การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 68
- ผู้ติดตาม: 0
การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไม่
โพสต์ที่ 1
การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไม่ แบบดร.นิเวศน์
คือแบบไหนครับ รบกวนอธิบายด้วยครับ
ขอบคุณครับ
คือแบบไหนครับ รบกวนอธิบายด้วยครับ
ขอบคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 925
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 2
ผมเข้าใจว่าคงเป็นการคิดเหมือนว่าทั้งบริษัทมีมูลค่าเท่าใด แบบ relative หรือ เปรียบเทียบนะครับ
เช่น บริษัทใหญ่ๆทางโทรคมนาคม AIS มี Makret Cap 600,000 กว่าล้านบาทนี้มันเหมาะสมไหม เมื่อเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่เหมือนๆกันอาจจะต่างอุตสาหกรรมก็ได้ครับ
เช่น
ปูนมีMarket Cap= 420,000MB
AIS= 620,000MB
PTT=900,000MB
แบบนี้ดูแล้วสมศักดิ์ศรีไหมอะไรแบบนี้มั้งครับ กรณีนี้ผมมองว่าปูนดูว่าถูกไปเลยนะครับเมื่อเทียบกับ advanc
รอผู้รู้มาตอบอีกทีนะครับ
เช่น บริษัทใหญ่ๆทางโทรคมนาคม AIS มี Makret Cap 600,000 กว่าล้านบาทนี้มันเหมาะสมไหม เมื่อเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่เหมือนๆกันอาจจะต่างอุตสาหกรรมก็ได้ครับ
เช่น
ปูนมีMarket Cap= 420,000MB
AIS= 620,000MB
PTT=900,000MB
แบบนี้ดูแล้วสมศักดิ์ศรีไหมอะไรแบบนี้มั้งครับ กรณีนี้ผมมองว่าปูนดูว่าถูกไปเลยนะครับเมื่อเทียบกับ advanc
รอผู้รู้มาตอบอีกทีนะครับ
- anubist
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1369
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 3
คล้ายที่พี่แชมป์ว่าครับ แต่เปรียบเทียบกับบ.ที่ทำธุรกิจเดียวกัน
เช่นAdvanc ก็ต้องเทียบกับบ.มือถือที่ฐานลูกค้าใกล้เคียงกัน เทคโนโลยีพอๆกัน
ถ้าเทียบในประเทศไม่ได้ก็เทียบกับตปท. แต่มันเป็นการประเมินมูลค่าแบบคร่าวๆ
เอาไว้กรองขั้นแรกครับ
เช่นAdvanc ก็ต้องเทียบกับบ.มือถือที่ฐานลูกค้าใกล้เคียงกัน เทคโนโลยีพอๆกัน
ถ้าเทียบในประเทศไม่ได้ก็เทียบกับตปท. แต่มันเป็นการประเมินมูลค่าแบบคร่าวๆ
เอาไว้กรองขั้นแรกครับ
ทุนน้อยและหลุดดอยแล้ว เย้ๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 732
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 4
maket cap/กำไรสุทธิ ก็ได้ค่า PE คร่าวๆครับ เวลาอ่านข่าวเขาประมาณการณ์กำไรมาก็เอาคิด forward PE เร็วดี
maket cap/กำไรสุทธิ = (ราคาหุ้น*จำนวนหุ้น)/(กำไรต่อหุ้น*จำนวนหุ้น)
= ราคาหุ้น/กำไรต่อหุ้น
= PE ratio
maket cap/กำไรสุทธิ = (ราคาหุ้น*จำนวนหุ้น)/(กำไรต่อหุ้น*จำนวนหุ้น)
= ราคาหุ้น/กำไรต่อหุ้น
= PE ratio
ลงทุนหุ้นดี มีสตอรี่ ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
- newbie_12
- Verified User
- โพสต์: 2904
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 5
ผมว่าวิธีนี้ต้องอาศัยเซ้นส์ + ประสบการณ์การเห็นบริษัทต่างๆมาเยอะมากๆนะครับ ถึงจะพอคาดการณ์ market cap ของบริษัททั่วไปได้
มือใหม่อย่างเราๆ คิดว่ายากมากครับที่จะประเมินอะไรได้ขนาดนั้น
มือใหม่อย่างเราๆ คิดว่ายากมากครับที่จะประเมินอะไรได้ขนาดนั้น
.
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
-
- Verified User
- โพสต์: 107
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 6
ศักดิ์ศรีของหุ้น
Posted on January 6, 2011 by ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เวลาที่จะเลือกหุ้นลงทุนนั้น สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะคิดถึงอยู่เสมอก็คือ ความโดดเด่น ความยิ่งใหญ่ และความสำคัญของบริษัท ต่อลูกค้า และต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่มีบริษัทนี้จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคำตอบก็คือ บริษัทนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อชีวิตของคนจำนวนมาก หรือสินค้าหรือบริการเป็นที่ต้องการของคนมากมายในขณะที่หาสินค้าหรือบริการแบบเดียวกันจากบริษัทอื่นไม่ได้หรือได้ยาก ในกรณีอย่างนี้ ผมก็จะสนใจและอาจจะให้คุณค่าสูง และคำว่าคุณค่าสูงของผมนั้น ผมจะวัดจาก Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งบริษัท
ตัวอย่างเช่นบริษัทไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นเจ้าของระบบปฏิบัติการวินโดว์นั้น สำคัญหรือยิ่งใหญ่ขนาดที่ว่าทุกคนที่ใช้คอมพิวเตอร์จะต้องมีโปรแกรมนี้มิฉะนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ก็อาจจะทำงานอะไรไม่ได้เลย ดังนั้น มูลค่าหุ้นของไมโครซอฟท์จะต้องสูง “มโหฬาร” เหตุเพราะว่าคนจำนวนเป็นพันล้านทั่วโลกต้องใช้คอมพิวเตอร์ทุกวัน ข้อเท็จจริงก็คือ ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ หุ้นไมโครซอฟท์เป็นหุ้นที่มี Market Cap. สูงที่สุดในโลก แนวคิดที่ว่ามูลค่าหุ้นนั้นมีความสัมพันธ์กับความสำคัญของบริษัท ผมขอใช้คำว่า “ศักดิ์ศรี” ของหุ้น นั่นคือ ศักดิ์ศรีของการที่เป็นโปรแกรมที่คนทั่วโลกต้องใช้
ลองมาดูอีกบริษัทหนึ่งคือบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ของ สตีป จอบส์ นี่คือบริษัทที่คนทั่วโลกคอยติดตามหาซื้อผลิตภัณฑ์ไฮเท็ครุ่นใหม่ล่าสุด ทั้ง ๆ ที่สินค้าของบริษัทไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นแต่มันเป็นสิ่งที่คน “คลั่งใคล้” ศักดิ์ศรีของการเป็นผู้นำนวัตกรรมที่โดดเด่นโดนใจสุด ๆ ของคนรุ่นใหม่ทำให้หุ้นของแอปเปิลมีมูลค่าสูงขึ้นมโหฬารและแซงไมโครซอฟท์ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เรายังเห็นศักดิ์ศรีของหุ้นกูเกิล เวปไซ้ต์ที่คนทั่วโลกต่างก็เข้าไปค้นหาข้อมูลที่หลากหลายไม่จำกัด หรือเฟซบุ๊คที่คนนับหลายร้อยล้านและกำลังเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ เข้ามาใช้บริการ เหล่านี้ผมคิดว่าจะต้องมีมูลค่าหุ้นมหาศาล ซึ่งเราไม่สามารถประเมินมูลค่าได้จากตัวเลขกำไรในปัจจุบัน เหตุก็เพราะว่ามันยังขยายตัวไปเรื่อย ๆ และยังเป็นช่วงที่บริษัทอาจต้องลงทุนและมีค่าใช้จ่ายมากเพื่อรองรับกับการขยายตัวในอนาคต ดังนั้น ถ้าจะคาดการณ์หรือคำนวณหามูลค่าที่เหมาะสมก็อาจจะต้องมองไปข้างหน้าที่ยาวไกล ดูว่าในที่สุดแล้วจะมีคนกี่คนที่จะเป็นลูกค้าและบริษัทจะมีกำไรเท่าไรซึ่งก็เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งเราก็อาจจะพบว่าราคาหรือมูลค่าหุ้นในปัจจุบันนั้น ยังน่าจะห่างจากมูลค่าที่น่าจะเป็นในอนาคตอีกมาก พูดง่าย ๆ ราคามัน “ไม่สมศักดิ์ศรี” ในฐานะที่เป็น …. และถ้าเราพบหุ้นแบบนี้ การซื้อลงทุนก็อาจจะทำให้เราได้กำไรมหาศาล
ธุรกิจจำนวนมากนั้นผลิตสินค้าที่สำคัญมากและเป็นสินค้าที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดต่อลูกค้าและระบบเศรษฐกิจ เช่น โรงกลั่นน้ำมัน แต่ถ้ามองในแง่บริษัทแล้ว ความสำคัญก็อาจจะมีไม่มาก เพราะถ้าบริษัทเป็นอะไรไป บริษัทหรือโรงกลั่นอื่นก็ยังผลิตอยู่สามารถทดแทนได้ และแม้ว่าจะทดแทนได้ไม่หมด เราก็ยังสามารถนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศได้ ดังนั้น ศักดิ์ศรีของการเป็นโรงกลั่นในแง่ของหุ้นก็มีไม่มากนัก
กิจการบางอย่าง เช่น สาธารณูปโภค นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อผู้คนทั้งประเทศและไม่มีบริษัทอื่นมาแทนได้ถ้าบริษัทเป็นอะไรไป แต่กิจการเหล่านั้นก็มักจะถูกควบคุมโดยรัฐบาลไม่ให้ตั้งราคาสูง บางกิจการถูกบังคับให้ตั้งราคาต่ำกว่าความเป็นจริงด้วยซ้ำ แบบนี้ ศักดิ์ศรีก็มีแต่แปลงให้เป็นราคาหุ้นไม่ได้มากอย่างที่ควรจะเป็น
ตัวอย่างของกิจการในเมืองไทยที่ผมเห็นว่าสามารถนำเรื่องของศักดิ์ศรีมาพูดได้และก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วก็คือ หุ้นการบินไทย ย้อนหลังไปเพียงไม่เกิน 2-3 ปีในช่วงที่หุ้นการบินไทยตกต่ำลงเหลือเพียง7-8 บาทถ้าผมจำไม่ผิด ในช่วงนั้น Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นทั้งบริษัทของการบินไทยอยู่ที่หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งเท่ากับราคาเครื่องบินโบอิง 747 เพียง 2-3 ลำ แต่ถ้าดูจริง ๆ แล้ว ศักดิ์ศรีของการบินไทยคือการเป็นสายการบินแห่งชาติที่คนเกือบครึ่งหนึ่งที่ต้องเดินทางเข้าออกประเทศไทยด้วยเครื่องบินต้องใช้บริการ นอกจากนั้นการบินไทยยังถือหุ้นใหญ่โดยรัฐที่มี “ศักดิ์ศรี” ที่จะต้องรักษาบริษัทไว้ ดังนั้น ราคาหรือมูลค่าตลาดของหุ้นการบินไทยในช่วงนั้นจึงดู “ไม่สมศักดิ์ศรี” ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องกำไรขาดทุนหรือฐานะการเงินอะไรทั้งสิ้น เหตุการณ์หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น หุ้นการบินไทยปรับตัวขึ้นมหาศาลสมกับฐานะหรือศักดิ์ศรีของบริษัทคือกว่าแสนล้านบาท
ลองมาดูบริษัทเอกชนธรรมดาที่สถานะหรือตำแหน่งในตลาดหรือในระบบเศรษฐกิจ “ยิ่งใหญ่” แต่ในช่วงหนึ่งราคาหุ้นหรือมูลค่าตลาดของหุ้น “ไม่สมศักดิ์ศรี” ตัวแรกก็คือ หุ้น CPF ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ฐานะของบริษัทในสังคมการค้าและอุตสาหกรรมทางด้านอาหารนั้นเป็นที่ประจักษ์มานาน ยอดขายของบริษัทก็สูงเป็นแสนล้านบาทและยังเติบโตไปเรื่อย ๆ แต่ย้อนหลังไปเพียง 3-4 ปี มูลค่าหุ้นของบริษัทก็เพียงแค่ 2-3 หมื่นล้านถ้าผมจำไม่ผิด และก็อย่างที่เห็น หุ้น CPF ปรับตัวขึ้นมารับกับศักด์ศรีของบริษัทในฐานะที่เป็นผู้ผลิตอาหารที่ใหญ่ที่สุดของไทยและอาจจะเติบโตยิ่งใหญ่ในระดับโลกได้ มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็นเกือบสองแสนล้านบาท
หุ้นอีกตัวหนึ่งซึ่งบังเอิญอยู่ในกลุ่มของ CP เช่นเดียวกันก็คือ หุ้น CPALL ย้อนหลังไปเพียง 3-4 ปีเช่นเดียวกัน ศักดิ์ศรีของบริษัทก็คือ เป็นผู้นำที่โดดเด่นในตลาดสะดวกซื้อที่คนไทยนับวันจะใช้บริการมากขึ้นและในที่สุดก็น่าจะทั้งประเทศ สำหรับหลาย ๆ คนแล้ว การขาดร้าน 7-11 นั้นก็จะเป็นการ “ยุ่งยาก” หรือ “ไม่สะดวก” เอามาก ๆ แต่ในขณะนั้น หุ้นของ CPALL ซึ่งโดยศักยภาพนั้นน่าจะมียอดขายเป็นแสนล้านบาทขึ้นไปกลับมี Market Cap. เพียง 3-4 หมื่นล้านบาทโดยไม่มีหนี้เงินกู้เลย เป็นไปได้อย่างไรที่กิจการที่คนทั้งประเทศต้องใช้บริการเกือบทุกวันโดยที่หาคู่แข่งแทบไม่ได้จะมีมูลค่าเพียงเท่านั้น และก็อย่างที่เห็น หุ้น CPALL ปรับตัวขึ้นเป็นเกือบสองแสนล้านบาทสมกับศักดิ์ศรีที่ควรจะเป็น
การดูว่าราคาหรือมูลค่าหุ้นนั้นสมกับศักดิ์ศรีของกิจการหรือไม่เป็นศิลปะอยู่มากทีเดียวเนื่องจากตัวเลขผลการดำเนินงานในขณะที่วิเคราะห์นั้นใช้ไม่ได้ หลายครั้งต้องใช้จินตนาการว่าอนาคตของบริษัทจะเป็นอย่างไรใน 5 ปี 10 ปีหรือยาวกว่านั้น การวิเคราะห์ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ถ้าทำถูก ผลตอบแทนก็มหาศาล
Posted on January 6, 2011 by ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เวลาที่จะเลือกหุ้นลงทุนนั้น สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะคิดถึงอยู่เสมอก็คือ ความโดดเด่น ความยิ่งใหญ่ และความสำคัญของบริษัท ต่อลูกค้า และต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่มีบริษัทนี้จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคำตอบก็คือ บริษัทนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อชีวิตของคนจำนวนมาก หรือสินค้าหรือบริการเป็นที่ต้องการของคนมากมายในขณะที่หาสินค้าหรือบริการแบบเดียวกันจากบริษัทอื่นไม่ได้หรือได้ยาก ในกรณีอย่างนี้ ผมก็จะสนใจและอาจจะให้คุณค่าสูง และคำว่าคุณค่าสูงของผมนั้น ผมจะวัดจาก Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งบริษัท
ตัวอย่างเช่นบริษัทไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นเจ้าของระบบปฏิบัติการวินโดว์นั้น สำคัญหรือยิ่งใหญ่ขนาดที่ว่าทุกคนที่ใช้คอมพิวเตอร์จะต้องมีโปรแกรมนี้มิฉะนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ก็อาจจะทำงานอะไรไม่ได้เลย ดังนั้น มูลค่าหุ้นของไมโครซอฟท์จะต้องสูง “มโหฬาร” เหตุเพราะว่าคนจำนวนเป็นพันล้านทั่วโลกต้องใช้คอมพิวเตอร์ทุกวัน ข้อเท็จจริงก็คือ ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ หุ้นไมโครซอฟท์เป็นหุ้นที่มี Market Cap. สูงที่สุดในโลก แนวคิดที่ว่ามูลค่าหุ้นนั้นมีความสัมพันธ์กับความสำคัญของบริษัท ผมขอใช้คำว่า “ศักดิ์ศรี” ของหุ้น นั่นคือ ศักดิ์ศรีของการที่เป็นโปรแกรมที่คนทั่วโลกต้องใช้
ลองมาดูอีกบริษัทหนึ่งคือบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ของ สตีป จอบส์ นี่คือบริษัทที่คนทั่วโลกคอยติดตามหาซื้อผลิตภัณฑ์ไฮเท็ครุ่นใหม่ล่าสุด ทั้ง ๆ ที่สินค้าของบริษัทไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นแต่มันเป็นสิ่งที่คน “คลั่งใคล้” ศักดิ์ศรีของการเป็นผู้นำนวัตกรรมที่โดดเด่นโดนใจสุด ๆ ของคนรุ่นใหม่ทำให้หุ้นของแอปเปิลมีมูลค่าสูงขึ้นมโหฬารและแซงไมโครซอฟท์ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เรายังเห็นศักดิ์ศรีของหุ้นกูเกิล เวปไซ้ต์ที่คนทั่วโลกต่างก็เข้าไปค้นหาข้อมูลที่หลากหลายไม่จำกัด หรือเฟซบุ๊คที่คนนับหลายร้อยล้านและกำลังเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ เข้ามาใช้บริการ เหล่านี้ผมคิดว่าจะต้องมีมูลค่าหุ้นมหาศาล ซึ่งเราไม่สามารถประเมินมูลค่าได้จากตัวเลขกำไรในปัจจุบัน เหตุก็เพราะว่ามันยังขยายตัวไปเรื่อย ๆ และยังเป็นช่วงที่บริษัทอาจต้องลงทุนและมีค่าใช้จ่ายมากเพื่อรองรับกับการขยายตัวในอนาคต ดังนั้น ถ้าจะคาดการณ์หรือคำนวณหามูลค่าที่เหมาะสมก็อาจจะต้องมองไปข้างหน้าที่ยาวไกล ดูว่าในที่สุดแล้วจะมีคนกี่คนที่จะเป็นลูกค้าและบริษัทจะมีกำไรเท่าไรซึ่งก็เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งเราก็อาจจะพบว่าราคาหรือมูลค่าหุ้นในปัจจุบันนั้น ยังน่าจะห่างจากมูลค่าที่น่าจะเป็นในอนาคตอีกมาก พูดง่าย ๆ ราคามัน “ไม่สมศักดิ์ศรี” ในฐานะที่เป็น …. และถ้าเราพบหุ้นแบบนี้ การซื้อลงทุนก็อาจจะทำให้เราได้กำไรมหาศาล
ธุรกิจจำนวนมากนั้นผลิตสินค้าที่สำคัญมากและเป็นสินค้าที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดต่อลูกค้าและระบบเศรษฐกิจ เช่น โรงกลั่นน้ำมัน แต่ถ้ามองในแง่บริษัทแล้ว ความสำคัญก็อาจจะมีไม่มาก เพราะถ้าบริษัทเป็นอะไรไป บริษัทหรือโรงกลั่นอื่นก็ยังผลิตอยู่สามารถทดแทนได้ และแม้ว่าจะทดแทนได้ไม่หมด เราก็ยังสามารถนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศได้ ดังนั้น ศักดิ์ศรีของการเป็นโรงกลั่นในแง่ของหุ้นก็มีไม่มากนัก
กิจการบางอย่าง เช่น สาธารณูปโภค นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อผู้คนทั้งประเทศและไม่มีบริษัทอื่นมาแทนได้ถ้าบริษัทเป็นอะไรไป แต่กิจการเหล่านั้นก็มักจะถูกควบคุมโดยรัฐบาลไม่ให้ตั้งราคาสูง บางกิจการถูกบังคับให้ตั้งราคาต่ำกว่าความเป็นจริงด้วยซ้ำ แบบนี้ ศักดิ์ศรีก็มีแต่แปลงให้เป็นราคาหุ้นไม่ได้มากอย่างที่ควรจะเป็น
ตัวอย่างของกิจการในเมืองไทยที่ผมเห็นว่าสามารถนำเรื่องของศักดิ์ศรีมาพูดได้และก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วก็คือ หุ้นการบินไทย ย้อนหลังไปเพียงไม่เกิน 2-3 ปีในช่วงที่หุ้นการบินไทยตกต่ำลงเหลือเพียง7-8 บาทถ้าผมจำไม่ผิด ในช่วงนั้น Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นทั้งบริษัทของการบินไทยอยู่ที่หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งเท่ากับราคาเครื่องบินโบอิง 747 เพียง 2-3 ลำ แต่ถ้าดูจริง ๆ แล้ว ศักดิ์ศรีของการบินไทยคือการเป็นสายการบินแห่งชาติที่คนเกือบครึ่งหนึ่งที่ต้องเดินทางเข้าออกประเทศไทยด้วยเครื่องบินต้องใช้บริการ นอกจากนั้นการบินไทยยังถือหุ้นใหญ่โดยรัฐที่มี “ศักดิ์ศรี” ที่จะต้องรักษาบริษัทไว้ ดังนั้น ราคาหรือมูลค่าตลาดของหุ้นการบินไทยในช่วงนั้นจึงดู “ไม่สมศักดิ์ศรี” ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องกำไรขาดทุนหรือฐานะการเงินอะไรทั้งสิ้น เหตุการณ์หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น หุ้นการบินไทยปรับตัวขึ้นมหาศาลสมกับฐานะหรือศักดิ์ศรีของบริษัทคือกว่าแสนล้านบาท
ลองมาดูบริษัทเอกชนธรรมดาที่สถานะหรือตำแหน่งในตลาดหรือในระบบเศรษฐกิจ “ยิ่งใหญ่” แต่ในช่วงหนึ่งราคาหุ้นหรือมูลค่าตลาดของหุ้น “ไม่สมศักดิ์ศรี” ตัวแรกก็คือ หุ้น CPF ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ฐานะของบริษัทในสังคมการค้าและอุตสาหกรรมทางด้านอาหารนั้นเป็นที่ประจักษ์มานาน ยอดขายของบริษัทก็สูงเป็นแสนล้านบาทและยังเติบโตไปเรื่อย ๆ แต่ย้อนหลังไปเพียง 3-4 ปี มูลค่าหุ้นของบริษัทก็เพียงแค่ 2-3 หมื่นล้านถ้าผมจำไม่ผิด และก็อย่างที่เห็น หุ้น CPF ปรับตัวขึ้นมารับกับศักด์ศรีของบริษัทในฐานะที่เป็นผู้ผลิตอาหารที่ใหญ่ที่สุดของไทยและอาจจะเติบโตยิ่งใหญ่ในระดับโลกได้ มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็นเกือบสองแสนล้านบาท
หุ้นอีกตัวหนึ่งซึ่งบังเอิญอยู่ในกลุ่มของ CP เช่นเดียวกันก็คือ หุ้น CPALL ย้อนหลังไปเพียง 3-4 ปีเช่นเดียวกัน ศักดิ์ศรีของบริษัทก็คือ เป็นผู้นำที่โดดเด่นในตลาดสะดวกซื้อที่คนไทยนับวันจะใช้บริการมากขึ้นและในที่สุดก็น่าจะทั้งประเทศ สำหรับหลาย ๆ คนแล้ว การขาดร้าน 7-11 นั้นก็จะเป็นการ “ยุ่งยาก” หรือ “ไม่สะดวก” เอามาก ๆ แต่ในขณะนั้น หุ้นของ CPALL ซึ่งโดยศักยภาพนั้นน่าจะมียอดขายเป็นแสนล้านบาทขึ้นไปกลับมี Market Cap. เพียง 3-4 หมื่นล้านบาทโดยไม่มีหนี้เงินกู้เลย เป็นไปได้อย่างไรที่กิจการที่คนทั้งประเทศต้องใช้บริการเกือบทุกวันโดยที่หาคู่แข่งแทบไม่ได้จะมีมูลค่าเพียงเท่านั้น และก็อย่างที่เห็น หุ้น CPALL ปรับตัวขึ้นเป็นเกือบสองแสนล้านบาทสมกับศักดิ์ศรีที่ควรจะเป็น
การดูว่าราคาหรือมูลค่าหุ้นนั้นสมกับศักดิ์ศรีของกิจการหรือไม่เป็นศิลปะอยู่มากทีเดียวเนื่องจากตัวเลขผลการดำเนินงานในขณะที่วิเคราะห์นั้นใช้ไม่ได้ หลายครั้งต้องใช้จินตนาการว่าอนาคตของบริษัทจะเป็นอย่างไรใน 5 ปี 10 ปีหรือยาวกว่านั้น การวิเคราะห์ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ถ้าทำถูก ผลตอบแทนก็มหาศาล
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 7
ถ้ากิจการนั้นเป็นเบอร์1 ในตลาดเกิน 20ปี มีรายได้แน่นอน
และกำไร NPMแน่นอน
สินค้าจำเป็นต้องใช้
และแบรนด์นั้นก้มี brand royality
ผมอยากจะทราบว่าเพื่อนๆ จะให้น้ำหนัก MK cap เท่าไหร่ครับ
ถ้าในอุตสาหกรรมนี้ มีขนาดประมาณ 11000-12000 ล้าน
และกำไร NPMแน่นอน
สินค้าจำเป็นต้องใช้
และแบรนด์นั้นก้มี brand royality
ผมอยากจะทราบว่าเพื่อนๆ จะให้น้ำหนัก MK cap เท่าไหร่ครับ
ถ้าในอุตสาหกรรมนี้ มีขนาดประมาณ 11000-12000 ล้าน
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 8
ผมอยากถามว่าถ้าในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ลำดับ2 มี mkcap 8000 ล้าน ครองส่วนแบ่งการตลาด 20-25%
และลำดับ1 มี mkcap 5700 ล้าน ครองส่วนแบ่งการตลาด 50-60%
ผมถามว่า
มันสมศักดิ์ศรีกันไหมครับ
กลายเป็นว่า คนอันดับสองในอุตสาหกรรม มีmkcap> คนลำดับหนึ่ง
และในความเป็นจริง อันดับ1ครองตลาดมาเกิน10ปี+
ผมว่าบางครั้ง แค่ยี่ห้อของแบรนด์ ก้มีค่าความนิยม >ราคาในกระดานเสียอีก
และอะไรคือ ศักดิ์ศรีครับ ถ้าอันดับ1 มีมูลค่าตลาด<อันดับ2
ลำดับ2 มี mkcap 8000 ล้าน ครองส่วนแบ่งการตลาด 20-25%
และลำดับ1 มี mkcap 5700 ล้าน ครองส่วนแบ่งการตลาด 50-60%
ผมถามว่า
มันสมศักดิ์ศรีกันไหมครับ
กลายเป็นว่า คนอันดับสองในอุตสาหกรรม มีmkcap> คนลำดับหนึ่ง
และในความเป็นจริง อันดับ1ครองตลาดมาเกิน10ปี+
ผมว่าบางครั้ง แค่ยี่ห้อของแบรนด์ ก้มีค่าความนิยม >ราคาในกระดานเสียอีก
และอะไรคือ ศักดิ์ศรีครับ ถ้าอันดับ1 มีมูลค่าตลาด<อันดับ2
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
- อ่อนซ่อนศิลป์
- Verified User
- โพสต์: 274
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 9
ศักดิ์ศรี คือ เรารีบไปซื้อตัวอันดับ 1 ดีไหมครับchukieat30 เขียน:ผมอยากถามว่าถ้าในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ลำดับ2 มี mkcap 8000 ล้าน ครองส่วนแบ่งการตลาด 20-25%
และลำดับ1 มี mkcap 5700 ล้าน ครองส่วนแบ่งการตลาด 50-60%
ผมถามว่า
มันสมศักดิ์ศรีกันไหมครับ
กลายเป็นว่า คนอันดับสองในอุตสาหกรรม มีmkcap> คนลำดับหนึ่ง
และในความเป็นจริง อันดับ1ครองตลาดมาเกิน10ปี+
ผมว่าบางครั้ง แค่ยี่ห้อของแบรนด์ ก้มีค่าความนิยม >ราคาในกระดานเสียอีก
และอะไรคือ ศักดิ์ศรีครับ ถ้าอันดับ1 มีมูลค่าตลาด<อันดับ2
เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาคือของจริง
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 10
พี่อ่อนซ่อนศิลป์ครับ
เราควรซื้อเบนซ์ในราคายาริส หรือ ซื้อ ยาริสในราคารถเบนซ์ครับ
ถ้าสินค้าในอันดับ1ในอุตสาหกรรม กิจการทั้งหมด ถูกกว่า กิจการเบอร์2 เกือบ50%
การเลือกหุ้นบางทีก้ดูที่ pe pbv
หรือ คำนวนหาส่วนลดด้วยวิธี DCF
แต่ทั้งสองวิธี ไม่เห็นมีการนำค่าความนิยม หรือ มูลค่าของแบรนด์ ไปคิดเลย
ชื่อชั้นของแบรนด์อันดับ1 กลายเป็นแค่ เศษกระดาษ
ถ้าแบบนั้น โค๊ก แปะ ยี่ห้ออื่นแล้วมาเสนอขายว่า ยี่ห้อนี้ คือ โค๊ก
แบบนั้น คนจะว่าไงครับ
เราควรซื้อเบนซ์ในราคายาริส หรือ ซื้อ ยาริสในราคารถเบนซ์ครับ
ถ้าสินค้าในอันดับ1ในอุตสาหกรรม กิจการทั้งหมด ถูกกว่า กิจการเบอร์2 เกือบ50%
การเลือกหุ้นบางทีก้ดูที่ pe pbv
หรือ คำนวนหาส่วนลดด้วยวิธี DCF
แต่ทั้งสองวิธี ไม่เห็นมีการนำค่าความนิยม หรือ มูลค่าของแบรนด์ ไปคิดเลย
ชื่อชั้นของแบรนด์อันดับ1 กลายเป็นแค่ เศษกระดาษ
ถ้าแบบนั้น โค๊ก แปะ ยี่ห้ออื่นแล้วมาเสนอขายว่า ยี่ห้อนี้ คือ โค๊ก
แบบนั้น คนจะว่าไงครับ
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
- อ่อนซ่อนศิลป์
- Verified User
- โพสต์: 274
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 11
เอ๊ะ ชักงงๆ พอดีที่ผมดูก็เห็นว่า
ตัวอันดับ 1 มาร์เก็ตเเชร์ 50% มีราคาถูกกว่าตัวอันดับ 2 เลยคิดว่าถ้าจะซื้อ สองตัวนี้ก็ซื้อที่ตัว1 สิ
ตัวอันดับ 1 มาร์เก็ตเเชร์ 50% มีราคาถูกกว่าตัวอันดับ 2 เลยคิดว่าถ้าจะซื้อ สองตัวนี้ก็ซื้อที่ตัว1 สิ
เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาคือของจริง
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 12
ก้นั่นสิครับอ่อนซ่อนศิลป์ เขียน:เอ๊ะ ชักงงๆ พอดีที่ผมดูก็เห็นว่า
ตัวอันดับ 1 มาร์เก็ตเเชร์ 50% มีราคาถูกกว่าตัวอันดับ 2 เลยคิดว่าถ้าจะซื้อ สองตัวนี้ก็ซื้อที่ตัว1 สิ
เมื่อหุ้นอันดับ1 ถูกละเลยด้านคุณค่า ผมว่าเป็นโอกาศ
วอเรนท์ซื้อโค๊กเพราะอะไร ผมมองว่า วอเรนท์มองออกว่า โค๊กจะชนะในตลาด
และทุกคนต้องกินมัน
ดังนั้น การจะทำน้ำดื่มสักยี่ห้อมาแข่งกับโค๊กคงทำได้ยาก เพราะ โค๊กมีแบรนด์รอยัลลิตี้
แล้ว การจะเปลี่ยนให้คนมาดื่มยี่ห้ออื่นทำได้ยาก
ผมขอเรียกว่า โค๊กมี DCAของแบรนด์ กล่าวคือ น้ำดำทำไม่ยาก แต่แบรนด์น้ำดำ
อย่างโค๊ก ตัวโค๊กเอง มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนครับ
เท่าที่ผมดูบางแบรนด์ในอุตสาหกรรม อันดับ2มูลค่ากิจการทั้งตลาดแพงกว่าอันดับ1
ทั้งๆที่
1.แบรนด์นั้นมี npm ต่ำกว่าแบรนด์อันดับ1 มาก เพราะใช้กลยุทธราคาเข้าห้ำหั่น
แต่ท้ายสุด
ก้ยังตีตลาดไม่ได้ ยังแซงเบอร์1ไม่ได้
อาการแบบนี้ ระยะยาว ผมมองว่าไม่ดี เพราะยิ่งแข่งก้ยิ่งกินทุน กำไรยิ่งหดลงๆๆ
2.หลายคนมองว่าแบรนด์นี้คืออนาคต ผมกลับมองว่า
อนาคตของโลกเรา คนแก่จะเยอะขึ้น เพราะคนสมัยก่อนมีลูกมาก แต่ปัจจุบัน
คนคุมกำเนิด ทำให้อนาคต คนแก่ยังไงก้มากกว่าคนหนุ่มสาว
ปีระมิดมันเริ่มจะเปลี่ยนไป ดูญี่ปุ่นสิครับ คนแก่มีมาก ขาดแรงงาน
ดังนั้นสินค้า ที่คนแก่ ใช้ แบรนด์ที่คนมีอายุ30+ ใช้
น่าจะดีกว่า และทำกำไรได้มากกว่าพวกขายของให้พวกเด็กวัยรุ่น
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
- anubist
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1369
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 13
พี่ชูเกียรติครับ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเบอร์1จะต้องมีราคาสูงขึ้นไปจนmarket capต้องมากกว่าเบอร์2นะครับ
เบอร์2อาจต้องลดราคาจนmarket capต่ำกว่าเบอร์1ก็ได้
ตัวหนึ่งอาจunder value หรืออีกตัวอาจover valueก็ได้นะครับ
เบอร์2อาจต้องลดราคาจนmarket capต่ำกว่าเบอร์1ก็ได้
ตัวหนึ่งอาจunder value หรืออีกตัวอาจover valueก็ได้นะครับ
ทุนน้อยและหลุดดอยแล้ว เย้ๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1049
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 14
ศักดิ์ศรีบางทีเป็นปัจจัยในการตัดสินใจถือหุ้นนานด้วยครับ
ผมเคยเอามาคิดและซื้อหุ้นด้วยเหมือนกัน.
ขอบคุณ อ.ดร.นิเวศน์ ที่เขียนบทความนี้ ทำให้บางครั้งผมอยู่ในภาวะก้ำกึ่งพอเอาศักดิ์ศรีของธุรกิจมาเปรียบเทียบ
ทำให้หักลบกลบปัจจัยอื่นได้เยอะ
สุดท้ายก็เป็นอย่างท่านบอกทุกประการ
ผมเคยเอามาคิดและซื้อหุ้นด้วยเหมือนกัน.
ขอบคุณ อ.ดร.นิเวศน์ ที่เขียนบทความนี้ ทำให้บางครั้งผมอยู่ในภาวะก้ำกึ่งพอเอาศักดิ์ศรีของธุรกิจมาเปรียบเทียบ
ทำให้หักลบกลบปัจจัยอื่นได้เยอะ
สุดท้ายก็เป็นอย่างท่านบอกทุกประการ
อย่าหลุดแนวที่ตัวเองถนัด สู้สู้
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 15
มีอีกความเป็นไปได้คือ อันดับ 1 ราคา fair value อันดับ 2 แพงchukieat30 เขียน:ผมอยากถามว่าถ้าในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ลำดับ2 มี mkcap 8000 ล้าน ครองส่วนแบ่งการตลาด 20-25%
และลำดับ1 มี mkcap 5700 ล้าน ครองส่วนแบ่งการตลาด 50-60%
ผมถามว่า
มันสมศักดิ์ศรีกันไหมครับ
กลายเป็นว่า คนอันดับสองในอุตสาหกรรม มีmkcap> คนลำดับหนึ่ง
และในความเป็นจริง อันดับ1ครองตลาดมาเกิน10ปี+
ผมว่าบางครั้ง แค่ยี่ห้อของแบรนด์ ก้มีค่าความนิยม >ราคาในกระดานเสียอีก
และอะไรคือ ศักดิ์ศรีครับ ถ้าอันดับ1 มีมูลค่าตลาด<อันดับ2
หรือว่าแพงทั้งคู่ แต่อันดับ 2 แพงมาก
ความสัมพันธ์ลักษณะนี้ ผมว่าอาจจะไม่สัมพันธ์กันอย่างที่เราคิดนะครับ ตัวอย่างคือ
Advanc mkt cap 600,000 ล้าน ส่วน True 80,000 ล้าน
mkt share ต่างกันแค่ครึ่งเดียวเองครับ
วิธีการใช้ mkt cap นี่ผมว่าอาร์ตสุดแล้วล่ะครับ ไม่มีสูตรสำเร็จ และไม่มีเคล็ดวิชาครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
-
- Verified User
- โพสต์: 66
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 17
ต้องเอาสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินได้ ลบจากหนี้สินputin เขียน:อยากทราบว่า การนำ mkcap มาคิดต้องนำไปลบกับหนี้สินด้วยไหมครับ
ถ้าเป็นบวก ก็เอาไปลบกับ market cap
ถ้าเป็นลบ ก็เอาไปบวกกับ market cap ครับ
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 18
ส่วนตัวนะย้ำว่าส่วนตัวอาจไม่เหมือนกับ ดร. ก็ได้ คิดงี้thitaphat168 เขียน:การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไม่ แบบดร.นิเวศน์
คือแบบไหนครับ รบกวนอธิบายด้วยครับ
ขอบคุณครับ
สมมติ ว่าผมรวยมากอยากซื้อทั้งบริษัท ผมเอาเงินสดในบ้านไปซื้อทั้งบริษัท ก็ต้องจ่ายเท่า Market Cap ใช่มั๊ย โอเค
1 เอา Market Cap ทั้งหมด (ต้องจ่าย)---------- X
จบรึยัง ยัง เพราะบริษัท มีหนี้สินด้วย เอ้า ผมเป็นเจ้าของผมก็ต้องจ่ายอีก
2 บวก หนี้สิน----------- Y
3 ลบเงินสด----------- Z
..............
ดูเปรียบเทียบ (ส่วนตัวชอบดู 3 อย่าง)
1 Sales/ (X+Y-Z)
2 Profits / (X+Y-Z)
3 Growth อันนี้ส่วนใหญ่ดูปัจจัย qualitative มากกว่า
สุดท้าย เสาะหาข้อมูลของคู่แข่งให้ได้อย่างน้อย หนึ่งบริษัทและเทียบคู่
ยิ่งหามาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ยิ่งดี
หาข้อมูลของลูกค้าและซัพพลายเออร์ด้วย ยิ่ง มาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ยิ่งดี
จบ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 3404
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 21
จากการวิเคราะห์ในความคิดผม การยึดแบรนด์สินค้าในปัจจุบันเริ่มไม่หนักแน่นเหมือนในอดีต คนปัจจุบันเน้นความสะดวกสบาย ไม่ยึดติดกับแบรนด์พร้อมตีจากถ้าสินค้าใหม่ดีและถูกกว่า สังเกตุจากบริษัทที่คุณchukieat30 อ้างถึง #2 จากการวิเคราะห์ของผมเขาทำการตลาดดุดันกว่า และเด็กวัยรุ่นสมัยใหม่นิยมมากกว่ามาก(ผมเคยสำรวจมา) แต่ผมว่า มูลค่าตลาดก็แพงมาก ส่วน#1 ก็ไม่มีตัวเร่งที่น่าสนใจ ราคาตลาดจึงเป็นอย่างที่เห็น ส่วนคำว่ามันสมศักดิ์ศรีหรือเปล่า ผมว่าตอบยาก เวลาเจอที่หุ้นที่บอกว่าการดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไม่ เวลาเจอมันจะบอกเราทันที่ว่านี่ไม่สมศักดิ์ศรี แต่มันก็ขึ้นอยู่กับการที่เราต้องเข้าใจลักษณะธุรกิจนั้นเป็นอย่างดีLinzhi เขียน:มีอีกความเป็นไปได้คือ อันดับ 1 ราคา fair value อันดับ 2 แพงchukieat30 เขียน:ผมอยากถามว่าถ้าในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ลำดับ2 มี mkcap 8000 ล้าน ครองส่วนแบ่งการตลาด 20-25%
และลำดับ1 มี mkcap 5700 ล้าน ครองส่วนแบ่งการตลาด 50-60%
ผมถามว่า
มันสมศักดิ์ศรีกันไหมครับ
กลายเป็นว่า คนอันดับสองในอุตสาหกรรม มีmkcap> คนลำดับหนึ่ง
และในความเป็นจริง อันดับ1ครองตลาดมาเกิน10ปี+
ผมว่าบางครั้ง แค่ยี่ห้อของแบรนด์ ก้มีค่าความนิยม >ราคาในกระดานเสียอีก
และอะไรคือ ศักดิ์ศรีครับ ถ้าอันดับ1 มีมูลค่าตลาด<อันดับ2
หรือว่าแพงทั้งคู่ แต่อันดับ 2 แพงมาก
ในเกมการเงิน อะไรที่ไม่รู้ คือ ความเสี่ยง
-
- Verified User
- โพสต์: 70
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 22
แล้วผมถามต่อเล่นๆว่า ถ้าบริษัท หนึ่งในธุรกิจอาหาร มี market cap ประมาณ 1 หมื่นล้าน
แบรนด์แข็งแกร่งมาอย่างยาวนาน อำนาจต่อรองสูง
ภายหลังธุรกิจมีการเติบโตของยอดขาย อยู่ที่ 15-20 % ต่อปีเนื่องจากขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น
แต่ก็ยังคงอัตรากำไรสุทธิได้อยุ่ที่ 10-13 % ต่อปี ได้อย่างแข็งแกร่ง
โดยที่คาดว่าในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า น่าจะเติบโตในระดับนี้ได้อย่างต่อเนื่อง
ถ้าเพื่อนๆเจอบริษัทนี้ในขณะที่ PE อยู่ที่ 25 -30
ในขณะที่ต้นทุนของเงินลงทุน อยู่ที่ 8.5%
ถามว่าจะเพื่อนๆจะยอมลงทุนมั้ยกับกับ รูปแบบธุรกิจประมาณนี้
แบรนด์แข็งแกร่งมาอย่างยาวนาน อำนาจต่อรองสูง
ภายหลังธุรกิจมีการเติบโตของยอดขาย อยู่ที่ 15-20 % ต่อปีเนื่องจากขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น
แต่ก็ยังคงอัตรากำไรสุทธิได้อยุ่ที่ 10-13 % ต่อปี ได้อย่างแข็งแกร่ง
โดยที่คาดว่าในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า น่าจะเติบโตในระดับนี้ได้อย่างต่อเนื่อง
ถ้าเพื่อนๆเจอบริษัทนี้ในขณะที่ PE อยู่ที่ 25 -30
ในขณะที่ต้นทุนของเงินลงทุน อยู่ที่ 8.5%
ถามว่าจะเพื่อนๆจะยอมลงทุนมั้ยกับกับ รูปแบบธุรกิจประมาณนี้
"If I had six hours to chop down a tree, I'd spend the first four hours sharpening the axe"
"ถ้าข้าพเจ้ามีเวลา 6 ชั่วโมงในการตัดต้นไม้ ข้าพเจ้าจะใช้เวลา 4 ชั่วโมงแรก ลับขวานให้คม"
Abraham Lincoln
"ถ้าข้าพเจ้ามีเวลา 6 ชั่วโมงในการตัดต้นไม้ ข้าพเจ้าจะใช้เวลา 4 ชั่วโมงแรก ลับขวานให้คม"
Abraham Lincoln
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 23
เอาหล่ะ สูดหายใจลึก ๆ โจทย์มาแบบไม่ครบ ก็จะวิเคราะห์แบบไม่ต้องใช้ Excelwoosaa เขียน:แล้วผมถามต่อเล่นๆว่า ถ้าบริษัท หนึ่งในธุรกิจอาหาร มี market cap ประมาณ 1 หมื่นล้าน
แบรนด์แข็งแกร่งมาอย่างยาวนาน อำนาจต่อรองสูง
ภายหลังธุรกิจมีการเติบโตของยอดขาย อยู่ที่ 15-20 % ต่อปีเนื่องจากขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น
แต่ก็ยังคงอัตรากำไรสุทธิได้อยุ่ที่ 10-13 % ต่อปี ได้อย่างแข็งแกร่ง
โดยที่คาดว่าในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า น่าจะเติบโตในระดับนี้ได้อย่างต่อเนื่อง
ถ้าเพื่อนๆเจอบริษัทนี้ในขณะที่ PE อยู่ที่ 25 -30
ในขณะที่ต้นทุนของเงินลงทุน อยู่ที่ 8.5%
ถามว่าจะเพื่อนๆจะยอมลงทุนมั้ยกับกับ รูปแบบธุรกิจประมาณนี้
เอานะ จะมั่วแล้วนะ ลุย
โอเค ต้นทุนเงินลงทุนอยู่ที่ 8.5% ผมไม่มีตังค์เลยไปยืมเพื่อนมา เพื่อนบอก โอเคไอ้เกลอ ดอก 8.5%
ยืมมันมา 10000 บาท จ่ายดอกให้มัน 850 บาท
เอาไปซื้อบริษัทดังว่าออกมาจากตลาดหลักทรัพย์เลย 555 ไม่ต้องเทรดแล้วเพราะเราเป็นเจ้าของคนเดียวเลยไม่ขายให้ใครอีกต่อไป จากราคา ณ วันซื้อ PE 25 และต่อไปนี้ไม่มีการเทรดอีกต่อไปเพราะบริษัทเป็นของผมคนเดียว
โฮ่ โฮ่ โฮ่ ถูกเป็นบ้า ซื้อหมดเลยทั้งบริษัท
แสดงว่า 10000 (PE 25 แสดงว่า บริษัท มีกำไร 4 %)
แสดงว่า ปีแรก
จ่าย ไป 10000 จ่ายดอก 850 ได้กำไร 400 จ่ายจริง 10450
อัตราการเติบโต 15-20% ปล. อัตราเติบโตของยอดขาย กำไรโตมั๊ย โอเคบริษัทแข็งแกร่ง สมมติให้กำไร โต 20% เลย เรามันพวกมองโลกแง่ดี
ปีที่ 1 กำไร 480 จ่ายดอก 850 ติดลบ 370
เอาหล่ะ เราคิดเลยว่าโตต่อเนื่อง 20% ทุกปี (อะไรจาขนาดน้านนน ) แต่ยอม เราเชื่อมั่น
ปีที่ 2 กำไร 576 จ่ายดอก 274
ปีที่ 3 กำไร 691 จ่ายดอก 158
ปีที่ 4 กำไร 829 จ่ายดอก 20
ปีที่ 5 กำไร 994 ไม่ต้องจ่ายดอกแล้ว เหลือกำไรหลังหักดอก 144
โจทย์บอกว่าโตต่อเนื่อง 3-5 ปี ดังนั้น ภายหลังปีที่ 5 คิดว่ารายได้คงที่คือ 144
ดังนั้น จากปีที่ 6 ถึง 20 ได้เงินมาเท่ากับ 2160
ดังนั้น รวมรายได้ 20 ปี
= (-370)+(-274)+(-158)+(-20)+144+2160 = 1,482
ลงทุน 10450 ในปีที่ 0 ผ่านไป 20 ปี ได้คืนมา 1482
= 14% ภายใน 20 ปี
ไม่คิดเปอร์เซนต์ถดถอย แต่คิดเฉลี่ยเลย เพื่อความง่าย = 0.7% ต่อปี เงินฝากประจำปัจจุบัน ดอกเบี้ยน่าจะมากกว่านี้หรือไม่ในกรณีนี้
สิ่งที่ต้องดูต่อ
1 โตจริงหรือโตหลอก โตต่อเนื่อง หรือโตปีเดียวเพราะอะไร
2 มีคู่เทียบหรือไม่?
3 จากโจทย์ที่ให้มาบริษัทไม่มีหนี้สิน ในชีวิตจริงมีหรือไม่
ขำ ๆ นะครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 70
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 24
Nevercry.boy เขียน:เอาหล่ะ สูดหายใจลึก ๆ โจทย์มาแบบไม่ครบ ก็จะวิเคราะห์แบบไม่ต้องใช้ Excelwoosaa เขียน:แล้วผมถามต่อเล่นๆว่า ถ้าบริษัท หนึ่งในธุรกิจอาหาร มี market cap ประมาณ 1 หมื่นล้าน
แบรนด์แข็งแกร่งมาอย่างยาวนาน อำนาจต่อรองสูง
ภายหลังธุรกิจมีการเติบโตของยอดขาย อยู่ที่ 15-20 % ต่อปีเนื่องจากขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น
แต่ก็ยังคงอัตรากำไรสุทธิได้อยุ่ที่ 10-13 % ต่อปี ได้อย่างแข็งแกร่ง
โดยที่คาดว่าในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า น่าจะเติบโตในระดับนี้ได้อย่างต่อเนื่อง
ถ้าเพื่อนๆเจอบริษัทนี้ในขณะที่ PE อยู่ที่ 25 -30
ในขณะที่ต้นทุนของเงินลงทุน อยู่ที่ 8.5%
ถามว่าจะเพื่อนๆจะยอมลงทุนมั้ยกับกับ รูปแบบธุรกิจประมาณนี้
เอานะ จะมั่วแล้วนะ ลุย
โอเค ต้นทุนเงินลงทุนอยู่ที่ 8.5% ผมไม่มีตังค์เลยไปยืมเพื่อนมา เพื่อนบอก โอเคไอ้เกลอ ดอก 8.5%
ยืมมันมา 10000 บาท จ่ายดอกให้มัน 850 บาท
เอาไปซื้อบริษัทดังว่าออกมาจากตลาดหลักทรัพย์เลย 555 ไม่ต้องเทรดแล้วเพราะเราเป็นเจ้าของคนเดียวเลยไม่ขายให้ใครอีกต่อไป จากราคา ณ วันซื้อ PE 25 และต่อไปนี้ไม่มีการเทรดอีกต่อไปเพราะบริษัทเป็นของผมคนเดียว
โฮ่ โฮ่ โฮ่ ถูกเป็นบ้า ซื้อหมดเลยทั้งบริษัท
แสดงว่า 10000 (PE 25 แสดงว่า บริษัท มีกำไร 4 %)
แสดงว่า ปีแรก
จ่าย ไป 10000 จ่ายดอก 850 ได้กำไร 400 จ่ายจริง 10450
อัตราการเติบโต 15-20% ปล. อัตราเติบโตของยอดขาย กำไรโตมั๊ย โอเคบริษัทแข็งแกร่ง สมมติให้กำไร โต 20% เลย เรามันพวกมองโลกแง่ดี
ปีที่ 1 กำไร 480 จ่ายดอก 850 ติดลบ 370
เอาหล่ะ เราคิดเลยว่าโตต่อเนื่อง 20% ทุกปี (อะไรจาขนาดน้านนน ) แต่ยอม เราเชื่อมั่น
ปีที่ 2 กำไร 576 จ่ายดอก 274
ปีที่ 3 กำไร 691 จ่ายดอก 158
ปีที่ 4 กำไร 829 จ่ายดอก 20
ปีที่ 5 กำไร 994 ไม่ต้องจ่ายดอกแล้ว เหลือกำไรหลังหักดอก 144
โจทย์บอกว่าโตต่อเนื่อง 3-5 ปี ดังนั้น ภายหลังปีที่ 5 คิดว่ารายได้คงที่คือ 144
ดังนั้น จากปีที่ 6 ถึง 20 ได้เงินมาเท่ากับ 2160
ดังนั้น รวมรายได้ 20 ปี
= (-370)+(-274)+(-158)+(-20)+144+2160 = 1,482
ลงทุน 10450 ในปีที่ 0 ผ่านไป 20 ปี ได้คืนมา 1482
= 14% ภายใน 20 ปี
ไม่คิดเปอร์เซนต์ถดถอย แต่คิดเฉลี่ยเลย เพื่อความง่าย = 0.7% ต่อปี เงินฝากประจำปัจจุบัน ดอกเบี้ยน่าจะมากกว่านี้หรือไม่ในกรณีนี้
สิ่งที่ต้องดูต่อ
1 โตจริงหรือโตหลอก โตต่อเนื่อง หรือโตปีเดียวเพราะอะไร
2 มีคู่เทียบหรือไม่?
3 จากโจทย์ที่ให้มาบริษัทไม่มีหนี้สิน ในชีวิตจริงมีหรือไม่
ขำ ๆ นะครับ
ขอบคุณที่ ตอบครับ
ในส่วนคำตอบเพิ่มเติมนะครับ
1 โตจริงหรือโตหลอก โตต่อเนื่อง หรือโตปีเดียวเพราะอะไร
-โตจริงต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง ครับไม่ใช่กำไรปีเว้นปี กำไรโตจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
2 มีคู่เทียบหรือไม่?
มีครับแต่ที่ 2 ที่ที่คล้ายๆกันแต่คงเอามาเทียบกันผมไม่แน่ใจว่ามันจะเทียบกันได้อย่างเห็นภาพจริงหรือไม่ mk cap 1000 ล้าน กับ หมื่นล้าน
3 จากโจทย์ที่ให้มาบริษัทไม่มีหนี้สิน ในชีวิตจริงมีหรือไม่
มีครับแต่ไม่สูงเงินสดเหลือเยอะน่าจะอยู่ในช่วย cash cow จะโตเยอะๆขยายสาขาอย่างเดียวไม่พอคงต้องเข้าซื้อกิจการ
เอาเป็นประเด็น การเติบโตของกำไร ก็เฉลี่ย ปีละ 10-13% ครับ เพราะฉนั้นจากหลัการคำนวณคร่าวๆ ก็จะเป็นรุปแบบประมาณนี้ครับ
ปีที่ 1 กำไร 440 จ่ายดอก 850 ติดลบ 410
ผมขอเลขกลมๆนะครับ กำไรโต 10% ทุกปี
ปีที่ 2 กำไร 484 จ่ายดอก 366
ปีที่ 3 กำไร 532 จ่ายดอก 318
ปีที่ 4 กำไร 585 จ่ายดอก 265
ปีที่ 5 กำไร 644 จ่ายดอก 206
ปีที่ 6 กำไร 708
ปีที่ 7 กำไร 779
ปีที่ 8 กำไร 857 โอ้ว 8 ปีกว่าจะได้ค่าดอกปีละ 7
อีก 12 ปี ปีละ 7 = 84 กำไร 20ปี ก็ไม่ถึง 7% ด้วยซ้ำไป
ยังงี้แสดงว่า ถ้าคิดจากตัวเลขคร่าวๆแนวนี้นี่ถ้าถือไป 8 ปี เพิ่งจะได้ค่าดอก
แสดงว่าถ้าเงินไม่เย็นเป็นน้ำแข็งจริงๆการซื้อหุ้นที่ PE 25 นี่ถือว่าโหดมากเลย ถูกมั้ยครับ
สำหรับการกู้มาลงทุน หรือจะย้าย ตัวหุ้นจากตัวเดิมที่ได้ผลตอบแทนแน่นอน 8.5% ต่อปี มาเป็นตัวนี้
ถ้าคำนวนด้วยเงินผมคงไม่กล้าเข้ามาถือหุ้นตัวนี้แน่ครับกำลังลังเล แต่แบรนด์แข็งแกร่งมาก ถ้าเข้าซื้อกิจการอื่นเพิ่ม กำไรอาจจะโตได้ถึง 20% ต่อปี ตามที่คำนวน แต่คาดว่าก็คงทำกำไรโต 20% ต่อปี ไปได้ในระยะยาวสุดท้ายก็คงกลับมายืนที่ 10 กว่า% ต่อปีเหมือนเดิม
แต่ ผลตอบแทน 20 ปีที่ 7% นี่ ยังงี้ถือหุ้นเดิมที่ ได้ปันผล 8.5% ต่อไปดีกว่า ถูกต้องมั้ยครับ
"If I had six hours to chop down a tree, I'd spend the first four hours sharpening the axe"
"ถ้าข้าพเจ้ามีเวลา 6 ชั่วโมงในการตัดต้นไม้ ข้าพเจ้าจะใช้เวลา 4 ชั่วโมงแรก ลับขวานให้คม"
Abraham Lincoln
"ถ้าข้าพเจ้ามีเวลา 6 ชั่วโมงในการตัดต้นไม้ ข้าพเจ้าจะใช้เวลา 4 ชั่วโมงแรก ลับขวานให้คม"
Abraham Lincoln
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 25
หุ้นที่มี Market Cap ประมาณ 1x,xxx ล้าน ขยายสาขาได้ มีแบรนด์ ธุรกิจอาหารwoosaa เขียน: ขอบคุณที่ ตอบครับ
ในส่วนคำตอบเพิ่มเติมนะครับ
1 โตจริงหรือโตหลอก โตต่อเนื่อง หรือโตปีเดียวเพราะอะไร
-โตจริงต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง ครับไม่ใช่กำไรปีเว้นปี กำไรโตจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
2 มีคู่เทียบหรือไม่?
มีครับแต่ที่ 2 ที่ที่คล้ายๆกันแต่คงเอามาเทียบกันผมไม่แน่ใจว่ามันจะเทียบกันได้อย่างเห็นภาพจริงหรือไม่ mk cap 1000 ล้าน กับ หมื่นล้าน
3 จากโจทย์ที่ให้มาบริษัทไม่มีหนี้สิน ในชีวิตจริงมีหรือไม่
มีครับแต่ไม่สูงเงินสดเหลือเยอะน่าจะอยู่ในช่วย cash cow จะโตเยอะๆขยายสาขาอย่างเดียวไม่พอคงต้องเข้าซื้อกิจการ
ผมเดาว่า S&P มี PE ประมาณ 2x
1. การเติบโตในระยะสั้นนั้นมีแนวโน้มก้าวกระโดดหรือไม่
2. Same Store Sales เป็นเท่าไร
3. การที่มีการเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการจะเป็นจุดเปลี่ยนทางธุรกิจ
ปล. ผมไม่ติดตามมากพอครับที่จะบอกว่าดีไม่ดีควรไม่ควร
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 70
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 26
ขอบคุณที่ตอบครับ
บริษัทไกล้เคียงครับแต่ไม่ใช่s&p. ตรงๆ ตอนนี้อยู่นอกตลาดครับไม่นานคงได้เข้ามา แล้วหลายๆคนคงได้ตามแกะงบกันแน่นอนครับ
พอดีที่ผมต้องการจะสื่อคือ ผมไม่แน่เรื่องการดู Mkt cap ว่าอะไรคือเหมาะสมอะไรคือไม่เหมาะสม
บริษัทแนวนี้ต้องมาร์เก็ตแค็ปเท่านี้จึงจะเหมาะสม หรือการใช้PE ผมเคยอ่านตามบทสัมภาษณ์หรือบทความเซียนๆหลายๆท่าน ว่าถ้าเป็นบริษัทที่ดี ยอดขายกำไรต่อต่อเนื่องสม่ำเสมอ หนี้ไม่สูง อำนาจต่อรองสูง ผู้บริหารดี เป็นผู้นำตลาด แบรนด์แข็งแกร่ง PE. 20 หรือ 25 เท่าก็ยังพอลุ้น
แต่สมมุติเฉยๆนะครับว่าบริษัทนี้เป็นฟูจิ ซึ่งเคสนี้คงไม่ใช่ เราจะลังเลขึ้นมั้ยในการเลือก
แต่ณ.ราคาที่เข้ามา PE. 25. ด้วยต้นทุนหรือค่าเสียโอกาสในการย้ายหุ้น มันก็คงต้องทำให้คิดหนักในการจะย้ายไปวัดดวงกับราคาใหม่ อย่างที่คำณวนกันเล่นๆ ไม่ได้เอาปัจจัย ที่มันซับซ้อนมากมายในการคิดเพื่อจะลงทุน
ก็ยังเห็นว่ามันจะมีความเสี่ยงที่อย่างน้อยต้องวัดกันไปยันปีที่8 มันก็เปรียบเสมือนค่าความเสี่ยงที่เราจะต้องแบกรับไว้ในการที่จะเลือกลงทุนในหุ้นตัวใหม่ เลยอยากดูแนวคิดน่ะครับว่า ถ้าเป็นเพื่อนๆพี่ๆในบอร์ดเจอเคสแบบนี้จะมีแนวคิดกันยังไงน่ะครับ
บริษัทไกล้เคียงครับแต่ไม่ใช่s&p. ตรงๆ ตอนนี้อยู่นอกตลาดครับไม่นานคงได้เข้ามา แล้วหลายๆคนคงได้ตามแกะงบกันแน่นอนครับ
พอดีที่ผมต้องการจะสื่อคือ ผมไม่แน่เรื่องการดู Mkt cap ว่าอะไรคือเหมาะสมอะไรคือไม่เหมาะสม
บริษัทแนวนี้ต้องมาร์เก็ตแค็ปเท่านี้จึงจะเหมาะสม หรือการใช้PE ผมเคยอ่านตามบทสัมภาษณ์หรือบทความเซียนๆหลายๆท่าน ว่าถ้าเป็นบริษัทที่ดี ยอดขายกำไรต่อต่อเนื่องสม่ำเสมอ หนี้ไม่สูง อำนาจต่อรองสูง ผู้บริหารดี เป็นผู้นำตลาด แบรนด์แข็งแกร่ง PE. 20 หรือ 25 เท่าก็ยังพอลุ้น
แต่สมมุติเฉยๆนะครับว่าบริษัทนี้เป็นฟูจิ ซึ่งเคสนี้คงไม่ใช่ เราจะลังเลขึ้นมั้ยในการเลือก
แต่ณ.ราคาที่เข้ามา PE. 25. ด้วยต้นทุนหรือค่าเสียโอกาสในการย้ายหุ้น มันก็คงต้องทำให้คิดหนักในการจะย้ายไปวัดดวงกับราคาใหม่ อย่างที่คำณวนกันเล่นๆ ไม่ได้เอาปัจจัย ที่มันซับซ้อนมากมายในการคิดเพื่อจะลงทุน
ก็ยังเห็นว่ามันจะมีความเสี่ยงที่อย่างน้อยต้องวัดกันไปยันปีที่8 มันก็เปรียบเสมือนค่าความเสี่ยงที่เราจะต้องแบกรับไว้ในการที่จะเลือกลงทุนในหุ้นตัวใหม่ เลยอยากดูแนวคิดน่ะครับว่า ถ้าเป็นเพื่อนๆพี่ๆในบอร์ดเจอเคสแบบนี้จะมีแนวคิดกันยังไงน่ะครับ
"If I had six hours to chop down a tree, I'd spend the first four hours sharpening the axe"
"ถ้าข้าพเจ้ามีเวลา 6 ชั่วโมงในการตัดต้นไม้ ข้าพเจ้าจะใช้เวลา 4 ชั่วโมงแรก ลับขวานให้คม"
Abraham Lincoln
"ถ้าข้าพเจ้ามีเวลา 6 ชั่วโมงในการตัดต้นไม้ ข้าพเจ้าจะใช้เวลา 4 ชั่วโมงแรก ลับขวานให้คม"
Abraham Lincoln
- anubist
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1369
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 28
ไม่รู้ว่าอันไหนอันดับ1 แต่น้ำผลไม้ดื่มแต่ทิปโก้เว็ทจี้บีทรูท วิตามินเยอะดีpaperpong เขียน:ถามความเห็นเพื่อนๆหน่อยครับ
TIPCO. mkt cap. 2900+ล้าน
MALEE mkt cap. 6500+ล้าน
แบรนด์น้ำผลไม้อันดับ1 mkt. cap. สมศักดิ์ศรีหรือเปล่า
(ค่าบริหารแบรนด์อันดับ1สูงดี)
ส่วนเจ้าช่อมาลีชอบผลไม้กระป๋องครับ แพงกว่าเจ้าอื่นพอสมควร
ทุนน้อยและหลุดดอยแล้ว เย้ๆ
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 29
มองแบบนั้นยากครับ
TIPCO อาจจะเป็นอันดับ 1 ในหมวดน้ำผลไม้
แต่ธุรกิจที่เป็นน้ำผลไม้ TIPCO ถือหุ้น แค่50% ครับ อีกครึ่งเป็นญี่ปุ่น
ในขณะธุรกิจสัปปะรดกระป๋อง ที่มีกำไรผันผวนเป็นของ TIPCO 100%
Market cap ที่ต่างกัน บางทีมันก็ซ่อนอะไรบางอยู่
มันมีเหตุผลที่มันถูก หรือมันไม่สมเหตุสมผล ก็ต้องดูเป็น Case by case
หรืออย่างแบงค์ที่มียอดปล่อยกู้ และเงินฝากมากที่สุด แต่ market cap อาจจะน้อยกว่าอันดับ 2 หรือ 3
เหตุผลคือ ความสามารถในการทำกำไรด้อยกว่า การเติบโตด้อยกว่า
เคยสังเกตมาพักนึง Market cap แบงค์ใหญ่อันดับ 1 Market cap ก็เคยเป็นอันดับหนึ่ง
แต่พอผลกำไรโตช้ากว่า ROE ด้อยกว่า เวลาผ่านไป Market cap ของ Bank อันดับ 2 3 ก็ค่อยๆแซงขึ้นไป
ทั้งๆที่ ยอดเงินฝาก ยอดปล่อยสินเชื่อ ของแบงค์อันดับ 1 ก็ยังเป็นอันดับ 1 อยู่เหมือนเดิม
TIPCO อาจจะเป็นอันดับ 1 ในหมวดน้ำผลไม้
แต่ธุรกิจที่เป็นน้ำผลไม้ TIPCO ถือหุ้น แค่50% ครับ อีกครึ่งเป็นญี่ปุ่น
ในขณะธุรกิจสัปปะรดกระป๋อง ที่มีกำไรผันผวนเป็นของ TIPCO 100%
Market cap ที่ต่างกัน บางทีมันก็ซ่อนอะไรบางอยู่
มันมีเหตุผลที่มันถูก หรือมันไม่สมเหตุสมผล ก็ต้องดูเป็น Case by case
หรืออย่างแบงค์ที่มียอดปล่อยกู้ และเงินฝากมากที่สุด แต่ market cap อาจจะน้อยกว่าอันดับ 2 หรือ 3
เหตุผลคือ ความสามารถในการทำกำไรด้อยกว่า การเติบโตด้อยกว่า
เคยสังเกตมาพักนึง Market cap แบงค์ใหญ่อันดับ 1 Market cap ก็เคยเป็นอันดับหนึ่ง
แต่พอผลกำไรโตช้ากว่า ROE ด้อยกว่า เวลาผ่านไป Market cap ของ Bank อันดับ 2 3 ก็ค่อยๆแซงขึ้นไป
ทั้งๆที่ ยอดเงินฝาก ยอดปล่อยสินเชื่อ ของแบงค์อันดับ 1 ก็ยังเป็นอันดับ 1 อยู่เหมือนเดิม
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4549
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การดูmaket capเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น ว่าสมศักดิ์ศรีหรือไ
โพสต์ที่ 30
สุดยอดวิชา ผมเห็นด้วย ด้วยประการทั้งปวงครับ..leaderinshadow เขียน:มองแบบนั้นยากครับ
TIPCO อาจจะเป็นอันดับ 1 ในหมวดน้ำผลไม้
แต่ธุรกิจที่เป็นน้ำผลไม้ TIPCO ถือหุ้น แค่50% ครับ อีกครึ่งเป็นญี่ปุ่น
ในขณะธุรกิจสัปปะรดกระป๋อง ที่มีกำไรผันผวนเป็นของ TIPCO 100%
Market cap ที่ต่างกัน บางทีมันก็ซ่อนอะไรบางอยู่
มันมีเหตุผลที่มันถูก หรือมันไม่สมเหตุสมผล ก็ต้องดูเป็น Case by case
หรืออย่างแบงค์ที่มียอดปล่อยกู้ และเงินฝากมากที่สุด แต่ market cap อาจจะน้อยกว่าอันดับ 2 หรือ 3
เหตุผลคือ ความสามารถในการทำกำไรด้อยกว่า การเติบโตด้อยกว่า
เคยสังเกตมาพักนึง Market cap แบงค์ใหญ่อันดับ 1 Market cap ก็เคยเป็นอันดับหนึ่ง
แต่พอผลกำไรโตช้ากว่า ROE ด้อยกว่า เวลาผ่านไป Market cap ของ Bank อันดับ 2 3 ก็ค่อยๆแซงขึ้นไป
ทั้งๆที่ ยอดเงินฝาก ยอดปล่อยสินเชื่อ ของแบงค์อันดับ 1 ก็ยังเป็นอันดับ 1 อยู่เหมือนเดิม
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.