รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 721

โพสต์

PTTGCขยายฐานเพื่อนบ้าน
Source - โลกวันนี้ (Th), Thursday, November 22, 2012


PTTGC คาดไตรมาส 1/2556 ได้ข้อสรุปร่วมทุนอินโดฯขยายฐานผลิตอาเซียน ขณะที่ปลายเดือน ธ.ค. นี้ทบทวนแผนลงทุน 5 ปี 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับ Pertamina บริษัทน้ำมันแห่งชาติของอินโดนีเซีย ในการเข้าร่วมลงทุนโครงการปิโตรเคมี และจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 1/2556 ซึ่งการที่บริษัทมีความสนใจตั้งฐานผลิตปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์ในอินโดนีเซียเนื่องจากเป็นตลาดที่มีความต้องการสูง มีอัตราการเติบโตเกิน 5% และสามารถตั้งโรงงานใหม่เพื่อรองรับความต้องการในประเทศได้

นอกจากนี้บริษัทจะตั้งโรง-งานในเวียดนามให้เป็นฐานการผลิตในแถบอาเซียนที่มีประชากรถึง 90 ล้านคน รวมทั้งมีความสนใจและวางแผนขยายฐานผลิตในจีน โดยคาดว่าการขยายธุรกิจในจีนและอินโดนีเซียอาจจะอยู่ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน

นายอนนต์กล่าวว่า ปลายเดือน ธ.ค. นี้คณะกรรมการบริษัทจะทบทวนแผนเงินลงทุนช่วง 5 ปีที่วางงบ 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะนำปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกมาพิจารณาแผนการลงทุนในโครงการที่จำเป็น ซึ่งโครงการที่จะดำเนินการต่อไป ได้แก่ โครงการขยายคอขวด (Debottle-neck) การเพิ่มมูลค่าในผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ส่วนโครงการต่อยอดธุรกิจคงต้องดูจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม และบริษัทยังมีแผนจัดตั้งหน่วยธุรกิจ Corporate venture ที่ดูแลโครงการวิจัยต่างๆ

-จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
teatree
Verified User
โพสต์: 18
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 722

โพสต์

คุณpacสนใจ petrochemด้วย
นึกว่าจะดูแต่หุ้นกำลังจะเทิร์นอย่างเดียวซะอีก
:mrgreen:
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 723

โพสต์

DEMCO บวก 5% เก็งฐานกำไรปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 3 ปีข้างหน้า
วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2555 เวลา 15:35:15 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ DEMCO ณ เวลา 15.32 น. บวก 0.35 บาท หรือ 5.07% มาที่ 7.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 56.94 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.49% ทั้งนี้ ราคาหุ้น DEMCO ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากระดับราคา 6.85 บาท ในวันที่ 23 พ.ย. มาแตะที่ระดับราคา 7.25 บาท ในวันนี้ จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า บล.ทรีนีตี้ แนะนำ “ซื้อ” DEMCO และบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แนะนำ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 8.38 บาท

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนะนำ “ซื้อ” หุ้น DEMCO โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 10 บาท/หุ้น เนื่องจาก เนื่องจาก 1) เป็นหุ้นที่น่าสนใจในช่วงที่การก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศอยู่ในช่วงได้รับความนิยมสูง 2) DEMCO อยู่ในช่วงที่ฐานกำไรปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องหลายปี 3) รูปแบบการดำเนินธุรกิจมีความเสี่ยงต่ำเนื่องจากมีการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า ซึ่งสามารถสร้างรายได้ได้อย่างมีเสถียรภาพ และมี ROE ที่สูงกว่า 20% 4) มูลค่าหุ้นถูกที่ PE 9.2 เท่า dividend yield 4.7% 5) มี upside จากประมาณการของเราหาก DEMCO ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ (คาดกำลังการผลิต 540 MW) และหากการประมูล 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz เดินหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ DEMCO ได้รับงานที่เกี่ยวข้องกับ 3G เพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ DEMCO มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าในประเทศที่เริ่มมีบทบาทโดดเด่นในสามทางสำคัญ 1) บริษัทขายโครงสร้างเหล็กที่ใช้ในสถานีฐาน รวมถึง distribution และ transmission line ในขณะที่มีการให้บริการด้านก่อสร้างวิศวกรรมด้านไฟฟ้าเช่นกัน 2) DEMCO เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างให้กับบริษัท Wind Energy Holding (WEH) ซึ่งมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 2 โครงการ (อยู่ระหว่างก่อสร้าง 240MW และอยู่ระหว่างรอรับสัญญา PPA 540MW) และยังเป็นผู้รับเหมาให้กับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 3) DEMCO มีการลงทุนในโครงการที่กล่าวมาบางส่วนเพื่อรับรู้รายได้ที่มั่นคงและมีเสถียรภาพ ล่าสุด บริษัทถือหุ้น 16.2% ในสองโครงการ (ห้วยบง 2 และ 3) กำลังการผลิตรวม 180MW และถือหุ้น 10% ในโครงการเขาค้อ กำลังการผลิต 60MW เราประมาณการให้รับรู้รายได้ recurring (รายได้ equity income และเงินปันผล) จากโครงการทั้งสาม เป็นสัดส่วน 32-42% ของประมาณการกำไรในปี 56-58

นอกจากนี้ ยังมองว่า ฐานกำไรของ DEMCO จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากในช่วงสามปีข้างหน้า ซึ่งจะมาจากรายได้ที่เติบโตก้าวกระโดดของทั้งรายได้จากการก่อสร้าง และรายได้เงินปันผล และ equity income จะมาจาก backlog ที่มีอยู่ราว 6 พันล้านบาท งานประมูลใหม่ที่คาดว่าจะได้รับอีก 8 พันล้านบาท ถึง 1 หมื่นล้านบาท จาก EGAT, MEA, PEA, IPP และ SPP รวมถึงงานมูลค่า 9 พันล้านบาท จากโครงการพลังงานลมของ WEH ที่เหลือ สำหรับรายได้เงินปันผล และ equity income เราประมาณการให้พลิกตัวจากขาดทุน 11 ล้านบาท ในปี 54 และ 8 ล้านบาท ในปี 55 เป็นกำไร 255 ล้านบาท ในปี 58
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 724

โพสต์

ระยองเพียวฯพบแสงสว่างทางธุรกิจถือสัมมากร22%ซื้อเพิ่มทุนราคาหุ้นพุ่งต่อเนื่องรับข่าวดี
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th), Wednesday, November 28, 2012

โพสต์ทูเดย์ - "RPC" พบโอกาสใหม่ในการทำธุรกิจ หลังเข้าถือหุ้นอันดับ 2 ในบริษัท สัมมากร

นางศิรพร กฤษณกาญจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทระยองเพียวริฟายเออร์ (RPC) เปิดเผยว่า บริษัทได้ใช้เงินทุนประมาณ200 ล้านบาท ในการเข้าไปซื้อหุ้นบริษัท สัมมากร (SAMCO)จำนวน 99 ล้านหุ้น หรือ 22.54%จากผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 และ 2 ในบริษัท สัมมากร และหลังซื้อส่งผลให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2

การเข้าไปถือหุ้น SAMCO ครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่สำคัญอีกครั้งของบริษัทในการทำธุรกิจ ทำให้มีความชัดเจนในเรื่องของธุรกิจหลังจากที่ต้องประสบปัญหาภายหลังเครือปตท. หยุดส่งวัตถุดิบให้กับบริษัทตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

"ถือว่าเป็นโอกาสที่สำคัญ และเป็นแสงสว่างให้กับบริษัทอีกครั้งกับการได้เข้าไปร่วมถือหุ้นในสัมมากรซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเชี่ยวชาญ" นางศิรพร กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในการเข้าไปร่วมธุรกิจครั้งนี้ บริษัทจะเข้าไปบริหารจัดการในเรื่องของแบล็กออฟฟิศ ส่วนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้น ทางสัมมากรมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว

นางศิรพร กล่าวว่า บริษัทซื้อหุ้นล็อตใหญ่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ได้ร่วมธุรกิจกับสัมมากรมาก่อนในการพัฒนาโครงการเพียว สัมมากรซึ่งเป็นคอมมูนิตีมอลล์ การทำงานทางทีมบริหารทั้งสองฝ่ายเข้ากันได้ดี และมีความพึงพอใจต่อกันดังนั้นในโอกาสที่ SAMCO จะดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนจึงได้ดึงบริษัทเข้าไปร่วมถือหุ้นด้วยและบริษัทจะซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น

ทั้งนี้ SAMCO แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียน200 ล้านหุ้น โดยออกหุ้นใหม่จำนวน 150 ล้านหุ้น ขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 3 หุ้นเดิมต่อ1 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 2.20 บาทและอีก 50 ล้านหุ้น จะเสนอขายให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง (พีพี)โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติเพิ่มทุนในวันที่13 ธ.ค.นี้

นางศิรพร กล่าวว่า ความคืบหน้าในการจัดตั้งบริษัทเพื่อทำเทรดดิงในต่างประเทศเมื่อช่วงก่อนหน้าว่า ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ และถือว่าเป็นเรื่องยากเหมือนกันเพราะการทำธุรกิจด้านนี้จะต้องได้รับการสนับสนุนจากธนาคารพาณิชย์ในการเปิดแอล/ซี แต่ภายหลังจากปตท. หยุดส่งวัตถุดิบให้บริษัท ก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของบริษัทในเรื่องทางการเงินด้วยเพราะธนาคารพาณิชย์จะระมัดระวังมาก

ล่าสุด ราคาหุ้น RPC ปิดที่ 1.37 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 7.87%ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังบริษัทเข้าไปซื้อหุ้น SAMCO เมื่อวันที่23 พ.ย.ที่ผ่านมา

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 725

โพสต์

ไออาร์พีซีทุ่ม130ล้านดอลล์ ลงทุนโครงการ'ฟินิกซ์'ปี56
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, วันที่ 28 พฤศจิกายน 2555

ไออาร์พีซีตั้งงบลงทุนโครงการฟินิกซ์ปี 56 อีก 130 ล้านดอลลาร์ เพิ่มกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก หวังเป็นบริษัทปิโตรเคมีครบวงจรชั้นนำของเอเชีย

นายอธิคม เติบศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงโครงการฟินิกซ์ว่า ในปี 2556 จะมีโครงการลงทุนใหญ่ 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 130 ล้านดอลลาร์ คือ 1.การลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพ และเพิ่มกำลังการผลิต Styrene Monomer เพื่อนำไปผลิตเป็นเม็ดพลาสติก Polystyrene โดยจะเพิ่มกำลังการผลิตอีกปีละ 6 หมื่นตัน ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มเป็นปีละ 2.6 แสนตัน ใช้เงินลงทุน 57 ล้านดอลลาร์

2.การลงทุนขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกเอบีเอส ซึ่งเป็นพลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมชั้นสูง เช่น ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ และชิ้นส่วนรถยนต์ โดยจะเพิ่มกำลังการผลิตเอบีเอสอีกปีละ 6 หมื่นตัน ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มเป็นปีละ 1.6 แสนตัน ใช้เงินลงทุนประมาณ 70 ล้านดอลลาร์

ส่วนการลงทุนด้านอื่น จะมีโครงการขยายผลิตภัณฑ์ Ethylene ไปสู่เกรดพิเศษ โครงการพัฒนาคุณภาพน้ำมันสู่เชื้อเพลิงสะอาดและนวัตกรรมเพื่อโลกสีเขียว โครงการพัฒนาธุรกิจสารเร่งปฏิกิริยาสำหรับปิโตรเคมี โครงการเพิ่มมูลค่าจากคลังน้ำมัน และโรงผสมน้ำมันหล่อลื่นตามมาตรฐานสากล และโครงการเพิ่มศักยภาพในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในกระบวนการผลิตในผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ

"การลงทุนเหล่านี้จะส่งผลให้ไออาร์พีซีเป็นบริษัทปิโตรเคมีครบวงจรชั้นนำของเอเชีย และ EBITDA ปีหน้า จะเพิ่มขึ้นอีก 20-30 ล้านดอลลาร์ โดยแผนการลงทุนโครงการฟีนิกซ์ ปี 2553-2557 ใช้งบลงทุนรวม 1.3 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.9 หมื่นล้านบาท"
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 726

โพสต์

PTT ก้าวใหญ่ในอาเซียน
Source - ข่าวหุ้น (Th), Thursday, November 29, 2012


การเปิดเผยของผู้บริหาร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ถึงโครงการลงทุนครั้งใหญ่ในเวียดนามตอนกลาง มีความหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่สะท้อนว่า ย่างก้าวของการเปิดรุกเข้าไปในธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีครบวงจรในอาเซียนนั้น เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่ง

การเปิดเผยของนายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น PTT ว่า กลุ่มปตท.เตรียมเข้าลงทุนโครงการปิโตรเคมีครบวงจร ในวงเงินลงทุน 2.87 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 8.6 แสนล้านบาท โดยมีโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังการกลั่น 6.6 แสนบาร์เรล/วัน และโรงงานปิโตรเคมี กำลังผลิต 10.2 ล้านตัน/ปี ได้แก่ โอเลฟินส์ 6.5 ล้านตัน/ปี และอะโรเมติกส์ 3.7 ล้านตัน/ปี โดยโครงการดังกล่าวจะตั้งอยู่ใน จ. Binh Dinh ตอนกลางของประเทศเวียดนาม ในนิคมอุตสาหกรรมพื้นที่ 1 หมื่นกว่าไร่ หรือ 2 พันเฮกตาร์ ที่ทางเวียดนามสนับสนุนให้กลุ่ม ปตท.เข้าไปลงทุน เป็นเกมรุกครั้งสำคัญที่สอดรับกับยุทธศาสตร์การเติบโตของแผน 5 ปีล่าสุด

ก่อนหน้านี้ ในปี 2554 นายเทวินทร์ วงศ์วานิช (ปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ PTTEP) ได้เคยวาดเค้าโครงเอาไว้ถึงการลงทุนครบวงจรของ PTTR เอาไว้ชัดเจนว่า ต้องมีองค์ประกอบครบ 3 ประการ คือ 1) ต้องมีขนาดใหญ่ จึงจะไปแข่งระดับโลกได้ 2) มีความต่อเนื่องความยาวของสายโซ่ธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขัน 3) เข้มแข็งทั้ง Performance ความสามารถในการแข่งขันในเรื่องของประสิทธิภาพ และความแข็งแกร่งโครงสร้างทางด้านการเงิน

โมเดลของการลงทุนในเวียดนามที่แถลงข่าวไป จึงเป็นการนำเอาต้นแบบไปทดลองใช้ หลังจากที่ บริษัท PTT Energy Solutions ซึ่งเป็นบริษัทรับศึกษาความเป็นไปได้โครงการต่างๆ ในเครือ ปตท.ได้ทำการศึกษาความเป็นได้ของโครงการดังกล่าวที่บินห์ ดินห์ เมืองใหญ่ทางตอนกลางของเวียดนาม (ดูแผนที่ประกอบ) โดยที่ขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเบื้องต้น(pre-feasibility study) ได้นำเสนอ จ. Binh Dih และกำลังจะนำเสนอต่อรัฐบาลเวียดนาม คาดว่าจะได้รับการอนุมัติอย่างเร็วที่สุดภายใน 2 เดือน

แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่า โครงการดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลเวียดนามในเวลาที่ต้องการหรือไม่ เพราะธุรกิจพลังงานนั้น คงจะต้องพิจารณาจากหลายแง่มุม เนื่องจากโยงใยเข้ากับความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งจะต้องมีฝ่ายเวียดนามเข้ามาร่วมลงทุนด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งต้องพิจารณาแหล่งเงินทุนประกอบกันด้วย แต่หากไม่มีอุปสรรค PTT ก็คาดว่าโครงการนี้สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มผลิตได้ภายในปี 2562 ซึ่งจะใช้เวลาพัฒนาโครงการและหาพันธมิตรเข้ามาร่วมโครงการประมาณ 6-7 ปี

ตามแผนการดังกล่าว รูปแบบการเข้าลงทุนจะไม่ใช่การ “ฉายเดี่ยว”แน่นอน แต่จะเป็นการร่วมทุน โดยฝ่ายไทยจะมี บริษัท พีทีทีโกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เป็นหลัก ผสมเข้ากับพันธมิตรจากเวียดนาม และพันธมิตรธุรกิจอื่น เช่น ซัพพลายเออร์น้ำมันดิบเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการ

ข้อมูลของ PTT นั้น สอดรับกับข่าวของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น “ต่วยเจร” ของทางการเวียดนามในทำนองเดียวกัน ซึ่งส่งสัญญาณในทางบวกว่า โอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่จะได้รับการอนุมัติ เพราะว่า ในปัจจุบัน เวียดนามมีโรงกลั่นน้ำมันเพียงแห่งเดียวนั่นคือโรงกลั่นน้ำมันในเขตเศรษฐกิจดุงควท ที่มีกำลังการผลิตวันละ 135,000 บาร์เรลต่อวัน (คาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 240,000 บาร์เรลต่อวันในเร็วๆ นี้) ในขณะที่โรงกลั่นน้ำมันหงิเซินที่จะเป็นโรงกลั่นน้ำมันแห่งที่ 2 ของเวียดนามนั้นยังต้องรอการลงนามในสัญญาโครงการแบบงานวิศวกรรมจัดหาและก่อสร้างกับผู้รับเหมาในเดือนธันวาคมนี้ แต่นโยบายของรัฐบาลเวียดนามวางแผนว่าจะให้มีการสร้างโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มอีกอย่างน้อย 4 แห่ง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันให้ได้ถึง 25-30 ล้านตัน ภายในปี 2563

เป้าหมายการลงทุนของ PTT นี้ มุ่งไปที่ตลาดภายในของเวียดนามเองในการรองรับผลิตภัณฑ์และน้ำมัน เนื่องจากเวียดนามมีเศรษฐกิจเติบโตสูงและมีประชากรถึง 80 กว่าล้านคนมากกว่าไทย มีการลงทุนหลั่งไหลไปเวียดนามมาก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันและพลาสติกเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

มองในมุมของธุรกิจ ก้าวย่างครั้งใหม่นี้ สอดรับกับแผนการลงทุน 5 ปี 4 ภารกิจ ซึ่ง PTT ได้ประกาศเอาไว้ว่าจะลงทุนใหม่อีก 9 แสนล้านบาท เพื่อเพิ่มเค้กพลังงาน 52% ประกอบด้วย

ภารกิจ 1 จัดหาพลังงานภายในปี 2563 จะต้องครองส่วนแบ่งพลังงานเพิ่มเป็น 52% จากปัจจุบัน 18% เป้าหมายเป็นน้ำมันและแก๊ส วันละ 9 แสนบาร์เรล ถ่านหินต้องผลิตเป็น 70 ล้านตัน ปาล์มน้ำมันต้องเป็นผู้นำต้นน้ำด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ 500 kHA

ภารกิจ 2 วางแผนใช้เงินลงทุนภายใน 5 ปีนี้กว่า 9 แสนล้านบาทแบ่งเป็น จาก PTT 3.6 แสนล้านบาท PTTEP 3.6 แสนล้านบาท และกลุ่มธุรกิจในเครือ เช่น IRPC และ PTTGC เกือบ 3 แสนล้านบาท ตั้งเป้าเป็นผู้นำในธุรกิจก๊าซธรรมชาติอันดับ 1 ใน 3 ของเอเชีย ไฟฟ้าเป็น 1 ในเอเชีย ปิโตรเคมี สามารถคิดค้นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงในเอเชียแปซิฟิก

ภารกิจ 3 นำพาองค์กรภายในปี 2560 ก้าวเข้าสู่บริษัทชั้นนำของโลกติดอันดับ Global TOP 100 Enterprise หรือติดฟอร์จูน 1 ใน 100 อันดับสร้างรายได้ปีละ 4 ล้านล้านบาทขึ้นไป จากปัจจุบันทำได้ราว 2 ล้านล้านบาท มุ่งเป็นผู้นำการค้าระหว่างประเทศ

ภารกิจ 4 พัฒนารายได้จากระหว่างธุรกิจน้ำมัน (oil) กับไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (nonoil) ให้ได้สัดส่วน 50 : 50 เป็นผู้นำอย่างสมบูรณ์แบบในธุรกิจน้ำมันสีเขียว

การรุกเข้าลงทุนในดินห์ บินห์ ถือได้ว่าเป็นจุดที่เหมาะสม เพราะเมืองดังกล่าวถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาของเวียดนามตอนกลาง ซึ่งถือว่ามีความอุดมสมบูรณ์และมีรากฐานมั่นคงอย่างมาก

ในประวัติศาสตร์ ดินห์ บินห์ คือ เมืองหลวงเก่าของอาณาจักรจามปาที่ล่มสลายไปหลังจากการรบพุ่งยาวนานกับกัมพูชาและเวียดนาม มีความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตรอย่างมาก มีประชากรแน่นอน ปัจจุบัน เป็นแหล่งนิคมอุตสาหกรรมประมง และส่งออกเฟอร์นิเจอร์ที่มีขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของเวียดนาม เป็นส่วนหนึ่งของเขตเศรษฐกิจดานัง ซึ่งมีการพัฒนาสูงที่สุดในประเทศ ถือเป็นประตูเปิดสู่ทั้งภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศ ที่สำคัญคือมีท่าเรือขนาดใหญ่ที่สามารถขนถ่ายสินค้าได้โดยสะดวก เพราะเป็นชุมทางรถไฟและรถยนต์สำคัญ

ที่สำคัญเมืองนี้ถือเป็นแหล่งแรงงานคุณภาพสูงซึ่งมีความกระตือรือร้นในการสร้างตัวเองแข่งกับคนในภาคใต้อย่างเอาการเอางาน ดังจะสังเกตได้จากจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเตอร์เน็ตที่หนาแน่นกว่าจุดอื่นใดของประเทศ

แม้ว่าโครงการดังกล่าวจะเย้ายวนใจอย่างมาก แต่ความสำเร็จของการลงทุนจะเกิดขึ้นได้ ต้องอยู่ที่รัฐบาลกลางของเวียดนามเป็นสำคัญว่าจะยอมรับเงื่อนไขการลงทุนซึ่งมีขนาดใหญ่ไม่แพ้กับการลงทุนในไทยปัจจุบันเลย

ก้าวย่างของ PTT ครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ธุรกิจของกลุ่มก้าวข้ามพรมแดนไปยังอาเซียนเต็มที่แล้ว ยังจะทำให้เวียดนามกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยในอนาคตในอัตราเร่งมากขึ้น เป็นข้อสังเกตที่ท้าทายยิ่งนัก

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 727

โพสต์

PTTGC in talks with Pertamina
Source - Bangkok Post (Eng), Thursday, November 29, 2012
YUTHANA PRAIWAN



Shortlisted as investor inIndonesia complex

The SET-listed PTT Global Chemical Plc (PTTGC), Thailand’s largest petrochemical producer, is in talks with PT Pertamina (Persero) about jointly investing in a US$5-billion integrated oil refinery and chemical complex.

PTTGC, majority-owned by the energy giant PTT Plc, has been shortlisted as a potential investment partner of Indonesia’s state-owned oil and gas producer for the proposed facility on Java, said chief executive Anon Sirisaengtaksin.

"Three companies have proposed feasibility studies for the project. The government will announce the winner next April," he told the Bangkok Post yesterday.

Indonesia has a number of potential investment areas, said Mr Anon, adding that an exact location on the island for this project has not been decided.

"If the company is chosen as the investment partner, then we’ll expect to hold a significant equity stake in the project," he said.

Mr Anon said Indonesia has strong petrochemical and plastics demand on the back of strong economic growth and the large population of 242 million.

Mr Anon said plastics demand has particularly been growing sharply.

The country’s petrochemical production falls short of demand, and most related products are imported,he said.

PTT Exploration and Production Plc acquired a 15% stake in a consortium led by Pertamina to develop Indonesia’s massive East Natuna gas block after Malaysia’s Petronas pulled out of the consortium earlier this year.

Pertamina has a 35% stake in the consortium, while other partners are Exxon Mobil Corporation and Total SA.

The company is seeking several partners to help it develop the block, which has an estimated 46 trillion cubic feet of natural gas, the biggest gas reserves in Asia.

But the gas has a high level of carbon dioxide, requiring a large investment and sophisticated technology to remove.

PTTGC resulted from last year’s merger of PTT Chemical Plc and PTT Aromatics and Refining Plc.

It has earmarked $4.5 billion for a business expansion from 2013-17.

The company now has cash on hand of $1.5 billion and recently issued $1 billion worth of debentures to help finance the five-year plan.

It projects revenue will grow from an estimated 563 billion baht this year to 600 billion in 2017 and 800 billion in 2022.

Mr Anon expects the overall petrochemical industry will see a turnaround next year on the back of a global economic recovery.

He said while the European and US economies are slowing down, Southeast Asia and China will be the major drivers of global economic growth.

Shares of PTTGC closed yesterday on the Stock Exchange of Thailand at 63 baht, down 25 satang, in trade worth 382 million baht.



Caption

Mr Anon said plastics demand is growing sharply in Indonesia.



Source: Bangkok Post
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 728

โพสต์

บางจากห่วง นำเข้าน้ำมัน ผุดโรงกลั่นใหม่
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Thursday, November 29, 2012

ASTVผู้จัดการรายวัน - "บางจาก" ชี้ 5 ปีข้างหน้าไทยใช้น้ำมันใกล้เคียงกำลังการกลั่นในประเทศ จำเป็นต้องมีโรงกลั่นใหม่รองรับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4-5% มิฉะนั้นต้องนำเข้าน้ำมันมาใช้แทน ส่วนแผนตั้งโรงกลั่นบางจากแห่งที่ 2 ขนาด 1.5 แสนบาร์เรล/วัน เชื่อว่าแข่งขันกับโรงกลั่นขนาดใหญ่ได้ เพราะเน้นตลาดในไทย

นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) (BCP) เปิดเผยว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าความต้องการใช้น้ำมันในไทยจะใกล้เคียงกับกำลังการผลิตในประเทศขนาด 1 ล้านบาร์เรล/วัน หากความต้องการใช้น้ำมันเติบโตปีละ 4-5% บางจากฯมีความคิดที่จะสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งที่ 2 ขนาดกำลังการกลั่นไม่น้อยกว่า 1.5 แสนบาร์เรล/วันโดยจะลงทุนต่อยอดไปสู่โรงอะโรเมติกส์เพื่อให้ครบวงจรคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 1 แสนล้านบาท หากไม่มีการสร้างโรงกลั่นน้ำมันใหม่ภายในประเทศแล้ว อนาคตไทยก็คงต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศมาใช้แทน

สำหรับขนาดโรงกลั่นน้ำมันที่ 1.5 แสนบาร์เรล/วันอาจจะเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับโรงกลั่นน้ำมันใหม่ในต่างประเทศ รวมทั้งแผนเสนอสร้างโรงกลั่นน้ำมันขนาด 6.6 แสนบาร์เรล/วันของ ปตท.ที่เสนอต่อเวียดนาม แต่เนื่องจากโรงกลั่นแห่งที่ 2 นี้มีจุดประสงค์เพื่อป้อนตลาดในประเทศ จึงมั่นใจว่าจะสามารถแข่งขันกับโรงกลั่นอื่นๆ ได้ หากจะตั้งโรงกลั่นขนาดใหญ่เพื่อเน้นส่งออกเชื่อว่าจะไม่คุ้มค่าการลงทุนแต่อย่างไร

อย่างไรก็ตาม แผนการตั้งโรงกลั่นน้ำมันแห่งที่ 2 ของบางจากฯคงต้องมอบหมายให้กรรมการผู้จัดการใหญ่บางจากฯคนใหม่เป็นผู้สานต่องาน เนื่องจากพื้นที่โรงกลั่นในปัจจุบันไม่สามารถขยายกำลังการผลิตได้อีกหากจะสร้างโรงกลั่นน้ำมันใหม่คงต้องหาที่ทำเลที่ตั้งติดกับทะเล และต้องศึกษาความเป็นได้ของโครงการ รวมทั้งทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (EHIA) ต้องใช้เวลานาน 8-10ปี หากจะสร้างโรงกลั่นใหม่ก็คงต้องมีการเริ่มต้นศึกษาได้แล้ว

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า ปั๊มน้ำมันบางจากจะมียอดขายน้ำมันใกล้เคียงกำลังการกลั่นของโรงกลั่นบางจากฯที่1.1-1.4 แสนบาร์เรล/วัน ทำให้บริษัทฯต้องมีการศึกษาวางแผนเพื่อการเติบโตในอนาคต ซึ่งการจะไปตั้งโรงกลั่นใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านนั้นบริษัทฯเห็นว่าจะทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสและเห็นว่าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนและสังคมได้ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบันทำให้อุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนได้ ดังนั้นคงไทยจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะให้ประเทศชาติอยู่แค่นี้ หรือจะขยายตัวต่อไปในอนาคต หากไม่สามารถสร้างโรงกลั่นน้ำมันใหม่ได้ บางจากฯก็มองแนวทางการซื้อกิจการหรือร่วมทุนเช่นกัน แต่หากจะให้มีการลงทุนตั้งโรงกลั่นน้ำมันในต่างประเทศนั้นคงไม่ทำ เนื่องจากบางจากฯต้องการเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติบริษัทที่ 2 รองจาก ปตท.ที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ โดยบางจากต้องการเน้นการทำธุรกิจในไทย แม้ว่าจะมีการขยายธุรกิจค้าปลีกน้ำมันไปประเทศเพื่อนบ้านบ้างก็ตาม

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 729

โพสต์

การเมืองเตรียมฮุบกิจการพลังงานของชาติ อดีตรมต.-หลานนายกฯจ่อคิวล็อก 400ใบอนุญาต
แหล่งข่าว : พิมพ์ไทย , วันที่ : 29/11/2012

เผยเบื้องลึก "โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์" นโยบายพลังงานของเฮียเพ้ง "นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เตรียมป้อนงานให้นักการเมืองดัง-หลานนายกฯ-อดีตรมต. เข้าคิวแห่ยื่นจองสัมปทานกว่า 400 โครงการ กำลังการผลิตรวม2,086 เมกะวัตต์ ล้วนเป็นคนใกล้ชิดของ "รัฐบาล"ทั้งสิ้น

แหล่งข่าวจาก "การะทรวงพลังงาน" เปิดเผยว่า จากนโยบายพลังงานของ "นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนล่าสุด ที่ต้องการกลั่นกรองการออกใบอนุญาต"โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์" หรือโซล่าร์เซลล์ หลังจากที่มีเอกชน ยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ถึง 412 โครงการ กำลังการผลิตรวม 2,086 เมกะวัตต์ จากการตรวจสอบเบื้องลึกพบว่า ในจำนวน412 โครงการที่ขอใบอนุญาตก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นั้น ปรากฏว่า มีหลายโครงการเป็นของนักการเมืองและเครือญาตินักการเมือง เช่น บริษัท สยามโซลาร์ เอ็นเนอร์ยี่จำกัด จำนวน 7 โครงการ กำลังการผลิตรวม 69 เมกะวัตต์ และ บริษัท ไทยโซลาร์ เอ็นเนอร์ยี่จำกัด 1 โครงการ กำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ซึ่งทั้งสองบริษัทดังกล่าว เป็นของเป็นของ นายประชา มาลีนนท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นนายรัฐมนตรี

นอกเหนือจากโครงการของ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่มีความใกล้ชิดกับผู้นำรัฐบาลตัวจริงแล้ว ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของหลานนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ บริษัท ยูเนี่ยน อีโค่ พาวเวอร์ จำกัดจำนวน 7 โครงการ กำลังการผลิตรวม 56 เมกะวัตต์ซึ่งบริษัทนี้ เป็นของ นายพิรุณ ชินวัตร บุตรชายของนายพายัพ ชินวัตร มีศักดิ์เป็นหลานของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันอีกด้วย

แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า "ยังมีกลุ่มทุนนักการเมืองใหญ่อีกหลายหลายกลุ่ม ที่มีความใกล้ชิดกับ "รัฐบาล" ที่หันมารุกธุรกิจ "โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์" โดยผ่านการร่วมทุนกับทุนการเมืองและผู้ใกล้ชิดรัฐบาล หรือเป็นการลงทุนในลักษณะใช้ตัวแทน หรือนอมินี่ ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าจะมีการล็อกใบอนุญาตโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ เพื่อเอื้อต่อกลุ่มทุนดังกล่าวจำนวนมาก
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 730

โพสต์

สนพ.จับมือจุฬาระดมความเห็นแผนแม่บทพลังงานของประเทศศึกษาระยะ2เสร็จภายในปีหน้า [ ข่าวหุ้น, 30 พ.ย. 55 ]

นายบัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพลังงานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้า
โครงการจัดทำแผนแม่บทพลังงานของประเทศ 20 ปี เปิดเผยในงานสัมมนาแผนแม่บทพลังงานไทย ระยะที่
1 ซึ่งจัดร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน หรือสนพ. ว่า แผนแม่บทพลังงานจะเป็นการกำหนด
นโยบายด้านพลังงานให้มีทิศทางชัดเจนขึ้นและยังสอดคล้องต่อความต้องการของทุกภาคส่วน
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 731

โพสต์

กันกุลลุ้นงานกังหันลม800ล้าน ตุนแบ็กล็อก 1.5 พันล้าน-เป้ารายได้ปีหน้าโต10% [ ข่าวหุ้น, 30 พ.ย. 55 ]

GUNKUL เผยรายได้ปีหน้าโต 10% จากปีนี้เข้าเป้า 4.3 พันล้านบาท ด้านกำไรมีทิศทางสูงกว่าราย
ได้ เหตุตุนแบ็กล็อก 1.5 พันล้านบาท รับรู้ปีนี้ 500-600 ล้านบาท เผยอยู่ระหว่างรอผลประมูลโครงการ
กังหันลม มูลค่า 800 ล้านบาท และจ่อยื่นเพิ่มอีก 2,000 ล้านบาท รู้ผลกลางปีหน้า
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 732

โพสต์

PTTEPเคาะราคาวันนี้
Source - ข่าวหุ้น (Th), Friday, November 30, 2012

ระดมทุน3พันล้านเหรียญ

"ปตท.สผ." มั่นใจระดมทุนได้ตามเป้าหมาย 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ประกาศราคาขายหุ้นเพิ่มทุนอย่างเป็นทางการ ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯภายในวันนี้

นางสาวเพ็ญจันทร์ จริเกษม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 พ.ย. 2555 ทางบริษัทจะประกาศราคาขายหุ้นเพิ่มทุนกันอย่างเป็นทางการ ซึ่งทางบริษัทยังคงเป้าหมายการหาเงินระดมทุนจำนวน 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐไว้เช่นเดิม

ส่วนกรณีที่ในวานนี้ (29 พ.ย.) ได้มีการรายงานข่าวช่วงราคาขายหุ้นเพิ่มทุนจะอยู่ในกรอบ 135-145 บาท ถือเป็นกรอบราคาที่นักลงทุนได้คาดการณ์เท่านั้น เนื่องจากราคาขายหุ้นเพิ่มทุนแบบสรุปขั้นสุดท้าย ทางบริษัทจะประกาศกันออกมาอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 พ.ย.นี้

“เงินเพิ่มทุนที่ทางบริษัทวางเป้าหมายกันไว้จากการขายหุ้นเพิ่มทุน จะยังคงอยู่ในกรอบประมาณ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แบบบวกลบ ส่วนเรื่องกรอบราคาขายหุ้นเพิ่มทุนที่มีข่าวออกมา น่าจะเป็นการคาดการณ์ของนักลงทุนมากกว่า เพราะราคาสุดท้ายจะประกาศออกมาในวันที่ 30 พ.ย.นี้” นางสาวเพ็ญจันทร์ กล่าว

ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลเพิ่มเติม พบว่า ในกรณีที่ราคาหุ้นเพิ่มทุนอยู่ที่ระดับ 135 บาทต่อหุ้น หากขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมดอยู่ที่ 650 ล้านหุ้น จะส่งผลให้ PTTEP จะได้รับเงินระดมทุนทั้งสิ้น 87,750 ล้านบาท หรือเท่ากับ 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ บนสมมติฐานค่าเงินบาท 31 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ

หากขายหุ้นเพิ่มทุนที่ราคา 140 บาทต่อหุ้น ทาง PTTEP จะได้รับเงินระดมทุนทั้งสิ้น 91,000 ล้านบาท หรือเท่ากับ 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ และหากราคาเพิ่มทุน 145 บาทต่อหุ้น จะได้รับเงินระดมทุนทั้งสิ้น94,250 ล้านบาท หรือเท่ากับ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานข่าววานนี้ว่า จากเอกสารที่รอยเตอร์ได้รับมา ทาง PTTEP ได้กำหนดช่วงราคาขายหุ้นเพิ่มทุนที่ระดับ 135-145 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะระดมทุนได้ 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 650 ล้านหุ้น จะมีราคาส่วนลด 6.1%-12.6% จากราคาปิด 154.5 บาท เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 55

ส่วนเงินที่ได้จากการขายหุ้นดังกล่าว จะถูกนำไปใช้ในการซื้อกิจการ Cove Energy มูลค่า 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ และใช้เป็นเงินทุนต่อการขยายกิจการอื่นๆ ซึ่งทาง PTTEP มีแผนที่จะลงทุน 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในอีก 5 ปีข้างหน้าเพื่อเพิ่มแหล่งพลังงานสำรอง

โดยรอยเตอร์ยังกล่าวอีกว่า การเพิ่มทุนของ PTTEP ครั้งนี้ถือเป็นครั้งใหญ่สุดของประเทศไทย และตอกย้ำถึงการขยายตัวของการระดมทุนในตลาดหุ้นในประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทางบล.ทิสโก้, บล.ภัทร และบลจ.ฟินันซ่าของไทย รวมทั้งแบงก์ ออฟ อเมริกา, ดอยช์แบงก์, โกลด์แมน แซคส์, เจพี มอร์แกน และยูบีเอส เป็นผู้ประสานงานร่วมกันในการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน

ส่วนข้อมูลของธอมสัน รอยเตอร์ ระบุว่า ในระดับสูงสุดของช่วงราคา 135-145 บาท การขายหุ้นครั้งนี้จะทำให้ PTTEP ระดมทุนได้ 9.425 หมื่นล้านบาท หรือเท่ากับ 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากกว่าสถิติสูงสุดเดิมที่ 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐของธนาคารไทยพาณิชย์ที่เคยทำไว้ในงวดปี 2542

ขณะที่นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTEP กล่าวในช่วงที่ผ่านมาว่า วันที่ 30 พ.ย.จะประกาศราคาเสนอขายต่อหุ้น จำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขาย และอัตราส่วนหุ้นสามัญเดิมต่อหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ และกำหนดระยะเวลาจองซื้อตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค. จนถึงเวลา 12.00 น. ของวันที่ 6 ธ.ค. และในวันที่ 7 ธ.ค. 55 จะประกาศผลการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม โดยหุ้นเพิ่มทุนเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในช่วงกลางเดือนธ.ค.นี้

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 733

โพสต์

TOPฟันธงค่าการกลั่นดีอีก2ปี
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th), Friday, November 30, 2012

โพสต์ทูเดย์ -TOP ให้ภาพราคาน้ำมันปีหน้าลดลง ส่วนค่าการกลั่นช่วงปี 2556-2557 ยังดีอยู่ หลังจากนั้นเข้าสู่วงจรขาลง

น.ส.ทอแสง ไชยประวัติ ผู้จัดการแผนกวางแผนการพาณิชย์บริษัท ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่าค่าการกลั่น (GRM) ในไตรมาส 4 นี้ น่าจะลดลงจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเล็กน้อย ซึ่งอยู่ที่ 7.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากโรงกลั่นที่ปิดซ่อมบำรุงในไตรมาส 3 จะกลับมาดำเนินการตามปกติ

สำหรับภาพรวมในปีหน้าบริษัทประเมินว่าราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 105-110 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลลดลงจากค่าเฉลี่ยในปีนี้อยู่ที่ 111 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพราะถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกและความไม่สงบในตะวันออกกลาง

นอกจากนี้ จะมีโรงกลั่นใหม่ทำให้เพิ่มกำลังการผลิต 1.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่มีความต้องการใช้เพียง 1 ล้านบาร์เรล แต่เชื่อว่าGRM ยังดีอยู่ เนื่องจากโรงกลั่นใหม่จากซาอุดีอาระเบียจะเข้ามาในช่วงไตรมาส 4 ของปีหน้า

ขณะเดียวกันจะมีโรงกลั่นในญี่ปุ่นจะปิดการผลิต โดยประเมินว่าระดับ GRM ในระหว่างปี 2556-2557 ยังคงอยู่ในระดับที่ดีอยู่ และคาดว่าจะเริ่มเข้าสู่วงจรขาลงในปี2558 เพราะจะมีกำลังการผลิตจากโรงกลั่นใหม่ๆ ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและจีนเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก

น.ส.ภัทรลดา สง่าแสง ผู้จัดการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ TOP กล่าวว่าค่าการกลั่นรวมเฉลี่ย (GIM) ของบริษัทในปีนี้น่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาในระดับ 7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (ดีอี) ในระดับ0.2 เท่า ตามนโยบายบริษัทจะรักษาดีอีไม่ให้เกิน 1 เท่า ทำให้บริษัทมีศักยภาพในการกู้เงินอีกประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐโดยวงเงินเหล่านี้บริษัทพร้อมจะเข้าไปลงทุนหากมองโอกาสการลงทุนที่ดีเข้ามาในอนาคต แต่ต้องเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ TOP และจะต้องสร้างผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 15% เพื่อจะได้นำคืนกลับในรูปเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น

การลงทุนในต่างประเทศนอกจากบริษัทออกไปลงทุนเอง ก็จะไปลงทุนพร้อมกับกลุ่ม ปตท. มองหาประเทศที่มีความต้องการน้ำมันและปิโตรเคมีในระดับสูง

ทั้งนี้ คณะกรรมการได้อนุมัติแผนลงทุนระยะ 5 ปี ไว้ที่ 1,238 ล้านเหรียญสหรัฐ และอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนเพิ่มเติมอีก 526 ล้านเหรียญสหรัฐ และในจำนวนนี้จะได้รับสิทธิลดหย่อนทางภาษีจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) อีก 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นจะทำให้บริษัทมีการลงทุนโดยเฉลี่ยประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 734

โพสต์

MCSควงพันธมิตรดันกำไรโตแตกไลน์สินค้าเหล็กท่อส่งก๊าซจุดเปลี่ยนธุรกิจรุกตลาดยุโรป [ โพสต์ทูเดย์, 30 พ.ย. 55 ]

"เอ็ม.ซี.เอส.สตีล" เสริมความแข็งแกร่ง จับมือ 2 พันธมิตร "พอสโก้-ยูโรเทค" ขยายตลาดเข้า
ยุโรป หวังดันยอดขายกำไรโต
นายสมพงษ์ เมธาสถิตย์สุข กรรมการ บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล (MCS) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่
ระหว่างการเจรจากับกลุ่มบริษัท พอสโก้ ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ 1 ใน 5 ของโลกเพื่อร่วมมือดำเนินธุรกิจ
เนื่องจากพอสโก้เป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ผลิตเหล็กโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับเรือ แท่นขุดเจาะน้ำมัน
(Module) และ Platform
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 735

โพสต์

TRC เป้าปี 56 รายได้รวมทะลุ 5 พันลบ.,เล็งร่วมทุนตั้ง รง.เอทานอลในเขมร
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 14 พฤศจิกายน 2555 09:27:59 น.

นายภาสิต ลี้สกุล ผู้อำนวยการสายงานบริหารโครงการและการลงทุน บมจ.ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น(TRC)กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมในปี 56 ทะลุ 5,000 ล้านบาท เติบโต 20% จากปี 55 ที่คาดว่าจะทำได้เกินกว่า 4,000 ล้านบาท

ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ(backlog)ราว 4,000 ล้านบาท คาดรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/55 ราว 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือทยอยรับรู้ในปี 56 ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างยื่นประมูลงานก่อสร้างท่อก๊าซของบมจ.ปตท.(PTT) 2 งาน เป็นงานว่างท่อที่ จ.นครสวรรค์ และนครราชสีมา โดยเส้นนครสวรค์ยื่นประมูลไปแล้วคาดรู้ผลสิ้นเดือน พ.ย.นี้ มูลค่างานที่จะได้รับราว 2,000 ล้านบาท ส่วนเส้นนครราชสีมามูลค่างาน 3,000-4,000 ล้านบาท คาดประกาศให้ยื่นเสนอประมูลไตรมาส 1/56 และรู้ผลช่วงเดือน เม.ย.56

ส่วนงานในต่างประเทศ ขณะนี้รับงานเดิมที่ประเทศโอมานเป็นงานวางท่อก๊าซ แต่จะเซ็นสัญญางานล็อตใหม่ไตรมาส 2/56 อีก 200 กว่าล้านบาท รับรู้รายได้ภายใน 1 ปีจากนั้น

นายภาสิต กล่าวอีกว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาโครงการก่อสร้างโรงงานเอทานอลในประเทศกัมพูชา มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นสัดส่วนถือหุ้น 50:50 ประเมินเงินลงทุนในส่วนของ TRC ราว 600 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากกระแสเงินสดและเงินกู้

โรงงานดังกล่าวจะใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบหลัก และขายเอทานอลเพื่อป้อนลูกค้าต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลี กำลังการผลิตเบื้องต้น 1 แสนลิตร/วัน คาดสรุปแผนการลงทุนได้ภายในปี 56 ซึ่งจะทำให้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้จะมาจากการลงทุน 30% ในปี 58 จากปัจจุบันเป็นรายได้จากงานรับเหมาทั้ง 100%

"รายได้จากการลงทุนจะมีรายได้ที่แน่นอนเมื่อเทียบกับงานก่อสร้างจะมีความเสี่ยงเรื่องโครงการภาครัฐ ปิโตรเคมี ซึ่งก็ผันผวนขึ้นอยู่กับภาวะอุตสาหกรรมด้วย เช่น ช่วงมีปัญหามาบตาพุดงานก็ลดลงไป"นายภาสิต กล่าว

บริษัทยังสนใจที่จะศึกษาโอกาสการลงทุนหรือการรับงานในประเทศพม่าด้วย แต่ขณะนี้ยังติดปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย และสถาบันการเงินยังเข้มงวดในการปล่อยกู้มากกว่าการลงทุนในประเทศอื่น

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/55 ทั้งรายได้และกำไรจะสูงกว่างวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้ 600 กว่าล้านบาท ซึ่งจะทำให้รายได้รวมปีนี้น่าจะทะลุ 4,000 ล้านบาท เติบโตเกือบ 100% จากปี 54 ที่มีรายได้ 2,262 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 150 ล้านบาท โดยกำไรปีนี้ก็น่าจะโตในทิศทางเดียวกับรายได้ เพราะ 6 เดือนกำไรไปแล้ว 136 ล้านบาท

ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากงานในประเทศ 90% งานต่างประเทศ 10% ปีนี้จะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ 15% อัตรากำไรสุทธิที่ 7.8%

นายภาสิต เปิดเผยเพิ่มเติมว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการย้ายหุ้นจากที่เทรดอยู่ในตลาดเอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อเข้ามาเทรดในตลาดหลักทรัพย์ SET ในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้าง เพื่อให้เป็นที่น่าสนใจเข้ามาลงทุนของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งปัจจุบัน TRC มีคุณสมบัติครบทุกข้อจะเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ SET ได้แล้ว
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 736

โพสต์

PTTEP: แหล่งข่าวเผย PTTEP จะขายหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมหุ้นละ 142 บาท
กรุงเทพฯ--30 พ.ย.--รอยเตอร์
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 737

โพสต์

pak เขียน:PTTEP: แหล่งข่าวเผย PTTEP จะขายหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมหุ้นละ 142 บาท
กรุงเทพฯ--30 พ.ย.--รอยเตอร์
ข้อมูลเพิ่มเติม ที่ http://thaipublicoffering.com/
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 738

โพสต์

พลังงานเปิดขายซอง20ธ.ค.ประมูล'ไอพีพี'1.1แสนล้าน
Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Saturday, December 01, 2012

"พงษ์ศักดิ์" ไฟเขียวเปิดประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพี ขนาด 5,400 เมกะวัตต์ วงเงินลงทุนกว่า 1.1 แสนล้านบาท เปิดขายเอกสาร 20 ธ.ค.นี้ รู้ผลเดือนมิ.ย.56 เล็งปรับแผนพีดีพี 2013 อีกรอบ เน้นใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า เหตุราคาก๊าซพุ่งต่อเนื่อง ดันค่าไฟพุ่ง 5 บาทต่อหน่วย

นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เตรียมเปิดประมูลรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) รอบ 3 รวม 5,400 เมกะวัตต์ ซึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงทั้งหมด มียอดเงินลงทุนรวม 1.134 แสนล้านบาท โดยจะเปิดขายเอกสาร วันที่ 20 ธ.ค.2555 - 21 ม.ค. 2556 กำหนดยื่นข้อเสนอวันที่ 12 มี.ค.2556

"การพิจารณาคัดเลือกเป็นอำนาจของ กกพ. ทั้งหมด เป็นไปตามแผนพัฒนาไฟฟ้าระยะยาว หรือ พีดีพี 2012 ฉบับปรับปรุงรอบที่ 3 โดยจะรู้ผลการคัดเลือกในเดือนมิ.ย. 2556"

อย่างไรก็ตาม ในปี 2556 จะปรับแผนพีดีพี 2013 อีกครั้ง เน้นใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน และรับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะต้นทุนก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าจะปรับสูงขึ้น 5 บาทต่อหน่วยในปี 2573 จากปัจจุบัน 3 บาทต่อหน่วย

นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ กกพ. พิจารณาเปิดให้ภาคเอกชนใช้ระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เพื่อให้มีผู้ค้าก๊าซธรรมชาติรายอื่นเข้ามาขายก๊าซแข่ง ปตท. รวมทั้งการเปิดให้เข้ามาใช้ระบบส่งไฟฟ้า เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)ปี 2558 โดยให้ กกพ.คำนวณค่าเชื่อมต่อการเข้ามาใช้บริการให้เหมาะสม

"กกพ.ได้รายงานผลกระทบจากการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า โดยเป็นห่วงว่าช่วงการใช้ไฟฟ้าสูงสุดหรือช่วงพีค หากระบบส่งก๊าซเกิดปัญหา ไฟฟ้าจะตกและดับ เพราะปัจจุบันไทยพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าถึง 70%"

ทั้งนี้ กระทรวงฯได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางเพิ่มสำรองก๊าซมากขึ้น โดยบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ต้องลงทุนในต่าง

ประเทศเพื่อแสวงหาแหล่งก๊าซป้อนให้ไทย เช่นเดียวกับการลงทุนในประเทศโมซัมบิก และ ปตท.ก่อสร้างคลังเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) เฟส 2 อีก 5 ล้านตัน เมื่อรวมกับเฟสแรกจะรองรับได้ถึง 10 ล้านตัน

ส่วนการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ได้มอบหมายให้ กกพ.พิจารณาออกกฎระเบียบดูแลให้รอบคอบ เพราะปัจจุบันการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ออกใบอนุญาตรับซื้อถึง 4,000 เมกะวัตต์ ขณะที่แผน พีดีพี กำหนดรับซื้อเพียง 2,000 เมกะวัตต์ เป็นการเพิ่มภาระต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าอัตโนมัติหรือค่าเอฟทีให้สูงขึ้น

นอกจากนี้ การอ้างอิงตัวเลขต้นทุนค่าไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในอดีต ซึ่งการผลิต 1 เมกะวัตต์ ต้องใช้เงินลงทุน 120 ล้านบาท แต่ปัจจุบันลดเหลือ 70 ล้านบาทเท่านั้น จึงไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภคที่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าในราคาแพง และเป็นไปไม่ได้ที่จะรับซื้อไฟฟ้าทั้งหมด



ต้องเน้นการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า เพราะราคาก๊าซเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 739

โพสต์

คอลัมน์ขี่พายุ : พลังตลาดทุนดันปตท.สผ.ผงาดฟ้า
Source - ข่าวหุ้น (Th), Monday, December 03, 2012
กรุงเทพฯ--3 ธ.ค.--ข่าวหุ้น



คอลัมน์ขี่พายุ : พลังตลาดทุนดันปตท.สผ.ผงาดฟ้า

ในรอบ 3 ปีมานี้ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือปตท.สผ. อันเป็นบริษัทลูกของปตท.ในสัดส่วนที่ปตท.ถือหุ้นอยู่65% ได้เข้าซื้อกิจการในต่างประเทศถึง 3 รายใหญ่ๆ

การลงทุนในแหล่งมอนทานา น่านน้ำออสเตรเลีย ซึ่งมีทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ มูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านบาท

ลงทุนใน “ออยล์ แซนด์” หรือ “ทรายน้ำมัน” ในแคนาดา มูลค่าลงทุนประมาณ 6 หมื่นล้านบาท

และล่าสุดคือ “โคฟ เอเนอร์จี” ในโมแซมบิก ประมาณการกันว่ามีปริมาณก๊าซสำรองมากกว่าก๊าซในอ่าวไทยถึง 6 เท่าตัว มูลค่าลงทุนประมาณ 6.8 หมื่นล้านบาท

รวมๆ แล้วเกือบ 2 แสนล้านบาท ใช้เงินลงทุนจากผลประกอบการตัวเองบ้าง และการใช้ประโยชน์จากตลาดทุนทั้งในรูปหุ้นกู้และการเพิ่มทุน

โคฟ เอเนอร์จี มูลค่าลงทุนมหึมานี้ ไม่ต้องใช้เงินสักบาทเดียว แต่ใช้การเพิ่มทุนจากการที่บริษัทมีเครดิตความน่าเชื่อถือที่ดีมาก

แรกๆ ที่ปตท.สผ.ประกาศเพิ่มทุน นักลงทุนก็ตกใจ ราคาในกระดานรูดเอาๆ จากระดับ 170 บาทมาสู่ระดับ 150 บาท

แต่หลังจากทำความเข้าใจกับนักลงทุน โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ ปตท. จะใช้สิทธิเพิ่มทุนเต็มจำนวน นั่นหมายถึงราคาหุ้นที่เรียกว่า “ไดลูชั่น เอฟเฟ็กต์” จะไม่ได้รับผลกระทบมากจากการเพิ่มทุน

และปตท.สผ.ก็ใช้วิธีการเพิ่มทุนที่เรียกว่า “บุ๊ค บิลด์” ให้กองทุนต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ เสนอราคาที่เหมาะสมเข้ามา อันถือว่าเป็นการเสนอราคาที่ยุติธรรมที่สุด

ราคาที่เสนอเข้ามาอยู่ในช่วงระหว่าง 135-145 บาท ผลสุดท้าย ราคาออกมาที่ 142 บาท

จำนวนหุ้นที่เสนอขายเพิ่มทุนเพียง 650 ล้านหุ้นเท่านั้น (จากหุ้นทุนจดทะเบียนเดิม 3,320 ล้านหุ้น) ในราคาใช้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิม 1หุ้น:0.195 หุ้นใหม่เท่านั้น

หุ้นเพิ่มทุนปตท.สผ.แค่ 19.5% เอง ได้เงินจากการเพิ่มทุนไปถึง92,300 ล้านบาท

ท่วมเงินลงทุนในโคฟเอเนอร์จี และก็ยังเหลือเงินทุนหมุนเวียนใช้จ่ายดำเนินงาน

นี่คือการขยายกิจการโดยอาศัยพลังตลาดทุน จึงสามารถมีเงินไปลงทุนขนาดใหญ่โตในต่างประเทศโดยไม่ต้องควักเงินตัวเองแม้แต่บาทเดียว

นึกย้อนทวนอดีตแต่หนหลัง ที่มีการคัดค้านการแปรรูปปตท.และให้เพิกถอนปตท.ออกจากตลาดหุ้นต่อศาลปกครอง

ถ้ามีอันต้องเป็นไปตามนั้น ก็คงจะไม่มีบริษัทน้ำมันแห่งชาติที่แข็งแกร่งและแตกลูกแตกหลานออกไปขยายกิจการใหญ่โตได้เหมือนทุกวันนี้

เราเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าปิโตรเลียม แต่สามารถจะแปรจุดด้อยเป็นจุดเด่นได้ มีไฟฟ้า น้ำมัน และปิโตรเคมีใช้โดยไม่ขาดแคลน ก็ถือเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจแล้ว

อนาคตเรืองรองเช่นทุกวันนี้ คงไม่เกิดขึ้นเลย หากปตท.พ่ายแพ้พลังไดโนเสาร์ และพลังชาตินิยมคับแคบในครานั้น

ปตท.สผ.ประสบผลสำเร็จในการเพิ่มทุนอย่างงดงามโดยอาศัยพลังตลาดทุน ผู้ถือหุ้นก็หมดความกังวลใจ ราคาเพิ่มทุน 142 บาทระดับนี้ ไม่ถือว่ามากและก็ไม่น้อยไป

ต่อจากนี้ราคาหุ้นปตท.สผ.ที่แป้กมานาน รวมทั้งหุ้นปตท.ก็คงจะได้ทะยานเดินทางไกลเสียที

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 740

โพสต์

ปตท.เมินคืนเงินคอลล์แบ็ก
Source - ไทยโพสต์ (Th), Monday, December 03, 2012

ปตท.ต่อรองเรกูเลเตอร์ ขอเปลี่ยนเงินคอลล์แบ็กจากการไม่สร้างท่อเป็นการตรึงค่าผ่านท่อแทน ด้าน กกพ.เร่งศึกษาหาความเหมาะสม เผยหากใช้วิธีเรียกเงินคืนจะช่วยลดค่าเอฟทีได้ 5 สตางค์ต่อหน่วย และพร้อมเริ่มปี 2556

นางพัลลภา เรืองรอง กรรม การกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือ เรกูเลเตอร์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเรียกเงินคืนจาก บมจ.ปตท. กรณีไม่ก่อสร้างขยายท่อส่งก๊าซธรรม ชาติตามแผนงาน (คอลล์แบ็ก) ที่แจ้งกับ เรกูเลเตอร์ไว้ว่า ขณะนี้กำลังพิจารณาเก็บเงินคอลล์แบ็กจากการที่ไม่ได้ลงทุนสร้างท่อก๊าซธรรมชาติตามแผนที่วางไว้เมื่อช่วง3-5 ปีที่ผ่านมา และยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากปตท. เสนอที่จะเปลี่ยนจากการจ่ายคืนเงิน คอลล์แบ็ก มาเป็นการไม่ขึ้นค่าผ่านท่อก๊าซ ธรรมชาติครั้งต่อไป ซึ่งเรกูเลเตอร์จะนำข้อเสนอทั้งหมดมาหารือว่าทางเลือกใดจะเป็นประโยชน์กับประชา ชนมากกว่ากัน ระหว่างการไม่ขึ้นค่าผ่านท่อก๊าซฯ หรือการเก็บเป็นเงินก้อนครั้งเดียว เพื่อนำมาลดอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือ เอฟที ในครั้งต่อไป

"การเรียกเงินคอลล์แบ็กจาก ปตท. จะต้องได้ข้อสรุปในไตรมาสแรกของปี 2556 เพื่อนำเงินก้อนนี้มาบรรเทาการขึ้นค่าเอฟทีให้กับประชาชนในครั้งต่อไป ส่วนการเรียกเงินคอลล์แบ็กจากการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ก็ยังไม่มีการเรียกเก็บเพิ่ม เพราะการเก็บเงินคอลล์แบ็กคืนทุกปีจะไม่เป็นธรรม เนื่องจากทุกปีจะมีการลงทุนเพิ่มอย่างต่อเนื่องดังนั้น เวลาที่เหมาะสมในการคำนวณค่าคอลล์แบ็กควรจะคำนวณเรียกคืนในทุกๆ 3 ปี จึงจะเหมาะสม" นางพัลลภา กล่าว

สำหรับการคิดคำนวณต้นทุนค่าผ่านท่อ เพื่อนำมาปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาในเรื่องของต้นทุนการจัดหาก๊าซธรรมชาติ และค่าความเสี่ยงในการจัดหาก๊าซธรรมชาติ ว่าต้นทุนทั้ง 2 ส่วนนี้ควรจะมีจำนวนเท่าไร เพื่อให้ราคาก๊าซธรรมชาติมีความเป็นธรรมทั้งในส่วนของผู้ผลิต และผู้บริโภค ซึ่งคาดว่าจะหาข้อสรุปได้ในช่วงเดือน ม.ค. ปี 2556

แหล่งข่าวเรกูเลเตอร์ กล่าวว่า ปริมาณเงินที่จะเรียกคืนเงินจาก ปตท. กรณีไม่สร้างท่อก๊าซฯ ตามแผนงานเพื่อนำมาลดค่าเอฟทีให้ประชาชนนั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่เป็นปริมาณที่มากเพียงพอจะนำมาลดค่าเอฟทีได้ 5 สตางค์ต่อหน่วย โดยหากเรกูเลเตอร์พิจารณาใช้วิธีเรียกเงินคืนเป็นก้อนทันที จะสามารถนำมาลดค่าเอฟทีให้ประชาชนได้ตั้งแต่ต้นปี 2556 ซึ่งเรกูเลเตอร์จะไม่ใช้วิธีหักลดค่าเอฟทีทีเดียวทั้งหมด แต่จะเป็นการทยอยลดค่าเอฟทีในแต่ละงวดลงจนครบวงเงินที่ ปตท.ต้องจ่ายคืน.

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 741

โพสต์

PTTEPปลดล็อกเพิ่มทุน
Source - ข่าวหุ้น (Th), Monday, December 03, 2012


เป้าหมายหุ้นสู่195บาท

“ปตท.สผ.” ปลดล็อกเรื่องเพิ่มทุน เคาะราคาขายหุ้นละ 142 บาท “เทวินทร์” ลั่นถือเป็นการระดมทุนครั้งประวัติศาสตร์ สูงที่สุด มูลค่า 92,300 ล้านบาท ฟากวงการเงินชี้ช่วยเสริมแกร่งฐานะการเงิน วางราคาเป้าหมายหลังเพิ่มทุน 195 บาท

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ประกาศราคาเสนอขายสุดท้ายของหุ้นเพิ่มทุนที่ 142 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นการกำหนดราคาจากวิธีการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์จากนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding)

สำหรับจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ที่จะเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท มีจำนวนทั้งสิ้น 650 ล้านหุ้น ในอัตราส่วน 1 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 0.195783 หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ และคาดว่าวงเงินการเพิ่มทุน มีมูลค่าประมาณ 92,300 ล้านบาท หรือประมาณ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ

“ราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของตลาดที่มีต่อหุ้นเพิ่มทุนของ PTTEP เราได้รับการตอบรับที่ดีจากการเดินสายชี้แจงข้อมูลต่อนักลงทุนทั้งในประเทศไทย สิงคโปร์ ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และเพื่อให้มั่นใจในเรื่องความโปร่งใสและยุติธรรมทางปตท.จึงไม่ได้เข้าร่วมกระบวนการ bookbuilding” นายเทวินทร์ กล่าว

นายเทวินทร์ ได้กล่าวอีกว่า การเพิ่มทุนของ PTTEP ในครั้งนี้ นับเป็นการระดมทุนที่มีมูลค่าสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย และถือเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัท และสนับสนุนให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

นอกจากนี้ ทางบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ยังพร้อมสนับสนุนแผนการระดมทุนของ PTTEP กันอย่างเต็มที่ด้วยการแสดงความตั้งใจที่จะจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ตามสิทธิ เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ทั้งนี้ PTT มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในอัตรา 65.29% หรือมีหุ้นรวมทั้งสิ้น 2.1 พันล้านหุ้น

ทั้งนี้ ในเอกสารของ PTTEP ยังได้ระบุอีกว่า ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่สามารถคำนวณจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ที่ตนเองมีสิทธิจองซื้อได้ โดยการคูณจำนวนหุ้นสามัญที่ถืออยู่ ณ วันที่ 12 พ.ย. 2555 (Record Date) ตามที่ระบุไว้ในหนังสือยืนยันสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน PTTEP

อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหุ้นสามัญเดิมต่อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ 1 ต่อ 0.195783 โดยหากมีเศษหุ้นจากการคำนวณจะทำการปัดเศษหุ้นทิ้ง ส่วนระยะเวลาที่เปิดให้จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจะอยู่ตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค. จนถึงเที่ยงวันที่ 6 ธ.ค. 2555 ขณะที่การประกาศผลการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจะประกาศตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค.นี้

สำหรับความเคลื่อนไหวราคาหุ้น PTTEP ในช่วงวันศุกร์ที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากทางบริษัทได้ประกาศราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนกันอย่างเป็นทางการผ่านทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อช่วงเวลา 09.00 น. ได้ผลักดันให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นทันทีตั้งแต่ช่วงเปิดตลาดในระดับ 157 บาท สูงกว่าราคาปิดเดิมที่ 154 บาท

โดยหลังจากนั้นราคาหุ้น PTTEP ได้เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 158-160.50 บาท ตลอดช่วงเวลาการซื้อขาย ซึ่งทำราคาสูงสุดประจำวันที่ระดับ 160.50 บาท และปิดการซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ 159 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 5 บาท หรือเพิ่มขึ้น 3.25% มีมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นสูงถึง 2,583 ล้านบาท

ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า สำหรับราคาหุ้นเพิ่มทุนของ PTTEP ที่จำนวน 142 บาท ถึงแม้จะต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ 150 บาท แต่ยังถือเป็นระดับราคาที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี เพราะทำให้ PTTEP สามารถมีโอกาสได้รับเงินระดมทุนเกินกว่า 9 หมื่นล้านบาทได้

อีกทั้งหากทาง PTTEP สามารถขายหุ้นเพิ่มทุนได้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ จะส่งผลบวกต่อทางบริษัทให้มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับลดความกังวลที่บริษัทถูกปรับลดอันดับเครดิตลงได้ โดยฝ่ายวิเคราะห์ได้ประเมินราคาเป้าหมายหลังการเพิ่มทุนไว้ที่ระดับ 172.55 บาทต่อหุ้น ส่วนประเด็นการไดลูชั่นจะส่งผลประมาณ 16.5% ต่ออัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ EPS เป็นหลัก ส่วนไดลูชั่นทางราคาจะมีผลเพียงแค่เล็กน้อย

ขณะที่บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ทางฝ่ายวิจัยได้ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ PTTEP ณ สิ้นปี 2556 เท่ากับ 195.69 บาทต่อหุ้น (รวมผลกระทบการเพิ่มทุนแล้ว) คงคำแนะนำ “ซื้อ” หลังจากปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวยังมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากโครงการลงทุนใหม่ๆ โดยคาดการณ์ผลการดำเนินงานงวดปี 2555 มีกำไรสุทธิจำนวน 58,401 ล้านบาท สูงกว่าปี 2554 ที่มีกำไรสุทธิ 44,748 ล้านบาท ส่วนในปี 2556 จะมีกำไรสุทธิ 62,565 ล้านบาท

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 742

โพสต์

SRICHAงานใหม่เข้า2พันล้าน [ ข่าวหุ้น, 3 ธ.ค. 55 ]

ศรีราชาคอนสตรัคชั่นโล่งอก งานใหม่เข้า 1.5 พันล้านบาท หลังบอร์ดโรงกลั่นแถวศรีราชา อนุมัติ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ดันงานก่อสร้างในมือเพิ่มเป็น 2 พันกว่าล้านบาท มีลุ้นอีก 2 งานก่อนสิ้นปี ด้านโบรกฯ
เล็งปรับเป้าราคาใหม่ หลังเข้า MSCI และได้งานใหม่ Q4 กำไรดีต่อเนื่อง
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 743

โพสต์

TTWทุ่ม2.38หมื่นล้านลงทุน5ปี ลุยโครงการพลังงาน ตั้งเป้ารายได้โตปีละ 15% [ ข่าวหุ้น, 3 ธ.ค. 55 ]

"น้ำประปาไทย" ตั้งเป้ารายได้ช่วง 5 ปี เติบโตเฉลี่ยปีละ 15% ทุ่มงบลงทุนรวม 2.38 หมื่นล้าน
บาท เตรียมลุยโครงการพลังงานในปี 2556 ลงทุนโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มและโรงไฟฟ้าไบโอแมส รวมทั้ง
มองหาโอกาสลงทุนโครงการพลังงานลม พร้อมคาดจะเข้าซื้อกิจการผลิตน้ำประปาในประเทศ 1 แห่ง
ใช้เงินลงทุนราว 1,000 ล้านบาท
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 744

โพสต์

UAC ลุ้นปี 58 รายได้แตะ 3 พันลบ.,เล็งตั้งโรงงานผลิต Bio Oil ในพม่า-ไทย

บมจ.ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลส์(UAC)คาดว่ารายได้จากพลังงานทดแทนจะเข้ามาเสริมธุรกิจเดิมที่เป็นการจำหน่ายอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ปกติมีอัตราเติบโตปีละ 10-15% โดยจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตเฉลี่ยปีละ 30% ภายในช่วง 3 ปีข้างหน้าในช่วงการทยอยรับรู้รายได้ตามกำหนดที่แต่ละโครงการแล้วเสร็จ และคาดว่ารายได้...จะพุ่งขึ้นเป็นกว่า 2 พันล้านบาทในปี 58 เมื่อโครงการโรงผลิตก๊าซแล้วเสร็จครบถ้วนตามแผนงาน และมีโอกาสลุ้นทำรายได้ถึง 3 พันล้านบาท หากราคาก๊าซปรับตัวสูงขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้

บริษัทยังมีการลงทุนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้อยู่ระหว่างการวางแผนธุรกิจเพื่อดำเนินโครงการผลิต Bio Oil จากของเสียในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม โดยเฉพาะกากปาล์ม ซึ่งผลผลิตที่ได้มีคุณสมบัติใกล้เคียงน้ำมันเตา โดยกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการตั้งโรงงานในพม่า และทางภาคใต้ของไทย หลังจากเตรียมเดินหน้าโครงการผลิตก๊าซชีวภาพอัดความดันสูง(CBG)อีก 20 แห่งทั้งลงทุนเองและร่วมทุนกับภาคธุรกิจท้องถิ่นที่จะแล้วเสร็จและสร้างรายได้เต็มที่ในปี 58

ขณะที่โครงการร่วมทุนระบบน้ำดีและน้ำเสียในพม่ากับ บมจ.ไฮโครเทค(HYDRO)โครงการแรกจากทั้งหมด 2 โครงการ ใกล้ได้ข้อสรุปและน่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปีหน้า เช่นเดียวกับโครงการไบโอดีเซลที่ร่วมทุนกับ บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP) ในนามบริษัท บางจากไบโอฟลูเอล จำกัด ก็คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปีหน้าเช่นกัน

ส่วนโครงการโรงแยกก๊าซ Petroleum Product Production (PPP) ที่ จ.สุโขทัย จะก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 1/56 และเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/56

อินโฟเควสท์
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 745

โพสต์

มะกันจ่อขึ้นแท่นผลิตน้ำมันเบอร์ 1 พลิกโฉมโครงสร้างพลังงานโลก
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, updated: 19 พ.ย. 2555 เวลา 13:55:03 น.
13533079841353308053l.jpg
การบูมของน้ำมันจากหินดินดานจะผลักดันให้สหรัฐผงาดเป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับหนึ่งของโลกแทนที่ซาอุดีอาระเบียภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านพลังงานของประเทศนี้เท่านั้น จะสะเทือนต่อทิศทางเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงของโลกด้วย

นิวยอร์ก ไทมส์ อ้างรายงานของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ว่า สหรัฐจะกลายเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันมากที่สุดของโลกในปี 2560 และเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติเบอร์หนึ่งแทนที่รัสเซียภายในปี 2558 นำไปสู่ "การพลิกผันครั้งใหญ่ของแนวโน้มพลังงาน"

IEA ยังคาดการณ์ด้วยว่า ความต้องการพลังงานทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 35-46% ในช่วงปี 2553-2578 การเติบโตส่วนใหญ่มาจากจีน อินเดีย และตะวันออกกลาง

ฟาตีห์ ไบรอล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IEA ซึ่งเป็นผู้เขียนหลักของ "World Energy Outlook" กล่าวว่า "รากฐานของระบบพลังงานโลกกำลังเปลี่ยนแปลง" น้ำมันจากตะวันออกกลางที่เคยผูกพันกับมะกันจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังจีน เช่นเดียวกับถ่านหินในสหรัฐซึ่งกำลังเผชิญกับดีมานด์ในประเทศที่ลดลงก็จะมุ่งหน้าไปยังยุโรปและจีนแทน

มีหลายปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของซัพพลายพลังงานโลก แต่สาเหตุหลักคือการพุ่งขึ้นของปริมาณการผลิตน้ำมันและก๊าซในสหรัฐ โดยเฉพาะจากแหล่งสำรองแห่งใหม่อย่างน้ำมันและก๊าซที่พบในหินดินดาน ซึ่งมีอยู่เหลือเฟือในสหรัฐ

ภายในปี 2563 มะกันจะผลิตน้ำมันได้ 11.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากระดับ 8.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2554 ในช่วงเวลาเดียวกัน ซาอุฯผลิตน้ำมันลดลงเหลือ 10.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมวันละ 11.1 ล้านบาร์เรล แต่ภายในปี 2573 ซาอุฯ จะกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์สำเร็จด้วยกำลังการผลิต 11.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน เทียบกับสหรัฐที่ 10.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ภายใน 10 ปี สหรัฐจะนำเข้าน้ำมันต่ำลงกว่าเดิมเกินครึ่ง คือจาก 10 ล้านบาร์เรลต่อวันในขณะนี้เหลือวันละ 4 ล้านบาร์เรล

ภาพรวมของก๊าซธรรมชาติอาจเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันยิ่งกว่า IEA คาดว่าภายในปี 2558 สหรัฐจะผลิตก๊าซธรรมชาติได้ 679 ล้านลูกบาศก์เมตร จาก 604 ล้าน ลบ.ม.ในปี 2553 ซึ่งเพียงพอที่จะนำหน้ารัสเซียที่จะผลิตก๊าซดังกล่าวได้ 675 ล้าน ลบ.ม.ในอีก 3 ปีข้างหน้า

"นโยบายด้านพลังงานทั้งหมดของสหรัฐมุ่งไปที่การรับมือความขาดแคลน ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากออยล์ช็อกในทศวรรษ 1970 แต่ตอนนี้เรามีข้อเท็จจริงที่ต่างออกไป เพราะมาถึงยุคที่พลังงานมีใช้อย่างเพียงพอ" เควิน บุค กรรมการผู้จัดการใหญ่ของเคลียร์วิว เอนเนอจี้ พาร์ตเนอร์ส กล่าว

สำหรับภาคธุรกิจในแดนลุงแซม การพลิกผันของทิศทางพลังงานหมายถึงโอกาสที่เพิ่มขึ้น ก๊าซธรรมชาติที่มีปริมาณมากและราคาไม่แพง ทำให้ต้นทุนด้านพลังงานสำหรับการผลิตสินค้าผู้บริโภคลดลง

ในรายงานยังชี้ถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่กระทบต่อซัพพลายพลังงานโลก ได้แก่ การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมน้ำมันในอิรัก ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 8 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2578 จนแซงหน้ารัสเซียกลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันเบอร์สองของโลกรองจากซาอุฯ รวมถึงการตัดสินใจของหลายประเทศอย่างเยอรมนี และญี่ปุ่น ที่จะถอยห่างจากพลังงานนิวเคลียร์

IEA ยังชี้ด้วยว่า ความเป็นอิสระด้านพลังงานของสหรัฐเชื่อมโยงกับการคงกองกำลังทหารอเมริกันในภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย แม้กลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก (OPEC) จะยังคงเป็นมหาอำนาจด้านน้ำมัน แต่น้ำมันที่ผลิตได้จะไหลไปยังประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างจีนและอินเดียในสัดส่วนสูงขึ้น แทนที่จะส่งออกไปยังอเมริกาเหนืออย่างในปัจจุบัน "ทิศทางของการค้าน้ำมันระหว่างประเทศจะมุ่งไปยังฝั่งเอเชียมากขึ้น การดูแลความปลอดภัยของเส้นทางขนส่งน้ำมันระหว่างตะวันออกกลางกับตลาดในเอเชียจะกลายเป็นประเด็นสำคัญกว่าเดิม"

ทุกวันนี้ จีนคือผู้บริโภคน้ำมันครึ่งหนึ่งที่ผลิตได้ในแถบอ่าวเปอร์เซีย และอีกไม่ถึง 20% ส่งออกไปสหรัฐ ภารกิจดูแลเส้นทางขนส่งน้ำมันแถบตะวันออกกลางซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของนาวิกโยธินอเมริกันมีค่าใช้จ่ายราว 6-8 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี หากปัญหาหนี้สาธารณะของมะกันยังไม่คลี่คลาย ซึ่งหมายถึงการตัดลดรายจ่ายเพื่อประคับประคองฐานะการคลัง ประกอบกับสหรัฐลดการพึ่งพาพลังงานจากอ่าวเปอร์เซีย ภารกิจดูแลความปลอดภัยในภูมิภาคดังกล่าวอาจถูกลดบทบาทลง และขั้วอำนาจในตะวันออกกลางอาจเกิดการเปลี่ยนแปลง
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
ภาพประจำตัวสมาชิก
CHiNU_Vi
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 627
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 746

โพสต์

Shell CEO Voser: Shale gas revolution will transform US

http://news.bbc.co.uk/2/hi/programmes/h ... 774435.stm
Always Smiling :)
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 747

โพสต์

ปตท.สยายปีกลงทุนเพิ่ม
Source - สยามรัฐ (Th), Tuesday, December 04, 2012

นสพ.พนมเปญโพสต์ได้รายงานข่าว อ้างนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)ว่า ปตท.มีแผนศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันในกัมพูชา อินโดนีเซีย และพม่า

อย่างไรก็ดี โฆษกการปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชาระบุว่าจนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจาก ปตท.แต่อย่างใด

ขณะที่ แหล่งข่าวจากกลุ่มเอ็นจีโอของกัมพูชาระบุว่า แผนการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชาเพราะจะช่วยให้เกิดการแข่งขันด้านราคาระหว่างผู้ประกอบการเนื่องจากจนถึงปัจจุบันกัมพูชามีโครงการสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งเดียว โดยเมื่อปี 2554 บริษัท Cambodian Petrochemical Company ของกัมพูชา ลงนามกับบริษัท China National Automation Control System Corporation และบริษัท Chinese - Sino ของจีน เพื่อก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันมูลค่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่จังหวัดกัมปอต

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 748

โพสต์

คอลัมน์: สัมภาษณ์พิเศษ: สร้างการเติบโตปตท.สผ.ภารกิจหนักของ'เทวินทร์
Source กรุงเทพธุรกิจ (Th), Tuesday, December 04, 2012


บริษัท ปตท.สผ. จำกัด (มหาชน) (PTTEP) ได้ประกาศเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำสถิติการเพิ่มทุนมากที่สุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.สผ. ให้สัมภาษณ์ในรายการ "Morning News" ทางสถานีโทรทัศน์ กรุงเทพธุรกิจทีวี มีประเด็นที่สำคัญดังนี้

กระแสตอบรับการเพิ่มทุนเป็นอย่างไร

ราคาขายหุ้นเพิ่มทุนที่เคาะออกมาเรียบร้อยแล้วในราคา 142 บาทต่อหุ้น ถือว่าเป็นระดับราคาที่น่าจะมีแรงจูงใจให้กับผู้ถือหุ้นปัจจุบันได้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนรอบใหม่ เพราะว่าเป็นความประสงค์หลักของบริษัทที่อยากจะเชิญชวนให้ผู้ถือหุ้นมาซื้อหุ้น ก็มีส่วนลดจากราคาตลาดอยู่ในระดับหนึ่งที่จะพอมีแรงจูงใจ

มีข่าวนักลงทุนต่างชาติกดราคาหุ้น

จริงๆ แล้ว ก็มีทั้ง 2 ด้าน มีนักลงทุนบางส่วนก็อยากจะเห็นราคาต่ำหน่อย กับอีกส่วนหนึ่งก็พร้อมที่จะเข้ามาสนับสนุน แล้วก็ซื้อหุ้นในราคาที่สูงขึ้น ทางบริษัทจะได้มองถึงจุดที่สมดุล และก็ราคาที่ 142 บาท ก็เป็นราคาที่จะทำให้บริษัทสามารถจะระดมทุนได้ตามเป้าหมายก็คือประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์หรือเป็นเงินไทยก็ประมาณ 9.23 หมื่นล้าน

โรดโชว์ต่างประเทศ นักลงทุนกังวลอะไร

ก็มี 2 ประเด็น คือ แผนการดำเนินงานของบริษัทในระยะยาวว่าบริษัทจะผลักดันการเติบโตประมาณสักเท่าไร และก็เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ก็เล่าให้เขาฟังว่า แผนปัจจุบันของเราคงจะเป็นแนวทางที่จะให้บริษัทเติบโตไปประมาณถึงสัก 6 แสนบาร์เรลต่อวัน อันนี้ก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง คือ ประมาณ 50% ขึ้นไป ประเด็นที่ 2 ก็คงเป็นเรื่องของความกังวลว่า ถ้าจะต้องขยายธุรกิจไปจะต้องกลับมาเพิ่มทุนในตลาดหรือเปล่า ซึ่งก็ได้เล่าให้ฟังไปว่าจากประมาณการของเราบริษัทก็สามารถจะนำรายได้ที่มาจากการประกอบการมา สนับสนุนการเจริญเติบโต รวมถึงการเพิ่มทุน ครั้งนี้ ก็ทำให้โครงสร้างการเงินมีความเข้มแข็ง ก็จะมีความยืดหยุ่นในการที่จะจัดหาทุนเพิ่มเติมได้ในลักษณะของเงินกู้ และก็คงไม่ต้องเข้ามาระดมทุนอีกภายในช่วง 3 ปีข้างหน้า

การเพิ่มทุนครั้งนี้จะทำให้ส่วนของหุ้น เพิ่มทุน เป็นส่วนประมาณเกือบ 20% ของหุ้นเดิม หรือทำให้เกิดไดรูชั่นเอฟเฟคท์ประมาณ 16% อันนี้บริษัทก็มีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเรื่องของการขยาย การเติบโต ทั้งในเรื่องของการผลิตและก็ผลประ กอบการ และก็มีนโยบายในเรื่องการจ่ายเงินปันผลที่พยายามจะรักษาระดับการจ่ายเงินปันผล

เพิ่มทุนค่อนข้างมากขายได้ทั้ง 100% หรือไม่

อาจจะไม่ถึง 100% ในความเป็นจริง เข้าใจว่าผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่สนับสนุน จะเห็นได้จากการที่เราประชุมผู้ถือหุ้นวิสามัญที่อนุมัติการเพิ่มทุนครั้งนี้ ก็ได้รับเสียงสนับสนุนถึง 99.97% ก็เยอะมาก ก็คิดว่าผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่คงจะสนับสนุน แต่ว่ายังไงก็ตามโอกาสที่จะถึง 100% ก็คงลำบากเหมือนกันเพราะว่าก็จะมีบางรายที่อาจจะไม่ได้รับทราบข่าวสาร เพราะฉะนั้นที่เราก็พยายามจะสื่อสารเต็มที่

ยุทธศาสตร์ต่อไปของปตท.สผ.วางไว้อย่างไร

วันนี้ผลประกอบการจนถึง 9 เดือนที่ได้แจ้งตลาดไปก็อยู่ในเกณฑ์ที่เป็นไปตามแผน ส่วนการดำเนินการต่อไป บริษัทก็จะมุ่งเน้นในเรื่องของการที่จะขยายกำลังการผลิตผ่านการพัฒนาโครงการที่เราเรียกว่าออร์แกนิคโรด ก็คือทรัพย์สินที่เรามีอยู่ที่ผ่านมาในช่วง 2 ปี เราก็จะซื้อกิจการใหญ่ๆ 2 รายการด้วยกัน ก็คือ โครงการออยล์แซนด์ในแคนาดา และโครงการที่ประเทศแอฟริกาตะวันออก ในกลุ่มประเทศแอฟริกาตะวันออก ที่ซื้อกิจการจากโคฟเอ็นเนอร์ยี่ 2 โครงการนี้ทำให้เรามีศักยภาพปริมาณสำรองค่อนข้างสูงมาก และก็หน้าที่เราวันนี้ก็คือพยายามจะเปลี่ยนศักยภาพเหล่านั้นให้เป็นปริมาณสำรองและก็เป็นกำลังการผลิตจริงๆ อันนี้เป็นที่แรกก็คือมุ่งเน้นในเรื่องของการพิสูจน์ปริมาณสำรอง และก็พัฒนาและก็ให้เกิดการผลิตขึ้นมา

ต่อมาก็คงจะเป็นในเรื่องของเน้นในเรื่องของการเติบโตผ่านการสำรวจ ก็คือที่ผ่านมาเราก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จดีในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ซัคเซสเรโชว์ของการสำรวจประมาณสัก 80% เราก็คิดว่าการเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืนก็ควรจะมาจากที่เราพัฒนาบุคลากรและเทคโนโลยีของ ปตท.สผ. ให้สามารถจะไปทำการสำรวจและก็ค้นพบปิโตรเลียมได้ นี่ก็เป็นส่วนที่ 2

ปัจจัยเสี่ยงและโอกาสในปีหน้า

ความเสี่ยงในเรื่องราคาน้ำมันก็อาจจะเป็นปกติวิสัยของบริษัทที่ทำธุรกิจน้ำมัน บริษัทก็จะมีการบริหารความเสี่ยงในเรื่องนี้ในระดับที่เหมาะสม ก็คือ ถ้าเราสามารถที่จะบริหารความเสี่ยงราคาน้ำมัน และก็สามารถจะการันตีผลประกอบการได้ เราก็จะทำในบางช่วง แต่ก็จะทำในสัดส่วนประมาณสักครึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตของเรา อันนี้ ก็เป็นความเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมัน นอกจากนั้นความเสี่ยงในเรื่องอื่นๆ เราก็จะมีวิธีการเช่น ในเรื่องของเทคนิคเราก็จะมีการทำการตรวจสอบทางเทคนิค ไม่ว่าจะภายในเองและก็ภายนอก เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการของเรามีประสิทธิภาพแล้วก็ปลอดภัย การศึกษา ปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรม ศาสตร์ สาขาวิศวกรรมเคมี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโทด้านวิศวกรรมเคมี จาก Rice University สหรัฐ และปริญญาโทด้านวิศวกรรมปิโตรเลียม จาก University of Houston สหรัฐตำแหน่ง ทำงานที่ ปตท.สผ. ตั้งแต่ปี 2532 จากนั้นมีบทบาทในตำแหน่งบริหาร ทั้งในปตท.สผ.และปตท.มาโดยตลอด

ในปี 2555 ได้รับแต่งตั้งเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.สผ.

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 749

โพสต์

'เพ้ง'เบรกโตโยต้าผลิตไฮบริด แจงพลังงานไฟฟ้ายังไม่พอ
Source - บ้านเมือง (Th), Tuesday, December 04, 2012

นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังประธานหอการค้าญี่ปุ่นและบริษัท โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และบริษัท ซุยแอนด์คัมปนี จำกัด เข้าพบว่า บริษัทโตโยต้า มีแผนจะเน้นผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฮบริดในประเทศไทย หรือรถยนต์ที่ใช้น้ำมันและไฟฟ้าเป็นชื้อเพลิง โดยเห็นว่าขณะนี้ประเทศในอาเซียนต่างพยายามแย่งกันเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ แต่ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะผลิตและจำหน่ายได้สูงกว่าจึงได้เข้าหารือถึงแนว ทางการผลิตรถยนต์ของโตโยต้าในไทย

อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่า รถยนต์ไฮบริดที่ใช้ไฟฟ้าเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนอาจจะประสบปัญหาการใช้ไฟฟ้าสูง และไทยอาจมีไฟฟ้าไม่เพียงพอในอนาคต ซึ่งปัจจุบันก็มีแนวโน้มจะขาดแคลนโดยเฉพาะในช่วงที่เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ หรือช่วงพีค ดังนั้นกระทรวงพลังงานจึงเตรียมหารือร่วมกันกับกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์กลางเดือน ธ.ค.2555 เพื่อให้ข้อมูลและกำหนดทิศทางโครงสร้างการผลิตน้ำมันของประเทศอย่างชัดเจน ซึ่งโครงสร้างน้ำมันจะเป็นอย่างไรนั้นต้องถามความเห็นของผู้ผลิตรถยนต์และประชาชนผู้บริโภคเป็นหลัก และน้ำมันต้องมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับเครื่องยนต์ต่อไปด้วย

ส่วนบริษัท ซุยแอนด์คัมปนี จำกัด หรือมิตซุย ซึ่งดำเนินธุรกิจกิจการโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ เหล็ก และเครื่องจักร ได้แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าในไทยที่ใช้ถ่านหินสะอาดเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งจะเปิดประมูลในรอบถัดไปหลังจากผ่านพ้นการประมูลโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่จะเริ่มต้นปี 2556 ไปแล้ว นอกจากนี้มิตซุยยังอยู่ระหว่างการเตรียมลงทุนสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ที่ประเทศโมซัมบิก โดยจะขอเข้าร่วมทุนกับบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ต่อไป

อย่างไรก็ตามตนได้เสนอให้มิตซุยตั้งโรงถลุงเหล็กในไทย เนื่องจากในอนาคตเมื่อมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ไทยจะต้องผลิตรถยนต์อีกมาก จากปัจจุบันมียอดการผลิตสูงสุด 2 ล้านคันแล้ว ทำให้ความต้องการใช้เหล็กผลิตรถยนต์สูงขึ้นมาก อีกทั้งขณะนี้เวียดนามและมาเลเซียกำลังสร้างโรงถลุงเหล็กเช่นกัน ซึ่งในอนาคตญี่ปุ่นจะเสียเปรียบด้านภาษี เพราะต้องเสียภาษีนำเข้าเหล็กมายังกลุ่มประเทศอาเซียนสูงขึ้น นอกจากนี้ไทยต้องการให้ญี่ปุ่นเชิญชวนและส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเข้ามายังเมืองไทยมากขึ้นด้วย

--จบ--
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"

โพสต์ที่ 750

โพสต์

คอลัมน์ ฝ่าเกลียวคลื่น: การขุดเจาะน้ำมัน...กับน้ำตาชาวประมง
แหล่งข่าว : ASTV ผู้จัดการรายวัน , วันที่ : 04/12/2012
บรรจง นะแส



อาทิตย์ที่ผ่านมาชาวประมงพื้นบ้านในพื้นที่อำเภอสทิงพระ สิงหนคร ในพื้นที่จังหวัดสงขลาได้ให้ข้อมูลแก่ทีมวิจัยผลกระทบจากการพัฒนาในภาคใต้ที่นำโดยดร.อาภา หวังเกียรติแห่งมหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกับพี่น้องประมงชายฝั่งในพื้นที่ 4 จังหวัดที่เข้าร่วมในโครงการคือประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สตูลและสงขลา เป็นอีกครั้งที่น้ำตาของชาวประมงชายฝั่งต้องหลั่งออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจในชะตากรรมที่เกิดขึ้นจากการพัฒนา ที่พื้นที่ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย ต้องมาล่มสลายลงด้วยอุตสาหกรรมการขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่ใกล้ชายฝั่ง

บริษัทนิวคอสตอล (ประเทศไทย) จำกัด(ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ซี.อี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด(สาขาประเทศไทย) ได้รับสัมปทานแปลงสำรวจเพิ่มในทะเลอ่าวไทยหมายเลขจี5 /43 จากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ในสมัยที่นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดชเป็นรัฐมนตรีว่าการฯและมีอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2546 ในช่วงเวลาดังกล่าวมีการออกมาท้วงติงจากหลายๆฝ่ายว่าการให้สัมปทานในครั้งนั้นมีเงื่อนงำที่ยังเป็นประเด็นข้อสงสัยจากสังคม

โดยเฉพาะ บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทที่จดทะเบียนที่เกาะเคแมน ที่ไม่สามารถตรวจสอบการลงทุนได้ว่ามีใครอยู่เบื้องหลังและเป็นเจ้าของบริษัทดังกล่าว และมีการพูดถึงพ.ร.บ.ปิโตรเลียมที่เปิดโอกาสให้ต่างชาติมาหาผลประโยชน์จากแหล่งพลังงานของชาติโดยให้ผลตอบแทนเพียงน้อยนิด มีการเรียกร้องให้มีการแก้ไขพ.ร.บ.ดังกล่าว ก่อนที่จะเปิดโอกาสให้มีการให้สัมปทาน แต่เสียงเรียกร้องดังกล่าวหาได้รับความสนใจจากนักการเมืองที่มีอำนาจในสมัยนั้นแต่อย่างใด ยังคงเดินหน้าเปิดให้มีการสัมปทานและกลไกรัฐได้ร่วมกันผลักดันให้ทางบริษัทได้ดำเนินการขุดเจาะจนสำเร็จตามสัมปทานที่ได้รับเป็นเวลา 16 ปี

ในส่วนของชาวประมงชายฝั่งในเขตที่จะได้รับผลกระทบในอ.สทิงพระ จ.สงขลา มีความพยายามที่จะลุกขึ้นมารักษาสิทธิในการประกอบอาชีพของตัวเอง ได้มีการชุมนุมประท้วงโดยรวมตัวกันของเรือประมงพื้นบ้านและเรือประมงอวนลากเล็กที่จะได้รับผลกระทบในการมาแย่งที่ทำกินที่ทำการประมงบริเวณที่จะมีการขุดเจาะน้ำมัน มีการนำเรือประมงพื้นบ้านมาทำการปิดปากร่องน้ำทะเลสาบสงขลาถึง 2 ครั้ง

มีการนำเรือประมงอวนลากเล็กไปทำการล้อมแท่นเจาะเพื่อไม่ให้มีการขุดเจาะ แต่พลังของชาวประมงชายฝั่งก็ไม่สามารถต้านทานการผนึกกำลังกันของฝ่ายบริษัทและหน่วยงานราชการที่เลือกยืนอยู่ฝ่ายบริษัทได้ รวมไปถึงนักการเมืองทั้งในระดับพื้นที่และระดับชาติต่างดาหน้ากันออกมาแยกสลายพลังของพี่น้องในทุกรูปแบบ ทั้งเจรจาไกล่เกลี่ยให้ยอมรับเงื่อนไขจากทางบริษัท ข่มขู่คุกคาม จนพี่น้องชาวประมงต้องพ่ายแพ้แก่อำนาจต่างๆ ที่ถาโถมกันลงมา

จากปี 2546 ถึงปัจจุบันเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ผลพวงจากการขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่ชายฝั่งของจังหวัดสงขลา ที่มีหลุมขุดเจาะที่ชื่อว่าแหล่งบัวบานA-Dได้ส่งผลต่ออาชีพการทำประมงของชุมชนประมงชายฝั่งอย่างย่อยยับ ไร้คนรับผิดชอบ

บริษัทใช้งบประมาณปิดปากและลดการเคลื่อนไหวของชาวประมงด้วยการจ่ายค่าชดเชยในการสูญเสียอาชีพครอบครัวละไม่ถึง 2,000 บาท/เดือน ในขณะเดียวกันก็ใช้เงื่อนไขลดแรงกดดันจากองค์กรปกครองท้องถิ่นในพื้นที่ติดชายฝั่งตั้งแต่อำเภอระโนดจดอำเภอเทพารวม 28 องค์กรด้วยการจัดสรรงบประมาณให้แต่ละองค์กร

ในปีที่ผ่านมาแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับผลประโยชน์ไปเฉลี่ยองค์กรละ 15 ล้านบาท ในส่วนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาก็รับไปกว่า 400 ล้านบาท ตัวแทนของประชาชนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง อบต. อบจ. จึงสงบเสงี่ยมไม่มีปากเสียงต่อความเดือดร้อนของพี่น้องในพื้นที่

ปีที่ผ่านมาในช่วงมรสุมมีก้อนน้ำมันดิบจากแท่นเจาะพัดเข้าหาฝั่งตั้งแต่อำเภอระโนดตลอดแนวชายฝั่งของจังหวัดสงขลา ทำให้ชายฝั่งสกปรก จังหวัดสงขลาต้องจ้างประชาชนเก็บและรับซื้อก้อนน้ำมันดิบที่ทำความสกปรกให้กับพื้นที่ชายหาดในราคา กิโลกรัมละ 10 บาท

ก้อนน้ำมันดิบ ทำให้ชายหาดสมิหลาสกปรก นักท่องเที่ยวเดินเล่นชายหาดมีก้อนน้ำมันดิบติดเท้า จนทางเทศบาลนครสงขลาระดมคนมาช่วยเก็บกวาดทำความสะอาดชายหาดแต่สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เงียบหายไปในสายลมและกาลเวลาเพราะบริษัทได้ใช้เศษกำไรจากผลประกอบการนำมาปิดหูปิดตากลไกของรัฐทุกภาคส่วนจนแน่นสนิท

ในส่วนของชาวประมงได้ลุกขึ้นบอกเล่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับพวกเขาว่า เมื่อบริษัทเริ่มขบวนการขุดเจาะ บริเวณใกล้แท่นเจาะจะกลายเป็นพื้นที่หวงห้ามในบริเวณที่กว้าง พื้นที่ที่พวกเขาเคยทำการประมงก็หดหายไป

เมื่อมีขบวนการขุดเจาะเสียงระเบิดใต้น้ำ จากขบวนการขุดเจาะทำให้พันธุ์สัตว์น้ำโดยเฉพาะปลาต้องหนีเสียงระเบิดดังกล่าวออกไปไกลพื้นที่ชายฝั่ง การดิ้นรนเพื่อหาทางประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัวและปากท้อง ก็ต้องอพยพเรือออกไปหากินนอกชุมชนของตัวเอง บ้างไปไกลถึงเขตอำเภอหัวไทร ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช บ้างก็อพยพไปหากินในพื้นที่เกาะสมุย บ้างก็นำเรือขึ้นรถไปหากินฝั่งอันดามัน แรมเดือนที่ตะลอนไปตามที่ต่างๆ เพื่อประกอบอาชีพ พลัดบ้านพลัดถิ่น

คนที่พยายามยืนหยัดอยู่กับบ้านอยู่กับครอบครัว ก็หาทางสร้างเรือให้ลำใหญ่กว่าเดิมติดตั้งเครื่องเรือเป็น 2 เครื่อง วิ่งออกไปจากฝั่งสุดลูกหูลูกตา ใช้เวลาเดินทางไปถึงจุดที่จะทำการประมงได้ต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงในแต่ละวัน ได้กุ้งหอยปูปลามาก็ต้องชดเชยหมดไปกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะค่าน้ำมัน

วันนี้น้ำตาของพวกเขาจึงหลั่งออกมาทุกครั้งของคำถามว่า ผลจากการขุดเจาะน้ำมันที่กระทบต่อชีวิต แต่ดูเหมือนน้ำตาของพี่น้องชาวประมง คนที่ใช้แรงงานแรงกายจับปลาหาเลี้ยงชีพจะไร้ความหมาย เพราะน้ำมันที่ได้มาจากการขุดเจาะ มันได้ใหลทับกลบเกลื่อนน้ำตาของพวกเขาไปเสียจนหมดสิ้น
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."