มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4262
เอาบทความของท่านนายก มาฝากครับ ผมว่าเหมาะสมกับ สถานการณ์ช่วงนี้มากพอสมควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นกับพอร์ตโฟลิโอของแต่ละท่าน รวมทั้งความสามารถในการรับความเสี่ยงและแรงกดดันจาก นายตลาดของแต่ละท่านด้วยครับ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=54203
Fasten Seat Belt !/ธันวา เลาหศิริวงศ์
การกลับมาเปิดสนามบินดอนเมืองเต็มรูปแบบสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำ เพื่อลดความอัดแอการจราจรทางอากาศที่สนามบินสุวรรณภูมิส่งผลดีต่อการเดินทางทั้งภายในและระหว่างประเทศ ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องปรับตัวขึ้นตอบสนองต่อผลดีดังกล่าว เช่นเดียวกับดัชนีของตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นเกือบ 30% ตั้งแต่ต้นปี ทำให้นึกถึงสัญญาณ “Fasten Seat Belt” หรือ “ให้รัดเข็มขัดนิรภัย” ที่กัปตันเตือนผู้โดยสารยามเครื่องบินกำลังจะบินผ่านสภาพอากาศที่แปรปรวน
เมื่อครั้งเข้าร่วมเสวนา “กลยุทธ์การลงทุนปี 2555” เดือนธันวาคมปีที่แล้ว ได้วิเคราะห์ถึงปัจจัยบวกที่สำคัญต่อการลงทุนซึ่งได้แก่ หนึ่ง การลดภาษีนิติบุคคลเป็น 23% ส่งผลดีต่อกำไรเพิ่มขึ้นเพราะภาระภาษีที่ลดลง สอง การเพิ่มขึ้นของค่าแรงและเงินเดือนปริญญาตรี เป็นการเพิ่มกำลังซื้อและการบริโภคโดยรวมแม้ค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการจะเพิ่มขึ้น สาม มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ โครงการสร้างสาธารณูปโภค นโยบายรถคันแรกและบ้านแรก สี่ การประมูลและการลงทุนเครือข่ายคลื่น 3G ที่จะเกิดขึ้น ห้า การเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างประเทศมายังประเทศที่กำลังพัฒนา และหก เงินลงทุนเพิ่มจากนักลงทุนใหม่เพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่า ในขณะที่ปัจจัยลบที่สำคัญคือ ปัญหาเศรษฐกิจของยุโรปและอเมริกา และความไม่แน่นอนด้านการเมืองในประเทศ โดยสรุปก็คือ มีปัจจัยที่จะส่งผลบวกและผลดีต่อการลงทุนในปี 2555 มากกว่า
เมื่อตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1,300 จุด พุ่งชนเป้าหมายที่บรรดาโบรกเกอร์และเหล่านักวิเคราะห์เคยให้ไว้ และต้องปรับเป็น 1,450-1,500 จุด ในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า สัญญาณ Fasten Seat Belt จึงดังขึ้นพร้อมข้อสังเกตบางประการดังนี้
หนึ่ง รายชื่อหุ้นที่ติดอันดับการซื้อขายสูงสุด จากหุ้นมูลค่าตลาด (Market Cap.) สูงหลักแสนล้านบาท เช่นกลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร กลุ่มพลังงาน เป็นหุ้นขนาดกลางมูลค่าตลาดหลักพันหรือหมื่นล้านบาทแทน นั่นคือ มีการซื้อขายในสัดส่วนที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณหุ้นหมุนเวียน (free float) ของหุ้นนั้น นี่คือสัญญาณบ่งบอกถึงความไม่ปกติอย่างหนึ่ง
สอง ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มสูงขึ้น จากระดับสามหมื่นล้านบาทเป็นระดับสี่หมื่นล้านบาทต่อวัน แม้ด้วยสาเหตุหลายประการ แต่เริ่มมีคนรอบข้างพูดคุยเรื่องลงทุนหุ้นเยอะขึ้นและพร้อมรับความเสี่ยงมากขึ้นแม้ไม่เคยศึกษามามากนัก
สาม หุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางมีการปรับตัวขึ้นสูงมาก โดยหุ้นบางตัวยังซื้อขายในระดับความถูกแพงเดียวกันกับหุ้นขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแม้มีศักยภาพโดยรวมด้อยกว่า
สี่ หุ้น ราคาหุ้นไอพีโอที่ซื้อขายวันแรก โดยปกติบริษัทต้องทำผลประกอบการให้โดดเด่นเพื่อตั้งราคาสูงสุดเมื่อเสนอขายให้ประชาชนทั่วไป จากปริมาณการซื้อขายและราคาที่สูงกว่าราคาเสนอขายอย่างมากในช่วงนี้ แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนพร้อมที่จะเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น มากกว่าพิจารณาซื้อขายจากปัจจัยพื้นฐาน หรือผลประกอบในอนาคต
ห้า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นอย่างมากและสูงสุดในโลก หากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไม่โดดเด่นต่อเนื่อง โอกาสที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่องจนถึงปีหน้านั้นคงเป็นไปได้น้อย นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถเลือกลงทุนในประเทศอื่นที่อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นไทยได้เช่นกัน
คำถามคือ ควรมีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรในภาวะปัจจุบัน คำตอบสำหรับผู้ที่มีเงินสดในมืออยู่มากคือ หนึ่ง ถือเงินสดต่อเพื่อรอการปรับตัวลงซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร และสอง เลือกลงทุนในบริษัทที่มั่นคง มีผลประกอบการดีและยังจ่ายเงินปันผลสูงกว่าอัตราเงินเฟ้ออย่างสม่ำเสมอ แม้มีความเสี่ยงบ้างแต่ก็ไม่มากนัก เพราะหากตลาดปรับตัวลดลง อัตราเงินปันผลตอบแทนจะช่วยพยุงราคาหุ้นไม่ให้ตกมากนัก ขณะที่ยังมีโอกาสได้กำไรหากตลาดยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง สำหรับผู้ที่มีเงินสดน้อยกว่า10% ของพอร์ต หากหุ้นที่ถืออยู่เป็นกิจการที่ยอดเยี่ยมและยังมีผลประกอบการดีต่อเนื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องขายหุ้นและใช้กลยุทธ์ Let profit run พร้อมกับ Fasten Seat Belt เพราะต้องเผชิญกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น และหากตลาดปรับตัวลงอย่างมาก ก็พิจารณานำเงินที่เหลือเข้าลงทุนในกิจการยอดเยี่ยมในราคาที่เหมาะสมต่อไป
“เราไม่สามารถทำนายราคาหุ้นว่าจะขึ้นหรือลงในระยะสั้นได้ แต่เราสามารถคาดการณ์ผลประกอบการของกิจการในระยะยาวได้” เป็นคำกล่าวที่ Value Investor ควรคำนึงถึงและปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ในยามที่ตลาดปรับตัวขึ้นมากและต้อง Fasten Seat Belt เช่นในปัจจุบันจะเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่า การเลือกเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นเกรดเอ จะรู้สึกอุ่นใจ กินอิ่ม นอนหลับมากกว่าการถือหุ้นเกรดบีหรือซี ที่ศักยภาพและคุณภาพด้อยกว่า ท่านผู้อ่านว่าจริงไหมครับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4263
ผมอ่านแล้วชื่นชมมากครับ
ชีวิตคนเรามันต้องไม่มีมิติเดียว ชีวิตก็จะไม่จืดชืด
ท่ามกลางความวุ่นวายสับสนของกระแสธาราของชีวิต เราควรมีหลักยึดที่ดีในชีวิตที่ทำให้ชีวิตเรามีคุณค่าเสมอ
เครดิต ของคุณคนขายของ ครับ
ยังไม่เคยเจอตัวจริง แต่เท่าที่ได้เคยฟังมา มีประสบการณ์ชีวิตที่น่าศึกษาด้วยมากมายครับ
ชีวิตคนเรามันต้องไม่มีมิติเดียว ชีวิตก็จะไม่จืดชืด
ท่ามกลางความวุ่นวายสับสนของกระแสธาราของชีวิต เราควรมีหลักยึดที่ดีในชีวิตที่ทำให้ชีวิตเรามีคุณค่าเสมอ
เครดิต ของคุณคนขายของ ครับ
ยังไม่เคยเจอตัวจริง แต่เท่าที่ได้เคยฟังมา มีประสบการณ์ชีวิตที่น่าศึกษาด้วยมากมายครับ
ถ้าเราลองสังเกตุชีวิตตัวเราเองดู ผมว่าแต่ละช่วงชีวิตของเรานั้น มีความต้องการในชีวิตแตกต่างกันไป นานมาแล้ว พี่แอ๊ด คาราบาวได้เคยแต่งเพลง “ตุ๊กตา” ที่มีเนื้อร้องว่า “หวนคิดคำนึงถึงตอนที่ฉันยังเป็นเด็กๆ ตุ๊กตาที่ตัวเล็กๆ ก็ดูจะมีความหมาย”
ใช่ครับ ผมว่าตอนเราเด็กๆ ของเล่น มีความสำคัญกับเรามากเหลือเกิน ถ้ามีคนมาบอกว่าให้ เลือก ระหว่าง ADVANC 1,000 หุ้น กับ หุ่นยนต์ Transformer แบบ แปลงร่างได้ เด็กห้าขวบอย่างผมก็คงเลือกหุ่นยนต์เป็นแน่แท้
ต่อมาเมื่อโตขึ้นไปอีก เราก็เริ่มทิ้งหุ่นยนต์ และหันมาติดเพื่อน ตามมาด้วยทิ้งเพื่อน ติดหญิง หลายคนคงจำประสพการณ์ในช่วงนั้นได้ดี ยิ่งตอนความรักอยู่ในช่วงหอมหวาน มีกันสองคนก็พอแล้ว ไม่ต้องการอื่นใด อีกเช่นเคย ถ้าตอนนั้นมีคนให้เราเลือกระหว่าง หุ้น PTT 10,000 หุ้น กับ การได้สมหวังในความรักกับแฟนของเรา เราคงเลือกเรื่องรัก มากกว่า เรื่องไหนๆ
พออายุย่างเข้าสักสามสิบขึ้นมา หน้าที่การงาน เงินทอง การสั่งสมความมั่งคั่ง กลายมาเป็นเรื่องใหญ่มากในชีวิตเรา หลายคนเริ่มค้นหาสิ่งที่ชอบ งานที่เป็นตัวตนจริงๆ และมีอีกมากมายที่แสวงหาสิ่งที่เรียกว่า “อิสระทางการเงิน” ผมว่าในช่วง สามสิบถึงห้าสิบปีนี่แหละที่ หลายคนคงเลือก BANPU 100,000 หุ้น มากกว่า หุ่นยนต์ มากกว่า เวลากับคนที่เรารัก มากกว่า สุขภาพดี เป็นแน่ หลายคนทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ ทำงานกันเป็นบ้าเป็นหลัง นอนดึก ไม่มีเวลาออกกำลังกาย บอกเมียและลูกว่ารอก่อนนะ ถ้าพอร์ทพ่อถึงเท่านั้น เท่านี้ เราจะอย่างนั้นอย่างนี้
พออายุเริ่มเข้าสู่เลขห้า หรือเลขหกนำหน้า สำหรับบางคน อิสระทางการเงิน อาจไม่ใช่จุดมุ่งหมาย “หลัก” ของเขาอีกต่อไป สุขภาพกาย สุขภาพใจ เริ่มเข้ามาเป็นเรื่องหลักในชีวิตของเรา หลายคนเริ่มรู้สึกได้ว่าเงินทองที่ทุ่มเทหามาทั้งชีวิตนั้น เป็นแค่ เครื่องจรรโรงใจ แต่ไม่ใช่ “แก่นสาร” บางคนเริ่มรู้สึกว่า สินทรัพย์ที่มีอยู่นั้น ทำให้เราสุขใจ แค่ตอนที่เรารู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของ ตอนนอน ตอนเข้าห้องน้ำ ตอนทานข้าว ก็ไม่ได้รู้สึกว่า เรามี เรามั่งคั่งแต่อย่างใด
มีหลายคนเริ่มปฎิบัติธรรมจริงจัง ศึกษา ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วพบความสุขภายใน ที่ละเอียด ละเมียดละไม กว่า สุขที่ขึ้นกับวัตถุภายนอก หลายคนเริ่มมาออกกำลังกาย เล่นโยคะ ว่ายน้ำ กินชีวจิต กินมังสะ ตอนนี้ ถ้าให้เลือก ระหว่าง SCB 500,000 หุ้น กับ ให้โรคที่เป็นอยู่หายไปได้ แล้วกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ไม่ต้องหาหมอทุกอาทิตย์ ไม่ต้องกินยาเป็นกำกำ หลายคนคงเลือก ให้โรคร้ายอัตรธานหายไป
พอมาถึงตอนปลายของชีวิต ตอนที่เราใกล้จะจากโลกนี้ไปนอนอยู่บนเตียง เราก็เริ่มรู้สึกว่า จิตสุดท้าย ก่อน ใจ จะทิ้ง กายไปนั้นสำคัญที่สุด ถึงเพื่อนโทรมาบอกว่าจะโอนหุ้น APPLE ที่มีอยู่ 1,000,000 หุ้นให้กับเรา เราก็คงไม่รู้สึกยินดี ยินร้ายมากอะไร การจากไปอย่างสงบเป็นสิ่งที่ปรารถนา มากกว่า
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4264
QE3:มีทั้งผลดีและผลเสีย...แต่ Fedจำเป็นต้องทำ
วันอังคารที่ 09 ตุลาคม 2012 เวลา 10:48 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ คอลัมนิสต์ผู้ทรงคุณวุฒิ - บันลือศักดิ์ ปุสสะรังสี
เมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณเป็นครั้งที่ 3 (QE3) จากที่ทำมาแล้ว 2 ครั้งในปลายปี 2551 และ 2553 ท่ามกลางเสียงสนับสนุนและคัดค้านจากหลายๆกลุ่ม ซึ่งผมจะเขียนถึงข้อดีและข้อเสีย ตลอดจนเหตุผลที่ Fed ตัดสินใจออกมาตรการนี้
วิกฤติการเงินในปี 2551 ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญปัญหาทั้งเศรษฐกิจหดตัวและการว่างงานสูง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ Fed ได้ใช้มาตรการทางการเงินแนวใหม่ โดยการเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวของภาครัฐมูลค่า 1.75 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเริ่มซื้อในเดือนพฤศจิกายน 2551 ทว่าหลังจากนั้นเศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ในเดือนพฤศจิกายน 2553 Fed ได้ใช้มาตรการ QE อีกครั้งหนึ่ง และทำต่อเนื่องไปถึงเดือนมิถุนายน 2554 โดยใช้เงินประมาณ 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา Fed ประกาศว่าจะเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันจากสัญญาจำนอง (Mortgage-Backed Securities: MBS เช่นตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อเคหะเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน) วงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือนจนกว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยเฉพาะตลาดแรงงานจะดีขึ้น
ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า QE จะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้อย่างไร เป้าหมายของ Fed ในการซื้อพันธบัตรรัฐบาลก็เพื่อให้ดอกเบี้ยระยะยาวของพันธบัตรรัฐบาลลดลง ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ของภาคเอกชนลดลงตามไปด้วย (เนื่องจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ของธุรกิจจะค่อนข้างคงที่จากความเสี่ยงที่แตกต่างกัน) และเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงต่ำ ก็จะจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการศึกษาของ Fed สาขา San Francisco พบว่า QE1 มีผลให้อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลง 89 Basis Points และอัตราดอกเบี้ยของ MBS ลดลงตามแต่น้อยกว่า อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาของ Jonathan Wright แห่งมหาวิทยาลัย John Hopkins พบว่าการลดลงของอัตราดอกเบี้ยอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้นผลของ QE จึงมีอยู่เพียงระยะสั้นๆในช่วงที่มีการซื้อพันธบัตรรัฐบาลเท่านั้น นอกจากนี้จากการศึกษาของ Annette Vissing-Jorgensen แห่งมหาวิทยาลัย Northwestern พบว่าการเข้าซื้อ MBS โดยตรงจะมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยของ MBS และทำให้มีผลต่อเศรษฐกิจได้มากกว่าการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ส่งผลทางอ้อมต่อเศรษฐกิจ
ผมคิดว่า Fed โดยเฉพาะ Dr. Bernanke เรียนรู้ข้อบกพร่องของ QE1 และ QE2 จึงวางแนวทาง QE3 ไว้เป็นการเข้าซื้อ MBS โดยตรงแทนที่จะเป็นพันธบัตรรัฐบาล และไม่มีกำหนดเวลาจนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัว และอัตราการว่างงานลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้คาดว่าผลของ QE ครั้งนี้จะมีมากกว่า 2 ครั้งก่อน และจะรักษาอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำได้อย่างต่อเนื่องจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้น
อย่างไรก็ตาม มีผู้วิจารณ์ QE ครั้งนี้ค่อนข้างมาก คำวิจารณ์หลักก็คือ เกรงว่ามาตรการนี้อาจจะนำไปสู่เงินเฟ้อและเศรษฐกิจฟองสบู่ ซึ่งผมมีความเห็นว่าในสถานการณ์ปัจจุบันการเกิดปัญหาเงินเฟ้อและฟองสบู่เป็นไปได้ยาก เพราะธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินนำเงินเกือบทั้งหมดกลับมาฝากไว้ที่ Fed นอกจากนี้อัตราการว่างงานของสหรัฐฯยังสูงกว่าร้อยละ 8 ทำให้การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างที่เป็นต้นทุนหลักๆของธุรกิจอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนั้นการแตกของฟองสบู่ที่อยู่อาศัยในปี 2549 ยังส่งผลถึงปัจจุบัน การเกิดฟองสบู่อีกครั้งจึงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากการเก็งกำไรมีน้อย ตลอดจนมีการควบคุมที่เข้มงวดของรัฐบาล อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดฟองสบู่ในตลาดโภคภัณฑ์ และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งต้องมีการติดตามและควบคุมอย่างใกล้ชิด
ข้อวิจารณ์นอกเหนือจากเงินเฟ้อและเศรษฐกิจฟองสบู่มีไม่มาก ที่น่าสนใจคือ บทความของ Gramm และ Taylor ในวารสาร The Wall Street Journal วันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา (Mr. Gramm มีตำแหน่งเป็น Chairman ของ Banking Committee ของรัฐสภาสหรัฐฯ และ Prof. Taylor เป็นศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Stanford) ให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า เมื่อเศรษฐกิจฟื้นและ Fed ต้องการเลิก QE3 Fed ก็จะต้องขาย MBS ที่ซื้อมาไว้ และถ้าในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจฟื้นและเกิดเงินเฟ้อ จนทำให้ Fed ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed fund rate) Fed จะมีข้อจำกัดในการแทรกแซงตลาดเงินด้วยการขายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินเพื่อให้ Fed fund rate อยู่ในอัตราที่กำหนด เพราะในขณะเดียวกัน Fed ต้องขาย MBS ออกไป ซึ่งเป็นการเพิ่มสภาพคล่องสวนทางกับมาตรการแรก ในกรณีนี้มีทางเดียวที่ Fed จะแก้ไขปัญหาก็คือ เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สถาบันการเงินนำมาฝากไว้ที่ Fed (มีมูลค่าสูงเกือบ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงมาก และจะเพิ่มขึ้นตาม Fed fund rate ที่ปรับเพิ่มขึ้น ทั้ง 2 คนให้ความเห็นว่า ผลดีของ QE3 จะน้อยกว่า QE1 และ QE2 เพราะจะมีผลที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวลดลงน้อยกว่า 2 ครั้งแรก เนื่องจากดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำมากแล้ว แต่ต้นทุนของการใช้มาตรการสูง จึงไม่คุ้มค่าในการใช้ QE3
จากที่ผมเขียนมาทั้งหมด ผู้อ่านคงเห็นภาพทั้งข้อดีและข้อเสียของ QE3 ผลดีก็มี แต่ก็มีต้นทุนและผลข้างเคียงมากพอสมควร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนและน้ำหนักที่ให้กับผลดีและผลเสียว่ามากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ Fed ในปัจจุบัน ภาครัฐไม่มีเครื่องมือทั้งด้านนโยบายการเงินและการคลังอื่นแล้วในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านนโยบายการคลัง สหรัฐฯมีหนี้สาธารณะสูงมากจนทำให้ต้องปรับลดการขาดดุลงบประมาณปี 2556 ขณะที่นโยบายการเงินก็มีข้อจำกัดเพราะดอกเบี้ยต่ำเกือบเป็นศูนย์ ไม่สามารถลดดอกเบี้ยนโยบายลงได้อีก ดังนั้นแม้ว่า QE3 จะมีผลจำกัดและมีผลข้างเคียง แต่จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่น่าไว้วางใจ อุปสงค์ในประเทศยังอ่อนแอ อัตราการว่างงานยังสูง และวิกฤติหนี้สาธารณะยุโรปที่ยังรุนแรง Fed จึงจำเป็นต้องใช้มาตรการ QE3 ซึ่งเป็นทางเดียวที่เหลืออยู่
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,782 วันที่ 11-13 ตุลาคม พ.ศ. 2555
เอามาฝากเพื่อนๆน้องๆครับ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4265
คุณ Nevercryboy ถามเรื่อง Gallstone ครับ
รบกวนเพื่อนท่านไหนช่วยตอบที
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=14&t=54226
รบกวนเพื่อนท่านไหนช่วยตอบที
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=14&t=54226
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4266
การเงิน - การลงทุน
วันที่ 19 ตุลาคม 2555 00:09
แห่ซื้อ'ไทยเบฟ-สิงเทล-แอร์เอเชีย' รับอาเซียนลิงก์
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
พวกเรามีใครสนใจบ้างครับ ส่วนตัวผมสนใจลงทุนนะ เป็นการเปิดทางเลือกอีกทาง แต่คงเป็นเปอร์เซนต์พอร์ตที่ไม่มาก ส่วนตัวผมว่าหุ้นไหทยที่ undervalue ยังพอหาได้อยู่
วันที่ 19 ตุลาคม 2555 00:09
แห่ซื้อ'ไทยเบฟ-สิงเทล-แอร์เอเชีย' รับอาเซียนลิงก์
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เปิดอาเซียนลิงก์ 4 วัน นักลงทุนไทยซื้อ "ไทยเบฟ-สิงเทล-แอร์เอเชีย"สูงสุด หวังได้ประโยชน์จากกระแสอาเซียน ตลาดฯเล็งโรดโชว์ยุโรป-อเมริกา
น.ส.ศิริพร ผลโพธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายการลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศและซื้อขายตราสารหนี้ บล.ธนชาต เปิดเผยว่า ผลจากการเปิดเชื่อมโยงการซื้อขายหุ้นอาเซียน หรืออาเซียนลิงก์ 3 ตลาด คือ ตลาดหุ้นไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.หรือในช่วง 4 วันที่ผ่านมา พบว่าได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก ทั้งที่มีการลงทุนต่างประเทศอยู่แล้ว และยังไม่เคยมีการลงทุน โดยหุ้นที่ลูกค้าของบริษัทไปลงทุนมากที่สุด คือไทยเบฟเวอเรจ (THAIBEV) สิงเทล (SINGTEL) ในสิงคโปร์ และแอร์เอเชีย (AIRASIA) ในมาเลเซีย
"นักลงทุนสนใจอาเซียนลิงก์มาก เพราะมองว่าหลังเปิดการเชื่อมโยงตลาดหุ้นในอาเซียนจะปรับขึ้น ซึ่งไทยเบฟในสิงคโปร์ได้รับความสนใจมากสุด เพราะจากข่าวการซื้อกิจการเอฟแอนด์เอ็น ประกอบกับหุ้นในกลุ่มนี้ในไทยได้ปรับขึ้นมาต่อเนื่อง แต่ไทยเบฟในสิงคโปร์ยังไม่ค่อยขยับ"
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกลูกค้าของบริษัทยังใช้ช่องทางการซื้อขายหุ้นต่างประเทศทางเดิมมากกว่าการใช้ช่องทางผ่านอาเซียนลิงก์ เป็นปกติเพราะเพิ่งจะเปิด แต่เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีนักลงทุนเทรดผ่านอาเซียนลิงก์มากขึ้น ส่วนการลงทุนจากต่างชาติที่เข้ามาไทยนั้น ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การเปิดอาเซียนลิงก์ได้รับความสนใจจากนักลงทุนพอสมควร แต่ยังไม่อยากเปิดเผยมูลค่าการซื้อขาย(วอลุ่ม) เพราะเป็นช่วงแรกเริ่ม โดยอาเซียนลิงก์ทำให้ตลาดหุ้นในอาเซียนได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น โดยกลุ่มที่โดดเด่นและมีมูลค่าการซื้อขาย(วอลุ่ม)สูงที่สุด คือ แบงก์ สินค้าอุตสหกรรม และเทเลคอม ในส่วนที่เป็นบริษัทมือถือ
สำหรับตลาดหุ้นไทย กลุ่มที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในอาเซียนคือ กลุ่มเคมีภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง โรงพยาบาล น้ำมันและก๊าซ และกลุ่มค้าปลีก ขณะที่มาเลเซียจะเด่นเรื่องแบงก์ ชิปปิ้ง ทำให้มาเสริมซึ่งกันและกันมากกว่าจะมาแข่งขันกัน
แต่หากมองในแง่ศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนไทย(บจ.) เทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน พบว่าสามารถแข่งขันได้ โดยมีถึง 7 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราส่วนกำไรต่อทุน (ROE) สูงกว่าค่าเฉลี่ย และมีถึง 5 กลุ่มที่มี ROE สูงที่สุดในอาเซียน คือ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม มีROE ที่ระดับ 18.9% กลุ่มประกันอยู่ที่ 18.3% กลุ่มสื่ออยู่ที่ 52.6% กลุ่มที่อยู่อาศัย 11.8% และกลุ่มค้าปลีก มีROE ที่ระดับ 29.4%
"แต่ละตลาดมีจุดเด่นไม่เหมือนกัน ไทยจะมีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก ขณะที่มาเลยเซีย มีนักลงทุนสถาบันเยอะ ส่วนสิงคโปร์มีหลายประเภท แต่จะเด่นพวกไฮเน็ตเวิร์ค ซึ่งการเปิดอาเซียนลิงก์นอกจากจะทำให้นักลงทุนรายย่อยไทยไปลงทุนหุ้นต่างประเทศได้สะดวก และมีทางเลื่อกการลงทุนมากขึ้น เราจะโรดโชว์เพื่อดึงนักลงทุนสถาบันจากมาเลเซียมาไทยด้วย ขณะที่รายย่อยของมาเลเซียก็สนใจที่จะลงทุนไทย โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เช่น ปตท. เพราะกลุ่มพลังงานในมาเลเซียมีน้อย"
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ มีแนวคิดที่จะชวนบริษัทแต่ละกลุ่มที่อยู่ในอาเซียนลิงก์ไปโรดโชว์ร่วมกันที่สหรัฐและยุโรป แทนที่แต่ละประเทศจะแยกกันไป เช่นกลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน เป็นต้น เพราะเมื่อรวมกัน
จะทำให้มีความน่าสนใจมากขึ้น
พวกเรามีใครสนใจบ้างครับ ส่วนตัวผมสนใจลงทุนนะ เป็นการเปิดทางเลือกอีกทาง แต่คงเป็นเปอร์เซนต์พอร์ตที่ไม่มาก ส่วนตัวผมว่าหุ้นไหทยที่ undervalue ยังพอหาได้อยู่
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4267
บทความใหม่ของนายกธันวา น่าสนใจมากครับ
http://portal.settrade.com/blog/thanwa/2012/10/18/1189“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด” ตรงกับคำกล่าวภาษาอังกฤษว่า “Whatever will be, will be” ซึ่งถูกนำมาแต่งเป็นเพลงที่คุ้นหูโดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ เด็กอยากรู้อนาคตของตนว่าจะเป็นอย่างไร จากวัยเด็กเมื่อโตขึ้นจะสวยไหม หล่อไหม รวยไหม จะมีความสุขกับคนรักด้วยกันตลอดไปไหม ซึ่งคำตอบก็คือ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้
ในทางการลงทุน แม้ไม่สามารถหยั่งรู้อนาคตได้ถูกต้องแม่นยำ แต่จะเห็น “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด” จากสิ่งใกล้ตัวดังนี้ ขนาดของครอบครัวมีจำนวนสมาชิกน้อยลง ครอบครัวส่วนใหญ่มักมีลูกไม่เกินสองคน เมื่อแต่งงานแล้วมักต้องการแยกครอบครัวมายังที่อยู่อาศัยใหม่ เราจึงเห็นบ้านขนาดกลาง ขนาดเล็ก คอนโดมิเนียมแนวสูงเพิ่มขึ้นทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมทั้งต่างจังหวัด ทั้งนี้เพราะตอบโจทย์ด้านขนาด ราคา ความสะดวกในการเดินทาง และชีวิตที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น
การทำอาหารทานเองน้อยลงและให้ความสำคัญกับ “ความสะดวก” มากกว่า อาจเกิดจากความไม่คุ้มค่าโดยรวมด้านเวลา ค่าใช้จ่าย รสชาติ ความเหน็ดเหนื่อยเทียบกับครอบครัวขนาดเล็ก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การทานอาหารนอกบ้าน ซื้ออาหารพร้อมทานกลับบ้าน บริโภคขนมปัง สั่งอาหารส่งถึงบ้าน ซึ่งมีราคาถูกจนถึงแพงให้เลือกซื้อตามความสามารถของแต่ละครอบครัว
ความไม่สมดุลของปริมาณถนนและรถยนต์ คือการเพิ่มปัญหาจราจร การเดินทางโดยระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนจึงเป็นทางเลือกที่สำคัญของชีวิตคนเมืองหลวงเพราะสะดวกและคำนวณเวลาได้ และส่งผลให้มีการกระจายของเมืองและพัฒนาการความเจริญด้านต่างๆ ตามแนวและบริเวณสถานีรถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น
ค้าปลีกสมัยใหม่ตอบสนองกับพฤติกรรมผู้บริโภคทุกด้าน เราจึงเห็นการเติบโตของห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เกต ซุปเปอร์มาร์เกต ร้านอิ่มสะดวก ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา ร้านแว่นตา ร้านหนังสือ ร้านทองและเพชร ร้านมือถือ ร้านอุปกรณ์ไอที ร้านวัสดุก่อสร้าง ร้านสินค้าสุขภาพและความงาม ร้านเสื้อผ้าและแฟชั่น ที่เข้ามาทดแทนร้านค้าปลีกดั้งเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์พกพาของทุกคน นับตั้งแต่เด็กปฐมวัยจนถึงผู้สูงอายุ โทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ตโฟนให้ ความสะดวกและยังมีแอปพลิเคชั่นหลากหลายทั้งทางธุรกิจและส่วนตัว จึงไม่แปลกใจที่เห็นการใช้โทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ตโฟน กันอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นปัจจัยที่ห้าในการดำเนินชีวิตประจำวันเลยทีเดียว
กระแสความห่วงใยสุขภาพทำให้แนวโน้มคนมีอายุยืนยาวขึ้น การให้ความสำคัญกับการป้องกันมากกว่าการรักษา ทำให้คนสนใจออกกำลังกาย ทานอาหารสุขภาพ ทานวิตามินหรือยาบำรุง ตรวจสุขภาพต่อเนื่องเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้บริการโรงพยาบาลยังเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยชรา จึงดูเหมือนว่า เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นเพียงแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น
ความนิยมเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น เราจะเห็นว่านักท่องเที่ยวใกล้ตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่วัยรุ่น วัยทำงาน วัยกลางคนจนถึงวัยเกษียณ อาจเนื่องจากการเดินทางที่สะดวกขึ้น ค่าใช้จ่ายไม่แตกต่างเมื่อเทียบกับท่องเที่ยวในประเทศมากนักและยังได้เรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมของชาติต่างๆ ด้วย นอกจากนี้ การท่องเที่ยวด้วยตนเองโดยไม่พึ่งพาบริษัทนำเที่ยวยังเพิ่มมากขึ้นด้วย
พ่อแม่ส่งเสริมและให้ความสำคัญเรื่องการศึกษาของบุตร เด็กมีอิสระในการเรียนมากขึ้น ทำงานประกอบอาชีพที่ชอบโดยจำเป็นต้องไม่สืบทอดอาชีพของบรรพบุรุษ อย่างไรก็ตาม บัณฑิตจบใหม่ และบุคคลากรคุณภาพยังเป็นที่ต้องการของตลาดจึงเห็นการโยกย้ายงานเพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่าเพิ่มมากขึ้น สำหรับผู้ใช้แรงงานนั้น ส่วนใหญ่จะเลือกงานที่เหน็ดเหนื่อยน้อยกว่า ดังนั้นเราจึงเห็น งานบางชนิดจำเป็นต้องพึ่งแรงงานต่างชาติเช่น แรงงานก่อสร้าง แม่บ้าน เป็นต้น
ความสนใจลงทุนเพื่อวางแผนทางการเงินและเพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่าเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากอันดับหนังสือขายดีความตื่นตัวเพื่อเข้าอบรมการลงทุน รายการวิทยุหรือโทรทัศน์เกี่ยวกับการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น ล้วนเป็นสิ่งดึงดูดและชักชวนเม็ดเงินใหม่เข้ามาในตลาดหุ้นเยอะขึ้นเมื่อเทียบกันมูลค่าของบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่เข้ามาซื้อขาย
ทั้งหมดที่กล่าวมาไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่ และยังมี “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด” อื่นๆ อีกที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน จึงต้องมั่นสังเกตและวิเคราะห์ว่า จะมีผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนอย่างไร มากน้อยเพียงใด การประเมินมูลค่าเชิงปริมาณของบริษัทจดทะเบียนนั้น คือการนำตัวเลขสมมติฐานมาคำนวณด้วยวิธีต่างๆ เพื่อได้มูลค่าของกิจการที่อาจต่างกันของแต่ละคน
ในฐานะ Value Investor นอกจากใช้ “ศาสตร์” หรือการคำนวณมูลค่าแล้ว ยังใช้ “ศิลป์” หรือ “อะไรจะเกิด” มาช่วยลดความผิดพลาดให้น้อยลง เพราะได้พิจารณาเลือกลงทุนในสิ่งที่ “มันก็ต้องเกิด” นั่นเอง
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4268
“สรรพากร” เล็งรีดภาษี 20% ของรายรับ แก้ปัญหากลุ่มอาชีพอิสระ “ดารา-หมอ-วิศวะ” ตั้งคณะบุคคลเลี่ยงภาษี พร้อมเปิดหลักเกณฑ์ยื่นภาษี “ผัว-เมีย” หากมีรายได้ทั้งคู่ให้ต่างคนต่างยื่นเอง แต่หากมีธุรกรรมร่วมกัน หรือไม่รู้ว่าเป็นเงินได้ของฝ่ายใด ให้ยื่นรายการและเสียภาษีในนามคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000129022 ชนชั้นกลางในไทยนี้ซวยสุดจริงๆนะครับ จะมีม็อบก็ไม่ได้ จะหนีภาษีแบบพวกเสี่ยทั้งหลาย หรือนักธุรกิจทั้งหลายก็ไม่ได้
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000129022 ชนชั้นกลางในไทยนี้ซวยสุดจริงๆนะครับ จะมีม็อบก็ไม่ได้ จะหนีภาษีแบบพวกเสี่ยทั้งหลาย หรือนักธุรกิจทั้งหลายก็ไม่ได้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4269
ออกไปเป็นมือปืนเถื่อนดีกว่า รับเงินจากผู้จ้างมือถึงมือเลย ไม่ต้องทำรายงานส่งใครromee เขียน:“สรรพากร” เล็งรีดภาษี 20% ของรายรับ แก้ปัญหากลุ่มอาชีพอิสระ “ดารา-หมอ-วิศวะ” ตั้งคณะบุคคลเลี่ยงภาษี พร้อมเปิดหลักเกณฑ์ยื่นภาษี “ผัว-เมีย” หากมีรายได้ทั้งคู่ให้ต่างคนต่างยื่นเอง แต่หากมีธุรกรรมร่วมกัน หรือไม่รู้ว่าเป็นเงินได้ของฝ่ายใด ให้ยื่นรายการและเสียภาษีในนามคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000129022 ชนชั้นกลางในไทยนี้ซวยสุดจริงๆนะครับ จะมีม็อบก็ไม่ได้ จะหนีภาษีแบบพวกเสี่ยทั้งหลาย หรือนักธุรกิจทั้งหลายก็ไม่ได้
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 2595
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4270
น่าจะรีดภาษี"นักการเมือง"มากกว่า...เป็นอาชีพที่รวยเร็วทีเดียว นอกจากรวยเเล้ว ลงทุนได้ชั้นเซียน บางทีคาดเดาราคาหุ้นได้ด้วย
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4272
นอกเรื่องการลงทุนนิดนึงครับ เห็นภาพนี้แล้ว ต้องขอบอกว่าหัวใจของพ่อคนนี้ หล่อมากๆครับ
สามล้ออินเดียหอบลูกน้อยวัย1เดือนทำงานด้วยหลังแม่เสียชีวิตหลังคลอด
Bablu Jatav คนขับสามล้อชาวอินเดีย ต้องหอบหิ้วลูกน้อยวัยเพียงแค่ 1 เดือนออกมาทำงานด้วย เพราะที่บ้านไม่มีคนดูแล หลังจากที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตไปหลังจากการคลอด โดยเขาห้อยลูกน้อยไว้กับคอ
พวกเขามีลูกหลังจากแต่งงานกันมา 15 ปี เขาบอกว่าภรรยาของเขามีความสุขมากเมื่อรู้ว่ากำลังจะมีลูกสาว แต่เธอก็จากไปเสียก่อน
อย่างไรก็ตามหลังจากเรื่องราวของเขาได้รับการเปิดเผย ก็มีผู้เสนอให้ความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก
26 ตุลาคม 2555 โพสต์ทูเดย์
สามล้ออินเดียหอบลูกน้อยวัย1เดือนทำงานด้วยหลังแม่เสียชีวิตหลังคลอด
Bablu Jatav คนขับสามล้อชาวอินเดีย ต้องหอบหิ้วลูกน้อยวัยเพียงแค่ 1 เดือนออกมาทำงานด้วย เพราะที่บ้านไม่มีคนดูแล หลังจากที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตไปหลังจากการคลอด โดยเขาห้อยลูกน้อยไว้กับคอ
พวกเขามีลูกหลังจากแต่งงานกันมา 15 ปี เขาบอกว่าภรรยาของเขามีความสุขมากเมื่อรู้ว่ากำลังจะมีลูกสาว แต่เธอก็จากไปเสียก่อน
อย่างไรก็ตามหลังจากเรื่องราวของเขาได้รับการเปิดเผย ก็มีผู้เสนอให้ความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก
26 ตุลาคม 2555 โพสต์ทูเดย์
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4273
ในที่สุดวันหนึ่งชีวิตเราก็ต้องมีวันสุดท้ายของชีวิต ผมโชคดีที่มีภรรยาที่น่ารัก อดทนต่อผม และเป็นภรรยาที่แสนดี
ดูโฆษณานี้แล้วบอกตามตรง ตอนบั้นปลายชีวิต ไม่มีใครรู้ว่าเราจะเป็นยังไง
ไม่รู้ว่าจะไปก่อนใคร รู้แต่เพียงขอให้มีคนเคียงข้างเราแบบนี้ แค่นี้ก็สุขเกินใครแล้ว
ดูโฆษณานี้แล้วบอกตามตรง ตอนบั้นปลายชีวิต ไม่มีใครรู้ว่าเราจะเป็นยังไง
ไม่รู้ว่าจะไปก่อนใคร รู้แต่เพียงขอให้มีคนเคียงข้างเราแบบนี้ แค่นี้ก็สุขเกินใครแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 569
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4274
ผมแถมให้ครับพี่หมอ
ผมมีความรู้สึกเหมือนเพลงนี้มาสักประมาณครึ่งปีก็มีเพลงนี้ออกมา หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือนก็มี MV ตามมา
เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเราหรือคนที่เรารัก
เพราะยิ่ง"ไม่รู้" จึงยิ่ง"ต้องทำ"
ป๊อบ ปองกูล - ยิ่งไม่รู้ ยิ่งต้องทำ
ผมมีความรู้สึกเหมือนเพลงนี้มาสักประมาณครึ่งปีก็มีเพลงนี้ออกมา หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือนก็มี MV ตามมา
เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเราหรือคนที่เรารัก
เพราะยิ่ง"ไม่รู้" จึงยิ่ง"ต้องทำ"
ป๊อบ ปองกูล - ยิ่งไม่รู้ ยิ่งต้องทำ
เราจะพอเพียง แค่เราเพียงพอ
เราจะมีพอ แม้เราพอมี
เราจะดีพอ แค่เราพอดี
เราจะพอใจ แค่ใจเราพอ
เราจะมีพอ แม้เราพอมี
เราจะดีพอ แค่เราพอดี
เราจะพอใจ แค่ใจเราพอ
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10538
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4275
จำได้ว่าตอนสัมมนา thaivi ครั้งล่าสุด พูดถึงเรื่องของ Trend แนวโน้มการจะเลือกหุ้นเติบโต ถ้า3G สำเร็จ เราจะได้เห็นหุ้นบางตัวที่เป็นหุ้นช้างขนาดใหญ่หลายตัว อาจจะเริ่มเป็น ช้างจัมโบ้บินได้
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 9A-3G.htmlอีกไม่กี่สัปดาห์ จะได้พิสูจน์ว่า ไทย หรือ พม่า จะเป็นประเทศสุดท้ายของอาเซียน ที่มีการจัดสรรคลื่นความถี่สำหรับให้บริการ 3G อย่างเป็นทางการ
แต่อย่าเข้าใจผิด ความสำคัญของ 3G มิได้หยุดอยู่ ณ จุดนี้ เพราะสาระสำคัญที่แท้จริง คือการปฏิรูประบบสื่อสารข้อมูลด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ที่จะมีขึ้นต่อไป และจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจสังคมของประเทศ 3G จะเป็นครั้งแรกที่อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอย่างไร้สายจะสามารถเข้าถึง 80% ของประชากร ซึ่งก่อนหน้านี้ อินเทอร์เน็ตของไทยได้กระจุกตัวอยู่ในตัวเมืองที่เทคโนโลยีอย่างมีสายสามารถเข้าถึงได้ และถูกเรียกเป็นปัญหา Digital Divide ที่ไม่ได้มีการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม เกินกว่า 10 ปี
ผู้ที่จะได้ประโยชน์สูงสุด จากเทคโนโลยี 3G คือ ประชากรอีก 80% ของไทย ที่ไม่เคยเข้าถึงอินเทอร์เน็ต โดยจะเป็นครั้งแรกของประชากรเหล่านี้ ที่จะมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในระบบอินเทอร์เน็ต
ณ เวลานี้ ยังมีพัฒนาการของเทคโนโลยี Smartphone โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบ iOS และ Android ที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ปัจจุบันราคาได้ลดลงมามากและสามารถเข้าถึงได้โดยประชากรหมู่มาก มีการคาดการณ์ว่าในปี 2015 โทรศัพท์มือถือกว่า 50% ในประเทศไทย จะเป็น Smartphone ที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้
การเปิดตัว iPad Mini ของ Apple ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็เป็นสัญญาณบ่งชี้ ถึงความสำคัญของ Tablet ที่เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งสำหรับเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะมีการแข่งขันทางราคา ที่จะทำให้ประชากรสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นอีก
การปฏิรูปครั้งใหญ่ ที่กำลังจะเกิดขึ้น คือการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และประชากรส่วนใหญ่จะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยใช้ Smartphone และ Tablet ผ่าน 3G โดยจะมีจำนวนมากกว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยใช้คอมพิวเตอร์ผ่านเทคโนโลยีอย่างมีสายในอีกไม่ช้า
10 ปีที่ผ่านมา มูลค่าของสื่ออินเทอร์เน็ตในประเทศไทย สำหรับธุรกิจโฆษณา มีสัดส่วนเพียง 1% ของมูลค่าสื่อทั้งหมด ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น อังกฤษ มูลค่าของสื่ออินเทอร์เน็ตได้สูงกว่าโทรทัศน์ และในสหรัฐอายุเฉลี่ยของผู้รับชมสื่อโทรทัศน์คือ 51 ปี ธุรกิจส่วนใหญ่จึงมุ่งเน้นสื่ออินเทอร์เน็ตมากขึ้น เพราะผู้ใช้งานมีอายุใกล้เคียงกลุ่มเป้าหมาย
เมื่อ 80% ของประชากรไทยสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ด้วยเทคโนโลยีไร้สายอย่าง 3G มูลค่าของสื่ออินเทอร์เน็ตย่อมต้องขยายตัวอย่างแน่นอน โดยจะมีกลุ่มเป้าหมายใหม่ ที่ไม่เคยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมาก่อน และอาจส่งผลต่อมูลค่าของสื่ออื่นๆ เช่นโทรทัศน์ในอนาคต แม้จะปรับเปลี่ยนเป็นระบบดิจิทัลก็ตาม
การเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมานั้น อาจสามารถสังเกตุได้กับตัวอย่างใกล้ตัว สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เรียกว่า Generation Y ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เกิดหลัง 1982 และมีความเป็นธรรมชาติกับเทคโนโลยี โดยเป็นกลุ่ม Early Adopter ของ Smartphone และยังเป็นผู้สร้างเนื้อหาหลักบน Social Media ทั้งยังเป็นกลุ่มที่อาจปฏิเสธสื่อรุ่นเก่าเช่น โทรทัศน์ วิทยุ หรือสื่อสิ่งพิมพ์
3G จะสนับสนุนให้พฤติกรรมดังกล่าวของ Generation Y ขยายผลต่อกลุ่มคนในช่วงอายุอื่นๆ และพื้นที่นอกตัวเมืองของประเทศ นอกจากนี้ กลุ่ม Generation Y กำลังเข้าสู่อายุที่มีกำลังซื้อ และมีอิทธิพลต่อทิศทางของระบบเศรษฐกิจสังคมของประเทศ ซึ่งประจวบกับเทคโนโลยี 3G Smartphone และ Tablet การเข้าสู่ช่วงอายุของ Generation Y จะส่งผลสู่การปฏิรูปสื่อในระบบอินเทอร์เน็ตอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แม้ 3G จะเป็นชนวนเหตุของการเปลี่ยนแปลงการสื่อสารข้อมูลของประเทศไทย แต่ความสำคัญ ไม่ใด้หยุดอยู่ ณ วันนี้ เพราะครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและถาวร ที่จะนำประเทศไทยเข้าสู่ยุคต่อไป ที่สิ้นสุดปัญหา Digital Divide
ในเวลาเดียวกัน อาจเป็นทั้งจุดเริ่มต้นหรือจุดเสื่อมถอยสำหรับหลายธุรกิจ ที่มีความเกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบจากการปฏิรูปสื่อในครั้งนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 458
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4277
น้ิองใหม่ หมาดๆ เพิ่งสมัครสมาชิกเว็บนี้เมื่อวานเอง แต่ว่า เป็นสมาชิกห้องสินธร ตั้งแต่ยุคก่อตั้ง
แวะมาทักทายเพื่อนๆ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยคน
ตอนนี้ ทั้ง จิต และหุ้น ยังไม่ตกครับ
http://www.2jfk.com/
แวะมาทักทายเพื่อนๆ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยคน
ตอนนี้ ทั้ง จิต และหุ้น ยังไม่ตกครับ
http://www.2jfk.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 458
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4279
ยินดีที่ได้รู้จักครับdr1 เขียน:ยินดีมากครับ
ถ้าเป็นท่านเดียวกับ jfk ใน bangkokclassiccar
กะthaiclinic.comกะwebที่reviewเรื่องรถ งานอดิเรกๆลๆ
ผมติดตามอ่านมาพักนึง
ลุงผม(พี่ชายแม่)เจ้าของดีเอสคันสีขาวที่ท่านjfkเคยบันทึกไว้
คุณแม่ผมคนปากน้ำโพครับ
ผมเองใช้ ล้อคอิน -=Jfk=- กับ DrJfk ในเว็บต่างๆ ทั้ง ที่พันทิป เว็บกีฬา เว็บรถ และ ซุปเปอร์ไบค์ เว็บไทยคลีนิค สยามนาฬิกา และ เว็บปีนเขา ทั้งหมดครับ
แต่สำหรับ บางกอกคลาสิคคาร์ นี่ยังนึกไม่ออกว่าเคยไปมั้ย
เล่นหลายเว็บ หลายกิจกรรม เลยจำได้ไม่ค่อยหมดครับ แฮ่ะๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 458
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4282
kotaro เขียน:เข้ามาสวัสดีพี่ Jfk ครับ
ติดตามอ่านโพสของพี่ ตั้งแต่ใน พันทิพ สมัยก่อน และใน thaiclinic ครับ
ขอบคุณเพื่อนที่แวะมาทักทาย กันครับboypeter เขียน:มาสวัสดี พี่ JFK ด้วยคน ครับ
ได้ยินชื่อเสียง มานาน รู้ลึก รู้จริง หลายเรื่องมากๆ ครับ
อบอุ่นเหมือนอยู่บ้านเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 458
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4284
ขอบคุณมากครับ คุณ Paul จริงๆ ยังแอบรู้สึกเกรงใจ กลายเป็นกระทู้ทักทายเพื่อนเ่ก่าไปซะแล้วPaul VI เขียน:ยินดีต้อนรับคุณหมอ JFK ครับ
เชิญใช้ห้องนี้ตามสบายเลยนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 513
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4285
สวัสดีครับพี่dr.jfk
เผอิญผ่านมา เตะตาตรงHayaสีแดง กะอีกคันไม่แน่ใจว่าเป็นbmw R1200รึปล่าว สวยดีครับ ชอบครับ
เผอิญผ่านมา เตะตาตรงHayaสีแดง กะอีกคันไม่แน่ใจว่าเป็นbmw R1200รึปล่าว สวยดีครับ ชอบครับ
ได้เวลาเหล่าอินทรีย์ ผงาดบนฟากฟ้า
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4288
เมื่อวันก่อนมีโอกาสได้ดูรายการ Asean beyond 2015 @ thaipbs,9/11/55- 22.00-22.30 pm. ตอน "หมอพม่ารักษาคนไทย" http://program.thaipbs.or.th/documentar ... e76041.ece
พอจะสรุปได้ดังนี้ เมื่อเปิดเสรีอาเชียนในปี 2558 หมอจากไทยจะเคลื่อนย้ายไปทำงานที่สิงคโปร์และมาเลย์ เพิ่มมากขึ้น และจะมีหมอจากพม่ามาทำงานในไทยเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เหตุผลหลักๆ มีอยู่ 2 อย่าง
1.หมอจะเคลื่อนย้ายไปที่่ๆมีผลตอบแทนมากกว่า ซึ่งมีผลสำรวจดังนี้
สิงคโปร์ รายได้ต่อปี 67,000 Us$
มาเลย์ รายได้ต่อปี 47,000 Us$
ไทย รายได้ต่อปี 37,000 Us$
ทั้งสามประเทศที่กล่าวมา รัฐบาลส่งเสริมความเป็น Medical hub.
2.ทำไมต้องเป็นหมอจากพม่า เพราะที่พม่าผลิตหมอได้ 3,000 คนต่อปี แต่รับเข้าทำงาน(ใช้ทุน)ได้แค่ 1,500 คนต่อปี และประเทศอื่นในภูมิภาคผลิตหมอได้พอๆ กับจำนวนที่ต้องการ ถ้าหมอพม่าไม่อยากใช้ทุนต้องเสียเงินประมาณ 500,000 บาท แต่ทางรายการไม่สามารถเข้าไปดูการเรียนการสอนในม.แห่งชาติพม่าได้เพราะทางการไม่อนุญาติ แต่ก็ได้ไปสัมภาษณ์และสอบถามหมอชาวพม่าที่ทำงานอยู่ ก็ไม่พบความแตกต่างจากหมอไทยอย่างมีนัยสำคัญนัก และอีกอย่างเรื่องภาษาใกล้เคียงกัน
ได้มีการสำรวจจำนวนประชากรต่อแพทย์ 1 ท่าน แบ่งตามภูมิภาคได้ดังนี้
ภาคอีสาน 7,000 คน ภาคเหนือ 5,000 คน ภาคใต้ประมาณ 4,000 คน ภาคกลางไม่รวมกทม.ประมาณ3,000 คน กทม. 700 คน ทางรายการไปสำรวจที่รพ.อ.อุ้มผาง พบว่าจะอยู่ที่อัตรา 7,000 คน เพราะมีชาวพม่าที่หนีสงครามเข้ามารักษา
ปัญหาและอุปสรรค์ในการรับหมอชาวต่างชาติ
การสอบขอใบอนุญาติการประกอบโรคศิลป์
ทุกวันนี้ยังสอบเป็นภาษาไทยอยู่ โดยทั่วไปหมอชาวไทย ต้องสอบ 3 ขั้นตอน แต่ขั้นตอนที่ 1 และ 2 สามารถเปลี่ยนการสอบเป็นภาษาอังกฤษได้ แต่ขั้นตอนที่ 3 ต้องเป็นภาษาไทยเท่านั้น
ผมมีคำถามอยากถามคุณหมอในห้องนี้หน่อยครับ มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเนื้อหาของรายการครับ
ปล.ถ้าผมเขียนผิดพลาดตรงใหน รบกวนแก้ไขให้ด้วยครับ โดยเฉพาะการสอบ
พอจะสรุปได้ดังนี้ เมื่อเปิดเสรีอาเชียนในปี 2558 หมอจากไทยจะเคลื่อนย้ายไปทำงานที่สิงคโปร์และมาเลย์ เพิ่มมากขึ้น และจะมีหมอจากพม่ามาทำงานในไทยเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เหตุผลหลักๆ มีอยู่ 2 อย่าง
1.หมอจะเคลื่อนย้ายไปที่่ๆมีผลตอบแทนมากกว่า ซึ่งมีผลสำรวจดังนี้
สิงคโปร์ รายได้ต่อปี 67,000 Us$
มาเลย์ รายได้ต่อปี 47,000 Us$
ไทย รายได้ต่อปี 37,000 Us$
ทั้งสามประเทศที่กล่าวมา รัฐบาลส่งเสริมความเป็น Medical hub.
2.ทำไมต้องเป็นหมอจากพม่า เพราะที่พม่าผลิตหมอได้ 3,000 คนต่อปี แต่รับเข้าทำงาน(ใช้ทุน)ได้แค่ 1,500 คนต่อปี และประเทศอื่นในภูมิภาคผลิตหมอได้พอๆ กับจำนวนที่ต้องการ ถ้าหมอพม่าไม่อยากใช้ทุนต้องเสียเงินประมาณ 500,000 บาท แต่ทางรายการไม่สามารถเข้าไปดูการเรียนการสอนในม.แห่งชาติพม่าได้เพราะทางการไม่อนุญาติ แต่ก็ได้ไปสัมภาษณ์และสอบถามหมอชาวพม่าที่ทำงานอยู่ ก็ไม่พบความแตกต่างจากหมอไทยอย่างมีนัยสำคัญนัก และอีกอย่างเรื่องภาษาใกล้เคียงกัน
ได้มีการสำรวจจำนวนประชากรต่อแพทย์ 1 ท่าน แบ่งตามภูมิภาคได้ดังนี้
ภาคอีสาน 7,000 คน ภาคเหนือ 5,000 คน ภาคใต้ประมาณ 4,000 คน ภาคกลางไม่รวมกทม.ประมาณ3,000 คน กทม. 700 คน ทางรายการไปสำรวจที่รพ.อ.อุ้มผาง พบว่าจะอยู่ที่อัตรา 7,000 คน เพราะมีชาวพม่าที่หนีสงครามเข้ามารักษา
ปัญหาและอุปสรรค์ในการรับหมอชาวต่างชาติ
การสอบขอใบอนุญาติการประกอบโรคศิลป์
ทุกวันนี้ยังสอบเป็นภาษาไทยอยู่ โดยทั่วไปหมอชาวไทย ต้องสอบ 3 ขั้นตอน แต่ขั้นตอนที่ 1 และ 2 สามารถเปลี่ยนการสอบเป็นภาษาอังกฤษได้ แต่ขั้นตอนที่ 3 ต้องเป็นภาษาไทยเท่านั้น
ผมมีคำถามอยากถามคุณหมอในห้องนี้หน่อยครับ มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเนื้อหาของรายการครับ
ปล.ถ้าผมเขียนผิดพลาดตรงใหน รบกวนแก้ไขให้ด้วยครับ โดยเฉพาะการสอบ
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชมรมหมอ VI
โพสต์ที่ 4290
กร๊าาากกกก....
อย่างฮาเลยครับ ท่านpaul vi
เสียงเขาดีจริงๆเนอะ
ผมว่าจะเข้าไปดูสารคดีมาเม้นท์ให้ท่านjverkulฟังซะหน่อย
เปิดกะไอแผดก็ไม่ได้ เปิดกะพีซีก็ติด
ทีคลิปแบบเนี้ย คล่องปรื๋อ
เนี่ยละนะ โลกยุคใหม่
ของจำเป็นตามของอยากไม่ทัน
ไม่รู้อ่านจากใหนบอกว่า
โทรเรียกรถส่งพิซซ่า
ไปถึงลูกค้าเร็วกว่ารถพยาบาลซะอีก
อย่างฮาเลยครับ ท่านpaul vi
เสียงเขาดีจริงๆเนอะ
ผมว่าจะเข้าไปดูสารคดีมาเม้นท์ให้ท่านjverkulฟังซะหน่อย
เปิดกะไอแผดก็ไม่ได้ เปิดกะพีซีก็ติด
ทีคลิปแบบเนี้ย คล่องปรื๋อ
เนี่ยละนะ โลกยุคใหม่
ของจำเป็นตามของอยากไม่ทัน
ไม่รู้อ่านจากใหนบอกว่า
โทรเรียกรถส่งพิซซ่า
ไปถึงลูกค้าเร็วกว่ารถพยาบาลซะอีก
samatah