หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
surachaichia
Verified User
โพสต์: 600
ผู้ติดตาม: 0

หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 1

โพสต์

"มีทฤษฏีอีกเรื่องหนึ่งบอกไว้ว่าเราจะเจอภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทุกๆ 5 ปี แต่มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นเท่าที่ผ่านมา ผมลองเปิดดูรัฐธรรมนูญและก็ไม่เห็นเขียนไว้ว่าทุก 5 ปี เราต้องเจอสักครั้งหนึ่ง แน่นอน! ผมก็อยากได้รับการเตือนก่อนที่เราจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเพื่อที่เราจะได้ปรับพอร์ต หรือขายหุ้นทิ้งไปให้หมด แต่โอกาสที่ผมจะคิดได้ก่อนนั้น "ไม่มี"

บางคนรอสัญญาณเหล่านี้เพื่อบอกถึงการสิ้นสุดของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หรือจุดเริ่มต้นของตลาดกระทิงที่น่าตื่นเต้น ปัญหาก็คือ สัญญาณไม่ส่งมาซักที จำไว้ว่าสิ่งต่างๆจะไม่มีวันชัดเจนจนกระทั่งมันเกิดขึ้นแล้ว และมันก็สายไปแล้ว

หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วคนจำนวนมากก็ลุกขึ้นมาประกาศว่าเขาคาดไว้แล้ว แต่ไม่มีใครบอกผมเลยก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น"
sakkaphan
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1111
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ดังนั้นในความคิดของผม แน่นอนว่า สิ่งที่เราทำได้ ไม่ใช่การคาดการณ์ตลาด แต่ที่ทำได้คือ การบริหารพอร์ตโดยอิงอยู่บนความไม่แน่นอนของอนาคต การเตรียมแผนในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตซึ่งอาจเป็นในทางบวกหรือทางลบก็ได้ นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้ เมื่อไรที่เราพยายามจะคาดการณ์ตลาด และบริหารพอร์ตโดยอิงอยู่บนการคาดเดาเหล่านั้น มันคงเหมือนคุณกำลังปิดตาขับรถไปบนถนน แล้วหมุนพวงมาลัยไปในทางที่คุณคิดว่าน่าจะเป็นโค้ง สิ่งที่เกิดขึ้นคุณคงแหกโค้งไม่โค้งนี้ก็โค้งหน้า
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
ภาพประจำตัวสมาชิก
appendix
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 332
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ข้อดีของการทำใจยอมรับเสียว่าเราไม่สามารถคาดเดาทิศทางของตลาดได้ก็คือการนอนหลับได้สนิททุกคืนแม้จะมีหุ้นอยู่เต็มพอร์ท โดยมีของแถมเป็นผลตอบแทนระยะยาวที่น่าพอใจ :D :D
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 4

โพสต์

appendix เขียน:ข้อดีของการทำใจยอมรับเสียว่าเราไม่สามารถคาดเดาทิศทางของตลาดได้ก็คือการนอนหลับได้สนิททุกคืนแม้จะมีหุ้นอยู่เต็มพอร์ท โดยมีของแถมเป็นผลตอบแทนระยะยาวที่น่าพอใจ :D :D
วรรคนี้สุดยอดเลยครับคุณ appendix :bow: :bow:
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
vi_tal signs
Verified User
โพสต์: 631
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 5

โพสต์

:D
มันจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
noxma
Verified User
โพสต์: 121
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 6

โพสต์

appendix เขียน:ข้อดีของการทำใจยอมรับเสียว่าเราไม่สามารถคาดเดาทิศทางของตลาดได้ก็คือการนอนหลับได้สนิททุกคืนแม้จะมีหุ้นอยู่เต็มพอร์ท โดยมีของแถมเป็นผลตอบแทนระยะยาวที่น่าพอใจ :D :D
ในกรณี ถ้าหากเกิดสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเข้ามาจริงๆ เราจะมีวิธีการรับมือหรือจัดการกับหุ้นที่เต็มพอร์ทเราอย่างไรครับ
เช่น จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวหุ้นหรือไหมครับ ,หุ้นในลักษณะไหนที่ควรจะเข้าข่ายถือต่อหรือขายไป ยามเกิดสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครับ(เผื่อจะได้หลับสนิทในคืนที่ตลาดยัง panic) , วิธีการอย่างอื่นที่ดีกว่า(รอผู้ชำนาญมากรุณาครับ)
ภาพประจำตัวสมาชิก
luangrit
Verified User
โพสต์: 376
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 7

โพสต์

จริงๆไม่ต้องคาดเดาอนาคตหรอกครับ
อยู่กับปัจจุบันก็พอ

ถ้าถูกก็ซื้อ
ถ้าแพงก็ไม่ซื้อ เก็บเงินไปเรื่อยๆ
จนกว่าราคาจะถูกและคุ้มค่า ค่อยซื้อก็ไม่สาย

เป็นการฝึกอารมณ์ไปในตัวด้วยครับ
ไม่ควรปล่อยให้สีเขียวๆในตลาดครอบงำ
แล้วคิดเอาเองว่า ถ้าไม่ซื้อเดี๋ยวจะตกรถ

การลงทุนควรจะไม่จำกัดเวลานะครับ
หมายความว่า เราควรจะรอให้เป็น.....3 ปี 5 ปี ก็ช่างมันเถอะ
อย่างน้อยเราค่อยๆสะสมกระสุนและความรู้ไปในตัว
เมื่อถึงเวลาค่อยซัดเต็มที่
surachaichia
Verified User
โพสต์: 600
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 8

โพสต์

เวลาหุ้นขึ้น เรามักนึกถึงแต่ข้อดี ของหุ้นนั้นๆ
เวลาขึ้นตก เรามักนึกถึงแต่ข้อเสีย ของหุ้นนั้นๆ

ทั้งหมดเป็น bias ที่มักเกิดเสมอ
โดยเฉพาะถ้าเหตุการณ์ด้านใดๆก็ตามมา impact ให้ดูสมจริงขึ้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
Rocker
Verified User
โพสต์: 4526
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 9

โพสต์

คําพูดที่ชอบมากที่สุดคือ


"อย่าเด็ดดอกไม้แล้วรดนํ้าวัชพืช"
viim
Verified User
โพสต์: 551
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ขออนุญาตบันทึกที่ผม notes จาก Beating the street นะครับ ถ้ายาวไปขออภัยด้วย

Notes from “Beating the Street"
1. คุณจะซื้อหุ้นแบบไหน หุ้นเล็กหรือหุ้นใหญ่ ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณได้ลงทุนในหุ้นแล้ว เพราะประเด็นหุ้นเล็ก หุ้นใหญ่เป็นประเด็นรองจริงๆ วิธีคิด คือ ลงทุนในหุ้นเสียเถอะ ถ้าต้องการผลตอบแทนในระยะยาวที่ดี
2. ลินซ์กล่าวว่า นักลงทุนมือสมัครเล่นที่สามารถเจียดเวลาเพียงไม่มากนักกับการศึกษาบริษัทในอุตสาหกรรมที่เขามีความรู้จะสามารถเอาชนะผู้จัดการกองทุนได้ แถมมาด้วยความสนุกอีกต่างหาก
3. ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนก็ตามในการเลือกหุ้นหรือกรองหุ้นลงทุน สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะตัดสินว่า คุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็คือ ความสามารถของคุณในการเพิกเฉยต่อความกังวลกับเรื่องต่างๆในโลกได้ยาวนานพอที่จะทำให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จ สิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุน ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด แต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่างหาก นักลงทุนขี้ตกใจจะถูกกดดันให้ออกจากตลาดในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย ไม่ว่าพวกเขาจะเฉลียวฉลาดปานใดก็ตาม
4. กฎข้อ 3 ของลินซ์: อย่าพึ่งซื้อหุ้นตัวไหนจนกว่าคุณจะสามารถอธิบายมันออกมาเป็นภาพวาดได้
5. การซื้อลงทุนในสิ่งที่คุณมีความรู้ ความเข้าใจเป็นหนึ่งในความคิดหลักของพวกเรา และในพอร์ตหุ้นควรจะมีหุ้นปันผลดีอย่างน้อย 1-2 ตัวเสมอ
6. การศึกษารายงานเหล่านี้ทำให้ผมตระหนักว่า หุ้นหลายๆตัวที่ผมได้ขายออกไปหลังจากที่ซื้อมาได้สองสามเดือนเป็นหุ้นที่ผมควรจะถือเอาไว้ยาวนานกว่านั้นมาก นี่ไม่ใช่ความภักดีแบบไม่มีเงื่อนไข แต่เป็นการกอดหุ้นของบริษัทที่ดูน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆเอาไว้ รายชื่อหุ้นที่ผมไม่ควรขายออกไป ประกอบด้วย Albertson’s หุ้นโตเร็วที่ราคาได้เพิ่มสูงขึ้น 300 เท่า Toy R US, Pic N Save ที่ได้กล่าวไปแล้ว Warner communications หุ้นที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคแนะนำให้ผมขาย และ Federal Express หุ้นทีผมซื้อมาในราคา $5 และขายทำกำไรไปที่ราคา $10 แล้วก็ได้แต่นั่งมองราคาของมันขึ้นไปที่ $ 70 ภายในระยะเวลา 2 ปี
7. เวลาที่ Lynch พูดคุยกับ CEO ของบริษัทต่างๆเขามักจะจบด้วยคำถามที่ว่า “คุณนับถือคู่แข่งรายไหนของคุณมากที่สุด” ถ้ามีคำตอบมันก็จะเป็นการรับรองความเก่งของบริษัทคู่แข่งที่ทรงพลังมากทีเดียว ในท้ายที่สุด Lynch ก็จะทำการสั่งซื้อหุ้นของบริษัทคู่แข่งของพวกเขาอยู่บ่อยๆ
8. ไม่ว่าคุณจะคิดว่า คุณรู้จักบริษัทดีแค่ไหน มันจะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้คุณรู้สึกประหลาดใจเกิดขึ้นเสมอ
9. หุ้นถูกเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับนักลงทุนพันธ์แท้ ความมั่งคั่งที่ลดลงไป 10-30% ในช่วงที่ตลาดตกต่ำไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เราไม่ได้มองการตกลงของตลาดเป็นหายนะ แต่มองมันเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มที่ราคาถูกๆ นี่เป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ความร่ำรวย
10. เมื่อไหร่ที่ความคาดหวังของนักลงทุนมีสูงเกินไปกับบริษัทหนึ่งๆ จนผลการดำเนินงานตามไม่ทัน เมื่อนั้นตลาดก็จะทำการเทขายหุ้นอกมา แล้วเราค่อยไปติดตามดูทีหลังก็ได้ว่ากิจการเป็นอย่างไร มีแนวโน้มการทำกำไรดีขึ้นหรือไม่ อย่าเข้าไปตอนที่หุ้นกำลังร้อนแรง เต็มไปด้วยความคาดหวัง เพราะเราอาจจะอยู่บนดอยได้ อิ อิ
11. นักลงทุนที่พอร์ตเล็ก อาจจะใช้กฎหุ้น 5 ตัวและเลือกซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพียงห้าตัว หากหุ้นตัวหนึ่งของคนให้กำไรคุณ 10 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นอีก 4 ตัวไม่ไปไหน พอร์ตของคุณโดยรวมก็โตเป็นสามเท่าแล้ว
12. หากหุ้นมีราคาสูงกว่าเส้นกราฟของผลกำไรของมัน ราคาหุ้นจะไม่ไปไหนหรือไม่ก็จะตกลงมาจนกระทั่งราคาของมันกลับมามีควาสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น
13. ให้ซื้อหุ้นในตอนที่เส้นราคาหุ้นอยู่ที่เดียวกับหรือต่ำกว่าเส้นผลกำไรและอย่าซื้อหุ้น หากเส้นราคาอยู่สูงกว่าเส้นกำไร
14. การจำกัดการซื้อขายหุ้นของคุณในบริษัทจำนวนหนึ่งที่คุณสามารถติดตามได้อย่างทั่วถึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อครั้งที่คุณได้ซื้อหุ้นตัวหนึ่งมาแล้ว คุณจะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและบริษัทนี้ คุณจะได้เรียนรู้ว่า บริษัทนี้เป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยอะไรบเงที่มีผลต่อการทำกำไรและอื่นๆ ไม่ช้าก็เร็ว ข่าวร้ายจะทำให้ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลงและหุ้นตัวเก่าๆที่คุณชอบก็จะกลับมามีราคาถูกอีกครั้ง ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนของคุณ
15. หุ้นต้องได้รับการตรวจสอบเป็นระยะๆเพื่อดูว่ามันมีเรื่องราวหรือจุดหักเหอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นหรือไม่ หากบริษัทยังไม่ล้มละลาย เรื่องราวก็ยังไม่จบ หุ้นที่คุณเคยมีเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือ 2 ปีที่แล้ว อาจจะกลับมามีความน่าสนใจในการลงทุนอีกครั้งก็เป็นได้ ดังนั้นการจดบันทึกเป็น diary เรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นที่เคยซื้อ เคยขาย และเหตุผลในการซื้อขายก็จะทำให้เราสามารถกลับมาทบทวนได้เสมอ
16. การคัดเลือกหุ้นเป็นทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การให้น้ำหนักทางด้านใด ด้านหนึ่งมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดอันตรายได้ คนที่มุ่งเน้นแต่ในเรื่องของตัวเลขและงบดุลเพียงอย่างเดียว จะมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อย เพราะถ้าหากคุณสามารถบอกอนาคตจากการดูงบดุลได้แล้วล่ะก็ นักคณิตศาสตร์และนักบัญชีจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกไปแล้วในขณะนี้
17. เครื่องมือที่ซับซ้อนต่างๆ การใช้บริการข้อมูลของโบรกเกอร์ นักวิเคราะห์ ตามแหล่งข้อมูลต่างๆทั้งที่จ่ายเงินและไม่จ่ายเงินจะไม่มีประโยชน์เลย หากคุณไม่ได้ทำการบ้านเกี่ยวกับบริษัทด้วยตัวเอง เอาเวลาไปเดินตามศูนย์การค้าเพื่อตรวจสอบสินค้า ออกไปเสาะหาข้อมูลจริงๆจะดีกว่าถ้าทำได้ (Scuttlebut)
18. นักลงทุนรายย่อย ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นเป็นร้อยๆตัวเหมือนผม (Lynch) ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการคือ หาหุ้นที่กำไรมากๆสองสามตัวในทุกๆ 10 ปีเท่านั้น
19. ถ้าเราสนใจในบริษัทโตเร็วแห่งหนึ่งแต่ราคาสูงมากเกินไปแล้ว (PE สูงมาก) วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์แบบนี้ก็คือ การซื้อหุ้นในจำนวนน้อยๆก่อนและค่อยซื้อเพิ่มในตอนที่ตลาดเกิดการเทขาย และสำหรับหุ้นโตเร็ว คุณสามารถที่จะรอจนเรื่องราวมันชัดเจนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน คุณไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเข้าไปซื้อหุ้นในตอนเริ่มต้นในตอนที่ร้านกำลังขยายสาขาแค่ 100 สาขา เอาไว้ให้มีความชัดเจนมากขึ้น แล้วค่อยไปลงทุนก็ยังไม่สายเมื่อบริษัทขยายไปแล้ว 200 สาขา แต่ยังโตได้อีกเป็น 400 หรือ 500 หรือแม้กระทั่ง 1000 สาขา
20. หุ้นที่ขึ้นมาแล้ว 10 เท่าไม่ใช่มันจะไปต่อเป็น 20 เท่า 30 เท่าไม่ได้ ถ้าเรื่องราวมันยังดีอยู่ และมันยังโตต่อเนื่อง
21. เทคนิคหนึ่งที่ใช้ได้ผลครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือ การรอคอยให้ความคิดเห็นส่วนใหญ่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมหนึ่งๆเปลี่ยนจากไม่ดีกลายมาเป็นแย่สุดๆ จากนั้นก็เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม (แต่ก็ไม่เสมอไปให้ดูประกอบกับข้อมูลที่ว่าสถานการณ์มันกำลังจะดีขึ้น)
22. ในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวเลข SSS (same store sales) จะมีค่าลดลง แต่จะเป็นเรื่องแปลกถ้าหากพบว่าตัวเลข SSS มีค่าลดลงในสภาวะที่เศรษฐกิจดีขึ้น
23. วิธีการหนึ่งในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทก็คือ การเปรียบเทียบ market cap ของบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายๆกัน ดูว่าราคาของบริษัทที่เราสนใจในปัจจุบันมันสมเหตุสมผลหรือไม่ เมื่อเทียบกับบริษัทที่ใกล้เคียง ถ้ามันถูกต่างกันมากก็ให้ทำการวิเคราะห์ต่อว่ามันสมควรแล้วที่ถูก หรือถ้าเราไม่สามารถหาความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ อะไรก็คล้ายกันไปหมด ความสามารถในการทำกำไรก็ไม่ต่างกัน และพบว่ามันถูกแบบไร้เหตุผล ก็ให้ทำการเคาะขวาได้เลย อย่ารอช้าเดี๋ยวราคาหุ้นจะวิ่งหนีก่อน
24. เมื่อไหร่ก็ตามที่แม้กระทั่งนักวิเคราะห์เองก็เริ่มรู้สึกเบื่อ มันจะได้เวลาของการเริ่มซื้อหุ้น
25. S&L (saving and loan) เช่นกลุ่มธนาคาร ตัวเลขที่มีความสำคัญมากๆเช่น equity-to-assets ratio อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 7.5% ยิ่งสูงยิ่งดี ตัวต่อมาคือ เงินปันผล BV PBV < 1 ยิ่งดี เปอร์เซ็นหนี้เสียน้อยๆ เปอร์เซ็นการให้สินเชื่ออสังหาฯเชิงพาณิชย์น้อยๆ กล่าวคือ ต้องดูพอร์ตสินเชื่อว่ามีโอกาสที่จะกลายเป็นหนี้สูญมากน้อยไหน
26. Lynch มักจะชอบกิจการที่ยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ย่ำแย่ เพราะเขามีความเชื่อว่ากิจการเหล่านี้มีความแข็งแกร่ง สามารถรอดพ้นสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยได้ และสามารถได้ market share เพิ่มจากกิจการอื่นๆที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่ได้ล้มหายตายจากไป
27. หากทุกๆอย่างดูเหมือนกันหมดให้ทำการลงทุนในกิจการที่มีรูปสีปรากฏอยู่ในรายงานประจำปีน้อยที่สุด
28. หุ้นศูนย์การค้าให้ดูพื้นที่เช่า ถ้าว่างมากไม่ดี และให้ดูการเซ็นสัญญาเช่าจริงๆเสียก่อน อย่าฟังแต่ข่าวว่าจะมาเช่า ให้ชัวร์ๆก่อนแล้วค่อยเข้าไปซื้อก็ได้ แพงเพิ่มอีกหน่อย แต่มั่นใจดี
29. ปันผลของหุ้นก็ให้ดูความสม่ำเสมอและแนวโน้มควรจะปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกำไรที่เพิ่มขึ้น หุ้นปันผลดี สม่ำเสมอ มักจะเป็น defensive stock ถ้าราคาลงก็เป็นโอกาสซื้อที่ดี แต่ต้องเช็คให้รอบด้านก่อนซักนิดก่อนซื้อ ก็จะปลอดภัย
30. ไม่ว่าเงินปันผลจะดีแค่ไหน ราคาหุ้นก็จะไม่ค่อยดีนัก หากผลกำไรของบริษัทไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
31. นักลงทุนควรจะตรวจสอบหุ้นทุกตัวในพอร์ตของตัวเองทีละตัว และดูว่ามีเหตุผลอะไรหรือป่าวที่จะทำให้ปีหน้ามันดีกว่านี้ หากคุณหาเหตุผลไม่เจอ คำถามที่คุณควรจะถามต่อไปก็คือ ทำไมผมจึงยังถือหุ้นตัวนี้อยู่?
32. การที่บริษัท X ทำการซื้อกิจการทั้งบริษัทของบริษัท Y มา ถ้าบริษัท X ซื้อมาในราคาแพงกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท Y บริษัท X จะต้องทำการบันทึก ค่าความนิยม (Goodwill) ในบัญชีสินทรัพย์ของตัวเองและทำการตัดจำหน่ายออกไปในจำนวนปีที่คิดว่าจะได้ประโยชน์จากค่าความนิยมนี้ ซึ่งต้นทุนค่าความนิยมนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทน้อยกว่าความเป็นจริง ดังนั้น การดูงบกระแสเงินสดจะช่วยได้
33. ในบางกรณีบริษัทที่ทำธุรกิจโดยการกู้เงินมาลงทุนและต้องทำการจ่ายดอกเบี้ย ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ กระแสเงินสดอิสระ (FCF) ที่บริษัทสามารถทำได้มีค่ามากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องชำระมากๆเช่น สามถึงสี่เท่า ให้มั่นใจได้เลยว่าบริษัทเจ๊งยาก และมั่นคงพอสมควร
34. หุ้นยานยนต์ ในช่วงขาลงจะสังเกตเห็นยอดขายรถจริงจะต่ำกว่ายอดประมาณการมาก และยอดขายจะตกมากกว่าปีก่อนแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะดีก็ตาม แต่ในทางกลับกันในสภาวะที่เป็นขาขึ้นของกลุ่มยานยนต์ ยอดขายจริงจะกลับมาสูงกว่ายอดขายประมาณการมาก และขาขึ้นจะกินเวลาประมาณ 4-5 ปี ดังนั้นเราอย่าพึ่งขายหมู ให้พยายามตักตวงสภาวะขาขึ้นก่อน ในทางขาลงระยะเวลาก็จะประมาณสี่ถึงห้าปีเช่นกัน
35. หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค จะเป็นหุ้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในแง่ของการไม่ตายไปจากตลาดได้โดยง่าย เพราะมีภาครัฐเข้ามาช่วยดูแลป้องกันการล้มละลายอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นหุ้นในกลุ่มนี้จะน่าสนใจลทุนในสภาวะที่กิจการอยู่ในช่วงยากลำบากและตลาดตกใจเทขายออกมา และสามารถทำกำไรได้อย่างงาม ช่วงเวลาที่ควรเข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่มนี้คือเมื่อบริษัทประกาศงดจ่ายเงินปันผลและให้ถือไปจนกระทั่งบริษัทประกาศจ่ายปันผล
36. การที่หุ้นจะสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่ผู้คนในตลาดคาดการณ์กันเอาไว้ได้ บริษัทจะต้องได้รับการประเมินจากผู้คนทั่วไปในระดับที่แย่กว่าความเป็นจริง มิฉะนั้นราคาหุ้นมันก็คงจะอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ตอนแรกแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเห็นทั่วๆปมันออกมาในเชิงลบมากกว่าความเห็นของคุณ คุณจะต้องตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ตัวคุณเองมั่นใจว่าคุณไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบโง่ๆ
37. หุ้นที่สุดยอดแต่คนยังไม่เห็น ในที่สุดตลาดก็จะเริ่มมองเห็นว่าบริษัทนี้สามารถเติบโตในอัตรา 15-20% ต่อปีได้ ราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นจาก $16 ไปเป็น $ 42 ภายในหนึ่งปี กรณีนี้มันเป็นกรณีที่ความอดทนที่สะสมกันมานานหลายปี มันได้รับผลตอบแทนรวมอยู่ในปีเดียว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในตลาดหุ้น
38. เทคนิคในการเสาะหาหุ้นถูกภายในหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจที่มักได้ผลเสมอ คือ การเปรียบเทียบค่า P/E ของบริษัทต่างๆในกลุ่มเดียวกัน และดูตัวที่มีค่า P/E ต่ำสุดและหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมมันถูก ถ้าหาเหตุผลไม่เจอแสดงว่าคุณได้เจอของดีแล้ว
39. หุ้นเครือข่ายร้านอาหาร: บริษัทเครือข่ายร้านอาหารก็เหมือนกับบริษัทค้าปลีกที่จะสามารถเติบโตได้อีก 15-20 ปี แม้ว่าธุรกิจจะดูเหมือนเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงมาก แต่กิจการร้านอาหารจะแตกต่างจากกิจการในกลุ่มอิเล็คทรอนิคส์หรือกิจการรองเท้า ซึ่งมันอาจจะถูกกระทบจากการนำสินค้าราคาถูกจากจีนหรือเกาหลีได้ สิ่งที่จะแยกแยะระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวของเครือข่ายร้านอาหาร ก็คือ ผู้บริหารที่มีความสามารถ เงินทุนที่เพียงพอ และการขยายงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง การขยายงานในธุรกิจนี้จะต้องเป็นไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ถ้าขยายเร็วเกินไป อาจจะเกิดปัญหาได้ เพราะต้องมีการ train พนักงาน การเลือกทำเลที่เหมาะสม ปัจจัยที่เราจะต้องจับตาดูสำหรับกิจการค้าปลีกก็คือ sales and sales growth, same-store sales growth ต้องเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส, D/E ต้องพอเหมาะ
40. หุ้นเครือข่ายร้านอาหารหรือค้าปลีก แม้ว่าจะมีค่า PE ทีสูงเป็น 30 เท่า แต่ก็เป็นหุ้นที่ควรค่าแก่การติดตาม
41. หุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่อยู่ในธุรกิจที่ถูกรุมล้อมไปด้วยข่าวร้ายสุดๆ สุดท้ายแล้วมันมักจะให้ผลตอบแทนสูงๆ
42. การปฏิเสธหุ้นตัวหนึ่งๆด้วยเหตุผลที่ว่า ราคาของมันได้เพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่าแล้ว สามเท่าแล้ว หรือแม้กระทั่งสี่เท่าแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ อาจจะเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ก็เป็นได้ ไม่ว่านักลงทุนนับล้านคนจะได้กำไรหรือขาดทุนจากหุ้น Chrysler เมื่อเดือนที่แล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเดือนถัดไปเลย ผมพยายามที่จะมองการลงทุนในแต่ละครั้งเหมือนกับว่าหุ้นตัวนั้นไม่เคยมีประวัติการซื้อขายมาก่อนเลยในอดีต ผมจะใช้แนวคิด “พิจารณาที่ราคานี้” ซึ่งราคาที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้ามันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย สิ่งที่สำคัญ คือ ระดับราคาหุ้นในปัจจุบันที่ $21 - $ 22 มันถูกหรือมันแพง เมื่อเทียบกับศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทที่จะทำได้ที่ $5 - $7
43. หุ้นวัฏจักร: คุณไม่สามารถที่จะถือหุ้นวัฎจักรไว้ในลักษณะเดียวกันกับการถือหุ้นในบริษัทค้าปลีกในช่วงที่มันยังสามารถขยายงานอยู่ได้

การตรวจสอบประจำ 6 เดือน
พอร์ตการลงทุนจะมีสุขภาพที่ดีได้ จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบอยู่เป็นประจำ ซึ่งอาจจะเป็นทุกไตรมาสหรือทุก 6 เดือน โดยการ เกาะติดเรื่องราวของบริษัท และต้องพยายามที่จะหาคำตอบให้กับพื้นฐานสองคำถามต่อไปนี้
1. เมื่อพิจารณาถึงผลกำไรของบริษัทแล้ว ราคาหุ้นของบริษัทยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจอยู่หรือป่าว?
2. มีอะไรกำลังเกิดขึ้นในบริษัท ซึ่งจะไปผลักดันให้ผลกำไรของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นหรือป่าว?
และคุณต้องได้ข้อสรุปหนึ่งสามข้อนี้ออกมา
1. เรื่องราวของบริษัทดูดีขึ้นและคุณอยากจะซื้อหุ้นเพิ่ม
2. เรื่องราวของบริษัทดูแย่ลงนะ และคุณอยากจะขายหุ้นออกไป
3. เรื่องราวของบริษัทยังคงเหมือนเดิม และคุณจะถือหุ้นนั้นเอาไว้ หรืออยากจะเปลี่ยนไปถือหุ้นที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจกว่านี้

กฎสำคัญ 24 ข้อของ Peter Lynch
1. การลงทุนมันเป็นเรื่องที่น่าสนุกและตื่นเต้น แต่มันก็เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยอันตราย หากคุณไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย
2. มุมมองการลงทุนที่เหนือกว่าของคุณไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณได้มาจาก wall street มันเป็นเรื่องที่คุณมีอยู่แล้วในตัว คุณจะสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญได้ หากคุณใช้มุมมองที่เหนือกว่าของคุณไปลงทุนกับกิจการที่คุณมีความเข้าใจเป็นอย่างดี
3. ตลอดช่วงระยะเวลาสามทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดหุ้นถูกครอบงำโดยเหล่านักลงทุนมืออาชีพ มันอาจจะฟังดูขัดแย้งกับความเชื่อทั่วๆไป แต่สภาพดังกล่าวมันกลับทำให้การลงทุนของนักลงทุนมือสมัครเล่น มันง่ายขึ้น คุณจะสามารถเอาชนะตลาดได้โดยการละเลยฝูงชน
4. เบื้องหลังของหุ้นทุกตัวก็คือบริษัท จงค้นหาดูว่า บริษัทเหล่านั้นทำธุรกิจอะไรบ้าง
5. บ่อยครั้งที่ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทมักจะไม่ไปด้วยกัน อย่างไรก็ตามในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทจะไปด้วยกันร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอ
6. ก่อนจะทำการซื้อหุ้น คุณต้องรู้ว่า ทำไมคุณต้องซื้อมัน หุ้นตัวนี้กำลังจะขึ้นมันไม่ใช่เหตุผล
7. บริษัทที่ประสบปัญหา มักจะมีเหตุการณ์ที่ผิดคาดเกิดขึ้นอยู่เสมอ
8. การเป็นเจ้าของหุ้นก็จะคล้ายๆกับการมีลูก ดังนั้นอย่ามีมากตัวจนเกินไป ห้าตัวกำลังดีและคุณสามารถติดตามดูแลเรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9. หากคุณไม่สามารถค้นหาบริษัทที่น่าสนใจในการลงทุน การฝากเงินไว้ก่อนก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่
10. อย่าลงทุนในบริษัทใดๆ โดยที่คุณยังไม่ได้เข้าใจฐานะการเงินของบริษัทนั้น
11. หลีกเลี่ยงหุ้นร้อนอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง บริษัทชั้นเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ไม่มีการเติบโต มักจะเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ
12. สำหรับการลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก คุณควรจะรอพวกมันให้มีผลกำไรที่ชัดเจนก่อนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน
13. หากคุณจะลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังประสบปัญหา ให้เลือกบริษัทที่มีงบดุลแข็งแกร่ง และจะสามารถอยู่รอดได้และให้รอจนกว่าจะมีสัญญาณของการฟื้นตัวที่ชัดเจนก่อน อุตสาหกรรมรถม้าและวิทยุเป็นอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมที่ประสบปัญหาและมันก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
14. เงินลงทุนของคุณ 10,000 บาทในการซื้อหุ้น ทั้งหมดที่คุณจะขาดทุนได้ คือ 10,000 บาท แต่คุณอาจจะได้กำไร 10,000 หรือ 50,000 หรือแม้กระทั่ง 100,000 บาท หากคุณมีความอดทน นักลงทุนทั่วๆไปจะสามารถมุ่งเน้นไปที่บริษัทชั้นดีเพียงสองหรือสามแห่งเท่านั้น คุณค่าของการลงทุนทั้งชีวิตจะอาศัยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงมากๆเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น
15. ในทุกๆอุตสาหกรรมและในทุกๆพื้นที่ของประเทศ นักลงทุนมือสมัครเล่นจะสามารถพบเจอบริษัทโตเร็วชั้นเยี่ยมได้ก่อนนักลงทุนมืออาชีพนานเลยทีเดียว
16. การตกต่ำของตลาดหุ้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเกิดพายุหิมะ หากคุณมีการเตรียมตัวที่ดี มันจะไม่สามารถทำร้ายคุณได้ การตกลงของราหุ้นจะเป็นโอกาสของการซื้อมากกว่าโอกาสของการขาย
17. ใครๆก็มีสติปัญญาสูงพอที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสภาวะอารมณ์อันเหมาะสม หากคุณมีแนวโน้มที่จะขายทุกสิ่งทุกอย่างอกไปในสภาวะของการตื่นตระหนก คุณก็ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นซะ
18. มันมีบางสิ่งบางอย่างให้วิตกกังวลอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการคิดวิตกกังวลในช่วงสุดสัปดาห์ และจงละเลยการคาดการณ์การอันเลวร้ายตามรายการโทรทัศน์และรายกาวิทยุต่างๆ ขายหุ้นออกไปก็ต่อเมื่อกิจการของคุณมีพื้นฐานที่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงหรือเมื่อราคามันขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล (overvalue) แต่ไม่ใช่ขายเพราะกลัวว่าฟ้าจะถล่ม
19. หากคุณทำการศึกษาบริษัท 10 แห่ง คุณจะพบบริษัทแห่งหนึ่งที่มีเรื่องราวที่ดีกว่าที่คุณคิด และหากคุณศึกษา 50 แห่ง คุณก็มักจะพบบริษัท 5 แห่งที่ดีกกว่าที่คุณคิด มันมีความประหลาดใจที่น่ายินดีให้เราได้ค้นหาเสมอในตลาดหุ้น ผมหมายถึงบริษัทชั้นดีที่มักถูกมองข้ามโดยตลาด wall street
20. หากคุณไม่ได้ศึกษาบริษัทใดเลย การลงทุนของคุณก็จะเหมือนกับการเดิมพันในการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ โดยที่ไม่ได้ดูไพ่
21. เวลาจะอยู่ข้างเดียวกับคุณ หากคุณลงทุนในบริษัทชั้นเยี่ยม คุณสามารถที่จะรอได้ กระทั่งว่าคุณพลาดการลงทุนในหุ้น wal-mart ในช่วงระยะเวลาห้าปีแรก มันก็ยังเป็นหุ้นที่น่าซื้อยู่ในอีกห้าปีต่อมา เวลาจะเป็นศัตรูกับคุณหากคุณซื้อ options
22. หากคุณพบว่าคุณเป็นคนที่มีภาวะอารมณ์ที่เหมาะสมกับการลงทุนในหุ้น แต่ไม่มีเวลาหรือไม่อยากที่จะทำการศึกษาบริษัท ก็สามารถลงทุนในกองทุนหุ้นได้
23. ไม่มีใครที่จะสามารถทำนายอัตราดอกเบี้ย ทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตหรือตลาดหุ้นได้ เลิกฟังการคาดการณ์เหล่านั้น และมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับบริษัทที่คุณกำลังลงทุนอยู่
24. ในระยะยาวแล้ว portfolio ที่ประกอบไปด้วยหุ้นที่ได้รับการคัดสรรอย่างดีแล้วจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า portfolio ที่ประกอบไปด้วยตราสารหนี้หรือตลาดเงิน แต่ portfolio ของหุ้นที่ได้รับการคัดสรรมาแบบแย่ๆ จะไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการเก็บเงินไว้ไต้พรมเสียอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
chukieat30
Verified User
โพสต์: 3531
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 11

โพสต์

viim เขียน:ขออนุญาตบันทึกที่ผม notes จาก Beating the street นะครับ ถ้ายาวไปขออภัยด้วย

Notes from “Beating the Street"
1. คุณจะซื้อหุ้นแบบไหน หุ้นเล็กหรือหุ้นใหญ่ ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณได้ลงทุนในหุ้นแล้ว เพราะประเด็นหุ้นเล็ก หุ้นใหญ่เป็นประเด็นรองจริงๆ วิธีคิด คือ ลงทุนในหุ้นเสียเถอะ ถ้าต้องการผลตอบแทนในระยะยาวที่ดี
2. ลินซ์กล่าวว่า นักลงทุนมือสมัครเล่นที่สามารถเจียดเวลาเพียงไม่มากนักกับการศึกษาบริษัทในอุตสาหกรรมที่เขามีความรู้จะสามารถเอาชนะผู้จัดการกองทุนได้ แถมมาด้วยความสนุกอีกต่างหาก
3. ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนก็ตามในการเลือกหุ้นหรือกรองหุ้นลงทุน สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะตัดสินว่า คุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็คือ ความสามารถของคุณในการเพิกเฉยต่อความกังวลกับเรื่องต่างๆในโลกได้ยาวนานพอที่จะทำให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จ สิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุน ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด แต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่างหาก นักลงทุนขี้ตกใจจะถูกกดดันให้ออกจากตลาดในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย ไม่ว่าพวกเขาจะเฉลียวฉลาดปานใดก็ตาม
4. กฎข้อ 3 ของลินซ์: อย่าพึ่งซื้อหุ้นตัวไหนจนกว่าคุณจะสามารถอธิบายมันออกมาเป็นภาพวาดได้
5. การซื้อลงทุนในสิ่งที่คุณมีความรู้ ความเข้าใจเป็นหนึ่งในความคิดหลักของพวกเรา และในพอร์ตหุ้นควรจะมีหุ้นปันผลดีอย่างน้อย 1-2 ตัวเสมอ
6. การศึกษารายงานเหล่านี้ทำให้ผมตระหนักว่า หุ้นหลายๆตัวที่ผมได้ขายออกไปหลังจากที่ซื้อมาได้สองสามเดือนเป็นหุ้นที่ผมควรจะถือเอาไว้ยาวนานกว่านั้นมาก นี่ไม่ใช่ความภักดีแบบไม่มีเงื่อนไข แต่เป็นการกอดหุ้นของบริษัทที่ดูน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆเอาไว้ รายชื่อหุ้นที่ผมไม่ควรขายออกไป ประกอบด้วย Albertson’s หุ้นโตเร็วที่ราคาได้เพิ่มสูงขึ้น 300 เท่า Toy R US, Pic N Save ที่ได้กล่าวไปแล้ว Warner communications หุ้นที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคแนะนำให้ผมขาย และ Federal Express หุ้นทีผมซื้อมาในราคา $5 และขายทำกำไรไปที่ราคา $10 แล้วก็ได้แต่นั่งมองราคาของมันขึ้นไปที่ $ 70 ภายในระยะเวลา 2 ปี
7. เวลาที่ Lynch พูดคุยกับ CEO ของบริษัทต่างๆเขามักจะจบด้วยคำถามที่ว่า “คุณนับถือคู่แข่งรายไหนของคุณมากที่สุด” ถ้ามีคำตอบมันก็จะเป็นการรับรองความเก่งของบริษัทคู่แข่งที่ทรงพลังมากทีเดียว ในท้ายที่สุด Lynch ก็จะทำการสั่งซื้อหุ้นของบริษัทคู่แข่งของพวกเขาอยู่บ่อยๆ
8. ไม่ว่าคุณจะคิดว่า คุณรู้จักบริษัทดีแค่ไหน มันจะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้คุณรู้สึกประหลาดใจเกิดขึ้นเสมอ
9. หุ้นถูกเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับนักลงทุนพันธ์แท้ ความมั่งคั่งที่ลดลงไป 10-30% ในช่วงที่ตลาดตกต่ำไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เราไม่ได้มองการตกลงของตลาดเป็นหายนะ แต่มองมันเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มที่ราคาถูกๆ นี่เป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ความร่ำรวย
10. เมื่อไหร่ที่ความคาดหวังของนักลงทุนมีสูงเกินไปกับบริษัทหนึ่งๆ จนผลการดำเนินงานตามไม่ทัน เมื่อนั้นตลาดก็จะทำการเทขายหุ้นอกมา แล้วเราค่อยไปติดตามดูทีหลังก็ได้ว่ากิจการเป็นอย่างไร มีแนวโน้มการทำกำไรดีขึ้นหรือไม่ อย่าเข้าไปตอนที่หุ้นกำลังร้อนแรง เต็มไปด้วยความคาดหวัง เพราะเราอาจจะอยู่บนดอยได้ อิ อิ
11. นักลงทุนที่พอร์ตเล็ก อาจจะใช้กฎหุ้น 5 ตัวและเลือกซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพียงห้าตัว หากหุ้นตัวหนึ่งของคนให้กำไรคุณ 10 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นอีก 4 ตัวไม่ไปไหน พอร์ตของคุณโดยรวมก็โตเป็นสามเท่าแล้ว
12. หากหุ้นมีราคาสูงกว่าเส้นกราฟของผลกำไรของมัน ราคาหุ้นจะไม่ไปไหนหรือไม่ก็จะตกลงมาจนกระทั่งราคาของมันกลับมามีควาสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น
13. ให้ซื้อหุ้นในตอนที่เส้นราคาหุ้นอยู่ที่เดียวกับหรือต่ำกว่าเส้นผลกำไรและอย่าซื้อหุ้น หากเส้นราคาอยู่สูงกว่าเส้นกำไร
14. การจำกัดการซื้อขายหุ้นของคุณในบริษัทจำนวนหนึ่งที่คุณสามารถติดตามได้อย่างทั่วถึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อครั้งที่คุณได้ซื้อหุ้นตัวหนึ่งมาแล้ว คุณจะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและบริษัทนี้ คุณจะได้เรียนรู้ว่า บริษัทนี้เป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยอะไรบเงที่มีผลต่อการทำกำไรและอื่นๆ ไม่ช้าก็เร็ว ข่าวร้ายจะทำให้ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลงและหุ้นตัวเก่าๆที่คุณชอบก็จะกลับมามีราคาถูกอีกครั้ง ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนของคุณ
15. หุ้นต้องได้รับการตรวจสอบเป็นระยะๆเพื่อดูว่ามันมีเรื่องราวหรือจุดหักเหอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นหรือไม่ หากบริษัทยังไม่ล้มละลาย เรื่องราวก็ยังไม่จบ หุ้นที่คุณเคยมีเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือ 2 ปีที่แล้ว อาจจะกลับมามีความน่าสนใจในการลงทุนอีกครั้งก็เป็นได้ ดังนั้นการจดบันทึกเป็น diary เรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นที่เคยซื้อ เคยขาย และเหตุผลในการซื้อขายก็จะทำให้เราสามารถกลับมาทบทวนได้เสมอ
16. การคัดเลือกหุ้นเป็นทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การให้น้ำหนักทางด้านใด ด้านหนึ่งมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดอันตรายได้ คนที่มุ่งเน้นแต่ในเรื่องของตัวเลขและงบดุลเพียงอย่างเดียว จะมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อย เพราะถ้าหากคุณสามารถบอกอนาคตจากการดูงบดุลได้แล้วล่ะก็ นักคณิตศาสตร์และนักบัญชีจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกไปแล้วในขณะนี้
17. เครื่องมือที่ซับซ้อนต่างๆ การใช้บริการข้อมูลของโบรกเกอร์ นักวิเคราะห์ ตามแหล่งข้อมูลต่างๆทั้งที่จ่ายเงินและไม่จ่ายเงินจะไม่มีประโยชน์เลย หากคุณไม่ได้ทำการบ้านเกี่ยวกับบริษัทด้วยตัวเอง เอาเวลาไปเดินตามศูนย์การค้าเพื่อตรวจสอบสินค้า ออกไปเสาะหาข้อมูลจริงๆจะดีกว่าถ้าทำได้ (Scuttlebut)
18. นักลงทุนรายย่อย ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นเป็นร้อยๆตัวเหมือนผม (Lynch) ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการคือ หาหุ้นที่กำไรมากๆสองสามตัวในทุกๆ 10 ปีเท่านั้น
19. ถ้าเราสนใจในบริษัทโตเร็วแห่งหนึ่งแต่ราคาสูงมากเกินไปแล้ว (PE สูงมาก) วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์แบบนี้ก็คือ การซื้อหุ้นในจำนวนน้อยๆก่อนและค่อยซื้อเพิ่มในตอนที่ตลาดเกิดการเทขาย และสำหรับหุ้นโตเร็ว คุณสามารถที่จะรอจนเรื่องราวมันชัดเจนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน คุณไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเข้าไปซื้อหุ้นในตอนเริ่มต้นในตอนที่ร้านกำลังขยายสาขาแค่ 100 สาขา เอาไว้ให้มีความชัดเจนมากขึ้น แล้วค่อยไปลงทุนก็ยังไม่สายเมื่อบริษัทขยายไปแล้ว 200 สาขา แต่ยังโตได้อีกเป็น 400 หรือ 500 หรือแม้กระทั่ง 1000 สาขา
20. หุ้นที่ขึ้นมาแล้ว 10 เท่าไม่ใช่มันจะไปต่อเป็น 20 เท่า 30 เท่าไม่ได้ ถ้าเรื่องราวมันยังดีอยู่ และมันยังโตต่อเนื่อง
21. เทคนิคหนึ่งที่ใช้ได้ผลครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือ การรอคอยให้ความคิดเห็นส่วนใหญ่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมหนึ่งๆเปลี่ยนจากไม่ดีกลายมาเป็นแย่สุดๆ จากนั้นก็เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม (แต่ก็ไม่เสมอไปให้ดูประกอบกับข้อมูลที่ว่าสถานการณ์มันกำลังจะดีขึ้น)
22. ในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวเลข SSS (same store sales) จะมีค่าลดลง แต่จะเป็นเรื่องแปลกถ้าหากพบว่าตัวเลข SSS มีค่าลดลงในสภาวะที่เศรษฐกิจดีขึ้น
23. วิธีการหนึ่งในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทก็คือ การเปรียบเทียบ market cap ของบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายๆกัน ดูว่าราคาของบริษัทที่เราสนใจในปัจจุบันมันสมเหตุสมผลหรือไม่ เมื่อเทียบกับบริษัทที่ใกล้เคียง ถ้ามันถูกต่างกันมากก็ให้ทำการวิเคราะห์ต่อว่ามันสมควรแล้วที่ถูก หรือถ้าเราไม่สามารถหาความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ อะไรก็คล้ายกันไปหมด ความสามารถในการทำกำไรก็ไม่ต่างกัน และพบว่ามันถูกแบบไร้เหตุผล ก็ให้ทำการเคาะขวาได้เลย อย่ารอช้าเดี๋ยวราคาหุ้นจะวิ่งหนีก่อน
24. เมื่อไหร่ก็ตามที่แม้กระทั่งนักวิเคราะห์เองก็เริ่มรู้สึกเบื่อ มันจะได้เวลาของการเริ่มซื้อหุ้น
25. S&L (saving and loan) เช่นกลุ่มธนาคาร ตัวเลขที่มีความสำคัญมากๆเช่น equity-to-assets ratio อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 7.5% ยิ่งสูงยิ่งดี ตัวต่อมาคือ เงินปันผล BV PBV < 1 ยิ่งดี เปอร์เซ็นหนี้เสียน้อยๆ เปอร์เซ็นการให้สินเชื่ออสังหาฯเชิงพาณิชย์น้อยๆ กล่าวคือ ต้องดูพอร์ตสินเชื่อว่ามีโอกาสที่จะกลายเป็นหนี้สูญมากน้อยไหน
26. Lynch มักจะชอบกิจการที่ยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ย่ำแย่ เพราะเขามีความเชื่อว่ากิจการเหล่านี้มีความแข็งแกร่ง สามารถรอดพ้นสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยได้ และสามารถได้ market share เพิ่มจากกิจการอื่นๆที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่ได้ล้มหายตายจากไป
27. หากทุกๆอย่างดูเหมือนกันหมดให้ทำการลงทุนในกิจการที่มีรูปสีปรากฏอยู่ในรายงานประจำปีน้อยที่สุด
28. หุ้นศูนย์การค้าให้ดูพื้นที่เช่า ถ้าว่างมากไม่ดี และให้ดูการเซ็นสัญญาเช่าจริงๆเสียก่อน อย่าฟังแต่ข่าวว่าจะมาเช่า ให้ชัวร์ๆก่อนแล้วค่อยเข้าไปซื้อก็ได้ แพงเพิ่มอีกหน่อย แต่มั่นใจดี
29. ปันผลของหุ้นก็ให้ดูความสม่ำเสมอและแนวโน้มควรจะปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกำไรที่เพิ่มขึ้น หุ้นปันผลดี สม่ำเสมอ มักจะเป็น defensive stock ถ้าราคาลงก็เป็นโอกาสซื้อที่ดี แต่ต้องเช็คให้รอบด้านก่อนซักนิดก่อนซื้อ ก็จะปลอดภัย
30. ไม่ว่าเงินปันผลจะดีแค่ไหน ราคาหุ้นก็จะไม่ค่อยดีนัก หากผลกำไรของบริษัทไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
31. นักลงทุนควรจะตรวจสอบหุ้นทุกตัวในพอร์ตของตัวเองทีละตัว และดูว่ามีเหตุผลอะไรหรือป่าวที่จะทำให้ปีหน้ามันดีกว่านี้ หากคุณหาเหตุผลไม่เจอ คำถามที่คุณควรจะถามต่อไปก็คือ ทำไมผมจึงยังถือหุ้นตัวนี้อยู่?
32. การที่บริษัท X ทำการซื้อกิจการทั้งบริษัทของบริษัท Y มา ถ้าบริษัท X ซื้อมาในราคาแพงกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท Y บริษัท X จะต้องทำการบันทึก ค่าความนิยม (Goodwill) ในบัญชีสินทรัพย์ของตัวเองและทำการตัดจำหน่ายออกไปในจำนวนปีที่คิดว่าจะได้ประโยชน์จากค่าความนิยมนี้ ซึ่งต้นทุนค่าความนิยมนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทน้อยกว่าความเป็นจริง ดังนั้น การดูงบกระแสเงินสดจะช่วยได้
33. ในบางกรณีบริษัทที่ทำธุรกิจโดยการกู้เงินมาลงทุนและต้องทำการจ่ายดอกเบี้ย ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ กระแสเงินสดอิสระ (FCF) ที่บริษัทสามารถทำได้มีค่ามากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องชำระมากๆเช่น สามถึงสี่เท่า ให้มั่นใจได้เลยว่าบริษัทเจ๊งยาก และมั่นคงพอสมควร
34. หุ้นยานยนต์ ในช่วงขาลงจะสังเกตเห็นยอดขายรถจริงจะต่ำกว่ายอดประมาณการมาก และยอดขายจะตกมากกว่าปีก่อนแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะดีก็ตาม แต่ในทางกลับกันในสภาวะที่เป็นขาขึ้นของกลุ่มยานยนต์ ยอดขายจริงจะกลับมาสูงกว่ายอดขายประมาณการมาก และขาขึ้นจะกินเวลาประมาณ 4-5 ปี ดังนั้นเราอย่าพึ่งขายหมู ให้พยายามตักตวงสภาวะขาขึ้นก่อน ในทางขาลงระยะเวลาก็จะประมาณสี่ถึงห้าปีเช่นกัน
35. หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค จะเป็นหุ้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในแง่ของการไม่ตายไปจากตลาดได้โดยง่าย เพราะมีภาครัฐเข้ามาช่วยดูแลป้องกันการล้มละลายอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นหุ้นในกลุ่มนี้จะน่าสนใจลทุนในสภาวะที่กิจการอยู่ในช่วงยากลำบากและตลาดตกใจเทขายออกมา และสามารถทำกำไรได้อย่างงาม ช่วงเวลาที่ควรเข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่มนี้คือเมื่อบริษัทประกาศงดจ่ายเงินปันผลและให้ถือไปจนกระทั่งบริษัทประกาศจ่ายปันผล
36. การที่หุ้นจะสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่ผู้คนในตลาดคาดการณ์กันเอาไว้ได้ บริษัทจะต้องได้รับการประเมินจากผู้คนทั่วไปในระดับที่แย่กว่าความเป็นจริง มิฉะนั้นราคาหุ้นมันก็คงจะอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ตอนแรกแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเห็นทั่วๆปมันออกมาในเชิงลบมากกว่าความเห็นของคุณ คุณจะต้องตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ตัวคุณเองมั่นใจว่าคุณไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบโง่ๆ
37. หุ้นที่สุดยอดแต่คนยังไม่เห็น ในที่สุดตลาดก็จะเริ่มมองเห็นว่าบริษัทนี้สามารถเติบโตในอัตรา 15-20% ต่อปีได้ ราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นจาก $16 ไปเป็น $ 42 ภายในหนึ่งปี กรณีนี้มันเป็นกรณีที่ความอดทนที่สะสมกันมานานหลายปี มันได้รับผลตอบแทนรวมอยู่ในปีเดียว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในตลาดหุ้น
38. เทคนิคในการเสาะหาหุ้นถูกภายในหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจที่มักได้ผลเสมอ คือ การเปรียบเทียบค่า P/E ของบริษัทต่างๆในกลุ่มเดียวกัน และดูตัวที่มีค่า P/E ต่ำสุดและหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมมันถูก ถ้าหาเหตุผลไม่เจอแสดงว่าคุณได้เจอของดีแล้ว
39. หุ้นเครือข่ายร้านอาหาร: บริษัทเครือข่ายร้านอาหารก็เหมือนกับบริษัทค้าปลีกที่จะสามารถเติบโตได้อีก 15-20 ปี แม้ว่าธุรกิจจะดูเหมือนเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงมาก แต่กิจการร้านอาหารจะแตกต่างจากกิจการในกลุ่มอิเล็คทรอนิคส์หรือกิจการรองเท้า ซึ่งมันอาจจะถูกกระทบจากการนำสินค้าราคาถูกจากจีนหรือเกาหลีได้ สิ่งที่จะแยกแยะระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวของเครือข่ายร้านอาหาร ก็คือ ผู้บริหารที่มีความสามารถ เงินทุนที่เพียงพอ และการขยายงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง การขยายงานในธุรกิจนี้จะต้องเป็นไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ถ้าขยายเร็วเกินไป อาจจะเกิดปัญหาได้ เพราะต้องมีการ train พนักงาน การเลือกทำเลที่เหมาะสม ปัจจัยที่เราจะต้องจับตาดูสำหรับกิจการค้าปลีกก็คือ sales and sales growth, same-store sales growth ต้องเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส, D/E ต้องพอเหมาะ
40. หุ้นเครือข่ายร้านอาหารหรือค้าปลีก แม้ว่าจะมีค่า PE ทีสูงเป็น 30 เท่า แต่ก็เป็นหุ้นที่ควรค่าแก่การติดตาม
41. หุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่อยู่ในธุรกิจที่ถูกรุมล้อมไปด้วยข่าวร้ายสุดๆ สุดท้ายแล้วมันมักจะให้ผลตอบแทนสูงๆ
42. การปฏิเสธหุ้นตัวหนึ่งๆด้วยเหตุผลที่ว่า ราคาของมันได้เพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่าแล้ว สามเท่าแล้ว หรือแม้กระทั่งสี่เท่าแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ อาจจะเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ก็เป็นได้ ไม่ว่านักลงทุนนับล้านคนจะได้กำไรหรือขาดทุนจากหุ้น Chrysler เมื่อเดือนที่แล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเดือนถัดไปเลย ผมพยายามที่จะมองการลงทุนในแต่ละครั้งเหมือนกับว่าหุ้นตัวนั้นไม่เคยมีประวัติการซื้อขายมาก่อนเลยในอดีต ผมจะใช้แนวคิด “พิจารณาที่ราคานี้” ซึ่งราคาที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้ามันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย สิ่งที่สำคัญ คือ ระดับราคาหุ้นในปัจจุบันที่ $21 - $ 22 มันถูกหรือมันแพง เมื่อเทียบกับศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทที่จะทำได้ที่ $5 - $7
43. หุ้นวัฏจักร: คุณไม่สามารถที่จะถือหุ้นวัฎจักรไว้ในลักษณะเดียวกันกับการถือหุ้นในบริษัทค้าปลีกในช่วงที่มันยังสามารถขยายงานอยู่ได้

การตรวจสอบประจำ 6 เดือน
พอร์ตการลงทุนจะมีสุขภาพที่ดีได้ จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบอยู่เป็นประจำ ซึ่งอาจจะเป็นทุกไตรมาสหรือทุก 6 เดือน โดยการ เกาะติดเรื่องราวของบริษัท และต้องพยายามที่จะหาคำตอบให้กับพื้นฐานสองคำถามต่อไปนี้
1. เมื่อพิจารณาถึงผลกำไรของบริษัทแล้ว ราคาหุ้นของบริษัทยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจอยู่หรือป่าว?
2. มีอะไรกำลังเกิดขึ้นในบริษัท ซึ่งจะไปผลักดันให้ผลกำไรของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นหรือป่าว?
และคุณต้องได้ข้อสรุปหนึ่งสามข้อนี้ออกมา
1. เรื่องราวของบริษัทดูดีขึ้นและคุณอยากจะซื้อหุ้นเพิ่ม
2. เรื่องราวของบริษัทดูแย่ลงนะ และคุณอยากจะขายหุ้นออกไป
3. เรื่องราวของบริษัทยังคงเหมือนเดิม และคุณจะถือหุ้นนั้นเอาไว้ หรืออยากจะเปลี่ยนไปถือหุ้นที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจกว่านี้

กฎสำคัญ 24 ข้อของ Peter Lynch
1. การลงทุนมันเป็นเรื่องที่น่าสนุกและตื่นเต้น แต่มันก็เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยอันตราย หากคุณไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย
2. มุมมองการลงทุนที่เหนือกว่าของคุณไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณได้มาจาก wall street มันเป็นเรื่องที่คุณมีอยู่แล้วในตัว คุณจะสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญได้ หากคุณใช้มุมมองที่เหนือกว่าของคุณไปลงทุนกับกิจการที่คุณมีความเข้าใจเป็นอย่างดี
3. ตลอดช่วงระยะเวลาสามทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดหุ้นถูกครอบงำโดยเหล่านักลงทุนมืออาชีพ มันอาจจะฟังดูขัดแย้งกับความเชื่อทั่วๆไป แต่สภาพดังกล่าวมันกลับทำให้การลงทุนของนักลงทุนมือสมัครเล่น มันง่ายขึ้น คุณจะสามารถเอาชนะตลาดได้โดยการละเลยฝูงชน
4. เบื้องหลังของหุ้นทุกตัวก็คือบริษัท จงค้นหาดูว่า บริษัทเหล่านั้นทำธุรกิจอะไรบ้าง
5. บ่อยครั้งที่ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทมักจะไม่ไปด้วยกัน อย่างไรก็ตามในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นและความสำเร็จของบริษัทจะไปด้วยกันร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอ
6. ก่อนจะทำการซื้อหุ้น คุณต้องรู้ว่า ทำไมคุณต้องซื้อมัน หุ้นตัวนี้กำลังจะขึ้นมันไม่ใช่เหตุผล
7. บริษัทที่ประสบปัญหา มักจะมีเหตุการณ์ที่ผิดคาดเกิดขึ้นอยู่เสมอ
8. การเป็นเจ้าของหุ้นก็จะคล้ายๆกับการมีลูก ดังนั้นอย่ามีมากตัวจนเกินไป ห้าตัวกำลังดีและคุณสามารถติดตามดูแลเรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9. หากคุณไม่สามารถค้นหาบริษัทที่น่าสนใจในการลงทุน การฝากเงินไว้ก่อนก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่
10. อย่าลงทุนในบริษัทใดๆ โดยที่คุณยังไม่ได้เข้าใจฐานะการเงินของบริษัทนั้น
11. หลีกเลี่ยงหุ้นร้อนอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง บริษัทชั้นเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ไม่มีการเติบโต มักจะเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ
12. สำหรับการลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก คุณควรจะรอพวกมันให้มีผลกำไรที่ชัดเจนก่อนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน
13. หากคุณจะลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังประสบปัญหา ให้เลือกบริษัทที่มีงบดุลแข็งแกร่ง และจะสามารถอยู่รอดได้และให้รอจนกว่าจะมีสัญญาณของการฟื้นตัวที่ชัดเจนก่อน อุตสาหกรรมรถม้าและวิทยุเป็นอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมที่ประสบปัญหาและมันก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
14. เงินลงทุนของคุณ 10,000 บาทในการซื้อหุ้น ทั้งหมดที่คุณจะขาดทุนได้ คือ 10,000 บาท แต่คุณอาจจะได้กำไร 10,000 หรือ 50,000 หรือแม้กระทั่ง 100,000 บาท หากคุณมีความอดทน นักลงทุนทั่วๆไปจะสามารถมุ่งเน้นไปที่บริษัทชั้นดีเพียงสองหรือสามแห่งเท่านั้น คุณค่าของการลงทุนทั้งชีวิตจะอาศัยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงมากๆเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น
15. ในทุกๆอุตสาหกรรมและในทุกๆพื้นที่ของประเทศ นักลงทุนมือสมัครเล่นจะสามารถพบเจอบริษัทโตเร็วชั้นเยี่ยมได้ก่อนนักลงทุนมืออาชีพนานเลยทีเดียว
16. การตกต่ำของตลาดหุ้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเกิดพายุหิมะ หากคุณมีการเตรียมตัวที่ดี มันจะไม่สามารถทำร้ายคุณได้ การตกลงของราหุ้นจะเป็นโอกาสของการซื้อมากกว่าโอกาสของการขาย
17. ใครๆก็มีสติปัญญาสูงพอที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสภาวะอารมณ์อันเหมาะสม หากคุณมีแนวโน้มที่จะขายทุกสิ่งทุกอย่างอกไปในสภาวะของการตื่นตระหนก คุณก็ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นซะ
18. มันมีบางสิ่งบางอย่างให้วิตกกังวลอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการคิดวิตกกังวลในช่วงสุดสัปดาห์ และจงละเลยการคาดการณ์การอันเลวร้ายตามรายการโทรทัศน์และรายกาวิทยุต่างๆ ขายหุ้นออกไปก็ต่อเมื่อกิจการของคุณมีพื้นฐานที่เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงหรือเมื่อราคามันขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล (overvalue) แต่ไม่ใช่ขายเพราะกลัวว่าฟ้าจะถล่ม
19. หากคุณทำการศึกษาบริษัท 10 แห่ง คุณจะพบบริษัทแห่งหนึ่งที่มีเรื่องราวที่ดีกว่าที่คุณคิด และหากคุณศึกษา 50 แห่ง คุณก็มักจะพบบริษัท 5 แห่งที่ดีกกว่าที่คุณคิด มันมีความประหลาดใจที่น่ายินดีให้เราได้ค้นหาเสมอในตลาดหุ้น ผมหมายถึงบริษัทชั้นดีที่มักถูกมองข้ามโดยตลาด wall street
20. หากคุณไม่ได้ศึกษาบริษัทใดเลย การลงทุนของคุณก็จะเหมือนกับการเดิมพันในการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ โดยที่ไม่ได้ดูไพ่
21. เวลาจะอยู่ข้างเดียวกับคุณ หากคุณลงทุนในบริษัทชั้นเยี่ยม คุณสามารถที่จะรอได้ กระทั่งว่าคุณพลาดการลงทุนในหุ้น wal-mart ในช่วงระยะเวลาห้าปีแรก มันก็ยังเป็นหุ้นที่น่าซื้อยู่ในอีกห้าปีต่อมา เวลาจะเป็นศัตรูกับคุณหากคุณซื้อ options
22. หากคุณพบว่าคุณเป็นคนที่มีภาวะอารมณ์ที่เหมาะสมกับการลงทุนในหุ้น แต่ไม่มีเวลาหรือไม่อยากที่จะทำการศึกษาบริษัท ก็สามารถลงทุนในกองทุนหุ้นได้
23. ไม่มีใครที่จะสามารถทำนายอัตราดอกเบี้ย ทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตหรือตลาดหุ้นได้ เลิกฟังการคาดการณ์เหล่านั้น และมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับบริษัทที่คุณกำลังลงทุนอยู่
24. ในระยะยาวแล้ว portfolio ที่ประกอบไปด้วยหุ้นที่ได้รับการคัดสรรอย่างดีแล้วจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า portfolio ที่ประกอบไปด้วยตราสารหนี้หรือตลาดเงิน แต่ portfolio ของหุ้นที่ได้รับการคัดสรรมาแบบแย่ๆ จะไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการเก็บเงินไว้ไต้พรมเสียอีก
+1 ให้เลยครับ คนที่จะเอาสไตล์ของลินซ์มาลงทุน ก้ต้องรู้จักตัวตนของลินซ์

สิ่งที่ลินซ์ย้ำเสมอและไม่ว่าจะอ่านเล่มไหน ก้ต้องเจอ คือคำว่า Nitch

เราต้องเข้าใจการตีลูกกอลฟ์ สไตล์ปีเตอร์ลินซ์ ว่าเค้าตียังไง แล้วเอามาปรับใช้กับเราครับ

เราคงตีแบบเค้าไม่ได้ แต่เราเอาแนวทางเค้ามาต่อยอดได้
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ

หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
surachaichia
Verified User
โพสต์: 600
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ขอบคุณที่ เติมเต็มทุกข้อนะครับ

ทั้งหมดล้วนกลั่นมาจากประสบการณ์ของ เขาล้วนๆ

คนที่ลงทุนมาย่อมรู้สึก และเคยพบตามที่ Lynch พูดเสมอ :D
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ลูกอิสาน เขียน:
appendix เขียน:ข้อดีของการทำใจยอมรับเสียว่าเราไม่สามารถคาดเดาทิศทางของตลาดได้ก็คือการนอนหลับได้สนิททุกคืนแม้จะมีหุ้นอยู่เต็มพอร์ท โดยมีของแถมเป็นผลตอบแทนระยะยาวที่น่าพอใจ :D :D
วรรคนี้สุดยอดเลยครับคุณ appendix :bow: :bow:
ส่วนการหาช่วงจังหวะในการซื้อเพื่อหลีกเลี่ยงตลาด crash อันนี้อาจจะเป็นมุมมองการคาดเดาตลาด
ที่มีโอกาสผิดพลาดสูง วิกฤิตมันไม่ได้มาบ่อยๆ(เพราะคนเจ็บแล้วจำ) เราเสียเวลารอหลายปีเงินก็ไม่โต
แทนที่จะนำเงินไปซื้อหุ้นดีๆราคาต่ำกว่ามูลค่าแล้วได้กำไรทุกๆปีไม่ดีกว่า
หรือ ลองคิดดูว่าเราอดทนรอ 10 ปี ได้ซื้อหุ้นตอนปีวิกฤิตที่ราคาต่ำมากๆ เราอาจได้กำไร 400-500%
สมมุตินะครับ แต่หากเราลงทุนทุกๆปีได้กำไร 40% ต่อปีติดต่อกัน 10 ปี ถามว่าอย่างไหนจะดีกว่ากัน
ตอบโดยไม่ต้องคิดมากผมคงเลือกแบบที่สอง
เพราะให้ผลตอบแทนถึง 2000% ผมอุปมาอุปไมยตัวเลขนะครับ
แต่ต้องการสื่อว่า ต้นทุนการเสียโอกาส เสียเวลาในการทำผลตอบแทนทบต้นนั้นมันมหาศาล


source:http://www.sarut-homesite.net/2011/09/% ... %E0%B8%81/

วรรคนี้แรกสุดยอด..
วรรคสองก็เยี่ยมครับ...
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 14

โพสต์

We will continue to ignore political and economic forecasts,
which are an expensive distraction for many investors and
businessmen. Thirty years ago, no one could have foreseen the
huge expansion of the Vietnam War, wage and price controls, two
oil shocks, the resignation of a president, the dissolution of
the Soviet Union, a one-day drop in the Dow of 508 points, or
treasury bill yields fluctuating between 2.8% and 17.4%.


But, surprise - none of these blockbuster events made the
slightest dent in Ben Graham's investment principles. Nor did
they render unsound the negotiated purchases of fine businesses
at sensible prices.
Imagine the cost to us, then, if we had let
a fear of unknowns cause us to defer or alter the deployment of
capital.
Indeed, we have usually made our best purchases when
apprehensions about some macro event were at a peak. Fear is the
foe of the faddist, but the friend of the fundamentalist.

A different set of major shocks is sure to occur in the next
30 years. We will neither try to predict these nor to profit
from them. If we can identify businesses similar to those we
have purchased in the past, external surprises will have little
effect on our long-term results.
http://www.berkshirehathaway.com/letters/1994.html
baggio
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 380
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 15

โพสต์

กระทู้ทองคำ...ขอบคุณมากครับ :D
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 16

โพสต์

The final checklist from Peter Lynch -- An excerpt from 'One Up on Wall Street'
By Srikorada - Posted on 06 September 2009
source:
http://zenway.com/d/node/116
* Understand the nature of the companies you own and the specific reasons for holding the stock. (“It is really going up!” does not count)
* By putting your stock into categories you’ll have a better idea of what to expect from them
* Big companies have small moves, small companies have big moves
* Consider the size of a company if you expect it to profit from a specific product
* Look for small companies that are already profitable and have proven that their concept can be replicated
* Be suspicious of companies with growth rates of 50 to100 percent a year.
* Avoid hot stocks in hot industries
* Distrust diversifications, which usually turn out to be diworseifications
* Long shots almost never pay off
* It’s better to miss the first move in a stock and wait to see if a company’s plans are working out
* People get incredibly valuable fundamental information from their jobs that may not reach the professionals for months or even years
* Separate all stock tips from tipper, even if the tipper is very smart, very rich, and his or her last tip went up
* Some stock tips, especially from the expert in the field, may turn out to be quite valuable. However, people in the paper industry normally give out tips on drug stocks, and people in the health care field never run out of tips on the coming takeovers in the paper industry
* Invest in simple companies that appear dull, mundane, out of favor, and haven’t caught the fancy of Wall street
* Moderately fast growers(20-25 percent) in non growth industries are ideal investments
* Look for companies with niches
* When purchasing depressed stocks in troubled companies, seek out the ones with the superior financial positions and avoid the ones with loads of bank debt
* Companies that have no debt can’t go bankrupt
* Managerial ability may be important, but it’s quite difficult to assess. Base your purchases on the company’s prospects, not on the president’s resume or speaking ability
* A lot of money can be made when a troubled company turns around
* Carefully consider the price-earnings ratio. If the stock is grossly over priced, even if everything else goes right, you won’t make any money.
* Find a story line to follow as a way of monitoring a company’s progress
* Look for companies that consistently buy back their own shares
* Study the dividend record of a company over the years and also how its’ earnings have fared in past recessions
* Look for companies with little or no institutional ownership
* All else being equal, favor companies in which management has a significant personal investment over companies run by people that benefit only from their salaries.
* Insider buying is a positive sign, especially when several individuals are buying at once.
* Devote at least an hour a week to investment research. Adding up your dividends and figuring out your gains and losses doesn’t cout
* Be patient. Watched stock never boils
* Buying stocks based on stated book value alone is dangerous and illusory. It’s real value that counts.
* When in doubt, tune in later
* Invest at least as much time and effort in choosing a new stock as you would in choosing a new refrigerator.
ข้างบนมีโน๊ต Beating the street แล้ว
พอดีเจอของ 'One Up on Wall Street' โดยคุณSrikoradaเลยมารวมไว้ด้วยกัน.. :D
yakjabon
Verified User
โพสต์: 312
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ถ้าเป็นการขับรถ เราก็คงไม่รู้ว่าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เมื่อไหร่จะมีคนเมาขับรถแหกโค้ง ฝ่าไฟแดง ตีลังกา 3 ตลบมาชนรถเรา ที่ทำได้ก็แค่พยายามขับให้ระมัดระวัง อยู่ในเขตถนน ชุมชน ที่ไม่เป็นที่ซิ่งของนักสิงห์ปั่น (หุ้น) และก็ทำการตรวจเช็คสภาพ (แผนธุรกิจ) ของรถเราให้มั่นใจที่สุด ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น เบรคต้องแน่น ถุงลมนิรภัยทำงาน ประกันต่ออายุแล้ว ฯลฯ

แต่ถ้ากลัว (วิกฤต) ... เราก็คงจะไม่กล้าออกนอกบ้านอีกเลยตลอดไป เพราะคนที่ไม่เคยผิดพลาด คือ คนที่ไม่เคยทำอะไรเลย
Invincible MOS is knowing what you're doing
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 18

โพสต์

Beating the Street (English version)
Peter Lynch's 25 Golden Rules for Investing
source:
http://www.wealthdaily.com/articles/pet ... dvice/2592
Later, his follow-up book Beating the Street (published in 1993), Lynch left investors with the following list of golden rules — 25 in all.

Peter Lynch's 25 Golden Rules for Investing

Rule 1: Investing is fun and exciting, but dangerous if you don't do any work.

Rule 2: Your investor's edge is not something you get from Wall Street experts. It's something you already have. You can outperform the experts if you use your edge by investing in companies or industries you already understand.

Rule 3: Over the past 3 decades, the stock market has come to be dominated by a herd of professional investors. Contrary to popular belief, this makes it easier for the amateur investor. You can beat the market by ignoring the herd.

Rule 4: Behind every stock is a company. Find out what it's doing.

Rule 5: Often, there is no correlation between the success of a company's operations and the success of its stock over a few months or even a few years. In the long term, there is a 100% correlation between the success of the company and the success of its stock. This disparity is the key to making money; it pays to be patient, and to own successful companies.

Rule 6: You have to know what you own, and why you own it. "This baby is a cinch to go up" doesn't count.

Rule 7: Long shots almost always miss the mark.

Rule 8: Owning stocks is like having children — don't get involved with more than you can handle. The part-time stockpicker probably has time to follow 8-12 companies, and to buy and sell shares as conditions warrant. There don't have to be more than 5 companies in the portfolio at any one time.

Rule 9: If you can't find any companies that you think are attractive, put your money in the bank until you discover some.

Rule 10: Never invest in a company without understanding its finances. The biggest losses in stocks come from companies with poor balance sheets. Always look at the balance sheet to see if a company is solvent before you risk your money on it.

Rule 11: Avoid hot stocks in hot industries. Great companies in cold, non-growth industries are consistent big winners.

Rule 12: With small companies, you are better off to wait until they turn a profit before you invest.

Rule 13: If you are thinking of investing in a troubled industry, buy the companies with staying power. Also, wait for the industry to show signs of revival. Buggy whips and radio tubes were troubled industries that never came back.

Rule 14: If you invest $1000 in a stock, all you can lose is $1000, but you stand to gain $10,000 or even $50,000 over time if you are patient. The average person can concentrate on a few good companies, while the fund manager is forced to diversify. By owning too many stocks, you lose this advantage of concentration. It only takes a handful of big winners to make a lifetime of investing worthwhile.

Rule 15: In every industry and every region of the country, the observant amateur can find great growth companies long before the professionals have discovered them.

Rule 16: A stock market decline is as routine as a January blizzard in Colorado. If you are prepared, it can't hurt you. A decline is a great opportunity to pick up the bargains left behind by investors who are fleeing the storm in panic.

Rule 17: Everyone has the brainpower to make money in stocks. Not everyone has the stomach. If you are susceptible to selling everything in a panic, you ought to avoid stocks and stock mutual funds altogether.

Rule 18: There is always something to worry about. Avoid weekend thinking and ignore the latest dire predictions of the newscasters. Sell a stock because the company's fundamentals deteriorate, not because the sky is falling.

Rule 19: Nobody can predict interest rates, the future direction of the economy, or the stock market, Dismiss all such forecasts and concentrate on what's actually happening to the companies in which you have invested.

Rule 20: If you study 10 companies, you will find 1 for which the story is better than expected. If you study 50, you'll find 5. There are always pleasant surprises to be found in the stock market — companies whose achievements are being overlooked on Wall Street.

Rule 21: If you don't study any companies, you have the same success buying stocks as you do in a poker game if you bet without looking at your cards.

Rule 22: Time is on your side when you own shares of superior companies. You can afford to be patient — even if you missed Wal-Mart in the first five years, it was a great stock to own in the next five years. Time is against you when you own options.

Rule 23: If you have the stomach for stocks, but neither the time nor the inclination to do the homework, invest in equity mutual funds. Here, it's a good idea to diversify. You should own a few different kinds of funds, with managers who pursue different styles of investing: growth, value small companies, large companies etc. Investing the six of the same kind of fund is not diversification.

Rule 24: Among the major stock markets of the world, the U.S. market ranks 8th in total return over the past decade. You can take advantage of the faster-growing economies by investing some portion of your assets in an overseas fund with a good record.

Rule 25: In the long run, a portfolio of well-chosen stocks and/or equity mutual funds will always outperform a portfolio of bonds or a money-market account. In the long run, a portfolio of poorly chosen stocks won't outperform the money left under the mattress
สังเกตุว่า ข้อ 7
Long shots almost always miss the mark.
ใน
source:
http://www.fool.com.au/2011/10/how-to-i ... he-market/
4. Avoid long shots
Lynch claims he was 0-for-25 in investing in companies that had no revenue but a great story. Remember, the guy who averaged 29% returns went oh-fer on long shots. You and I are unlikely to do much better.

I’ve said it before, and I’ll say it again. Use companies with proven track records as your baseline. QBE Insurance Group (ASX:QBE), BHP Billiton (ASX:BHP), and Telstra Corporation (ASX:TLS) are selling for 10, 8, and 10 times trailing earnings, respectively. This is what the market is charging for solid, low-to-moderate-growth companies that dominate (or at least co-dominate) their spaces. Expect to pay more for higher-growth prospects, but make sure the risk-reward trade-off on an unproven company is worth it.
Long shots almost always miss the mark
..แปลง่ายน่าจะหมายความว่า
การเล็งเป้าไกลมักจะพลาดเป้า
long shot
noun
1.
a horse, team, etc., that has little chance of winning and carries long odds.

...
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ส่วน
"อย่ามองกระจกหลัง หาก...."
more note..at
http://www.travismorien.com/FAQ/shares/lynch.htm
Peter's Principle #10
Never look back when you're driving on the autobahn.

He's referring to the time he was doing a research trip in Europe and while traveling at 120mph (just shy of 200kmh) he noticed in his rear view mirror that some guy in a Mercedes was tailgaiting him about 3" from his rear bumper. I'm sure this incident has deep significance for investors, but I guess I'm too much of a philistine to see it.
...
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 20

โพสต์

หรือ
Peter's Principle #16
In business, competition is never as healthy as total domination.
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 21

โพสต์

yakjabon
Verified User
โพสต์: 312
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 22

โพสต์

สุดยอดครับพี่ imerlot :bow: :bow:
Invincible MOS is knowing what you're doing
ภาพประจำตัวสมาชิก
เด็กตัวเล็กๆ
Verified User
โพสต์: 98
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ขอบคุณทุกโพส ครับ :bow:
STAY CALM & STAY INVEST
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 24

โพสต์

ถือเป็นกระทู้ที่ดีกระทู้นึงเลยครับ
ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
phongkrit
Verified User
โพสต์: 11
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 25

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
"Hope is a good thing. May be the best of things. And no good thing ever dies."
ภาพประจำตัวสมาชิก
neuhiran
Verified User
โพสต์: 815
ผู้ติดตาม: 0

Re: หุ้นช่วงนี้ กับ คำพูด Peter lynch

โพสต์ที่ 26

โพสต์

ขอบคุณมากครับ :D :D :D
โพสต์โพสต์