สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1681
อุตุชี้ปีใหม่ภาคเหนือมีอุณหภูมิลดลง4-6องศา
อุตุนิยมชี้อุณหภูมิลดลงอีก 4-6 องศาทางภาคเหนือของไทยในช่วง 30 ธ.ค.-1 ม.ค. ขณะที่เมื่อเวลา 00:10 น. ของ วันที่ 28 ธ.ค. เกิดแผ่นดินไหวที่ PHILIPPINE ISLANDS REGION ขนาด 4.8 ริกเตอร์ จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว อยู่ที่: PHILIPPINE ISLANDS REGION ความลึกจากระดับผิวดิน 20 กิโลเมตร
สำหรับพยากรณ์อากาศในวันนี้ (28 ธ.ค.) ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น. บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง ทำให้ภาคเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกตอนบน มีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า บริเวณภูเขาสูงยังคงมีอากาศหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางแห่งตามยอดดอย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้มีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลงในระยะ 1-2 วันนี้
สำหรับ พายุดีเปรสชัน “หวู่คง” บริเวณทะเลจีนใต้จะอ่อนกำลังลงและสลายตัวใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามในวันที่ 29 ธันวาคม 2555 โดยพายุนี้ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย
โดยในช่วงวันที่ 30 ธ.ค. ถึง 1 ม.ค. 2556 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็นลง อุณหภูมิจะลดลง 4-6 องศาเซลเซียส สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยตอนล่างจะมีคลื่นสูง 2-4 เมตร
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้
.
ภาคเหนือ มีหมอกในตอนเช้า กับมีหมอกหนาในบางพื้นที่ ทางตอนบนของภาค อากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 15-18 องศาเซลเซียส ส่วนทางตอนล่างของภาค อากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 19-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 4-10 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 18-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 9-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ภาคกลาง อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.ภาคตะวันออก อากาศเย็นทางตอนบนของภาค กับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 22-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส
สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งมีคลื่นสูง 1-2 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดสงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส อ่าวไทยตอนบนตั้งแต่จังหวัดชุมพร ขึ้นมา: ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ลงไป : ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งมีคลื่นสูง 1-2 เมตร
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1682
สรุปข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
28 ธ.ค.--เดลินิวส์
Distributor - Bisnews AFE
แดงอุดรดับคาคุกอีกศพ ตัดสินแกนนปช.1ปี16เสื้อแดงฟ้องเทือก
คุก "สมชาย ไพบูลย์" อดีต ส.ข.เขตบางบอนแนวร่วม นปช.1 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานปลุกระดม
ก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยมีอาวุธเมื่อปี 53 ศาลชี้ พฤติการณ์ร้ายแรง เจ้าตัวยื่นเงินสด 1 แสนขอ
ประกันตัวอีกคดียกฟ้อง ตู่หมิ่น มาร์คสั่งฆ่าประชาชน ฝ่าย 16 เสื้อแดงไล่ เช็กบิล อภิสิทธิ์-เทพเทือก ขณะ
ที่แดงอุดรเป็นลมหน้ามืดหมดสติในเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ หามส่งโรงหมอราชทัณฑ์ยื้อชีวิตแต่ไม่ทันการ
เตรียมส่งศพผ่าพิสูจน์หาสาเหตุ
เซ่น7วันอันตรายชนตร.ดับคาด่าน
ตีนผีซิ่งกระบะขยี้ "นายดาบ สภ.บางศรีเมือง" ดับสยองคาด่านตรวจให้บริการประชาชนช่วง
เทศกาลปีใหม่ เซ่นศพแรก 7 วันอันตราย ก่อนย่องมอบตัวพร้อมทนาย ด้าน มท.2เปิดศูนย์ 7 วันอันตราย
ลั่นยอมตายต้องไม่เกิน 320 กรมการขนส่งทางบก ร่วมกับกระทรวงคมนาคม และตำรวจนครบาล ระดม
ปล่อยแถวกวาดล้างอาชญากรรมและอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารขณะที่ สธ.พร้อมรับมืออุบัติเหตุช่วงปีใหม่
"หมอสมาน" เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ลุยอุทยานแห่งชาติ ย้ำนำเข้าไปขายดื่มในอุทยานผิดกฎหมาย
แฉรัสเซียโดนข่มขืนเป็นหมอที่โรงพยาบาลมอสโก สื่อหมีขาวตีข่าวอัดพัทยาเละตำรวจหิ้วหนุ่มตรวจดีเอ็นเอ
ประเทศไทยอับอายไปทั่วโลก คดีข่มขืน 2 แหม่มสาวรัสเซียในเมืองพัทยา สื่อในและต่างประเทศตี
ข่าวครึกโครมใหญ่โต แฉเหยื่อสาวมีตำแหน่งเป็นถึงแพทย์หญิงในกรุงมอสโก ส่วนอีกรายเป็นพนักงานบริษัท
เอกชนชื่อดังของรัฐเซีย เจ้าตัวเครียดและสะเทือนใจ ขอตั่วเครื่องบินกลับรัสเซียด่วน ขณะที่ ตร.เรียกวัย
รุ่นต้องสงสัยสอบเครียด 4 รายพร้อมตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอหวังใช้เป็นหลักฐานล่าคนร้ายมารับผิด
ป๋าฝากบิ๊กโอ๋แก้แตกต่างแต่ไม่แตกแยก เข็นสุขุมพันธุ์เลือกตั้งกทม.ฟุ้งคนกรุงอุ้ม
"บิ๊กโอ๋" นำทีมขุนทหารเข้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ "ป๋าเปรม" สอนน้อง ๆ ความเห็นต่างก็เป็นมิตรกันได้
เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง "บิ๊กตู่" ลั่นต้องใช้คุณธรรมนำหน้าเพื่อลดความขัดแย้ง ด้านประชาธิปัตย์โว
ตเลือก "คุณชายหมู" ลงบู๊ชิงผู้ว่าฯ เมืองหลวงอีกรอบ มั่นใจแนวนโยบายยังขายคนกรุงได้ เผย "มาร์ค-
เทือก" จับมือร่วมกันดันเขี่ย "กรณ์" ตกกระป๋อง ด้าน "กอร์ปศักดิ์" โวยกระจายกรรมการคัดเลือกผู้สมัคร
ไม่ส่องกระจกดูตัวเอง ด้าน "ปู" โชว์ลีลา "กรรเชียง" หนีสื่อ ตอกย้ำฉายาไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย
หอบครอบครัวไปพักผ่อนฮ่องกงแล้ว
อดุลย์สั่งสอบตร.ผวาโจรใต้เกี่ยงจับสลาก
"เฉลิม" เดือดจัดพนักงานสอบสวนโวยแหลกจับสลากลงพื้นที่ชายแดนใต้ไม่เป็นธรรม สั่งตั้งกรรมการ
สอบวินัยกราวรูด หลัง "พ.ต.ท." โรงพักบ้านฝางบุกร้อง ก.ตร. มีโปลิศกว่า 6,000 นาย ทั่วประเทศ
เดือดร้อน ลั่นมีผู้สมัครใจลงใต้ไม่ถึงจำนวนที่ขาดแคลน จึงต้องใช้วิธีจับสลาก ชี้เป็นเจ้าหน้าที่ต้องทำตาม
คำสั่งผู้บังคับบัญชา ลั่นไม่พอใจให้ลาออกไป ด้าน ผบ.ตร. อัดพวกไร้สำนึก สั่ง บช.ภ.4 ตรวจสอบแล้ว
หากใครผิดจริงส่อโดนเชือดแน่
หนุ่มฟันหัวแม่มีดปาดตลาดเฉาะ คลั่งปิศาจหลอนเคยเข้าศรีธัญญา
สลดลูกคลั่งฆ่าแม่ ใช้มีดปาดตาลกระหน่ำฟันหัวบุพการีอาชีพเภสัชกร เป็นศพสยองคาบ้านพักย่าน
กำแพงแสน เผยมือมีดมีอาการทางประสาท เคยเข้ารับการรักษาที่ รพ.ศรีธัญญา ก่อนเกิดเรื่องโวยวายหา
ว่าแม่บังเกิดเกล้าเป็นปิศาจ คว้าทูตมรณะก่อเหตุจนสิ้นใจคามือ ขณะที่ตำรวจเตรียมส่งตัวให้แพทย์ตรวจ
อาการ ก่อนดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย
เอี้ยงถล่มมโนพัศเบรกรื้อรีสอร์ท 'อุทยาน' วุ่นสั่งย้ายด่วน4พื้นที่หลัก
เปิดศึกป่าไม้ "มโนพัศ" ปัดสั่งหยุดรื้อรีสอร์ทรุก "ดำรงค์" ฉุนจัดขู่แจ้งความจับเพื่อนละเว้นปฏิบัติ
หน้าที่ ระบุถ้าให้เช่าป่าอธิบดีต้องติดคุกแน่ เผย "อธิบดีอุทยานฯ" สั่งเด้ง 4 หน.อุทยานฯ ทะเลชื่อดัง
"เสม็ด-สุรินทร์-สิมิลัน-อ่าวพังงา" อ้างเพื่อความเหมาะสม ชี้ ส่งหน้าห้องคุม "สิมิลัน" ส่วน หน.เสม็ด
โดนย้ายเหตุไม่ยอมรื้อ 3 รีสอร์ทกลางทะเล
ล็อกตัว2โจ๋ปล้นแท็กซี่ไล่ล่าหัวโจก
รวบได้แล้ว 2 โจ๋สุดเหี้ยม ปาดคอปล้นทรัพย์แท็กซี่สาวใหญ่ สาหัสก่อนขับแท็กซี่ ไปจอดทิ้งแล้วหนี จน
มุมเพราะก่อนที่ผู้เสียหายจะถูกทำร้าย ได้เปิดกระจกสอบถามเส้นทางกับตำรวจสภ.พุทธมณฑล ทำให้โปลิศพบ
จึงตรวจยึดบัตรประชาชนของผู้ต้องหาไว้ สั่งเร่งไล่ล่าหัวโจกอีก 1 สารภาพอ้างเมาไม่ได้สติ
สรุปข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ชี้ 5 ปัจจัยเสี่ยงอุตฯ ติดหล่ม ค่าแรง-เงินบาท-จีเอสพี
นายณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ปัจจัย
เสี่ยงของภาคอุตสาหกรรมในปี 56 มี 5 ปัจจัยหลักประกอบด้วย การชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า, การ
ฟื้นตัวของบางอุตสาหกรรมล่าช้า โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, การแข็งค่าเงินบาท, ค่าแรงขั้นต่ำวันละ
300 บาททั่ว และกลุ่มประเทศอียูจะตัดสิทธิพิเศษทางศุลกากร (จีเอสพี) บางกลุ่มอุตสาหกรรมไทย ซึ่งผล
กระทบดังกล่าวจะมีผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและความสามารถในการแข่งขัน
แบล็คแคนยอนรับมือเออีซี
นายประวิทย์ จิตนราพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แบล็คแคนยอน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหาร
ร้าน แบล็ค แคนยอน เปิดเผยว่า แผนธุรกิจของบริษัทนับจากนี้จะมุ่งขยายสาขาต่างประเทศมากขึ้น โดยมุ่ง
ตลาดในภูมิภาคอาเซียน รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 58 โดยจะจับมือกับ
พันธมิตรทางธุรกิจ ปตท.นำร้านแบล็คแคนยอนเข้าไปเปิดให้บริการในปั๊มน้ำมัน ปตท. ซึ่งสาขาแรกที่ได้นำ
ร้านแบล็คแคนยอนเข้าไปเปิดให้บริการร่วมกับปั๊มน้ำมัน ปตท.คือ สปป.ลาว สำหรับการจับมือกับปั๊มน้ำมัน
ปตท. เพราะต้องการขยายสาขาต่างประเทศได้รวดเร็วขึ้น และ ปตท.มีแผนขยายธุรกิจปั๊มน้ำมันไปใน
ภูมิภาคอาเซียนอีกหลายประเทศ ทั้งกัมพูชา และ ฟิลิปปินส์
จี้ขยายสนามบินภูเก็ตรับทัวร์
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสนามบินภูเก็ตว่า ได้สั่งการ
ให้ผู้บริหารบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.เร่งรัดการขยายสนามบินภูเก็ตให้เสร็จ
โดยเร็วจากแผนที่เริ่มต้นก่อสร้าง ต.ค.55 และกำหนดสร้างเสร็จ ก.พ. 57 โดยพบว่าขณะนี้ผู้รับเหมา
ทำงานล่าช้ากว่าแผน หลังจากนี้ ทอท. จะต้องเร่งรัดงานและรายงานผลให้กระทรวงฯ ทราบทุกเดือน
ขณะเดียวกันจะขอให้สนามบินปรับปรุงพื้นที่ที่มีอยู่สนามบินมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในอาคารผู้โดยสาร
การตรวจคนเข้าเมือง และเคาน์เตอร์เช็กอิน
หนี้สาธารณะช่วง 7 ปีบานฉ่ำ สบน.ปากแข็งรับได้ ต่ำกว่ากรอบการคลัง
น.ส.จุฬาลักษณ์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สบน.
ได้ทำประมาณการหนี้สาธารณะช่วง 7 ปีข้างหน้า ที่รวมความต้องการระดมทุนตาม พ.ร.ก.การบริหาร
จัดการน้ำ 350,000 ล้านบาทท และ พ.ร.บ.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท จะทำให้
หนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูงสุดในปี 59 ที่ 49.9% จากปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ที่ 43.27% และต่ำกว่ากรอบ
ความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดไว้ที่ 60% อีกทั้งงบประมาณจะเข้าสู่ภาวะสมดุลในปี 60 จากปีงบประมาณ56
ที่งบประมาณขาดดุล 300,000 ล้านบาท โดยโครงการตามนโยบายของรัฐบาล ไม่ได้กระทบฐานะการเงิน
การคลังในระยะยาวแน่นอน
โยนบอร์ดสลากฯแก้กม.เดินหน้าออกหวยตู้ปี 56
นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง เปิดเผยว่า ได้มอบอำนาจให้คณะกรรมการสลากฯ ไปพิจารณาถึง
ความเหมาะสมและความจำเป็นในการปรับแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
พ.ศ. 2517 รวมถึงให้พิจารณาเป็นกรณีพิเศษเกี่ยวกับข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งในเรื่องการจัดสรรโควตาและการจำหน่ายสลากฯ เกินราคาและแนวทาง
ในการดำเนินการจำหน่ายสลากด้วยเครื่องอัตโนมัติ 2 ตัว 3 ตัว (หวยตู้) ให้มีความชัดเจน พร้อมทั้งให้
ประเมินผลของนโยบายโครงการหวยตู้เป็นประจำทุกปี จากองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหากำไร และไม่มีส่วน
ได้เสียจากสำนักงานสลากฯ เป็นต้น
อิมแพ็คโกยรายได้ กระแสแห่จัดเลี้ยง
นายพอลล์ กาญจนพาสน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้บริหาร
ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เปิดเผยว่า ปีงบประมาณ 55 (เม.ย.55-มี.ค.56)
คาดว่า อิมแพ็คฯ จะมีรายได้จากธุรกิจด้านบริการอาหารและเครื่องดื่ม 350 ล้านบาท เป็นรายได้บริการ
จัดเลี้ยง 85% หรือ 300 ล้านบาท ที่เหลือเป็นรายได้บริการอาหารฟาสต์ฟู้ด 12% หรือ 40 ล้านบาท
บริการจัดเลี้ยงนอกพื้นที่ 2% หรือ 4.6 ล้านบาท และบริการอาหารกล่อง 1% หรือ 3.5 ล้านบาท โดยมี
ส่วนสำคัญจากช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงปีใหม่ มีลูกค้าสนใจใช้บริการด้านการจัดเลี้ยงที่ครบวงจร (อิมแพ็ค
แคเทอริ่ง) มาก ทั้งรัฐ และเอกชน ส่วนใหญ่นิยมใช้เพื่อจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปี
กำลังซื้อดันศก.ไตรมาส 4
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
นักธุรกิจ สถาบัน และสมาคมธุรกิจในสาขาต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวม 257 ราย พบว่า แนวโน้มธุรกิจ
ไตรมาส 4 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการประเมินว่าการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัว
ต่อเนื่องตามกำลังซื้อของประชาชนหลังจากรายได้และความเชื่อมั่นปรับเพิ่มขึ้นตามภาวะการจ้างงานที่อยู่
ในเกณฑ์ดี และผลจากมาตรการของภาครัฐ และภาวะการเงินที่เอื้ออำนวยทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ใน
ระดับต่ำและการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ที่สะดวกขึ้น--
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1683
'อีซีเอฟ' เข้า mai ก.พ.ปีหน้า
"อีซีเอฟ" คาดเข้าเทรดในตลาด mai ก.พ.ปีหน้า หวังระดมเงินลงทุนกว่า 300 ล้านบาท มั่นใจ รายได้ไม่ต่ำกว่า 1.3 พันล้านบาท
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (MAI) ได้ช่วงเดือน ก.พ. 2556 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปเยี่ยมบริษัทครั้งสุดท้ายในวันที่ 16 ม.ค. 2556 หลังจากนั้นจะเดินสายให้ข้อมูลนักลงทุน (โรดโชว์) ใน 7 จังหวัดทั่วประเทศ
การระดมทุนครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินลงทุน ซึ่งบริษัทมีแผนลงทุนประมาณ 300 ล้านบาทในปีหน้าในการปรับสายการผลิตที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการปรับโครงสร้างของโรงงาน เช่น ระบบไฟฟ้า พื้น โดยจะมีการใช้เงินซื้อเครื่องจักรงวดแรกประมาณ 50-60 ล้านบาท และอาจเพิ่มเป็น 100 ล้านบาทในงวดถัดไป เพื่อใช้ทดแทนแรงงานที่อาจมีค่าแรงเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ทั้งนี้ บริษัทมีทุนจดทะเบียน 130 ล้านบาท เป็นทุนเรียกชำระแล้ว 100 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 400 ล้านหุ้น หลังเสนอขายให้ประชาชนทั่วไป (ไอพีโอ) ในครั้งนี้บริษัทฯจะมีทุนเรียกชำระแล้ว 130 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 520 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท คือ กลุ่มตระกูลสุขสวัสดิ์ ถือหุ้นเกือบ 100% หลังขายไอพีโอ จะถูกลดสัดส่วนลงมาเหลือประมาณ 76% และบริษัทฯมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
ปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกในสัดส่วน 60% ตลาดหลักอยู่ที่ญี่ปุ่น อินเดีย และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ที่เหลืออีก 40% เป็นการขายในประเทศ โดยส่งไปขายที่ บิ๊กซี เทสโก้โลตัส โฮมโปร อินเด็กซ์ และผู้แทนจำหน่ายทั่วไป ซึ่งในอนาคตตั้งเป้าสัดส่วนการขายปรับเป็น 50:50 เพราะการส่งออกมีปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้มากกว่า
สำหรับจุดแข็งของบริษัท คือ ราคา และคุณภาพที่สอดคล้องกัน รวมถึงความตรงต่อเวลาในการส่งสินค้า มั่นใจว่าเราเป็นบริษัทที่ดีด้านเฟอร์นิเจอร์ติด 1 ใน 5 ของเมืองไทย ด้านปัจจัยเสี่ยงสำคัญ คือ ความขัดแย้งทางการเมืองและการแข่งขันในธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้อาจจะมีปัญหาเรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นเป็น 300 บาท โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลดแรงงานลงไปส่วนหนึ่งแล้ว
"อีซีเอฟ" คาดเข้าเทรดในตลาด mai ก.พ.ปีหน้า หวังระดมเงินลงทุนกว่า 300 ล้านบาท มั่นใจ รายได้ไม่ต่ำกว่า 1.3 พันล้านบาท
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (MAI) ได้ช่วงเดือน ก.พ. 2556 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปเยี่ยมบริษัทครั้งสุดท้ายในวันที่ 16 ม.ค. 2556 หลังจากนั้นจะเดินสายให้ข้อมูลนักลงทุน (โรดโชว์) ใน 7 จังหวัดทั่วประเทศ
การระดมทุนครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินลงทุน ซึ่งบริษัทมีแผนลงทุนประมาณ 300 ล้านบาทในปีหน้าในการปรับสายการผลิตที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการปรับโครงสร้างของโรงงาน เช่น ระบบไฟฟ้า พื้น โดยจะมีการใช้เงินซื้อเครื่องจักรงวดแรกประมาณ 50-60 ล้านบาท และอาจเพิ่มเป็น 100 ล้านบาทในงวดถัดไป เพื่อใช้ทดแทนแรงงานที่อาจมีค่าแรงเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ทั้งนี้ บริษัทมีทุนจดทะเบียน 130 ล้านบาท เป็นทุนเรียกชำระแล้ว 100 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 400 ล้านหุ้น หลังเสนอขายให้ประชาชนทั่วไป (ไอพีโอ) ในครั้งนี้บริษัทฯจะมีทุนเรียกชำระแล้ว 130 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 520 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท คือ กลุ่มตระกูลสุขสวัสดิ์ ถือหุ้นเกือบ 100% หลังขายไอพีโอ จะถูกลดสัดส่วนลงมาเหลือประมาณ 76% และบริษัทฯมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
ปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกในสัดส่วน 60% ตลาดหลักอยู่ที่ญี่ปุ่น อินเดีย และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ที่เหลืออีก 40% เป็นการขายในประเทศ โดยส่งไปขายที่ บิ๊กซี เทสโก้โลตัส โฮมโปร อินเด็กซ์ และผู้แทนจำหน่ายทั่วไป ซึ่งในอนาคตตั้งเป้าสัดส่วนการขายปรับเป็น 50:50 เพราะการส่งออกมีปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้มากกว่า
สำหรับจุดแข็งของบริษัท คือ ราคา และคุณภาพที่สอดคล้องกัน รวมถึงความตรงต่อเวลาในการส่งสินค้า มั่นใจว่าเราเป็นบริษัทที่ดีด้านเฟอร์นิเจอร์ติด 1 ใน 5 ของเมืองไทย ด้านปัจจัยเสี่ยงสำคัญ คือ ความขัดแย้งทางการเมืองและการแข่งขันในธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้อาจจะมีปัญหาเรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นเป็น 300 บาท โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลดแรงงานลงไปส่วนหนึ่งแล้ว
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1685
SET:ดัชนีหุ้นไทยปิดสิ้นปี 55
เพิ่มขึ้น 35.76% จากปีก่อน, สูงสุดในเอเซียฯ
กรุงเทพฯ--28 ธ.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีหุ้นไทยปิดสิ้นปี 55 ที่ระดับ 1,391.93 จุด ลบ 5.26 จุด หรือ 0.38%
แต่เพิ่มขึ้น 35.76% เมื่อเทียบกับระดับปิดเมื่อสิ้นปี 54 ที่ผ่านมา โดยนับเป็นตลาดหุ้น
ที่ปรับตัวขึ้นมากสุดเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามด้วยตลาดหุ้น
ฟิลิปปินส์ และตลาดหุ้นสิงคโปร์
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ มองว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับลง จากแรงขายของ
นักลงทุนในประเทศ ซึ่งเป็นการขายทำกำไร หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมาอย่าง
ต่อเนื่อง ส่วนในสัปดาห์หน้าทิศทางตลาด ขึ้นอยู่กับกรณีของ fiscal cliff เป็นหลัก
โดยหากมีการเลื่อนออกไปก่อน และยังไม่มีการบังคับใช้อัตโนมัติ ก็จะเป็นผลบวกต่อ
ตลาดหุ้น
โดยในวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 1,402.86 และต่ำสุดที่
1,391.85 ด้วยมูลค่าซื้อขาย 34,624.01 ล้านบาท
ขณะที่ SET50 ปิดลบ 5.90 จุด หรือ 0.62% มาที่ 945.39 จุด และ
SET100 ปิดลบ 10.68 จุด หรือ 0.51% มาที่ 2,078.67 จุด
ดัชนีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ บวก 0.67% มูลค่าซื้อขาย 25.16%, เทคโนโลยี
ลบ 0.88% มูลค่าซื้อขาย 11.45%, พลังงาน ลบ 0.47% มูลค่าซื้อขาย 11.38%,
แบงก์ ลบ 0.14% มูลค่าซื้อขาย 11.05%, พาณิชย์ ลบ 0.51% และ ขนส่ง บวก 0.2%
"วันนี้ น่าจะมีแรงขายจากนักลงทุนในประเทศ ทั้งพอร์ตโบรกเกอร์ และนักลงทุน
รายย่อย หุ้นขึ้นมามาก ก็มีแรงขายทำกำไรออกมา" นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์
บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าว
เขา กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า ขึ้นอยู่กับ fiscal cliff
ว่าจะมีข้อสรุปในแนวทางใด แต่เชื่อว่าน่าจะมีการเลื่อนออกไปก่อน ซึ่งก็จะช่วยลดแรงกดดัน
ต่อตลาดหุ้น
ขณะที่คาดว่า ในเดือนม.ค.น่าจะมี January effect เกิดขึ้น เพราะเมื่อดูจาก
ข้อมูลย้อนหลัง 4 ปีที่ผ่านมา ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของเดือนม.ค.จะมีแรงซื้อเข้ามา ทำ
ให้หุ้นไทยปรับขึ้น ทั้งนี้มองหุ้นไทยสัปดาห์หน้า มีแนวต้านที่ 1,410 และ 1,420 ส่วนแนว
รับที่ 1,380 จุด
หลักทรัพย์ 5 อันดับแรก ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด
UV บวก 1.50 บาท มาที่ 11.70 บาท
RML บวก 0.22 บาท มาที่ 2.14 บาท
PTT ลบ 3.00 บาท มาที่ 332.00 บาท
INTUCH ลบ 1.00 บาท มาที่ 69.00 บาท
PTTEP บวก 0.50 บาท มาที่ 164.00 บาท
เพิ่มขึ้น 35.76% จากปีก่อน, สูงสุดในเอเซียฯ
กรุงเทพฯ--28 ธ.ค.--รอยเตอร์
ดัชนีหุ้นไทยปิดสิ้นปี 55 ที่ระดับ 1,391.93 จุด ลบ 5.26 จุด หรือ 0.38%
แต่เพิ่มขึ้น 35.76% เมื่อเทียบกับระดับปิดเมื่อสิ้นปี 54 ที่ผ่านมา โดยนับเป็นตลาดหุ้น
ที่ปรับตัวขึ้นมากสุดเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามด้วยตลาดหุ้น
ฟิลิปปินส์ และตลาดหุ้นสิงคโปร์
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ มองว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับลง จากแรงขายของ
นักลงทุนในประเทศ ซึ่งเป็นการขายทำกำไร หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมาอย่าง
ต่อเนื่อง ส่วนในสัปดาห์หน้าทิศทางตลาด ขึ้นอยู่กับกรณีของ fiscal cliff เป็นหลัก
โดยหากมีการเลื่อนออกไปก่อน และยังไม่มีการบังคับใช้อัตโนมัติ ก็จะเป็นผลบวกต่อ
ตลาดหุ้น
โดยในวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 1,402.86 และต่ำสุดที่
1,391.85 ด้วยมูลค่าซื้อขาย 34,624.01 ล้านบาท
ขณะที่ SET50 ปิดลบ 5.90 จุด หรือ 0.62% มาที่ 945.39 จุด และ
SET100 ปิดลบ 10.68 จุด หรือ 0.51% มาที่ 2,078.67 จุด
ดัชนีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ บวก 0.67% มูลค่าซื้อขาย 25.16%, เทคโนโลยี
ลบ 0.88% มูลค่าซื้อขาย 11.45%, พลังงาน ลบ 0.47% มูลค่าซื้อขาย 11.38%,
แบงก์ ลบ 0.14% มูลค่าซื้อขาย 11.05%, พาณิชย์ ลบ 0.51% และ ขนส่ง บวก 0.2%
"วันนี้ น่าจะมีแรงขายจากนักลงทุนในประเทศ ทั้งพอร์ตโบรกเกอร์ และนักลงทุน
รายย่อย หุ้นขึ้นมามาก ก็มีแรงขายทำกำไรออกมา" นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์
บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าว
เขา กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า ขึ้นอยู่กับ fiscal cliff
ว่าจะมีข้อสรุปในแนวทางใด แต่เชื่อว่าน่าจะมีการเลื่อนออกไปก่อน ซึ่งก็จะช่วยลดแรงกดดัน
ต่อตลาดหุ้น
ขณะที่คาดว่า ในเดือนม.ค.น่าจะมี January effect เกิดขึ้น เพราะเมื่อดูจาก
ข้อมูลย้อนหลัง 4 ปีที่ผ่านมา ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของเดือนม.ค.จะมีแรงซื้อเข้ามา ทำ
ให้หุ้นไทยปรับขึ้น ทั้งนี้มองหุ้นไทยสัปดาห์หน้า มีแนวต้านที่ 1,410 และ 1,420 ส่วนแนว
รับที่ 1,380 จุด
หลักทรัพย์ 5 อันดับแรก ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด
UV บวก 1.50 บาท มาที่ 11.70 บาท
RML บวก 0.22 บาท มาที่ 2.14 บาท
PTT ลบ 3.00 บาท มาที่ 332.00 บาท
INTUCH ลบ 1.00 บาท มาที่ 69.00 บาท
PTTEP บวก 0.50 บาท มาที่ 164.00 บาท
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1686
***หุ้นโค้งสุดท้าย...
หุ้นไทยสั่งลาแผ่วปลายดัชนียืนไม่อยู่1,400จุด
ดัชนีหุ้นไทยส่งท้ายปี 2555 พลาดเป้าเล็กน้อยปิดตลาดติดลบ ยืนไม่ได้ที่เป้าหมาย 1,400 จุด เจอแรงขายทำกำไรรายย่อยกระหน่ำพร้อมสถาบันเสริมโบรกมองปีหน้าเดือนมกราคมหุ้นอ่อนตัว แนะทยอยเก็บรอรอบใหม่เดือนมีนาคม-เมษายน 2556
- นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ -267 ล้านบาท
- บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ + 457 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ +1,580 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ -1,769 ล้านบาท
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด กล่าวในรายการหุ้นโค้งสุดท้ายว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปิดตลดาติดลบวันนี้(28 ธ.ค.) ถือว่าเป็นแค่การปรับลดต่ำกว่าเป้าหมายแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะหากมองภาพรวมตั้งแต่ต้นปีถือว่าตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวที่โดดเด่นมากเมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้านในเอเชีย
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในต้นปี 2556 ซึ่งดัชนีมีโอกาสปรับลดลงตามแรงขายของนักลงทุนสถาบัน เนื่องจากเป็นช่วงที่ไถ่ถอนกองทุน แนะให้ใช้จังหวะที่หุ้นปรับตัวลดลงในช่วงเดือนมกราคมทยอยสะสมหุ้นเพื่อรอจังหวะการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงเดิอนมีนาคมและเมษายนซึ่งประเมินจากสถิติการซื้อขายที่ผ่านมา
สำหรับแนวโน้มใการลงทุนในปี 2556 ในครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังจะเน้นกลุ่มลงทุนที่ต่างกัน โดยในครึ่งแรกหุ้นที่ได้รับความสนใจจะเป็นหุ้นกลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้างตามนโยบายของภาครัฐ ขณะที่ในครึ่งหลังของปี 2556 ความน่าสนใจจะย้ายกลุ่มเป็นหุ้นวัฎจักรของธุรกิจ โดยการเลือกหุ้นในการลงทุนแนะนำให้เลือกหุ้นปันผลสูง และหุ้นเทิรน์อราวนด์คือผลการดำเนินจะพลิกกลับมาดีมาก
ตลาดหุ้นไทยปิดส่งท้ายปี 2555 ที่ 1,391.93 จุด ลดลง หรือ 0.38% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 34,523 ล้านบาท โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,402.86 จุด
กรอบการลงทุนวันที่ 2 มกราคม 2556
บริษัทหลักทรัพย์ซีไอเอ็มบีไทย จำกัด ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,390-1,404 จุด โดยแนะนำหุ้น TOP ให้แนวต้าน 70 บาท แนวร้บ 67.50 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,380-1,410 จุด โดยแนะนำหุ้น CK ให้แนวต้าน 14-15 บาท และแนวร้บ 13 บาท
หุ้นไทยสั่งลาแผ่วปลายดัชนียืนไม่อยู่1,400จุด
ดัชนีหุ้นไทยส่งท้ายปี 2555 พลาดเป้าเล็กน้อยปิดตลาดติดลบ ยืนไม่ได้ที่เป้าหมาย 1,400 จุด เจอแรงขายทำกำไรรายย่อยกระหน่ำพร้อมสถาบันเสริมโบรกมองปีหน้าเดือนมกราคมหุ้นอ่อนตัว แนะทยอยเก็บรอรอบใหม่เดือนมีนาคม-เมษายน 2556
- นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ -267 ล้านบาท
- บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ + 457 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ +1,580 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ -1,769 ล้านบาท
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด กล่าวในรายการหุ้นโค้งสุดท้ายว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปิดตลดาติดลบวันนี้(28 ธ.ค.) ถือว่าเป็นแค่การปรับลดต่ำกว่าเป้าหมายแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะหากมองภาพรวมตั้งแต่ต้นปีถือว่าตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวที่โดดเด่นมากเมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้านในเอเชีย
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในต้นปี 2556 ซึ่งดัชนีมีโอกาสปรับลดลงตามแรงขายของนักลงทุนสถาบัน เนื่องจากเป็นช่วงที่ไถ่ถอนกองทุน แนะให้ใช้จังหวะที่หุ้นปรับตัวลดลงในช่วงเดือนมกราคมทยอยสะสมหุ้นเพื่อรอจังหวะการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงเดิอนมีนาคมและเมษายนซึ่งประเมินจากสถิติการซื้อขายที่ผ่านมา
สำหรับแนวโน้มใการลงทุนในปี 2556 ในครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังจะเน้นกลุ่มลงทุนที่ต่างกัน โดยในครึ่งแรกหุ้นที่ได้รับความสนใจจะเป็นหุ้นกลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้างตามนโยบายของภาครัฐ ขณะที่ในครึ่งหลังของปี 2556 ความน่าสนใจจะย้ายกลุ่มเป็นหุ้นวัฎจักรของธุรกิจ โดยการเลือกหุ้นในการลงทุนแนะนำให้เลือกหุ้นปันผลสูง และหุ้นเทิรน์อราวนด์คือผลการดำเนินจะพลิกกลับมาดีมาก
ตลาดหุ้นไทยปิดส่งท้ายปี 2555 ที่ 1,391.93 จุด ลดลง หรือ 0.38% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 34,523 ล้านบาท โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,402.86 จุด
กรอบการลงทุนวันที่ 2 มกราคม 2556
บริษัทหลักทรัพย์ซีไอเอ็มบีไทย จำกัด ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,390-1,404 จุด โดยแนะนำหุ้น TOP ให้แนวต้าน 70 บาท แนวร้บ 67.50 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,380-1,410 จุด โดยแนะนำหุ้น CK ให้แนวต้าน 14-15 บาท และแนวร้บ 13 บาท
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1687
ตลาดหุ้นไทยส่งท้ายปีเก่าปิดร่วง5.26จุด
ตลาดหุ้นไทยส่งท้ายปีเก่าปิดลบ5.26จุด แตะ1,391.93 จุด
นักลงทุนลดความเสี่ยงช่วงหยุดยาว
วันนี้ (28 ธ.ค. 55)ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 1,391.93 จุด ลดลง 5.26 จุด(-0.38%) มูลค่าการซื้อขาย 34,624.01 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีเปิดพุ่งทะลุ 1,400 จุด แต่หลังจากนั้นไหลลงและแกว่งตัวลงตลอดทั้งวัน โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,402.86 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,391.85 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 273 หลักทรัพย์ ลดลง 284 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 174 หลักทรัพย์
น.ส.มยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ไม่ผ่านไปปิดเหนือระดับ 1,400 จุดได้ โดยดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบแถว 1,395 จุด เนื่องจากมีแรงขายทำกำไรบริเวณ 1,395-1,400 จุดค่อนข้างมาก เพราะวันนี้เป็นวันทำการสุดท้ายของปี นักลงทุนบางส่วนอาจต้องการล็อคกำไรก่อนหยุดยาวช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ ทำให้ตลาดหุ้นแกว่งตัว sideway ในกรอบแคบ
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้มีการขยับขึ้นมามากจากความคาดหวังผลการเจรจาแก้ไขปัญหา Fiscal Cliff ซึ่งวันพรุ่งนี้ตามเวลาในไทยประธานาธิบดีโอบามานัดหารือกับแกนนำในสภาคองเกรส ก่อนที่มีการเปิดประชุมสภาฯในวันที่ 30 ธ.ค.ทำให้มีแรงซื้อทิ้งท้ายปี ภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียขยับขึ้นมาได้ดี อีกทั้งตลาดหุ้นญี่ปุ่นโดดเด่นกว่าภูมิภาครับผลเงินเยนอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง และความคาดหวังภาพรวมเศรษฐกิจปีหน้าจะออกมาในเชิงบวก
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้าตลาดยังขึ้นอยู่กับประเด็นการเจรจาแก้ปัญหา Fiscal cliff ว่าจะมีข้อสรุปออกมาอย่างไร หากผลการเจรจาได้ข้อสรุปเป็นบวกดัชนีมีโอกาสขึ้นไปทดสอบระดับแนวต้าน 1,400-1,410 จุด แต่หากยังไม่มีข้อสรุปตลาดก็อาจปรับฐานรอบใหญ่และลงไปแรงพอสมควร หลังจากสัปดาห์นี้ปรับขึ้นมาจากความคาดหวังการแก้ปัญหา Fical Cliffพร้อมให้แนวรับเปิดทำการในสัปดาห์หน้าที่ 1,360-1,370 จุด หากไม่มีความคืบหน้าเรื่อง Fiscal Cliff และ 1,385 จุด หากมีข้อสรุปชัดเจน ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,400-1,410 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
UV มูลค่าการซื้อขาย 2,435.20 ล้านบาท ปิดที่ 11.70 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
RML มูลค่าการซื้อขาย 1,457.51 ล้านบาท ปิดที่ 2.14 บาท เพิ่มขึ้น 0.22 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,202.26 ล้านบาท ปิดที่ 332.00 บาท ลดลง 3.00 บาท
INTUCH มูลค่าการซื้อขาย 1,120.17 ล้านบาท ปิดที่ 69.00 บาท ลดลง 1.00 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,038.71 ล้านบาท ปิดที่ 164.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1688
'เอกยุทธ'พบตร.
ปัดข้อหาตื้บผจก.ร้านโอเกะ จ่อฟ้องกลับ
"เอกยุทธ อัญชันบุตร" พาทนายเข้าพบ ผบก.น.4 ปฏิเสธข้อกล่าวหาร่วมกันทำร้ายผู้จัดการร้านคาราโอเกะ แจงภาพวงจรปิดที่เห็นชี้มือสั่งที่จริงเป็นการชี้ให้หยุดทะเลาะกัน เล็งแจ้งความกลับทั้งคู่กรณีและตำรวจ ฐานแจ้งความเท็จ...
เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. นายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ พร้อมนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ เข้าพบ พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 (ผบก.น.4) พ.ต.อ.ธนวัฒน์ วัฒนกุล ผกก.สน.โชคชัย และพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ตามหมายเรียกในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายพนักงานร้านคาราโอเกะซิติ้ ย่านลาดพร้าว และทำลายเอกสาร เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตามหลักฐานที่ตำรวจได้เป็นเทปบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดที่ปรากฏภาพนายเอกยุทธร่วมในเหตุการณ์
นายสุวัตร ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหานายเอกยุทธ ร่วมกันทำร้ายร่างกายและเอาไปเสีย ซึ่งเอกสารสลิป หรือทำลายสลิป เบื้องต้นนายเอกยุทธ ให้การภาคเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมเตรียมทำเอกสารคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อนำมาชี้แจงภายใน 30 วันด้วย เนื่องจากต้องการชี้แจงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ขณะที่ นายเอกยุทธ กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง มีการปั้นพยานขึ้นมากล่าวหา แต่ไม่อยากพูดอะไรมากเพราะกลัวจะเสียรูปคดี ส่วนกรณีที่บอกว่าบัตรเครดิตตนหมดอายุนั้น ขอชี้แจงว่า บัตรของตนเป็นบัตรแบบพรีเมียมของอเมริกัน เอ็กซ์เพรส กับสยามซิตี้ แบงก์ ธนาคารนครหลวงไทย จะหมดอายุในปีหน้า และก็ได้รับการยืนยันจากทางธนาคารด้วย ตอนที่พนักงานร้านนำบัตรตนไปรูดที่เครื่องนั้น ทางร้านก็รูดแค่เครื่องเครื่องเดียวซ้ำๆ กัน ทั้งที่ในร้านมีอยู่ถึง 5 เครื่อง ก็ไม่รู้ว่าทางร้านจะเอาข้อมูลในบัตรตนไปด้วยหรือไม่
ส่วนภาพที่เห็นตนชี้มือสั่งลูกน้องรุมกระทืบนั้น ที่จริงแล้วเป็นการชี้บอกให้หยุด
อย่าทะเลาะกัน ภาพล็อกคอก็เป็นการล็อกพวกเดียวกันเองเพื่อห้ามปราม
ดังนั้น เรื่องที่ว่าตนสั่งลูกน้องรุมกระทืบจึงไม่ใช่เรื่องจริง
นายเอกยุทธ กล่าวด้วยว่า เตรียมแจ้งความกลับผู้จัดการร้านคาราโอเกะในข้อหาแจ้งความเท็จ และเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนในข้อหาหมิ่นประมาท ที่ให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่า ตนรูดบัตรไม่ผ่าน ไม่มีเงินจ่าย ซึ่งถือเป็นการหมิ่นประมาท.
โดย ไทยรัฐออนไลน์
28 ธันวาคม 2555, 16:44 น.
ปัดข้อหาตื้บผจก.ร้านโอเกะ จ่อฟ้องกลับ
"เอกยุทธ อัญชันบุตร" พาทนายเข้าพบ ผบก.น.4 ปฏิเสธข้อกล่าวหาร่วมกันทำร้ายผู้จัดการร้านคาราโอเกะ แจงภาพวงจรปิดที่เห็นชี้มือสั่งที่จริงเป็นการชี้ให้หยุดทะเลาะกัน เล็งแจ้งความกลับทั้งคู่กรณีและตำรวจ ฐานแจ้งความเท็จ...
เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. นายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ พร้อมนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ เข้าพบ พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 (ผบก.น.4) พ.ต.อ.ธนวัฒน์ วัฒนกุล ผกก.สน.โชคชัย และพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ตามหมายเรียกในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายพนักงานร้านคาราโอเกะซิติ้ ย่านลาดพร้าว และทำลายเอกสาร เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตามหลักฐานที่ตำรวจได้เป็นเทปบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดที่ปรากฏภาพนายเอกยุทธร่วมในเหตุการณ์
นายสุวัตร ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหานายเอกยุทธ ร่วมกันทำร้ายร่างกายและเอาไปเสีย ซึ่งเอกสารสลิป หรือทำลายสลิป เบื้องต้นนายเอกยุทธ ให้การภาคเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมเตรียมทำเอกสารคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อนำมาชี้แจงภายใน 30 วันด้วย เนื่องจากต้องการชี้แจงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ขณะที่ นายเอกยุทธ กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง มีการปั้นพยานขึ้นมากล่าวหา แต่ไม่อยากพูดอะไรมากเพราะกลัวจะเสียรูปคดี ส่วนกรณีที่บอกว่าบัตรเครดิตตนหมดอายุนั้น ขอชี้แจงว่า บัตรของตนเป็นบัตรแบบพรีเมียมของอเมริกัน เอ็กซ์เพรส กับสยามซิตี้ แบงก์ ธนาคารนครหลวงไทย จะหมดอายุในปีหน้า และก็ได้รับการยืนยันจากทางธนาคารด้วย ตอนที่พนักงานร้านนำบัตรตนไปรูดที่เครื่องนั้น ทางร้านก็รูดแค่เครื่องเครื่องเดียวซ้ำๆ กัน ทั้งที่ในร้านมีอยู่ถึง 5 เครื่อง ก็ไม่รู้ว่าทางร้านจะเอาข้อมูลในบัตรตนไปด้วยหรือไม่
ส่วนภาพที่เห็นตนชี้มือสั่งลูกน้องรุมกระทืบนั้น ที่จริงแล้วเป็นการชี้บอกให้หยุด
อย่าทะเลาะกัน ภาพล็อกคอก็เป็นการล็อกพวกเดียวกันเองเพื่อห้ามปราม
ดังนั้น เรื่องที่ว่าตนสั่งลูกน้องรุมกระทืบจึงไม่ใช่เรื่องจริง
นายเอกยุทธ กล่าวด้วยว่า เตรียมแจ้งความกลับผู้จัดการร้านคาราโอเกะในข้อหาแจ้งความเท็จ และเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนในข้อหาหมิ่นประมาท ที่ให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่า ตนรูดบัตรไม่ผ่าน ไม่มีเงินจ่าย ซึ่งถือเป็นการหมิ่นประมาท.
โดย ไทยรัฐออนไลน์
28 ธันวาคม 2555, 16:44 น.
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1689
28/12/55 ตอน เดินทางวันนี้ ถึงที่ปีหน้า
สรุปภาวะหุ้นแบบฮาๆ ประจำวันที่ 28/12/55
http://ibizchannel.com/view.aspx?cid=640
สรุปภาวะหุ้นแบบฮาๆ ประจำวันที่ 28/12/55
http://ibizchannel.com/view.aspx?cid=640
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1690
ปี 55 บจ. ระดมทุนกว่า 2.6 แสนล.
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผย ปี 55 บจ. ระดมทุนผ่านตลาดหุ้นไทยกว่า 2.6 แสนล้านบาท ด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงิน 116 รายการ การระดมทุนของ บจ. ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน และหนุนให้ธุรกิจขยายตัวได้อย่างมั่นคง และต่อเนื่อองในอนาคต
น.ส.ปวีณา ศรีโพธิทอง ผู้ช่วยผู้จัดการ กลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยยอดการระดมทุน (ไม่รวม IPO) ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (27 ธ.ค.55) มีมูลค่ารวม 262,765 ล้านบาท สูงสุดรอบ 10 ปี โดย บจ. ที่ระดมทุนเพิ่มมีทั้งหมด 154 บริษัท เป็น บจ. ใน SET 119 บริษัท (237,346 ล้านบาท) mai 35 บริษัท (10,808 ล้านบาท) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อีก 5 กองทุน (14,611 ล้านบาท) หากดูยอดการระดมทุนแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า กลุ่มทรัพยากรมียอดระดมทุนสูงสุด 93,986 ล้านบาท
สาเหตุหลักมาจากการระดมทุนของ PTTEP 92,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นการระดมทุนที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตามด้วยกลุ่มธุรกิจการเงิน 56,229 ลบ.โดยเป็นการระดมทุนของ KTB 35,234 ลบ. และกลุ่มบริการ 32,917 ลบ. ทั้ง 13 กลุ่มอุตสาหกรรมมียอดระดมทุนคิดเป็น 70% ของมูลค่าทั้งหมด
“การระดมทุนของ บจ. จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน และยังช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจขยายตัวได้อย่างมั่นคง และต่อเนื่อองในอนาคต นอกจากนี้ การระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนที่เป็นรัฐวิสาหกิจรวมถึงบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจในปีนี้มีมูลค่าสูงถึง 127,660 ล้านบาท คิดเป็น 49% ของมูลค่าทั้งหมด ชี้ให้เห็นว่าตลาดทุนไทยมีบทบาทมากขึ้น ในการเป็นแหล่งเงินทุนให้รัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์” น.ส.ปวีณากล่าว
ยอดระดมทุนที่สูงปีนี้สอดคล้องกับดัชนี SET และ mai ที่เพิ่มขึ้นมากจากปี 2554 ค่า P/E ในระดับที่ดี และสภาพคล่องการซื้อขายหลักทรัพย์ที่สูง ทำให้ บจ. ระดมทุนได้ราคาดี ไม่ต้องเพิ่มทุนด้วยการออกหุ้นจำนวนมาก (ลด Dilution Effect) เหมือนช่วงตลาดซบเซา โดยดัชนี SET ล่าสุดปิดที 1,397.19 จุด (สูงสุดรอบ 16 ปี 10 เดือน) เพิ่มขึ้น 36.27% มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 31,070 ล้านบาท เพิ่้มขึ้น 6.83% เป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่มีการซื้ออขาย ค่า P/E เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 15.88 เท่า ส่วนดัชนี mai ปิดที่ 415.89 จุด (สูงสุดเป็นประวัติการณ์) เพิ่มขึ้น1 57.40% มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 1,219 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 96.73% เป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่มีการซื้อขายเช่นกัน ค่า P/E เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 19.36 เท่า
“ในช่วงที่้ภาวะตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น ถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการขออนุมัติจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีในช่วงต้นปีหน้า การขอ General Mandate ช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลา ทำให้บริษัทเพิ่มทุนได้ทันตามความต้องการ ในขณะเดียวกัน ยังคงหลักการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ปีนี้มี บจ. ที่ขอ General Mandate รวม 19 บริษัท จากปีก่อนที่มี 3 บริษัท” น.ส.ปวีณากล่าวเสริม
ด้านการใช้เครื่องมือทางการเงิน ปีนี้มี บจ. 87 บริษัท ใช้เครื่องมือทางการเงินรวม 116 รายการ เครื่องมือที่ บจ. ใช้มากที่สุดคือ การจ่ายหุ้นปันผล มี 35 บริษัท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่เครื่องมือดังกล่าวได้รับความนิยมสูงสุด ทั้งนี้พบว่า บจ. ที่จ่ายหุ้นปันผลโดยส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดกลาง และเล็กทีมีกระแสเงินสดจ่ายในการซื้อที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ (CAPEX) ช่วง 9 เดือนแรกปีนี้สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว หรือเป็น บจ.ที่จะต้องใช้เงินลงทุนปี 2556 สูง จึงมีความต้องการเก็บเงินสดไว้เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และเงินลงทุนซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่ากิจการ และผลตอบแทนผู้ถือหุ้นในอนาคต ส่วนเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมรองลงมาคือ การออกใบสำคัญแสดงสิทธิฯ (Warrant) และการออกใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ให้กรรมการ ผู้บริหาร พนักงานบริษัท (ESOP Warrant)
สำหรับเครื่องมือทางการเงิน ที่มีเทรนด์เพิ่มขึ้นต่อเนื่องคือ โครงการสะสมหุ้นสำหรับพนักงานบริษัทจดทะเบียน (EJIP) โครงการ EJIP เป็นรูปแบบหนึ่งของการให้ผลตอบแทนแก่พนักงาน ผู้บริหาร และกรรมการของบริษัท และเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับ บจ. ต่างๆ ในการใช้เป็นเครื่องมือสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน และสร้างความรู้สึกมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ (Ownership) และรักษาบุคลากรให้ร่วมทำงานกับบริษัทในระยะยาว (Long-term Incentives) ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ราคาหุ้น และส่วนของผู้ถือหุ้นให้มากขึ้น ปีนี้มี บจ. ขนาดเล็กถึงใหญ่ใช้เครื่องมือดังกล่าวรวม 8 บริษัท จากปี 2552 และ 2553 ปีละ 4 บริษัท และปี 2554 มี 5 บริษัท
“ความคล่องตัวในการระดมทุน และใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อเพิ่มมูลค่ากิจการ นับเป็นข้อได้เปรียบ และช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับบริษัททีจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์” น.ส.ปวีณากล่าวทิ้งท้าย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 ธันวาคม 2555
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผย ปี 55 บจ. ระดมทุนผ่านตลาดหุ้นไทยกว่า 2.6 แสนล้านบาท ด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงิน 116 รายการ การระดมทุนของ บจ. ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน และหนุนให้ธุรกิจขยายตัวได้อย่างมั่นคง และต่อเนื่อองในอนาคต
น.ส.ปวีณา ศรีโพธิทอง ผู้ช่วยผู้จัดการ กลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยยอดการระดมทุน (ไม่รวม IPO) ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (27 ธ.ค.55) มีมูลค่ารวม 262,765 ล้านบาท สูงสุดรอบ 10 ปี โดย บจ. ที่ระดมทุนเพิ่มมีทั้งหมด 154 บริษัท เป็น บจ. ใน SET 119 บริษัท (237,346 ล้านบาท) mai 35 บริษัท (10,808 ล้านบาท) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อีก 5 กองทุน (14,611 ล้านบาท) หากดูยอดการระดมทุนแยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า กลุ่มทรัพยากรมียอดระดมทุนสูงสุด 93,986 ล้านบาท
สาเหตุหลักมาจากการระดมทุนของ PTTEP 92,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นการระดมทุนที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตามด้วยกลุ่มธุรกิจการเงิน 56,229 ลบ.โดยเป็นการระดมทุนของ KTB 35,234 ลบ. และกลุ่มบริการ 32,917 ลบ. ทั้ง 13 กลุ่มอุตสาหกรรมมียอดระดมทุนคิดเป็น 70% ของมูลค่าทั้งหมด
“การระดมทุนของ บจ. จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน และยังช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจขยายตัวได้อย่างมั่นคง และต่อเนื่อองในอนาคต นอกจากนี้ การระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนที่เป็นรัฐวิสาหกิจรวมถึงบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจในปีนี้มีมูลค่าสูงถึง 127,660 ล้านบาท คิดเป็น 49% ของมูลค่าทั้งหมด ชี้ให้เห็นว่าตลาดทุนไทยมีบทบาทมากขึ้น ในการเป็นแหล่งเงินทุนให้รัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์” น.ส.ปวีณากล่าว
ยอดระดมทุนที่สูงปีนี้สอดคล้องกับดัชนี SET และ mai ที่เพิ่มขึ้นมากจากปี 2554 ค่า P/E ในระดับที่ดี และสภาพคล่องการซื้อขายหลักทรัพย์ที่สูง ทำให้ บจ. ระดมทุนได้ราคาดี ไม่ต้องเพิ่มทุนด้วยการออกหุ้นจำนวนมาก (ลด Dilution Effect) เหมือนช่วงตลาดซบเซา โดยดัชนี SET ล่าสุดปิดที 1,397.19 จุด (สูงสุดรอบ 16 ปี 10 เดือน) เพิ่มขึ้น 36.27% มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 31,070 ล้านบาท เพิ่้มขึ้น 6.83% เป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่มีการซื้ออขาย ค่า P/E เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 15.88 เท่า ส่วนดัชนี mai ปิดที่ 415.89 จุด (สูงสุดเป็นประวัติการณ์) เพิ่มขึ้น1 57.40% มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 1,219 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 96.73% เป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่มีการซื้อขายเช่นกัน ค่า P/E เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 19.36 เท่า
“ในช่วงที่้ภาวะตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น ถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการขออนุมัติจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีในช่วงต้นปีหน้า การขอ General Mandate ช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลา ทำให้บริษัทเพิ่มทุนได้ทันตามความต้องการ ในขณะเดียวกัน ยังคงหลักการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ปีนี้มี บจ. ที่ขอ General Mandate รวม 19 บริษัท จากปีก่อนที่มี 3 บริษัท” น.ส.ปวีณากล่าวเสริม
ด้านการใช้เครื่องมือทางการเงิน ปีนี้มี บจ. 87 บริษัท ใช้เครื่องมือทางการเงินรวม 116 รายการ เครื่องมือที่ บจ. ใช้มากที่สุดคือ การจ่ายหุ้นปันผล มี 35 บริษัท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่เครื่องมือดังกล่าวได้รับความนิยมสูงสุด ทั้งนี้พบว่า บจ. ที่จ่ายหุ้นปันผลโดยส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดกลาง และเล็กทีมีกระแสเงินสดจ่ายในการซื้อที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ (CAPEX) ช่วง 9 เดือนแรกปีนี้สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว หรือเป็น บจ.ที่จะต้องใช้เงินลงทุนปี 2556 สูง จึงมีความต้องการเก็บเงินสดไว้เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และเงินลงทุนซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่ากิจการ และผลตอบแทนผู้ถือหุ้นในอนาคต ส่วนเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมรองลงมาคือ การออกใบสำคัญแสดงสิทธิฯ (Warrant) และการออกใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ให้กรรมการ ผู้บริหาร พนักงานบริษัท (ESOP Warrant)
สำหรับเครื่องมือทางการเงิน ที่มีเทรนด์เพิ่มขึ้นต่อเนื่องคือ โครงการสะสมหุ้นสำหรับพนักงานบริษัทจดทะเบียน (EJIP) โครงการ EJIP เป็นรูปแบบหนึ่งของการให้ผลตอบแทนแก่พนักงาน ผู้บริหาร และกรรมการของบริษัท และเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับ บจ. ต่างๆ ในการใช้เป็นเครื่องมือสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน และสร้างความรู้สึกมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ (Ownership) และรักษาบุคลากรให้ร่วมทำงานกับบริษัทในระยะยาว (Long-term Incentives) ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ราคาหุ้น และส่วนของผู้ถือหุ้นให้มากขึ้น ปีนี้มี บจ. ขนาดเล็กถึงใหญ่ใช้เครื่องมือดังกล่าวรวม 8 บริษัท จากปี 2552 และ 2553 ปีละ 4 บริษัท และปี 2554 มี 5 บริษัท
“ความคล่องตัวในการระดมทุน และใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อเพิ่มมูลค่ากิจการ นับเป็นข้อได้เปรียบ และช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับบริษัททีจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์” น.ส.ปวีณากล่าวทิ้งท้าย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 ธันวาคม 2555
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1691
ตลท.เตือนลงทุนหุ้นพีอีสูง
ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ เตือนนักลงทุนลงทุนระมัดระวังการลงทุน พิจารณาการลงทุนจากปัจจัยพื้นฐาน หลังจากดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นแตะ 1.4 พันจุด หุ้นหลายบริษัท P/E สูงกว่า 40 เท่า เผยเหตุดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้พุ่งปิดเกือบ 15 จุด เหตุแรงซื้อนักลงทุนสถาบันทั้งใน และต่างประเทศหนุน เนื่องจากการปรับพอร์ตเพื่อปิดสถานะซื้อขายสัญญาล่วงหน้าที่หมดอายุสิ้นไตรมาส
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแตะที่ 1,400 จุด เพิ่มขึ้น 36.57% จากสิ้นปีก่อนที่ดัชนี 1,025.32 จุด ค่า P/E ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงซึ่งถือว่าเต็มมูลค่าแล้ว โดยสาเหตุเนื่องจากเม็ดเงินสภาพคล่องในตลาดโลกขณะนี้มีอยู่จำนวนมากไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียจากที่ให้ผลตอบแทนที่สูง ซึ่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย แต่จากที่ปัจจุบันที่ค่า P/E ตลาดหุ้นไทยขึ้นสูงอยู่ในระดับใกล้เคียงจากภูมิภาคแล้วนั้น ซึ่งการลงทุนจากนี้นักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุนจากเม็ดเงินต่างประเทศจะมีการไหลเข้าออกเร็ว จึงต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ การที่ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) หลายแห่งปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ค่า P/E สูงกว่า 40 เท่านั้น แสดงว่า บจ.จะต้องมีกำไรเติบโตปีละ 30-40% โดยการเข้าไปลงทุนนั้นนักลงทุนต้องประเมินว่า บจ.นั้นสามารถที่จะทำได้หรือไม่ โดยจะต้องมีการสอบถามข้อมูลจากนักวิเคราะห์ และผู้แนะนำในการลงทุน และต้องระมัดระวังการลงทุน เพราะราคาหุ้นได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงแล้ว
“การตัดสินใจในการลงทุนจากนี้นักลงทุนต้องพิจารณาการลงทุนจากปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งเมื่อต้นปีดัชนี 1,036 จุด นั้น การที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจากการที่ บจ.มีกำไรเกิจโตดี มีพื้นฐานรองรับ แต่ดัชนีที่ขึ้นมาแตะ 1,400 จุดนั้น มีค่า P/E ที่เต็มมูลค่าแล้ว และอีกเรื่องที่ ผมไม่สบายใจคือ หุ้นหลายบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง P/E เกิน 40 เท่าแล้ว ซึ่งการเข้าลงทุนนักลงทุนต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ ต้องมีการสอบถามนักวิเคราะห์ เจ้าหน้าที่การตลาด และผู้รู้ เพราะการที่ P/E สูงนั้นแสดงว่า บริษัทจะต้องมีกำไรเติบโตที่สูงเช่นกัน” นายจรัมพรกล่าว
นายจรัมพร กล่าวถึงสาเหตุที่ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) เมื่อวานนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2555) ปิดปรับตัวสูงขึ้นกว่าตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค โดยปิดปรับเพิ่มขึ้น 1.08% หรือ 14.96 จุด อยู่ที่ 1,397.19 จุดนั้น ปัจจัยสำคัญมาจากแรงซื้อจากผู้ลงทุนสถาบันทั้งใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ ประเภทกองทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (Long-Term Equity Fund: LTF และ Retirement Mutual Fund: RMF) ซึ่งวานนี้มีผู้ลงทุนสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิ 2,342 ล้านบาท ขณะที่ผู้ลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,544 ล้านบาท นอกจากนี้ แรงซื้อยังเป็นผลมาจากการปรับพอร์ตการลงทุนของผู้ลงทุนสถาบันทั้งใน และต่างประเทศเพื่อปิดสถานะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าที่หมดอายุลงในช่วงสิ้นไตรมาสนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการซื้อขาย และติดตามข้อมูลสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อการซื้อขาย เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 ธันวาคม 2555
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1692
“อิมแพ็ค” เผยยอดจัดเลี้ยงปลายปีถึงต้นปีหน้า 115 งาน
อิมแพ็คปลื้มยอดจองจัดงานเลี้ยงช่วงปลายปีต่อเนื่องต้นปีหน้ากว่า 100 งาน รวมงานเลี้ยงสังสรรค์ ปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ขององค์กร หน่วยงานภาครัฐ และบริษัทเอกชน งานแต่งงาน ทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ โดยใช้พื้นที่จัดงานและบริการ อิมแพ็ค แคเทอริ่ง อย่างต่อเนื่อง ชี้ยอดจัดงานสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 10% เป็นผลจากเหตุน้ำท่วมใหญ่ปลายปี คาดรายได้จัดเลี้ยงปีนี้ 85% หนุนรายได้เป็นไปตามเป้า 350 ล้านบาท
นายพอลล์ กาญจนพาสน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี เปิดเผยว่า ภายหลังจากอิมแพ็คได้เปิดตัวอิมแพ็ค แคเทอริ่ง หรือบริการด้านการจัดเลี้ยงที่ครบวงจรเมื่อปีที่ผ่านมา ถือว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดีมีลูกค้าให้การตอบรับและไว้วางใจใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มลูกค้าหน่วยงาน องค์กร ภาครัฐ และกลุ่มบริษัทเอกชนที่ใช้บริการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปี รวมไปถึงลูกค้ากลุ่มจัดงานแต่งงาน
สำหรับช่วงส่งท้ายปลายปีนี้ต่อเนื่องต้นปีใหม่ 2556 อิมแพ็ค แคเทอริ่ง มียอดจองบริการรวมกว่า 115 งาน นับจากเดือนพฤศจิกายน 2555 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2556 โดยแบ่งเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ ปาร์ตี้ขององค์กร หน่วยงานภาครัฐ และบริษัทเอกชนรวม 73 งาน และงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรส งานวิวาห์หรือแต่งงาน รวม 42 งาน ซึ่งเป็นการจัดงานทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ แขกร่วมงานตั้งแต่หลักสิบ ร้อย พัน หมื่น เริ่มตั้งแต่ 80 ท่าน จนถึง 10,000 ท่าน โดยใช้พื้นที่ห้องจัดเลี้ยงต่างๆ เช่น ห้องจูปิเตอร์ ห้องฟินิกซ์ ห้องแซปไฟร์ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม ห้องรอยัล จูบิลี บอลรูม พื้นที่อาคารชาลเลนเจอร์ อาคารศูนย์แสดงสินค้า และรวมไปถึงลานกิจกรรมกลางแจ้งริมทะเลสาบเมืองทองธานี
ด้วยอิมแพ็ค แคเทอริ่ง มีความโดดเด่นด้านการบริการ เช่น ความสมบูรณ์แบบของทีมงานที่เป็นมืออาชีพ ตั้งแต่การให้คำปรึกษาเรื่องการจัดงานอย่างคุณภาพและต้องมอบความประทับใจสูงสุดภายใต้งบประมาณที่ลูกค้ากำหนดได้เอง บริการอาหารและเครื่องดื่มรสชาติเยี่ยมโดยทีมเชฟมากประสบการณ์การันตีจากการแข่งขันระดับนานาชาติที่สามารถปรุงอาหารได้หลากหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบงานเลี้ยงแบบนานาชาติ จีน อินเดีย ไทย หรือรูปแบบค็อกเทลกว่า 3,200 เมนู รวมถึงทีมตกแต่งสถานที่ สามารถเนรมิตสถานที่ ดอกไม้ การแกะสลักน้ำแข็ง การแต่งหน้าเค้ก ตลอดจนความสะดวกสบายในการเดินทาง ความพร้อมของสถานที่ พื้นที่จอดรถที่สามารถรองรับได้มากกว่า 15,000 คัน จึงทำให้ลูกค้าเลือกจัดงานปาร์ตี้ งานเลี้ยงสังสรรค์ และงานแต่งงานอย่างต่อเนื่อง
“ยอดการจัดงานเลี้ยงส่งท้ายปีนี้ถือว่ามีจำนวนมากเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 10% (ด้วยมีงานแต่งงาน 55 งาน และงานปาร์ตี้ 48 งาน) น่าจะมาจากสภาวการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ ของไทยปีนี้ดีขึ้น ต่างจากปีที่ผ่านมาซึ่งช่วงปลายปีต้องประสบอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมาก ทำให้หลายๆ บริษัทชะลอการจัดงานและมาจัดยิ่งใหญ่ในปีนี้แทน”
อย่างไรก็ตาม จากยอดจองจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ช่วงปลายปีต่อเนื่องต้นปีจำนวนมาก คาดจะส่งผลให้อิมแพ็คมีรายได้จากธุรกิจด้านบริการอาหารและเครื่องดื่มปีงบประมาณนี้ (สิ้นสุดมีนาคม 2556) รวมประมาณ 350 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากบริการจัดเลี้ยง 85% หรือประมาณ 300 ล้านบาท บริการอาหารฟาสต์ฟูด 12% หรือ 40 ล้านบาท บริการจัดเลี้ยงนอกพื้นที่หรือเอาต์ไซต์ แคเทอริ่ง 2% ประมาณ 4.6 ล้านบาท และบริการอาหารกล่อง 1% หรือประมาณ 3.5 ล้านบาท
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 ธันวาคม 2555
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1693
นายปกรณ์ บริมาสพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้าและอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ ของไทย และภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมที่จะเดินหน้าขยายฐานตลาดหลอด LED ประหยัดพลังงานอย่างเต็มตัว ทั้งตลาดค้าส่ง ค้าปลีก และลูกค้าองค์กร หลังจากพบว่าสินค้าในกลุ่มดังกล่าวกำลังได้รับการตอบรับจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอย่างดี
ทั้งนี้เนื่องจากเป็นนวัตกรรมไฟฟ้าแสงสว่างล่าสุด และสามารถประหยัดพลังงานได้มากที่สุด สามารถรองรับกับความต้องการของลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี ประกอบกับบริษัทมีความพร้อมทั้งโรงงาน
การผลิต เทคโนโลยี รวมทั้งบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ โดยได้สร้างโรงงานผลิตสินค้า LED ขึ้น ตั้งแต่ปีเมื่อ 2553 ซึ่งเป็นโรงงานแรกที่ผลิตหลอด LED ในไทย และพัฒนาสินค้าลงสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง จนสามารถรองรับได้ทุกความต้องการของลูกค้า
“ปัจจุบันเทคโนโลยีของหลอดไฟ LED ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ประสิทธิภาพหลอดไฟเพิ่มสูงขึ้น และราคาปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สินค้า LED ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และผู้ประกอบการ รวมทั้งสถาบันต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไฟฟ้าแสงสว่าง คาดกันว่าภายในปี 2559 สินค้า LED จะมีส่วนแบ่งตลาดถึง 45% ของตลาดสินค้าไฟฟ้าแสงสว่างทั้งหมด ซึ่งหมายถึงโอกาสการเติบโตของธุรกิจผลิตและจำหน่ายหลอด LED ซึ่งบริษัทในฐานะผู้นำในธุรกิจ เล็งเห็นถึงโอกาสดังกล่าว และพร้อมจะรองรับกับทุกความต้องการของลูกค้า” นายปกรณ์ กล่าว
นายปกรณ์กล่าวว่า บริษัทมุ่งพัฒนาสินค้าให้สอดรับกับทุกความต้องการของลูกค้า ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น ในราคาที่สมเหตุสมผล เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลโลกและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้บริษัทกำลังจะสร้างโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 2557 เพื่อรองรับกับการเติบโตที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
โดยปัจจุบันองค์กรขนาดใหญ่ได้เข้ามาให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการเปลี่ยนหลอดไฟมาใช้หลอด LED ที่ประหยัดพลังงานได้อย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนหันมาสนใจการประหยัดพลังงานด้วยการหันมาใช้หลอดประหยัดไฟกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งนอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าแสงสว่างแล้ว ยังสามารถช่วยรัฐลดการลงทุนด้านโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าได้อีกทางหนึ่งรวมถึงการลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย
“บริษัทมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมากด้านการผลิต จะทำให้สามารถขยายตลาดได้อย่างคล่องตัวในทุกกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งหลังจากนี้บริษัทมีเป้าหมายจะขยายฐานลูกค้าให้กว้างขวางขึ้น ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ซึ่งในปี 2555 และภายใน 3-5 ปีข้างหน้าบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของยอดขายเฉลี่ยปีละ 15-20%” นายปกรณ์ กล่าว
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1695
สรุปข่าววันที่ 28 ธ.ค.2555 เวลา 06.00 น.-18.00 น.
สื่อสภาตั้งฉายาสภาผู้แทนราษฎร "จองล้าง จ้องผลาญ" ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดน"ค้อนน้อยหมวกแดง "ประธานวุฒิสภา "ผลัดไม้สุดท้าย" ส่วนดาวเด่น "วิสุทธิ์ ไชยณรุณ" ขณะที่นายกฯปู ยื่นใบลา พาครอบครัวไปฉลองปีใหม่ต่างประเทศ คาดไปฮ่องกง กลับไทย 30 ธ.ค. ด้าน"นพดล "ยันนายกฯไม่ได้พบ "ทักษิณ" เห็นด้วยกับ "พล.อ.เปรม" ที่คนสามารถคิดต่างกันได้ แต่ไม่ใช่ศัตรู...
http://www.thairath.co.th/content/region/316656
โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
28 ธันวาคม 2555, 18:10 น.
สื่อสภาตั้งฉายาสภาผู้แทนราษฎร "จองล้าง จ้องผลาญ" ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดน"ค้อนน้อยหมวกแดง "ประธานวุฒิสภา "ผลัดไม้สุดท้าย" ส่วนดาวเด่น "วิสุทธิ์ ไชยณรุณ" ขณะที่นายกฯปู ยื่นใบลา พาครอบครัวไปฉลองปีใหม่ต่างประเทศ คาดไปฮ่องกง กลับไทย 30 ธ.ค. ด้าน"นพดล "ยันนายกฯไม่ได้พบ "ทักษิณ" เห็นด้วยกับ "พล.อ.เปรม" ที่คนสามารถคิดต่างกันได้ แต่ไม่ใช่ศัตรู...
http://www.thairath.co.th/content/region/316656
โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
28 ธันวาคม 2555, 18:10 น.
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1697
HotNews:12 เสือประกาศแผนปีมะเส็ง
ฤกษ์งามยามดีวันสบาย ๆ ส่งท้ายปีมังกรทอง ทีมข่าว www.HoonInside.com รวบรวมแผนธุรกิจ 12 เสือ12 ธุรกิจประกาศแผนปีมะเส็ง นำโดยเสือ UAC-NUSA-WHA-EARTH-BEAUTY-KBS-GUNKUL-FPI-PJW-UIC-ARROW-TMC ขอเชิญนักลงทุนสัมผัสกับเนื้อหาที่น่าสนใจได้ดังนี้
นายกิตติ ชีวะเกตุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลล์ จำกัด (มหาชน) UAC กล่าวว่าบริษัทฯ คาดกำไรปี 2556 โต 25-30% จากปีนี้ โดยเติบโตไปในทิศทางเดียวกับรายได้ ซึ่งในปี 2556 จะมีการรับรู้รายได้โครงการผลิตก๊าซชีวภาพอัดความดันสูงจากมูลสุกรและพืชพลังงาน หรือ CBG จังหวัดเชียงใหม่ที่จะมีกำลังการผลิต และรับรู้รายได้อย่างเต็มที่ประมาณ50- 60 ล้านบาท ประกอบกับโครงการ PPP (Petroleum Product Production) คาดการณ์รายได้ไว้ที่ 130-140 ล้านบาท โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรกและพร้อมรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/2556
นายกิตติ กล่าวเสริมว่า พลังงานทดแทนยังคงเป็นโอกาสให้กับบริษัทฯ เพื่อจะต่อยอดในเรื่องของรายได้ และธุรกิจ เนื่องจากบริษัทฯเชื่อว่า Knowhow และความเชี่ยวชาญของ UAC สามารถมองหาวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนได้อีกจำนวนมาก ด้วยการวิจัย และสำรวจอย่างสม่ำเสมอ ประกอบกับการสนับสนุนของรัฐที่เปิดโอกาสให้พลังงานทดแทนเข้ามามีบทบาทที่จะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ น่าจะส่งผลให้ในอนาคตบริษัทฯจะมีรายได้ด้านพลังงานในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
ส่วนในปี 2555 บริษัทฯ คาดมีกำไรละทุเป้า โดยคาดจะมีกำไรอยู่ที่ 130 ล้านบาท ทำได้เกินเป้าหมายที่จะเติบโตขึ้น 15% หลัง 9 เดือน บริษัทฯ มีกำไร 103 ล้านบาท เป็นผลมาจากการขายและบริการที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับ ราคาปิโตรเคมีในตลาดโลกการปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ขณะที่ในไตรมาส 4/55 บริษัทฯ คาดว่าจะมีกำไรใกล้เคียงกับไตรมาส 3/55 ที่มีกำไร 30 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้อัตราการเติบโตของกำไรปีนี้เติบโตขึ้น 15% จากปีก่อน
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดรายได้ในปี 2555 ของบริษัทฯ อาจจะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ที่ 1,000 ล้านบาท เนื่องจากเกิดปัญหาการขนส่งสินค้าที่มีความล่าช้า แต่ก็ยังเชื่อว่าจะยังมียอดขายมากกว่าปีก่อนและรายได้อยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงกับเป้าหมายมากที่สุด
นอกจากนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดการสร้างโรงไฟฟ้าร่วมกับ บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)หรือ QTC และพันธมิตรรายอื่น โดยเป็นโรงไฟฟ้าขนาด 10เมกะวัตต์ โดยใช้เชื้อเพลิงแบบผสมที่จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 1 ปีหน้า
นายกิตติ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มีหลายโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องจากปีนี้ พร้อมรับรู้รายได้ไม่ว่าจะเป็นโครงการผลิตก๊าซชีวภาพอัดความดันสูงจากมูลสุกรและพืชพลังงาน หรือ CBG จังหวัดเชียงใหม่ที่จะมีกำลังการผลิต และรับรู้รายได้อย่างเต็มที่ประมาณ 50- 60 ล้านบาท/โครงการ ประกอบกับโครงการ PPP (Petroleum Product Production) จังหวัดสุโขทัย ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรก และพร้อมรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/56 โดยเบื้องต้นคาดการณ์รายได้ไว้ที่ 130-140 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการ คาดว่าจะ Breakevent ได้ภายใน 5 ปี
อีกทั้งบริษัทฯได้เตรียมการก่อสร้างโครงการ CBG อีก 16 โครงการ โดย 10 โครงการจะยังคงพื้นที่ในเขตภาคเหนือใน เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน ส่วนอีก 6 โครงการ บริษัทฯจะร่วมลงทุนกับพันธมิตรในเขตพื้นที่จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดเลย ซึ่งเงินลงทุนในโครงการ CBG นั้นส่วนหนึ่ง มาจากการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ RO จำนวน 100 ล้านบาท ที่ได้ให้ผู้ถือหุ้นเดิมซื้อหุ้นในปลายเดือนพ.ย. ประกอบกับเงินเพิ่มทุนแบบ PO อีกกว่า 100 ล้านบาท และการออกวอร์แรนต์ ในต้นปีหน้า ส่วนเงินลงทุนที่เหลือจะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม ในแต่ละโครงการทางบริษัทฯยังได้รับการสนับสนุนจากสำนักนโยบายและแผนพลังงานแห่งชาติประมาณ 10% ตามนโยบายสนับสนุนด้านพลังงานทดแทน
นายวิษณุ เทพเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA เปิดเผยว่าบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตแบบก้าวกระโดดในปีหน้า มั่นใจรายได้แตะ 4,000 ล้านบาทจากปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ 3,000 ล้านบาท มาจากการรับรู้รายได้จากโครงการที่เปิดอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้มีแผนรับรู้รายได้ราว 1,000 ล้านบาท และมี Backlog ในปีนี้อยู่ที่ 3 พันล้านบาท จากการเปิดโครงการเพิ่มปลายปี 2 โครงการ ได้แก่ Hotel D'Acqua ที่พัทยา มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท และ My Ozone ที่เขาใหญ่ มูลค่า 6,000 ล้านบาท และอาจมีอีกโครงการตามมาคือ Nusa Cheevani ที่พัทยา มูลค่าโครงการ 3,900 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดจะเปิดต่อเนื่องกันทั้งปลายปีนี้และในปีหน้ามีแผนเปิดโครงการต่อเนื่อง ได้แก่ Nusa Lake Como ที่พระราม2 มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท และ Nusa Cheevani ที่พระราม2 มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ในปี 2556 บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 14,100 ล้านบาท โดยประกอบด้วย Nusa Cheevani @ Rama2 มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ,Nusa Greenery @Rama2 มูลค่า 2,100 ล้านบาท, Nusa Lake Como@ Rama 2 มูลค่า 1,500 ล้านบาท ,Hotel D' Acqua @Pattaya โครงการ 5,000 ล้านบาท ,Nusa Cheevani @Pattaya มูลค่า 3,900 ล้านบาท และ Nusa Water Land @Pattaya พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่แกะกล่อง My Ozone หมู่บ้านสุขภาพแห่งแรกของไทย และ Hotel d’Acqua โรงแรม 5 ดาวระดับโลก
อีกทั้งบริษัทฯ วางเม็ดเงินลงทุนในปีหน้าราว 5,000 - 6,000 ล้านบาทในการลงทุนขยายโครงการ 2 - 3 โครงการ ดังกล่าว ซึ่งมูลค่ารวมของโครงการทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท จะทยอยรับรูรายได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี2556 เป็นต้นไป
ส่วนการเพิ่มทุนผู้ถือหุ้นได้มีการอนุมัติการเพิ่มทุนแล้ว 600 ล้านบาทในปีนี้แบ่งเป็น Private Pacement (PP) 400 ล้านบาท และบุคคลทั่วไปอีก 200 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินลงทุนนี้จะนำไปทยอยใช้ตามความจำเป็นส่วนปีหน้าบริษัทฯ ยังไม่มีแผนในการเพิ่มทุน
สำหรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน (AEC) บริษัทฯ มองว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย มีราคาถูกที่สุดในภูมิภาค รวมทั้งประเทศไทยมีศักยภาพที่ตอบโจทย์นักลงทุนในต่างชาติให้เข้ามาลงทุน และจะส่งผลให้บริษัทฯมีโอกาสในการเติบโตจากการดำเนินธุรกิจที่อยู่อาศัยได้
นายแพทย์สมยศ อนันตประยูร ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ผู้นำด้าน Built to Suit คลังสินค้า - ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานระดับพรีเมี่ยม กล่าวกับ www.HoonInside.com ว่าปี 2556 บริษัทฯ ตั้งเป้าพื้นที่เช่าโต30% จากปีนี้ และตั้งเป้าว่าจะขยายพื้นที่เช่าคลังสินค้าเพิ่มขึ้น 2.5-3 แสนตารางเมตร ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้เนื่องจากลูกค้าให้ความสนใจเช่าคลังสินค้าของบริษัทฯ สูงมาก ในขณะที่ปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะมีพื้นที่เช่าเกือบ6 แสนตารางเมตร
พร้อมทั้งคาดในปี2556 จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 30% จากปีนี้ที่คาดว่ามีรายได้ 2.2 พันล้านบาท เนื่องจากความต้องการคลังสินค้า-ศูนย์กระจายสินค้าระดับพรีเมี่ยมเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเชื่อว่าบริษัทฯ สามารถเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่คลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้ากับระบบโลจิสติกส์ได้ตรงโจทย์ความต้องการของลูกค้าในระดับสากลสูงสุด ในเรื่องการหาทำเลที่ตั้ง
นายแพทย์สมยศ กล่าวเพิ่มเติมว่า การไปให้ข้อมูล(โรดโชว์) กองทุน15 แห่งในประเทศสิงคโปร์เมื่อช่วงที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีจากกองทุน โดยกองทุนส่วนใหญ่ให้ความสนใจธุรกิจของบริษัทฯ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ70-80% เพราะบริษัทฯ ให้ข้อมูลที่ทำให้กองทุนในสิงคโปร์ เข้าใจโมเดลของบริษัทฯ มากขึ้น
อีกทั้งบริษัทฯ มีแผนที่จะไปโรดโชว์ที่ฮ่องกงในช่วงประมาณวันที่ 20 ของเดือนมกราคม 2556 ซึ่งจะไปกับบริษัทหลักทรัพย์ 2 แห่ง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้
พร้อมกันนี้ ไตรมาส4/2555 บริษัทฯ มีพื้นที่เช่าให้ลูกค้ามากขึ้นซึ่งทำให้แนวโน้มรายได้จะสะท้อนไปตามพื้นที่เช่าที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ มั่นใจผลการดำเนินงานในปี2555 มีแนวโน้มแตะระดับ 2.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 816% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 240 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯได้มีการขยายพื้นที่เช่าภายในปีนี้เป็น 5.4 แสนตารางเมตร ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทฯคาดการณ์ไว้ หลังงวด 9 เดือนของปี2555 บริษัทฯมีรายได้รวม 2,081.1 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 188.6 ล้านบาท โดยคาดว่าในช่วงไตรมาส4/2555 นี้ จะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายใหม่เกือบ 10 ราย ในการสร้างคลังสินค้าแบบ Built to Suit เบื้องต้นคาดว่าจะมีการใช้พื้นที่เช่า 4 - 5 หมื่นตารางเมตร/ราย โดยอาจจะมี 2 รายใหญ่ที่เซ็นสัญญาในช่วงปลายปีนี้ เป็นในส่วนของอุปโภคบริโภค,ส่วนของโรงงาน,ส่วนของอุตสาหกรรมเครื่องยนต์ และส่วนของHealth Care เป็นลูกค้าในโซนยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น รวมถึงบริษัทฯ ยังมีการร่วมลงทุนในประเทศมาเลเซียเป็นคลังสินค้าขนาด 4 หมื่นตารางเมตร อยู่ในกลุ่มอุปโภคบริโภค อีกทั้งยังมองว่าในอนาคตจะใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการขยายธุรกิจไปยังประเทศอินโดนีเซีย
นายแพทย์สมยศ กล่าวต่อว่า บริษัทฯเตรียมเดินหน้าขยายการลงทุนในปี2556 เพิ่ม มูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มคลังสิน 2-3 แสนตารางเมตร เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้ารายใหม่ 10 รายที่อยู่ในระหว่างการเจรจา เนื่องจากประเมินว่าความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้ารวมทั้งโรงงานระดับพรีเมี่ยมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทฯต่างประเทศที่มองว่าประเทศไทยยังคงเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หวังดันรายได้ในปีหน้าเพิ่ม 30%
ยังมีต่อ....
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1698
HotNews:12 เสือประกาศแผนปีมะเส็ง
นายขจรพงศ์ คำดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) (EARTH) เปิดเผยว่าบริษัทได้เตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินธุรกิจตามแผน 5 ปีข้างหน้า โดยตั้งเป้ามียอดขายถ่านหินอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท/ปี ที่มาจากเหมืองของ EARTH เอง เพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ด้วยการทยอยซื้อเหมืองแห่งใหม่เพิ่มรวมจำนวน 5 แห่ง เน้นเหมืองขนาดที่มีปริมาณสำรองถ่านหินประมาณ 40 ล้านตัน/เหมือง และแต่ละเหมืองจะมีกำลังการผลิตที่สามารถขุดได้ประมาณ 4 ล้านตัน/ ปี ซึ่งจะส่งผลทำให้ใน 5 ปีต่อจากนี้ EARTH จะมีปริมาณสำรองถ่านหินรวมทั้งสิ้นประมาณ 200 ล้านตัน และมีแหล่งถ่านหินสำรอง (Reserve) ที่จะรองรับความต้องการของลูกค้าได้นานถึง 10 ปี
สำหรับเงินลงทุนที่จะใช้ในการซื้อเหมือง เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท/เหมือง โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และร่วมลงทุนกับลูกค้า ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าต่อกันโดยไม่ต้องใช้เงิน (บาร์เตอร์เทรด) ทำให้บริษัทไม่ต้องใช้กระแสเงินสดในการซื้ออุปกรณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เจรจาในหลักการกับลูกค้าโรงไฟฟ้าประเทศจีนไว้แล้ว หรือวิธีอื่นตามคำแนะนำของที่ปรึกษาทางการเงิน ทั้งนี้บริษัทได้แต่งตั้งให้ บริษัท เคพีเอ็มจี ภูมิไชย ที่ปรึกษาธุรกิจ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการหาแหล่งเงินทุนทั้งหมด
“การซื้อเหมืองต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง ดังนั้นเราจึงวางแผนซื้อเหมืองปีละ 1 เหมือง ในเบื้องต้นคาดว่าน่าจะได้เห็นเหมืองแห่งที่ 3 ตามแผนที่กำหนดไว้ โดยขณะนี้ได้ส่งทีมงานเข้าไปทำการสำรวจและมีความคืบหน้าไปมากแล้ว”
เขากล่าวต่อถึงส่วนของปลายน้ำ จากเดิมที่จำหน่ายถ่านหินในลักษณะขายส่ง (Wholesale) ต่อไปจะเพิ่มสัดส่วนการขายปลีก (Retail) ในกลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไปให้มากขึ้น ทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีฐานลูกค้าที่หลากหลาย ถือเป็นการบริหารและกระจายความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น และเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่ถ่านหินที่ออกจากเหมืองของ EARTH เอง ซึ่งคาดว่าจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit) ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 30-40% จากปัจจุบันอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 20-25%
“ปัจจุบันบริษัทมีศักยภาพในการบริหารต้นทุนได้เป็นอย่างดี อันเนื่องมาจากเรามีเหมืองเป็นของตัวเองและเป็นการผลิตสำเร็จรูปจากเหมืองของเราเอง ซึ่งสามารถขนส่งตรงมายังท่าเรือและออกจากท่าเรือตรงไปยังลูกค้า จึงทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งเข้าโรงงาน มีผลให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าเข้าโรงงานและไม่มีต้นทุนการผลิตที่ซ้ำซ้อน ไม่มีฝุ่นเกิดขึ้นจากการผลิต ซึ่งจะทำให้ขายไม่ได้ราคา และไม่ต้องมีสต๊อกสินค้าในจำนวนที่มาก EARTH ไม่ได้หยุดแต่เพียงเท่านี้ เรามีแผนเจาะกลุ่มลูกค้าไปยังประเทศจีน อินโดนีเซีย อินเดีย และกัมพูชา ให้ครบ 5 ประเทศภายในระยะเวลา 5 ปี จึงทำให้เพิ่มมูลค่าถ่านหินได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเชื่อว่าจะส่งผลดีกับบริษัทอย่างต่อเนื่องในระยะยาว และนับจากนี้การดำเนินธุรกิจของ EARTH จะมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น” นายขจรพงศ์ กล่าวในที่สุด
ขณะที่ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นของ PT. Hary Niaga ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในประเทศอินโดนีเซีย และได้รับสัมปทาน ประเภท Izin Usaha Pertambanhan Eksplorasi (IUP Exploration) จากรัฐบาลอินโดนีเซีย ซึ่งบริษัทจะขอเข้าถือหุ้น ใน PT. Hary Niaga 100 % จากผู้ถือหุ้นเดิมของ PT. Hary Niaga ทั้งสิ้นไม่เกิน 3,694,800,000 บาท จากผู้ถือหุ้นของ PT. Hary Niaga ซึ่งมูลค่าหุ้นที่ซื้อคำนวณจากปริมาณสำรองถ่านหิน (Reserve) ไม่เกิน 40 ล้านตัน (คิดเป็นพื้นที่สัมปทานประมาณ 4,940 Hector หรือ 30,875 ไร่) บนพื้นที่อีสท์กาลิมันตัน ซึ่งคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้สรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ จำนวนไม่เกิน 454,464,945 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมของ PT. Hary Niaga ในราคาหุ้นละ 8.13 บาทด้วยวิธีการแลกหุ้น (Share swap)
"ในเบื้องต้นสำรวจพบปริมาณถ่านหินอยู่ประมาณ 30-40 ล้านตัน ส่วนปริมาณถ่านหินที่แน่นอนอย่างเป็นทางการบริษัทได้แต่งตั้งให้บริษัทผู้ประเมินอิสระเป็นผู้ตรวจอบความถูกต้องขั้นตอนสุดท้ายตามวิธีการ ที่ยอมรับทั่วไป JORC และคาดว่าจะได้รับรายงานได้ภายใน 4-6 เดือน หากปริมาณสำรองมีน้อยกว่า 30.0 ล้านตัน ผู้ขายจะจัดหาสัมปทานแปลงอื่นเพิ่มเติมให้มีปริมาณไม่น้อยกว่า 30.0 ล้านตัน ซึ่งการลงทุนซื้อเหมืองแห่งใหม่ในครั้งนี้ไม่ต้องลงทุนเป็นเงินสด เราใช้วิธีเพิ่มทุนเพื่อแลกกับการถือหุ้นร้อยละ100 ใน PT. Hary Niaga นอกจากจะเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินธุรกิจตามแผน 5 ปีข้างหน้าเพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งอย่างมีศักยภาพแล้ว ยังจะทำให้บริษัทมีแหล่งถ่านหินสำรองเพิ่มขึ้น สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้นานถึง 10 ปี และที่สำคัญเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่ถ่านหินที่ออกจากเหมืองของ EARTH เอง โดยคาดว่าจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit) ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 30-40% อย่างไรก็ตามบริษัทได้มีแผนที่จะเข้าซื้อสัมปทานจากผู้ขายรายเดิมในเหมืองถัดไป ซึ่งได้มีการเจรจาไว้ล่วงหน้าแล้ว เพื่อเป็นการรองรับ Mission ตามแผน 5 ปีข้างหน้าและในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการสร้างโรงไฟฟ้าในเหมืองถ่านหิน เพื่อจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับรัฐบาลประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นแผนในอนาคตในการต่อยอดธุรกิจ"นายขจรพงศ์กล่าว
นอกจากนี้คณะกรรมการยังได้มีมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 1,002,971,168 หุ้น รองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ รุ่นที่4 (EARTH-W4) ซึ่งจะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น ในอัตราส่วน 3 หุ้นสามัญเดิมต่อใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย โดยไม่คิดมูลค่า ทั้งนี้ใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้นในราคาหุ้นละ 8.13 บาท อายุ ไม่เกิน 2 ปี ซึ่งราคาในการแปลงวอร์แรนต์เป็นราคาเดียวกันกับที่บริษัทออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ PT. Hary Niaga และหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 14,948,317 หุ้น จัดสรรเพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิของบริษัท ครั้งที่ 3 (EARTH-W3) จากการปรับสิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิในอนาคต
เขากล่าวต่อว่า จากการเข้าลงทุนในครั้งนี้จะยิ่งทำให้ EARTH มีความมั่นคงทางธุรกิจถ่านหินมากขึ้น โดยการเป็นเจ้าของเหมืองถ่านหิน (Mining) ที่มีปริมาณสำรองของถ่านหินในปริมาณค่อนข้างสูง ซึ่งจะเป็นลดความเสี่ยงในด้านการจัดหาวัตถุดิบ และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวต่อบริษัท และยังช่วยเพิ่มรายได้ในระยะยาวเนื่องจากมีแหล่งวัตถุดิบเป็นของตนเองรวมถึงทำให้อัตรากำไรดีขึ้น ทำให้โครงสร้างเงินทุนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดย บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุนลดลง ที่สำคัญช่วยเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ในระยะยาวได้อีกด้วย
อนึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 5/2555 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2555 ได้มีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจากทุนจดทะเบียนเดิม 3,027,615,570 บาท ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 2,605,495,683 บาท ให้เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ไม่เกิน 4,500,000,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่เป็นจำนวนไม่เกิน 1,472,384,430 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)(BEAUTY) ผู้นำในธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เพื่อความงามประเภทเครื่องสำอางและบำรุงผิว ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ เปิดเผยว่ามีเป้าหมายที่จะสร้างอัตราการเติบโตเฉลี่ยให้อยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี ขณะที่บริษัทฯ คาดว่าปีนี้จะมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 20-21% และ อัตรากำไรขึ้นต้นประมาณ 70-71% อีกทั้งมีแผนจะขยายสาขาของ BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE ตลอดจนช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิว MADE IN NATURE ในร้านค้าปลีกขนาดใหญ่และโมเดิร์นเทรดให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงของกลุ่มลูกค้าและเพิ่มยอดขายให้กับผลิตภัณฑ์ทุกรูปแบบ โดยเบื้องต้นบริษัทตั้งเป้าขยายสาขาทั่วประเทศของ BEAUTY BUFFET จำนวน 180 สาขา และ BEAUTY COTTAGE จำนวน 50 สาขา
สิ้นปีนี้คาดว่าบิวตี้บุฟเฟต์จะมี 140 ร้าน/สาขา จากปัจจุบันอยู่ที่ 133 ร้าน/สาขา และปีหน้าจะเพิ่มเป็น 180 ร้าน/สาขา ส่วนบิวตี้ คอทเทจ สิ้นปีนี้จะมี 30-32 ร้าน/สาขา จากปัจจุบันอยู่ที่ 26 ร้าน/สาขา และจะเพิ่มเป็น 50 ร้าน/สาขาในปีหน้า
สำหรับการเข้าไปทำตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC จะใช้รูปแบบแฟรนไชส์ ในการทำตลาดในแต่ละประเทศ ซึ่งตอนนี้ก็มีการเจรจากับคู่ค้าแล้วหลายราย แต่คงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในตอนนี้ และปัจจุบันบริษัทฯ มีตัวแทนจำหน่ายสินค้าอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ตอนนี้กำลังจะมีการปรับรูปแบบจากตัวแทนเป็นแฟรนไชส์
ทั้งนี้ บริษัทมีความเชื่อมั่นว่า ผลิตภัณฑ์ของ บิวตี้ น่าจะได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากตลาด AEC ถือว่าผู้คนมีสภาพผิวและวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน
อีกทั้ง บริษัทฯ ได้วางเป้าหมายรักษาการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 20% ต่อปี และมีการขยายสาขาออกไปครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศ ทั้งนี้
นายแพทย์สุวิน กล่าวทิ้งท้ายว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเซ็นสัญญากับ บมจ.บิ๊กซี เพื่อที่จะจัดส่งสินค้าเมด อิน เนเจอร์ เข้าไปจัดจำหน่ายผ่านสาขาบิ๊กซี และยังมีแผนที่จะไปจัดจำหน่ายผ่านช่องทางร้านค้าปลีกขนาดใหญ่หรือโมเดิร์นเทรดเช่น TOP ซุปเปอร์มาร์เก็ต โลตัส ตรงจุดนี้เชื่อว่าจะสร้างรายได้ให้กับบิวตี้ จากปัจจุบันเมด อิน เนเจอร์ (MADE IN NATURE) มีสัดส่วนยอดขายประมาณ 0.44% ขณะที่ ร้านบิวตี้ บุฟเฟต์(BEAUTY BUFFET)มียอดขายประมาณ 88-89% และบิวตี้ คอทเทจ (BEAUTY COTTAGE) ประมาณ 10%
“การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในครั้งนี้ นอกจาก BEAUTY จะนำเงินระดมทุนไปใช้สำหรับการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังเป็นโอกาสสำคัญของบริษัทในการเสริมศักยภาพ ประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านต่างๆให้ดียิ่งขึ้น อาทิ ระบบการบริหารจัดการ การลดต้นทุน การเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ฯลฯ ซึ่งเรามั่นใจว่าการดำเนินงานดังกล่าว จะนำมาสู่การสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับบริษัทด้วยเช่นกัน”นายแพทย์สุวิน กล่าว
นายอิสสระ ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS กล่าวว่า ในปี 2557 จะได้เห็นการเติบโตของกำไรสุทธิของ KBS อย่างมีนัยสำคัญประมาณ 25-30% จากโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งดำเนินการผ่านบริษัทย่อยที่ KBS ถือหุ้น 99.99% กำลังการผลิต 35 เมกกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จ พร้อมขายไฟให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ได้ประมาณเดือนมกราคม 2557 โดยในขณะนี้ทุกอย่างยังสามารถเดินหน้าตามกำหนดการที่วางเอาไว้ ในขณะที่ปี 2556 ผลการดำเนินงานของ KBS จะกลับมาเติบโตได้ในระดับปกติ โดยมีอัตราการขยายตัว 10-15%
ส่วนปีนี้ เชื่อมั่นว่ารายได้และกำไรสุทธิของ KBS ในปี 2555 นี้ จะไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวมประมาณ 6,160 ล้านบาท และกำไรสุทธิมากกว่า 800 ล้านบาท แม้ว่าปริมาณการหีบอ้อยจะลดลงไปประมาณ 10% อยู่ที่ 2.5 ล้านตัน แต่บริษัทฯได้ปรับตัวโดยการเน้นไปผลิตน้ำตาลทรายขาวเพื่อการส่งออก และราคาขายต่างประเทศเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าปีก่อน โดยในปัจจุบัน KBS มีสัดส่วนการส่งออก 70% และขายในประเทศ 30%
พร้อมกันนี้ นายถกล ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทน้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2555 มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียน 100 ล้านหุ้น แบ่งเป็นการจัดสรรให้กับบุคคลในวงจำกัด (PP) และรองรับการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ์ (KBS-W1) ที่จะจัดสรรให้กับนักลงทุนกลุ่มดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย 1. บริษัท มิตซุย จำกัด ที่จะได้รับจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 33.33 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10.25 บาท และได้รับการจัดสรรวอร์แรนต์ 33.33 ล้านหน่วย ในราคาหน่วยละ 0.05 บาท 2. บริษัท มิตซุยชูการ์ จำกัด ที่จะได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 16.67 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10.25 บาท และได้รับการจัดสรรวอร์แรนต์ 16.67 ล้านหน่วย ซึ่งจะทำให้กลุ่มมิตซุย เข้าถือหุ้นใน KBS เบื้องต้น 9.1% ก่อนจะเพิ่มเป็น 16.7% ภายหลังจากการแปลงสภาพวอร์แรนต์ทั้งหมด โดย KBS-W1 มีอายุ 2 ปี อัตราการใช้สิทธิ 1 ต่อ 1 และราคาใช้สิทธิ์ 12.70 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้คณะกรรมการได้กำหนดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อขอมติในเรื่องดังกล่าว ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าร่วมประชุม (Record date) คือวันที่ 9 มกราคม 2556 และวันปิดสมุดทะเบียนเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิเข้าร่วมประชุม ในวันที่ 10 มกราคม 2556 ซึ่งบริษัทคาดว่าจะเสนอขายหลักทรัพย์โดยเฉพาะเจาะจงให้แก่ บริษัท มิตซุย จำกัด และบริษัทมิตซุยชูการ์ จำกัดได้ ภายใน 14 วัน หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมัติ
นายถกล ยังได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์การเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อหาพันธมิตรทางธุรกิจรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดโลก ซึ่งการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับกลุ่มมิตซุยจะทำให้บริษัทฯได้รับประโยชน์ในด้านต่างๆ ทั้งในส่วนของความช่วยเหลือทางเทคนิคด้านการผลิตและการดำเนินงาน ความร่วมมือด้านการตลาดในการจำหน่ายน้ำตาลคุณภาพสูงในตลาดต่างประเทศ และความร่วมมือพัฒนาการดำเนินงานระหว่าง KBS กับบริษัทในเครือของกลุ่มมิตซุยในประเทศไทย ซึ่งเชื่อมั่นว่าผลจากการร่วมทุนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ มีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในอนาคต
"คณะกรรมการได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เห็นว่าการเพิ่มทุนให้กับกลุ่มมิตซุย ซึ่งเป็นบริษัทน้ำตาลชั้นนำในญี่ปุ่น และยังมีธุรกิจอีกมากมายในระดับโลก จะเป็นการช่วยเสริมศักยภาพของ KBS ในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยในสัญญาการร่วมมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ กลุ่มมิตซุยจะเป็นผู้จัดหาน้ำตาลดิบให้กับบริษัทฯ และรับซื้อผลิตภัณฑ์จากบริษัทฯ พร้อมทั้งการทำตลาดในต่างประเทศ ผ่านทางช่องทางการค้าของมิตซุย รวมทั้งการร่วมกันพัฒนาเทคนิคด้านการผลิตน้ำตาลคุณภาพสูง เพื่อจัดจำหน่ายผ่านช่องทางการตลาดของกลุ่มมิตซุยต่อไป"นายถกล กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมิตซุย จำกัด เป็นบริษัทขนาดใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น ที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายประเภทในระดับโลกมานานกว่า 100 ปี โดยครอบคลุมธุรกิจทั้งในอุตสาหกรรมหนัก และอุตสาหกรรมเบาที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มแร่เหล็ก และโลหะ กลุ่มเครื่องจักรและโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มเคมี กลุ่มพลังงาน กลุ่มอาหารและค้าปลีก เป็นต้น โดยจากงบการเงินประจำปี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2012 มิตซุยมีรายได้รวมประมาณ 5,200 ล้านเยน
ส่วนมิตซุย ชูการ์ เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศญี่ปุ่นที่โตเกียวและโอซาก้า โดยเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับน้ำตาลในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเสนอขายน้ำตาลคุณภาพแก่ลูกค้ามิตซุย ชูการ์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า Spoon Brand ซึ่งเป็นแบรนด์ที่นิยมของชาวญี่ปุ่นมานานกว่า 50 ปี โดยจากงบการเงินประจำปี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2012 มิตซุย ชูการ์ มีรายได้รวมประมาณ 80,000 ล้านเยน
ยังมีต่อ......
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1699
HotNews:12 เสือประกาศแผนปีมะเส็ง
นายกัลกุล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริษัท บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) GUNKUL เปิดเผยว่า แผนงานในปี2556 บริษัทฯได้เป้าหมายการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยจะเจรจาหาสัมปทานที่ได้รับมี Adder สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ให้ได้อย่างน้อย 50 เมกะวัตต์และอาจได้เป็น 100 เมกะวัตต์ แอบซุ่มพันธมิตร รุกพลังงานลมใน สปป.ลาว หลังตั้งเสาวัดลมไปแล้วเกือบ 1 ปี งานนี้แจ้งเกิดก่อน พม่าหากเทพประทานให้ โดยบริษัทฯมีความพร้อมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแหล่งเงินทุน
ขณะที่นายสมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (GUNKUL) กล่าวว่าในส่วนของกำไรน่าจะมีการเติบโตในสัดส่วนที่สูงกว่าการเติบโตของรายได้ เนื่องจากมีอัตรากำไรจากธุรกิจพลังงานทดแทนที่เติบโตโดดเด่นประมาณ 40%และในอนาคตจะขยับขึ้นเป็น 70%ขณะที่ บริษัทฯได้วางงบลงทุน สำหรับปี 2556 ไว้ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมสนับสนุนด้านแหล่งเงินทุน สำหรับการลงทุนในด้านพลังงานทดแทน ปัจจุบันกัลกุล สามารถกู้ได้ 100% แถม ภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7% อย่างไรก็ตามคาดว่าสิ้นปีนี้ สัดส่วนหนี้สินต่อทุน จะอยู่ที่ประมาณ 1.8 เท่า จากปี2554 หนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 3.8:1
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่ารายได้ของ GUNKUL จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 4,300 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ประมาณ 1,500 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ไปจนถึงปี 2556 และยังคงเดินหน้ายื่นประมูลเพิ่มอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
"ประเด็นที่นักลงทุน กังวลเพิ่มทุนนั้น ขอให้ไว้วางไว้ใจได้ จะเป็นทางเลือกตัวสุดท้าย และหากมีการขายเงินลงทุน ก็เพื่อนำเงินสดไปลงทุนหรือขยายกิจการใหม่"นายสมบูรณ์กล่าว
อีกทั้ง ขณะนี้บริษัทฯได้มีการเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจ ที่ได้รับสัมปทานทำพลังงานลม ใน สปป.ลาว โดยจะเป็นรูปแบบของการร่วมลงทุน อาจถือหุ้นขั้นต่ำ 10-25% ปัจจุบันบริษัทแห่งนี้ ได้ตั้งเสาวัดลมแล้วเกือบ 1 ปีโดยคาดว่า โครงการ จะเสร็จก่อนที่พม่า
นอกจากนี้ บริษัทฯได้วางแผนภายใน 5 ปีนี้ ส่วนผู้ถือหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ล้านบาท จากสิ้นปีนี้ คาดว่าจะมีส่วนผู้ถือหุ้นเป็น 2,000 ล้านบาท ตรงจุดนี้ จะบ่งชี้ถึงความแข็งแร่งของงบการเงินของบริษัทฯได้เป็นอย่างดีและตนมีความเชื่อมั่นว่า แผนส่วนผู้ถือหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ล้านบาท จะทำได้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ บริษัทฯคาดว่า ปลายปีนี้ จะมีรายได้จากธุรกิจหญ้าเลี้ยงช้าง ประมาณ 50 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดลองปลูก 60 ไร่และจะมีการขยายพื้นที่ปลูกเป็น150 ไร่ จากนั้นก็จะปลูกเต็มพื้นที่กังหันลม 2,150 ไร่ โดยหญ้าเลี้ยงช้าง ถือว่า จะนำมาใช้เป็นพลังงานทดแทน
ขณะที่ ประมาณเดือนมกราคม 2556 บริษัทฯมีแผนจะไปโรด์โชว์หุ้น GUNKUL ที่ประเทศมาเลเซีย และจะมีการหารือกับบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต เพื่อที่จะไปโรดโชว์ที่ประเทศไต้หวัน ต่อไป หลังจากที่เคยพาGUNKUL ไปโรดโชว์ที่ฮ่องกง-สิงคโปร์ ปรากฎว่า ประสบความสำเร็จด้วยดี
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2556 ว่า บริษัทฯยังคงมุ่งเน้นผลักดันให้ผลการดำเนินงานในทุกภาคส่วนของธุรกิจที่บริษัทดำเนินการอยู่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2555 ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตในส่วนของอัตรากำไรสุทธิ หรือรายได้รวม โดยตั้งเป้ารายได้รวมในปี 2556 จะเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10% เป็นการเติบโตที่มาจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ดำเนินงานโดย บริษัท กันกุล พาวเวอร์เจน จำกัด (GPG) และ บริษัท จี-พาวเวอร์ ซอร์ซ จำกัด(GPS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย สามารถผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้ากำลังการผลิตรวม 56.9 เมกกะวัตต์ ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ครบทุกแห่งตั้งแต่ไตรมาส 1/2556 เป็นต้นไป อันจะส่งผลทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดในปีหน้า
“ต้นปี 2556 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้ครบทุกแห่ง ส่งผลทำให้รายได้รวมของบริษัทมีเสถียรภาพมากขึ้น เนื่องจากรายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะมีอัตรากำไรสุทธิประมาณ 35-40% ซึ่งถือเป็นอัตรากำไรสุทธิที่สูงกว่าการทำกำไรสุทธิจากธุรกิจเดิม ประกอบกับได้รับสนับสนุนจากค่า Adder ในอัตรา 8 บาท เป็นเวลาถึง 10 ปีจึงทำให้มีรายได้และกำไรที่มั่นคงตลอดระยะเวลาจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ กฟภ.” สมบูรณ์ กล่าว
นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจการจัดจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้า บริษัทตั้งเป้าการเติบโตภายในประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ในปี 2556 โดยยังคงเน้นจำหน่ายให้กับ กฟภ.ที่ยังมีความต้องการเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การขยายระบบสายส่งและอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ซึ่ง กฟภ.ต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อปรับปรุงระบบสายส่งให้มีเสถียรภาพ พร้อมกันนี้บริษัทยังเดินหน้าขยายการจำหน่ายอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องไปยังผู้รับเหมาเอกชนขนาดใหญ่และ Sub Contractor ต่างๆ หลังจากที่ภาครัฐส่งเสริมการสร้างสาธารณูปโภคประเภทโครงการขนส่งขนาดใหญ่ เช่น การก่อสร้างขยายสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินและลอยฟ้า เป็นต้น
สำหรับงานด้านต่างประเทศ GUNKUL อยู่ระหว่างศึกษาการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 1,000 เมกะวัตต์ ที่ประเทศพม่ากับกระทรวงพลังงานพม่า ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการศึกษาและจัดหาผู้ร่วมทุนในโครงการดังกล่าว หากสำเร็จจะถือเป็นการต่อยอดธุรกิจในประเทศพม่า จากปัจจุบันที่มีเฉพาะธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวกับระบบ
ไฟฟ้า ทั้งนี้ภายหลังจากที่พม่าได้ปรับเปลี่ยนและพัฒนาระบบเศรษฐกิจเป็นในลักษณะ Turn key project โดยผู้ลงทุนในโครงการจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ในการบริหารโครงการด้วย บริษัทจึงมีแนวคิดจะเปิดสาขาในประเทศพม่าโดยตรง เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
"พลังงานลมจะให้ผลตอบแทนที่เร็วกว่าพลังงานแสงอาทิตย์และเป็นการสร้างกำไรให้เติบโตและมีเสถียรภาพมากขึ้น จากการที่พม่าเปิดประเทศมากขึ้นจำเป็นต้องลงทุนด้านพลังงานเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของพม่าเอง ทำให้เชื่อว่าหลังจากเปิดประเทศครั้งนี้ความต้องการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าและโรงไฟฟ้าของพม่าจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะทำให้ GUNKULมีโอกาสได้งานเพิ่มมากขึ้นในอนาคต" นายสมบูรณ์ กล่าว
เขากล่าวต่อถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมกำลังการผลิตรวม 60 เมกะวัตต์ ที่ตำบลห้วยบง อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา จะแบ่งออกเป็นโครงการซับพลู 1 และโครงการซับพลู 2 สัญญาซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 2 สัญญา กำลังการผลิตขนาด 8 เมกกะวัตต์และ 2 เมกกะวัตต์ ตามลำดับ ขณะนี้อยู่ระหว่างคัดเลือกกังหันลมสำหรับใช้ในโครงการ ซึ่งคาดว่าจะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จและจำหน่ายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 3-4 ปี 2556 โดยจะจำหน่ายกระแสไฟฟ้าในกับ กฟภ. ส่วนกำลังการผลิตที่เหลือสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 1 สัญญา กำลังการผลิตรวม 50 เมกกะวัตต์ คือ โครงการวายุ ตั้งอยู่ที่ตำบลห้วยบง อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา คาดว่าจะจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ภายหลังจากเสร็จสิ้นโครงการซับพลูแล้วประมาณ 1 ปี
นายสมพล ธนาดำรงค์ศักดิ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ หรือFPI กล่าวว่าบริษัทฯตั้งเป้ารายได้ในปี2556 โต20%จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 1,500-1,600ล้านบาท โดยบริษัทฯ จะขยายแม่พิมพ์ใหม่เพิ่มขึ้นอีกทั้งความต้องการสินค้าอะไหล่ทดแทนในตลาดมีค่อนข้างมาก รวมทั้งสินค้าประเภทอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ก็เป็นตัวสร้างมาร์จินส์ให้บริษัทฯได้ดี นอกจากนี้บริษัทฯ จะขยายกำลังการผลิตชึ้นส่วนยานยนต์เพิ่มอีก 20%
พร้อมกันนี้ บริษัทฯขอรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับ30% ใกล้เคียงกับปีนี้ มาจากการที่บริษัทฯ จะออกสินค้าโมเดลใหม่ๆ ออกสู่ตลาดมากขึ้น ขณะที่ในส่วนของงบลงทุนบริษัทฯ ตั้งไว้ที่ 150 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบลงทุนปีก่อนที่ใช้ไปประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อนำมาขยายแม่พิมพ์ใหม่เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันบริษัทฯ มีแม่พิมพ์อยู่ราว 1,400-1,500 ตัว
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ มาจากต่างประเทศในสัดส่วน 85 % และอีก 15% เป็นการขายในประเทส โดยบริษัทฯ ส่งสินค้าไปจำหน่ายในต่างประเทศกว่า 110 ประเทศทั่วโลกอีกทั้งสินค้าของบริษัทฯ มีความหลากหลายโดยมีมากกว่า 4,000-5,000 รายการ
นายสมพล กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี 2558 จะส่งผลให้ธุรกิจในส่วนของเทรดดิ้งเติบโตได้ดี ซึ่งปัจจุบันธุรกิจเทรดดิ้งมีมาร์จิ้นอยู่ประมาณ 20-25% เนื่องจากธุรกิจเทรดดิ้งเป็นการซื้อมาขายไป ที่จะทำให้บริษัทฯ กระจายการจำหน่ายสินค้าในตลาดภูมิภาคได้ โดยสัดส่วนรายได้ในส่วนที่เป็นธุรกิจเทรดดิ้งมีประมาณ 45% ส่วนอีก 55% จะเป็นสินค้าที่บริษัทฯ ผลิตเอง
นายพรีเจต สุวรรณนภาศรี ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ยูเนี่ยน อินทราโก้(UIC) กล่าวกับ Hooninside.comว่าคาดว่าปีหน้า(2556) ยอดขายจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 15-20%
ขณะที่มั่นใจปีนี้ยอดขายหรือรายได้รวมน่าจะถึง 700 ล้านบาท ตามเป้าที่วางเอาไว้ เทียบกับปี54 มีรายได้รวม 500 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ เปิดเผยถึงผลประกอบการรายได้และกำไร สำหรับงบการเงิน 9 เดือนแรกปีนี้ ถือว่า ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ครึ่งปีแรกปีนี้ มีรายได้รวม 320 ล้านบาท กำไรสุทธิ 28.95 ล้านบาท ส่วนปี2554 มีกำไรสุทธิ 35.61 ล้านบาท รายได้รวม 500 ล้านบาทซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ขยายตัวดีขึ้น โดยเฉพาะวัตถุดิบผลิตเครื่องสำอางค์ที่มีคำสั่งซื้อขยายตัวมากที่สุด ขณะที่สารเคมีภัณฑ์ชนิดอื่น อาทิ ผลิตภัณฑ์สี ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่ใช้ในการผลิตสีรถยนต์ ก็ขยายตัวดี
"เราค่อนข้างมั่นใจปีนี้ยอดขายหรือรายได้รวมน่าจะถึง 700 ล้านบาท ตามเป้าที่วางเอาไว้ เทียบกับปี54 มีรายได้รวม 500 ล้านบาทและคาดว่าปีหน้า ยอดขายจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 15-20%" นายพรีเจต กล่าว
ส่วนกระแสข่าวบริษัทฯจะร่วมลงทุนกับบริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) (TVD)นั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ซึ่งตนก็ไม่เคยให้สัมภาษณ์ในการเกี่ยวกับการร่วมลงทุนกับTVDโดยก่อนตลาดหุ้นเปิดทำการซื้อขายในภาคบ่าย จะแจ้งข้อมูลให้กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามที่มีการสอบถามข้อมูลมา
นายสุรเชษฐ์ กมลมงคลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.เอ็ม.ซี. อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMC เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดกำไรสุทธิปี 2556 ดีกว่าปี 2555 เนื่องจากบริษัทเตรียมรับรู้รายได้จากการส่งมอบเครื่องจักรให้กับลูกค้าที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาตามภาวะการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่แนวโน้มยังเป็นขาขึ้นถือเป็นปัจจัยบวกทำให้ธุรกิจของบริษัทมีโอกาสขยายตัวได้อีกส่งผลให้รายได้ในปีหน้าคาดเติบโต 25% แตะ 1.15 พันล้านบาท อีกทั้ง ต้นทุนและยอดขายของบริษัทฯ เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ ในปี 2556 มีแผนเปิดโรงงานใหม่ มีงบลงทุน 225 ล้านบาท ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี พื้นที่ 23 ไร่ 2 งาน 58.6 ตารางวา คาดว่าจะต้องใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 225 ล้านบาท โดยจะสร้างเฟส 1 ในไตรมาส 1/2556 คาดเสร็จไตรมาส 3/2556 และรับรู้รายได้ในปี 2557 เพิ่มกำลังการผลิต 30% ส่วนเฟส 2 จะสร้างหลังเฟส 1 แล้วเสร็จ เพิ่มกำลังการผลิตอีก 30%
ปัจจุบัน บริษัทฯ คาดรายได้ปีนี้ทะลุเป้าที่ 900 ล้านบาท อีกทั้งมั่นใจงบโค้งสุดท้ายของปี 55 จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 3/2555 ที่มีกำไรสุทธิพุ่งกระฉูด 50.735 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,621% เนื่องจากลูกค้าหลักของบริษัทอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์อีกทั้งด้วยจุดเด่นการมีเครื่องจักรที่ทันสมัยพร้อมรองรับคำสั่งซื้อของลูกค้าที่หลากหลาย จึงทำให้มั่นใจว่าปัจจัยบวกที่กล่าวมาจะผลักดันให้ผลการดำเนินงานไตรมาสที่เหลือของปีนี้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW เปิดเผยว่าคาดยอดขายในปีหน้าเติบโต 20% จากปีนี้ โดยเติบโตตามธุรกิจของบริษัท หลังจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 17-20% ต่อปี โดยสัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่กว่า 60% จากยอดขายท่อร้อยสายไฟฟ้า 20% ท่อเหล็กร้อยสายไฟฟ้า 19% ท่อก่อสร้าง ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากยอดขายท่อประปาและรายได้อื่นๆ เช่น ท่อเหล็กอ่อนและท่อเหล็กอ่อนกันน้ำ อีกทั้งวัตถุดิบในการผลิตมีราคาถูกลง ส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดปรับตัวลดลง จึงทำให้ยอดขายเติบโต
นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดอัตรากำไรขั้นต้นในปีหน้ายังคงอยู่ในช่วง 23-27% เนื่องจากอตสาหกรรมก่อสร้างมีแนวโน้มดีขึ้น อีกทั้งเชื่อว่าราคาวัตถุดิบในอีก 1-2 ปี ไม่มีความผันผวนสูงมากนัก เช่ยราคาเหล็กอาบสังกะสี
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2555 ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 2555 ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 20% โดยในช่วง 9 เดือนของปีนี้ ARROW สามารถทำกำไรสุทธิได้ถึง 74.30 ล้านบาท มีรายได้รวม 587 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะยังคงมีเป้าหมายเดินหน้าขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมีศักยภาพ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นอย่างดีที่สุด
ทั้งนี้ บริษัทกำหนดเป้าหมายการขยายกลุ่มลูกค้าร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั้งค้าปลีกและ โครงการ ผู้รับเหมาโครงการ รวมถึงตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยได้วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด การส่งเสริมการขายและประชาสัมพันธ์ตลอดปี มีการจัดระบบการติดตามงานโครงการของตัวแทนขายโครงการ และด้วยข้อมูลจากการติดตามความคืบหน้าโครงการ ในอนาคตอันใกล้มีการก่อสร้างอาคารมาตรฐานทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นจำนวนมาก อาทิ โครงการรัฐสภาแห่งใหม่ โครงการศูนย์การแพทย์ชั้นนำแห่งเอเซียโรงพยาบาลรามาธิบดี (บางพลี) สนามบินนานาชาติหลายจังหวัดรวมทั้งส่วนต่อขยายสุวรรณภูมิ โครงการอาคารมหานคร 77 ชั้นโครงการรถไฟฟ้าส่วนขยาย เซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ และอาคารสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โครงกาคอนโดมิเนียมต่างๆ ศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่ เป็นต้น โดยแนวโน้มการเติบโตด้านการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ทำให้
บริษัทมีแผนการลงทุนด้านขยายกำลังการผลิตในพื้นที่ส่วนที่เหลือของโรงงานโดย จะพิจารณาจากปัจจัยทางด้านส่วนแบ่งทางการตลาดและความต้องการผลิตภัณฑ์ในตลาด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ส่วนที่ใกล้เต็มกำลังการผลิต ได้แก่ ท่อก่อสร้างและท่อเหล็กอ่อนกันน้ำร้อยสายไฟบริษัทมีแผนขยายการผลิตสำหรับรอง รับการเติบโตของโครงการในปี 2556 โดยใช้เงินจากกาเสนอขายหุ้นจากประชาชนในครั้งนี้และเงินกู้จากสถาบันการเงิน ดังนี้
1. โครงการเพิ่มกำลังการผลิตในขั้นตอนตัดเหล็กและเตรียมวัตถุดิบ สำหรับรองรับการขยายตัวของตลาดท่อระบายอากาศและท่อก่อสร้าง โดยในโครงการนี้บริษัทได้ซื้อที่ดินเพิ่มในบริเวณเดียวกับโรงงานเดิมอีก ประมาณ 3.5 ไร่เมื่อเดือนตุลาคม 2555 เพื่อใช้ก่อสร้างขยายอาคารโรงงานจากเดิมอีกประมาณ 2,600 ตารางเมตร สำหรับติดตั้งเครื่องจักรสำหรับการตัดเหล็กที่ใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 30 ล้านบาทสำหรับที่ดินรวมสิ่งปลูกสร้าง และอีกประมาณ 10 ล้านบาทสำหรับเครื่องจักรโดยโครงการลงทุนดังกล่าวจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิต ท่อก่อสร้างและท่อระบายอากาศอีกกว่าร้อยละ 50 และเพิ่มช่องทางการขายเหล็กแผ่นหากกำลังการผลิตยังคงเหลือ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างโรงงานให้แล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2556 และเริ่มผลิตในไตรมาส 4 ของปี2556
2. โครงการผลิตท่ออ่อนชนิดอลูมินัมฟรอยส์ สำหรับงานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประเภทผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ โดยใช้เงินทุนสำหรับเครื่องจักร ประมาณ 5 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2556 และเริ่มผลิตในเดือนพฤษภาคม 2556
3. โครงการขยายกำลังการผลิตท่อเหล็กอ่อนกันน้ำร้อยสายไฟ ซึ่งปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในประเทศได้รับความเชื่อมั่นทั้ง ลูกค้าในและต่างประเทศ จำเป็นต้องขยายปริมาณการผลิตเพื่อรองรับตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย การลงทุนโดยใช้งบประมาณ 5 ล้านบาท สำหรับการสั่งซื้อเครื่องจักรในการหุ้ม PVC สำหรับท่อกันน้ำ ทำให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตอีกประมาณร้อยละ 25 หรือประมาณ 120 ตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2556 และเริ่มผลิตในเดือนเมษายน 2556
นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW กล่าวว่า บริษัทฯ คาดรายได้ปี 2556 เติบโต 15-20% เนื่องจากคาดกำลังซื้อโตตามภาวะเศรษฐกิจโลก และยังมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีหน้าลูกค้าของบริษัทฯ ทำสัญญาซื้อขายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯ ยังคาดว่าจะมีการเติบโตตามอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงคาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีหน้า ดีกว่าปีนี้ ทั้งยุโรป สหรัฐ และญี่ปุ่นผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ขณะที่ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตน้ำมันเครื่อง โดยบริษัทฯ มีมาร์เก็ตเเชร์ถึง 50% ของแพคเกจจิ้งน้ำมันเครื่อง
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ คาดยอดสั่งจองชิ้นส่วนรถยนต์และยอดขายบรรจุภัณฑ์โต 20-25%จากปีนี้
อีกทั้ง บริษัทฯ เตรียมแผนการลงทุนในประเทศจีน โดยเบื้องต้นคาดจะเข้าไปทำตลาด บรรจุภัณฑ์ยา และขวดนม โดยคาดสรุปกลางปี56 หรือช่วง เม.ย.-พ.ค. 2556 เพื่อรองรับการเติบโตปี2557 ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดหวังว่าประเทศจีนจะช่วยสร้างรายได้ให้บริษัทฯ และเป็นฐานลูกค้าใหม่ เพื่อรักษาระดับการเติบโตไว้ที่ 20% จากการบริษัทฯ เป็นGrowth Stock
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากประเทศจีน 5% โดยมองว่าเป็นอัตราที่น้อยมาก ซึ่งบริษัทฯ คาดหวังในปี 2557 สัดส่วนรายได้จากจีนจะเพิ่มขึ้น
พร้อมกันนี้ในปี 2555-2558 บริษัทฯ วางเงินลงทุนไว้ที่ 556 ล้านบาท เพื่อทยอยซื้อเครื่องจักร เพื่อรักษาระดับการเติบโต ทั้งนี้ไม่รวมการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งงบลงทุนดังกล่าวใช้เพื่อรักษาระดับการเติบโตของบริษัทฯ ปีละ 20%
"บริษัทฯ มองการขยายธุรกิจ รอดูความคืบหน้าในปี 56 ว่าลูกค้าของบริษัทมีแนวโน้มจะขยายธุรกิจไปในประเทศไหน ถ้าเป็นธุรกิจน้ำมันเครื่อง ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะเข้าไปลงทุนในสิงคโปร์เนื่องจากต้นทุนขนส่งถูก อีกประเทศคืออินโดนีเซีย เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่มาก เป็น Growth Market และเวียดนาม เนื่องจากมีโลเคชั่นที่จะสามารถเข้าไปขายในจีนได้" นายวิวรรธน์กล่าว อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังไม่มีแผนเพิ่มทุน เนื่องจากมีกำไรสะสม
พร้อมกันนี้ มั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปีนี้ของบริษัทจะเติบโตได้มากกว่า 20-25% จากปี 2554 ที่มีรายได้รวมอยูที่ 1,644 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ บรรจุภัณฑ์นมและนมเปรี้ยว บรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นและบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค
ปิดการซื้อขาย( 28 ธ.ค.55) ราคาหุ้น UAC อยู่ที่ 7.75บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 8.30 ล้านบาท,ราคาหุ้น NUSA อยู่ที่ 1.06 บาท ลดลง 0.01 บาท หรือ 0.93% มูลค่าการซื้อขาย24.51 ล้านบาท,ราคาหุ้น WHA อยู่ที่ 36.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.25บาท หรือ 9.77% มูลค่าการซื้อขาย 427.91 ล้านบาท,ราคาหุ้น EARTH อยู่ที่ 7.45 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย64.02 ล้านบาท,ราคาหุ้น KBS อยู่ที่ 10.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 15.24 ล้านบาท
ราคาหุ้น GUNKUL อยู่ที่ 22.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 0.88% มูลค่าการซื้อขาย40.37 ล้านบาท,ราคาหุ้น BEAUTY อยู่ที่16.00 บาทลดลง 0.20 บาท หรือ 1.23% มูลค่าการซื้อขาย135.53 ล้านบาท, ราคาหุ้น FPI อยู่ที่10.70 บาท เพิ่มขึ้น บาท หรือ % มูลค่าการซื้อขาย ล้านบาท,ราคาหุ้น UIC อยู่ที่ บาท เพิ่มขึ้น บาท หรือ % มูลค่าการซื้อขาย ล้านบาท ,ราคาหุ้น TMC อยู่ที่ บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 0.94% มูลค่าการซื้อขาย10.02 ล้านบาท,ราคา หุ้น PJW อยู่ที่4.98 บาทราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 6.35 ล้านบาท และราคาหุ้น ARROW อยู่ที่ 8.65 บาทลดลง 0.05 บาท หรือ 0.57 % มูลค่าการซื้อขาย 32.17 ล้านบาท
สุดท้ายนี้ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ทีมข่าว www.HoonIndide.com ขออวยชัยให้ท่านนั้นสุขล้น จงประสบพบแต่สิ่งมิ่งมงคล ให้ทุกคนจงสุขขีมีโชคชัย สุขสันต์วันปีใหม่ ขอเทพไท้ประทานพรที่เรืองฤทธิ์ แด่มิ่งมิตรมีความสุขสุดหรรษา ปราศจากทุกข์ภัยไร้โรคา ให้ก้าวหน้ามากมีทรัพย์นับอนันต์.... สวัสดีปีใหม่2556
---จบ---
วันที่ : 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1700
28 ธันวาคม 2012
ส่องธุรกิจปีงูเล็ก ... 7 ธุรกิจเด่น
เติบโตแกร่งแม้ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง (กระแสทรรศน์ ฉบับที่ 2299)
แม้ว่าในปี 2556 จะเป็นปีที่ภาพของเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณของการฟื้นตัว ซึ่งน่าจะพอเป็นแรงส่งให้ธุรกิจส่งออกหลายสาขามีทิศทางกระเตื้องขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากธุรกิจเหล่านั้นจะมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวที่เป็นแรงผลักดันให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้ สำหรับธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นในปี 2556 นี้ ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ที่คาดว่าในปี 2556 นี้ การผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจะทำสถิติใหม่สูงถึงประมาณ 2.5-2.6 ล้านคัน ขณะที่ธุรกิจเทคโนโลยีและการสื่อสาร ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจทีวี (ทั้งทีวีดาวเทียม เคเบิ้ลทีวีและดิจิทัลทีวี) คาดว่าจะเป็นหนึ่งในธุรกิจดาวเด่นที่จะมีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนเฉพาะที่สำคัญอย่างการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบในการดำเนินกิจการโทรทัศน์ทั้งเคเบิ้ลทีวีและฟรีทีวี รวมถึงความชัดเจนจากการประมูลเครือข่าย 3G และดิจิทัลทีวี
นอกจากนี้ยังมีธุรกิจก่อสร้าง คาดว่าจะเป็นอีกธุรกิจที่เติบโตอย่างโดดเด่น จากอานิสงส์โครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและการที่ภาคเอกชน เช่น ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และโรงงานอุตสาหกรรมต่างมีแผนขยายการลงทุนต่างจังหวัดคึกคัก ขณะที่ธุรกิจขนส่งในปี 2556 จะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออก การก่อสร้าง การขยายตัวของภาคธุรกิจที่ออกไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น และการเติบโตของกิจกรรมการค้าชายแดน
ธุรกิจยางพาราจะได้รับแรงหนุนจากทิศทางราคายางพาราเริ่มปรับตัวสูงขึ้นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งแรงบวกสำคัญประการหนึ่ง ได้แก่ แผนการตลาดของภาครัฐที่จูงใจให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทยมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนการเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย (Medical Hub of Asia)
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของภาคธุรกิจส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยแล้วอาจยังขยายตัวเพียงในระดับปานกลาง โดยสถานการณ์ธุรกิจภายในประเทศยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องต้นทุนการดำเนินธุรกิจ ทั้งจากการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ การปรับลดการอุดหนุนราคาพลังงานลง และการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า Ft ซึ่งการปรับขึ้นของต้นทุนจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องมายังการปรับขึ้นของราคาสินค้าในปี 2556 ขณะเดียวกันก็มีผลต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก ซึ่งจะสร้างความท้าทายให้กับผู้ประกอบการไทยที่จำเป็นต้องปรับตัวให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และสามารถสร้างผลกำไรให้เติบโตได้ต่อเนื่อง
สำหรับธุรกิจที่คาดว่าจะมีแนวโน้มการเติบโตในระดับปานกลาง แม้จะไม่โดดเด่น แต่ก็มีปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจที่มีทิศทางบวก อาทิ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่แม้ว่าตลาดในกรุงเทพฯและปริมณฑลจะทรงตัว แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดกลับมีความคึกคักมาก หรืออุตสาหกรรมอาหาร แม้โดยรวมจะยังมีความเสี่ยงจากเรื่องต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ตลาดคู่ค้าสำคัญอย่างยุโรปยังอ่อนแอ แต่ตลาดส่งออกอาหารที่สำคัญอื่นๆ เช่น อาเซียน ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ อิรัก และซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น ก็มีแนวโน้มความต้องการนำเข้าอาหารที่เพิ่มขึ้นจากไทย สำหรับธุรกิจที่คาดว่าจะมีแนวโน้มเติบโตปานกลางอื่นๆ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม และธุรกิจพลังงาน เป็นต้น
ขณะที่บางภาคธุรกิจอาจต้องเผชิญกับความยากลำบากในการที่จะฝ่าฟันให้ผ่านพ้นปัจจัยลบที่รุมล้อม ซึ่งบางปัจจัยก็เป็นปัจจัยเฉพาะของธุรกิจนั้นๆ และอาจส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง เช่น ปัจจัยด้านการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน สภาวะเศรษฐกิจและมาตรการการค้าของประเทศคู่ค้า ตลอดจนสภาพการแข่งขัน โดยตัวอย่างธุรกิจที่เผชิญความท้าทายในปี 2556 อาทิ ธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และธุรกิจเครื่องหนัง เป็นต้น
ส่องธุรกิจปีงูเล็ก ... 7 ธุรกิจเด่น
เติบโตแกร่งแม้ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง (กระแสทรรศน์ ฉบับที่ 2299)
แม้ว่าในปี 2556 จะเป็นปีที่ภาพของเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณของการฟื้นตัว ซึ่งน่าจะพอเป็นแรงส่งให้ธุรกิจส่งออกหลายสาขามีทิศทางกระเตื้องขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากธุรกิจเหล่านั้นจะมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวที่เป็นแรงผลักดันให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้ สำหรับธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นในปี 2556 นี้ ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ที่คาดว่าในปี 2556 นี้ การผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจะทำสถิติใหม่สูงถึงประมาณ 2.5-2.6 ล้านคัน ขณะที่ธุรกิจเทคโนโลยีและการสื่อสาร ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจทีวี (ทั้งทีวีดาวเทียม เคเบิ้ลทีวีและดิจิทัลทีวี) คาดว่าจะเป็นหนึ่งในธุรกิจดาวเด่นที่จะมีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนเฉพาะที่สำคัญอย่างการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบในการดำเนินกิจการโทรทัศน์ทั้งเคเบิ้ลทีวีและฟรีทีวี รวมถึงความชัดเจนจากการประมูลเครือข่าย 3G และดิจิทัลทีวี
นอกจากนี้ยังมีธุรกิจก่อสร้าง คาดว่าจะเป็นอีกธุรกิจที่เติบโตอย่างโดดเด่น จากอานิสงส์โครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและการที่ภาคเอกชน เช่น ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และโรงงานอุตสาหกรรมต่างมีแผนขยายการลงทุนต่างจังหวัดคึกคัก ขณะที่ธุรกิจขนส่งในปี 2556 จะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออก การก่อสร้าง การขยายตัวของภาคธุรกิจที่ออกไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น และการเติบโตของกิจกรรมการค้าชายแดน
ธุรกิจยางพาราจะได้รับแรงหนุนจากทิศทางราคายางพาราเริ่มปรับตัวสูงขึ้นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งแรงบวกสำคัญประการหนึ่ง ได้แก่ แผนการตลาดของภาครัฐที่จูงใจให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทยมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนการเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย (Medical Hub of Asia)
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของภาคธุรกิจส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยแล้วอาจยังขยายตัวเพียงในระดับปานกลาง โดยสถานการณ์ธุรกิจภายในประเทศยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องต้นทุนการดำเนินธุรกิจ ทั้งจากการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ การปรับลดการอุดหนุนราคาพลังงานลง และการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า Ft ซึ่งการปรับขึ้นของต้นทุนจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องมายังการปรับขึ้นของราคาสินค้าในปี 2556 ขณะเดียวกันก็มีผลต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก ซึ่งจะสร้างความท้าทายให้กับผู้ประกอบการไทยที่จำเป็นต้องปรับตัวให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และสามารถสร้างผลกำไรให้เติบโตได้ต่อเนื่อง
สำหรับธุรกิจที่คาดว่าจะมีแนวโน้มการเติบโตในระดับปานกลาง แม้จะไม่โดดเด่น แต่ก็มีปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจที่มีทิศทางบวก อาทิ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่แม้ว่าตลาดในกรุงเทพฯและปริมณฑลจะทรงตัว แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดกลับมีความคึกคักมาก หรืออุตสาหกรรมอาหาร แม้โดยรวมจะยังมีความเสี่ยงจากเรื่องต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ตลาดคู่ค้าสำคัญอย่างยุโรปยังอ่อนแอ แต่ตลาดส่งออกอาหารที่สำคัญอื่นๆ เช่น อาเซียน ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ อิรัก และซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น ก็มีแนวโน้มความต้องการนำเข้าอาหารที่เพิ่มขึ้นจากไทย สำหรับธุรกิจที่คาดว่าจะมีแนวโน้มเติบโตปานกลางอื่นๆ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม และธุรกิจพลังงาน เป็นต้น
ขณะที่บางภาคธุรกิจอาจต้องเผชิญกับความยากลำบากในการที่จะฝ่าฟันให้ผ่านพ้นปัจจัยลบที่รุมล้อม ซึ่งบางปัจจัยก็เป็นปัจจัยเฉพาะของธุรกิจนั้นๆ และอาจส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง เช่น ปัจจัยด้านการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน สภาวะเศรษฐกิจและมาตรการการค้าของประเทศคู่ค้า ตลอดจนสภาพการแข่งขัน โดยตัวอย่างธุรกิจที่เผชิญความท้าทายในปี 2556 อาทิ ธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และธุรกิจเครื่องหนัง เป็นต้น
-
- Verified User
- โพสต์: 43
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1703
หายไปไหนครับ ผมติดตามคุณอยู่นะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้
โพสต์ที่ 1705
สวัสดีครับ ผมเป็นสมาชิกใหม่ เพื่อสมัครสมาชิกเมื่อวันที่นายกคนใหม่รับตำแหน่ง (นายกไทยวีไอ)
ขอเป็นกำลังใจด้วยอีกคนครับ
ปล. ทำดีก็มักมีอุปสรรค แต่ทุกอุปสรรคทำให้เราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ แต่เท่าที่อ่านกระทู้มา 57 หน้า
ผมว่าคุณมีคนรักเท่าสนามฟุตบอลแล้ว อย่าเพิ่งท้อใจเลยครับ เห็นแก่คนที่รัก และให้กำลังใจคุณนะครับ
ขอเป็นอีกกำลังใจครับ
ขอเป็นกำลังใจด้วยอีกคนครับ
ปล. ทำดีก็มักมีอุปสรรค แต่ทุกอุปสรรคทำให้เราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ แต่เท่าที่อ่านกระทู้มา 57 หน้า
ผมว่าคุณมีคนรักเท่าสนามฟุตบอลแล้ว อย่าเพิ่งท้อใจเลยครับ เห็นแก่คนที่รัก และให้กำลังใจคุณนะครับ
ขอเป็นอีกกำลังใจครับ