
HotNews: DNA พกความมั่นใจเกิน 100% ลงกระดานเทรด 21ธ.ค. นี้(ต่อ)
***เปิดใจ ด้วยเป้าหมายการดำเนินธุรกิจ DNA ***
DNA มองการเติบโตของรายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 20% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ส่วนกำไรโตทิศทางเดียวกัน โดยสาขาจะเปิดปีละ10-15% ปีหน้ามีแผนที่จะบุกส่วนของการดาวน์โหลด โดยปัจจุบันได้เจรจากับ แกรมมี่ ตอนนี้มีการทดลองใช้บางส่วน ส่วนภาพยนตร์ในปีหน้าก็จะมีการทำรูปแบบออกมาใหม่เช่นกัน เพราะต้องยอมรับว่าผู้บริโภคไม่ได้หยุดการบริโภค เพียงแต่มีการเปลี่ยนแปลงช่องทางในการบริโภค ดังนั้นในแง่ของผู้ประกอบการก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสถานการณ์เช่นกัน ขณะที่ราคาคาดว่าจะลดลง และผู้บริโภคสามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกลงเรื่อยๆ ซึ่งจะพบว่าฐานของลูกค้าจะใหญ่ขึ้น สุดท้ายผู้บริโภคก็ได้รับประโยชน์ ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแคมเปญที่จะดึงดูดลูกค้า ดังนั้นไม่จำเป็นว่าสาขาต้องมากขึ้น โดยอาจจะไปดูในส่วนของบริการ ซึ่งหลังน้ำท่วม กลุ่มบันเทิง และสื่อสาร 3G เติบโตมาก โดยที่ผ่านมามีประเด็นข่าวการลงทุนจากผู้ประกอบการจำนวนมาก ซึ่ง DNA สนใจไหม ก็ต้องยอมรับว่าสนใจ โดยคงจะเข้าไปในส่วนที่ตนเองถนัด
ผมเลยมองว่าเราไม่ได้ทำแค่เพียงธุรกิจจัดจำหน่าย สิ่งที่เราวางแผนเอาไว้ คือไปยังต้นน้ำ ไปทำในส่วนที่ถึงก่อนผู้บริโภค
สำหรับปี ใน 2556 จะมีมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 40% หรือ 2.2 พันล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวมที่ 5 พันล้านบาท ซึ่งเราถือเป็นเจ้าใหญ่แล้ว และในปี 2557 บริษัทฯ จะเติบโตจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งอาจจะไม่เติบโตทางด้านรายได้ แต่คาดจะทำให้การเติบโตโดดเด่น ทั้งนี้ มองว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยเฉพาะต่างประเทศเติบโตมาก ดังนั้นคาดว่าในประเทศไทย ก็มีการเติบโตเช่นกัน และวงจรธุรกิจภาพยนตร์ จะไปในช่วงของซัมเมอร์มากกว่า เพราะจะมีภาพยนตร์ที่เข้ามาฉายจำนวนมาก
***บริษัทมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ สำหรับในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ****
1. เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนท์ ในลักษณะแผ่นภาพยนตร์และเพลงที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดของประเทศ
2. เพิ่มความหลากหลายในสินค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยการซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์เพิ่มขึ้น ทั้งนี้จะเน้นการซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ที่ให้สิทธิแบบ All Rights ซึ่งครอบคลุมถึงการเแพร่ภาพในโรงภาพยนตร์และโทรทัศน์ รวมถึงการผลิตเป็นแผ่นภาพยนตร์ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจสื่อโฆษณาและบันเทิงของกลุ่มบริษัท และพิจารณาถึงการขยายช่องทางการจำหน่ายไปยังรูปแบบอื่น เช่น อินเตอร์เน็ต เป็นต้น
3. พัฒนาตราสินค้า DNA ของกลุ่มบริษัทให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับ ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายตัวทางธุรกิจและความภักดีในตราสินค้าของลูกค้า
4. บริหารจัดการจุดจำหน่ายสินค้าของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาโอกาสทางธุรกิจที่ต่อเนื่องอื่นๆ
5. เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน โดยมีการพัฒนาความรู้ความสามารถของบุคลากรของกลุ่มบริษัทอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต
6. แสวงหาโอกาสในการดำเนินธุรกิจด้านสื่อโฆษณาและบันเทิงที่มีศักยภาพ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายตัวของกลุ่มบริษัท และกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ
***โครงการในอนาคต***
กลุ่มบริษัทมีแนวนโยบายในการปรับรูปแบบการบริหารจัดการร้านค้าและจุดจำหน่าย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและรักษาศักยภาพในการแข่งขันและนำวิธีการบริหารจัดการในลักษณะแฟรนไชส์ โดยมีแผนพิจารณาปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารร้านสาขาที่มีอยู่เดิมบางสาขาให้เป็นลักษณะแฟรนไชส์ ซึ่งกลุ่มบริษัทจะคัดเลือกเฉพาะร้านสาขาที่มีความเป็นไปได้ทางธุรกิจเพียงบางส่วนเท่านั้น โดยผู้บริหารคาดว่าจะเริ่มดำเนินการพัฒนารูปแบบการดำเนินการดังกล่าวได้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2556 ในขั้นต้นจะทำการคัดเลือกร้านสาขาที่มีศักยภาพประมาณ 10-20 สาขาเพื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ทางธุรกิจ
ทั้งนี้ ผู้บริหารคาดว่าการปรับรูปแบบการบริหารจัดการดังกล่าว จะช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทในแง่ของการใช้เงินทุนหมุนเวียน ตลอดจนช่วยเพิ่มศักยภาพในการจัดจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนท์
***อุตสาหกรรมโฮมเอนเตอร์เทนเมนท์เติบโตอย่างไรบ้าง***
อุตสาหกรรมเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง โดยในอดีตมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท อาจจะลดลง เพราะมีสินค้าบางส่วนที่ละเมิดลิขสิทธิ์ แต่โดยอุตสาหกรรมยังมีการเติบโต ซึ่งในส่วนของอุตสาหกรรมเพลงในช่วงปีที่ผ่านมา ก็ต้องยอมรับว่ากระทบพอสมควร แต่ทั้งนี้ในภาคของผู้ผลิตก็มีการปรับตัวบางส่วน ช่วง 1 ปีที่ผ่านมาตัวเลขการเติบโตก็ดีขึ้น เพราะมีการออกผลิตภัณฑ์ อื่นๆ มาตอบสนองตลาด อาทิ แผ่น MP3 ซึ่งเทรนด์ใหม่ ก็จะมีการเชื่อมต่อกับลูกค้าผ่านการดาวน์โหลด ที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคค่อนข้างดี
*** ค่าแรง 300 บาท กระทบมากน้อยเพียงใด**
ในช่วง มี.ค. 2555 บริษัทฯ ได้ปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นไปบางส่วนแล้ว ซึ่งจากการคาดการณ์คาดว่าในปี 2556 หากจะมีผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรง น่าจะกระทบต่อบริษัทฯประมาณ 10 ล้านบาท
***การเปิดเสรีภาคบริการอาเซียนในปี 2558 ***
การเปิด AEC มีผลกระทบกับบริษัทไม่มาก เพราะฐานลูกค้าเราเฉพาะ มองว่าการเปิด AEC ไม่ได้กระทบมากนัก เเละด้วยการเข้าถือครองใบอนุญาตในประเทศไทย ยังมีข้อจำกัด ทำให้ภาพรวมๆ แล้ว DNA ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
***ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการที่สำคัญ***
DNA จดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลขึ้นเมื่อ 4 เมษายน 2546 ภายใต้ชื่อ บริษัท มีเดีย เน็ตเวิร์ค รีเทล จำกัด โดยคุณสามารถ ฉั่วศิริพัฒนา ด้วยทุนจดทะเบียน 10,000,000 บาท และได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 40,000,000 บาทในปีเดียวกัน โดยใช้เครื่องหมายการค้าและบริการ "Media Network Home Entertainment" เพื่อประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนท์ (Home Entertainment) ประเภทภาพยนตร์และเพลง รวมทั้งสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น เทป ("Tape") วีซีดี ("VCD") ดีวีดี ("DVD") รวมทั้ง หนังสือนิตยสาร วารสาร หนังสือพิมพ์ พ็อกเก็ตบุ๊ค และต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2553 บริษัทได้เปลี่ยนแปลงเครื่องหมายการค้าเป็น "DNA ENJOY EVERYDAY" และจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทเป็น "บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด" ในปีเดียวกัน
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2546 ถึงปัจจุบัน บริษัทมีการขยายธุรกิจจัดจำหน่ายสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนท์อย่างต่อเนื่อง โดยทำการขยายสาขาเพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ทั้งการขยายสาขาของบริษัทเอง และผ่านร้านร่วมบริการ เช่น ในโลตัส เอ็กซ์เพรส (Lotus Express) และในบิ๊กซี มินิ (Big C MiNi) ส่งผลให้รายได้และผลการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 บริษัทได้เริ่มขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจไปยังธุรกิจสื่อโฆษณาและบันเทิงเพื่อกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของบริษัท และเล็งเห็นว่าธุรกิจสื่อโฆษณาและบันเทิง เป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต และสามารถเสริมกับธุรกิจหลักของบริษัทได้
โดยในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 เริ่มประกอบธุรกิจบริหารจัดการช่องสัญญาณโทรทัศน์ดาวเทียม โดยร่วมผลิตรายการบันเทิงประเภทเพลงลูกทุ่งชื่อ "YIM TV" และรับรู้รายได้ในลักษณะค่าโฆษณา อย่างไรก็ตามในไตรมาส 4 ปี 2554 บริษัทได้หยุดการดำเนินธุรกิจดังกล่าวเนื่องจากผลตอบรับไม่เป็นที่น่าพอใจ และในไตรมาสที่ 2 ของปี 2554 บริษัทได้ขยายประกอบธุรกิจไปสู่ธุรกิจบันเทิง โดยลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท สมอลล์รูม จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 49.89 ของทุนชำระแล้วของบริษัทดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัท สมอลล์รูม จำกัด ดำเนินธุรกิจการผลิตและสร้างสรรค์งานเพลงทั้งในรูปแบบงานเพลงประกอบโฆษณา ภาพยนตร์ ละคร รวมทั้งอัลบั้มเพลงซึ่งเน้นแนวเพลงประเภทอินดีเพ็นเด้นต์ ("อินดี้") เป็นหลัก
ทั้งนี้ เพื่อให้โครงสร้างการประกอบธุรกิจของบริษัทมีความชัดเจนยิ่งขึ้น ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2554 บริษัทได้จัดตั้ง บริษัท ดีเอ็นเอ เรฟโวลูชั่น จำกัดขึ้นเป็นบริษัทย่อย โดยถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ของทุนชำระแล้ว เพื่อโอนการประกอบธุรกิจสื่อโฆษณาและบันเทิงไปยังบริษัทดังกล่าว โดยได้เปลี่ยนแปลงการถือหุ้นในบริษัท สมอลล์รูม จำกัด จากถือหุ้นโดยบริษัทโดยตรงเป็นถือหุ้นโดยบริษัทย่อย ต่อมาในเดือนธันวาคม 2554 บริษัทย่อยได้เข้าสู่การบริหารจัดการช่องสัญญาณวิทยุ โดยทำสัญญากับบริษัท เอ.ซี.เรคคอร์ด จำกัด ในการร่วมผลิตและบริหารจัดการช่วงเวลาโฆษณาในช่วงข่าวต้นชั่วโมงทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยของกรมประชาสัมพันธ์เป็นระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2556
ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ 1) การจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท ซึ่งเป็นการจำหน่ายสื่อภาพยนตร์และเพลงที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ในรูปแบบ บลูเรย์ (Blu Ray) ดีวีดี (DVD) วีซีดี (VCD) และซีดี (CD) ทั้งรวมถึงการจำหน่ายหนังสือ นิตยสาร และวารสารต่างๆผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายของกลุ่มบริษัทที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ 2) ธุรกิจสื่อโฆษณาและบันเทิง อันได้แก่ ธุรกิจการจัดการช่องสัญญาณสื่อ โดยปัจจุบันทำการบริหารจัดการสื่อโฆษณาในช่วงข่าวต้นชั่วโมงทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยของกรมประชาสัมพันธ์ และธุรกิจบันเทิงด้านดนตรีและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับดนตรี
ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการที่สำคัญของบริษัทโดยสังเขป มีดังนี้
ปี 2546 :
เม.ย. - จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2546 ภายใต้ชื่อบริษัท มีเดีย เน็ตเวิร์ค รีเทล จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 10,000,000
ก.ย. - เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 40,000,000 บาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เงินเพิ่มทุนเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจโดยการเพิ่มจำนวนสาขา โดยคุณสามารถ ฉั่วศิริพัฒนา และภรรยาถือหุ้นในสัดส่วนประมาณร้อยละ 90 ของทุนชำระแล้วของบริษัท
ปี 2550 :
ก.ย. - เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า โดยจัดจำหน่ายผ่านร้านร่วมบริการในโลตัส เอ็กซ์เพรส (Lotus Express) ซึ่งเป็นรูปแบบของการฝากขาย โดยมีจำนวนร้านร่วมบริการเริ่มต้นจำนวน 240 แห่ง
พ.ย. - ขยายการดำเนินธุรกิจมาสู่การผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้ชื่อทางการค้าของตนเองโดยการทำสัญญาซื้อลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์เพื่อนำมาผลิตภาพยนตร์
ปี 2553 :
พ.ค. - บริษัทได้เปลี่ยนแปลงเครื่องหมายการค้า เพื่อให้ลูกค้าจดจำได้ง่ายขึ้น ด้วยโลโก้สีแดงพื้นดำทำให้มีความโดดเด่นเพิ่มขึ้น โดยบริษัทได้เริ่มดำเนินการเปลี่ยนโลโก้ของแต่ละร้านค้าตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2553 เป็นต้นมา
มิ.ย. - เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า โดยจัดจำหน่ายผ่านร้านร่วมบริการในบิ๊กซี มินิ (Big C MiNi) ซึ่งเป็นรูปแบบของการฝากขาย
ส.ค. - ขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจไปสู่ธุรกิจสื่อโฆษณาและบันเทิง โดยรับจ้างผลิตภาพยนตร์สั้นจำนวน 7 เรื่อง ให้แก่หน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง โดยบริษัทได้ว่าจ้างผู้ผลิตภาพยนตร์หลายราย ทำการผลิตภาพยนตร์ดังกล่าว
ก.ย. - ขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจไปสู่ธุรกิจสื่อโฆษณาและบันเทิง โดยการบริการจัดการสื่อโฆษณาโทรทัศน์ดาวเทียม โดยร่วมผลิตรายการบันเทิงประเภทลูกทุ่งชื่อ "YIM TV" และรับรู้รายได้ในลักษณะค่าโฆษณา
พ.ย. - เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 80,000,000 บาท โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจของบริษัท
ทั้งนี้ภายหลังจากการเพิ่มทุนโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประกอบด้วย 1) นายสามารถ และนางศุภากร ฉั่วศิริพัฒนา ซึ่งถือหุ้นรวมกันร้อยละ 59.13 ของทุนชำระแล้วของบริษัท และ 2) นายศิริศักดิ์ ปินทัสสีกุล ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 37.50 ของทุนชำระแล้วของบริษัท
- เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก "บริษัท มีเดีย เน็ตเวิร์ค รีเทล จำกัด" เป็น บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด" เพื่อให้สอดคล้องกับจุดจำหน่าย รวมทั้งเพื่อให้คู่ค้าจดจำได้ง่ายขึ้น
ปี 2554 :
เม.ย. - ลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท สมอลล์รูม จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจการผลิตและสร้างสรรค์งานเพลงทั้งในรูปแบบงานเพลงประกอบโฆษณา ภาพยนตร์ ละคร รวมทั้งอัลบั้มเพลงซึ่งเน้นแนวอินดี้โดยการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 44,900 หุ้น เป็นจำนวนเงิน 15.50 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 49.89 ของทุนเรียกชำระแล้วจากนายรุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท สมอลล์รูม จำกัด โดยการบริหารจัดการของสมอลล์รูม ภายหลังจากการเข้าลงทุนของบริษัท ยังคงดำเนินการโดยกลุ่มผู้บริหารหลัก 3 ราย ซึ่งถือหุ้นรวมกันในส่วนที่เหลืออีก51.11 ของทุนเรียกชำระแล้ว
มิ.ย. - เปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้นของบริษัทจากเดิม 10.00 บาท เป็น 1.00 บาท ทำให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 80,000,000 หุ้น
- จดทะเบียนแปรสภาพจากบริษัทจำกัดเป็นบริษัทมหาชนจำกัด
- เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 110,000,000 บาท โดยอนุมัติให้ออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 30,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท แก่ประชาชนทั่วไป
- อนุมัติให้นำหลักทรัพย์ของบริษัทเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
ก.ย. - จัดตั้งบริษัทย่อย คือ บริษัท ดีเอ็นเอ เรฟโวลูชั่น จำกัด โดยมีทุนจดทะเบียน 20,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10.00 บาท โดยบริษัทถือหุ้น จำนวน 19,999,997 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 99.99 ของทุนชำระแล้ว เพื่อแบ่งแยกการดำเนินธุรกิจ ของกลุ่มบริษัทให้ชัดเจน โดยให้บริษัทย่อยดำเนินธุรกิจด้านสื่อโฆษณาและบันเทิง
- เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัท สมอลล์รูม จำกัด จากเดิมที่ถือหุ้นโดยบริษัท เป็นการถือหุ้นโดยบริษัท ดีเอ็นเอ เรฟโวลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย และโอนการดำเนินธุรกิจต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจสื่อโฆษณาและบันเทิงให้บริษัท ดีเอ็นเอ เรฟโวลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เป็นผู้ดำเนินการ
- หยุดการดำเนินธุรกิจบริหารสื่อโฆษณาช่องสัญญาณโทรทัศน์ดาวเทียมเนื่องจากผลตอบรับไม่เป็นที่น่าพอใจ
ธ.ค. - ขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจไปยังการบริหารจัดการช่องสัญญาณวิทยุ โดยทำสัญญากับบริษัท เอ.ซี.เรคคอร์ด จำกัด ในการร่วมผลิตและบริหารจัดการช่วงเวลาโฆษณาในช่วงข่าวต้นชั่วโมงทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยของกรมประชาสัมพันธ์เป็นระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1มกราคม 2555 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2556
ปี 2555
เม.ย. - ลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจากเดิม 110,000,000 บาท เป็น 80,000,000 บาท ซึ่งเดิมเป็นการเพิ่มทุนเพื่อเตรียมรองรับการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชน
- เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 80,000,000 บาท เป็น 160,000,000 รวมทั้งเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากหุ้นละ 1.00 บาท เป็นหุ้นละ 0.50 บาท
ทั้งนี้ การเพิ่มทุนดังกล่าว เป็นการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 80,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือห้นเดิม โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจของบริษัท และการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 80,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ0.50 บาท เพื่อรองรับการเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป
ก.ย. - โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประกอบด้วย 1) นายสามารถและและนางศุภากร ฉั่วศิริพัฒนา ซึ่งถือหุ้นรวมกันร้อยละ 46.67 ของทุนชำระแล้วของบริษัท และ 2) นายศิริศักดิ์ ปิยทัสสีกุล ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 31.25 ของทุนชำระแล้วของบริษัท
ต.ค. - เปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นสามัญของบริษัทจาก 0.50 บาท เป็น 0.25 บาท ทำให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 160,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 640,000,000 หุ้น
มีต่อ...........
วันที่ : 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555
