สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ลุงขวด
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 2431
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 121

โพสต์

ตอนแรก นึกว่า จะแซวคุณปรัชญาแล้ว ที่ตั้งหัวเรื่องว่า ปรัชญาข้าวตก...เป็นปรัชญาตกข่าว คือ จะไม่ให้ข่าวอะไรทำนองนี้.....ขอ ขอบคุณบทความข้างบนด้วย...วันก่อนผม ก็ให้เงินบริจาคแก่ รพ ราชวิถีครับ รพ นี้ช่วยรักษาคุณแม่ผมช่วงที่ท่านป่วยในช่วงแรก ๆ รักษาอยู่นานเลย ให้รักษาที่ตึกใหม่ด้วย ....เลี้ยงเด็กชาวเขามาหลายปีแล้ว ตั้งแต่อยู่ประถม จน ถึงบัดนี้ ผ่านทางมูลนิธิศุภนิมิตร....การให้ดีกว่า การรับครับ :D :D :D

ขอขอบคุณ คุณปรัชญาที่กลับมาให้ข่าวอีกครั้ง ณ ที่นี้ด้วยนะครับ :D :D :D
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 122

โพสต์

ขอบคุณคุณหมอnam ที่เข้ามารับผิดชอบทำข่าวแทนผม ผมหนีไปเที่ยวหลายวัน :mrgreen:
มีโอกาสแวะมาโพสต์ข่าว ช่วยกันก็ดีนะครับ

ขอบคุณครับลุงขวด ที่แวะมาเจิมให้กำลังใจ พอดีแว่นตาหายยังไม่ได้ไปตัดใหม่เลยครับมองไม่ค่อยถนัด
พรุ่งนี้มาเข้าประจำการตามปกติ ผิดพลาด ตกหล่น ขออภัยทุกท่านนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 123

โพสต์

รูปภาพ

รูปภาพ

HotNews: IPO ฟีเว่อร์- 9 ตัวเข้าเทรด ธ.ค.นี้ ส่งท้ายปีมังกรทอง

ไอพีโอฟีเว่อร์ หุ้นใหม่ 9 ตัว ANAN -TMILL-JMT-BEAUTY- ARROW -DNA-สหการประมูล-AKP-EA เรียงคิวเคาะสนั่นเดือน ธันวาคมนี้ วงการ ประเมินยุคทองหุ้นใหม่ มาถึงจุดสูงสุดแล้ว งานนี้หากตัวใด สร้างความผิดหวังกับคนจอง ระวังปรากฎการณ์ลูกโซ่ ไฟลุกเป็นไฟลามทุ่ง

ปีนี้ นับว่าเป็นยุคทอง สำหรับตลาดไอพีโอความร้อนแรงของราคาหุ้นที่สร้างผลตอบแทนมากกว่า 100%ให้นักลงทุนที่ได้รับการจัดสรร โดยโบรกเกอร์ที่ขึ้นชื่อหรือมีชื่อเสียง สร้างแรงสะเทือนให้กับวงการอันเดอร์ไรท์มากที่สุด คือ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด(มหาชน)(FSS)เดือนธันวาคมนี้ พบว่า มีหุ้นใหม่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์และตลาดเอ็มเอไอมากถึง 9 ตัว เรียกว่า เป็นอะไรที่มีความคึกคัก ปรากฎการณ์แบบนี้ เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

ทีมข่าวหุ้นอินไชด์ ได้สำรวจพบว่าสำหรับ 9หุ้นใหม่ที่จะเข้าซื้อขายฯในเดือนธันวาคม 2555 ประกอบด้วย

1. บริษัท อนันดา ดีเวล ลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN บล.บัวหลวง เป็นอันเดอร์ไรท์

2.บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือทีมิลล์ (TMILL) บล.เอเชียพลัส เป็นอันเดอร์ไรท์

3.บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT บล.เอเชียพลัส เป็นอันเดอร์ไรท์

4. บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)(BEAUTY) บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เป็นอันเดอร์ไรท์

5.บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เป็นอันเดอร์ไรท์

6.บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) บล.คันทรี่ (ประเทศไทย) เป็นอันเดอร์ไรท์

7.บมจ.สหการประมูล บล.คันทรี่ (ประเทศไทย)เป็นอันเดอร์ไรท์

8.บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) บล.คันทรี่ (ประเทศไทย) เป็นอันเดอร์ไรท์

9.บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) คาดว่า บล.โนมูระ พัฒนสิน เป็นอันเดอร์ไรท์

แหล่งข่าวจากวงการวาณิชธนกิจ เปิดเผยว่า สาเหตุที่หุ้นไอพีโอ เร่งเข้าซื้อขายในตลาดฯเดือนธันวาคมนี้ มองได้หลากหลายมิติและสะท้อนได้ถึงกระแสตอบรับที่มีต่อหุ้นไอพีโอหรือหุ้นใหม่ มีมากมาย ประกอบกับตลาดหุ้นไทย ถือว่า มีความคึกคัก และหุ้นจองหลายตัว ได้สร้างผลตอบแทนมากกว่า 100% สำหรับการเข้าซื้อขายในตลาดฯวันแรก ขณะที่กิจการที่ระดมทุน ก็สามารถกำหนดราคาได้ตามที่ต้องการ เพราะนักลงทุน ต้องการจองซื้อหุ้นจำนวนมากเกินกว่าจำนวนที่จัดสรร
"ปีนี้ถือว่าเป็นยุคทองของไอพีโอ ส่วนปีหน้า ยุคทองจะมีความต่อเนื่องหรือไม่ เป็นสิ่งคาดการณ์ได้ยาก ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการตั้งราคาจองและธุรกิจที่จะเข้ามาระดมทุน"แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ 9 หลักทรัพย์ใหม่ ตัวไหนจะร้อนแรงมากที่สุด คงตอบได้ยากเนื่องจากมีหลายปัจจัย หลายตัวแปร รวมถึงมือที่มองไม่เห็น นั่นคือ ความเชื่อมั่น ความศรัทธาที่มีต่ออันเดอร์ไรท์ ตรงจุดนี้ ก็จะเรียกว่า เรียกความเชื่อมั่นให้นักลงทุน แต่หากตัวใดตัวหนึ่ง เข้ามาซื้อขายในตลาดแล้ว ทำให้คนจอง นักลงทุนผิดหวัง อาจทำให้วิกฤตศรัทธาที่มีต่อหุ้นจองเกิดขึ้นได้และกระทบต่อหุ้นไอพีโอ ตัวที่จะเข้าซื้อขายฯในตัวถัดไป
ด้านนายเตชธร ลาภอุดมสุขผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ตราสารอนุพันธ์ บล. เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ASP กล่าวว่า หุ้นIPO ที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ที่มีความโดดเด่น มากที่สุดมีจำนวน 3 บริษัท นำโดย บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)(BEAUTY) โดยBEAUTYผู้นำในธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม เพราะผลิตภัณฑ์ของ BEAUTY มีความน่าสนใจที่เหมาะกับผู้หญิงวัยทำงานที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตอีกทั้งคาดว่ากำลังซื้อจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมาจากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และอัตราเงินเดือน 15,000 บาทของรัฐบาลเป็นตัวสนับสนุน ขณะที่บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT บริษัทลูกของบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน)หรือ JMART ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ SET มองว่าตัวธุรกิจถือว่าน่าสนใจเพราะขนาดของพอร์ตลูกหนี้ที่ JMT รับมาบริหารมีแนวโน้มเติบโตในอนาคตตามการบริโภคที่จะสูงขึ้น ส่วนบริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW มีความโดดเด่นในแง่ของ การเป็นผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายท่อในอาคารและท่อข้อต่อต่าง ๆ ซึ่งคาดว่าหากมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 จะเป็นปัจจัยบวกต่อตัวธุรกิจ ARROW มากเพราะจะเกิดการขยายงานในส่วนของการขยายสาขาซึ่งส่งผลดีต่อ ARROW

พร้อมกันนี้แนะนำให้นักลงทุนถือหุ้น BEAUTY -JMT -ARROW ในระยาวเพราะเป็นหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนในระยะยาวโดยนักลงทุนที่จองซื้อหุ้นสามารถถือลงทุนได้ ส่วนนักลงทุนที่ไม่ได้จองซื้อหุ้นแนะนำเข้าไปเก็บหุ้นช่วงอ่อนตัวและถือลงทุน


บริษัท อนันดา ดีเวล ลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวนไม่เกิน 1,333,000,000 หุ้น พาร์ 0.10 บาท
อนึ่ง บมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ มีทุนจดทะเบียน 333,300,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 3,333,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท โดยมีทุนชำระแล้ว 200,000,000 บาท โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยANAN ถือเป็นบริษัทแรกในรอบ 3 ปีของกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์ ระบุเงินที่ได้จะนำไปขยายธุรกิจให้เติบโต และชำระหนี้สถาบันการเงิน มั่นใจเกินร้อยเป็นหุ้นน้องใหม่ที่จะได้รับการตอบรับอย่างคึกคักจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การเข้าระดมทุนใน SET ครั้งนี้จะนำไปขยายธุรกิจและแบ่งชำระหนี้ ทั้งนี้จะมีการเสนอขายให้กับนักลงทุนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เรามั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีมากจากนักลงทุน อีกทั้ง ANAN เป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์ตัวแรกในรอบ 3 ปีที่เข้ามาระดมทุนอีกด้วย”
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ANAN มีโครงการที่พัฒนาภายใต้ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ทู จำกัด (เป็นบริษัทย่อย) ทั้งหมด 12 โครงการ โดย ณ วันที่ 30 ก.ย. 2555 มีโครงการที่ขายหมดแล้วจำนวน 8 โครงการ และมีโครงการที่เปิดจำหน่ายและอยู่ระหว่างการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด 4 โครงการ ทั้งนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ได้เปิดตัวโครงการใหม่อีก 4 โครงการภายใต้ชื่อ “ไอดีโอ โมบิ” ซึ่ง ณ วันที่ 30 ก.ย. 2555 มีจำนวนยอดขายห้องชุดแล้วประมาณร้อยละ 72.6 ของจำนวนห้องทั้งหมด หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 65.1 ของมูลค่าห้องชุดพักอาศัยทั้งหมด
สำหรับรายได้รวมของบริษัทฯ ในปี 2552 ปี 2553 และปี 2554 เท่ากับ 538.99 ล้านบาท 2,340.69 ล้านบาทและ 5,686.01 ล้านบาทตามลำดับ ในปี 2553 รายได้รวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีสาเหตุจากการที่บริษัทฯรวมกิจการกับ AD2 โดยในปี 2554 รายได้รวมยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมเดิมที่มีอยู่ในปี 2552 ปี 2553 และปี 2554 บริษัทฯ มีผลกำไร (ขาดทุน) สุทธิเท่ากับ (24.05) ล้านบาท 128.88 ล้านบาท และ (317.30)ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไร (ขาดทุน) สุทธิ เท่ากับร้อยละ (4.46) ร้อยละ 5.51 และร้อยละ (5.58) ตามลำดับ ทั้งนี้ในปี 2553 บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานกลับมาเป็นกำไรสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นจากการรวมธุรกิจกับ AD2


บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทีมิลล์ (TMILL) ผู้ผลิตแป้งสาลีคุณภาพของไทย จะขาย IPO จำนวน 85 ล้านหุ้น กำหนดราคาขายหุ้น TMILL ที่ 3.10 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยจำจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ได้แก่ บริษัทไทย ชูก้าร์ เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) หรือ TSTE จำนวน 25.35 ล้านหุ้น ในวันที่ 9-13 พ.ย. นี้ และเสนอประชาชนทั่วไป 59.65 ล้านหุ้น ในวันที่14-16 พ.ย. 2555 พ.ย. 2555 พร้อมที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มไอ วันที่ 23 พ.ย. นี้
บริษัทฯ คาดรายได้ และกำไรปี 2557 เติบโตเท่าตัว โดยเป็นไปตามแผนขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ รายได้รวมของบริษัทฯ ในปี 2552 ถึงปี 2554 เท่ากับ 1,063.2 ล้านบาท 898.6 ล้านบาท 897.8 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นกำไรสุทธิ 38.5 ล้านบาท 68.7 ล้านบาท และ 32 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งครึ่งปีแรก 2555 บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 525.1 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 53.8 ล้านบาท และ ขณะนี้บริษัทฯ เตรียมที่จะขยายการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตแป้งสาลี จากปัจจุบันที่ผลิตได้ 250 ตันข้าวสาลีต่อวัน เป็น 500 ตันข้าวสาลีต่อวัน ซึ่งจะทำให้ทีมิลล์เป็นผู้ผลิตแป้งสาลีรายใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของไทย โดยการลงทุนดังกล่าวจะมีการซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับผลิตแป้งสาลี รวมถึงถังไซโลสำหรับเก็บวัตถุดิบข้าวสาลีและแป้งสาลีอีก 1 ชุด ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปี 2556 ในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 550 ล้านบาท โดยเงินลงทุนส่วนหนึ่งจะมาจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 85 ล้านหุ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ในฐานที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TMILL ผู้ผลิตแป้งสาลีคุณภาพของไทย ในเครือบริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL กล่าวว่า ราคาที่จะเสนอขาย IPO ที่ 3.10 บาท มีส่วน 38% และเป็นการกำหนดราคา IPO โดยใช้P/E ย้อนหลังของกลุ่ม mai 12 เดือน อยู่ที่ 13-14 เท่า สำหรับผลประกอบการปกติในปี 2554
บริษัทฯ มีรายได้จากการจำหน่ายแป้งสาลี และรำข้าวสาลีซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการผลิตแป้งสาลีรวมทัง้ หมดเท่ากับ 1,063.2 ล้านบาท ในปี 2552 ส่วนในปี 2553 บริษัทฯมีรายได้จากการจำหน่ายอยู่ที่ 898.6 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 15.5 จากปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุหลักมาจากปริมาณการจำหน่ายแป้งสาลีในปี 2553ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 13.4 ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของข้าวสาลีในปี 2553 ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้าสำหรับปี 2554 บริษัทฯมีรายได้จากการจำหน่ายอยู่ที่ 897.8 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.1 จากปีก่อนหน้าเพราะแม้ปริมาณการจำหน่ายแป้งสาลีในปี 2554 จะลดลงจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 18.7 แต่ราคาเฉลี่ยของข้าวสาลีในปี 2554 เพิ่มขึน้ จากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 41.4
บริษัทฯ มีรายได้จากการจำหน่ายแป้งสาลี และรำข้าวสาลีซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการผลิตแป้งสาลีรวมทั้ง หมดเท่ากับ 1,063.2 ล้านบาท ในปี 2552 ส่วนในปี 2553 บริษัทฯมีรายได้จากการจำหน่ายอยู่ที่ 898.6 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 15.5 จากปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุหลักมาจากปริมาณการจำหน่ายแป้งสาลีในปี 2553ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 13.4 ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของข้าวสาลีในปี 2553 ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้าสำหรับปี 2554 บริษัทฯมีรายได้จากการจำหน่ายอยู่ที่ 897.8 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.1 จากปีก่อนหน้าเพราะแม้ปริมาณการจำหน่ายแป้งสาลีในปี 2554 จะลดลงจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 18.7 แต่ราคาเฉลี่ยของข้าวสาลีในปี 2554 เพิ่มขึ้น จากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 41.4

นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยว่า JMT จะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นสำหรับผู้ที่ถือหุ้นบริษัทแม่ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน)หรือ JMART ในวันที่ 12-14 พ.ย. 2555 โดยผู้ถือหุ้น JMART มีสิทธิ์ซื้อหุ้น JMT 1 หุ้นต่อ 9.15 หุ้น JMART โดย JMT จะเสนอขายหุ้นต่อผู้ถือหุ้น JMART ประมาณ 45 ล้านหุ้น และจะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป 30 ล้านหุ้น โดยแบ่งเป็นนักลงทุนประชาชนทั่วไป 19 ล้านหุ้น นักลงทุนกลุ่มสถาบัน 6 ล้านหุ้นและนักลงทุนที่มีอุปการะคุณอีก 5 ล้านหุ้น โดยจะเปิดให้นักลงทุนทั่วไปจองซื้อในวันที่ 19-21 พ.ย.2555 และจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET ในวันที่ 27 พ.ย. 2555 โดยกำหนดราคาเสนอขายที่หุ้นละ 4 บาท พาร์1 บาท
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ตั้งเป้าว่าในปี 2556 จะเพิ่มการลงทุนโดยการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ หรือซื้อหนี้มาบริหารมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันที่บริษัทฯมีพอร์ตหนี้ที่บริหารอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท
ภาพรวมการดำเนินงานในปี 2552 - 2554 ความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับที่ดีและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากกำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 20.00 ล้านบาท ในปี 2552 เป็น 66.94 ล้านบาท ในปี 2554หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 82.94 ต่อปี ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิก็เพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 12.66 ในปี 2552เป็นร้อยละ 20.67 ในปี 2554 สาเหตุหลักมาจากรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 157.99 ล้านบาท ในปี 2552 เป็น201.71 ล้านบาท และ 323.83 ล้านบาทในปี 2554 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 43.17 ต่อปี สำหรับช่วง 6 เดือนแรก ปี 2555 กำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักเกิดจากอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ปรับตัวลดลงจากร้อยละ 30.00 เป็นร้อยละ 23.00
ในปี 2552 – 2554 บริษัทฯ มีรายได้รวมเติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 157.99 ล้านบาท ในปี 2552 เป็น 201.71 ล้านบาทและ 323.83 ล้านบาทในปี 2554 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 43.17 ต่อปี สาเหตุหลักมาจากรายได้จากการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพที่เติบโตอย่างมากจากการลงทุนประมูลซื้อหนี้อย่างต่อเนื่อง และความสามารถติดตามและเรียกเก็บเงินจากลูกหนี้ของบริษัทฯ (รายละเอียดรายได้จากการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพจะกล่าวต่อไปในหัวข้อ ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ)เช่นเดียวกับในช่วง 6 เดือนแรก ของปี 2554 และปี 2555 บริษัทฯ มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจาก 171.87 ล้านบาท เป็น186.07 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 8.27 เนื่องจากรายได้จากธุรกิจติดตามหนี้และธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยรายละเอียดจะกล่าวต่อไปในหัวข้อธุรกิจติดตามหนี้ และธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ


บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)(BEAUTY) ผู้นำในธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เพื่อความงามประเภทเครื่องสำอางและบำรุงผิว ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะเสนอขายหลักทรัพย์ให้กับประชาชนทั่วไป หรือ IPO จำนวน 82.5 ล้านหุ้นแบ่งเป็นการเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปจำนวน 80 ล้านหุ้น และเสนอขายผู้บริหาร พนักงานจำนวน 2.5 ล้านหุ้น และนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 300 ล้านบาท
ด้านนายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)(BEAUTY) เปิดเผยว่า คาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นไอพีโอและเข้าจดทะเบียนใน ตลท.ได้ภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2555 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการรอพิจารณาจากสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างโรดโชว์ เพื่อเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน ซึ่งวันนี้ได้ให้ข้อมูลกับนักลงทุนที่ หาดใหญ่ และในวันศุกร์นี้ (16 พ.ย. 2555 )จ ะให้ข้อมูลกับนักลงทุนที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยพบว่าจากกระแสตอบรับการโรดโชว์ นักลงทุนให้ความสนใจต่อหุ้น บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)(BEAUTY)
ทั้งนี้ มองว่า BEAUTY เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มค่อนข้างสดใส เพราะในปัจจุบันอัตราบริโภคเครื่องสำอางต่อคนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จัดเป็นหนึ่งในสินค้าอุปโภคบริโภคที่ได้รับความนิยมสำหรับการดำรงชีวิตของคนในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะสุภาพสตรีที่ต้องการเสริมสร้างบุคลิกภาพ และต้องการถนอมรักษาผิวพรรณให้ดูดีอยู่เสมอ จึงทำให้มูลค่าตลาดเครื่องสำอางในประเทศมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของบริษัทในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสให้บริษัทสามารถขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลการดำเนินงานของ BEAUTY ในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการขยายสาขาในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และกระแสความนิยมผลิตภัณฑ์จากกลุ่มผู้ใช้ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 53 มีรายได้รวม 504.10 ล้านบาท ปี 54 มีรายได้รวม 615.31 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 22.06% ขณะที่งวด 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 361.94 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 21.73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 297.3 ล้านบาท
ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทในปี 53 อยู่ที่ 101.90 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 20.22% ปี 54 อยู่ที่ 134.22 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 21.81% และงวด 6 เดือนปีนี้ อยู่ที่ 85.13 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 23.52% โดยสาเหตุที่อัตรากำไรสุทธิของบริษัทมีการเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเปิดตัวและขยายตัวอย่างรวดเร็วของร้าน BEAUTY COTTAGE ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในเกณฑ์ดี

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 124

โพสต์

รูปภาพรูปภาพ
HotNews:IPO ฟีเว่อร์- 9 ตัวเข้าเทรด ธ.ค.นี้ ส่งท้ายปีมังกรทอง (ต่อ)

นายเลิศชัย วงค์ชัยสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW เผยว่า Arrow เตรียมจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 50 ล้านหุ้น พาร์ 1 บาท ซึ่งเสนอขายต่อประชาชน 45 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อกลุ่มพนักงาน (ESOP) ของบริษัท และบริษัทย่อยจำนวน 5 ล้านหุ้น คาดหวังได้เม็ดเงินกว่า 200 ล้านบาท และมีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
โครงการในอนาคตบริษัทมีแผนขยายการผลิตสำหรับรองรับการเติบโตของโครงการในปี 2556 โดยใช้เงินจากการเสนอขายหุ้นจากประชาชนในครั้งนี้และเงินกู้จากสถาบันการเงิน ดังนี้
1. โครงการเพิ่มกำลังการผลิตในขั้นตอนตัดเหล็กและเตรียมวัตถุดิบ สำหรับรองรับการขยายตัวของตลาดท่อระบายอากาศและท่อก่อสร้าง โดยในโครงการนี้บริษัทมีแผนจะซื้อที่ดินเพิ่มในบริเวณเดียวกับโรงงานเดิมอีกประมาณ 3.5 ไร่ เพื่อใช้ก่อสร้างขยายอาคารโรงงานจากเดิมอีกประมาณ 2,600 ตารางเมตร สำหรับติดตั้งเครื่องจักรสำหรับการตัดเหล็กที่ใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 30 ล้านบาทสำหรับที่ดินรวมสิ่งปลูกสร้าง และอีกประมาณ 10 ล้านบาทสำหรับเครื่องจักร โดยโครงการลงทุนดังกล่าวจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตท่อก่อสร้างและท่อระบายอากาศอีกกว่าร้อยละ 50 และเพิ่มช่องทางการขายเหล็กแผ่นหากกำลังการผลิตยังคงเหลือ
2. โครงการผลิตท่ออ่อนชนิดอลูมินัมฟรอยส์ สำหรับงานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประเภทผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ โดยใช้เงินทุนสำหรับเครื่องจักร ประมาณ 5 ล้านบาท
3. โครงการขยายกำลังการผลิตท่อเหล็กอ่อนกันน้ำร้อยสายไฟ ซึ่งปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในประเทศได้รับความเชื่อมั่นทั้งลูกค้าในและต่างประเทศ จำเป็นต้องขยายปริมาณการผลิตเพื่อรองรับตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยการลงทุนโดยใช้งบประมาณ 5 ล้านบาท สำหรับการสั่งซื้อเครื่องจักรในการหุ้ม PVC สำหรับท่อกันน้ำ ทำให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตอีกประมาณร้อยละ 25 หรือประมาณ 120 ตันต่อปี
นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่ม โดย Arrow

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2552 – ปี 2554 และงวด 6 เดือนแรกปี 2555 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมจำนวนเท่ากับ 446.17 ล้านบาท 531.88 ล้านบาท 681.60 ล้านบาท และ 369.13 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้รวมดังกล่าวแบ่งเป็น (1) รายได้จากการขายในปี 2552– ปี 2554 และงวด 6 เดือนแรกปี 2555 จำนวนเท่ากับ 435.95 ล้านบาท 513.65 ล้านบาท 667.64 ล้านบาท และ 358.04 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 97.91 ร้อยละ 96.57 ร้อยละ 97.95 และร้อยละ 97.00 ของรายได้รวม ตามลำดับ มีอัตราการเติบโตคิดเป็นร้อยละ 17.82 ในปี 2553 ร้อยละ 29.98 ในปี 2554 และร้อยละ 11.17 สำหรับงวด 6 เดือนแรกปี 2555 รายได้จากการขายมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องเนื่องจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้นเป็นหลัก (2) รายได้จากการบริการในปี 2552 – ปี 2554 และงวด 6 เดือนแรกปี 2555 จำนวนเท่ากับ 5.67 ล้านบาท 8.44 ล้านบาท 7.08 ล้านบาท และ 2.60 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.28ร้อยละ 1.59 ร้อยละ 1.04 และร้อยละ 0.70 ของรายได้รวม ตามลำดับ รายได้จากการบริการของกลุ่มบริษัทมีสัดส่วนไม่มาก เนื่องจากธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทคือการผลิตและจัดจำหน่าย โดยรายได้จากการบริการส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการบริการติดตั้งท่อระบายอากาศให้กับลูกค้าของบริษัท JSVT (3) รายได้อื่นในปี 2552 – ปี 2554 และงวด 6 เดือนแรกปี 2555 จำนวนเท่ากับ 4.52 ล้านบาท 9.80ล้านบาท 6.88 ล้านบาท และ 8.49 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.01 ร้อยละ 1.84 ร้อยละ 1.01 และร้อยละ 2.30 ของรายได้รวม ตามลำดับ รายได้อื่น ได้แก่ รายได้จากการขายเศษเหล็กเศษวัสดุ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากการขายสินทรัพย์ดอกเบี้ยรับ เป็นต้น
กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิสำหรับปี 2552 – ปี 2554 และงวด 6 เดือนแรกปี 2555 จำนวน 27.86 ล้านบาท 53.18 ล้านบาท 53.20 ล้านบาท และ 45.43 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 6.24 ร้อยละ 10.00 ร้อยละ 7.81 และร้อยละ 12.31 ตามลำดับในปี 2553 บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 90.90 จากปี 2552 เนื่องจากค่าซ่อมแซมเครื่องจักรลดลง ทำให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นประกอบกับค่าใช้จ่ายในการบริหารและดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น สำหรับปี 2554 บริษัทมีกำไรสุทธิใกล้เคียงกับปี 2553 แต่ด้วยรายได้รวมในปี 2554 มากกว่าปี 2553 ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิลดลง สำหรับงวด 6 เดือนแรกปี 2555 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าเนื่องจากสัดส่วนต้นทุนวัตถุดิบต่อรายได้ลดลง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นประกอบกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงเหลือร้อยละ 23 และบริษัทได้เริ่มใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากบัตรส่งเสริมการลงทุน BOI


นายสามารถ ฉั่วศิริพัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัทดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ในรูปแบบร้านค้าปลีก โดยวางจำหน่ายสินค้าประเภทภาพยนตร์ เพลงที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ในรูปแบบบลูเรย์ ดีวีดี วีซีดีและซีดี รวมถึงสินค้าประเภทสิ่งพิมพ์ เผยว่า ณ 30 มิถุนายน 2555 บริษัทมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 160 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยเรียกชำระแล้ว 120 ล้านบาท หรือ 240 ล้านหุ้น การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนจำนวน 80 ล้านหุ้นในครั้งนี้ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25 ของทุนชำระแล้วภายหลังการเสนอขาย โดยปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มบริษัท แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ นายสามารถ ฉั่วศิริพัฒนาและครอบครัว และนายศิริศักดิ์ ปิยทัสสี โดยถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 50.74 และร้อยละ31.25 ของทุนชำระแล้วก่อนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชน และสัดส่วนดังกล่าวจะลดลงเหลือร้อยละ38.06 และร้อยละ 23.43 ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ โดยกลุ่มบริษัทมีวัตถุประสงค์ในการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท
ทั้งนี้บล.คันทรี่ กรุ๊ป เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai)
ในส่วนของฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานนั้นกลุ่มบริษัทมีการขยายตัวของรายได้อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยรายได้ของกลุ่มบริษัทในปี 2552 – 2554 และงวด 6 เดือนปี 2555 เท่ากับ 750.86 ล้านบาท952.13 ล้านบาท 1,112.36 ล้านบาท และ 637.66 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 26.80ร้อยละ 16.82 และร้อยละ 26.12 ของงวดเดียวกันในปีก่อนหน้าตามลำดับ ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของรายได้ในส่วนของการขายเป็นสำคัญ ทั้งนี้รายได้จากการขายคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 95 ของรายได้รวม โดยมาจากการจำหน่ายสินค้าประเภทภาพยนตร์และเพลงเป็นหลักในสัดส่วนประมาณร้อยละ 85 ของรายได้รวม โดยสาเหตุของการเพิ่มขึ้นของรายได้ของกลุ่มบริษัทตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนจุดจำหน่ายสินค้า ทำให้กลุ่มบริษัทสามารถกระจายสินค้าสู่ผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ประกอบกับการเพิ่มของยอดขายในแต่ละจุดจำหน่าย จากการบริหารจัดการร้านค้าที่มีประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมรับชมภาพยนตร์ผ่านรุปแบบแผ่นภาพยนตร์เพิ่มขึ้น
สำหรับความสามารถในการทำกำไรนั้น กลุ่มบริษัทมีผลกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโดยมีกำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทในในปี 2552 – 2554 และงวด 6 เดือนปี 2555 เท่ากับ 3.35 ล้านบาท 20.29 ล้านบาท24.13 ล้านบาท และ 33.08 ล้านบาทตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 0.45 ร้อยละ 2.16 ร้อยละ 2.19 และร้อยละ5.29 ของรายได้รวมในแต่ละช่วงเวลา ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มบริษัทมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้นในส่วนของการจำหน่ายสินค้าเป็นหลัก จากการเพิ่มขึ้นของอำนาจต่อรองด้านราคาและเงื่อนไขการขายจากปริมาณการสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่กำไรขั้นต้นของการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 24.39 ของรายได้จากการขายในปี 2552 เป็นร้อยละ 28.67 ของรายได้จากการขายในงวด 6 เดือนปี 2555


บมจ.สหการประมูล รายงานว่า บริษัทฯ ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(IPO) จำนวน 70 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยจะนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น โดยแต่งตั้ง บล.คันทรี่ กรุ๊ป เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน วัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้หลังหักค่าใช้จ่ายในการเสนอขายหลักทรัพย์แล้ว นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยบริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ต่อประชาชน และอนุมัติจดทะเบียนหุ้นสามัญทั้งหมดเป็นหลักทัรพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI)
ทั้งนี้ บริษัทฯ ระบุว่า มีรายได้จากค่าบริการเป็น 2 ส่วนคือ ค่าบริการจากการที่ผู้นำ สินค้ามาประมูลขาย และค่าดำเนินการที่เรียกเก็บ จากการที่ผู้ประมูลสินค้า หรือผู้ซื้อ สามารถประมูลได้ โดยสินค้าที่นำมาจัดประมูลมี 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ รถยนต์, รถจักรยานยนต์ และสินค้าอื่นๆ ได้แก่ บ้านและที่ดิน หุ้น เฟอร์นิเจอร์ และอื่นๆตามความต้องการของลูกค้า สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของสหการประมูล มีครอบครัวศิลา ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วน 77% แต่ภายหลังการขายหุ้น IPO สัดส่วนจะลดเหลือ 58.41% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผล ในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับงบการเงินเฉพาะกิจการ
ในปี2553 บริษัทมีรายได้จากการประมูล เท่ากับ 191.22 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปี 2552 ที่มีรายได้จากการประมูลเท่ากับ 387.94 ล้านบาท คิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 50.71 โดยการลดลงของรายได้จากการประมูลในปี2553 มีสาเหตุจาก (1)จำนวนรถยนต์ที่เข้ามาประมูล มีจำนวน 32,794 คันซึ่งลดลงจากปี2552 จำนวน 28,101 คัน (2) จำนวนรถมอเตอร์ไซค์ที่เข้ามาประมูล มีจำนวน 30,165 คัน ซึ่งลดลงจากปี2552 โดยจำนวนรถที่มาประมูลลดลงนั้น เป็นผลจากการที่สถาบันการเงินต่าง ๆนำรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ที่ถูกยึดมาจำหน่ายลดลง และมีสถาบันการเงินธนชาตซึ่งเปิดบริษัทในเครือในการจัดการประมูลจึงส่งรถให้กับทางบริษัทลดลง แต่ยังเหลือบางจังหวัดที่ยังใช้บริการอยู่ เช่น เชียงใหม่ , ระยอง ,ชลบุรี
ในปี2554 บริษัทมีรายได้จากการประมูล เท่ากับ 216.27 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี2553 คิดเป็นอัตราร้อยละ 13.10โดยสาเหตุที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการเพิ่มปริมาณอุปทานสินค้า จากนโยบายการเพิ่มรถด่วน และบริษัทมีการปรับอัตราค่าธรรมเนียมในการให้บริการ
ในงวดหกเดือนปี2555 บริษัทมีรายได้จากการประมูล เท่ากับ 144.71 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี2554จำนวน 45.98 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 46.57 นอกจากนี้ในงวดหกเดือนปี2555 บริษัทได้เริ่มทดลองเพิ่มอุปทานรถยนต์โดยการเหมาซื้อรถยนต์จากผู้ให้เช่า จึงทำให้บริษัทมีรายได้จากการขาย เท่ากับ 2.18 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.34 ของรายได้จากการประมูล


นายวันชัย เหลืองวิริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจบริหารศูนย์บริหารจัดการวัสดุเหลือใช้อุตสาหกรรม (เตาเผาขยะอุตสาหกรรม) บางปู จ.สมุทรปราการ เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 84 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) ที่ 0.50 บาทต่อหุ้น หลังจากที่ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) เพื่อขอเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555
บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการบริหารและประกอบการศูนย์บริหารจัดการวัสดุเหลือใช้อุตสาหกรรม (เตาเผาขยะอุตสาหกรรม) บางปู จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งจัดสร้างโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม มูลค่าโครงการรวมที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 1,408 ล้านบาท ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในการจัดสร้างเตาเผาขยะอุตสาหกรรมแห่งนี้เพื่อเป็นโครงการนำร่องในการกำจัดกากอุตสาหกรรมอันตรายให้เป็นไปอย่างถูกวิธีปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 202 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 404 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 160 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 320 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท ปัจจุบันได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 84 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท
สำหรับงวดปี2551 บริษัทมีกำไรขั้นต้นจำนวน 0.93 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 6.72 และมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 54.82 ล้านบาท คิดเป็นอัตราขาดทุนสุทธิร้อยละ 367.39 เนื่องจากเป็นปีแรกของการก่อตั้งบริษัท โดยบริษัทเริ่มดำเนินการให้บริการบำบัดและกำจัดของเสียด้วยวิธีเผาทำลายตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 ประกอบกับช่วง 6 เดือนแรก บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรักษาเตาเผา และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมและทดสอบระบบเตาเผา
สำหรับปี2552 บริษัทมีกำไรขั้นต้นจำนวน 0.82 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 0.92 การลดลงของอัตรากำไรขั้นต้นจากปีที่ผ่านมาเนื่องจากการจัดประเภทรายการใหม่ในปี2551 ของค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรักษาเตาเผา และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมและทดสอบระบบเตาเผา ซึ่งอยู่ในหมวดค่าใช้จ่ายในการบริหาร เนื่องจากบริษัทยังไม่ได้เริ่มให้บริการ และมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 20.76 ล้านบาท คิดเป็นอัตราขาดทุนสุทธิร้อยละ 22.96
สำหรับปี2553 บริษัทมีกำไรขั้นต้นจำนวน 58.16 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 31.02 อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่ารายได้จากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น และมีกำไรสุทธิจำนวน 22.83 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 12.18 ตามการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับปี2554 บริษัทมีกำไรขั้นต้นจำนวน 114.19 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 40.29 ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากการประหยัดต้นทุนต่อขนาด (Economic of scale) และมีกำไรสุทธิจำนวน 50.04 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 17.65 ตามการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ประกอบธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล (B100) น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว กลีเซอรีนบริสุทธิ์ และวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์พลอยได้จากกระบวนการผลิตไบโอดีเซล โดยบริษัทฯ ได้รับอนุญาตเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 (ผู้ค้าน้ำมันที่มีปริมาณการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 120 ล้านลิตรต่อปีขึ้นไป) และเป็นผู้ผลิตรายต้นๆ ของประเทศไทยที่ได้รับใบรับรองมาตรฐานการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน (RSPO : Roundtable on Sustainable Palm Oil เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 560 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 0.10 บาท
โดยปัจจุบัน EA มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 317 ล้านบาท และจะมีทุนชำระแล้วหลังการเพิ่มทุน IPO เป็น 373 ล้านบาท โดยมีแผนจะนำเงินไปลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 90 เมกะวัตต์ ในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่รัฐบาลให้การสนับสนุนในการใช้พลังงานทดแทน อีกทั้งกลุ่มผู้บริหารของ EA ล้วนเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และยังมีทีมวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการก่อสร้างและบริหารจัดการโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของ EA ที่มีเป้าหมายจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำของธุรกิจพลังงานทดแทนต่อไปในอนาคต
สำหรับผลการดำเนินงานของ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ ในส่วนของรายได้รวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จาก 2,539.04 ล้านบาท ในปี 2552 เพิ่มเป็น 2,624.81 ล้านบาทในปี 2553 และ 5,423.98 ล้านบาทในปี 2554 คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 3.38% ในปี 2553 และ 106.64% ในปี 2554 ขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปี 2555 บริษัทมีรายได้รวม 2,804.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายน้ำมันไบโอดีเซล น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และวัตถุดิบและผลพลอยได้ ส่วนกำไรสุทธิในปี 2552 อยู่ที่ 47.46 ล้านบาท ปี 2553 อยู่ที่ 26.91 ล้านบาท และปี 2554 อยู่ที่ 63.02 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปี 2552 บริษัทมีกำไรสุทธิ 64.34 ล้านบาท

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 125

โพสต์

รูปภาพ

Update:เซียนหุ้น พยากรณ์ SET
สัปดาห์หน้าเขียวสดใส หาก"โอบามา" เจรจาแก้ Fiscal Cliff ฉลุย

วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,280.13จุด เพิ่มขึ้น 6.11จุด หรือ 0.48%
มูลค่าการซื้อขาย 24,793.67 ล้านบาท


สรุปสถาบันในประเทศต่างชาติซื้อสุทธิ +1,530.56 ล้านบาท
สรุปบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ -1,078.01 ล้านบาท
สรุปนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ-1,246.49ล้านบาท

สรุปนักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อสุทธิ+793.93 ล้านบาท


เซียนหุ้น พยากรณ์ SET สัปดาห์หน้าเขียวสดใส หาก"โอบามา" เจรจาแก้ Fiscal Cliff ฉลุย แนะ เลือกหุ้นพื้นฐานดี-หุ้นที่มีลุ้นถูกปรับประมาณการขึ้น เล็งกรอบแนวรับที่ 1,265 ส่วนแนวต้านคาดอยู่ที่ 1,290 จุด พร้อมติดตามคำสั่งศาลปกครองรับฟ้องฮั้วประมูลคลื่นความถี่ 3G

นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า คาดแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในสัปดาห์หน้า (ช่วงวันที่ 19 พ.ย. - 23 พ.ย. 2555) ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดในชั่วโมงการซื้อขายดัชนีฯ ยังมีความผันผวน โดยตลาดยังคงติดตามการแก้ไขปัญหา Fiscal Cliff กรณีการปรับขึ้นภาษีและปรับลดงบรายจ่าย ซึ่งการเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงลดยอดขาดดุลงบประมาณระหว่างประธานาธิบดีบารัค โอบามา และแกนนำสภาคองเกรสจากพรรคเดโมเครตและรีพับลิกัน ที่จะมีขึ้นในคืนวันนี้ ซึ่งไม่อาจได้ข้อสรุปภายในครั้งเดียว ซึ่งถ้าผลการเจรจาในคืนนี้ส่งสัญญาณในทางบวก ดัชนีฯในตลาดก็จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน
กลยุทธ์แนะนำนักลงทุน เลือกเล่นหุ้นที่มีพื้นฐานดี และราคาปรับตัวลงมาเยอะ หรือหุ้นที่มีโอกาสถูกปรับประมาณการขึ้น ซึ่งได้แก่ หุ้นกลุ่มสื่อสาร กลุ่มธนาคาร และกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์บางตัว โดยประเมินแนวรับที่ 1,265 จุด และประเมินแนวต้านที่ 1,290 จุด
ส่วนภาพรวมดัชนีฯ วันนี้ พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์หน้า คือ คำสั่งศาลปกครองเรื่องการประมูลคลื่นความถี่ 3G , ตัวเลขเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ของประเทศสหรัฐฯ ขณะที่ในวันที่ 20 พ.ย. 2555 ให้ติดตามปัญหาหนี้ของประเทศกรีซ ว่าศาลจะอนุมัติเงินช่วยเหลือประเทศกรีซหรือไม่ ส่วนในวันที่ 22 พ.ย. 2555 ประเทศจีนจะประกาศตัวเลข PMI
สำหรับความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลดลง นำโดย ดัชนี ดาวโจนส์ ล่วงหน้า: ตลาดหุ้นนิวยอร์ค เวลา 16:37 น. อยู่ที่ระดับ 12,488.00 จุด ลดลง 34.00 จุด หรือ -0.27% ดัชนี BSESN: ตลาดหุ้นอินเดีย เวลา 16:37 น. อยู่ที่ระดับ 18,374.17 จุด ลดลง 97.20 จุด หรือ -0.53% ดัชนี FTSE: ตลาดหุ้นลอนดอน เวลา 16:33 น. อยู่ที่ระดับ 5,661.48 จุด ลดลง 16.27 จุด หรือ -0.29% ดัชนี DAX: ตลาดหุ้นเยอรมนี เวลา 16:33 น. อยู่ที่ระดับ 7,008.70 จุด ลดลง 34.72 จุด หรือ -0.49% ดัชนี CAC-40: ตลาดหุ้นฝรั่งเศส เวลา 16:33 น. อยู่ที่ระดับ 3,362.15 จุด ลดลง 20.25 จุด หรือ -0.60%


ผู้สื่อข่าว : สุวรรณา รสมณี

( ธนัสสรณ์ เปี่ยมสมบูรณ์ เรียบเรียง ;โทร 02-664-4451-2 อีเมล์: [email protected] )

ที่มา: หุ้นอินไซด์

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 126

โพสต์

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 127

โพสต์

nam เขียน:ต้นกล้วยหลังบ้านผม มันแปลกและแตกต่างครับ
แปลกตรงไหนดูดีๆ นะครับ
ถ่ายเมื่อ 6/10/2554
รูปภาพ

ถ้าผูกผ้า7สี มีมาลัย คงจะมีคนมาขอเลขเด็ดนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 128

โพสต์

BeSmile เขียน:เอากาแฟมาฝาก โกปรัชญา

กินแล้วสงสัยตาตั้ง :mrgreen:
รูปภาพ

ขอบคุณมากครับ กาแฟ อืม ดื่มเข้าไปคงตาค้างเลยครับ :ep:
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 129

โพสต์

***หุ้นโค้งสุดท้าย...SET สัปดาห์หน้าผันผวน


ปิดตลาดหุ้นไทย วันที่16/11/2555
ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,280.13 จุด เพิ่มขึ้น 6.11จุด หรือ 0.48%

-สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ +1,530.56 ล้านบาท
-บัญชีบล.ขายสุทธิ -1,078.01 ล้านบาท
-ต่างประเทศขายสุทธิ -1,246.49ล้านบาท

-นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ +793.93 ล้านบาท


นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน บอกในรายการหุ้นโค้งสุดท้ายว่า คาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์น่าจะผันผวน ขึ้น-ลง เนื่องจากความวิตกกังวลต่อปัจจัยต่างประเทศยังไม่จบ ทั้งปัญหา Fiscal cliff และปัญหายุโรป

ขณะที่ปััจจัยในประเทศ สัปดาห์หน้าจะมีการชุมนุมทางการเมือง และในช่วงต้นสัปดาห์มีการประกาศตัวเลขจีดีพีของไทยในไตรมาส 3/2555 ซึ่งตลาดฯคาดการณ์ว่าจีดีพีจะขยายตัว 3.3%YoY แต่ทางโนมูระคาดว่ามีโอกาสที่ตัวเลขจะต่ำกว่าคาดการณ์ดังกล่าว ฉะนั้นจึงมองว่าเป็นปัจจัยลบต่อ Sentiment

โดยมองกรอบแนวรับที่ 1,263 จุด และแนวต้าน 1,295 จุด กลยุทธ์ แนะนำ รอซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ช่วงปลายเดือนพ.ย. เพราะเดือนพ.ย.ต่างชาติจะขายค่อนข้างมาก ราว 1หมื่นล้านบาท แต่ช่วงเดือนธ.ค.จะได้รับอานิสงส์จากแรงซื้อ LTF-RMF จึงมองว่าหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์น่าสนใจ เช่น TISCO-SCB-KBANK เป็นต้น

จากการรวบรวมของ Money Channel บริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ ให้กรอบการลงทุนทางด้านเทคนิคและหุ้นแนะนำในสัปดาห์หน้าดังนี้

CIMB มองกรอบดัชนีฯไว้ที่ 1280-1284 จุด หุ้นเด่น TPIPL-IVL
CGS มองกรอบดัชนีฯไว้ที่ 1270-1285จุด หุ้นเด่น TCC-KBANK
DBSV มองกรอบดัชนีฯไว้ที่ 1260-1290 จุด หุ้นเด่น BECL
AIRA มองกรอบดัชนีฯไว้ที่ 1262-1290 จุด
MBKET มองกรอบดัชนีฯไว้ที่ (1270-1265) -1290 จุด หุ้นเด่น TMCฃ

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 130

โพสต์

รูปภาพ

…แวะชิม…ตำไหลบัว-กระหล่ำปลีทอดน้ำปลา…

…เมนูฟิวชั่นฟู้ดที่ “Tuscany” Thai Cuisine


รูปภาพ

พบกันอีกครั้งเป็นประจำทุกสัปดาห์ กับคอลัมน์พาชิมของหนังสือพิมพ์ “บ้านเมือง” รายวัน โดยมี “แม่ลิ้นจี่” เจ้าเก่าคอยเป็นผู้สรรหาร้านอาหารดีๆ พร้อมด้วยเมนูจานเด็ดจากทั่วทุกสารทิศมาแนะนำให้แฟนคอลัมน์ได้พากันแวะไปลิ้มลอง…!

ย้อนวันเวลากลับไปเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา “แม่ลิ้นจี่” ได้เคยแนะนำร้านอาหารอยู่ร้านหนึ่ง ชื่อว่าร้าน “ Tuscany Thai Cuisine” ซึ่งในตอนนั้นเขาเพิ่งจะเปิดบริการกันมาได้แค่เพียง 8 เดือน แต่มาบัดเดี๋ยวนี้ กาลเวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะ 3 ปี ที่ร้านนี้เขามีการพัฒนากันมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นในด้านสถานที่ที่สวยงาม จนมีนิตยสารต่างๆ พากันมาขอใช้สถานที่ถ่ายปกหนังสือกันมากมาย อีกทั้งทางด้านอาหาร ก็มีการปรับเปลี่ยนเมนูเพิ่มเติมอีกหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาหารยุโรปและอาหารไทยในสไตล์แบบฟิวชั่นฟู้ด มาในฉบับนี้ “แม่ลิ้นจี่” ก็เลยขอถือโอกาสแนะนำเมนูจานใหม่ของที่ร้านนี้กันอีกสักครั้ง เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้พากันแวะมาลิ้มลอง

รูปภาพ

“คุณพงศ์พศิน มุนีกานนท์” หรือ “คุณ PETER” เจ้าของร้าน ซึ่งเป็นนักธุรกิจค้าอัญมณี แถมยังเป็นนักบินพลเรือนในฝูงบิน “Sunny” ที่มีความชื่นชอบในเรื่องของการปรุงอาหารมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเยาว์วัย ได้บอกเล่าให้ฟังว่า จุดเริ่มต้นของร้านนี้มาจากการที่ตนเองได้ดูภาพยนตร์เรื่อง “UNDER THE TUSCAN SUN” จึงทำให้ตนเองเริ่มพิสมัยในความสวยงามของเมือง “TUSCANY” ในประเทศอิตาลี จนเมื่อได้มีโอกาสทำธุรกิจนำเข้าอัญมณีไปค้าขายที่เมืองนี้ จึงมีความคิดที่นำเมืองทัสคานีมาจำลองไว้ในกรุงเทพฯ เมืองกรุง และเมื่อมีโอกาสจึงได้ค่อยๆ ก่อร่างสร้างร้านจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ และเปิดบริการเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2552 ซึ่งตนเองนั้นจะเข้าครัวและควบคุมสูตรเด็ดของอาหารทุกจาน เพื่อไม่ให้ผิดเพี้ยนไปจากต้นตำรับ

ที่ร้าน “ทัสคานี” จะแบ่งสรรบรรยากาศให้เลือกนั่งอยู่หลายมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นโซนด้านหน้าร้านในแบบ Out Door ที่สามารถร้องรับลูกค้าได้กว่า 180 ที่นั่ง โซน Mezzanino ที่สามารถมองเห็นร้านจากมุมสูง รองรับลูกค้าได้ถึง 90 ที่นั่ง ห้อง In Door ติดแอร์เย็นฉ่ำ หรือจะเลือกเป็นห้องจัดเลี้ยง VIP คาราโอเกะแบบส่วนตัวก็มีให้เลือกถึง 3 ห้อง ทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ ส่วนทางด้านเมนูอาหารนั้นก็มีให้สั่งกันมากมายกว่าเก่า โดยเฉพาะเมนูใหม่ที่น่าลิ้มลอง อย่างเช่น

รูปภาพ

ส้มตำไหลบัวทัสคานี…เป็นเมนูใหม่สุดแซบ โดยเขาจะนำไหลบัวมาเด็ดเป็นท่อนยาวกว่า 2 นิ้ว ตัดแบ่งเป็นเส้นเล็กกำลังดี นำไปคลุกเคล้ากับส่วนผสม ซึ่งมีทั้ง ปูเค็ม กุ้งแห้ง พริกสด ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ แครอท ถั่วลิสงคั่ว ปรุงรสออกเผ็ดนำ เปรี้ยว เค็ม และรสหวานนิดๆ ติดปลายลิ้น เสิร์ฟใส่จานสไตล์ยุโรปสวยหรู โรยหน้าด้วยกุ้งแห้งป่น พร้อมผักเครื่องเคียงที่มีทั้งถั่วฝักยาวและกะหล่ำปลี ความอร่อยอยู่ที่เส้นไหลบัวเคี้ยวกินได้กรอบกรุบสนุกปาก บวกกับส่วนผสมของเครื่องปรุงนานาชนิดรสชาติแซบสะใจ ในราคาจานละ 250 บาท++

รูปภาพ

กะหล่ำปลีทอดน้ำปลาทัสคานี…เขาจะใช้กะหล่ำปลีสดหนึ่งหัว แกะใบเขียวออกเลือกเอาแต่ใบอ่อนด้านใน เด็ดเป็นใบๆ แช่ตู้เย็นไว้จนเย็นฉ่ำ ตั้งกระทะด้วยไฟแรงจัด เทกะหล่ำปลีลงไปผัดพร้อมน้ำปลาชั้นดี น้ำมันพืช สาดน้ำซุปลงไปเล็กน้อย ตวัดกระทะสองสามทีให้กะหล่ำโดนไฟจนถ้วนทั่วแค่พอสลบ ตักขึ้นใส่จานพร้อมเสิร์ฟร้อนๆ ใช้ตะเกียบคีบใส่ปากเคี้ยวกินได้กรอบกรุบ รสชาติออกเค็มนำเล็กน้อย อร่อยติดลิ้น ไม่ว่าจะสั่งมากินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือสั่งมากินเป็นกับแกล้มกับเมรัยช่างถูกปากถูกใจเป็นยิ่งนัก ในราคาจานละ 150 บาท++

รูปภาพ

เนื้อตุ๋นฮ่องเต้…เขาจะใช้เนื้อน่องลาย เนื้อหน้าท้อง เอ็นแก้ว และเนื้อสามชั้น ล้างด้วยน้ำเกลือสามครั้งเพื่อไล่กลิ่นคาว ก่อนนำไปต้มจนเนื้อสุกได้ที่ วางพักไว้จนคลายร้อน หั่นเป็นชิ้นพอคำ นำไปต้มตุ๋นกับรากผักชี พริกไทย เกลือ ปรุงรสด้วยซีอิ๊วหวานและซีอิ๊วดำตราแปงปอ ซอสแม็กกี้ น้ำตาลโตนดแท้จากเมืองเพชร และลำใยแห้ง ต้มตุ๋นนานกว่า 4 ชั่วโมง จนเครื่องปรุงซึมซาบเข้าเนื้อใน เสิร์ฟในหม้อที่มีไฟร้อนรนอยู่ด้านล่างจนเดือดพล่าน โรยหน้าด้วยใบขึ้นฉ่าย ความอร่อยอยู่ที่เนื้อตุ๋นนุ่มเนียนเคี้ยวกินแทบละลายในปาก บวกกับรสชาติเข้มข้นหอมกรุ่นของน้ำซุป แต่ถ้าไม่ทานเนื้อวัวเขาก็ยังมี “หมูตุ๋นฮองเฮา” ให้เลือกสั่ง ในราคาหม้อไฟ 380 บาท++

รูปภาพ

เย็นตาโฟไฮโซ…ทำไมถึงต้องเป็นไฮโซ ก็เพราะเขาใช้วัตถุดิบคุณภาพชั้นดีสั่งทำจากเยาวราช ไม่ว่าจะเป็น เส้นปลา เกี๊ยวปลา ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้ง ฮือก๊วยนึ่ง ฮือก๊วยทอด หมูกรอบ ผักบุ้งคัดเอาแต่ยอด โรยหน้าด้วยหลังปลาแซลมอนทอดกรอบ แม้แต่ซอสเย็นตาโฟก็พิถีพิถัน ปรุงเองด้วยเต้าหู้ยี้อย่างดี ใช้นำส้มชาโดเน่เวเนก้าจากออสเตรเลีย ไวน์เวเนก้าจากอิตาลีมาตีเป็นน้ำซอส ไม่ใช้น้ำส้มสายชูไทย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่าไฮโซกันได้ยังไงกัน ลองสั่งมาลิ้มลองกันได้ ในราคาจานละ 250 บาท++

รูปภาพ

Hot Chocolate with Ice-cream..เป็นขนมหวานที่ไม่ควรพลาด เขาจะใช้เค้กใส่ไส้ช็อกโกแล็ตอบจนไส้ในร้อนเหลว ใช้ช้อนตักเค้กจนช็อกโกแล็ตไหลเยิ้ม ทานพร้อมกับไอศกรีมเย็นๆ รสสตรอเบอรี่เชอร์เบทหวานซ่อนเปรี้ยว อร่อยลิ้นเมื่อได้ทานเคียงคู่กัน ในราคา 170 บาท+

นอกจากนี้ก็ยังมี “น้ำทับทิม” คั้นสดๆ อุดมด้วยวิตามินซีไว้ให้บริการ เมนูอร่อยล้ำแบบนี้ไม่ควรพลาดที่จะแวะมาลองชิม ที่ร้านอาหาร “Tuscany” เปิดบริการกันทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-24.00 น. สถานที่ตั้งของร้านจะอยู่กลางซอยพหลโยธิน 23 แต่ถ้ามาอีกทางก็จะอยู่ในซอยวิภาวดี 32 แต่ถ้าเกรงว่าจะหากันไม่เจอ ก็โทรศัพท์มาสอบถามเส้นทางกันก่อนได้ที่ 08-2324-9555

สำหรับวันนี้คงต้องขอแนะนำกันแต่เพียงแค่นี้ แล้วพบกับ “แม่ลิ้นจี่พาชิม ปีที่ 11” ได้ใหม่ในสัปดาห์ต่อไปนะคะ…! (ค้นหาข้อมูลย้อนหลังได้ใน www.naachim.com)

รูปภาพ
วันที่ 17/11/2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 131

โพสต์

พักผ่อนวันหยุด มาดูวิธีการล่าปลาทู

ทำฟาร์มปลาทู

สุดยอดงานอันตราย นิค พลูเกอร์ หัวหน้านักดำน้ำ
พาลูกทีมของเค้าไล่ต้อนและจับปลาทูน่า(Southern bluefish tuna)
ด้วยมือเปล่า และต้องเผชิญหน้ากับฉลาม ที่เข้ามาเพื่อกินทูน่าอีกด้วย








ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 132

โพสต์

รามคำแหงทุ่ม700ล.ผุด′รพ.ใหม่′ยึดกรุงเทพฝั่งตะวันออก


กลุ่ม โรงพยาบาลรามคำแหงขยายเครือข่ายไม่ยั้ง เทงบฯ 700 ล้านซื้อที่ 8 ไร่
ผุด ร.พ.สินแพทย์-เทพารักษ์ ปักธงกรุงเทพฯฝั่งตะวันออก เตรียมเผยโฉม ร.พ.สุขุมวิท จับลูกค้ากระเป๋าหนัก-เปิด ร.พ.เด็กสินแพทย์ เดินหน้าสร้างเมดิคอลคอมเพล็กซ์ ชี้ยึดโมเดลจับคู่ธุรกิจ ผนึก ร.พ.วิภาวดีสร้างการเติบโต เพิ่มดีกรีขยายเครือข่ายดูแลผู้ป่วยประกันสังคม

น.พ.ศิริ พงศ์ เหลืองวารินกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารโรงพยาบาลรามคำแหง เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงแผนการลงทุนล่าสุดว่า บริษัทเตรียมสร้างโรงพยาบาลสินแพทย์-เทพารักษ์ ลักษณะเป็นการสร้างใหม่ โดยได้ซื้อที่ดิน 8 ไร่ สร้างโรงพยาบาลขนาด 225 เตียง กำลังพิจารณาวางโพซิชันนิ่งรองรับกลุ่มลูกค้าเงินสด คาดว่าจะเปิดให้บริการอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะนี้เตรียมยื่นขอสิ่งแวดล้อมและจะเริ่มสร้างได้ในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า งบฯลงทุน (ไม่รวมที่ดิน) ราว 600-700 ล้านบาท

ขณะเดียวกันก็มีโรง พยาบาลส่วนหนึ่งที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง และจะทยอยเปิดตัวภายในปี 2556 อาทิ โรงพยาบาลสุขุมวิท จับกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยมจะเปิดตัวในอีก 3 เดือนข้างหน้า หรือราวต้นปี 2556, โรงพยาบาลอมตะนคร เปิดภายในปี 2556 รองรับคนไข้ประกันสังคม เป็นต้น

ส่วนโรงพยาบาลเดิมที่มีอยู่ อาทิ โรงพยาบาลรามคำแหง อยู่ระหว่างลงทุนเพิ่มเติมในส่วนของศูนย์มะเร็ง เพื่อรองรับจำนวนคนไข้มะเร็งที่มีจำนวนมาก และเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ ทั้งนี้รายได้หลัก ๆ มาจากศูนย์หัวใจและสมอง ส่วนโรงพยาบาลสินแพทย์อยู่ระหว่างยื่นขออนุญาตเพิ่มเติมในส่วนของโรงพยาบาล เด็กสินแพทย์ และอีก 2 ปีคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการในส่วนของอาคารเมดิคอลคอมเพล็กซ์

น.พ.ศิริ พงศ์กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายลงทุนต่อเนื่อง โดยการเติบโตมี 2 แบบ ประกอบด้วย การสร้างโรงพยาบาลใหม่และซื้อกิจการ ขณะเดียวกันนโยบายการเติบโตส่วนหนึ่งมาจากความร่วมมือกันระหว่างกลุ่มโรง พยาบาลรามคำแหงและวิภาวดี โดยเฉพาะการดูแลผู้ป่วยประกันสังคม ซึ่งจะร่วมลงทุนในนามของโรงพยาบาลวิภาวดี-ราม

ภายใต้การลงทุนของ บริษัทเองและกลุ่มวิภาวดี-ราม ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลวิภาวดีและโรงพยาบาลรามคำแหง ปัจจุบันมีเครือข่ายโรงพยาบาล 25 แห่ง จำนวน 3,700 เตียง กระจายในเขตกรุงเทพฯ ภาคเหนือ และอีสาน โดยการตัดสินใจเลือกทำเลจะพิจารณาจากจำนวนครัวเรือนและเด็กเกิดใหม่ ซึ่งสังเกตว่ากรุงเทพฯยังมีโอกาสที่ดี โดยเฉพาะกรุงเทพฯโซนตะวันออกและใต้ อย่างไรก็ตามจะให้น้ำหนักที่โซนตะวันออกเป็นหลัก เนื่องจากเครือข่ายที่มีจำนวนมาก มีความพร้อมในแง่การแชร์บุคลากรและเครื่องมือแพทย์ ถือว่ามีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในโซนดังกล่าว

"กรุงเทพฯฝั่งตะวันออกมี โรงพยาบาลสนใจเข้ามาตั้งค่อนข้างแน่น แต่ก็เชื่อว่ายังมีช่องว่างให้เข้าไปลงทุน และโซนนี้ถือว่ากลุ่มรามคำแหงค่อนข้างแข็งแกร่ง ทำเลในกรุงเทพฯยังมีโอกาส ตอนนี้สร้างโรงพยาบาลใหม่ใช้พื้นที่แค่ 5-8 ไร่ ขนาดเตียงเริ่มต้นที่ 200 เตียงก็ได้ ต้นทุนไม่สูงและมีโอกาสโตได้ ต่างจาก 20 ปีก่อนที่สร้างใหม่มีขนาดใหญ่ 350 เตียง"

ขณะที่ตลาดต่างจังหวัด น.พ.ศิริพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ยังโฟกัสไปที่ภาคเหนือ อีสาน และยังไม่มีแผนที่จะขยายการลงทุนลงไปที่ภาคใต้และตะวันออก เนื่องจากไม่มีความชำนาญในพื้นที่ และมีผู้เล่น

หลัก ๆ ที่แข็งแรงทำตลาดอยู่แล้ว ทั้งนี้กลุ่มรามคำแหงมีความแข็งแกร่งในตลาดภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่ที่มีโรงพยาบาล 5 แห่ง มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันมากกว่า 85% ของโรงพยาบาลเอกชน ขณะที่ภาคอีสานยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่มีแนวโน้มขยายตัวตามกำลังซื้อที่ดีขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดเลย บริษัทมีส่วนแบ่งตลาด 80% ของโรงพยาบาลเอกชน

"ภาคเหนือมีโรงพยาบาล เกือบ 10 แห่ง แบ่งเป็นเชียงใหม่ 5 แห่ง ตลาดมีศักยภาพ ส่วนการเข้ามาลงทุนของโรงพยาบาลกรุงเทพ ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะส่งผลกระทบหรือไม่ แต่เชื่อว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ทับซ้อนกัน"

รูปภาพ
16 พ.ย. 2555
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 133

โพสต์

ส่องหุ้นผ่าน Top Line

รูปภาพ
โดย ธันวา เลาหศิริวงศ์
คอลัมน์ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ



ผม เคยใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นสองปีช่วงปี 1988-1989 และยังกลับไปอยู่เสมอ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ทั้งวิถีชีวิต อาหารอร่อย อากาศดี การเดินทางที่สะดวก แม้เวลาจะล่วงเลยกว่ายี่สิบปี ความเปลี่ยนแปลงทางวัตถุหรือ

สิ่งก่อสร้างอาจมีไม่มากนัก จากการเดินทางเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีข้อสังเกตเกี่ยวกับค่าครองชีพคือ เครื่องดื่มกระป๋องมีราคาขายต่ำสุดอยู่ที่ 110 เยน แทบไม่แตกต่างกับสมัยที่เคยอยู่ญี่ปุ่นทีเดียว ทำให้คิดได้ว่าการเติบโตด้านยอดขายหรือรายได้ของบริษัทในญี่ปุ่นซึ่งเป็น ประเทศที่พัฒนาแล้ว เป็นสิ่งที่ท้าทายมากเช่นกัน

Investopedia คือ วิกิพีเดียด้านการลงทุน กล่าวถึง "Top Line" ว่าคือ บรรทัดบนสุดของงบกำไร ขาดทุน นั่นคือ ยอดขายหรือรายได้ ขณะที่บรรทัดสุดท้าย "Bottom Line" หมายถึงกำไร แม้แต่ละบริษัทจะมีรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างกัน แต่วิธีง่าย ๆ ในการประเมินคุณภาพกิจการ ได้แก่ หนึ่ง การเติบโตยอดขายหรือรายได้และคุณภาพการเติบโต สอง การเติบโตของกำไร และคุณภาพการเติบโตของกำไร

นักลงทุนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับ "กำไรและการเติบโตของกำไร" เพราะกำไรมีผลกระทบต่อราคาหุ้นโดยตรง หากกำไรดี ราคาหุ้นจะสะท้อนในเชิงบวก และยิ่งหากมีอัตราการเติบโตของกำไรสูง ราคาหุ้นก็ยิ่งจะปรับตัวในอัตราที่มากขึ้น พร้อมกับความคาดหวังที่สูงขึ้นไปด้วย

"ขนาด" ของ Top Line เป็นองค์ประกอบสำคัญที่บ่งบอก "ศักยภาพ" ของธุรกิจ หากเปรียบเทียบศักยภาพธุรกิจระหว่างบริษัทที่มียอดขาย 500 ล้าน กับ 5,000 ล้าน หรือกับ 50,000 ล้าน หรือกับบริษัทระดับแสนล้านบาท จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งสินค้าและผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการ บุคลากร บริษัทยอดขายสูงส่วนใหญ่จะมีผลิตภัณฑ์ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำ วันของคนในประเทศมากกว่า การมีผู้ซื้อรายย่อยมากรายและไม่ใช่สินค้าอุตสาหกรรม ย่อมหมายถึง มีผลิตภัณฑ์เป็นที่ต้องการในวงกว้าง ส่งผลดีต่ออำนาจต่อรองและส่งผลดีต่อกำไรอีกด้วย

"การเติบโตของ Top Line" แสดงถึง "คุณภาพ" ซึ่งอัตราการเติบโตอาจสำคัญกว่า "ขนาด" โดยทั่วไป กิจการขนาดเล็กจะเติบโตสูงกว่าเพราะฐานธุรกิจเล็กกว่า กิจการในประเทศกำลังพัฒนาจะเติบโตสูงกว่าเนื่องจากโอกาสที่มากกว่านั่นเอง

แอ ปเปิล (AAPL) ซึ่งมีไอโฟน ไอแพด ไอพอด แม็คบุ๊ก ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มียอดรายได้ 65,225 ล้าน 108,249 ล้าน และ 156,508 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2010, 2011, 2012 ตามลำดับ บริษัทมีความ

โดดเด่นทั้งศักยภาพและ คุณภาพจากยอดขายและอัตราการเติบโต ส่งผลให้เป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลก แต่บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วทั้งด้านเทคโนโลยีและ พฤติกรรมของผู้บริโภค นักลงทุนจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนด้วย

บริษัท ค้าปลีกชั้นนำของโลกอย่างห้างวอล-มาร์ต (WMT) มียอดขาย 408,085 ล้าน 421,849 ล้าน และ 449,950 ล้านเหรียญสหรัฐ ณ ปลายเดือนมกราคม

ปี 2010, 2011, 2012 ตามลำดับ บริษัทมีความโดดเด่นด้านขนาดหรือ "ศักยภาพ" แต่การเติบโตลดลง เพราะรายได้หลักอยู่ในสหรัฐฯที่มีอัตราการเติบโตไม่สูงมากนัก ขณะที่บริษัทซีพี ออลล์ (CPALL) หรือ

ร้านค้าปลีก 7-11 มียอดขาย 117,760 ($3,800) ล้าน 141,083 ล้าน ($4,550) 161,889 ($5,200) ล้าน และ 143,664 ($4,650) ล้านบาท ณ สิ้นปี 2009, 2010, 2011 และ 9 เดือนของปี 2012 ตามลำดับ จะเห็นว่าซีพี ออลล์ ที่อยู่ในประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงกว่า จะโดดเด่นกว่าในด้านคุณภาพการเติบโต

อนึ่ง บริษัทขนาดใหญ่ของโลกได้นำกลยุทธ์เพื่อเอาชนะความท้าทายด้านการเติบโตที่แตก ต่างกัน ได้แก่ เน้นลงทุนและคาดหวังการเติบโตจากประเทศที่ยังมีการเติบโตสูง การเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด การเพิ่ม

สินค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือบางแห่งเลือกวิธีลดค่าใช้จ่าย การนำเงินส่วนเกินมาซื้อหุ้นคืน ซึ่ง 2 อย่างหลังเป็นการเพิ่มกำไรให้มากขึ้น แต่ไม่ได้เป็นการเพิ่มคุณภาพและศักยภาพของธุรกิจผ่าน Top Line อย่างแท้จริง

ข้อควรระวังเมื่อพิจารณา Top Line ของบริษัทในอุตสาหกรรมสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงของราคาต่อหน่วย อย่างมาก จะทำให้ภาพของขนาดและการเติบโตผิดไปจากความเป็นจริง วิธีนี้จึงไม่เหมาะมากนักซึ่งอาจเลี่ยงด้วย

ในฐานะ Value Investor จำเป็นต้อง "คิด วิเคราะห์" ทั้งด้านขนาดและการเติบโตอย่างยั่งยืนของกิจการ หากสามารถ "แยกแยะ" บริษัทที่โดดเด่นทั้งด้าน "ศักยภาพ" และ "คุณภาพ" ของการเติบโตในระยะยาว ทั้ง "Top Line" และ "Bottom Line" ได้แล้ว อาจพิจารณาเลือกใช้กลยุทธ์ "ซื้อด้านเดียว" หรือการซื้อหุ้นและเป็นเจ้าของกิจการในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กลยุทธ์นี้สอดคล้องกับคำพูดที่ว่า หุ้นที่ยอดเยี่ยมในราคาที่เหมาะสมในตลาดปัจจุบันอาจเป็นหุ้นที่เราถืออยู่ หากเป็นเช่นนั้นต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า ทำไมเราต้องคอยหาหุ้นใหม่และเปลี่ยนไปซื้อหุ้นที่มีศักยภาพและคุณภาพด้อยลง

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 134

โพสต์

"มาลี" เล็งตั้งโรงงาน ตปท.รับเออีซี
หันโฟกัสธุรกิจเครื่องดื่ม-ปั้นแบรนด์บุกในประเทศ


รูปภาพ

"มาลี" ปรับตัวครั้งใหญ่หลังออกจากแผนฟื้นฟูกลางปี"54 หันบาลานซ์ธุรกิจปั้นกำไร เพิ่มโฟกัสกลุ่มเครื่องดื่ม พร้อมปั้นแบรนด์รุกตลาดในประเทศ ลดสัดส่วนโออีเอ็ม-ผลไม้แปรรูป เหตุแข่งขันสูง ปัจจัยผันผวนมาก เล็งตั้งโรงงานผลิตในอาเซียนรับเปิดเออีซีเร็ว ๆ นี้ หวังช่วยลดต้นทุนป้อนตลาดต่างประเทศ มั่นใจปีนี้โตอีก 100%

นายฉัตรชัย บุญรัตน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาในการตั้งโรงงานในต่างประเทศ เพื่อรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งได้มีการศึกษามาประมาณ 2-3 ปีแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ โดยเล็งประเทศที่มีขนาดจำนวนประชากรสูง ค่าแรงถูก มีลูกค้า และวัตถุดิบเพียงพอ โดยจะเป็นฐานผลิตเพื่อป้อนตลาดของมาลีในต่างประเทศรวมถึงประเทศไทยด้วย

ส่วนโรงงานผลิตในไทยที่ผ่านมา เพิ่มการทุ่มงบประมาณ 400 ล้านบาทในการขยายกำลังผลิตเพิ่มขึ้น 200% ซึ่งจะก่อสร้างเสร็จในสิ้นปีนี้ เพื่อรับกับการขยายตัวของบริษัท ซึ่งช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีผลประกอบการที่ดีขึ้นชัดเจน และทำให้บริษัทสามารถหลุดจากแผนฟื้นฟูกิจการเมื่อกลางปี 2554 ที่ผ่านมา และทำให้ปีนี้มีการเติบโตด้านรายได้เท่าตัวจาก 3,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ล้านบาท มาจากกลุ่มเครื่องดื่มเป็นหลัก ทั้งในและต่างประเทศ จากจำนวนลูกค้าและการขยายตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น โดยปีนี้ตั้งเป้าเติบโตอีก 100%

ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับแผนธุรกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หันมาให้ความสำคัญกับกลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ และทำตลาดในประเทศมากขึ้น จากเทรนด์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาใส่ใจตัวเอง ขณะเดียวกัน ก็ลดสัดส่วนสินค้าเกษตรส่งออก และกลุ่มผลไม้แปรรูป หรือผลไม้กระป๋อง เพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องพึ่งพาฤดูกาล ดินฟ้าอากาศ มีความไม่แน่นอนสูง โดยเป้าหมายของบริษัทจากนี้จะเน้นบาลานซ์สัดส่วนระหว่างส่งออกและในประเทศอยู่ที่ประมาณ 50 : 50 เช่นเดียวกับการหันมาให้ความสำคัญกับแบรนด์ของตัวเองมากขึ้น และลดสัดส่วนรับจ้างผลิต หรือ OEM ลง

"วิชั่นของบริษัทคือการเป็นบริษัทเครื่องดื่มและอาหารที่ผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพ ซึ่งโอกาสทางธุรกิจยังมีอีกหลายอย่าง แน่นอนว่าแอลกอฮอล์เราจะไม่ทำ มากที่สุดที่จะทำก็คือชา กาแฟ" นายฉัตรชัยกล่าว

ด้านนางสาวรุ่งฉัตร บุญรัตน์ ผู้อำนวยการใหญ่สายธุรกิจ ตราผลิตภัณฑ์ บริษัท มาลี เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุดได้ปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์มาลี เพื่อขยายฐานผู้บริโภคไปสุ่กลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่วัยเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไปมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ได้ปรับสโลแกนจาก "fruit expert" เป็น "fruit with care" พร้อมกับเปิดตัวแคมเปญ Why Care ? โดยใช้กลยุทธ์โคครีเอชั่นมาร์เก็ตติ้งให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับความเชื่อของแบรนด์ผ่านประสบการณ์ตรง พร้อมให้น้ำหนักกับโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้น

ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งตลาด 25% ของตลาดน้ำผลไม้ 100% มูลค่า 4,000 ล้านบาท ปีที่แล้วภายใต้แบรนด์มาลีเติบโต 24% และมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น 4% เทียบจากปีที่แล้ว และปีนี้ก็คาดหวังส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 4%

รูปภาพ
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 135

โพสต์

ศาลปกครองนัด 3 ค่ายมือถือผู้ชนะประมูล3G ไต่สวน 20 พ.ย.

รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 20 พ.ย. ศาลปกครองกลางได้นัดผู้ชนะประมูลใบอนุญาต
ใช้คลื่นความถี่ 2.1GHz ที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา ได้แก่
บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัดในเครือเอไอเอส
บริษัท ดีแทค เน็ทเวอร์ค จำกัด ในเครือดีแทค
บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด ในเครือทรูมูฟ

เข้ามาให้ข้อมูลกับศาลปกครอง ในคดีหมายเลขดำที่ 2865/2555
ซึ่งคดีนี้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ฟ้องว่า สำนักงาน กสทช. ได้จัดให้มีการประมูล
โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้เพิกถอนการดำเนินการพร้อมทั้งประกาศที่เกี่ยวข้อง
กับการพิจารณาอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ดังกล่าว และขอให้ชะลอการอนุญาตดังกล่าวไว้ก่อน


โดยมีกำหนดเวลาให้ข้อมูลดังนี้ เวลา 10.00 น. นัด
บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัดในเครือเอไอเอส เวลา 13.00 น.
บริษัท ดีแทค เน็ทเวอร์ค จำกัด ในเครือดีแทค และเวลา 14.30 น.
บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด ในเครือทรูมูฟ


รูปภาพ
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 136

โพสต์

ซีพีแลนด์ปรับโฉม3อาคารกลางกรุง

นายสมเกียรติ เรือนทองดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท ซี.พี. แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ใช้งบประมาณกว่า 500 ล้านบาท
สำหรับปรับปรุงภาพลักษณ์โรงแรมเมอร์เคียว ฟอร์จูน ทาวน์ และศูนย์การค้าฟอร์จูน ทาวน์ ถนนรัชดาฯ-พระราม 9 เนื่องจากในอนาคตอันใกล้ ถนนรัชดาฯ จะกลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ภายหลังอาคารเอไอเอ และตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อสร้างแล้วเสร็จ คาดว่าจะทำให้มีผู้อยู่อาศัยและทำงานในย่านนี้เพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนคน ทั้งนี้ ในส่วนของการปรับปรุงศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ ได้ปรับปรุงสภาพอาคารและภูมิทัศน์ใหม่ ซึ่งภายหลังการปรับปรุงภาพลักษณ์ใหม่แล้ว คาดว่าจะมีผลต่อผู้เข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นเป็นวันละ 50,000 คน จากปัจจุบัน 40,000 คน หรือคาดว่าจะกระตุ้นให้ร้านค้ามียอดขายเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 30% จากยอดขายรวมในปัจจุบันที่ทำได้เดือนละ 500-600 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ในปี 2556 บริษัทจะเริ่มทยอยปรับภาพลักษณ์ในส่วนของอาคารซีพี ทาวเวอร์ 1 บนถนนสีลมและซีพี ทาวเวอร์ 3 ย่านถนนพญาไท ซึ่งจะมีการพิจารณางบประมาณอีกครั้งในปีหน้า

นอกจากนี้ ในปีหน้าจะมีการลงทุนอาคารสำนักงาน ที่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น รวมถึงยังเตรียมเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ตามจังหวัด อาทิ ขอนแก่น อุดรธานี มหาสารคาม สุราษฎร์ธานี และพัทยา เป็นต้น

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 137

โพสต์

บาร์บี้ มีชีวิตนางแบบล่าสุด V magazine

Nov 16th, 2012

“นางแบบ”สัญชาติยูเครนสร้างความฮือฮาไปทั่วโลก
จากการทำศัลยกรรมให้ตัวเองดูเหมือน “ตุ๊กตาบาร์บี้”


รูปภาพ

เธอคนนี้มีชื่อว่า “วาเลเรีย ลุกโยโนวา” วัย 21 ปี โด่งดังในโซเชียลเน็ตเวิร์ก หลังจากโพสต์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับการทำศัลยกรรม เพื่อปรับสัดส่วนของตัวเองให้เหมือน “ตุ๊กตาบาร์บี้” และกำลังดังมาก เพราะ “V magazine” นิตยสารชื่อดั ขอตัวเธอมาเป็น “นางแบบ” ในฉบับล่าสุด

วาเลเรีย เผยว่า ทุกๆ เช้า เธอจะเริ่มดูแลผิวหน้าของตัวเองและไปนวดหน้า จากนั้นเล่นอินเตอร์เน็ต นั่งสมาธิ ออกกำลังกายที่ฟิตเนสและปรุงอาหารเย็นให้ผู้ชายที่เธอรัก

และกลับไปเล่นอินเตอร์เน็ต อ่านหนังสือ นั่งสมาธิอีกหน่อย ก่อนที่จะเข้านอน ชีวิตส่วนตัวนั้น ประกอบอาชีพ “คุณครู” โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง

รูปภาพ
ข่าวโดย : มติชนออนไลน์

ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 138

โพสต์

"บีพี"เจอปรับอ่วม 4,500 ล้านดอลล์ ทำน้ำมันรั่วอ่าวเม็กซิโก

รูปภาพ

บริษัทน้ำมันบีพี ต้องเสียค่าปรับจำนวนมหาศาลเป็นประวัติการณ์ของสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และต้องยอมรับความผิดคดีอาญา จากเหตุน้ำมันรั่วไหลในอ่าวเม็กซิโก เมื่อปี 2010

สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ รายงานอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยว่า บีพีจะยอมรับความผิด ฐานเป็นเหตุให้แท่นขุดเจาะน้ำมัน ดีพวอเตอร์ ฮอไรซัน ในอ่าวเม็กซิโก ระเบิดและจมลงสู่ก้นทะเล เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2010 และเป็นต้นตอของหายนะทางสิ่งแวดล้อมครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้เกิดน้ำมันรั่วไหลลงทะเลหลายล้านบาร์เรล และต้องใช้เวลาทำความสะอาดคราบน้ำมันนานถึง 87 วัน แลกกับการละเว้นการดำเนินคดีอื่นๆ ในอนาคต

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของบีพี 2 ราย ถูกตั้งข้อหาการฆ่าคนโดยไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน ขณะที่อดีตผู้จัดการถูกตั้งข้อหาให้การเท็จต่อรัฐสภาสหหรัฐฯ

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯเปิดเผยว่า บีพีต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 4 พันล้านดอลลาร์ เงินจำนวนดังกล่าวยังรวมถึงค่าปรับจำนวน 1.26 พันล้านดอลลาร์ และเงินเพื่อการบริจาคให้องค์กรด้านสัตว์ป่าและวิทยาศาสตร์ และตามส่วนหนึ่งของข้อตกลง บีพีจะต้องยอมรับข้อกล่าวหาจำนวน 14 ข้อด้วย อาทิ การประพฤติมิชอบและเพิกเฉย ที่ส่งผลให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 11 คน ความผิดอาญาประเภทลหุโทษภายใต้พ.ร.บ.เพื่อน้ำสะอาด และพ.ร.บ.สนธิสัญญาคุ้มครองนกอพยพ และความผิดอาญาอุกฉกรรจ์ ฐานขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่

นอกจากนั้น บีพีจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมให้แก่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มูลค่า 525 ล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลา 3 ปีอีกด้วย

โดยข้อตกลงที่ทำไว้กับกระทรวงยุติธรรม ยังรวมถึงค่าปรับ 1.26 พันล้านดอลลาร์ ค่าเสียหายจำนวน 2.4 พันล้านดอลลาร์ที่ต้องจ่ายให้แก่มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพันธุ์ปลาแห่งชาติ และอีก 350 ล้านดอลลาร์ ที่ต้องจ่ายให้กับ สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ภายในระยะเวลา 5 ปี


อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บีพีอยู่ระหว่างการปรึกษาหารือล่วงหน้ากับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ และคณะกรรมาธิการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (เอสอีซี) เพื่อหาข้อสรุปให้ได้โดยเร็ว

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 139

โพสต์

หุ้นไทยสัปดาห์หน้ามีโอกาสฟื้น
17 พฤศจิกายน 2555

กสิกรไทย ชี้ ความกังวลหน้าผาการคลังและหนี้ยุโรปคลี่คลาย
มีโอกาสที่หุ้นไทยจะฟื้นตัวขึ้น


รูปภาพ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย และบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย คาดการณ์ตลาดหุ้นสัปดาห์หน้า (19-23 พ.ย. 2555) ดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น โดยต้องติดตามประเด็นเกี่ยวกับ Fiscal Cliff ของสหรัฐฯ และการพิจารณาจ่ายเงินช่วยเหลือกรีซของทางการยุโรป (Troika) สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ และความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,258 และ 1,207 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,297 และ 1,314 จุด ตามลำดับ

สำหรับความเคลื่อนไหวตลาดทุนไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่ าดัชนี SET ปิดลดลง จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับประเด็นหน้าผาการคลังของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,280.13 จุด ลดลง 0.83% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 12.65% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 31,281.62 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 371.15 จุด ลดลง 2.92% จากสัปดาห์ก่อน

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 140

โพสต์

เพซฯลุยต่อคอนโดไฮเอนด์

เพซ ดีเวลลอปเมนท์ ชี้ตลาดคอนโดไฮเอนด์ยังปึ้ก
ปีหน้าเปิดเพิ่ม 2 โครงการ มูลค่า 6,000 ล้าน รับเศรษฐีไทย-ต่างชาติ


รูปภาพ

โครงการมหานคร
นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ตลาดที่อยู่อาศัยระดับบนยังมีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จำนวนสินค้าในตลาดมีเหลืออยู่น้อย ทำให้ตลาดยังไปได้ดี โดยเฉพาะในระยะหลังกำลังซื้อของชาวต่างชาติกลับมาซื้อมากขึ้น เป็นเพราะเริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้น หลังจากการเมืองเริ่มนิ่งและไม่เกิดน้ำท่วมเหมือนปีที่ผ่านมา

“สังเกตได้จากโครงการมหานครของบริษัทบนถนนนราธิวาสราช นครินทร์ ซึ่งมีคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรีอยู่ในโครงการ ขณะนี้มียอดขายแล้วประมาณ 40% เป็นลูกค้าคนไทยและต่างชาติในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน แต่ในระยะ 3-4 เดือนหลัง คนต่างชาติเข้ามาซื้อมากกว่าคนไทย มาจากสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน และยุโรป” นายสรพจน์ กล่าว

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระดับบนและเป็นการสร้างรายได้เพิ่มให้กับบริษัท เพื่อเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2556 บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่อีก 1-2 โครงการ ทั้งในกรุงเทพมหานคร (กทม.) และต่างจังหวัด โดยใน กทม. จะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ สูง 25-30 ชั้น ในย่านใจกลางเมือง ส่วนโครงการในต่างจังหวัดอาจเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ หรือวิลลา ในเมืองท่องเที่ยว อาทิ เขาใหญ่ หัวหิน พัทยา เป็นต้น ทั้งสองโครงการมีมูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท

นายสรพจน์ กล่าวอีกว่า ด้านความคืบหน้าโครงการมหานคร ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างฐานราก ซึ่งล่าช้าจากกำหนดเดิมประมาณ 3-6 เดือน จากความไม่สงบทางการเมือง เมื่อปี 2553 และปัญหาน้ำท่วม โดยคาดว่าจะสร้างเสร็จประมาณไตรมาส 3 ปี 2558 โดยในต้นปีหน้า บริษัทจะนำโครงการออกไปโรดโชว์ที่ฮ่องกงอีกครั้ง

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการคิวบ์ ไลฟ์สไตล์ รีเทล เซ็นเตอร์
ความสูง 7 ชั้น อยู่ด้านหน้าโครงการมหานคร มีพื้นที่ใช้สอยรวม 6,000 ตารางเมตร
มูลค่า 1,500 ล้านบาท สามารถขายพื้นที่ไปได้แล้ว 55% เป็นแบรนด์สินค้าและ
ร้านอาหารดัง ลัตเตอ ลิเย่ เดอ โจเอล โรบูชง, โว้กบาร์ ดีน แอนด์ เดลูก้า ไอ สตูดิโอ เป็นต้น

โครงการดังกล่าว คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือน ก.ย. 2556
ตั้งเป้าคนเข้าใช้บริการกว่า 1 หมื่นคนต่อวัน ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการขายโครงการมหานครด้วย

สำหรับโครงการมหานครเป็นโครงการมิกซ์ยูส สูง 77 ชั้น
ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ ริทซ์ คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส จำนวน 197 ยูนิต
ราคาตั้งแต่ 32–300 ล้านบาท และ
โรงแรม เดอะ บางกอก เอดิชั่น เมื่อสร้างเสร็จจะเป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศ

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 141

โพสต์

รูปภาพ
กสิกรไทยทำนายหุ้นไทยสัปดาห์หน้าฟื้นตัว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด สัปดาห์หน้าหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว แนะติดตามประเด็นเกี่ยวกับ Fiscal Cliff ของสหรัฐฯ และการช่วยเหลือกรีซ โดยให้แนวรับที่ 1,258-1,207 จุด และแนวต้านที่ 1,297-1,314 จุด...

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า ดัชนี SET ปิดลดลง จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับประเด็นหน้าผาการคลังของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,280.13 จุด ลดลง 0.83% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 12.65% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 31,281.62 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 371.15 จุด ลดลง 2.92% จากสัปดาห์ก่อน

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นในวันจันทร์ ก่อนที่จะปรับลดลงจากแรงขายทำกำไรในช่วงกลางสัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับประเด็นหน้าผาการคลัง (Fiscal Cliff) ของสหรัฐฯ ที่ทั้ง 2 พรรคยังคงมีจุดยืนที่แตกต่าง รวมทั้งความกังวลต่อปัญหาหนี้ยุโรปหลังการพิจารณาปล่อยเงินกู้รอบใหม่แก่กรีซต้องเลื่อนออกไป จากนั้น ดัชนีลดช่วงลบลงในวันศุกร์ โดยมีแรงซื้อจากกองทุน LTF และ RMF

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ระหว่างวันที่ 19-23 พ.ย. 2555 บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด และบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น โดยต้องติดตามประเด็นเกี่ยวกับ Fiscal Cliff ของสหรัฐฯ และการพิจารณาจ่ายเงินช่วยเหลือกรีซของทางการยุโรป (Troika) สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ และความเชื่อมั่นผู้บริโภค ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,258 และ 1,207 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,297 และ 1,314 จุด ตามลำดับ.

รูปภาพ
โดย ไทยรัฐออนไลน์
17 พฤศจิกายน 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 142

โพสต์

รูปภาพ
จับตาสัปดาห์หน้า'อียู'พิจารณาอนุมัติเงินช่วยเหลือกรีซส่งผลราคาทอง

ห้างทองฮั่วเซ่งเฮง รายงานสถานการณ์ทองคำว่า ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำ ทำให้ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบระหว่าง 1,705-1,740 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ หลังการประชุมกลุ่มอียูและการประชุม รมว.คลังยูโรโซน ในช่วงต้นสัปดาห์นี้ไม่ได้มีการอนุมัติเงินช่วยเหลือให้แก่กรีซ ทำให้ตลาดกังวลว่ากรีซจะผิดนัดชำระหนี้ในวันศุกร์ที่มีตั๋วเงินคลังครบกำหนดไถ่ถอน 5 พันล้านยูโร ทำให้กรีซต้องแก้ไขปัญหาโดยการเปิดประมูลขายตั๋วเงินคลังวันอังคาร แต่ขายได้จำนวน 4 พันล้านยูโร ทำให้มีการเปิดประมูลเพิ่มอีก 1 พันล้านยูโรในวันพฤหัสบดี

อย่างไรก็ดี ทองคำยังได้รับปัจจัยหนุนจากความเสี่ยงจากหน้าผาทางการคลังของสหรัฐฯ สัปดาห์นี้มีการเปิดประชุมสมาชิกสภาคองเกรส แต่มีความขัดแย้งกันระหว่างนโยบายของพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน และความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นจากเทศกาล ดิวาลี ของอินเดีย ซึ่งเป็นเทศกาลปีใหม่ของอินเดียที่จะมีการซื้อทองคำให้ตนเองและเป็นของขวัญให้คนอื่น ทำให้ราคาทองคำยังคงค่อนข้างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นและตลาดสินทรัพย์เสี่ยงที่ต่างปรับตัวลงจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหน้าผาทางการคลังของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ สัปดาห์หน้ามีการประชุมกลุ่มอียูในวันอังคาร และการประชุมสุดยอดผู้นำทางเศรษฐกิจอียูในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ คาดว่าการประชุมกลุ่มอียูจะพิจารณาให้เงินช่วยเหลือแก่กรีซต่อเนื่อง ซึ่งได้ให้เวลาแก่กรีซเพิ่มอีก 2 ปี ในการลดหนี้สาธารณะต่อจีดีพีลงเหลือ 120% ภายปี 2020 ทำให้กรีซจำเป็นต้องขอรับความช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก 3.3 หมื่นล้านยูโร ส่วนการประชุมสุดยอดผู้นำทางเศรษฐกิจอียู คาดว่าจะมีประเด็นหารือเกี่ยวกับวิกฤติหนี้ในยุโรป แต่เชื่อว่าจะไม่มีการออกมาตรการใหม่เพิ่มเติมเพื่อแก้ไขวิกฤติหนี้ในยุโรป

ขณะที่ทางด้านสหรัฐฯ ต้องติดตามคำแถลงของ เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะมีการแถลงต่อ Economic club of New York คาดว่าจะมีการแถลงถึงรายละเอียดนโยบายการเงินมากขึ้น ทางด้านตัวเลขภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ที่จะประกาศออกมายอดขายบ้านมือสอง การอนุญาตก่อสร้างและการเริ่มสร้างบ้านเดือน ต.ค. คาดลดลง ทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง และราคาทองคำมีโอกาสฟื้นตัวในกรณีที่ปรับฐานลงแรง โดยราคาทองคำในสัปดาห์หน้ามีแนวรับที่ 1,700 และ 1,690 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ตามลำดับ แนวต้านที่ 1,735-1,740 และ 1,750 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ตามลำดับ.

รูปภาพ
โดย ไทยรัฐออนไลน์
17 พฤศจิกายน 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 143

โพสต์

รูปภาพ
คาดสัปดาห์หน้าค่าบาทเคลื่อนไหวที่ 30.55-30.85 ต่อดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด สัปดาห์หน้าค่าบาทเคลื่อนไหวที่ 30.55-30.85 บาทต่อดอลลาร์ แนะจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น และสัญญาณการประนีประนอมระหว่างสภาคองเกรสและทำเนียบขาว...

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า เงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบระดับ 30.75 บาทต่อดอลลาร์ โดยการอ่อนค่าของเงินบาทในระหว่างสัปดาห์ สอดคล้องกับแรงขายสุทธิหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ และการอ่อนค่าของเงินเอเชียตามทิศทางเงินเยนในช่วงปลายสัปดาห์ นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยกดดันจากความต้องการเงินดอลลาร์ ในช่วงที่ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกปรับลดลงท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า ที่อาจต้องเผชิญความเสี่ยงจากวิกฤติหนี้ยูโรโซน และหน้าผาการคลังของสหรัฐฯ (Fiscal Cliff) อีกด้วย ในวันศุกร์ (16 พ.ย.) เงินบาทอยู่ที่ 30.75 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับ 30.62 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (9 พ.ย.)

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ถัดไป (19-23 พ.ย.) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 30.55-30.85 บาทต่อดอลลาร์ โดยคงต้องติดตามการประชุมรัฐมนตรีคลังยูโรโซน (ซึ่งอาจมีการหารือแผนการขอเบิกเงินช่วยเหลือของกรีซ) ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นในช่วงต้นสัปดาห์ และสัญญาณการประนีประนอมระหว่างสภาคองเกรสและทำเนียบขาวของสหรัฐฯ เพื่อแก้ปัญหา Fiscal Cliff ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย. ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ยอดขายบ้านมือสอง ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือน ต.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ อนึ่ง ตลาดการเงินในสหรัฐฯ จะปิดทำการในวันพฤหัสบดี เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า.

รูปภาพ
โดย ไทยรัฐออนไลน์
17 พฤศจิกายน 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 144

โพสต์

รูปภาพ

เต็งเส่งยอมให้สิทธิโรฮิงยาก่อน"โอบามา"เยือน

เต็งเส่งพร้อมให้สิทธิแก่โรฮิงยามากขึ้น รวมไปถึงสัญชาติใบอนุญาตให้ทำงาน เป็นของขวัญก่อนประธานาธิบดีบารัค โอบามา มาเยือนครั้งประวัติศาสตร์ ขณะที่สหรัฐผ่อนคลายคว่ำบาตรสินค้าพม่าก่อนโอบามาเยือนเพียง 3 วัน


โฆษกสหประชาชาติแถลงว่า ประธานาธิบดีเต็งเส่ง ได้ส่งจดหมายถึงนายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ ประกาศจะยอมให้สิทธิบางอย่างแก่มุสลิมโรฮิงยา รวมไปถึงเรื่องสัญชาติ การออกใบอนุญาตทำงาน และเสรีภาพในการเดินทาง สิทธิความเป็นเมืองพม่าแก่โรฮิงยา

ในจดหมายฉบับนี้ นายเต็งเส่ง ได้ประณามความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างชาวพุทธในรัฐยะไข่กับชาวมุสลิมโรฮิงยา รวมทั้งให้สัญญาว่า จะหามาตรการเยียวยาเหยื่อความรุนแรงตลอดจนนำตัวผู้ที่เกี่ขวข้องกับเหตุรุนแรงมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ผู้นำพม่า ยังให้สัญญาว่า รัฐบาลพร้อมจะใช้มิติทางการเมืองเข้ามาช่วยเหลือชาวโรฮิงยา ตั้งแต่การจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับผู้ที่ไร้ที่อยู่อาศัยไปจนถึงการให้สัญชาติ นอกเหนือจาก จะออกเอกสารสำคัญทางราชการให้ไม่ว่าจะเป็นใบเกิด ใบอนุญาตให้ทำงานและการอนุญาตให้สามารถเดินทางไปทั่วประเทศได้ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องแต่งกายแบบชาวพม่าทั่วไปเพื่อเป็นหลักประกันว่าชาวโรฮิงยาพร้อมจะยอมรับปทัศฐานของสังคม แต่ผู้นำพม่าไม่ได้ระบุชัดว่าจะเริ่มลงมือเมื่อใด

สหรัฐผ่อนคลายคว่ำบาตรสินค้าพม่า

ทำเนียบชาวประกาศผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรสินค้านำเข้าส่วนใหญ่จากพม่า เพียง 3 วัน ก่อนที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามามีกำหนดเดินทางไปเยือนพม่าในวันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายนนี้ หลังจากเยือนไทยในวันพรุ่งนี้ นับเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่เดินทางไปเยือนพม่า โดยนายโอบามาจะเข้าพบประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ของพม่า และนางออง ซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้าน

กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการคลังสหรัฐ ประกาศยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรสินค้านำเข้าส่วนใหญ่จากพม่า แต่ไม่รวมสินค้าประเภทหยก ทับทิม และอัญมณีอื่นๆ ที่มีส่วนประกอบของหยก และทับทิม เพื่อเป็นการให้รางวัล รวมถึงสนับสนุนความพยายามในการปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจ ของประธานาธิบดี เต็ง เส่ง ขณะเดียวกันก็เปิดทางให้นักธุรกิจอเมริกันและพม่าสามารถทำธุรกิจร่วมกันได้ แต่เรียกร้องให้พม่าเดินหน้าปฏิรูปประเทศต่อไป

แม้พม่าเป็นประเทศผู้ผลิตหยกรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่รัฐบาลทหารพม่าในอดีตให้สัมปทานกับนักธุรกิจที่มีความใกล้ชิดเท่านั้น และมีการใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรม ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ สหรัฐจึงยังคงคว่ำบาตรสินค้าประเภทดังกล่าวต่อไป

การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรครั้งนี้ จะทำให้พม่าสามารถส่งออกสินค้าหลายประเภทไปยังสหรัฐได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลพม่า รวมถึงนางออง ซาน ซูจี ต้องการให้สหรัฐผ่อนคลายการคว่ำบาตรสินค้านำเข้าจากพม่า เพื่อให้พม่าเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลก

ก่อนหน้านี้ สหรัฐทยอยยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรในหลายด้าน รวมถึงยกเลิกคำสั่งห้ามบริษัทอเมริกันทำธุรกิจในพม่า โดยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว สหรัฐนำเข้าสินค้าประเภทเสื้อผ้าและอื่นๆ จากพม่า เป็นมูลค่า 356 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.1 หมื่นล้านบาท ก่อนประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรสินค้า จนทำให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าจากพม่าลดฮวบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

NGOจี้'โอบามา'กดดันพม่าด้านสิทธิมนุษยชนต่อ

องค์กรสิทธิมนุษยชนเอเชีย เรียกร้องให้นายโอบามา ใช้โอกาสที่เยือนพม่า กดดันให้รัฐบาลพม่าเดินหน้าปฏิรูปด้านสิทธิมนุษยชน ให้เป็นรูปธรรม

นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการองค์กรฮิวแมน ไรท์ส วอทช์ ภูมิภาคเอเชีย บอกว่า การเดินทางไปเยือนพม่าของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ในวันจันทร์นี้ เสี่ยงที่จะเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลที่มีทหารสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ในขณะที่ยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในรัฐยะไข่และรัฐคะฉิ่น

ผอ.องค์การฮิวแมนไรท์ วอชท์ ระบุด้วยว่า นายโอบามา ควรใช้โอกาสนี้ กดดันให้รัฐบาลของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง เดินหน้าปฏิรูปด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นรูปธรรม จึงจะเป็นการสนับสนุนการปฏิรูปอย่างแท้จริงและยั่งยืนและเรียกร้องให้ โอบามา กดดันให้รัฐบาลพม่า แก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ให้ทหารได้รับการแต่งตั้งเข้าไปอยู่ในสภาถึง 25 %

นายอดัมส์ บอกว่า นายโอบามา ควรระมัดระวัง ไม่ชมเชยการเปลี่ยนแปลงในพม่ามากเกินไป จนกว่าจะเห็นการปฏิรูประยะยาว

ความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธยะไข่ และชาวมุสลิม โรฮิงญาในรัฐยะไข่ ทางภาคตะวันตกของประเทศ ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 200 คน และทำให้มีผู้ที่ต้องย้ายออกจากถิ่นฐานมากกว่า 1 แสน 1 หมื่นคน และมีกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐคะฉิ่นทางเหนือของประเทศ อีกกว่า 9 หมื่นคนที่ต้องย้ายออกจากถิ่นฐาน จากการกวาดล้างของทหารพม่า

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 145

โพสต์

รูปภาพ
โอบามามาตามนัด ออกเดินทางเยือนไทย พม่า กัมพูชา
ปธน.สหรัฐ บารัก โอบามา โบกมือให้เจ้าหน้าที่ขณะขึ้นเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน ที่ฐานทัพอากาศแอนดรูวส์ ใกล้กรุงวอชิงตันดีซี วันวันเสาร์ 18 พ.ย.นี้ นายโอบามาออกเดินทางสู่ประเทศไทย พม่าและกัมพูชา. -- Reuters/Jason Reed.


บนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน (รอยเตอร์) --ประธานาธิบดีสหรัฐ บารัก โอบามา ออกเดินทางในวันเสาร์เพื่อตระเวนเยือน 3 ประเทศในเอเชีย ใช้การออกเยือนต่างแดนครั้งแรกนับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้งอีกสมัย เพื่อย้ำให้เห็นการให้ความสำคัญต่อภูมิภาคนี้ของสหรัฐ

นายโอมาบาจะหยุดแวะประเทศไทย พม่าและกัมพูชา แต่ไฮไล้ท์ของการเดินทางดูจะเป็นการเยือนครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศพม่า ซึ่งเคยเป็นประเทศน่ารังเกียจ ทำเนียบขาวหวังว่าการเยือนของนายโอบามาจะช่วยผลักดันการปฏิรูปประชาธิปไตยในประเทศนี้

"นอกจากการปฏิรูปประชาธิปไตยแล้ว เรายังมีความเป็นกังวลต่อความขัดแย้งด้านชนชาติในพม่า" เบน โรดส์ (Ben Rhodes) ของที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติกล่าวกับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน รัฐบาลโอบามายังคงเรียกประเทศเมียนมาร์ด้วยชื่อเก่าคือ พม่า

นายโรดส์กล่าวอีกว่า รัฐบาล ปธน.โอบามากำลังกดดันให้พม่าตัดขาดความสัมพันธ์ทางการทหารกับเกาหลีเหนือด้วย และ "เราได้เห็นพวกเขาดำเนินการทางบวกไปในทิศทางนั้น"

อย่างไรก็ตามการเดินทางเยือนเอเชียของประธานาธิบดีอาจจะถูกบดบังด้วยความรุนแรงในตะวันออกกลางกับความห่วงใยในการเจรจากับบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสหรัฐ ในประเด็นเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีและงบประมาณค้าใช้จ่าย

นายโอบามามีกำหนดเดินทางกลับกรุงวอชิงตันดีซีในเช้าวันพุธ.


รูปภาพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 พฤศจิกายน 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 146

โพสต์

รูปภาพ
ผู้นำสหรัฐฯเยือนไทยวันนี้-รปภ.วางกำลังเข้ม

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ถึงไทยบ่ายวันนี้ ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด

วันนี้ (18พ.ย.55) ผู้สื่อข่าวรายงาน กำหนดการภารกิจเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเดินทางด้วยเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน มาลงที่ท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 ดอนเมือง ในวันนี้ เวลาประมาณ 14.00 น.

จากนั้นจะเดินทางไปเยี่ยมชมวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) จากนั้นในเวลา 17.00 น.
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนำประธานาธิบดีสหรัฐฯเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ ห้องประชุมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 14
โรงพยาบาลศิริราช และในเวลา 18.00น.นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีสหรัฐฯจะร่วมพิธีต้อนรับ
อย่างเป็นทางการ ที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล จากนั้นจะเป็นการหารือแบบทวิภาคีระหว่าง
ผู้นำทั้งสองประเทศ ก่อนจะแถลงข่าวร่วมกันและในช่วงค่ำนายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ
เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

ทั้งนี้ เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (17 พ.ย.) นายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 21 ที่ประเทศกัมพูชา ว่า ไทยมีความพร้อมต้อนรับการมาเยือนของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเฉพาะเรื่องการรักษาความปลอดภัย ที่พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ประสานเตรียมความพร้อมกับทีมรักษาความปลอดภัยของทำเนียบขาวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในวันนี้นายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับประเทศไทยในเวลา 15.00 น. เพื่อเตรียมตัวให้การต้อนรับประธานาธิบดีสหรัฐฯและเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้วก็จะเดินทางกลับไปประชุมสุดยอดอาเซียนต่อ

ด้านผบ.ตร. เปิดเผยถึงความพร้อมในการดูแลรักษาความปลอดภัยผู้นำสหรัฐฯ ว่า จัดกำลังตำรวจเตรียมพร้อมเต็มที่ตลอดเส้นทางที่ผู้นำสหรัฐฯจะเดินทางผ่านไปตามกำหนดการ ตั้งแต่ลงจากเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน จนกระทั่งผู้นำสหรัฐฯกลับเข้าที่พักในช่วงค่ำวันนี้ นอกจากนี้ยังจะปิดเส้นทางการจราจรโดยรอบและวางพลซุ่มยิงในพื้นที่สูงข่มรอบทำเนียบรัฐบาลด้วย

แหล่งข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้กำหนดการรักษาความปลอดภัยเส้นทางที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ โดยจัดขบวนรถรักษาความปลอดภัย มีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหน่วยอรินทราช 26 เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน หน่วยเก็บกู้ระเบิด สันติบาล 191 และรถหน่วยอาวุธ ทั้งนี้ ได้เตรียมเส้นทางหลักและเส้นทางสำรอง พร้อมจัดชุดปฏิบัติการพิเศษดูแลพื้นที่สูงข่ม ระวังอาวุธวิถีตรงและโค้ง ชุดต่อต้านการซุ่มยิงและการซุ่มโจมตี

ขณะที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ประชาสัมพันธ์แจ้งว่า ในวันนี้ จะไม่อนุญาตให้ตั้งโต๊ะบริจาคทำบุญ หรือเปิดขายของรอบวัดและจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดได้จนถึงเวลา 10.00 น.เท่านั้น หลังจากนั้นจะปิดเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่ ก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะเดินทางมาเยี่ยมชมวัดในช่วงบ่าย

ด้านผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักหอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกประกาศด่วนที่สุด ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน ขอความร่วมมือนิสิตจุฬาฯ เพื่อดำเนินการรักษาความปลอดภัย โดยให้นิสิตที่พักในห้องที่หันไปทางอาคารซียู สปอร์ต คอมเพล็กซ์ ซึ่งจะเป็นสถานที่ที่ผู้นำสหรัฐฯจะมาพบปะกับเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ต้องปิดประตูหลังห้อง หน้าต่างและบานเกล็ดทุกบาน เก็บผ้าที่ตากไว้ทั้งหมด และเก็บราวตากผ้าที่สูงเกินขอบระเบียงด้วย รวมทั้งห้ามนิสิตออกมายืนบริเวณระเบียงโดยเด็ดขาด ตั้งแต่เวลา 16.00 น. ไปจนถึงเวลาประมาณ 22.00 น. และขอให้นิสิตปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากไม่ปฎิบัติตาม ทางมหาวิทยาลัยจะไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของนิสิตได้

ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานหอพักนิสิตจุฬาฯ ได้ลบประกาศดังกล่าวบนหน้าเฟซบุ๊กไปแล้ว เนื่องจากมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก โดยผศ.ดร.วรวรรณ องค์ครุฑรักษาผู้อำนวยการสื่อสารองค์กร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า มาตรการดังกล่าวค่อนข้างเข้มงวด เนื่องจากในช่วงนี้ มีบุคคลทั่วไปเข้ามาภายในมหาวิทยาลัยจำนวนมาก จึงกังวลว่าอาจจะกระทบกับความปลอดภัยของนิสิตที่อยู่ภายในหอพัก ประกอบกับทางมหาวิทยาลัยจำเป็นต้องให้ความร่วมมือต่อมาตรการรักษาความปลอดภัยของภาครัฐ จึงประกาศมาตรการดังกล่าวออกมา

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 147

โพสต์

Today Highlight

รูปภาพ

นายกฯนำโอบามาเข้าเฝ้า"ในหลวง"

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยกำหนดการของบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ผ่านทางเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล www.thaigov.go.th ระบุว่า ในวันที่ 18 พ.ย. เวลา 17.00 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร่วมเข้าเฝ้าฯ ในโอกาสที่ บารัค โอบามา ประธานาธิบดีของสหรัฐเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ ห้องประชุมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 14 โรงพยาบาลศิริราช

จากนั้นเวลา 18.00 น. นายกรัฐมนตรีร่วมพิธีต้อนรับประธานาธิบดีบารัค โอบามา อย่างเป็นทางการ ณ สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยนายโอบามาจะได้ลงนามในสมุดเยี่ยม ณ ห้องสีงาช้างด้านนอก ตึกไทยคู่ฟ้า จากนั้นเป็นการหารือทวิภาคีระหว่างประธานาธิบดีแห่งสหรัฐและนายกรัฐมนตรี ก่อนจะการแถลงข่าวร่วมกัน

และในช่วงค่ำนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

ในเวลา 22.00 น. นายกณัฐมนตรีและคณะจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานดอนเมืองไปยังกรุงพนมเปญ กัมพูชา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 21 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ การเดินทางของของประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะมากับ Air Force One ด้วย โดยประธานาธิบดีโอบามาพักค้างคืนในเมืองไทย 1 คืน ก่อนที่เช้าวันที่ 19 พ.ย.จึงเดินทางจากประเทศไทย ไปยังพม่าเพื่อพบปะกับประธานาธิบดีเต็งเส่ง รวมทั้งนางอองซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้าน ก่อนเดินทางเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ที่กรุงพนมเปญ กัมพูชา ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน

ทั้งนี้กำนดการเนือรของประธานาธิบดีโอบามาจะไปเยี่ยมชมวัดโพธิ์ในช่วงบ่าย และในช่วงเย็นจะแวะเยือนจุฬาลงกรณ์มาวิทยาลัย

Air Force Oneนำโอบามาสู่ไทย-พม่า-กัมพูชา

เมื่อเอ่ยชื่อ Air Force One ทุกคนย่อมนึกถึงเครื่องบินประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แต่ที่จริงแล้ว Air Force One เป็นรหัสเรียกขานโดยศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศ ของเครื่องบินทุกลำ ที่มีประธานาธิบดีสหรัฐ โดยสารอยู่บนเครื่องบินลำนั้น

เครื่องบินจะถูกเรียกว่า Air Force One ขณะที่มีประธานาธิบดีอยู่บนเครื่องเท่านั้น Air Force One เป็นสัญลักษณ์แสดงให้เห็นถึงความมีอำนาจและตำแหน่งประธานาธิบดี

ก่อนมาภึง Air Force One สำนักงานเลขานุการประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา เป็นผู้จัดหาเครื่องบิน โบอิง้ 747-200 B รหัสที่หางเครื่อง คือ 28000 และ 29000 เพื่อสงวนไว้ใช้กับประธานาธิบดีเท่านั้น ธีโอดอร์ รูสเวลต์ เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้นั่งเครื่องบินประจำตำแหน่ง

ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การเดินทางของประธานาธิบดีสหรัฐมีความสำคัญและมีค่ามากที่สุด บนเครื่องบินจึงต้องมีระบบที่ให้ประธานาธิบดีทำงานได้เสมือนอยู่ในทำเนียบขาว และคนแรกที่มีห้องทำงานบนเครื่องบิน คือ ประธานาธิบดีแฟรงคลิน เดลาโน รูสเวลท์ โดยเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 314 ของสายการบินแพน แอม

โดยตอนแรก ชื่อเครื่องประจำตำแหน่งของประธานาธิบดี คือ C-87A VIP transport aircraft ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น VIP Transport และ Guess Where II จนกระทั่งหน่วยตำรวจลับ หรือ U.S.S.S.เห็นว่า เครื่องบินรุ่นนี้ไม่มีความปลอดภัย

ชื่อเครื่องบินที่ตั้งขึ้นเพื่อตำแหน่งของประธานาธิบดีชื่อแรกคือ ซี-87เอ วีไอพี ทรานสปอร์ต แอร์คราฟ (C-87A VIP transport aircraft) โดยมีเลขทะเบียนเครื่อง คือ 41-24159 และได้เปลี่ยนชื่อใหม่ในปี ค.ศ.1943 เพื่อใช้กัตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ชื่อ วีไอพี ทรานสปอร์ต (VIP Transport) และชื่อ เกรสส์ แวร์ ทู (Guess Where II) ได้จัดเตรียมไว้สำหรับ ประธานาธิบดีแฟรงกลิน เดลาโน โรสเวลต์ ในการเดินทางออกนอกประเทศ อย่างไรก็ตามหลังจากตรวจสอบเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย ของเครื่องบิน ซี-87 หน่วยงาน United States Secret Service หรือ (U.S.S.S.) ได้ลงความเห็นว่า เครื่องบินรุ่นดังกล่าวไม่มีความปลอดภัยในการรับส่งประธานาธิบดีอีกต่อไป

หน่วยงาน U.S.S.S. ได้ให้เครื่องบิน ดักลาส ซี-54 สกายมาสเตอร์ (Douglas C-54 Skymaster) เข้ามารับผิดชอบรับส่งประธานาธิบดี โดยเครื่องบินลำนี้มีชื่อเล่นว่า Sacred Cow) ภายในเครื่องบินลำนี้ประกอบด้วย ห้องนอน ,เครื่องรับส่งวิทยุสื่อสาร และพัฒนาสำหรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอมเริกาโดยเฉพาะ เพื่อใช้งานในภารกิจต่าง ๆ

หลังจากประธานาธิบดีโรสเวลต์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1945 แฮร์รี เอส. ทรูแมน ก็ได้เข้ารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 33 ของสหรัฐอเมริกา และในปี ค.ศ.1947 เขาได้เปลี่ยนเครื่องจาก ซี-54 เป็น ซี-118 เลิฟท์มาสเตอร์ (C-118 Liftmaster) โดยให้รหัสเรียกขานว่า อินดิเพนเดนซ์ (Independence) โดยตั้งชื่อตามบ้านเกิดของทรูแมน ซึ่งเกิดที่เมือง อินดิเพนเดนซ์ รัฐมิสซูรี (Independence, Missouri) ซึ่งเป็นเครื่องบินลำแรกที่รักษาการแทนเครื่อง แอร์ฟอร์ซวัน และได้ลงลายนกอินทรีใหญ่หัวสีขาวซึ่งเป็นนกประจำชาติของอเมริกา บนหัวของเครื่องบินลำนี้ด้วย

ในขณะที่ ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower) ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เพื่อความปลอดภัยของตำแหน่งประธานาธิบดีจึงได้มีการเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่จาก 1953 เป็น 8610 ซึ่งเป็นของสายการบินอีสเทิร์นแอร์ไลน์ (Eastern Air Lines) จึงมีชื่อเรียกเป็น แอร์ฟอร์ซ 8610 (Air Force 8610) และหลังจากนั้นได้ไม่นาน เครื่องบินที่มีประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาโดยสารอยู่นั้นก็ได้เปลี่ยนชื่อเรียกใหม่เป็น แอร์ฟอร์ซวัน (Air Force One) และชื่อเรียกนี้ก็ใช้กันจนถึงปัจจุบัน

ไอเซนฮาวร์ ได้เพิ่มในส่วนของเครื่องยนต์ใบพัด 4 เครื่องให้เครื่องบินรุ่น Lockheed C-121 Constellations และเปลี่ยนชื่อเครื่องบินใหม่เป็น Columbine II และ Columbine III โดยภรริยาของไอเซนฮาวร์ ชื่อMamie Eisenhower ประธานาธิดี ไอเซนฮาวร์ ได้เพิ่มเทคโนโลยีใหม่ ๆ ลงในเครื่องบิน เช่น โทรศัพท์ เพื่อใช้ติดต่อกันระหว่างเครื่องบินและภาคพื้น , เครื่องรับส่งโทรเลข เป็นต้น และก่อนที่ ไอเซนฮาวร์ จะหมดวาระลงในปี 1958 เขายังได้นำเครื่องบิน โบอิง 707 เครื่องยนต์เจ็ตเข้าประจำการเป็น แอร์ฟอร์ซ ด้วยกันถึง 3 ลำ โดยใช้รุ่น วีซี-138เอส และได้รับการแต่งตั้งชื่อเป็น แซม970, แซม971 และแซม 972 (VC-137s designated SAM 970, 971, and 972)

ไอเซนฮาวร์ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง และเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนแรกที่ได้ใช้เครื่อง วีซี-137(VC-137)โดยเที่ยวบิน Flight to Peace ใช้เวลาในการเดินทางนานถึง 19 วัน ในระหว่างวันที่ 3 ธันวาคม ถึง 22 ธันวาคม 1959 และได้ไปเยี่ยมประเทศในภูมิภาคเอเชียนถึง 11 ประเทศ ใช้ระยะทาง 22,000 ไมล์ หรือ 35,000 กิโลเมตร

จากโบอิง 707เอส มาเป็น Air Force One

เดือนตุลาคม 1962 ในสมัย จอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้จัดซื้อเครื่องบิน โบอิง 707 รุ่น C-137 Stratoliner โดยมีรหัสหางเครื่องชื่อ 260000 แม้ว่าเครื่องบินลำนี้ได้ถูกใช้งานไปยังประเทศแคนนาดา, ฝรั่งเศส, ออสเตรีย, และอังกฤษ เท่านั้น

Air Force One ถูกออกแบบมาพิเศษสำหรับประธานาธิบดี โดยมีชื่อว่า block letters เคนเนดี ได้เดินทางบนอากาศยานที่แสนสะดวกสบายพร้อมกับภริยาของเขา Raymond Loewy ซึ่งถูกติดต่อโดย เคนเนดี ได้ช่วยออกแบบ เครื่องแบบของลูกเรือ และ ตกแต่ภายในเครื่องบิน วีซี-137 ( VC-137 jet)

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 148

โพสต์

08:58 18/11/2012
WEEK AHEAD:
หุ้นไทยสัปดาห์หน้ามีแนวโน้มปรับลง รอดู fiscal cliff-ใบอนุญาต 3G


กรุงเทพฯ--18 พ.ย--รอยเตอร์


ดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET Index)สัปดาห์หน้ายังคงมีแนวโน้มอ่อนตัวลงต่อเนื่อง

จากสัปดาห์นี้ เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกใหม่หนุน ขณะที่ปัจจัยลบเดิมที่มีอยู่ ยังคงเป็น

ประเด็นที่รอความชัดเจน ทั้งในเรื่องของ fiscal cliff ของสหรัฐอเมริกา และ

กรณีหนี้ของกรีซ รวมถึงการวินิจฉัยของศาลปกครองกลาง กรณีใบอนุญาตโทรศัพท์เคลื่อนที่

ระบบ 3G

นักวิเคราะห์ มองด้วยว่า หลังการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/55 ของ

บริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า ตัวเลขผลประกอบการที่ออกมาเป็นไป

ตามคาด และหลายแห่งออกมาน่าผิดหวัง จึงมีโอกาสเป็นไปได้ที่นักวิเคราะห์ อาจปรับ

ลดประมาณการกำไรบจ.

นักวิเคราะห์ มองกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า มีแนวรับที่

1,260 ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,290 จุด

เมื่อวันศุกร์ที่ 16 พ.ย.55 ดัชนีหุ้นไทย ปิดที่ 1,280.13 จุด ลดลง 0.83%

เมื่อเทียบจากระดับปิดเมื่อวันศุกร์ที่ 9 พ.ย.55 ซึ่งอยู่ที่ 1,290.83 จุด ขณะที่นักลงทุน

ต่างชาติ ขายสุทธิตลอดทั้งสัปดาห์ มูลค่ารวม 8,752.48 ล้านบาท

ทั้งนี้ มูลค่าขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในสัปดาห์นี้ ได้รวมถึงรายการ

บิ๊กล็อตหุ้นบมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร CPF หลายรายการที่มีขึ้นเมื่อวันที่

13 พ.ย.55 ด้วย


"สัปดาห์หน้า downside ยังมีอยู่ สิ่งที่ต้องติดตามคือ โอบามา และผู้นำสภาคอง

เกรส จะหาทางสรุปเรื่อง fiscal cliff ได้หรือไม่ ถ้าออกมา positive ก็จะบรรเทา

ความวิตกลงได้"
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต

กล่าว

เขา กล่าวว่า แต่ในความเห็นส่วนตัว เห็นว่าผู้นำของสหรัฐที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ต่างมีจุดยืนที่แตกต่างกันมาก จึงอาจเป็นไปได้ยาก ที่จะได้เห็นความชัดเจนเกี่ยวกับข้อสรุป

เรื่องนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งนั่นหมายถึงแรงกดดันที่จะมีต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ผู้นำพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสของสหรัฐยืนยันหลังจาก

ประชุมนานกว่า 1 ชั่วโมงกับประธานาธิบดีบารัค โอบามาเมื่อวันศุกร์ ว่า พวกเขาจะหาทาง

ออกร่วมกันเกี่ยวกับเรื่องภาษีและการใช้จ่าย ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาหน้า

ผาการคลังหรือ fiscal cliff ได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐกลับเข้าสู่

ภาวะถดถอย

ขณะที่ ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ 0.37% โดยได้แรงหนุนจากความหวัง

ที่ว่า นักการเมืองสหรัฐจะหาทางออกร่วมกันได้ในการแก้ไขวิกฤติ fiscal cliff

นายพิชัย กล่าวว่า ปัจจัยจากภายนอก ในเรื่องของปัญหาหนี้ของกรีซ ก็ยังคงต้อง

รอดูว่ากรีซจะได้รับเงินกู้หรือไม่ รวมถึงสเปนที่ก็ยังมีปัญหาเรื่องหนี้อยู่ ขณะที่

ภาพรวมของเศรษฐกิจยุโรปในขณะนี้ ได้เข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งหนึ่งแล้ว

เขา กล่าวว่า สำหรับปัจจัยภายในประเทศนั้น หลังผ่านพ้นช่วงการประกาศผล

ประกอบการไตรมาส 3/55 ของบจ.แล้ว อาจได้เห็นกรณีที่นักวิเคราะห์ปรับมุมมองต่อ

แนวโน้มธุรกิจ รวมถึงการปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของบจ.ด้วย

"ผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมา in line และ disappoint ดังนั้นเรา

อาจจะได้เห็นการ downgrade เกิดขึ้นก็ได้" นายพิชัย กล่าว

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า

สัปดาห์หน้ายังไม่เห็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น ยังคงมีหลายประเด็นที่ยังไม่มีความชัดเจน

ทั้งในเรื่องของกรีซที่จะได้เงินสนับสนุนหรือไม่ รวมถึงวิกฤต fiscal cliff ของสหรัฐ

นอกจากนี้ ยังไม่มีปัจจัยภายในประเทศที่ช่วยหนุนตลาดหลังนักลงทุน sell on fact

เมื่อบจ.ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/55 แล้ว

"ไม่เห็นปัจจัยที่เป็นบวก วิกฤตหนี้ยุโรปก็ยังต้องรอดูเรื่องของกรีซ สหรัฐเอง

ก็ยังต้องรอดู fiscal cliff" เขา กล่าว

นายเทิดศักดิ์ มองว่า แม้ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลงต่อเนื่อง แต่

ที่ระดับดัชนีในขณะนี้ ยังคงมีค่าพี/อีที่สูงราว 14.6 เท่า ขณะที่ตามปัจจัยพื้นฐาน พี/อีของ

ตลาดหุ้นไทยควรจะอยู่ที่ประมาณ 14 เท่า หรือคิดเป็นระดับดัชนีฯที่ 1,240 จุด ดังนั้น

โอกาสที่จะถูกขายทำกำไรจากนักลงทุนต่างชาติ ก็ยังคงมีอยู่

ทั้งนี้ จากสถิติย้อนหลังในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา พบว่า 70% นักลงทุนต่างชาติได้

ขายหุ้นไทยในช่วงเดือนพ.ย.มาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม เห็นว่ามีปัจจัยบวกที่อาจช่วยหนุน

ตลาดได้บ้างในช่วงปลายปี คือ แรงซื้อจากกองทุน LTF และ RMF ซึ่งพบว่าที่ผ่านมายังเข้า

ซื้อหุ้นไม่มาก

เขามองสัปดาห์หน้า ตลาดหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,260 ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,285

โดยแนะว่า หากดัชนีฯลงไปต่ำกว่าระดับ 1,260 ให้ทยอยซื้อหุ้น โดยเน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

บางตัว กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

สำหรับกรณีที่ศาลปกครองกลาง กำลังพิจารณาคำร้องเรื่องใบอนุญาตระบบ 3G

นั้น เห็นว่า ที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ได้ตอบรับในเชิงลบไปพอสมควรแล้ว จนทำ

ให้ขณะนี้ราคาหุ้นบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิสADVANC และบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส

คอมมูนิเคชั่น DTAC ปรับลงต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสมแล้ว จึงสามารถทยอยซื้อได้

ด้านนายพิชัย มองว่า ขณะนี้ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ปรับตัวลงจากความกังวล

เกี่ยวกับใบอนุญาต 3G มามากแล้ว และเห็นว่ามีโอกาสลงได้จำกัดเพียง 10% เท่านั้น

ขณะที่เป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ดังนั้น จึงเห็นว่าหากคำสั่งศาลออกมาใน

ทางบวก ก็จะทำให้ราคาหุ้นเทคโนโลยีปรับขึ้นแรง แต่ในทางกลับกันหากคำสั่งศาลออกมา

ในเชิงลบ ราคาก็อาจปรับลงได้อีกไม่มาก


**มองปรับขึ้น


นายคมสันต์ ปรมาภูติ รองผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง

กล่าวว่า สัปดาห์หน้าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นได้บ้าง โดยมองแนวต้านที่ 1,290

ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,270

"น่าจะ rebound ได้ เรามองปัจจัยบวกมาจากเรื่องของกรีซ ซึ่งเชื่อว่าใน

ท้ายที่สุดก็คาดว่าน่าจะผ่านไปได้" เขา กล่าว

สำหรับกรณี fiscal cliff ของสหรัฐนั้น มองว่ามีโอกาสเท่าๆกัน ที่จะ

หาทางออกร่วมกันได้ หรือไม่ได้ ในการแก้วิกฤตดังกล่าว แต่เห็นว่ากรณี fiscal cliff

นั้น ตลาดหุ้นได้ตอบรับกับความกังวลเรื่องดังกล่าวไประดับหนึ่งแล้ว


ปัจจัยที่ต้องจับตา

วันที่ 19 พ.ย.-ERW บจ.พบผู้ลงทุน เวลา 9.00 น.

-ADVANC, THCOM, CSL, INTUCH บจ.พบผู้ลงทุน เริ่มเวลา 10.45 น.

-MINT แถลงผลประกอบการไตรมาส 3/55 และแผนงาน เวลา 15.15 น.

-บลจ.กรุงไทยแถลงข่าวการเสนอขายกองทุนเทสโก้ เวลา 13.00 น.

-สภาพัฒน์ แถลงตัวเวลจีดีพี ไตรมาส 3/55 เวลา 9.30 น.

วันที่ 20 พ.ย.-PTTEP แถลงข่าวเรื่องการขายหุ้นเพิ่มทุน เวลา 13.00 น.

-RML แถลงผลประกอบการไตรมาส 3/55 เวลา 10.00 น.

-TRUE สัมมนา ผู้นำองค์กรยุคใหม่ เวลา 10.00 น.

-AGE, CENTEL, ASP, BAFS และ BCP บจ.พบผู้ลงทุน เริ่มเวลา 9.00 น.

-UAC แถลงทิศทางธุรกิจ เวลา 10.30 น.

วันที่ 21 พ.ย.-AMATA, CPN/CPNRF, AI และ HEMRAJ บจ.พบผู้ลงทุน เริ่มเวลา 9.00 น.

-EGCO แถลงผลประกอบการไตรมาส 3/55 เวลา 13.30 น.

วันที่ 22 พ.ย.-พิธีมอบรางวัล SET Award เวลา 14.00 น.

-งาน Set In The City เวลา 9.30-11.30 น.

-DIMET, MBKET, BANPU, TTCL บจ.พบผู้ลงทุน เริ่มเวลา 13.15 น.

-BCP งานสัมมนา EIA ในอาเซียน เวลา 9.00 น.

วันที่ 23 พ.ย.-TRC, SAT และ SYMC บจ.พบผู้ลงทุน เริ่มเวลา 10.45 น.


รูปภาพ
(โดย กชกร บุญลาย รายงานและเรียบเรียง--กบ--)
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 149

โพสต์





รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 150

โพสต์

เข็น 'ลาว เทเลคอม' กระจายหุ้นกลางปี56
"ศุภจี" ระบุกลางปีหน้าได้ความชัดเจน ดัน "ลาว เทเลคอม" ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเบอร์ 1
เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศลาว

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม กล่าวว่า บริษัทกำลังศึกษาแนวทางการนำบริษัท ลาว เทเลคอม (แอลทีซี) ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในประเทศลาว ซึ่งไทยคมถือหุ้นในสัดส่วน 49% และรัฐบาลลาวถือหุ้นในสัดส่วน 51% เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคาดว่าภายในครึ่งปีแรกของปี 2556 จะได้เห็นความชัดเจน เบื้องต้น การศึกษามีความเป็นไปที่จะนำแอลทีซีจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และตลาดหลักทรัพย์ลาว (ดูอัล ลิส) แต่อย่างไรก็ดี คงต้องมีการหารือกับรัฐบาลลาวก่อนซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

"ส่วนตัวเชื่อว่าทางรัฐบาลคงอยากให้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลาวในช่วงแรก เพราะที่ลาวเพราะมีตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือน พ.ย.ปี2554 ซึ่งปัจจุบันมูลค่าตลาด และทรัพย์สินของแอลทีซีน่าจะใหญ่ลำดับที่ 3 รองจาก เบียร์ ลาว และ บริษัทที่ทำธุรกิจด้านพลังงาน"

สำหรับแผนการทำตลาดแอลทีซีนั้น เธอ ระบุว่า หลังจากที่ลาวได้เปิดให้บริการโทรศัพท์มือถือระบบ 4จี (แอลทีอี) ซึ่งแอลทีซีให้บริการอยู่ราว 20 สถานีฐาน และก็กำลังจะขยายเพิ่มขึ้น ส่วนการให้บริการระบบ 2จี และ 3จี ก็จะลงทุนขยายโครงข่ายในไตรมาส 4 เพิ่มอีก 108 แห่ง ซึ่งจะทำให้ในสื้นปีนี้มีสถานีฐานให้บริการกว่าพันแห่ง โดยปัจจุบันมีลูกค้าใช้บริการอยู่ 1.8 ล้านราย มีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ต แชร์) กว่า 45% จากจำนวนลูกค้าผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือในตลาดรวม 2.4 ล้านราย ซึ่งบริษัทจะพยายามรักษามาร์เก็ต แชร์ให้ได้

"รายได้จากธุรกิจแอลทีซีและธุริกจโทรศัพท์มือถือในต่างประเทศมีกว่า 266 ล้านบาทในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ซึ่งการทำตลาดในปีหน้า ยอดลูกค้าที่มีอยู่อาจจะไม่ขยับมากนัก แต่เราจะเน้นการเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายต่อเดือนที่ปัจจุบัน 5 เหรียญสหรัฐมากกว่า และยอมรับว่าลาวมีประชากรเพียง 5 ล้านคน ดังนั้นการขยายเพิ่มลูกค้าใหม่อาจจะลำบาก"

ในส่วนการขายธุรกิจโทรศัพท์มือถือในประเทศกัมพูชา "เอ็มโฟน" ที่ไทยคมถือหุ้นในเชนนิงตัน และบริษัทดังกล่าวถือหุ้นในเอ็มโฟน 100% คิดเป็น 24 ล้านหุ้น นั้น ได้รับการอนุมัติจากบอร์ดไทยคมเมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งขายให้แก่กลุ่มอินท์ แนแนจเม้นท์ เซอร์วิสส์ (ไอเอ็นที) มูลค่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะทำให้ไทยคมไม่ต้องรับรู้ภาระขายทุนในเอ็มโฟนกว่า 252 ล้านบาทในปีนี้ โดยสาเหตุที่ต้องขายเอ็มโฟน ยอมรับว่าตลอดช่วง 3ปีที่ผ่านมา เอ็มโฟนประสบปัญหาขาดทุนมาตลาด จากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่มีอยู่กว่า 8-9 ราย และต่างก็เล่นสงครามราคาอย่างรุนแรง

เธอ กล่าวถึง ภาพรวมการทำตลาดดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) ว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างเจรจาขยายช่องสัญญาณแบรนด์วิธ และทรานสปอนเดอร์ให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ในไทย และอินเดีย ซึ่งปัจจุบันไอพีสตาร์สามารถขยายอุปกรณ์บอกรับสัญญาณปลายทาง (ยูที) ได้แล้ว 25-26% ซึ่งเป้าหมายในสิ้นปีนี้ จะพยายามขายยูทีให้ได้ 30% โดยลูกค้าในไทยที่สำคัญคือ บมจ.ทีโอที โดยหลังจากที่ทีโอทีมีคณะกรรมการ (บอร์ด)ชุดใหม่แล้ว บริษัทก็จะเร่งเข้าไปเสนอแผนงานการขยายแบรนด์วิธในไอพีสตาร์จำนวน (บิ๊ก ล็อต) ให้แก่บอร์ดใหม่ด้วย

ส่วนดาวเทียมไทยคม 6 ในตำแหน่งวงโคจรที่ 78.5 องศาตะวันออกนั้น คาดว่าจะยิงขึ้นสู่วงโคจรได้ในดือนมิ.ย.ปีหน้า ซึ่งขณะนี้สามารถขายช่องสัญญาณของดาวเทียมไทยคม 6 ล่วงหน้าได้เกินเป้าหมายอยู่ที่ 36% คิดเป็น 12 ทรานสปอนเดอร์ จากจำนวนความจุ (คาปาซิตี้) ทั้งหมด 33 ทรานสปอนเดอร์ เกินจุดคุ้มทุนที่ 30% แล้ว ซึ่งดาวเทียมไทยคม 6 จะเข้าไปเปิดตลาดเพิ่มเติมในทวีปแอฟริกา ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง โดยใช้ชื่อทางการตลาดว่า แอฟริคอม-1 โดยในสิ้นปีนี้ตั้งเป้าหมายเพิ่มการขยายช่องสัญญาณเป็น 39%

รูปภาพ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2555