ควรยกเลิกกฏ คุณสมบัติผู้สมัคร สส. ต้องจบปริญญาตรีหรือไม่ ?

[ครรชิต ไพศาล]

ควรยกเลิกกฏ คุณสมบัติผู้สมัคร สส. ต้องจบปริญญาตรีหรือไม่ ?

ผมเห็นว่าควร ยกเลิกกฏข้อนี้

เพราะคนที่ไม่จบปริญญาตรี ที่เขามีความคิดดีๆ มีประสบการณ์ เยอะๆ
เป็นปราชญ์ชาวบ้านก็มากมาย ควรให้เข้ามาออกความคิดความเห็น ในมุมต่างๆ
เพื่อช่วยประเทศชาติ พิจารณาออกกฏหมายให้รอบคอบรอบด้านมากขึ้น

รัฐธรรมนูญไปตัดสิทธิ ของเขาทำไม  :roll:

[CK]

ผมคิดว่าไม่ควรครับ เป็นเรื่องของจิตวิทยามวลชนมากกว่าอย่างอื่น

ประการแรก คนส่วนใหญ่ที่จบปริญญาตรีได้ (จริงๆ)
มักจะมีความรู้ความเข้าใจในตัวบทกฎหมาย มากกว่าคนไม่รู้

ถึงแม้จะมีหลายคนที่ไม่จบป.ตรี แต่มีความรู้มากกว่าพวกจบป.เอก
แต่ก็นับว่าเป็นคนส่วนน้อย

การเปิดโอกาสให้คนเก่งๆ เหล่านี้เข้ามา
ก็เป็นการเปิดโอกาสให้คนไม่เก่งจำนวนมากเข้ามาด้วย
ทำให้มีโอกาสจะได้ส.ส.จำนวนมาก ที่ไม่รู้กฎหมายเข้ามานั่งในสภา

อันนี้พูดใน general sense นะครับ ไม่ได้แปลว่า
ส.ส.เราปัจจุบัน ส่วนใหญ่มีความรู้

ประการที่สอง การตั้งมาตรฐานเช่นนี้ จะช่วยผลักดันด้านการศึกษา
ของชนชั้นกลาง/ล่างได้

ถ้าให้ใครก็เข้ามาเป็นส.ส.ได้ พ่อแม่ก็จะบอกว่า เรียนสูงๆ ไปทำไม
ไม่ต้องเรียนก็เป็นส.ส.ได้ เป็นการปิดโอกาสที่จะให้เด็กได้ความรู้

[ครรชิต ไพศาล]

ส่วนในความคิดของผม

สส. ไม่จำเป็นต้อง มีความรู้ระดับปริญญาตรี ไม่จำเป็นต้องมีความชำนาญเรื่องกฏหมาย
เพราะในรัฐสภา มีสำนักงานที่มีหน้าที่ยกร่างกฎหมายอยู่แล้วครับ
ในนั้น มีข้าราชการที่มีความรู้ด้านกฎหมาย ระดับ ดร. ให้คำปรึกษาอยู่ตลอดเวลา
เมื่อ สส. คนไหน อยากออกกฏหมายเกี่ยวกับอะไร ก็เดินเข้าไปขอคำปรึกษา ได้ทุกเวลา
ข้าราชการระดับ ดร. ทางกฏหมายจะทำหน้าที่ ให้คำปรึกษาและยกร่างกฏหมายให้

เหมือนกับเราจะสร้างบ้าน เราไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในการออกแบบบ้านเป็น
เราก็เดินเข้าไปที่สำนักงานสถาปนิก แล้วบอกเขาว่า
เราต้องการสร้างบ้าน 5 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ มีห้องรับแขก
มีห้องโฮมเธียรเตอร์ มีห้องครัว มีที่จอดรถ 2 คัน มีสวนหน้าบ้าน  
แล้วสถาปนิกก็ร่างแบบให้เราดู
เรา พ่อแม่ลูก คนที่จะอยู่ในบ้านนั้น  
ก็มาช่วยกันพิจารณาว่าเป็นที่พอใจถูกใจ ของพวกเราหรือเปล่า
เมื่อลงมติด้วยเสียงข้างมาก พอใจแล้วว่า จะเอาบ้านแบบไหน
ก็ตกลงให้สร้างบ้านตามนั้น



หน้าที่ที่แท้จริงของ สส. ก็คือ ช่วยกันพิจารณาว่า กฏหมายที่จะออกมาบังคับนั้นๆ
จะมีผลกระทบต่อประชาชนทั้งประเทศ ทุกระดับชั้น อย่างไรบ้าง

เขาเคยพูดกันว่า
คนกลุ่มใดออกกฏหมาย ก็มักจะออกมา เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มนั้น

ดังนั้นผมจึงเห็นว่า ควรให้โอกาสแก่คนทุกระดับชั้นในสังคม
ที่จะสามารถเข้าไปเป็น สส.  เพื่อช่วยกันกันพิจารณาข้อดีข้อเสีย
ผลกระทบของกฏหมายที่จะออกมา มีต่อประชาชนทุกชั้นในสังคมอย่างไรบ้าง
เพราะกฏหมายออกมาเพื่อ บังคับใช้กับ ประชาชนทุกคน ทุกระดับชั้นในสังคม  ในแผ่นดิน โดยเท่าเทียมกัน

ผมจึงขอยกมือเห็นควร ให้ยกเลิกกฎที่ว่า ผู้สมัคร สส. ต้องสำเร็จปริญญาตรี ครับท่านประธาน  :lol:

[CK]

ถ้าจะให้สส.ทำหน้าที่ผ่านกฎหมายโดยเสรี
และเป็นผู้แทนของราษฎรจริงๆ

ต้องปลดล็อคเรื่อง "มติพรรค" ครับ

ไม่งั้นก็จะเกิดเหตุการณ์ผ่านกฎหมายแบบสุกเอาเผากิน
เหมือนรบ.ทักษิณ 1 ทำออกมาหลายครั้ง

จนสำนักพระราชวังต้องตีคืนมาให้พิจารณาใหม่

อีกอย่างครับ ในระบอบประชาธิปไตย
เสียงข้างมากไม่ใช่เสียงที่จะผ่านกฎหมาย
โดยเนื้อหาของรธน.ของสหรัฐฯ
เสียงข้างมาก เป็นเสียงที่ "ผิด" ครับ
เพราะคนส่วนมากของประเทศ
จะไม่รู้ว่า อะไรดีที่สุดสำหรับประเทศ

ถ้าสส. ยอมฟังเสียงชาวบ้านจริง จบปริญญาหรือไม่
ก็ไม่มีความสำคัญ

ดังนั้น การให้สส. ที่จบปริญญา เป็นตัวแทน
ก็ไม่น่าจะแตกต่างจาก ให้สส. ที่ไม่จบปริญญาเข้าไปด้วย

ถ้าไม่แตกต่าง การ set example ด้วยการให้สส. เป็นผู้ที่มีการศึกษา
จะเป็นการกระตุ้นให้คนให้ความสำคัญกับการศึกษามากขึ้น

[ครรชิต ไพศาล]

ต้องปลดล็อคเรื่อง "มติพรรค" ครับ

ประโยคนี้แหละ เป็นประโยคสำคัญ

1 . ถ้ามี ประโยคนี้ ฝ่ายรัฐบาล เสียงชนะขาดกันมากๆ ฝ่ายค้ายก็บอกว่า พวกมากลากไป

2. ถ้าไม่มีประโยคนี้ ระบบพรรคก็อ่อนแอ  รัฐบาลก็ไร้เสถียรภาพ

ตอนออก รัฐธรรมนูญ เที่ยวที่แล้ว สสร. เขาต้องการอย่างที่ 2.

มันจึงเป็นเช่นนั้นเอง   :lol:  :lol:

[ครรชิต ไพศาล]

ขอโทษที่ข้างบนผิด  :oops:

ต้องปลดล็อคเรื่อง "มติพรรค" ครับ  

ประโยคนี้แหละ เป็นประโยคสำคัญ

1 . ถ้ามี ประโยคนี้ ฝ่ายรัฐบาล เสียงชนะขาดกันมากๆ ฝ่ายค้ายก็บอกว่า พวกมากลากไป

2. ถ้าไม่มีประโยคนี้ ระบบพรรคก็อ่อนแอ  รัฐบาลก็ไร้เสถียรภาพ

ตอนออก รัฐธรรมนูญ เที่ยวที่แล้ว สสร. เขาไม่ต้องการให้เกิด เหตุการณ์ อย่างที่ 2.

มันเป็นเช่นนั้นเอง  มันจึงเป็นเช่นนี้  :lol:  :lol:

[CK]

ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมีหลายแบบครับ
แต่คนส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า majority is dangerous

ผมคิดว่า รธน.เรา copy มาผิด

ระบบสภาผู้แทนราษฎร กับระบบบริหารควรจะแยกจากกันชัดเจน

ระบบของอเมริกา การเลือกตั้งฝ่ายบริหาร จะเลือกจาก electorial votes
และให้ตัวแทนที่ได้รับเลือกตั้ง เข้าไปเลือกประธานาธิปดี
หลังจากนั้น ประธานาธิปดีจึงเลือกคณะรัฐมนตรีขึ้นมาทำงาน

ไม่เกี่ยวอะไรกับสส.หรือสว.ทั้งสิ้น

ส่วนการเลือกสภาผู้แทนฯ จะเลือกอีก 2 ปีให้หลัง
ซึ่งมีหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชน เข้าไปดูแลด้านกฎหมาย

ส่วนด้านตุลาการ ก็จะมาอีกสายหนึ่งโดยสิ้นเชิง
ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งด้วยซ้ำ (เหมือนของไทย)

เพื่อให้สามฝ่ายคานอำนาจกันให้มากที่สุด

ส่วนของไทย ให้ "ผู้แทนราษฎร" ซึ่งมีหน้าที่ผ่านกฎหมาย
ในฐานะตัวแทนของประชาชน
เป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี มันเลยแปร่งๆ อยู่แบบนี้

ถ้านายกคุมอำนาจสองฝ่าย (บริหารกับนิติบัญญัติ)
อำนาจตุลาการเพียงอย่างเดียว ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้

อย่างที่เขาบอกกันแหละครับ จุดอ่อนใหญ่สุดของประชาธิปไตยคือ
"tyranny of the majority"

หรือแปลเป็นไทยๆ ว่า ทรราชย์จากเสียงข้างมาก

ในระบบของอเมริกา เขาพยายามจะให้ "ผู้แทนราษฎร"
เป็น "ตัวแทน" ของชนกลุ่มต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ
เพื่อให้เสียงของคนส่วนน้อย ก็ยังเป็นที่ยอมรับ

ไม่ใช่นึกอยากจะออกกฎหมายให้คนส่วนน้อยเสียเปรียบ
ก็สามารถทำได้ง่ายๆ

ตอนนี้ ไทยกำลังเผชิญปัญหาเรื่อง Tyranny of Majority อยู่ครับ

[ครรชิต ไพศาล]

แล้วจะทำอย่างไร ในเมื่อ รัฐธรรมนูญ ก็เป็นเช่นนั้นเอง

หรือ มีทางเดียว ก็แก้ รัฐธรรมนูญ ให้ที่มาขององค์กร ต่างๆ ใกล้เคียงกับของสหรัฐ หรือครับ  :roll:

[ครรชิต ไพศาล]

เพราะไม่ว่าฝ่าย ปชป. หรือ ทรท. ได้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก

เหตุการณ์ เผด็จการรัฐสภา ก็เกิดขึ้นอยู่ดี ด้วยกฏ ของรัฐธรรมนูญ

ผมว่า ต้องทำใจนะครับ

ต้องให้คำว่า ที่ใครทีมัน  TEE WHO TEE IT

รอเลือกตั้ง 4 ปี ข้างหน้า แล้วค่อยวัดดวงกันใหม่

[CK]

ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับ พี่ครรชิต

เราควรจะเลือกให้ชัดเจนครับ ว่าจะเป็นรัฐสภาแบบอังกฤษ
หรือเป็นระบบประธานาธิปดีแบบสหรัฐฯ

ของสหรัฐฯ ประธานาธิปดีมีอำนาจมากก็จริง
แต่อำนาจนั้น ไม่ absolute ครับ

ถ้าประธานาธิปดีทำผิด หรือมี "มูล" ว่าทำผิด
คือใช้อำนาจในทางไม่ชอบ

รัฐสภามีสิทธิ์ถอดถอนได้ (โดยไม่ต้องมีหลักฐานด้วยซ้ำ)

จริงๆ ระบบของอเมริกา เท่ากับประชาชนมีอำนาจตรวจสอบ
ทุกๆ สองปีนะครับ

เพราะพอเลือกฝ่ายบริหารเสร็จ อีกสองปีก็เลือกรัฐสภา
แล้วอีกสองปีก็เลือกบริหารใหม่ ให้สองฝ่ายคานอำนาจกันเอง

รธน.ไทย ผมว่าเริ่มต้นได้ดี แต่เชิงปฏิบัติมีปัญหา
คงต้องแก้ครับ

[CK]

ระบบ "นายกรัฐมนตรี" ของเรา ไม่ได้ตั้งใจให้อำนาจสิทธิขาด
ในการบริหารและผ่านกฎหมายแก่นายกนะครับ

นายก คือ first among equals

แต่ประธาน คือ head of the state

ในระบบของไทย Head of the State มีพระองค์เดียว
คือในหลวง (ของอังกฤษคือราชินีอลิซาเบธ)

ส่วนนายกรัฐมนตรี เป็นแค่ First Among Equals
คือเป็นแค่เบอร์หนึ่งในหมู่สามัญชน ที่จะนำเสนอ
กฎหมายและนโยบายเพื่อให้ในหลวงลงพระปรมาภิไธย

[ครรชิต ไพศาล]

ผมจำได้ว่า สมัย บชบ. นายกชวน ได้เป็นรัฐบาล ฝ่ายค้านก็ว่า เผด็จการรัฐสภา เหมือนกัน

สรุปว่า

ให้เวลารักษาแผลใจ คนอกหัก อย่าง ปชป.  ก็แล้วกัน

ให้นอนร้องเพลง คนอกหักพักบ้านนี้ ของสายัณห์ สัญญา ไปพลางๆ   :lol:

รอให้อาจารย์ด้านกฏหมาย ปรึกษากันก่อนว่าจะแก้ไข อย่างไร
สี่ปีข้างหน้าคอยว่ากันใหม่

[CK]

:lovl: สรุปว่า พิมพ์มาตั้งนาน ไม่มีใครเข้าใจประเด็นที่ผมพยายามสื่อเลย

[bsk(มหาชน)]

เห็นว่าควรยกเลิกคับ

จริงๆแล้วเราอาจคำนึงถึงประเด็นการตรากฎหมายจนลืมนึกถึงเสรีภาพทางความคิด การแสดงออกของประชาชนรวมทั้งกระบวนการเข้าสู่ภาคการเมืองหรือเปล่าคับ

ประชาชนส่วนใหญ่ที่สุดไม่ได้จบปริญญาตรี

แต่ว่าทุกคนมีสิทธิคิดและแสดงออกเช่นเดียวกับคนที่จบขั้นอุดมศึกษา

เมื่อเขามีสิทธิคิดและแสดงออก ทำไมต้องห้ามเขาเสนอตัวรับการเลือกตั้งด้วยคับ

นี่เพียงแค่เป็นเสรีภาพขั้นต้นก็ถูกจำกัดแล้ว...

ประเด็นอื่นก็เช่น...

ใครจะเป็นส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง พรรคเป็นคนส่งเข้าแข่งขัน

เราทราบกันว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง อาจจะไม่มีพรรคถูกใจ หรือไม่อยากอยู่ในสังกัดของใคร หรือเหตุผลอื่นใดก็ตาม

แต่การกำหนดว่าผู้รับสมัครเป็นส.ส. ต้องสังกัดพรรคการเมือง

ตรงนี้ก็จำกัดสิทธิคนอีกมากมาย...

ยกตัวอย่างอีกเรื่อง คนรับสมัครส.ส.ต้องอายุ 25 ปีขึ้นไป

ทำไมคนอายุ 20 ปีจะเป็นส.ส.ไม่ได้คับ ใครไปคิดแทนเขาว่าเขาเป็นส.ส.ไม่ได้

ในเมื่อมีกฎหมายอ้างที่จะฆ่าประชาชนที่อายุเกิน 18  ปีได้(ตามคำสั่งศาล ที่สั่งประหารผู้ต้องหาที่อายุ 18 ปีขึ้นไปได้ หากมีโทษถึงขั้น)

ในเมื่อคนอายุ 18 ปีมีสิทธิถูกฆ่าโดยรัฐได้

ทำไมไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าสู่ และเป็นตัวแทนในกระบวนการทางการเมืองได้



อันนี้ สำหรับท่านที่อยากเสนอแก้ไขรธน. หมวดไหน มาตราใด รัฐบาลเปิดเว็บให้แล้วคับ


http://202.47.237.175/webpoll/home/home.aspx

ส่วนจะเป็นเบี้ยหัวแตกหรือเพื่ออะไร ก็ไม่อาจทราบได้...

[ขงเบ้ง]

ผมว่าปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง  สักพักก็น่าจะมีคนจบปริญญาตรีให้เลือกมากขึ้น
หรือเปิดช่องวิชาใหม่ปริญญาตรีสาขาการเมือง อบรมคุณธรรม สิทธิ และหน้าที่ของผู้แทน  ใครจบ ป.4อยากเข้าการเมืองก็มาเรียน
เป็นแค่ความคิดเห็นแลกเปลี่ยน  ไม่เห็นด้วยก้ได้ครับ

[ครรชิต ไพศาล]

อันนี้ ผมเห็นด้วย กับคุณ bsk(มหาชน) 100% ครับ

ที่ต้องให้เสรีภาพแก่ คนดีทุกระดับชั้นของสังคม ในประเทศ มีสิทธิในการรับเลือกตั้ง
ให้เข้าไปพิจารณากฏหมายเพื่อปกป้องสิทธิ ของคนทุกระดับชั้น ที่กฏหมายมีผลกระทบต่อพวกเขา

ควรยกเลิกข้อกำหนด
ที่ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ต้องจบปริญญาตรี
ที่ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ต้องสังกัดพรรคการเมือง
ที่ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ต้องอายุ 25 ปีขึ้นไป  

ให้คนที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง พิจารณา ด้วยวิจารณญาณของเขาเองว่าจะเลือกใคร
จะจบหรือไม่จบปริญญาตรี ,จะสังกัดหรือไม่สังกัดพรรดการเมือง,จะ25ปีหรือไม่25ปี
ก็ตามแต่ใจของ ผู้ที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

[คนเรือ VI]

คุณ CK

ถ้าเป็นระบบ อเมริกัน

สส และ สว ก็มีพรรคสังกัดนี่ครับ มันก็มีโอกาสเป็นเผด็จการรัฐสภา แบบ เบ็ดเสร็จเหมือนกัน (ถึงแม้ว่ามีเวลาแค่ 2 ปีให้เป็นเผด็จการก็ตามเถอะ .... อย่างงี้ต้องเหลื่อมเวลา เลือกตั้งให้ดีๆมั้งเนอะ)

แต่ผมเห็นด้วยว่าควรแยกฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติให้ชัดเจน

ผมมีความเห้นว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง และไม่จำเป็นต้องจบ ปริญญาตรี

ให้ผู้นำชาวบ้านมีโอกาสเป็นปากเป็นเสียงจริงๆบ้าง (แต่สงสัยจะถูกกลืนหมดไม่ก็โดนยิงตาย)

[CK]

ใช่ครับ ระบบอเมริกัน อำนาจตรวจสอบชัดเจนมาก
และสภาฯ ก็แยกกันค่อนข้างเด็ดขาด

ระบบของอเมริกา เน้น representatives ครับ
คือแม้แต่ชนกลุ่มน้อย ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายรัฐ
หรือไม่ได้เลือกปธน. ก็มีสิทธิมีเสียงในสภาได้

ผมทึ่งผู้แทนฯ ในอเมริกามากครับ ตอนนั้นเรียนอยู่พอดี

บุช (คนพ่อ) ต้องการทำสงคราม Desert Storm
และผู้แทนของรัฐฯ ที่ผมอยู่ ก็สนับสนุนบุชเต็มที่
แกอยู่พรรครีพับบลิกันด้วย

แต่ตอนยกมือในสภา ยกค้านเฉยเลย

นักข่าวไปถามว่าทำไม ทั้งๆ เขาเป็นคนช่วยล๊อบบี้
ผลักดันแคมเปญของบุชมาตลอด

เขาตอบว่า เพราะประชาชนในรัฐเขา ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยครับ

ครั้งนั้น ถึงแม้เสียงในสภาจะอนุมัติสงคราม
แต่อย่างน้อย ผู้แทนราษฎรก็ได้ทำหน้าที่ผู้แทนจริงๆ
ไม่ใช่ "มติพรรค" ครอบคลุมทุกอย่าง