน่อย จริงๆพยายามให้สั้นแล้วนะครับ 555
ปี 40 Bank ปล่อยกู้อย่างสุดเหวี่ยงแทบไม่ดูหลักทรัพย์ค้ำประกันเลยด้วยซ้ำ คนก็เลยมันกันซิครับกู้เล่นกันเลย เก็งกำไรที่ดิน บ้าน รถ
ของฟุ่มเฟือย ตอนนั้นพวก Bank กับสถาบันการเงินแทบไม่ได้มีการกันสำรองเหมือนปัจจุบัน ที่พ่อผมกู้มาลงทุนตอนนั้นดอก 25%
ก่อนปี 37 มั๊ง พอได้เงินมาก็โป๊ะคืน Bank หมดปี 39 เพราะเสียดายดอกเบี้ยที่เสียไป แล้วก็หยุดลงทุนเลย โชคดีที่ไม่โลภลงทุนต่อไม่
งั้นก็หนักพอสมควร.....
ช่วงนั้นที่ดิน Boom มาก โฉนดชื้อขายเปลี่ยนมือกันเร็วมาก ผมยังจำได้ตอนนั้นพ่อผมจะซื้อที่ดินแปลงนึงที่แปดริ้ว นัดเจอกันที่ที่ดิน
คนเยอะมากมั่วกันไปหมด คุณเชื่อไม๊คนที่ขายพ่อผมเขาเพิ่งซื้อมาจากอีกคนยังไม่ได้โอนเลย เลยนัดพ่อผมโอนจากคนที่เขาซื้อมามา
เป็นของพ่อผมเลย และที่มันกว่านั้นตอนที่กำลังจะทำเรื่องโอน ก็มีคนมาขอซื้อต่อจากพ่ออีก 2-3 คน โดยบวกให้อีกไร่ละแสน แต่พ่อ
ผมขอเพิ่มราคาเขาไม่ยอม งั้นพ่อผมเลยทำเรื่องรับโอนเลย เพราะพ่อคิดว่าที่มันจะขึ้นอีก แล้วมันก็ขึ้นจริงๆแต่ก็ไม่ได้ขายจนถึงปัจจุบัน
ผมสรุปให้เลยนะปี 40 เหตุผลหลักมาจากพวกสถาบันการเงินที่กู้เงินจากเมืองนอกมาปล่อยกู้แบบอีลุ่ยฉุยแฉกโดยที่ไมีมีการป้องกัน
ความเสี่ยงอะไรเลย และอีกเหตุผลก็คือความโลภที่ไม่มีวันสิ้นสุดของเราเองครับ....
วิกฤติปี 40 ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป ผมเพิ่งเล่นหุ้นก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ผมใช้เงินเก็บของผมที่มีไม่มากนักเล่น ช่วงนั้นจิ้มตัวไหนก็ขึ้น
จนความโลภเข้าสิงเต็มตัวเลยขอ Margin โดยใช้หุ้นที่อยู่มีค้ำไว้ พอฟองเริ่มแตกหุ้นตกทุกวันเปิดมา Floor แล้ว Floor อีกจนระดับ MM
ติดลบ แต่เพราะเราสนิทกับโบรกก็เลยขอไม่ให้ Force Sell ปล่อยตกมาจนสถาบันเจ๊ง ตอนนั้นผมถืออยู่ 2 ตัวที่ราคา 30 บ.กับ 8 บ.
สุดท้ายยอมจำนนขายที่ 2 บ. กับ 0.70 บ.เป็นหนี้ท่วมตัว ดอกเบี้ยจ่ายตอนนั้น 28% เครียดไม่รู้ชีวิตจะเป็นยังไง หยิ่งอีกขอให้พ่อช่วย
55 ... ตอนนั้นเงินเดือนออกเอามาจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยยังแทบจะไม่พอเลย พอดีโบรกใกล้เจ๊งเต็มที่เลยเสนอ Hair Cut ให้ผม 40%ของ
หนี้ แต่ขอเงินสดทั้งหมด ผมยังโชคดีหน่อยที่ตอนนั้นเปิด OD ไว้นิดหน่อยเอาบ้านเข้าไว้แต่ไม่ได้ใช้ ก็เลยได้ใช้อีกอย่าง ดอก OD ตอน
นั้น 15% น้อยกว่าดอกที่ผมจ่าย 28% แต่ก็ขาดอีกมากมาย เลยต้องคุยกับแฟนเอาเงินเก็บของเขากับของลูก พร้อมทรัพย์สินที่เปลี่ยน
เป็นเงินได้เร็วเช่นทองคำ Rolex ฝากเพื่อนไปขาย สุดท้ายก็หมดตัวอย่างสิ้นเชิงและมีหนี้ OD กับหนี้แม่ยายอีกนิดหน่อย.....
ใครไม่ผ่านเหตุการณ์อย่างนี้ไม่รู้หรอกว่ามันเครียดขนาดไหน เอาปืนจ่อปากก็เคยมาแล้วจนแฟนผมต้องเอาปืนไปเก็บซ่อน ตอนนั้นก็ยัง
อายุไม่มากนักคิดแต่ว่าชีวิตหมดสิ้น หันหลังให้หุ้นไปหลายปี(จริงๆไม่มีเงินเล่นแค่จ่ายดอกกับค่าใช้จ่ายในบ้านก็หมดแล้ว) จนพอมีเงิน
จาก OD ที่เหลือบ้างแสนบาท ก็กลับมาลงทุนใหม่ปี 43 ก็ลุ่มๆดอนๆ จนมาถึงปัจจุบันก็ไม่คิดว่าจะกลับมาได้แต่ก็กลับมามากกว่าตอนนั้น
แต่ก็ไม่ได้มากมาย ย้อนหลังไปนั่งคิดดูถ้าตอนนั้นเกิดบ้าทำไรโง่ไป ครอบครัวจะอยู่กันยังไง.....จนปัจจุบันผมก็ไม่คิดจะเล่น Margin อีก
เลย.....ตอนนี้แค่นี้ถึงพอร์ทผมจะไม่มากนักแต่ก็พออยู่พอกินไปได้ไม่ลำบากครับ.......ยาวไปหน่อย จริงๆพยายามให้สั้นแล้วนะครับ 555
"การหลอกคนร้อยคนให้เชื่อ นั้นง่ายกว่าการสอนคนหนึ่งคน ให้เข้าใจ"
- นายมานะ
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1116
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 23
ไม่ยาวไปหรอกครับ เป็นวิทยาทาน เชื่อว่าเพื่อนๆ น้องๆ หลายๆ คนได้ประโยชน์แน่นอนครับ ^^Joi เขียน:ผมว่าถ้าเทียบตอนนี้กับปี 40 ผมว่ายังห่างกันพอสมควรเลยนะครับ....
ปี 40 Bank ปล่อยกู้อย่างสุดเหวี่ยงแทบไม่ดูหลักทรัพย์ค้ำประกันเลยด้วยซ้ำ คนก็เลยมันกันซิครับกู้เล่นกันเลย เก็งกำไรที่ดิน บ้าน รถ
ของฟุ่มเฟือย ตอนนั้นพวก Bank กับสถาบันการเงินแทบไม่ได้มีการกันสำรองเหมือนปัจจุบัน ที่พ่อผมกู้มาลงทุนตอนนั้นดอก 25%
ก่อนปี 37 มั๊ง พอได้เงินมาก็โป๊ะคืน Bank หมดปี 39 เพราะเสียดายดอกเบี้ยที่เสียไป แล้วก็หยุดลงทุนเลย โชคดีที่ไม่โลภลงทุนต่อไม่
งั้นก็หนักพอสมควร.....
ช่วงนั้นที่ดิน Boom มาก โฉนดชื้อขายเปลี่ยนมือกันเร็วมาก ผมยังจำได้ตอนนั้นพ่อผมจะซื้อที่ดินแปลงนึงที่แปดริ้ว นัดเจอกันที่ที่ดิน
คนเยอะมากมั่วกันไปหมด คุณเชื่อไม๊คนที่ขายพ่อผมเขาเพิ่งซื้อมาจากอีกคนยังไม่ได้โอนเลย เลยนัดพ่อผมโอนจากคนที่เขาซื้อมามา
เป็นของพ่อผมเลย และที่มันกว่านั้นตอนที่กำลังจะทำเรื่องโอน ก็มีคนมาขอซื้อต่อจากพ่ออีก 2-3 คน โดยบวกให้อีกไร่ละแสน แต่พ่อ
ผมขอเพิ่มราคาเขาไม่ยอม งั้นพ่อผมเลยทำเรื่องรับโอนเลย เพราะพ่อคิดว่าที่มันจะขึ้นอีก แล้วมันก็ขึ้นจริงๆแต่ก็ไม่ได้ขายจนถึงปัจจุบัน
ผมสรุปให้เลยนะปี 40 เหตุผลหลักมาจากพวกสถาบันการเงินที่กู้เงินจากเมืองนอกมาปล่อยกู้แบบอีลุ่ยฉุยแฉกโดยที่ไมีมีการป้องกัน
ความเสี่ยงอะไรเลย และอีกเหตุผลก็คือความโลภที่ไม่มีวันสิ้นสุดของเราเองครับ....
วิกฤติปี 40 ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป ผมเพิ่งเล่นหุ้นก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ผมใช้เงินเก็บของผมที่มีไม่มากนักเล่น ช่วงนั้นจิ้มตัวไหนก็ขึ้น
จนความโลภเข้าสิงเต็มตัวเลยขอ Margin โดยใช้หุ้นที่อยู่มีค้ำไว้ พอฟองเริ่มแตกหุ้นตกทุกวันเปิดมา Floor แล้ว Floor อีกจนระดับ MM
ติดลบ แต่เพราะเราสนิทกับโบรกก็เลยขอไม่ให้ Force Sell ปล่อยตกมาจนสถาบันเจ๊ง ตอนนั้นผมถืออยู่ 2 ตัวที่ราคา 30 บ.กับ 8 บ.
สุดท้ายยอมจำนนขายที่ 2 บ. กับ 0.70 บ.เป็นหนี้ท่วมตัว ดอกเบี้ยจ่ายตอนนั้น 28% เครียดไม่รู้ชีวิตจะเป็นยังไง หยิ่งอีกขอให้พ่อช่วย
55 ... ตอนนั้นเงินเดือนออกเอามาจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยยังแทบจะไม่พอเลย พอดีโบรกใกล้เจ๊งเต็มที่เลยเสนอ Hair Cut ให้ผม 40%ของ
หนี้ แต่ขอเงินสดทั้งหมด ผมยังโชคดีหน่อยที่ตอนนั้นเปิด OD ไว้นิดหน่อยเอาบ้านเข้าไว้แต่ไม่ได้ใช้ ก็เลยได้ใช้อีกอย่าง ดอก OD ตอน
นั้น 15% น้อยกว่าดอกที่ผมจ่าย 28% แต่ก็ขาดอีกมากมาย เลยต้องคุยกับแฟนเอาเงินเก็บของเขากับของลูก พร้อมทรัพย์สินที่เปลี่ยน
เป็นเงินได้เร็วเช่นทองคำ Rolex ฝากเพื่อนไปขาย สุดท้ายก็หมดตัวอย่างสิ้นเชิงและมีหนี้ OD กับหนี้แม่ยายอีกนิดหน่อย.....
ใครไม่ผ่านเหตุการณ์อย่างนี้ไม่รู้หรอกว่ามันเครียดขนาดไหน เอาปืนจ่อปากก็เคยมาแล้วจนแฟนผมต้องเอาปืนไปเก็บซ่อน ตอนนั้นก็ยัง
อายุไม่มากนักคิดแต่ว่าชีวิตหมดสิ้น หันหลังให้หุ้นไปหลายปี(จริงๆไม่มีเงินเล่นแค่จ่ายดอกกับค่าใช้จ่ายในบ้านก็หมดแล้ว) จนพอมีเงิน
จาก OD ที่เหลือบ้างแสนบาท ก็กลับมาลงทุนใหม่ปี 43 ก็ลุ่มๆดอนๆ จนมาถึงปัจจุบันก็ไม่คิดว่าจะกลับมาได้แต่ก็กลับมามากกว่าตอนนั้น
แต่ก็ไม่ได้มากมาย ย้อนหลังไปนั่งคิดดูถ้าตอนนั้นเกิดบ้าทำไรโง่ไป ครอบครัวจะอยู่กันยังไง.....จนปัจจุบันผมก็ไม่คิดจะเล่น Margin อีก
เลย.....ตอนนี้แค่นี้ถึงพอร์ทผมจะไม่มากนักแต่ก็พออยู่พอกินไปได้ไม่ลำบากครับ.......ยาวไปหน่อย จริงๆพยายามให้สั้นแล้วนะครับ 555
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 24
ในช่วงวิกฤตปี 40 สิ่งที่ผมคิดว่าน่ากลัวมากที่สุดสำหรับความคิดของผม (กลัวสุดๆ จริงๆ) คือ เหตุการณ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยถูก IMF บังคับให้เปิดเผยทุนสำรองระหว่างประเทศว่าแท้จริงแล้วแทบจะไม่เหลือเลย
เราลองนึกภาพ ประเทศไทยไม่เหลือเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐเลย ต่างชาติก็ย่อมเกิดความตกใจว่าจะสามารถนำเงินที่ลงทุนในประเทศไทยกลับออกไปได้ไหม สถาบันการเงินต่างประเทศจะได้รับการชำระดอกเบี้ยและเงินกู้ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศคืนไหม
ยิ่งตกใจ ก็ยิ่งมีการแลกสกุลเงินบาท เป็นสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ ค่าเงินบาทก็ยิ่งตก ตกอย่างหนัก ตกอย่างเร็ว จนเรียกได้ว่ากลัวสุดๆ กลัวว่าเงินบาทจะเป็นเพียงเศษกระดาษ
เราลองนึกภาพ ประเทศไทยไม่เหลือเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐเลย ต่างชาติก็ย่อมเกิดความตกใจว่าจะสามารถนำเงินที่ลงทุนในประเทศไทยกลับออกไปได้ไหม สถาบันการเงินต่างประเทศจะได้รับการชำระดอกเบี้ยและเงินกู้ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศคืนไหม
ยิ่งตกใจ ก็ยิ่งมีการแลกสกุลเงินบาท เป็นสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ ค่าเงินบาทก็ยิ่งตก ตกอย่างหนัก ตกอย่างเร็ว จนเรียกได้ว่ากลัวสุดๆ กลัวว่าเงินบาทจะเป็นเพียงเศษกระดาษ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1474
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 25
งงครับnaphas12 เขียน:ยังจำได้ดีครับ ตอนนี้ฝากเงินกันเอเชียทรัสต์ ได้ดอกเบี้ย 14% มหาโหดไหม
ตอนนั้นเราเปิด BIBF คนก็กู้เงินนอกแสนถูก แล้วเอามาฝากธนาคารแค่นี้ก็กำไรไม่รู้เรื่องแล้ว
แถมยัง Fixed ค่าเงินบาทอีก สุดท้ายพวก Hedge Fund ก็ Short เงินบาทซะมโหฬาร
แบงค์ชาติก็ไม่ทันเกมเขา ขาดดุลเงินสดกันเดือนละ 5 หมื่นกว่าล้าน
และมีการปล่อยกู้กันแบบแต่งตัวเลขหลักประกันให้สูงเกินจริง เอาไปปั่นที่ดินกัน
สุดท้ายฟองสบู่แตก เพราะสู้ค่าเงินไม่ไหว ต้องปล่อยลอยตัว เงินบาทวิ่งไป 50 กว่าบาท
ใครมีหนี้ต่างประเทศเจ๊งทุกราย บริษัทปิดกันเป็นว่าเล่น พนักงานถูกลอยแพ
บริษัทที่ผมทำงานก็ต้องปลดคนออกมโหฬาร ร้องไห้กันระงม ยังจำภาพนั้นได้ดี
มีรุ่นพี่ผมคนหนึ่งเป็นประธานธนาคารต่างชาติแห่งหนึ่ง บอกผมว่าถ้าวันนั้นเราทำ Exchange Control
แล้วกวาดเงินบาทตั้งแต่แม่สาย ยันสุไหงโกลก เอาไปส่งมอบ ไม่แน่ IMF อาจต้องย้าย สนง.ใหญ่
มาตั้งที่เมืองไทยก็ได้
ทำไมต้องไปกวาดเงินบาทไปส่งมอบ
ในเมื่อ ธปท. สามารถพิมพ์บาทเท่าไหร่ก้ได้
ตอนนั้น ผมยังเด้ก ได้แต่อาศัยอ่านเอา
ที่ ธปท. ขาดแคลนคือเงิน $ มิใช้เหรอครับ
การที่ไทยต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยซะสูงปี๊ด
เพราะเงินทุนไหลออก หรือเลือดไหลไม่หยุด
จนเงินสำรองที่เป็น $ แทบจะไม่เหลือ
การที่จะทำให้เลือดหยุดไหล และไหลกลับ
คือการขึ้นดอกเบี้ยให้สูงๆ หากดอกเบี้ยไม่จูงใจ
คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงเอาเงิน $ เข้ามาประเทศไทย
ถึงตอนนั้น imf จะไม่บอกให้เราขึ้นดอกเบี้ยสูง
เราก้ต้องทำเองอยู่ดีแหละครับ
ช่วงที่เมกาเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ผมก้เห็นหลายคน
ชอบเอาเหตุการณ์มาเปรียบเทียบกับของไทย
ว่าทำไมเมก้าไม่ขึ้นดอกเบี้ย แต่กลับไปลดดอกเบี้ย
แล้วว่า imf วางยาบ้าง แกล้งบ้าง
จากที่ผมอ่านนักเศรษฐศาสตร์หลายๆ คน
ทำให้เข้าใจว่าสถานการณ์ของไทยกับเมกาแตกต่างกัน
ไทย fund flow ไหลออก เหมือนคนเลือดไหลแทบหมดตัว
เงิน $ เป้นที่ต้องการมากสำหรับไทย การทำให้เงิน $ ไหลเข้า
ก้ต้องให้ผลตอบแทนเขาในระดับที่สูง ให้เหมาะสมกับความเสี่ยง
ส่วนเมกาไม่ได้ขาดแคลนเงิน $ เพราะเข้าพิมพ์ได้เอง
ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป้นต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อให้เงิน $ ไหลเข้าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 26
จาก Black Monday ถึง Hamburger Crisis
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ทุกๆ เหตุการณ์ข่าวสำคัญ ในหนังสือ 2530-2551 จาก Black Monday ถึง Hamburger Crisis เพื่อทำให้เข้าใจปัจจุบัน และมองอนาคตได้อย่างถูกต้อง
นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่ถูกบันทึกบนหน้าประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก Great Depression หรือภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำครั้งใหญ่ที่สุด ผ่านเลยมาแล้ว 73 ปี (เกิดขึ้นระหว่างปี 2472-2478) จวบจนวันนี้ ยุคข้าวยากหมากแพงก็หมุนกลับซ้อนทับประวัติศาสตร์อีกครา
สัจธรรมของเหรียญที่มีสองด้าน ภายใต้วิกฤติจึงแฝงเร้นไว้ซึ่งหนทาง อยู่ที่ใครจะพลิกวิกฤตินั้นเป็นโอกาส
เหตุการณ์ Black Monday วันจันทร์ทมิฬที่เกิดขึ้นเมื่อ 19 ตุลาคม 2530 นับเป็นวิกฤติตลาดหุ้นครั้งประวัติศาสตร์ของโลกและของไทย กระทบมายังตลาดหุ้นทั่วทั้งโลก เป็นวิกฤตการณ์ที่ต้อนรับการถือกำเนิดของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (6 ตุลาคม 2530) เพียงไม่กี่วัน
เหตุการณ์ครั้งนี้ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงกับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นจำนวนมากแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ดัชนีราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็วจากระดับสูงสุดที่ 472.86 จุด มาอยู่ที่ระดับต่ำสุดที่ 243.97 จุด ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2530 โดยระดับดัชนีลดลงถึง 228.89 จุด หรือ 48.4 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาไม่ถึง 2 เดือน
พอเกิดเหตุการณ์ Black Monday ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนต่างตระหนักถึงผลกระทบและระดมกำลัง ทั้งมีการจัดตั้งกองทุน และดำเนินมาตรการหลายประการเพื่อแก้ไขสถานการณ์จนคลี่คลายความตื่นตกใจ ทำให้ระดับราคาหุ้นกลับฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
วิกฤติครั้งนั้น ก็คือ “โอกาส” สำหรับใครอีกหลายคน
ในยุคส่งผ่านอำนาจ จาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาสู่พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติไทย นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ของประเทศไทย ได้ก่อให้เกิดประวัติศาสตร์เศรษฐกิจหน้าใหม่ของประเทศไทยที่ต้องจดจำ ทั้งรีบเร่ง รุ่งเรือง หลงระเริง ฟุ่มเฟือย และเจ็บปวด
ความรู้จักอดออม ดำรงความเป็นอยู่อย่างไม่ฟุ่มเฟือยในยุครัฐบาลป๋าเปรม สะสมฐานะทางการคลังจนเข้มแข็ง ส่งต่อผลดีมาถึงรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ หันมายึดนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจการคลังเชิงรุก ขยายการลงทุนไปทุกสารทิศบนฝันอยากเป็น “เสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 ของเอเชีย” ยุคนั้นเราจะได้ยินคำว่า NICs หรือ Newly Industrialized Countries และนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” อันโด่งดัง
ในยุคน้าชาติ "No Problem ..ไม่มีปัญหา” เป็นวลีที่ผู้นำพูดให้ได้ยินกันจนติดหู แม้ยุคนั้นจะใช้การลงทุนเป็นธงนำ แต่ก็ขับเคลื่อนเศรษฐกิจล้อไปกับนโยบายประชานิยมดีๆ นี่เอง เราได้ยินโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด เราได้เห็นราคาที่ดินพุ่งทะยานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เวลาฮันนีมูนของน้าชาติก็มาสะดุดหลังจากเกิดไฟสงครามอ่าวเปอร์เซีย อิรักบุกยึดคูเวตเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2533 ปัญหาคอร์รัปชันแพร่กระจายในวงกว้าง จนรัฐบาลชุดนี้ถูกตั้งฉายาว่า “รัฐบาลบุฟเฟ่ต์คาบิเนต” ในที่สุดก็ถูกคณะรสช.นำโดย "บิ๊กจ๊อด" พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ โค่นลงจากอำนาจ
หลังจากคณะรสช.แต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เศรษฐกิจไทยยังไม่ทันจะฟื้นตัว รสช.ก็วางแผนสืบทอดอำนาจ วางตัวให้พลเอกสุจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี จนเกิดขบวนการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่โดยพลังประชาชน นำโดยพลตรีจำลอง ศรีเมือง และบานปลายนำไปสู่เหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ที่ต้องจดจำ
ในปีเดียวกันนั้นเองก็ได้ก่อกำเนิดนักเลงหุ้นระดับพระกาฬที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก เขาคือ “สอง วัชรศรีโรจน์” ศิษย์เอกวัดพระธรรมกาย ที่เข้ามาแสวงหาโอกาสความร่ำรวยจากตลาดหุ้น ผ่านมาแล้ว 16 ปี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีชื่อสองอยู่เบื้องหลังหุ้นร้อนหลายต่อหลายตัว
ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกอีกครั้งในช่วงปลายปี 2536 ดัชนีราคาหุ้นติดเครื่องทะยานขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง มีเศรษฐีหน้าใหม่เกิดขึ้นทุกวันในช่วงนั้น หุ้นทะยานขึ้นไปทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ 1,753.73 จุด จนกระทั่งถึงวันนี้ 15 ปีผ่านไปแล้ว ก็ยังไม่เคยไต่ขึ้นไปถึงจุดนั้นได้อีกเลย
“สูงสุดคืนสู่สามัญ” คือความจริงแท้แน่นอน ไม่มีฟองสบู่ใดจะยืนยาวและมั่นคงเท่ากับพื้นฐานที่เป็นจริง ในที่สุดงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา รัฐนาวาชวน 1 ดำเนินไปได้พักใหญ่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่ดิน ส.ป.ก.4-01 ก่อนจะเปลี่ยนผ่านมาสู่รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา กงล้อเศรษฐกิจไทยเริ่มหมุนอย่างเชื่องช้า ขณะที่ภาคเอกชนยังหลงระเริงเงินกู้บีไอบีเอฟ โดยไม่หวั่นเกรงความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่ในหลายธุรกิจได้เกิด Over Supply
ปีศาจร้ายเข้ามาเยือนแล้วอย่างเงียบๆ
ในยุค "นายบรรหาร" ตลาดหุ้นไทยต้องถูกบันทึกลงบนหน้าประวัติศาสตร์อีกครั้ง เมื่อนักลงทุนรายย่อยทนไม่ไหวกับภาวะความตกต่ำ รวมตัวกันประท้วงนายเสรี จินตนเสรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ และนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังในขณะนั้น และแล้ว เสียงปืนก็ดัง เปรี้ยง!!! ณ อาคารสินธร นายวิวัฒน์ ศรีสัมมาชีพ ลั่นไกหมายปลิดชีพตนเองเพื่อประท้วง แต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ใดๆ ดีขึ้น และก็ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าปรอทวัดไข้เศรษฐกิจได้ส่งสัญญาณใกล้ถึงจุดระเบิดแล้ว
เศรษฐกิจไทยมาถึง “จุดอับปาง” ในยุครัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 โดยสัญญาณร้ายเริ่มมีตั้งแต่ “ม็อบโทรศัพท์มือถือ” ก่อตัวประท้วงย่านถนนสีลม เริ่มมีข่าวลือสถาบันการเงินถูกปิดกิจการ ในที่สุดก็นำไปสู่การสั่งปิด 56 ไฟแนนซ์ ขณะเดียวกันค่าเงินบาทเริ่มถูกนักเก็งกำไรโจมตีอย่างหนัก ธนาคารแห่งประเทศไทยต่อสู้จนทุนสำรองระหว่างประเทศหมด นำไปสู่การประกาศลอยตัวค่าเงินบาท และต้องเข้าโครงการขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ
หลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ได้เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายระลอก เศรษฐกิจไทยดำเนินไปด้วยความยากลำบากอย่างที่สุด ธุรกิจน้อยใหญ่ต้องล้มละลาย ตลาดหุ้นตกต่ำถึงขีดสุดตกจาก 1,753 จุด ลงมาต่ำสุด 204 จุด มี “เจ้าสัวเยสเตอร์เดย์” เกิดขึ้นมากมาย
รวมทั้งได้ก่อเกิดวลีดัง “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ของเจ้าพ่อวงการเหล็ก "สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง" และการต่อสู้ชนิดหัวชนฝาของ "ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" เพื่อรักษาอาณาจักรแสนล้าน "ทีพีไอ" สุดท้ายก็รักษาเอาไว้ไม่ได้
รัฐนาวาชวน 2 เข้ามาแก้ปัญหาในยุคที่เศรษฐกิจไทยมีความหวังเหลือเพียงเลือนราง และถูกโจมตีอย่างหนักเมื่อเปิดให้ต่างชาติเข้ามารุมทึ้งเศษซากธุรกิจในราคาแบกะดิน นับตั้งแต่รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศ กว่า 5 ปี ด้วยนโยบาย “ประชานิยม” เอาใจรากหญ้า กงล้อเศรษฐกิจไทยเริ่มขับเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ยิ่งรัฐบาลเข้มแข็งมากเท่าไร ก็ยิ่งสะสมจุดอ่อนมากขึ้นเท่านั้น และก็นำมาสู่การปฏิวัติรัฐประหาร ล้างไพ่ใหม่อีกครั้ง
ทุกๆ เหตุการณ์ข่าวสำคัญ ในหนังสือ 2530-2551 จาก Black Monday ถึง Hamburger Crisis เล่มนี้ ให้ประสบการณ์การเรียนรู้ เพื่อทำให้เข้าใจปัจจุบันดีขึ้น และมองทางเดินไปสู่อนาคตได้อย่างถูกต้อง
“คนเดินถนนที่ราบเรียบตลอดเวลา มักจะชะล่าใจชอบวิ่ง จึงมักหกล้มในที่สุด แต่คนที่เดินบนถนนที่ขรุขระ มักระวังตัวเพราะความกลัวจึงปลอดภัย ธรรมชาติมักหยิบยื่นความสามารถให้แก่เรา ถ้าเรารู้เท่าทัน”
เล่มนี้เป็นหนังสืออ้างอิงข่าวเศรษฐกิจ “เล่มแรก-เล่มเดียว” ของประเทศไทย ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิงเสริมต่อการเรียนรู้และทำความเข้าใจ “ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย” ตลอดช่วงเวลากว่า 2 ทศวรรษ ภายใต้การพิมพ์ของสำนักพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ Bizbook
โดดเด่นด้วยกราฟฟิก “SET Index” มากถึง 21 ภาพ ช็อตคัตให้คุณได้ทำความเข้าใจและเรียนรู้สาเหตุการเติบโต ตีบตัน ของตลาดทุนไทยในรอบ 21 ปีที่ผ่านมา
นี่คือหนังสือที่ทรงคุณค่าเล่มหนึ่งที่บันทึกประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ทุกๆ เหตุการณ์ข่าวสำคัญ ในหนังสือ 2530-2551 จาก Black Monday ถึง Hamburger Crisis เพื่อทำให้เข้าใจปัจจุบัน และมองอนาคตได้อย่างถูกต้อง
นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่ถูกบันทึกบนหน้าประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก Great Depression หรือภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำครั้งใหญ่ที่สุด ผ่านเลยมาแล้ว 73 ปี (เกิดขึ้นระหว่างปี 2472-2478) จวบจนวันนี้ ยุคข้าวยากหมากแพงก็หมุนกลับซ้อนทับประวัติศาสตร์อีกครา
สัจธรรมของเหรียญที่มีสองด้าน ภายใต้วิกฤติจึงแฝงเร้นไว้ซึ่งหนทาง อยู่ที่ใครจะพลิกวิกฤตินั้นเป็นโอกาส
เหตุการณ์ Black Monday วันจันทร์ทมิฬที่เกิดขึ้นเมื่อ 19 ตุลาคม 2530 นับเป็นวิกฤติตลาดหุ้นครั้งประวัติศาสตร์ของโลกและของไทย กระทบมายังตลาดหุ้นทั่วทั้งโลก เป็นวิกฤตการณ์ที่ต้อนรับการถือกำเนิดของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (6 ตุลาคม 2530) เพียงไม่กี่วัน
เหตุการณ์ครั้งนี้ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงกับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นจำนวนมากแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ดัชนีราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็วจากระดับสูงสุดที่ 472.86 จุด มาอยู่ที่ระดับต่ำสุดที่ 243.97 จุด ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2530 โดยระดับดัชนีลดลงถึง 228.89 จุด หรือ 48.4 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาไม่ถึง 2 เดือน
พอเกิดเหตุการณ์ Black Monday ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนต่างตระหนักถึงผลกระทบและระดมกำลัง ทั้งมีการจัดตั้งกองทุน และดำเนินมาตรการหลายประการเพื่อแก้ไขสถานการณ์จนคลี่คลายความตื่นตกใจ ทำให้ระดับราคาหุ้นกลับฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
วิกฤติครั้งนั้น ก็คือ “โอกาส” สำหรับใครอีกหลายคน
ในยุคส่งผ่านอำนาจ จาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาสู่พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติไทย นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ของประเทศไทย ได้ก่อให้เกิดประวัติศาสตร์เศรษฐกิจหน้าใหม่ของประเทศไทยที่ต้องจดจำ ทั้งรีบเร่ง รุ่งเรือง หลงระเริง ฟุ่มเฟือย และเจ็บปวด
ความรู้จักอดออม ดำรงความเป็นอยู่อย่างไม่ฟุ่มเฟือยในยุครัฐบาลป๋าเปรม สะสมฐานะทางการคลังจนเข้มแข็ง ส่งต่อผลดีมาถึงรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ หันมายึดนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจการคลังเชิงรุก ขยายการลงทุนไปทุกสารทิศบนฝันอยากเป็น “เสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 ของเอเชีย” ยุคนั้นเราจะได้ยินคำว่า NICs หรือ Newly Industrialized Countries และนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” อันโด่งดัง
ในยุคน้าชาติ "No Problem ..ไม่มีปัญหา” เป็นวลีที่ผู้นำพูดให้ได้ยินกันจนติดหู แม้ยุคนั้นจะใช้การลงทุนเป็นธงนำ แต่ก็ขับเคลื่อนเศรษฐกิจล้อไปกับนโยบายประชานิยมดีๆ นี่เอง เราได้ยินโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด เราได้เห็นราคาที่ดินพุ่งทะยานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เวลาฮันนีมูนของน้าชาติก็มาสะดุดหลังจากเกิดไฟสงครามอ่าวเปอร์เซีย อิรักบุกยึดคูเวตเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2533 ปัญหาคอร์รัปชันแพร่กระจายในวงกว้าง จนรัฐบาลชุดนี้ถูกตั้งฉายาว่า “รัฐบาลบุฟเฟ่ต์คาบิเนต” ในที่สุดก็ถูกคณะรสช.นำโดย "บิ๊กจ๊อด" พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ โค่นลงจากอำนาจ
หลังจากคณะรสช.แต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เศรษฐกิจไทยยังไม่ทันจะฟื้นตัว รสช.ก็วางแผนสืบทอดอำนาจ วางตัวให้พลเอกสุจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี จนเกิดขบวนการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่โดยพลังประชาชน นำโดยพลตรีจำลอง ศรีเมือง และบานปลายนำไปสู่เหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ที่ต้องจดจำ
ในปีเดียวกันนั้นเองก็ได้ก่อกำเนิดนักเลงหุ้นระดับพระกาฬที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก เขาคือ “สอง วัชรศรีโรจน์” ศิษย์เอกวัดพระธรรมกาย ที่เข้ามาแสวงหาโอกาสความร่ำรวยจากตลาดหุ้น ผ่านมาแล้ว 16 ปี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีชื่อสองอยู่เบื้องหลังหุ้นร้อนหลายต่อหลายตัว
ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกอีกครั้งในช่วงปลายปี 2536 ดัชนีราคาหุ้นติดเครื่องทะยานขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง มีเศรษฐีหน้าใหม่เกิดขึ้นทุกวันในช่วงนั้น หุ้นทะยานขึ้นไปทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ 1,753.73 จุด จนกระทั่งถึงวันนี้ 15 ปีผ่านไปแล้ว ก็ยังไม่เคยไต่ขึ้นไปถึงจุดนั้นได้อีกเลย
“สูงสุดคืนสู่สามัญ” คือความจริงแท้แน่นอน ไม่มีฟองสบู่ใดจะยืนยาวและมั่นคงเท่ากับพื้นฐานที่เป็นจริง ในที่สุดงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา รัฐนาวาชวน 1 ดำเนินไปได้พักใหญ่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่ดิน ส.ป.ก.4-01 ก่อนจะเปลี่ยนผ่านมาสู่รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา กงล้อเศรษฐกิจไทยเริ่มหมุนอย่างเชื่องช้า ขณะที่ภาคเอกชนยังหลงระเริงเงินกู้บีไอบีเอฟ โดยไม่หวั่นเกรงความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่ในหลายธุรกิจได้เกิด Over Supply
ปีศาจร้ายเข้ามาเยือนแล้วอย่างเงียบๆ
ในยุค "นายบรรหาร" ตลาดหุ้นไทยต้องถูกบันทึกลงบนหน้าประวัติศาสตร์อีกครั้ง เมื่อนักลงทุนรายย่อยทนไม่ไหวกับภาวะความตกต่ำ รวมตัวกันประท้วงนายเสรี จินตนเสรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ และนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังในขณะนั้น และแล้ว เสียงปืนก็ดัง เปรี้ยง!!! ณ อาคารสินธร นายวิวัฒน์ ศรีสัมมาชีพ ลั่นไกหมายปลิดชีพตนเองเพื่อประท้วง แต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ใดๆ ดีขึ้น และก็ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าปรอทวัดไข้เศรษฐกิจได้ส่งสัญญาณใกล้ถึงจุดระเบิดแล้ว
เศรษฐกิจไทยมาถึง “จุดอับปาง” ในยุครัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 โดยสัญญาณร้ายเริ่มมีตั้งแต่ “ม็อบโทรศัพท์มือถือ” ก่อตัวประท้วงย่านถนนสีลม เริ่มมีข่าวลือสถาบันการเงินถูกปิดกิจการ ในที่สุดก็นำไปสู่การสั่งปิด 56 ไฟแนนซ์ ขณะเดียวกันค่าเงินบาทเริ่มถูกนักเก็งกำไรโจมตีอย่างหนัก ธนาคารแห่งประเทศไทยต่อสู้จนทุนสำรองระหว่างประเทศหมด นำไปสู่การประกาศลอยตัวค่าเงินบาท และต้องเข้าโครงการขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ
หลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ได้เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายระลอก เศรษฐกิจไทยดำเนินไปด้วยความยากลำบากอย่างที่สุด ธุรกิจน้อยใหญ่ต้องล้มละลาย ตลาดหุ้นตกต่ำถึงขีดสุดตกจาก 1,753 จุด ลงมาต่ำสุด 204 จุด มี “เจ้าสัวเยสเตอร์เดย์” เกิดขึ้นมากมาย
รวมทั้งได้ก่อเกิดวลีดัง “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ของเจ้าพ่อวงการเหล็ก "สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง" และการต่อสู้ชนิดหัวชนฝาของ "ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" เพื่อรักษาอาณาจักรแสนล้าน "ทีพีไอ" สุดท้ายก็รักษาเอาไว้ไม่ได้
รัฐนาวาชวน 2 เข้ามาแก้ปัญหาในยุคที่เศรษฐกิจไทยมีความหวังเหลือเพียงเลือนราง และถูกโจมตีอย่างหนักเมื่อเปิดให้ต่างชาติเข้ามารุมทึ้งเศษซากธุรกิจในราคาแบกะดิน นับตั้งแต่รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศ กว่า 5 ปี ด้วยนโยบาย “ประชานิยม” เอาใจรากหญ้า กงล้อเศรษฐกิจไทยเริ่มขับเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ยิ่งรัฐบาลเข้มแข็งมากเท่าไร ก็ยิ่งสะสมจุดอ่อนมากขึ้นเท่านั้น และก็นำมาสู่การปฏิวัติรัฐประหาร ล้างไพ่ใหม่อีกครั้ง
ทุกๆ เหตุการณ์ข่าวสำคัญ ในหนังสือ 2530-2551 จาก Black Monday ถึง Hamburger Crisis เล่มนี้ ให้ประสบการณ์การเรียนรู้ เพื่อทำให้เข้าใจปัจจุบันดีขึ้น และมองทางเดินไปสู่อนาคตได้อย่างถูกต้อง
“คนเดินถนนที่ราบเรียบตลอดเวลา มักจะชะล่าใจชอบวิ่ง จึงมักหกล้มในที่สุด แต่คนที่เดินบนถนนที่ขรุขระ มักระวังตัวเพราะความกลัวจึงปลอดภัย ธรรมชาติมักหยิบยื่นความสามารถให้แก่เรา ถ้าเรารู้เท่าทัน”
เล่มนี้เป็นหนังสืออ้างอิงข่าวเศรษฐกิจ “เล่มแรก-เล่มเดียว” ของประเทศไทย ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิงเสริมต่อการเรียนรู้และทำความเข้าใจ “ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย” ตลอดช่วงเวลากว่า 2 ทศวรรษ ภายใต้การพิมพ์ของสำนักพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ Bizbook
โดดเด่นด้วยกราฟฟิก “SET Index” มากถึง 21 ภาพ ช็อตคัตให้คุณได้ทำความเข้าใจและเรียนรู้สาเหตุการเติบโต ตีบตัน ของตลาดทุนไทยในรอบ 21 ปีที่ผ่านมา
นี่คือหนังสือที่ทรงคุณค่าเล่มหนึ่งที่บันทึกประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย
"Become a risk taker, not a risk maker"
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 27
แบงค์ชาติไม่สามารถพิมพ์ธนบัตรเท่าไหร่ก็ได้นะครับ... คำว่าค่าของเงินสกุลหนึ่งๆ คือ ความเชื่อมั่นของคนที่ใช้เงินสกุลนั้นๆ ดังนั้นหากมีการเพิ่มปริมาณเงินจำนวนมหาศาล จนทำให้คนที่ถือเงินสูญเสียความเชื่อมั่น เงินก็จะเฟ้อกระจาย เหมือนอย่างเช่นกรณีของเยอรมันในช่วงสงครามโลก เหมือนอย่างประเทศแทบแอฟริกา หรือ อเมริกาใต้ จนต้องเปลี่ยนชื่อสกุลเงิน ปรับวินัยในการพิมพ์เงิน ออกกฎหมายว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีก จนค่อยๆ เกิดความเชื่อมั่นกลับมา ดังนั้นในอดีตแล้วการพิมพ์เงินจำเป็นต้องมีทองคำหนุนหลังการพิมพ์เงินmicky1115 เขียน:งงครับnaphas12 เขียน:ยังจำได้ดีครับ ตอนนี้ฝากเงินกันเอเชียทรัสต์ ได้ดอกเบี้ย 14% มหาโหดไหม
ตอนนั้นเราเปิด BIBF คนก็กู้เงินนอกแสนถูก แล้วเอามาฝากธนาคารแค่นี้ก็กำไรไม่รู้เรื่องแล้ว
แถมยัง Fixed ค่าเงินบาทอีก สุดท้ายพวก Hedge Fund ก็ Short เงินบาทซะมโหฬาร
แบงค์ชาติก็ไม่ทันเกมเขา ขาดดุลเงินสดกันเดือนละ 5 หมื่นกว่าล้าน
และมีการปล่อยกู้กันแบบแต่งตัวเลขหลักประกันให้สูงเกินจริง เอาไปปั่นที่ดินกัน
สุดท้ายฟองสบู่แตก เพราะสู้ค่าเงินไม่ไหว ต้องปล่อยลอยตัว เงินบาทวิ่งไป 50 กว่าบาท
ใครมีหนี้ต่างประเทศเจ๊งทุกราย บริษัทปิดกันเป็นว่าเล่น พนักงานถูกลอยแพ
บริษัทที่ผมทำงานก็ต้องปลดคนออกมโหฬาร ร้องไห้กันระงม ยังจำภาพนั้นได้ดี
มีรุ่นพี่ผมคนหนึ่งเป็นประธานธนาคารต่างชาติแห่งหนึ่ง บอกผมว่าถ้าวันนั้นเราทำ Exchange Control
แล้วกวาดเงินบาทตั้งแต่แม่สาย ยันสุไหงโกลก เอาไปส่งมอบ ไม่แน่ IMF อาจต้องย้าย สนง.ใหญ่
มาตั้งที่เมืองไทยก็ได้
ทำไมต้องไปกวาดเงินบาทไปส่งมอบ
ในเมื่อ ธปท. สามารถพิมพ์บาทเท่าไหร่ก้ได้
ตอนนั้น ผมยังเด้ก ได้แต่อาศัยอ่านเอา
ที่ ธปท. ขาดแคลนคือเงิน $ มิใช้เหรอครับ
การที่ไทยต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยซะสูงปี๊ด
เพราะเงินทุนไหลออก หรือเลือดไหลไม่หยุด
จนเงินสำรองที่เป็น $ แทบจะไม่เหลือ
การที่จะทำให้เลือดหยุดไหล และไหลกลับ
คือการขึ้นดอกเบี้ยให้สูงๆ หากดอกเบี้ยไม่จูงใจ
คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงเอาเงิน $ เข้ามาประเทศไทย
ถึงตอนนั้น imf จะไม่บอกให้เราขึ้นดอกเบี้ยสูง
เราก้ต้องทำเองอยู่ดีแหละครับ
ช่วงที่เมกาเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ผมก้เห็นหลายคน
ชอบเอาเหตุการณ์มาเปรียบเทียบกับของไทย
ว่าทำไมเมก้าไม่ขึ้นดอกเบี้ย แต่กลับไปลดดอกเบี้ย
แล้วว่า imf วางยาบ้าง แกล้งบ้าง
จากที่ผมอ่านนักเศรษฐศาสตร์หลายๆ คน
ทำให้เข้าใจว่าสถานการณ์ของไทยกับเมกาแตกต่างกัน
ไทย fund flow ไหลออก เหมือนคนเลือดไหลแทบหมดตัว
เงิน $ เป้นที่ต้องการมากสำหรับไทย การทำให้เงิน $ ไหลเข้า
ก้ต้องให้ผลตอบแทนเขาในระดับที่สูง ให้เหมาะสมกับความเสี่ยง
ส่วนเมกาไม่ได้ขาดแคลนเงิน $ เพราะเข้าพิมพ์ได้เอง
ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป้นต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อให้เงิน $ ไหลเข้าครับ
อย่าง Fed ที่ยกเลิกระบบทองหนุนหลัง พิมพ์เงินได้อย่างอิสระ เกิดจากปัญหาในช่วงที่ขาดแคลนทองคำอย่างหนัก และตอนนั้นค่าเงิน US เป็นสกุลเงินกลางที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนในโลก แม้ว่าเค้าจะยกเลิกการหนุนหลังการพิมพ์เงินด้วยทอง แต่การควบคุม Money Supply ให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ เพราะ Creditability ของ Central Bank ถ้าเสียไปเมื่อไหร่สกุลเงินก็จะพังพินาศ และการที่ USD ถึง Establish ให้เป็นค่าเงินกลางของโลก เลยทำให้ Twin Deficit ของ US อยู่ในสภาวะจำยอมของคนทั้งโลก เพราะ ดันไปรับเอา USD เป็นค่าเงินกลางแล้ว เลยจำเป็นต้อง Finance US ไม่ให้ US พังโดยปริยาย
อย่างเหตุการณ์อย่าง Quantitative Easing ที่เราเจอในรอบทศวรรษที่ผ่านมาในหลายๆ ประเทศ มันเป็นเครื่องมือในการแก้ Liquidity Trap ซึ่งคนใช้เครื่องมือเหล่านี้ ก็พยายาม Monitor อย่างใกล้ชิดว่ายังรักษาความเชื่อมั่นในสกุลเงินนั้นๆ ได้ และประเทศที่จะทำ Quantitative Easing ได้
แต่อย่างในกรณีของปี 40 เราไม่มีอิสระในการกำหนด Money Supply เอง ขาดเงิน USD ก็คือ ขาดเงินบาท นั่นแหละ เพราะ เงินบาทถูก Convert ไปเป็น USD การที่จะเพิ่มปริมาณเงินบาทในระบบทำได้ 2 อย่าง คือ เอาเงิน USD มาหนุนหลัง กับ เอาทองมาหนุนหลัง พอ Liquidity ถูกดึงออกนอกประเทศเหมาะ ก็เกิด Supply Shock ปริมาณเงินหายไป สภาพคล่องไม่มี ดอกเบี้ยก็เลยสูงบาน
จะไปพิมพ์เงินอย่างอิสระ ก็เสี่ยงจะสูญเสียความเชื่อมั่นในสกุลเงิน เงินเฟ้อเป็นพัน % เศรษฐกิจพัง
จะปิดประเทศ ใส่ Capital Control ก็ไม่กล้า เพราะ กลัวจะไปสูญเสียความเชื่อมั่นจากต่างชาติ โดนคว่ำบาท
นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอีกต่างๆ นานา สรุปว่า ผมว่าเราฝึกที่จะอยู่กับวิกฤตดีกว่าครับ ง่ายกว่าทำความเข้าใจวิกฤต... เพราะ เป็นเรื่องที่แน่นอนว่า วิกฤตเศรษฐกิจต้องเกิดขึ้นสักวัน ฟองสบู่ต้องแตกสักวัน เราจะต้องสูญเงินจำนวนมหาศาลสักวัน... มีลาภ เสี่ยมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์... คำถามคือ เราจะอยู่กับวิกฤตอย่างไรให้มีความสุข
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 234
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 28
ผมว่าหลายคนเข้าใจผิดและชอบเอามาปนกันคือ
หุ้นตก กับวิกฤตเศรษฐกิจมันคนละอย่างกัน บาดงครั้งอาจมาด้วยกัน แต่หุ้นตกแล้วไปอนุมานว่าจะเกิดต้มยำกุ้งใหม่ มันอาจจะไม่ใช่
ดึงตัวqeออก มีผลกระทบกับตลาดหุ้น บอนด์ อะไรต่างๆเพราะเหมือนถอนเงินที่ล้นออก อะไรที่แพงเกินเพราะซื้อง่ายด้วยเงินพวกนี้ก็ต้องถูกลงมาเป็นธรรมดา แล้วมันเกี่ยวกับเศรษฐกิจจริงๆมากน้อยแค่ไหน คนเล่นหุ้นก็มีไม่กี่แสน ความมั่งคั่งที่หายไปมันยังจำกัดอยู่
หุ้นตก = วิกฤตเศรษฐกิจ ผมว่าไม่น่าแปลได้ตรงตัวแบบนั้น
หุ้นตก กับวิกฤตเศรษฐกิจมันคนละอย่างกัน บาดงครั้งอาจมาด้วยกัน แต่หุ้นตกแล้วไปอนุมานว่าจะเกิดต้มยำกุ้งใหม่ มันอาจจะไม่ใช่
ดึงตัวqeออก มีผลกระทบกับตลาดหุ้น บอนด์ อะไรต่างๆเพราะเหมือนถอนเงินที่ล้นออก อะไรที่แพงเกินเพราะซื้อง่ายด้วยเงินพวกนี้ก็ต้องถูกลงมาเป็นธรรมดา แล้วมันเกี่ยวกับเศรษฐกิจจริงๆมากน้อยแค่ไหน คนเล่นหุ้นก็มีไม่กี่แสน ความมั่งคั่งที่หายไปมันยังจำกัดอยู่
หุ้นตก = วิกฤตเศรษฐกิจ ผมว่าไม่น่าแปลได้ตรงตัวแบบนั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 136
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 29
ตอนนั้นที่บ้าน กู้ซื้อสวนเกษตร ครับ(ตอนนั้นฮิตมาก)
MLR 13% กว่าๆ
พึ่งเริ่มทำงาน บริษัท เงินทุน
แทบจะทุก บง. ตอนนั้น
ลูกหนี้ default ก็ จัดการ เซตอีกวงเงิน
เรียก วงเงินดอกเบี้ย เอามาจ่ายวงเงินหลัก
พันกัน เหมือนการกดเงินจากบัตรเครดิต
ใบนึง ไปจากอีกใบนึง
ดอกเงินฝากก็ 15-16% กว่าๆ
เทียบกันแล้ว สถาบันการเงิน บ้านเรา
ปัจจุบัน มีบทเรียน แข็งแรงขึ้นเยอะครับ
ผู้บริหารระดับสูงในสถาบันปัจจุบัน
ก็คือคนในอายุ 40 ต้นๆ ตอนปี 40 ทั้งนั้น
อย่างน้อยวิกฤต Lehman ก็พิสูจน์
ระดับนึงแล้วครับ
วิกฤต รอบนี้ ถ้าจะเกิด เกรงว่าจะเกิดจาก รัฐ
ในเรื่องวินัยการคลังมากกว่าสิ
MLR 13% กว่าๆ
พึ่งเริ่มทำงาน บริษัท เงินทุน
แทบจะทุก บง. ตอนนั้น
ลูกหนี้ default ก็ จัดการ เซตอีกวงเงิน
เรียก วงเงินดอกเบี้ย เอามาจ่ายวงเงินหลัก
พันกัน เหมือนการกดเงินจากบัตรเครดิต
ใบนึง ไปจากอีกใบนึง
ดอกเงินฝากก็ 15-16% กว่าๆ
เทียบกันแล้ว สถาบันการเงิน บ้านเรา
ปัจจุบัน มีบทเรียน แข็งแรงขึ้นเยอะครับ
ผู้บริหารระดับสูงในสถาบันปัจจุบัน
ก็คือคนในอายุ 40 ต้นๆ ตอนปี 40 ทั้งนั้น
อย่างน้อยวิกฤต Lehman ก็พิสูจน์
ระดับนึงแล้วครับ
วิกฤต รอบนี้ ถ้าจะเกิด เกรงว่าจะเกิดจาก รัฐ
ในเรื่องวินัยการคลังมากกว่าสิ
-
- Verified User
- โพสต์: 2848
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อยากถามพี่ๆ ถึงเหตุการณ์ช่วงปี 40 ครับ
โพสต์ที่ 30
ขอแก้ไขนิดนึงนะครับ คือดอก OD ตอนนั้น 18% กับ หยื่งไม่บอกให้พ่อช่วย....Joi เขียน:ผมว่าถ้าเทียบตอนนี้กับปี 40 ผมว่ายังห่างกันพอสมควรเลยนะครับ....
ปี 40 Bank ปล่อยกู้อย่างสุดเหวี่ยงแทบไม่ดูหลักทรัพย์ค้ำประกันเลยด้วยซ้ำ คนก็เลยมันกันซิครับกู้เล่นกันเลย เก็งกำไรที่ดิน บ้าน รถ
ของฟุ่มเฟือย ตอนนั้นพวก Bank กับสถาบันการเงินแทบไม่ได้มีการกันสำรองเหมือนปัจจุบัน ที่พ่อผมกู้มาลงทุนตอนนั้นดอก 25%
ก่อนปี 37 มั๊ง พอได้เงินมาก็โป๊ะคืน Bank หมดปี 39 เพราะเสียดายดอกเบี้ยที่เสียไป แล้วก็หยุดลงทุนเลย โชคดีที่ไม่โลภลงทุนต่อไม่
งั้นก็หนักพอสมควร.....
ช่วงนั้นที่ดิน Boom มาก โฉนดชื้อขายเปลี่ยนมือกันเร็วมาก ผมยังจำได้ตอนนั้นพ่อผมจะซื้อที่ดินแปลงนึงที่แปดริ้ว นัดเจอกันที่ที่ดิน
คนเยอะมากมั่วกันไปหมด คุณเชื่อไม๊คนที่ขายพ่อผมเขาเพิ่งซื้อมาจากอีกคนยังไม่ได้โอนเลย เลยนัดพ่อผมโอนจากคนที่เขาซื้อมามา
เป็นของพ่อผมเลย และที่มันกว่านั้นตอนที่กำลังจะทำเรื่องโอน ก็มีคนมาขอซื้อต่อจากพ่ออีก 2-3 คน โดยบวกให้อีกไร่ละแสน แต่พ่อ
ผมขอเพิ่มราคาเขาไม่ยอม งั้นพ่อผมเลยทำเรื่องรับโอนเลย เพราะพ่อคิดว่าที่มันจะขึ้นอีก แล้วมันก็ขึ้นจริงๆแต่ก็ไม่ได้ขายจนถึงปัจจุบัน
ผมสรุปให้เลยนะปี 40 เหตุผลหลักมาจากพวกสถาบันการเงินที่กู้เงินจากเมืองนอกมาปล่อยกู้แบบอีลุ่ยฉุยแฉกโดยที่ไมีมีการป้องกัน
ความเสี่ยงอะไรเลย และอีกเหตุผลก็คือความโลภที่ไม่มีวันสิ้นสุดของเราเองครับ....
วิกฤติปี 40 ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป ผมเพิ่งเล่นหุ้นก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ผมใช้เงินเก็บของผมที่มีไม่มากนักเล่น ช่วงนั้นจิ้มตัวไหนก็ขึ้น
จนความโลภเข้าสิงเต็มตัวเลยขอ Margin โดยใช้หุ้นที่อยู่มีค้ำไว้ พอฟองเริ่มแตกหุ้นตกทุกวันเปิดมา Floor แล้ว Floor อีกจนระดับ MM
ติดลบ แต่เพราะเราสนิทกับโบรกก็เลยขอไม่ให้ Force Sell ปล่อยตกมาจนสถาบันเจ๊ง ตอนนั้นผมถืออยู่ 2 ตัวที่ราคา 30 บ.กับ 8 บ.
สุดท้ายยอมจำนนขายที่ 2 บ. กับ 0.70 บ.เป็นหนี้ท่วมตัว ดอกเบี้ยจ่ายตอนนั้น 28% เครียดไม่รู้ชีวิตจะเป็นยังไง หยิ่งอีกขอให้พ่อช่วย
55 ... ตอนนั้นเงินเดือนออกเอามาจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยยังแทบจะไม่พอเลย พอดีโบรกใกล้เจ๊งเต็มที่เลยเสนอ Hair Cut ให้ผม 40%ของ
หนี้ แต่ขอเงินสดทั้งหมด ผมยังโชคดีหน่อยที่ตอนนั้นเปิด OD ไว้นิดหน่อยเอาบ้านเข้าไว้แต่ไม่ได้ใช้ ก็เลยได้ใช้อีกอย่าง ดอก OD ตอน
นั้น 15% น้อยกว่าดอกที่ผมจ่าย 28% แต่ก็ขาดอีกมากมาย เลยต้องคุยกับแฟนเอาเงินเก็บของเขากับของลูก พร้อมทรัพย์สินที่เปลี่ยน
เป็นเงินได้เร็วเช่นทองคำ Rolex ฝากเพื่อนไปขาย สุดท้ายก็หมดตัวอย่างสิ้นเชิงและมีหนี้ OD กับหนี้แม่ยายอีกนิดหน่อย.....
ใครไม่ผ่านเหตุการณ์อย่างนี้ไม่รู้หรอกว่ามันเครียดขนาดไหน เอาปืนจ่อปากก็เคยมาแล้วจนแฟนผมต้องเอาปืนไปเก็บซ่อน ตอนนั้นก็ยัง
อายุไม่มากนักคิดแต่ว่าชีวิตหมดสิ้น หันหลังให้หุ้นไปหลายปี(จริงๆไม่มีเงินเล่นแค่จ่ายดอกกับค่าใช้จ่ายในบ้านก็หมดแล้ว) จนพอมีเงิน
จาก OD ที่เหลือบ้างแสนบาท ก็กลับมาลงทุนใหม่ปี 43 ก็ลุ่มๆดอนๆ จนมาถึงปัจจุบันก็ไม่คิดว่าจะกลับมาได้แต่ก็กลับมามากกว่าตอนนั้น
แต่ก็ไม่ได้มากมาย ย้อนหลังไปนั่งคิดดูถ้าตอนนั้นเกิดบ้าทำไรโง่ไป ครอบครัวจะอยู่กันยังไง.....จนปัจจุบันผมก็ไม่คิดจะเล่น Margin อีก
เลย.....ตอนนี้แค่นี้ถึงพอร์ทผมจะไม่มากนักแต่ก็พออยู่พอกินไปได้ไม่ลำบากครับ.......ยาวไปหน่อย จริงๆพยายามให้สั้นแล้วนะครับ 555
ที่ผมมาเล่านี่ก็อยาก Share ให้เพื่อนๆรุ่นหลังๆอ่านเตือนใจนะครับ สรุปนะครับไม่ว่าจะฟองสบู่หรือไม่ฟองสบู่มันก็ขึ้นกับตัวเรา
เองทั้งนั้น ปัจจัยแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจหรืออะไร มันเป็นเพียงตัวเร่งและส่วนประกอบเท่านั้น ดังนั้นควร Focus
ไปที่ตัวเราเองจะดีที่สุด ควรเตือนตัวเองว่า
-อย่าโลภเกินไป รู้จักพอ ทุกอย่างมันมีความไม่แน่นอน
-รู้จักประหยัด ใช้เงินอย่างฉลาด และอย่าประมาท
-ถ้าคุณไม่มีเงินมากพอ ไม่ควรลาออกมาเล่นหุ้นเพียงอย่างเดียว ใน Case ของผมแม้เงินเดือนจะไม่มากนัก แต่ถ้าตอนนั้นผม
ไม่ได้ทำงาน ความเครียดจะเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ
-กู้เงินมาเล่นโดยเฉพาะ Margin ไม่แนะนำ ถ้าจะเล่นต้องมีวินัยและรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะเล่น Margin และเมื่อไหร่ควรจะหยุด
-ล้มแล้วอย่าท้อ สู้ต่ออย่างมีสติ ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วเราจะกลับมาได้
โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ
"การหลอกคนร้อยคนให้เชื่อ นั้นง่ายกว่าการสอนคนหนึ่งคน ให้เข้าใจ"