หรูจัง หรูจริง ไม่ทราบเค้าเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าไปสัมผัสความหรูไหมครับ อ่านแล้วอยากลองไปกิน ไปอยู่จังdr1 เขียน:ตอบท่านcobain-vi
ไม่ใช่หลวงพ่อมนตรีครับ
แต่เป็นอาจารย์ผู้หญิงอายุสักสามสิบ
หลักสูตรคุณแม่สิริ จัดที่รีสอร์ทแบบสวิสชาเล่
อาหารมังสวิรัตินานาชาติ
ผู้เข้าร่วมชุดขาวแบบแอเมส หลุย
นับเป็นธรรมะบนความหรูที่สุดที่เคยพบครับ
ท่านcobain คงไม่ได้ชื่อ kurt แห่ง nirvana นะครับ?
ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 31
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 87
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 33
ขออธิบายตามความเข้าใจของผมนะครับdr1 เขียน:เรื่องอภัยทานใหญ่กว่าธรรมทานเนี่ย
ผมเลยยังไม่แน่ใจว่า
ทานที่มีประโยชน์ต่อผู้ให้
กะทานที่มีประโยชน์ต่อผู้รับ
จะเทียบกันอย่างไร?
เข้าใจว่ากรณีของ "การรักษาศีลทำไมถึงได้บุญมากกว่าการให้ทาน"
ที่เวลาฟังเบื้องต้นแล้วจะขัดๆ เพราะวิธีการวัดปริมาณบุญว่าวัดจากมุมมองทางด้านไหน
1.มุมมองด้านวัตถุ (คนส่วนมากจะมองจากมุมนี้)
2.มุมมองด้านจิตใจ (มุมมองที่ถูกต้อง)
จิตใจที่สละออกได้ง่ายจะดีให้แง่การไม่ยึดมั่นถือมั่น ปกติสิ่นที่สละได้ยากไม่ใช่สิ่งไกลตัวแต่กลับเป็น
"ยิ่งใกล้เท่าไหร่ยิ่งสละยากเท่านั้น" เราน่าจะสละสิ่งของได้ง่ายกว่าการละความเชื่อหรือตัวตนของเรา
ทาน (สิ่งของภายนอก) < ศีล (งดเว้นการกระทำ) < ภาวนา (ถอดถอนความยึดมั่น)
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 35
ใช่แล้วครับทานมีอานิสงน้อยที่สุดเพราะว่าประกอบด้วยเงื่อนไขมากมาย ให้ใคร ให้ด้วยอะไร ตอนไหน แล้วก็หวังอะไรตอบแทนหรือปล่าว
ให้ใคร อานิสงฆ์ของผู้รับไม่เหมือนกัน เช่นให้สัตว์ก็น้อยกว่าคน ให้คนที่ไม่ดีก็น้อยกว่าให้คนดี ..ให้พระโสดาบัน4องค์ก็ไม่เท่าให้พระสกิทาคามี1องค์ ให้พระอนาคา4องค์ก็ไม่เท่าให้พระอรหันต์1องค์ ให้พระอรหันต์1องค์ก็ไม่เท่าพระพุทธเจ้า1องค์ ให้พระพุทธเจ้า1องค์ก็ไม่เท่าให้พระอรหันต์4องค์ ให้พระอรหันต์4องค์ก็ไม่เท่าให้พระอรหันต์1องค์ที่ออกจากสันญาเวทยิทนิโรธ
ให้อะไร บางคนก็ทำทานสรรหาของอะไรที่มันเกินความจำเป็นไปถวายพระเพราะคิดว่าได้บุญ ยิ่งของแปลกๆแพงๆจะได้บุญเยอะ อันนี้เป็นความเข้าใจผิดมากๆ แค่ปัจจัยสี่ก็พอแล้ว
ตอนไหน ก่อนทำ ระหว่างทำ หลังจากทำแล้ว ถ้าใจยังไม่สงสัยหรือเสียดายทั้งสามกาลนี้ก็ได้บุญเต็มๆ
หวังผลตอบแทนหรือปล่าว อันนี้ผมว่าเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดเพราะคนส่วนใหญ่ทำทานเพื่อหวังโน่นหวังนี่ ขอให้รวยๆ ขอให้ชาติหน้าสวยๆ อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด แบบนี้ไม่ค่อยได้หรอกครับ
ส่วนศีลกับภาวนานั้นมีอานิสงฆ์มากกว่าทำทานเยอะ เพราะเป็นไปเพื่อละกิเลสเพื่อขัดเกลาตัวเอง
แต่ทั้งสามอย่างเราควรทำทั้งหมดเหมือนที่หลวงพ่อลี วัดอโศบอกไว้ว่า ทำนาเราก็เอาหมด ฟาง แกลบ เม็ดข้าว มันดีทั้งนั้น
ให้ใคร อานิสงฆ์ของผู้รับไม่เหมือนกัน เช่นให้สัตว์ก็น้อยกว่าคน ให้คนที่ไม่ดีก็น้อยกว่าให้คนดี ..ให้พระโสดาบัน4องค์ก็ไม่เท่าให้พระสกิทาคามี1องค์ ให้พระอนาคา4องค์ก็ไม่เท่าให้พระอรหันต์1องค์ ให้พระอรหันต์1องค์ก็ไม่เท่าพระพุทธเจ้า1องค์ ให้พระพุทธเจ้า1องค์ก็ไม่เท่าให้พระอรหันต์4องค์ ให้พระอรหันต์4องค์ก็ไม่เท่าให้พระอรหันต์1องค์ที่ออกจากสันญาเวทยิทนิโรธ
ให้อะไร บางคนก็ทำทานสรรหาของอะไรที่มันเกินความจำเป็นไปถวายพระเพราะคิดว่าได้บุญ ยิ่งของแปลกๆแพงๆจะได้บุญเยอะ อันนี้เป็นความเข้าใจผิดมากๆ แค่ปัจจัยสี่ก็พอแล้ว
ตอนไหน ก่อนทำ ระหว่างทำ หลังจากทำแล้ว ถ้าใจยังไม่สงสัยหรือเสียดายทั้งสามกาลนี้ก็ได้บุญเต็มๆ
หวังผลตอบแทนหรือปล่าว อันนี้ผมว่าเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดเพราะคนส่วนใหญ่ทำทานเพื่อหวังโน่นหวังนี่ ขอให้รวยๆ ขอให้ชาติหน้าสวยๆ อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด แบบนี้ไม่ค่อยได้หรอกครับ
ส่วนศีลกับภาวนานั้นมีอานิสงฆ์มากกว่าทำทานเยอะ เพราะเป็นไปเพื่อละกิเลสเพื่อขัดเกลาตัวเอง
แต่ทั้งสามอย่างเราควรทำทั้งหมดเหมือนที่หลวงพ่อลี วัดอโศบอกไว้ว่า ทำนาเราก็เอาหมด ฟาง แกลบ เม็ดข้าว มันดีทั้งนั้น
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1284
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 36
ขอออกความเห็นหน่อย ถ้ายังมาเทียบว่าแบบไหนได้อานิสงส์มากน้อย แสดงว่ายังมีกิเลสกันอยู่ ส่วนตัว ผมก็พยายามทำทั้ง 3 อย่างละครับ ทั้งทาน ศีล ภาวนา ตามความสามารถของมนุษย์คนนึงที่เต็มไปด้วยกิเลสทำได้
เท่าที่ผมเข้าใจเอง การทำทานเห็นผลชัด เป็นรูปธรรม ส่วน ศีล ภาวนา เป็นนามธรรม ดูยากนิดนึง
วิธีที่ผมใช้ดำเนินชีวิตคือหากถ้าเราตายไป แล้วต้องไปเจอด่าน นรก หรือ สวรรค์ โดยมีการยิงคำถามและต้องตอบทันที ห้ามคิด ซึ่งคำถามนั้น คือ
ตอนอยู่บนโลกมนุษย์ คุณได้ทำความดีอะไรไว้บ้าง...... อาจดูง่าย แต่ถ้าจะตอบได้ทันทีโดยไม่โกหกตัวเอง ผมว่าหลายคนคงสะอึก อาจไม่สามารถตอบได้ทันที
แต่ถ้าโดนถามว่า ตอนอยู่บนโลกมนุษย์ คุณได้ทำความชั่วอะไรไว้บ้าง...... คนส่วนใหญ่อาจจะตอบได้ทันที โดยไม่ต้องคิด
พยายามดำเนินชีวิตแบบนี้ น่าจะช่วยให้ทำดีมากขึ้น ทำชั่วน้อยลงนะ
ถ้าผมโดนถามคำถามแรกตอนนี้ ผมสามารถตอบได้ทันทีว่า ผมบริจาคโลหิต บริจาคเงินช่วยเหลือ ต่าง ๆ นา ๆ ครั้นจะตอบว่าผมถือศีล ภาวนา มาตลอด อันนี้ ผมคงตอบได้ไม่เต็มปากหรอกครับ อย่างน้อยผมก็เป็นอีกคนที่น่าจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายรอบทีเดียว 555
เท่าที่ผมเข้าใจเอง การทำทานเห็นผลชัด เป็นรูปธรรม ส่วน ศีล ภาวนา เป็นนามธรรม ดูยากนิดนึง
วิธีที่ผมใช้ดำเนินชีวิตคือหากถ้าเราตายไป แล้วต้องไปเจอด่าน นรก หรือ สวรรค์ โดยมีการยิงคำถามและต้องตอบทันที ห้ามคิด ซึ่งคำถามนั้น คือ
ตอนอยู่บนโลกมนุษย์ คุณได้ทำความดีอะไรไว้บ้าง...... อาจดูง่าย แต่ถ้าจะตอบได้ทันทีโดยไม่โกหกตัวเอง ผมว่าหลายคนคงสะอึก อาจไม่สามารถตอบได้ทันที
แต่ถ้าโดนถามว่า ตอนอยู่บนโลกมนุษย์ คุณได้ทำความชั่วอะไรไว้บ้าง...... คนส่วนใหญ่อาจจะตอบได้ทันที โดยไม่ต้องคิด
พยายามดำเนินชีวิตแบบนี้ น่าจะช่วยให้ทำดีมากขึ้น ทำชั่วน้อยลงนะ
ถ้าผมโดนถามคำถามแรกตอนนี้ ผมสามารถตอบได้ทันทีว่า ผมบริจาคโลหิต บริจาคเงินช่วยเหลือ ต่าง ๆ นา ๆ ครั้นจะตอบว่าผมถือศีล ภาวนา มาตลอด อันนี้ ผมคงตอบได้ไม่เต็มปากหรอกครับ อย่างน้อยผมก็เป็นอีกคนที่น่าจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายรอบทีเดียว 555
In search of super stocks
-
- Verified User
- โพสต์: 87
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 37
เห็นด้วยครับแม้พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสว่าอะไรดีกว่ากันมากน้อยตามกฎธรรมชาติinvestment biker เขียน:ถ้ายังมาเทียบว่าแบบไหนได้อานิสงส์มากน้อย แสดงว่ายังมีกิเลสกันอยู่
แต่ก็ไม่ได้ให้พวกเราเลือกปฎิบัติแต่อย่างใดทำอย่างพอดี
ลืมตอบคำถามตามหัวข้อกระทู้ ส่วนตัวผมจะแบ่งรายได้(กำไร)ออกเป็น 4 ส่วน
2 ส่วนลงทุนต่อ (เก็บเป็นหุ้นกลุ่มเติบโต)
1 ส่วนเก็บ (ไม่ได้เก็บเป็นเงินสดแต่จะเก็บเป็นหุ้นกลุ่มปันผล)
1 ส่วนใช้จ่าย (ทำบุญก็อยู่ในงบนี้)
ส่วนมากจะให้กลับคนใกล้ตัวก่อน แล้วถ้าเหลือก็จะค่อยใกล้กว้างออกไป ทั้งคนที่เจอครั้งเดียว บำรุงศาสนา ตามโอกาสอำนวย
-
- Verified User
- โพสต์: 314
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 38
phuja เขียน:เงินลงทุนยังไม่หลาย ๆ หลักเหมือนคนอื่น ที่ทำอยู่ตอนนี้ ถ้าเพิ่มทุกหนึ่งแสน โอนไปวัดพระบาทน้ำพุ
500 บาท โอนผ่าน Net ค่าโอนก็ไม่ต้องเสีย ทำบุญแบบสะสมทรัพย์ สบายใจดีค่ะ
ผมสนใจทำบุญที่นี่เหมือน คิดว่าน่าจะได้ช่วยเหลือผู้เดือดร้อนโดยตรง
และยังเป็นกำลังใจให้กับวัด หรือบุคคลที่อาสามาทำงานตรงนี้ด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 39
โอ้โฮ ขอบคุณและสาธุกับทุกท่านที่ช่วยมาเป็นกัลยาณมิตรนะครับ
ตอบ อ.picatos(ผมตื่นเต้นมากที่ท่านถาม)
บ้านทิพวรรณ ครับ www.tipavan.com
เจ้าของสถานที่และเจ้าภาพนับถือคริสต์ด้วยซ้ำ
แต่ท่านเห็นประโยชน์ จึงกรุณาจัดให้มี
รุ่นนั้นเป็นโยคีน่าจะมาจากวงการบันเทิงกับดารา
อ.ที่มาบรรยายธรรมก็เป็นดารา
กะคุณหมอที่ดูแลความสวยงาม
ซึ่งต่อมาก็พบกันอีกตอนตามพระอาจารย์ไปหลวงพระบาง (อินเดีย?) พม่า
วัฎฎสังสารนี่ จะว่าแคบก็ได้ จะว่ากว้างก็ได้ครับ
เอ่อ.. ไม่รู้ต้องย้ายห้องคุยมั้ย
ตอบ อ.picatos(ผมตื่นเต้นมากที่ท่านถาม)
บ้านทิพวรรณ ครับ www.tipavan.com
เจ้าของสถานที่และเจ้าภาพนับถือคริสต์ด้วยซ้ำ
แต่ท่านเห็นประโยชน์ จึงกรุณาจัดให้มี
รุ่นนั้นเป็นโยคีน่าจะมาจากวงการบันเทิงกับดารา
อ.ที่มาบรรยายธรรมก็เป็นดารา
กะคุณหมอที่ดูแลความสวยงาม
ซึ่งต่อมาก็พบกันอีกตอนตามพระอาจารย์ไปหลวงพระบาง (อินเดีย?) พม่า
วัฎฎสังสารนี่ จะว่าแคบก็ได้ จะว่ากว้างก็ได้ครับ
เอ่อ.. ไม่รู้ต้องย้ายห้องคุยมั้ย
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 40
ทำสังฆทาน ทุกเดือน มาหลายปีแล้ว
รู้สึกดีที่ได้พาแม่ไปทำบุญ ทุกเดือน
ผมคิดว่า วัด เป็นที่พักพิงทางใจ ของคน
ผมไม่เคยคิดว่าจะได้บุญ
อย่างมากขอแค่ละลายกรรมตัวเองไปบ้างก็พอ
แต่สำคัญที่สุด คือ ผมไม่สนใจ ว่าพระ ท่านจะเป็นยังไง
จะเอาเงินผมไปทำอะไร
ผมมีเจตนา แค่ อยากให้ศาสนา อยู่ได้
อยากให้วัดอยู่ได้ บ้านเราไม่มีกลุ่มบำบัด เหมือนในหนัง
เวลาคนเห็นคนมีความทุกข์
แล้วอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าไม่มีวัด
อาจจะขาดที่พึ่งทางใจ
คนมาสวดมนต์ นั่งสมาธิ ก็จะไม่มีสถานที่
( น่าจะต่างจากการปฏิบัตรที่บ้านนิดหน่อย)
แต่ถ้ามีกำลังทรัพย์ และเวลา ช่วยเหลือ สังคม ได้มากกว่านี้
ผมก็อยากทำคับ
ฟังที่คุณโจ พูดแล้วดีใจแทน ที่พี่เค้าว่า อยากเอาเวลามาช่วยสังคม
รู้สึกดีที่ได้พาแม่ไปทำบุญ ทุกเดือน
ผมคิดว่า วัด เป็นที่พักพิงทางใจ ของคน
ผมไม่เคยคิดว่าจะได้บุญ
อย่างมากขอแค่ละลายกรรมตัวเองไปบ้างก็พอ
แต่สำคัญที่สุด คือ ผมไม่สนใจ ว่าพระ ท่านจะเป็นยังไง
จะเอาเงินผมไปทำอะไร
ผมมีเจตนา แค่ อยากให้ศาสนา อยู่ได้
อยากให้วัดอยู่ได้ บ้านเราไม่มีกลุ่มบำบัด เหมือนในหนัง
เวลาคนเห็นคนมีความทุกข์
แล้วอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าไม่มีวัด
อาจจะขาดที่พึ่งทางใจ
คนมาสวดมนต์ นั่งสมาธิ ก็จะไม่มีสถานที่
( น่าจะต่างจากการปฏิบัตรที่บ้านนิดหน่อย)
แต่ถ้ามีกำลังทรัพย์ และเวลา ช่วยเหลือ สังคม ได้มากกว่านี้
ผมก็อยากทำคับ
ฟังที่คุณโจ พูดแล้วดีใจแทน ที่พี่เค้าว่า อยากเอาเวลามาช่วยสังคม
show me money.
-
- Verified User
- โพสต์: 101
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 41
ขออนุญาตร่วมด้วยนะครับ
ผมเองเริ่มด้วยอยากรู้ว่าทำอะำไรบ้างที่เป็นการทำบุญ ซึ่งพบว่ามีหัวข้อเรื่อง บุญกิริยาวัตถุ
ขออ้างอิงถึง wiki ด้านล่างนี้ครับ
บุญกิริยาวัตถุ (อ่านว่า บุน-ยะ-กิ-ริ-ยา-วัด-ถุ) แปลว่า เหตุเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หมายถึงเหตุเกิดบุญ, วิธีการทำบุญ, วิธีที่เมื่อทำแล้วได้ชื่อว่าทำบุญและจะได้รับผลเป็นความสุข
บุญกิริยาวัตถุโดยย่อมี 3 ประการคือ
1 ทานมัย การให้ทาน
2 ศีลมัย การักษาศีล
3 ภาวนามัย การอบรมจิตใจ
บุญกิริยาวัตถุโดยพิสดาร มี 10 ประการ คือ
1 เหมือนข้างต้น
2 เหมือนข้างต้น
3 เหมือนข้างต้น
4 อปจายนมัย การอ่อนน้อมถ่อมตน
5 เวยาวัจมัย การช่วยเหลือผู้อื่น
6 ปัตติทานมัย การแผ่ส่วนบุญ
7 ปัตตานุโมทนามัย การอนุโมทนาบุญ
8 ธัมมัสสวนมัย การฟังธรรม
9 ธัมมเทสนามัย การแสดงธรรม
10 ทิฏฐุชุกรรม การทำความเห็นให้ถูกต้อง,ดีงาม
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A% ... 6%E0%B8%B8
ซึ่งก็เลยใช้เป็นเข็มทิศแนวทางในการทำบุญครับ
ผมเองเริ่มด้วยอยากรู้ว่าทำอะำไรบ้างที่เป็นการทำบุญ ซึ่งพบว่ามีหัวข้อเรื่อง บุญกิริยาวัตถุ
ขออ้างอิงถึง wiki ด้านล่างนี้ครับ
บุญกิริยาวัตถุ (อ่านว่า บุน-ยะ-กิ-ริ-ยา-วัด-ถุ) แปลว่า เหตุเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หมายถึงเหตุเกิดบุญ, วิธีการทำบุญ, วิธีที่เมื่อทำแล้วได้ชื่อว่าทำบุญและจะได้รับผลเป็นความสุข
บุญกิริยาวัตถุโดยย่อมี 3 ประการคือ
1 ทานมัย การให้ทาน
2 ศีลมัย การักษาศีล
3 ภาวนามัย การอบรมจิตใจ
บุญกิริยาวัตถุโดยพิสดาร มี 10 ประการ คือ
1 เหมือนข้างต้น
2 เหมือนข้างต้น
3 เหมือนข้างต้น
4 อปจายนมัย การอ่อนน้อมถ่อมตน
5 เวยาวัจมัย การช่วยเหลือผู้อื่น
6 ปัตติทานมัย การแผ่ส่วนบุญ
7 ปัตตานุโมทนามัย การอนุโมทนาบุญ
8 ธัมมัสสวนมัย การฟังธรรม
9 ธัมมเทสนามัย การแสดงธรรม
10 ทิฏฐุชุกรรม การทำความเห็นให้ถูกต้อง,ดีงาม
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A% ... 6%E0%B8%B8
ซึ่งก็เลยใช้เป็นเข็มทิศแนวทางในการทำบุญครับ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 42
ทิฏฐุิชุกรรม นี่เป็นรากฐานที่สำคัญสุดๆ เลยครับ ในการทำความดีต่างๆ ซึ่งถ้าพิจารณาในมรรคที่มีองค์ 8 ก็คือ สัมมาทิฏฐิ นั่นเองWalk_To_Sunshine เขียน:...
1 ทานมัย การให้ทาน
2 ศีลมัย การักษาศีล
3 ภาวนามัย การอบรมจิตใจ
4 อปจายนมัย การอ่อนน้อมถ่อมตน
5 เวยาวัจมัย การช่วยเหลือผู้อื่น
6 ปัตติทานมัย การแผ่ส่วนบุญ
7 ปัตตานุโมทนามัย การอนุโมทนาบุญ
8 ธัมมัสสวนมัย การฟังธรรม
9 ธัมมเทสนามัย การแสดงธรรม
10 ทิฏฐุชุกรรม การทำความเห็นให้ถูกต้อง,ดีงาม
...
แต่การจะทำให้สัมมาทิฏฐิ หรือ ทิฏฐิชุกรรม ตั้งขึ้นได้นี่ เป็นอะไรที่ยากมาก เป็นองค์แห่งปัญญาที่จะพัฒนาขึ้นตามกำลังของสติ สมาธิ และมีลำดับขั้น มีความลุ่มลึก ดุจดั่งความลึกของมหาสมุทร ทั้งนี้เป็น เพราะ อวิชชา กิเลสที่ห่อหุ้มตัวเราเอง ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงได้ จึงทำให้หลงผิดไปยึดมั่น ถือมั่น ไปในสิ่งต่างๆ ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงได้
ซึ่งก็ต้องอาศัยการฝึกฝน สติ สมาธิ เพื่อที่จะให้เกิดปัญญา เพื่อที่จะได้ปล่อยให้แสงสว่างแห่งความเป็นจริงได้แทงทะลุผ่านช่องว่างของกลุ่มเมฆที่มืดมนของอวิชชาบ้างลงมาถึงจิตใจเราบ้าง ค่อยทำให้เราได้รู้ว่า จริงๆ แล้ว ท้องฟ้า ความสว่าง ทั้งเป็นอย่างไร และเมื่อเผลอตัว รู้ตัวอีกที ช่องว่างดังกล่าวก็ถูกเมฆแห่งอวิชชาปกคลุมไปอีกครั้ง แต่จิตใจที่ชุ่มชื่น ที่ได้เห็นความจริงจากแสงสว่างที่ส่องผ่านมาได้บ้าง ก็จะเป็นศรัทธา เป็นกำลัง ที่จะทำให้เราค่อยๆ สร้างสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้น ทีละนิด ทีละนิด จนกว่าจะสิ้นความสงสัย ก้าวข้ามหลุดพ้นไปจากความหลงผิดทั้งปวง
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 1047
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 44
ขอแนะนำ บ้านภูมิเวท ปากเกร็ดครับ เป็นศูนย์รับเด็กกำพร้าชาย โดยมากดาราจะไปบ้านเด็กำพร้าปากเกร็ดกัน แต่ศูนย์นี้อยู่ในสุดเลย รั้วสีเขียวขวามือ คนไม่ค่อยรู้กันเลยไม่ค่อยมีคนมาบริจาค ศูนย์นี้จะรับเด็กเล็กจนถึงเด็กก่อนวัยรุ่นชาย มีหลายชาตินะครับ ไม่ใช่เฉพาะเด็กไทย มีเด็กนิโกร กัมพูชา พม่า ลาว ไม่จำเป็นต้องบริจาคเงิน บริจาคเป็นสิ่งของโดยเฉพาะกระเป๋าเดินทางสำหรับส่งตัวกลับประเทศของน้องๆเค้า อาจจะเป็นเสื้อผ้า ชุดเตะบอลของเล่นที่ลูกเราไม่ใช้แล้วก็ได้ เข้าไปติดต่อได้เลยครับ ขนม ต่างๆ หรือว่าจะไปเลี้ยงอาหารเป็นมือๆก็ได้ตกราคาประมาณ 6-7 พันบาท(ข้าวเหนียวไก่ย่างอย่างหรู) แล้วแต่จำนวนเด็ก เสาร์-อาทิตย์ ได้ทั้งนั้น
ส่วนตัวผมไปทำประจำแทบทุกปีมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้ว ทำซะจนพี่ที่อยู่ที่นั้นกระเสียรไปเลยก็มี
ถ้าใครต้องการข้อมูลเพิ่มเติมถามมาได้นะครับ
ผมว่าดีกว่าบางมูลนิธิที่ให้หักเงินผ่านบัตรเครดิตเป็นเดือนๆอีก เพราะเงินที่หักไปนั้นถึงมือเด็กแค่ 40% เท่านั้น 60% เข้ากระเป๋ามูลนิธิเป็นค่าใช้จ่าย แต่ทำแบบนี้เด็กได้เต็มๆครับ
ส่วนตัวผมไปทำประจำแทบทุกปีมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้ว ทำซะจนพี่ที่อยู่ที่นั้นกระเสียรไปเลยก็มี
ถ้าใครต้องการข้อมูลเพิ่มเติมถามมาได้นะครับ
ผมว่าดีกว่าบางมูลนิธิที่ให้หักเงินผ่านบัตรเครดิตเป็นเดือนๆอีก เพราะเงินที่หักไปนั้นถึงมือเด็กแค่ 40% เท่านั้น 60% เข้ากระเป๋ามูลนิธิเป็นค่าใช้จ่าย แต่ทำแบบนี้เด็กได้เต็มๆครับ
เลือกเด็กที่เรียนดี แล้วให้เค้าพาเราไป
-
- Verified User
- โพสต์: 2595
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 45
ผมว่าการ"คืนกำไร"จากการลงทุนในรูปเเบบต่างๆสู่สังคมหรือผู้มีพระคุณเป็นการเร่งportที่สำคัญอย่างหนึ่ง...ผมได้สูตรนี้จากคนที่ถูกหวยบ่อยๆ
ของผมเลือกจะเเบ่งกำไรจากการลงทุนเป็น3ส่วน
1) Reinvestment
2) ให้พ่อเเม่
3) ทำบุญ โดยเฉพาะทำบุญกับสถาบันที่สอนเรามา ให้ความรู้ให้อาชีพกับเรา นอกจากนี้ผมเลือกทำบุญกับองค์องค์กรที่มีผลงานชัดเจนเช่นUnicef
ที่เหลือคือการทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด นั่นคือการทำบุญเเละคืนให้สังคมที่ง่ายที่สุด
ของผมเลือกจะเเบ่งกำไรจากการลงทุนเป็น3ส่วน
1) Reinvestment
2) ให้พ่อเเม่
3) ทำบุญ โดยเฉพาะทำบุญกับสถาบันที่สอนเรามา ให้ความรู้ให้อาชีพกับเรา นอกจากนี้ผมเลือกทำบุญกับองค์องค์กรที่มีผลงานชัดเจนเช่นUnicef
ที่เหลือคือการทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด นั่นคือการทำบุญเเละคืนให้สังคมที่ง่ายที่สุด
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
-
- Verified User
- โพสต์: 1047
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 46
torpongpak เขียน:ผมว่าการ"คืนกำไร"จากการลงทุนในรูปเเบบต่างๆสู่สังคมหรือผู้มีพระคุณเป็นการเร่งportที่สำคัญอย่างหนึ่ง...ผมได้สูตรนี้จากคนที่ถูกหวยบ่อยๆ
ของผมเลือกจะเเบ่งกำไรจากการลงทุนเป็น3ส่วน
1) Reinvestment
2) ให้พ่อเเม่
3) ทำบุญ โดยเฉพาะทำบุญกับสถาบันที่สอนเรามา ให้ความรู้ให้อาชีพกับเรา นอกจากนี้ผมเลือกทำบุญกับองค์องค์กรที่มีผลงานชัดเจนเช่นUnicef
ที่เหลือคือการทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด นั่นคือการทำบุญเเละคืนให้สังคมที่ง่ายที่สุด
ส่วนตัวผมเฉยๆกับการที่คิดว่าทำบุญแล้วได้บุญตอบ บริจาคเงินแล้วได้เงินกลับมาอีก ผมว่าเหมือนกับยังไม่หลุดพ้นยังงัยไม่รู้ เราตั้งใจบริจาคแล้วก็คือการสละออกให้มันเป็นประโยชน์แก่ผู้ได้รับ ไม่ได้เป็นประโยชน์กับผู้บริจาคเลย ยกเว้นความสุขทางใจเท่านั้น
ถ้าคิดว่าการบริจาคแล้วทำให้เรามีมากขึ้น เราก็คงไม่เห็นคนรวยๆขี้ตืดกันหรอกครับ
เลือกเด็กที่เรียนดี แล้วให้เค้าพาเราไป
- Tsurumi
- Verified User
- โพสต์: 268
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 47
Credit to:
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=254020
[color=#004000]ในทางพระพุทธศาสนา การทำบุญมีด้วยกัน 10 วิธี เรียกว่า “บุญกิริยาวัตถุ 10” หรือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ 10 ประการ ได้แก่[/color]
ในทางพระพุทธศาสนา การทำบุญมีด้วยกัน 10 วิธี เรียกว่า “บุญกิริยาวัตถุ 10” หรือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ 10 ประการ ได้แก่
1. ให้ทาน หรือ ทานมัย อัน หมายถึง การให้ การสละ หรือการเผื่อแผ่แบ่งปัน ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้หรือสิ่งอื่นใด และไม่ว่าจะให้แก่ใครก็ถือเป็นบุญทั้งสิ้น เพราะการให้ทานเป็นการลดความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ถี่เหนียว และความคับแคบในจิตใจให้น้อยลง ทำให้เราไม่ยึดติดในวัตถุสิ่งของ อีกทั้งสิ่งที่เราบริจาคหรือให้ทานแก่ผู้อื่นก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และเป็นประโยชน์ต่อผู้รับ และสังคมโดยส่วนรวม การให้ทานนี้อยู่ที่ไหนๆ ก็ทำได้ และไม่จำเป็นต้องเงิน เช่น การแบ่งของกินให้กับแม่บ้านที่ทำงาน หรือยาม เป็นต้น ข้อสำคัญ สิ่งที่บริจาคหรือให้ทานแก่ผู้อื่น ควรเป็นสิ่งยังใช้ได้ มิใช่เป็นการกำจัดของเหลือใช้ที่หมดอายุ หมดคุณภาพให้ผู้อื่น ผลการให้ทานดังกล่าวจะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความปีติอิ่มเอิบใจ
2. รักษาศีล หรือ สีลมัย คำว่า ศีล หมายถึง ข้อบัญญัติทางพระพุทธศาสนา ที่กำหนดการปฏิบัติทางกายและวาจา เช่น ศีล 5 ศีล 8 หรืออาจจะหมายถึงการรักษากายวาจาให้เรียบร้อย การรักษาศีล เป็นการฝึกฝนมิให้ไปเบียดเบียนผู้อื่น ในขณะเดียวกันก็เป็นการลด ละ เลิกความชั่ว มุ่งให้กระทำความดี อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต มิให้ตกต่ำลง เช่น ไม่ไปเป็นชู้เป็นกิ๊กกับใครที่ทำงาน ทำให้ครอบครัวเขาไม่แตกแยก เป็นแม่ค้าไม่โกหกหลอกขายของไม่ดีแก่ลูกค้า เป็นพ่อบ้านไม่กินเหล้าเมายา ทำให้ลูกเมียมีความสุข เพื่อนบ้านก็สุข เพราะไม่ต้องทนฟังเสียงรบกวน จากการทะเลาะวิวาทกัน เหล่านี้ล้วนเป็นการรักษาศีล และเป็นหนึ่งในการทำบุญอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งผลบุญข้อนี้จะทำให้เรากลายเป็นคนเยือกเย็น สุขุมด้วย
3. เจริญภาวนา หรือภาวนามัย เป็นการทำบุญอีกรูปแบบ ที่มุ่งพัฒนาจิตใจและปัญญา ทำให้จิตใจสงบ เห็นคุณค่าสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง ซึ่งในข้อนี้หลายคนอาจจะทำเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น นั่งสมาธิ วิปัสสนา แต่หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องยากเกินกำลัง ดังนั้น อาจจะทำง่ายๆ ด้วยวิธีการสวดมนต์เป็นคาถาสั้นๆ บูชาพระที่เราเคารพบูชาก่อนนอนทุกคืน เช่น คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร คาถาหลวงปู่ทวด เป็นต้น การสวดมนต์เป็นประจำ อย่างน้อยก็เป็นการน้อมนำจิตใจของเรา ไปสู่สิ่งที่เป็นมงคลในชีวิต เป็นการเตือนสติให้เรายึดมั่นในการประพฤติปฏิบัติชอบ ตามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือ และผลบุญข้อนี้จะทำให้เกิดปัญญาแก่ผู้ปฏิบัติ
4. การอ่อนน้อมถ่อมตน หรือ อปจายนมัย หลายคนคงคิดไม่ถึงว่า การประพฤติตนเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จะถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ ก็เพราะว่าการอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ว่าจะเป็นผู้น้อยประพฤติต่อผู้ใหญ่ และการที่ผู้ใหญ่แสดงตอบด้วยความเมตตา หรือการอ่อนน้อมต่อผู้มีคุณธรรม รวมถึงการให้เกียรติ ให้ความเคารพต่อความคิด ความเชื่อ และวิถีปฏิบัติของบุคคล หรือสังคมอื่นที่แตกต่างจากเรานั้น เป็นการลดความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตนของเรา ช่วยให้สังคมทุกระดับเกิดความเข้าใจต่อกัน และช่วยให้ชาติบ้านเมืองเกิดความสงบสุข จึงถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง ผลบุญข้อนี้จะทำให้เกิดความเมตตาต่อกัน
5. การช่วยขวนขวายทำในกิจที่ชอบ หรือไวยาวัจจมัย พูดง่ายๆ ว่า เป็นการให้ความช่วยเหลือแก่สังคมรอบข้าง ในการทำกิจกรรมความดีต่างๆ เช่น ช่วยพ่อแม่ค้าขายไม่นิ่งดูดาย ช่วยสอดส่องดูแลบ้านให้เพื่อนบ้าน ยามที่เขาต้องไปธุระต่างจังหวัด ช่วยงานเพื่อนที่ทำงานให้แล้วเสร็จทันเวลา ให้กำลังใจแก่เพื่อนที่มีความทุกข์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นบุญอีกแบบหนึ่ง และผลบุญในข้อนี้ก็จะช่วยให้เกิดความรักความสามัคคีขึ้นด้วย
6. การให้ผู้อื่นมาร่วมทำบุญกับเรา หรือ ปัตติทานมัย กล่าวคือ ไม่ว่าจะทำบุญอะไร ก็เปิดโอกาสให้คนอื่นได้มาร่วมทำบุญด้วย ไม่ขี้เหนียว หรืองกบุญเพราะอยากได้บุญใหญ่ไว้คนเดียว เช่น จะทำบุญสร้างระฆัง ก็ให้คนอื่นได้ร่วมสร้างด้วย ไม่คิดจะทำเพียงคนเดียว เพราะคิดว่าทำบุญระฆัง จะได้กุศลกลายเป็นคนเด่นคนดัง เลยอยากดังเดี่ยว ไม่อยากให้ใครมาร่วมด้วย เป็นต้น นอกจากนี้ การเปิดโอกาสให้คนอื่นมาร่วมทำงาน ร่วมแสดงความคิดเห็น รวมไปถึงการทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็ถือเป็นการทำบุญในข้อนี้ด้วย ผลบุญดังกล่าว จะช่วยให้เราเป็นคนใจกว้าง และปราศจากอคติต่างๆ เพราะพร้อมเปิดใจรับผู้อื่น
7. การอนุโมทนาส่วนบุญ หรือ ปัตตานุโมทนามัย คือ การยอมรับหรือยินดีในการทำความดีหรือทำบุญของผู้อื่น เมื่อใครไปทำบุญมาก็รู้สึกชื่นชมยินดีไปด้วย โดยไม่คิดอิจฉาหรือระแวงสงสัยในการทำความดีของผู้อื่น เช่น เพื่อนเดินทางไปสักการะสังเวชนียสถานมา ก็ร่วมอนุโมทนา ที่เขามีโอกาสได้ไปทำบุญ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่อิจฉาเขา แม้เราไม่ได้ไป ก็อย่าไปคิดอกุศลว่า เขาได้ไปเพราะชู้รักออกเงินให้ เป็นต้น การไม่คิดในแง่ร้าย จะทำให้เรามีจิตใจไม่เศร้าหมอง แต่จะแช่มชื่นอยู่เสมอ เพราะได้ยินดีกับกุศลผลบุญต่างๆ อยู่ตลอดเวลา แม้จะมิได้ทำเองโดยตรงก็ตาม
8. การฟังธรรม หรือ ธรรมสวนมัย การฟังธรรม จะทำให้เราได้ฟังเรื่องที่ดี มีประโยชน์ทั้งต่อสติปัญญา และการดำเนินชีวิต ซึ่งการฟังธรรมนี้ ไม่จำเป็นต้องไปฟังที่วัด หรือจากพระท่านโดยตรง แต่อาจจะฟังจากเทป ซีดี หรือเป็นการฟังจากผู้รู้ต่างๆ และธรรมในที่นี้ ก็มิได้หมายถึงแต่เฉพาะหลักธรรม ในทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงเรื่องจริง เรื่องดีๆ ที่ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้และปัญญา ผลบุญข้อนี้จะทำให้ผู้ฟังเกิดการรู้แจ้งเห็นจริงยิ่งขึ้น
9. การแสดงธรรม หรือ ธรรมเทศนามัย คือการให้ธรรมะหรือข้อคิดที่ดีๆ แก่ผู้อื่น ด้วยการนำธรรมะหรือเรื่องดีๆ ที่เป็นประโยชน์ไปบอกต่อ หรือให้คำแนะนำให้เขาได้รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตที่ดี เช่น สอนวิธีการทำงานให้ แนะหลักธรรมที่ดีที่เราได้ยินได้ฟังมา และปฏิบัติได้ผลแก่เพื่อนๆ เป็นต้น ผลบุญในข้อนี้ นอกจากจะทำให้ผู้อื่นได้รับรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์แล้ว ยังทำให้ผู้บอกกล่าวได้รับการยกย่องสรรเสริญอีกด้วย
10. การทำความเห็นให้ถูกต้อง เหมาะสม หรือ ทิฏฐุชุกรรม คือ การไม่ถือทิฐิ เอาแต่ความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ แต่ให้รู้จักแก้ไข ปรับปรุงพัฒนาความคิดเห็น และความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ให้ถูกต้องตามธรรมอยู่เสมอ หรือจะพูดง่ายๆ ว่า ให้คิดและประพฤติตนให้ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรมก็ได้ ซึ่งข้อนี้แม้จะเป็นข้อสุดท้ายแต่ก็สำคัญยิ่ง เพราะไม่ว่าจะทำบุญใดทั้ง 9 ข้อที่กล่าวมา หากมิได้ตั้งอยู่ในทำนองคลองธรรม การทำบุญนั้นก็ไม่บริสุทธิ์ และให้ผลได้ไม่เต็มที่ ดังจะได้กล่าวถึงเกณฑ์การวัดบุญต่อไป
สำหรับการทำบุญ ที่จะให้ได้ผลบุญมากหรือน้อยนั้น มีหลักเกณฑ์อยู่ 3 ประการคือ
1.ผู้รับ จะต้องเป็นผู้มีศีล มีคุณธรรมความดี แต่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระสงฆ์ หรือนักบวช จะเป็นคนทั่วไปก็ได้ ถ้าผู้รับดี ผู้ทำก็ได้บุญมาก หากผู้รับไม่ดี ก็อาจจะทำให้เราได้บุญน้อย เพราะเขาอาจอาศัยผลบุญของเรา ไปทำชั่วได้ เช่น ให้เงินช่วยเหลือเพื่อนๆ กลับเอาไปปล่อยกู้ สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เป็นต้น
2.วัตถุสิ่งของที่ให้ต้องบริสุทธิ์หรือได้มาโดยสุจริต เป็นของที่เหมาะและมีประโยชน์ต่อผู้รับ เช่น ให้เสื้อผ้าของเล่นแก่เด็กกำพร้า เป็นต้น ของที่ให้ดีผู้ทำก็ได้บุญมาก หากได้มาโดยทุจริต แม้จะเอาไปทำบุญก็ได้บุญน้อย
3.ผู้ให้ ต้องมีศีลมีธรรมและมีเจตนาที่เป็นบุญกุศลในการทำ จึงจะได้บุญมาก นอกจากนี้ เจตนาหรือจิตใจในขณะทำบุญ ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญกล่าวคือ ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ หากผู้ให้มีความตั้งใจดี ตั้งใจทำ เมื่อทำแล้วก็เบิกบานใจ คิดถึงบุญกุศลที่ได้ทำเมื่อใด จิตใจก็ผ่องใสเมื่อนั้น เช่นนี้ก็จะทำให้ผู้ทำได้บุญมาก ถ้าไม่รู้สึกเช่นนั้น บุญก็ลดน้อยถอยลงตามเจตนา
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า ใครก็ตามแม้จะไม่มีโอกาส “ให้ทาน” อันเป็นการทำบุญที่ง่าย และเป็นรูปธรรมที่สุด แต่เราทุกคนก็สามารถเลือกทำบุญในลักษณะอื่นๆ ได้อีกถึง 9 วิธี และเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก เช่น การอ่อนน้อมถ่อมตน การช่วยเหลือแนะนำน้องๆ ที่ทำงาน การไม่ถือทิฐิหรือดื้อหัวชนฝา การร่วมยินดีกับการทำบุญของเพื่อน เป็นต้น เพียงแค่นี้ก็เห็นผลทันตาแล้ว คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้ผู้ใหญ่เมตตาต่อเรา การช่วยเหลือเพื่อนฝูงทำให้ไปไหนเพื่อนๆ ก็รักใคร่ ยินดีต้อนรับ ดังนั้น เริ่มต้นทำ “บุญ” เมื่อใด บุญก็ส่งให้เห็น “ผล”เ มื่อนั้น
***สาระส่วนหนึ่งนำมาจากหนังสือ “ฉลาดทำบุญ” โดยเครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย
ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=254020
[color=#004000]ในทางพระพุทธศาสนา การทำบุญมีด้วยกัน 10 วิธี เรียกว่า “บุญกิริยาวัตถุ 10” หรือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ 10 ประการ ได้แก่[/color]
ในทางพระพุทธศาสนา การทำบุญมีด้วยกัน 10 วิธี เรียกว่า “บุญกิริยาวัตถุ 10” หรือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ 10 ประการ ได้แก่
1. ให้ทาน หรือ ทานมัย อัน หมายถึง การให้ การสละ หรือการเผื่อแผ่แบ่งปัน ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้หรือสิ่งอื่นใด และไม่ว่าจะให้แก่ใครก็ถือเป็นบุญทั้งสิ้น เพราะการให้ทานเป็นการลดความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ถี่เหนียว และความคับแคบในจิตใจให้น้อยลง ทำให้เราไม่ยึดติดในวัตถุสิ่งของ อีกทั้งสิ่งที่เราบริจาคหรือให้ทานแก่ผู้อื่นก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และเป็นประโยชน์ต่อผู้รับ และสังคมโดยส่วนรวม การให้ทานนี้อยู่ที่ไหนๆ ก็ทำได้ และไม่จำเป็นต้องเงิน เช่น การแบ่งของกินให้กับแม่บ้านที่ทำงาน หรือยาม เป็นต้น ข้อสำคัญ สิ่งที่บริจาคหรือให้ทานแก่ผู้อื่น ควรเป็นสิ่งยังใช้ได้ มิใช่เป็นการกำจัดของเหลือใช้ที่หมดอายุ หมดคุณภาพให้ผู้อื่น ผลการให้ทานดังกล่าวจะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความปีติอิ่มเอิบใจ
2. รักษาศีล หรือ สีลมัย คำว่า ศีล หมายถึง ข้อบัญญัติทางพระพุทธศาสนา ที่กำหนดการปฏิบัติทางกายและวาจา เช่น ศีล 5 ศีล 8 หรืออาจจะหมายถึงการรักษากายวาจาให้เรียบร้อย การรักษาศีล เป็นการฝึกฝนมิให้ไปเบียดเบียนผู้อื่น ในขณะเดียวกันก็เป็นการลด ละ เลิกความชั่ว มุ่งให้กระทำความดี อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต มิให้ตกต่ำลง เช่น ไม่ไปเป็นชู้เป็นกิ๊กกับใครที่ทำงาน ทำให้ครอบครัวเขาไม่แตกแยก เป็นแม่ค้าไม่โกหกหลอกขายของไม่ดีแก่ลูกค้า เป็นพ่อบ้านไม่กินเหล้าเมายา ทำให้ลูกเมียมีความสุข เพื่อนบ้านก็สุข เพราะไม่ต้องทนฟังเสียงรบกวน จากการทะเลาะวิวาทกัน เหล่านี้ล้วนเป็นการรักษาศีล และเป็นหนึ่งในการทำบุญอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งผลบุญข้อนี้จะทำให้เรากลายเป็นคนเยือกเย็น สุขุมด้วย
3. เจริญภาวนา หรือภาวนามัย เป็นการทำบุญอีกรูปแบบ ที่มุ่งพัฒนาจิตใจและปัญญา ทำให้จิตใจสงบ เห็นคุณค่าสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง ซึ่งในข้อนี้หลายคนอาจจะทำเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น นั่งสมาธิ วิปัสสนา แต่หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องยากเกินกำลัง ดังนั้น อาจจะทำง่ายๆ ด้วยวิธีการสวดมนต์เป็นคาถาสั้นๆ บูชาพระที่เราเคารพบูชาก่อนนอนทุกคืน เช่น คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร คาถาหลวงปู่ทวด เป็นต้น การสวดมนต์เป็นประจำ อย่างน้อยก็เป็นการน้อมนำจิตใจของเรา ไปสู่สิ่งที่เป็นมงคลในชีวิต เป็นการเตือนสติให้เรายึดมั่นในการประพฤติปฏิบัติชอบ ตามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือ และผลบุญข้อนี้จะทำให้เกิดปัญญาแก่ผู้ปฏิบัติ
4. การอ่อนน้อมถ่อมตน หรือ อปจายนมัย หลายคนคงคิดไม่ถึงว่า การประพฤติตนเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จะถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ ก็เพราะว่าการอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ว่าจะเป็นผู้น้อยประพฤติต่อผู้ใหญ่ และการที่ผู้ใหญ่แสดงตอบด้วยความเมตตา หรือการอ่อนน้อมต่อผู้มีคุณธรรม รวมถึงการให้เกียรติ ให้ความเคารพต่อความคิด ความเชื่อ และวิถีปฏิบัติของบุคคล หรือสังคมอื่นที่แตกต่างจากเรานั้น เป็นการลดความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตนของเรา ช่วยให้สังคมทุกระดับเกิดความเข้าใจต่อกัน และช่วยให้ชาติบ้านเมืองเกิดความสงบสุข จึงถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง ผลบุญข้อนี้จะทำให้เกิดความเมตตาต่อกัน
5. การช่วยขวนขวายทำในกิจที่ชอบ หรือไวยาวัจจมัย พูดง่ายๆ ว่า เป็นการให้ความช่วยเหลือแก่สังคมรอบข้าง ในการทำกิจกรรมความดีต่างๆ เช่น ช่วยพ่อแม่ค้าขายไม่นิ่งดูดาย ช่วยสอดส่องดูแลบ้านให้เพื่อนบ้าน ยามที่เขาต้องไปธุระต่างจังหวัด ช่วยงานเพื่อนที่ทำงานให้แล้วเสร็จทันเวลา ให้กำลังใจแก่เพื่อนที่มีความทุกข์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นบุญอีกแบบหนึ่ง และผลบุญในข้อนี้ก็จะช่วยให้เกิดความรักความสามัคคีขึ้นด้วย
6. การให้ผู้อื่นมาร่วมทำบุญกับเรา หรือ ปัตติทานมัย กล่าวคือ ไม่ว่าจะทำบุญอะไร ก็เปิดโอกาสให้คนอื่นได้มาร่วมทำบุญด้วย ไม่ขี้เหนียว หรืองกบุญเพราะอยากได้บุญใหญ่ไว้คนเดียว เช่น จะทำบุญสร้างระฆัง ก็ให้คนอื่นได้ร่วมสร้างด้วย ไม่คิดจะทำเพียงคนเดียว เพราะคิดว่าทำบุญระฆัง จะได้กุศลกลายเป็นคนเด่นคนดัง เลยอยากดังเดี่ยว ไม่อยากให้ใครมาร่วมด้วย เป็นต้น นอกจากนี้ การเปิดโอกาสให้คนอื่นมาร่วมทำงาน ร่วมแสดงความคิดเห็น รวมไปถึงการทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็ถือเป็นการทำบุญในข้อนี้ด้วย ผลบุญดังกล่าว จะช่วยให้เราเป็นคนใจกว้าง และปราศจากอคติต่างๆ เพราะพร้อมเปิดใจรับผู้อื่น
7. การอนุโมทนาส่วนบุญ หรือ ปัตตานุโมทนามัย คือ การยอมรับหรือยินดีในการทำความดีหรือทำบุญของผู้อื่น เมื่อใครไปทำบุญมาก็รู้สึกชื่นชมยินดีไปด้วย โดยไม่คิดอิจฉาหรือระแวงสงสัยในการทำความดีของผู้อื่น เช่น เพื่อนเดินทางไปสักการะสังเวชนียสถานมา ก็ร่วมอนุโมทนา ที่เขามีโอกาสได้ไปทำบุญ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่อิจฉาเขา แม้เราไม่ได้ไป ก็อย่าไปคิดอกุศลว่า เขาได้ไปเพราะชู้รักออกเงินให้ เป็นต้น การไม่คิดในแง่ร้าย จะทำให้เรามีจิตใจไม่เศร้าหมอง แต่จะแช่มชื่นอยู่เสมอ เพราะได้ยินดีกับกุศลผลบุญต่างๆ อยู่ตลอดเวลา แม้จะมิได้ทำเองโดยตรงก็ตาม
8. การฟังธรรม หรือ ธรรมสวนมัย การฟังธรรม จะทำให้เราได้ฟังเรื่องที่ดี มีประโยชน์ทั้งต่อสติปัญญา และการดำเนินชีวิต ซึ่งการฟังธรรมนี้ ไม่จำเป็นต้องไปฟังที่วัด หรือจากพระท่านโดยตรง แต่อาจจะฟังจากเทป ซีดี หรือเป็นการฟังจากผู้รู้ต่างๆ และธรรมในที่นี้ ก็มิได้หมายถึงแต่เฉพาะหลักธรรม ในทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงเรื่องจริง เรื่องดีๆ ที่ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้และปัญญา ผลบุญข้อนี้จะทำให้ผู้ฟังเกิดการรู้แจ้งเห็นจริงยิ่งขึ้น
9. การแสดงธรรม หรือ ธรรมเทศนามัย คือการให้ธรรมะหรือข้อคิดที่ดีๆ แก่ผู้อื่น ด้วยการนำธรรมะหรือเรื่องดีๆ ที่เป็นประโยชน์ไปบอกต่อ หรือให้คำแนะนำให้เขาได้รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตที่ดี เช่น สอนวิธีการทำงานให้ แนะหลักธรรมที่ดีที่เราได้ยินได้ฟังมา และปฏิบัติได้ผลแก่เพื่อนๆ เป็นต้น ผลบุญในข้อนี้ นอกจากจะทำให้ผู้อื่นได้รับรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์แล้ว ยังทำให้ผู้บอกกล่าวได้รับการยกย่องสรรเสริญอีกด้วย
10. การทำความเห็นให้ถูกต้อง เหมาะสม หรือ ทิฏฐุชุกรรม คือ การไม่ถือทิฐิ เอาแต่ความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ แต่ให้รู้จักแก้ไข ปรับปรุงพัฒนาความคิดเห็น และความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ให้ถูกต้องตามธรรมอยู่เสมอ หรือจะพูดง่ายๆ ว่า ให้คิดและประพฤติตนให้ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรมก็ได้ ซึ่งข้อนี้แม้จะเป็นข้อสุดท้ายแต่ก็สำคัญยิ่ง เพราะไม่ว่าจะทำบุญใดทั้ง 9 ข้อที่กล่าวมา หากมิได้ตั้งอยู่ในทำนองคลองธรรม การทำบุญนั้นก็ไม่บริสุทธิ์ และให้ผลได้ไม่เต็มที่ ดังจะได้กล่าวถึงเกณฑ์การวัดบุญต่อไป
สำหรับการทำบุญ ที่จะให้ได้ผลบุญมากหรือน้อยนั้น มีหลักเกณฑ์อยู่ 3 ประการคือ
1.ผู้รับ จะต้องเป็นผู้มีศีล มีคุณธรรมความดี แต่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระสงฆ์ หรือนักบวช จะเป็นคนทั่วไปก็ได้ ถ้าผู้รับดี ผู้ทำก็ได้บุญมาก หากผู้รับไม่ดี ก็อาจจะทำให้เราได้บุญน้อย เพราะเขาอาจอาศัยผลบุญของเรา ไปทำชั่วได้ เช่น ให้เงินช่วยเหลือเพื่อนๆ กลับเอาไปปล่อยกู้ สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เป็นต้น
2.วัตถุสิ่งของที่ให้ต้องบริสุทธิ์หรือได้มาโดยสุจริต เป็นของที่เหมาะและมีประโยชน์ต่อผู้รับ เช่น ให้เสื้อผ้าของเล่นแก่เด็กกำพร้า เป็นต้น ของที่ให้ดีผู้ทำก็ได้บุญมาก หากได้มาโดยทุจริต แม้จะเอาไปทำบุญก็ได้บุญน้อย
3.ผู้ให้ ต้องมีศีลมีธรรมและมีเจตนาที่เป็นบุญกุศลในการทำ จึงจะได้บุญมาก นอกจากนี้ เจตนาหรือจิตใจในขณะทำบุญ ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญกล่าวคือ ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ หากผู้ให้มีความตั้งใจดี ตั้งใจทำ เมื่อทำแล้วก็เบิกบานใจ คิดถึงบุญกุศลที่ได้ทำเมื่อใด จิตใจก็ผ่องใสเมื่อนั้น เช่นนี้ก็จะทำให้ผู้ทำได้บุญมาก ถ้าไม่รู้สึกเช่นนั้น บุญก็ลดน้อยถอยลงตามเจตนา
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า ใครก็ตามแม้จะไม่มีโอกาส “ให้ทาน” อันเป็นการทำบุญที่ง่าย และเป็นรูปธรรมที่สุด แต่เราทุกคนก็สามารถเลือกทำบุญในลักษณะอื่นๆ ได้อีกถึง 9 วิธี และเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก เช่น การอ่อนน้อมถ่อมตน การช่วยเหลือแนะนำน้องๆ ที่ทำงาน การไม่ถือทิฐิหรือดื้อหัวชนฝา การร่วมยินดีกับการทำบุญของเพื่อน เป็นต้น เพียงแค่นี้ก็เห็นผลทันตาแล้ว คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้ผู้ใหญ่เมตตาต่อเรา การช่วยเหลือเพื่อนฝูงทำให้ไปไหนเพื่อนๆ ก็รักใคร่ ยินดีต้อนรับ ดังนั้น เริ่มต้นทำ “บุญ” เมื่อใด บุญก็ส่งให้เห็น “ผล”เ มื่อนั้น
***สาระส่วนหนึ่งนำมาจากหนังสือ “ฉลาดทำบุญ” โดยเครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย
ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
-
- Verified User
- โพสต์: 49
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 48
อนุโมทนาสาธุกับทุกๆท่านครับ
ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์
ผมบริจาคพลาสม่าเฉลี่ยเดือนละครั้งครับ ปกติสามารถบริจาคได้ทุก2อาทิตย์ โดยส่วนตัวอยากบริจาคทุกๆ2อาทิตย์เลยครับ เพราะความต้องการพลาสม่าสูงมาก แต่ติดตรงที่แต่ละครั้งต้องใช้เวลาประมาณ2ชั่วโมงครับและผมก็มีวันหยุดแค่อาทิตย์ละวัน
นอกจากนี้ก็สนับสนุนมูลนิธิบ้านโสสะและทำบุญกับหลายๆวัดทุกๆเดือนครับ
ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์
ผมบริจาคพลาสม่าเฉลี่ยเดือนละครั้งครับ ปกติสามารถบริจาคได้ทุก2อาทิตย์ โดยส่วนตัวอยากบริจาคทุกๆ2อาทิตย์เลยครับ เพราะความต้องการพลาสม่าสูงมาก แต่ติดตรงที่แต่ละครั้งต้องใช้เวลาประมาณ2ชั่วโมงครับและผมก็มีวันหยุดแค่อาทิตย์ละวัน
นอกจากนี้ก็สนับสนุนมูลนิธิบ้านโสสะและทำบุญกับหลายๆวัดทุกๆเดือนครับ
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 49
ตอนนี้เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้การทำบุญง่ายขึ้นมากเลยครับ
อย่างวัดป่าบางแห่ง ก็มีการเปิดบัญชีให้เราร่วมทำบุญ ในกิจกรรมต่างๆบางโอกาส
บางวัดอาจเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี หรือ ก่อตั้งวัดก็มี เพราะบางทีบางแห่ง
ก็ไกลเหลือเกิน ทำให้รู้สึกมีโชคที่ระบบสมัยใหม่ ช่วยให้เราสงเคราะห์โลกได้ทั่วถึงครับ
ตอนนี้ที่ภูมิใจมากที่สุดก็คือ เมื่อพ่อแม่เห็นเราทำบุญ และมีความสุขจากการทำความดี
ก็ทำให้ท่านอยากทำแบบนี้บ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นมงคลต่อครอบครัวของผมเป็นอย่างยิ่งครับ
อย่างวัดป่าบางแห่ง ก็มีการเปิดบัญชีให้เราร่วมทำบุญ ในกิจกรรมต่างๆบางโอกาส
บางวัดอาจเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี หรือ ก่อตั้งวัดก็มี เพราะบางทีบางแห่ง
ก็ไกลเหลือเกิน ทำให้รู้สึกมีโชคที่ระบบสมัยใหม่ ช่วยให้เราสงเคราะห์โลกได้ทั่วถึงครับ
ตอนนี้ที่ภูมิใจมากที่สุดก็คือ เมื่อพ่อแม่เห็นเราทำบุญ และมีความสุขจากการทำความดี
ก็ทำให้ท่านอยากทำแบบนี้บ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นมงคลต่อครอบครัวของผมเป็นอย่างยิ่งครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 50
ผมมีข้อสงสัยอยากถามครับ
CCF กับ ศุภมิตร นี้ อิงกับศาสนา หรือเปล่าครับ คล้ายๆ จะชักจูงคนที่ได้ทุน ให้เข้าศาสนาทึ่ต้องการ (ตอนเรียนอยู่เห็นเพื่อนได้ทุนแล้ว ของบางอย่างที่เขาให้มา มันคล้ายชักชวนเปลี่ยนศาสนา ไม่รู้เข้าใจผิดหรือเปล่า)
ผมชอบริจาคทางโทรศัพท์ กับวัดพระบาทน้ำพุ 1900222200 , 15 บาท ต่อครั้ง แต่หลังๆ ผมไม่แน่ใจว่าเอาวัดพระบาทน้ำพุมาอ้างหรือเปล่า เพราะไม่รู้จะเช็คอย่างไร (แต่ก็ยังบริจาคอยู่)
แต่โดยส่วนใหญ่ ถ้าว่างก็จะบริจาคเลือด ทั้งกาชาด นานๆ ทีจะมีหน่วยเคลื่อนที่ของศิริราชมา แต่ผมก็ไม่ค่อยได้บริจาคเพราะจะมาตอนที่ผมบริจาคกาชาดไปแล้ว
ถ้าเป็นซองกฐิน ผ้าป่า ผมก็ชอบที่จะใช้ชื่อว่า นิรนาม หรือ ไม่ประสงค์ออกนาม มากกว่า โดยไม่เกี่ยงว่ากี่บาท ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าตอนนั้น
CCF กับ ศุภมิตร นี้ อิงกับศาสนา หรือเปล่าครับ คล้ายๆ จะชักจูงคนที่ได้ทุน ให้เข้าศาสนาทึ่ต้องการ (ตอนเรียนอยู่เห็นเพื่อนได้ทุนแล้ว ของบางอย่างที่เขาให้มา มันคล้ายชักชวนเปลี่ยนศาสนา ไม่รู้เข้าใจผิดหรือเปล่า)
ผมชอบริจาคทางโทรศัพท์ กับวัดพระบาทน้ำพุ 1900222200 , 15 บาท ต่อครั้ง แต่หลังๆ ผมไม่แน่ใจว่าเอาวัดพระบาทน้ำพุมาอ้างหรือเปล่า เพราะไม่รู้จะเช็คอย่างไร (แต่ก็ยังบริจาคอยู่)
แต่โดยส่วนใหญ่ ถ้าว่างก็จะบริจาคเลือด ทั้งกาชาด นานๆ ทีจะมีหน่วยเคลื่อนที่ของศิริราชมา แต่ผมก็ไม่ค่อยได้บริจาคเพราะจะมาตอนที่ผมบริจาคกาชาดไปแล้ว
ถ้าเป็นซองกฐิน ผ้าป่า ผมก็ชอบที่จะใช้ชื่อว่า นิรนาม หรือ ไม่ประสงค์ออกนาม มากกว่า โดยไม่เกี่ยงว่ากี่บาท ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าตอนนั้น
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
- todsapon
- Verified User
- โพสต์: 1137
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 51
บริจาคเลือดทุก 3 เดือน
ถ้าเป็นไปได้บริจาคพลาสม่าจะบริจาคได้ทุกเดือน
ลองติดต่อศูนย์รับบริจาคใกล้บ้านท่าน
ถ้าเป็นไปได้บริจาคพลาสม่าจะบริจาคได้ทุกเดือน
ลองติดต่อศูนย์รับบริจาคใกล้บ้านท่าน
ผลตอบแทน 15% ต่อปีก็พอ
กำไรเมื่อซื้อ มิใช่กำไรเมื่อขาย
การได้ทำอะไรที่ตนเองชอบและมีปัจจัยสี่พร้อมเพียงคือสุดยอดแห่งความสุข
ขอยืมเงินหน่อยครับ
กำไรเมื่อซื้อ มิใช่กำไรเมื่อขาย
การได้ทำอะไรที่ตนเองชอบและมีปัจจัยสี่พร้อมเพียงคือสุดยอดแห่งความสุข
ขอยืมเงินหน่อยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 314
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำบุญ หรือตอบแทนสังคมกันอย่างไรบ้าง
โพสต์ที่ 52
รู้สึกดีๆ กับทุกข้อมูลที่มาบอกกล่าวกันครับ