มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
-
- Verified User
- โพสต์: 11
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4352
ตรวจเร็วโดนคนไข้ในห้องว่าคุยน้อย ตชรวจช้าโดนหน้าห้องว่าตรวจนาน รอจะแย่ พอออกข่าวเ เรื่องเงินก็โดนด่า พอย้ายไปเอกชนก็โดนด่า ตลกดีนะครับ ทนกันไปจนกว่าจะไม่ไหว
-
- Verified User
- โพสต์: 212
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4353
สวัสดีครับ ขอปรึกษา พี่ๆ ชมรมหมอ VI
คือผมจะไปผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อในจมูกที่ปวมออก ที่บํารุงราษฎร์ กับ ผศ.นพ. ประยุทธ ตันสุริยวงษ์
(http://www.youtube.com/watch?feature=pl ... 0sKetBFHYo)
(http://www.bumrungrad.com/doctors/Prayu ... ng?lang=th)
ที่จะทำคือ
1. inferior turbinoplasty
2. (L) Middle concha bullosa resection
3. Balloon: Maxillary,Frontal
4.ESS: Sphenoid Sinus
(คือ คุณหมอบอกว่าเวลาเจออากาศเย็น เนื้อภายในจะปวมทำให้ไปปิดรูไซนัส ซึ่งจะทำให้ปวดหัวและเกิด ไซนัสอักเสบ
ซึ่งถ้า ผ่าตัดทั้ง 4 อย่างแล้วจะทำให้มีโอกาสหายมากที่สุด ค่าผ่าตัดประมาณ 2 แสนบาท)
คือผมต้องอยูในห้องผ่าตัดประมาณ 2 ชั่วโมงครับ ผมกลัวว่าหลังผ่าตัดเสร็จผมจะเกิดไซนัสอักเสบ
ซึ่งผมกลัวว่า ผมจะอาการหนักเพราะมี แผลหลังผ่าตัด อยู่ด้วย
เพราะปกติ ถ้าผมอยู่ในห้องแอร์ 27 องศาเกิน 1 ชั่วโมง ไซนัสผมจะอักเสบ
(ห้องผ่าตัดที่ บํารุงราษฎร์ เป็นแอร์รวม ผมขอเค้าหรี่แอร์ หรือปิดแอร์ ไม่ได้)
คุณหมอบอกว่าจะมี warmer ช่วย (ผมกลัวว่า warmer คือ ผ่าห่มไฟฟ้า )
ซึ่ง ผ่าห่มไฟฟ้า ผมเคยใช้แล้วไม่ได้ผล เพราะมันอุ่นแค่ตัว ที่ผมต้องการคือจมูกอุ่น ตลอดเวลา
ซึ่งปกติเวลา ผมอยู่ในห้อง แอร์ผมใช้วิธีกินน้ำร้อนตลอดเวลาแต่เวลาผ่าตัดผมกินน้ำร้อนไม่ได้
ขอปรึกษาครับ
1 ในห้องผ่าตัดมีอุปกรณ์อะไรไหมที่ช่วยให้ จมูกอุ่น ตลอดเวลา
2 ถ้าหลังผ่าตัดเสร็จผมจะเกิดไซนัสอักเสบขึ้น จะอันตรายมากไหมครับ เพราะมีแผล อยู่ด้วย
3 อยากขอคำแนะนำเพิ่มเติม อะไรก็ได้ครับ เกี่ยวกับการผ่าตัดครั้งนี้
(จะแนะนำผมทาง webboard หรือทาง pm ก็ได้ครับ)
ขอบคุณมากครับ
คือผมจะไปผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อในจมูกที่ปวมออก ที่บํารุงราษฎร์ กับ ผศ.นพ. ประยุทธ ตันสุริยวงษ์
(http://www.youtube.com/watch?feature=pl ... 0sKetBFHYo)
(http://www.bumrungrad.com/doctors/Prayu ... ng?lang=th)
ที่จะทำคือ
1. inferior turbinoplasty
2. (L) Middle concha bullosa resection
3. Balloon: Maxillary,Frontal
4.ESS: Sphenoid Sinus
(คือ คุณหมอบอกว่าเวลาเจออากาศเย็น เนื้อภายในจะปวมทำให้ไปปิดรูไซนัส ซึ่งจะทำให้ปวดหัวและเกิด ไซนัสอักเสบ
ซึ่งถ้า ผ่าตัดทั้ง 4 อย่างแล้วจะทำให้มีโอกาสหายมากที่สุด ค่าผ่าตัดประมาณ 2 แสนบาท)
คือผมต้องอยูในห้องผ่าตัดประมาณ 2 ชั่วโมงครับ ผมกลัวว่าหลังผ่าตัดเสร็จผมจะเกิดไซนัสอักเสบ
ซึ่งผมกลัวว่า ผมจะอาการหนักเพราะมี แผลหลังผ่าตัด อยู่ด้วย
เพราะปกติ ถ้าผมอยู่ในห้องแอร์ 27 องศาเกิน 1 ชั่วโมง ไซนัสผมจะอักเสบ
(ห้องผ่าตัดที่ บํารุงราษฎร์ เป็นแอร์รวม ผมขอเค้าหรี่แอร์ หรือปิดแอร์ ไม่ได้)
คุณหมอบอกว่าจะมี warmer ช่วย (ผมกลัวว่า warmer คือ ผ่าห่มไฟฟ้า )
ซึ่ง ผ่าห่มไฟฟ้า ผมเคยใช้แล้วไม่ได้ผล เพราะมันอุ่นแค่ตัว ที่ผมต้องการคือจมูกอุ่น ตลอดเวลา
ซึ่งปกติเวลา ผมอยู่ในห้อง แอร์ผมใช้วิธีกินน้ำร้อนตลอดเวลาแต่เวลาผ่าตัดผมกินน้ำร้อนไม่ได้
ขอปรึกษาครับ
1 ในห้องผ่าตัดมีอุปกรณ์อะไรไหมที่ช่วยให้ จมูกอุ่น ตลอดเวลา
2 ถ้าหลังผ่าตัดเสร็จผมจะเกิดไซนัสอักเสบขึ้น จะอันตรายมากไหมครับ เพราะมีแผล อยู่ด้วย
3 อยากขอคำแนะนำเพิ่มเติม อะไรก็ได้ครับ เกี่ยวกับการผ่าตัดครั้งนี้
(จะแนะนำผมทาง webboard หรือทาง pm ก็ได้ครับ)
ขอบคุณมากครับ
"มันเป็นเช่นนั้นเอง"
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4355
นักลงทุน 4 เหล่า
เครดิตจาก คุณคนขายของ ครับ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=55423
มีผู้รู้ในเรื่องการลงทุนในหุ้นหลายๆท่านเคยกล่าวไว้ว่า นักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนใน ตลาดหลักทรัพย์ นั้นต้องอาศัยทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” “ศาสตร์” ในที่นี้นั้นหมายถึงหลักการ ลงทุนแนวต่างๆที่มีอยู่อย่างมากมาย ส่วน “ศิลป์” นั้นหมายถึงความรู้ด้านจิตวิทยาในการลงทุน ในบทความนี้เราจะมาลองดูกันว่า หากเราแบ่งนักลงทุนผ่านตัวแปรหลักสองตัวนี้ จะมีนักลงทุน ประเภทไหนที่พอจะประสบความสำเร็จในการลงทุนบ้าง โดยในบทความนี้ผู้เขียนขออนุมานว่าคำว่า “ศาสตร์” หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจในการลงทุน รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ส่วน “ศิลป์” นั้น หมายถึง ความอดทนของนักลงทุนต่อความผันผวนของตลาด
นักลงทุนประเภทที่หนึ่ง: ความรู้มาก ความอดทนน้อย : นักลงทุนที่เข้าข่ายประเภทนี้ คือ กองทุน Hedge Fund นักลงทุนเก็งกำไรรายใหญ่ และ นักลงทุนที่มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มคนชั้นนำของประเทศ นักลงทุนกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงข้อมูล ข่าวสารเชิงลึกที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึง รู้ข่าวก่อนที่จะเป็นข่าว ทำให้เห็นโอกาสทำกำไรได้ก่อนคนอื่น และ เนื่องด้วยข่าวสารที่ได้รับมามีค่อนข้างมาก ทำให้มีการซื้อขาย หุ้นบ่อย ไม่ค่อยอดทนต่อความผันผวนของราคา ซื้อแล้วไม่ถือยาวนาน พร้อมขายและซื้อหุ้นตัวใหม่ ได้ทุกเมื่อ บางรายอาจจะผันตัวมาเป็นผู้ชี้นำตลาดเสียเอง โอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนของกลุ่มนี้ ก็มีอยู่มาก เพราะอาศัยความได้เปรียบทางด้านข้อมูล ข่าวสาร แต่ก็มีความเสี่ยงด้วยหากข้อมูลที่ได้มา มีความคาดเคลื่อนจากความเป็นจริงประเภทข่าวลวง ข่าวลือต่างๆ
นักลงทุนประเภทที่สอง: ความรู้มาก ความอดทนมาก: นักลงทุนที่เข้าข่ายประเภทนี้ คือ เจ้าของกิจการ และ นักลงทุนแนว VI นักลงทุนกลุ่มนี้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องพื้นฐานของกิจการในระยะยาวแบบถ่องแท้ ใส่ใจต่อแนวโน้มของอุตสาหกรรมในระยะยาว มากกว่าที่จะใส่ใจในเหตุการณ์ระยะสั้น มีความอดทน ต่อความผันผวนของราคาสูงมาก แต่อาจมีการขายออกมาหากภาพรวมในระยะยาวเปลี่ยนไป เช่น เทรนการบริโภค หรือ มีเทคโนโลยีที่เข้ามาใหม่ โอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนของนักลงทุน กลุ่มนี้มีอยู่มาก เพราะมีพร้อมทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” แต่กระนั้นก็ยังมีความเสี่ยงหากติดยึดกับภาพเก่าๆ ของอุตสาหกรรม ไม่ปรับตัวตามแนวโน้มที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป
นักลงทุนประเภทที่สาม:ความรู้น้อย ความอดทนมาก: นักลงทุนที่เข้าข่ายประเภทนี้ โดยมากจะเป็น นักลงทุนที่ไม่มีเวลาให้กับการลงทุนมาก เช่น พนักงานบริษัท, ข้าราชการ (ลงทุนผ่าน LTF/RMF) หรือ อาจเป็น นักลงทุนแนว VI มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มศึกษาการลงทุน หรือ นักลงทุนที่มุ่งเน้นถือยาวเพื่อเอา ปันผลให้ชนะดอกเบี้ยเงินฝาก เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลา หรือ เพราะเน้นการหาปันผลเป็นรายได้เสริม ทำให้นักลงทุนประเภทนี้มักมีการถือครองหุ้นโดยไม่สนใจราคาที่ผันผวนไปมาและถือหุ้นเป็นเวลายาวนาน โอกาสประสบความสำเร็จ ของนักลงทุนประเภทนี้ ผู้เขียนให้ประมาณ 50% ทั้งนี้เพราะว่าความอดทน ที่มากเพียงอย่างเดียว เปรียบเสมือนตัวคูณ หากคูณกับเลขบวกย่อมบวกทวีคูณ แต่ในทางกลับกัน หากนำไปคูณกับผลลบ ก็จะลบเป็นทวีคูณเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น คนที่ซื้อหุ้น Home Depot ตอน IPO ตอนเดือนกันยายน 1981 แล้วถือมาจนถึงตอนนี้ จากเงินลงทุนประมาณ 100,000 บาท สามสิบเอ็ดปี ต่อมาจะกลายมาเป็นประมาณ 380 ล้านบาท แต่ถ้าหากนักลงทุนนำไปซื้อ ENRON หรือ KODAK คงต้องทำใจให้ยอมรับความจริง อย่างที่เราท่านทราบกันดีอยู่
นักลงทุนประเภทที่สี่: ความรู้น้อย ความอดทนน้อย: นักลงทุนประเภทนี้มีทั่วไป ไม่จำกัดสาขาอาชีพ เชื้อชาติใด ภาษาใด เนื่องจากความอดทนน้อย การทำการซื้อขายส่วนมากจะจบในวันเดียวกัน ชอบใช้ “ข้อมูลสำเร็จรูป” ประเภทที่บอกชื่อหุ้นพร้อม แนวรับ แนวต้านมาเสร็จสรรพ เพื่อใช้ในการลงทุน บางท่านไม่รู้เลยว่าหุ้นที่ซื้อไปนั้นทำกิจการอะไร เห็นการลงทุนในหุ้นเป็นแค่ตัวเลขที่ขึ้นๆลงๆ ถึงแม้จะเปลี่ยนจากแนว VI มาเป็น เทคนิคอล ก็ไม่รักษาวินัยในการซื้อขาย ดังนั้นโอกาสประสบความสำเร็จ ของนักลงทุนประเภทนี้จึงมีน้อยมาก จากรายชื่อ Top Billionaires ของนิตยสาร FROBES ผู้เขียนยังไม่เคยเห็นรายชื่อ เศรษฐีที่ร่ำรวยมหาศาลในการลงทุนมาจากนักลงทุนประเภทนี้เลย
จะเห็นได้ว่ามีนักลงทุนถึง 3 ใน 4 กลุ่มที่มีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนสร้างความมั่งคั่งขึ้นมาได้ ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ทุกท่านที่เพิ่งเริ่มสนใจมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ให้หมั่นพัฒนาตัวเอง อยู่ตลอดทั้งทาง ศาสตร์ และ ศิลป์ ผู้เขียนเองก็เคยเป็นนักลงทุนประเภทที่สี่มาแล้ว และได้ลิ้มรสผลของการขาดทุนเนื่องจากการเข้าตลาดโดยการพกความโลภใส่กระเป๋าเพียงอย่างเดียว และเมื่อท่านสามารถสร้างความมั่งคั่งแก่ตัวเองได้แล้ว ก็อย่าลืมดูแลคนรอบข้างของท่าน โดยเฉพาะคุณพ่อ คุณแม่ผู้เลี้ยงดูท่านมา หลายท่านอาจไม่เชื่อ แต่เท่าที่ผู้เขียนเคยได้รับรู้มา นอกจาก “ศาสตร์” และ “ศิลป์” ดังที่กล่าวมา ทานบารมีนั้นเป็นอีกเหตุปัจจัยหลักที่จะช่วยเกื้อหนุนการลงทุนของท่าน ให้ยิ่งๆขึ้นไป
เครดิตจาก คุณคนขายของ ครับ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=55423
มีผู้รู้ในเรื่องการลงทุนในหุ้นหลายๆท่านเคยกล่าวไว้ว่า นักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนใน ตลาดหลักทรัพย์ นั้นต้องอาศัยทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” “ศาสตร์” ในที่นี้นั้นหมายถึงหลักการ ลงทุนแนวต่างๆที่มีอยู่อย่างมากมาย ส่วน “ศิลป์” นั้นหมายถึงความรู้ด้านจิตวิทยาในการลงทุน ในบทความนี้เราจะมาลองดูกันว่า หากเราแบ่งนักลงทุนผ่านตัวแปรหลักสองตัวนี้ จะมีนักลงทุน ประเภทไหนที่พอจะประสบความสำเร็จในการลงทุนบ้าง โดยในบทความนี้ผู้เขียนขออนุมานว่าคำว่า “ศาสตร์” หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจในการลงทุน รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ส่วน “ศิลป์” นั้น หมายถึง ความอดทนของนักลงทุนต่อความผันผวนของตลาด
นักลงทุนประเภทที่หนึ่ง: ความรู้มาก ความอดทนน้อย : นักลงทุนที่เข้าข่ายประเภทนี้ คือ กองทุน Hedge Fund นักลงทุนเก็งกำไรรายใหญ่ และ นักลงทุนที่มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มคนชั้นนำของประเทศ นักลงทุนกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงข้อมูล ข่าวสารเชิงลึกที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึง รู้ข่าวก่อนที่จะเป็นข่าว ทำให้เห็นโอกาสทำกำไรได้ก่อนคนอื่น และ เนื่องด้วยข่าวสารที่ได้รับมามีค่อนข้างมาก ทำให้มีการซื้อขาย หุ้นบ่อย ไม่ค่อยอดทนต่อความผันผวนของราคา ซื้อแล้วไม่ถือยาวนาน พร้อมขายและซื้อหุ้นตัวใหม่ ได้ทุกเมื่อ บางรายอาจจะผันตัวมาเป็นผู้ชี้นำตลาดเสียเอง โอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนของกลุ่มนี้ ก็มีอยู่มาก เพราะอาศัยความได้เปรียบทางด้านข้อมูล ข่าวสาร แต่ก็มีความเสี่ยงด้วยหากข้อมูลที่ได้มา มีความคาดเคลื่อนจากความเป็นจริงประเภทข่าวลวง ข่าวลือต่างๆ
นักลงทุนประเภทที่สอง: ความรู้มาก ความอดทนมาก: นักลงทุนที่เข้าข่ายประเภทนี้ คือ เจ้าของกิจการ และ นักลงทุนแนว VI นักลงทุนกลุ่มนี้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องพื้นฐานของกิจการในระยะยาวแบบถ่องแท้ ใส่ใจต่อแนวโน้มของอุตสาหกรรมในระยะยาว มากกว่าที่จะใส่ใจในเหตุการณ์ระยะสั้น มีความอดทน ต่อความผันผวนของราคาสูงมาก แต่อาจมีการขายออกมาหากภาพรวมในระยะยาวเปลี่ยนไป เช่น เทรนการบริโภค หรือ มีเทคโนโลยีที่เข้ามาใหม่ โอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนของนักลงทุน กลุ่มนี้มีอยู่มาก เพราะมีพร้อมทั้ง “ศาสตร์” และ “ศิลป์” แต่กระนั้นก็ยังมีความเสี่ยงหากติดยึดกับภาพเก่าๆ ของอุตสาหกรรม ไม่ปรับตัวตามแนวโน้มที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป
นักลงทุนประเภทที่สาม:ความรู้น้อย ความอดทนมาก: นักลงทุนที่เข้าข่ายประเภทนี้ โดยมากจะเป็น นักลงทุนที่ไม่มีเวลาให้กับการลงทุนมาก เช่น พนักงานบริษัท, ข้าราชการ (ลงทุนผ่าน LTF/RMF) หรือ อาจเป็น นักลงทุนแนว VI มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มศึกษาการลงทุน หรือ นักลงทุนที่มุ่งเน้นถือยาวเพื่อเอา ปันผลให้ชนะดอกเบี้ยเงินฝาก เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลา หรือ เพราะเน้นการหาปันผลเป็นรายได้เสริม ทำให้นักลงทุนประเภทนี้มักมีการถือครองหุ้นโดยไม่สนใจราคาที่ผันผวนไปมาและถือหุ้นเป็นเวลายาวนาน โอกาสประสบความสำเร็จ ของนักลงทุนประเภทนี้ ผู้เขียนให้ประมาณ 50% ทั้งนี้เพราะว่าความอดทน ที่มากเพียงอย่างเดียว เปรียบเสมือนตัวคูณ หากคูณกับเลขบวกย่อมบวกทวีคูณ แต่ในทางกลับกัน หากนำไปคูณกับผลลบ ก็จะลบเป็นทวีคูณเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น คนที่ซื้อหุ้น Home Depot ตอน IPO ตอนเดือนกันยายน 1981 แล้วถือมาจนถึงตอนนี้ จากเงินลงทุนประมาณ 100,000 บาท สามสิบเอ็ดปี ต่อมาจะกลายมาเป็นประมาณ 380 ล้านบาท แต่ถ้าหากนักลงทุนนำไปซื้อ ENRON หรือ KODAK คงต้องทำใจให้ยอมรับความจริง อย่างที่เราท่านทราบกันดีอยู่
นักลงทุนประเภทที่สี่: ความรู้น้อย ความอดทนน้อย: นักลงทุนประเภทนี้มีทั่วไป ไม่จำกัดสาขาอาชีพ เชื้อชาติใด ภาษาใด เนื่องจากความอดทนน้อย การทำการซื้อขายส่วนมากจะจบในวันเดียวกัน ชอบใช้ “ข้อมูลสำเร็จรูป” ประเภทที่บอกชื่อหุ้นพร้อม แนวรับ แนวต้านมาเสร็จสรรพ เพื่อใช้ในการลงทุน บางท่านไม่รู้เลยว่าหุ้นที่ซื้อไปนั้นทำกิจการอะไร เห็นการลงทุนในหุ้นเป็นแค่ตัวเลขที่ขึ้นๆลงๆ ถึงแม้จะเปลี่ยนจากแนว VI มาเป็น เทคนิคอล ก็ไม่รักษาวินัยในการซื้อขาย ดังนั้นโอกาสประสบความสำเร็จ ของนักลงทุนประเภทนี้จึงมีน้อยมาก จากรายชื่อ Top Billionaires ของนิตยสาร FROBES ผู้เขียนยังไม่เคยเห็นรายชื่อ เศรษฐีที่ร่ำรวยมหาศาลในการลงทุนมาจากนักลงทุนประเภทนี้เลย
จะเห็นได้ว่ามีนักลงทุนถึง 3 ใน 4 กลุ่มที่มีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนสร้างความมั่งคั่งขึ้นมาได้ ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ทุกท่านที่เพิ่งเริ่มสนใจมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ให้หมั่นพัฒนาตัวเอง อยู่ตลอดทั้งทาง ศาสตร์ และ ศิลป์ ผู้เขียนเองก็เคยเป็นนักลงทุนประเภทที่สี่มาแล้ว และได้ลิ้มรสผลของการขาดทุนเนื่องจากการเข้าตลาดโดยการพกความโลภใส่กระเป๋าเพียงอย่างเดียว และเมื่อท่านสามารถสร้างความมั่งคั่งแก่ตัวเองได้แล้ว ก็อย่าลืมดูแลคนรอบข้างของท่าน โดยเฉพาะคุณพ่อ คุณแม่ผู้เลี้ยงดูท่านมา หลายท่านอาจไม่เชื่อ แต่เท่าที่ผู้เขียนเคยได้รับรู้มา นอกจาก “ศาสตร์” และ “ศิลป์” ดังที่กล่าวมา ทานบารมีนั้นเป็นอีกเหตุปัจจัยหลักที่จะช่วยเกื้อหนุนการลงทุนของท่าน ให้ยิ่งๆขึ้นไป
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4358
maymekung เขียน:อยู่เวร 5 วันรวดคับPaul VI เขียน:พรุ่งนี้ไปเที่ยวสงกรานต์แล้วครับ
ความสุขในชีวิต ต้องเก็บเกี่ยวไประหว่างการเดินทางด้วยนะครับ
พวกเราไปไหนกันบ้างครับ สงกรานต์ปีนี้
ขอให้เป็นเวรแบบคุณชายนะครับ
5วันรวดอยู่ไหวเหรอครับ ยังไงก็ดูแลสุขภาพด้วยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4359
สวัสดีค่ะ พี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ
เพิ่งเห็นห้องนี้ค่ะ ทั้งที่สมัครเข้ามานานกว่าครึ่งปีละ ดีจังเลย ขอบคุณคุณหมอ Paul VI ที่สร้างห้องนี้ขึ้นมานะคะ
ตัวเองยังเป็นน้องใหม่เรื่องการลงทุนมากๆเลย ขอน้อมรับคำแนะนำจากทุกๆท่านค่ะ
เพิ่งเห็นห้องนี้ค่ะ ทั้งที่สมัครเข้ามานานกว่าครึ่งปีละ ดีจังเลย ขอบคุณคุณหมอ Paul VI ที่สร้างห้องนี้ขึ้นมานะคะ
ตัวเองยังเป็นน้องใหม่เรื่องการลงทุนมากๆเลย ขอน้อมรับคำแนะนำจากทุกๆท่านค่ะ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
-
- Verified User
- โพสต์: 217
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4360
welcome kubหวานกับแวว เขียน:สวัสดีค่ะ พี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ
เพิ่งเห็นห้องนี้ค่ะ ทั้งที่สมัครเข้ามานานกว่าครึ่งปีละ ดีจังเลย ขอบคุณคุณหมอ Paul VI ที่สร้างห้องนี้ขึ้นมานะคะ
ตัวเองยังเป็นน้องใหม่เรื่องการลงทุนมากๆเลย ขอน้อมรับคำแนะนำจากทุกๆท่านค่ะ
Freedom
- raynus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4361
เห็นปริมาณแพทย์จบใหม่แล้ว
ก็อดคิดไม่ได้
ตามหลัก demand /supply
เด็กๆแย่งกันเรียนหมอ สุดท้ายผลิตเพิ่ม จน supply เริ่มมากขึ้นเยอะ
แย่งกันต่อ spec หลายๆคนก็จบไปเป็น staff ใน รรพ เปิดใหม่
-> อีกหน่อยก็เปิดเทรน spec -> supply มากขึ้นอีก
แล้วก็วนลูปเดียวกันใน sub-board
อาชีพเรามั่นคงน้อยลงเรื่อยๆนะครับ
อีก 10 ปี อาชีพเราจะยังเป็นที่ทุกคนแย่งกันเรียนแบบนี้รึเปล่านะครับ
ก็อดคิดไม่ได้
ตามหลัก demand /supply
เด็กๆแย่งกันเรียนหมอ สุดท้ายผลิตเพิ่ม จน supply เริ่มมากขึ้นเยอะ
แย่งกันต่อ spec หลายๆคนก็จบไปเป็น staff ใน รรพ เปิดใหม่
-> อีกหน่อยก็เปิดเทรน spec -> supply มากขึ้นอีก
แล้วก็วนลูปเดียวกันใน sub-board
อาชีพเรามั่นคงน้อยลงเรื่อยๆนะครับ
อีก 10 ปี อาชีพเราจะยังเป็นที่ทุกคนแย่งกันเรียนแบบนี้รึเปล่านะครับ
สายปันผลครับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4362
Welcome ด้วยครับmaymekung เขียน:welcome kubหวานกับแวว เขียน:สวัสดีค่ะ พี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ
เพิ่งเห็นห้องนี้ค่ะ ทั้งที่สมัครเข้ามานานกว่าครึ่งปีละ ดีจังเลย ขอบคุณคุณหมอ Paul VI ที่สร้างห้องนี้ขึ้นมานะคะ
ตัวเองยังเป็นน้องใหม่เรื่องการลงทุนมากๆเลย ขอน้อมรับคำแนะนำจากทุกๆท่านค่ะ
จะแนะนำกันว่าจบที่ไหน ทำงานที่ไหนกันก็ได้นะครับ ตามสบายเลย
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4363
นั่นสินะครับraynus เขียน:เห็นปริมาณแพทย์จบใหม่แล้ว
ก็อดคิดไม่ได้
ตามหลัก demand /supply
เด็กๆแย่งกันเรียนหมอ สุดท้ายผลิตเพิ่ม จน supply เริ่มมากขึ้นเยอะ
แย่งกันต่อ spec หลายๆคนก็จบไปเป็น staff ใน รรพ เปิดใหม่
-> อีกหน่อยก็เปิดเทรน spec -> supply มากขึ้นอีก
แล้วก็วนลูปเดียวกันใน sub-board
อาชีพเรามั่นคงน้อยลงเรื่อยๆนะครับ
อีก 10 ปี อาชีพเราจะยังเป็นที่ทุกคนแย่งกันเรียนแบบนี้รึเปล่านะครับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4364
ถามเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ชาวหมอ vi หน่อยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยัง practice ใน field ผ่าตัดทุกระบบเลยครับว่า ตอนนี้ราคาเสื้อกาวน์แบบ disposible ตอนนี้ราคาตัวละเท่าไหร่ จะกระซิบถามพยาบาลหรือฝ่ายจัดซื้อก็ได้นะครับ จะขอบคุณมากๆ
แล้วตอนนี้เสื้อผ่าตัดยังมีเหลือระบบแแบใช้แล้วเอากลับไปซักอีกไหม หรือถ้ามีอยู่ ตอนนี้มีสัดส่วนแบบใช้แล้วซักกับใช้แล้วทิ้งเลย มีสัดส่วนประมาณไหนครับ
ตอนผมยัง practice ทำคลอด ก็จะใช้แบบ disposible เฉพาะเคส hiv เท่านั็น ตอนนี้เป็นไงบ้างแล้วครับ
แล้วตอนนี้เสื้อผ่าตัดยังมีเหลือระบบแแบใช้แล้วเอากลับไปซักอีกไหม หรือถ้ามีอยู่ ตอนนี้มีสัดส่วนแบบใช้แล้วซักกับใช้แล้วทิ้งเลย มีสัดส่วนประมาณไหนครับ
ตอนผมยัง practice ทำคลอด ก็จะใช้แบบ disposible เฉพาะเคส hiv เท่านั็น ตอนนี้เป็นไงบ้างแล้วครับ
- raynus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 716
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4365
Paul VI เขียน:ถามเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ชาวหมอ vi หน่อยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยัง practice ใน field ผ่าตัดทุกระบบเลยครับว่า ตอนนี้ราคาเสื้อกาวน์แบบ disposible ตอนนี้ราคาตัวละเท่าไหร่ จะกระซิบถามพยาบาลหรือฝ่ายจัดซื้อก็ได้นะครับ จะขอบคุณมากๆ
แล้วตอนนี้เสื้อผ่าตัดยังมีเหลือระบบแแบใช้แล้วเอากลับไปซักอีกไหม หรือถ้ามีอยู่ ตอนนี้มีสัดส่วนแบบใช้แล้วซักกับใช้แล้วทิ้งเลย มีสัดส่วนประมาณไหนครับ
ตอนผมยัง practice ทำคลอด ก็จะใช้แบบ disposible เฉพาะเคส hiv เท่านั็น ตอนนี้เป็นไงบ้างแล้วครับ
รพ ผมที่อยู่มา 4 รพ ยังเป็นแบบreuse 100 % นะครับ
รรพ 1 รพท 2 รพช (ขนาดใหญ่) 1
ps.ข้อมูล market share ของสินค้าหุ้นตัวนี้ นี่มันหายากจริงนะครับเนี่ย
สายปันผลครับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4366
รู้เหรอครับว่าหุ้นตัวไหนraynus เขียน:Paul VI เขียน:ถามเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ชาวหมอ vi หน่อยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยัง practice ใน field ผ่าตัดทุกระบบเลยครับว่า ตอนนี้ราคาเสื้อกาวน์แบบ disposible ตอนนี้ราคาตัวละเท่าไหร่ จะกระซิบถามพยาบาลหรือฝ่ายจัดซื้อก็ได้นะครับ จะขอบคุณมากๆ
แล้วตอนนี้เสื้อผ่าตัดยังมีเหลือระบบแแบใช้แล้วเอากลับไปซักอีกไหม หรือถ้ามีอยู่ ตอนนี้มีสัดส่วนแบบใช้แล้วซักกับใช้แล้วทิ้งเลย มีสัดส่วนประมาณไหนครับ
ตอนผมยัง practice ทำคลอด ก็จะใช้แบบ disposible เฉพาะเคส hiv เท่านั็น ตอนนี้เป็นไงบ้างแล้วครับ
รพ ผมที่อยู่มา 4 รพ ยังเป็นแบบreuse 100 % นะครับ
รรพ 1 รพท 2 รพช (ขนาดใหญ่) 1
ps.ข้อมูล market share ของสินค้าหุ้นตัวนี้ นี่มันหายากจริงนะครับเนี่ย
-
- Verified User
- โพสต์: 11
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4369
พอดีอยู่ด้านผ่าตัดครับ ที่คุณpaul viถาม ของผมยังใช้reuse เกือบ100%ครับ แต่มีเคสprecaution arthoscopeบางเคสครับ อยู่รพศูนย์ ไม่มีงบใช้แบบdispose
ปล อยากรู้บ้างจังว่าหุ้นตัวไหน ใบ้หน่อยสิครับ
ปล อยากรู้บ้างจังว่าหุ้นตัวไหน ใบ้หน่อยสิครับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4370
ขอบคุณมากครับ สำหรับคำตอบHanibal 93 เขียน:พอดีอยู่ด้านผ่าตัดครับ ที่คุณpaul viถาม ของผมยังใช้reuse เกือบ100%ครับ แต่มีเคสprecaution arthoscopeบางเคสครับ อยู่รพศูนย์ ไม่มีงบใช้แบบdispose
ปล อยากรู้บ้างจังว่าหุ้นตัวไหน ใบ้หน่อยสิครับ
แล้วถ้าเป็นที่รพ เอกชน รายใหญ่หน่อยจะใช้แบบเดิม หรือแบบใช้แล้วทิ้งครับ
ส่วนบริษัทที่ขายตัวนี้ ก็เป็นบริษัทที่ไม่ใหญ่มากครับ mkt cap ประมาณ 600-700 ล้านครับ ชื่อดูน่าเบื่อๆหน่อยครับ ขายพวกอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมครับ
แต่กำลังขยายตัวออกไปทางเรื่องบำบัดน้ำ และ ขายน้ำประปาที่บำบัดแล้ว และมีการขยายธุรกิจไปในประเทศใกล้เคียงเพิ่มเติมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4373
ท่านgitzมีคำถามว่าเป็นหมอรพช.ซื้อหุ้นรพเอกชนดีมั้ย?
ผมว่าดีนะครับ เพราะดูแนวโน้มแล้ว
รพ.รัฐท่าจะกลายเป็นรถไฟฟรี รพ.เอกชนน่าจะเป็นเครื่องบิน
เพียงแต่ตอนนี้ราคามันไม่มีส่วนลด(margin of safety)
ผมก็มีไว้หน่อยนึง ตอนนี้ก็อยากซื้อเพิ่มเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าถ้าผมประเมินแบบมั่วๆว่า
พีอีสามสิบ ผลตอบแทนก็ราวสามเปอร์เซ็น ไกล้เงินฝาก
แต่หวังการเติบโตในอนาคตได้อีก(แม้จะโตไม่ถึงสามสิบเปอร์เซ็น)
กัดฟันซื้อเพิ่มไปเลยดีมั้ย?
อยากให้เพื่อนๆมาวิจารย์วิธีคิดแบบนี้บ้าง
ส่วนข้อสังเกตุของผม
หมอรพช.ที่รู้จัก ไม่มีหุ้นโรงบาล
หมอรพ.เอกชนที่รู้จัก ทั้งระดับบริหาร กะระดับสตาฟล่างๆลงมา
ก็ไม่ซื้อหุ้นรพ.ตัวเอง (อ.ลิ้นช์เคยว่าไว้ว่า ไกล้เกลือกินด่าง)
มีท่านเดียวบอกตอนนั้นว่า พีอียี่สิบเอง ถูกดี
ผมก็เลยซื้อไว้หน่อยนึง กำไรมาครึ่งนึงในสามสี่เดือนครับ
ผมว่าดีนะครับ เพราะดูแนวโน้มแล้ว
รพ.รัฐท่าจะกลายเป็นรถไฟฟรี รพ.เอกชนน่าจะเป็นเครื่องบิน
เพียงแต่ตอนนี้ราคามันไม่มีส่วนลด(margin of safety)
ผมก็มีไว้หน่อยนึง ตอนนี้ก็อยากซื้อเพิ่มเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าถ้าผมประเมินแบบมั่วๆว่า
พีอีสามสิบ ผลตอบแทนก็ราวสามเปอร์เซ็น ไกล้เงินฝาก
แต่หวังการเติบโตในอนาคตได้อีก(แม้จะโตไม่ถึงสามสิบเปอร์เซ็น)
กัดฟันซื้อเพิ่มไปเลยดีมั้ย?
อยากให้เพื่อนๆมาวิจารย์วิธีคิดแบบนี้บ้าง
ส่วนข้อสังเกตุของผม
หมอรพช.ที่รู้จัก ไม่มีหุ้นโรงบาล
หมอรพ.เอกชนที่รู้จัก ทั้งระดับบริหาร กะระดับสตาฟล่างๆลงมา
ก็ไม่ซื้อหุ้นรพ.ตัวเอง (อ.ลิ้นช์เคยว่าไว้ว่า ไกล้เกลือกินด่าง)
มีท่านเดียวบอกตอนนั้นว่า พีอียี่สิบเอง ถูกดี
ผมก็เลยซื้อไว้หน่อยนึง กำไรมาครึ่งนึงในสามสี่เดือนครับ
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 577
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4374
รายงานตัวด้วยคนครับ เป็นสมาชิกสักพักแล้ว แต่ไม่ทราบว่ามี webboard นี้ด้วย ชื่นชอบการลงทุนแนว VI ครับ ผมว่าเหมาะกับอาชีพอย่างเราๆ ดีครับ
"สิ่งจำเป็นอย่างแท้จริงคือ กรอบความคิดอันสมเหตุสมผล สำหรับการตัดสินใจในการลงทุน รวมถึงความสามารถในการป้องกันไม่ให้อารมณ์ มีโอกาสเข้ามากัดกร่อนความคิดดังกล่าว"
-
- Verified User
- โพสต์: 11
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4379
ผม อ่านหนังสือเตรียมสอบboard ครับ ไม่ได้ไปไหนเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 458
- ผู้ติดตาม: 0