การลาออก ของ “ชัยอนันต์” พ้น ปธ.บอร์ด
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
การลาออก ของ “ชัยอนันต์” พ้น ปธ.บอร์ด
โพสต์ที่ 3
จำได้ว่า การจองหุ้นแต่ละครั้ง
ก็มีกติกาให้ประชาชน จองได้ไม่เกิน 1 แสนหุ้น
แต่หลังจากเข้าตลาดแล้ว บรรดาหุ้นรัฐวิสาหกิจ
ก็มีชื่อ รมต. จองได้รับจัดสรรบางคนเป็น2-3ล้านหุ้นก็มี
ต้องยกนิ้วให้ท่านล่ะครับ
ที่ไม่ยอมตกเป็นเกมส์การเมือง
ไม่ยึดติดเก้าอี้
ละอายก่อนจะทำอะไรให้ประเทศชาติเสียหาย
คงกลัว คำว่า...ไม่สนองนโยบาย
ก็มีกติกาให้ประชาชน จองได้ไม่เกิน 1 แสนหุ้น
แต่หลังจากเข้าตลาดแล้ว บรรดาหุ้นรัฐวิสาหกิจ
ก็มีชื่อ รมต. จองได้รับจัดสรรบางคนเป็น2-3ล้านหุ้นก็มี
ต้องยกนิ้วให้ท่านล่ะครับ
ที่ไม่ยอมตกเป็นเกมส์การเมือง
ไม่ยึดติดเก้าอี้
ละอายก่อนจะทำอะไรให้ประเทศชาติเสียหาย
คงกลัว คำว่า...ไม่สนองนโยบาย
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
การลาออก ของ “ชัยอนันต์” พ้น ปธ.บอร์ด
โพสต์ที่ 4
-
- Verified User
- โพสต์: 84
- ผู้ติดตาม: 0
การลาออก ของ “ชัยอนันต์” พ้น ปธ.บอร์ด
โพสต์ที่ 7
อืม พานทองแท้ ก็สนิทกับนายทักษิณ อย่างมาก
เขาจะสมรู้ร่วมคิดกันไม่น่ะ ?
... เป็นความคิดที่ ไร้สาระหรือไม่ ?
การวิจารณ์ถึงตัวบุคคล โดยไม่คำนึงถึงสาระที่ปรากฏ
เป็นการสาดโคลนกันไปมา จะหาสาระอันใดได้อีกหรือ
มันก็เป็นเพียงละครน้ำเน่า ที่แสดงให้กันดูเท่านั้น
จริงๆก็อยากรู้เหมือนกันว่า คนที่อยู่ข้างนายกคิดอย่างไรกับสิ่งเหล่านี้
เอากันที่ละข้อ ฝากคุณ chatchai ได้ช่วยไขข้อข้องใจ
ข้อหนึ่ง ... เรื่อง CTX
ในสายตาที่มอง มีความโปร่งใส ให้ความกระจ่างในการตรวจสอบแค่ไหน
ลองอธิบาย ให้กระจ่างสักหน่อยว่า เชื่อในความบริสุทธิ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
หรือคิดว่า ข้อมูลที่คนทั้งหลายสงสัย เป็นเรื่องที่ไม่เป็นจริง
เอาทีละข้อ เอาในเนื้อหา การกระทำ ไม่ต้องวิจารณ์บุคคล
เรื่องนี้คงไม่มีการสรุปว่าความคิดใครเหนือกว่าใคร
แต่อยากจะรู้ว่า บนพื้นฐานความคิดเช่นไร ที่คุณ chatchai ให้การสนับสนุนนายก
เขาจะสมรู้ร่วมคิดกันไม่น่ะ ?
... เป็นความคิดที่ ไร้สาระหรือไม่ ?
การวิจารณ์ถึงตัวบุคคล โดยไม่คำนึงถึงสาระที่ปรากฏ
เป็นการสาดโคลนกันไปมา จะหาสาระอันใดได้อีกหรือ
มันก็เป็นเพียงละครน้ำเน่า ที่แสดงให้กันดูเท่านั้น
จริงๆก็อยากรู้เหมือนกันว่า คนที่อยู่ข้างนายกคิดอย่างไรกับสิ่งเหล่านี้
เอากันที่ละข้อ ฝากคุณ chatchai ได้ช่วยไขข้อข้องใจ
ข้อหนึ่ง ... เรื่อง CTX
ในสายตาที่มอง มีความโปร่งใส ให้ความกระจ่างในการตรวจสอบแค่ไหน
ลองอธิบาย ให้กระจ่างสักหน่อยว่า เชื่อในความบริสุทธิ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
หรือคิดว่า ข้อมูลที่คนทั้งหลายสงสัย เป็นเรื่องที่ไม่เป็นจริง
เอาทีละข้อ เอาในเนื้อหา การกระทำ ไม่ต้องวิจารณ์บุคคล
เรื่องนี้คงไม่มีการสรุปว่าความคิดใครเหนือกว่าใคร
แต่อยากจะรู้ว่า บนพื้นฐานความคิดเช่นไร ที่คุณ chatchai ให้การสนับสนุนนายก
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
การลาออก ของ “ชัยอนันต์” พ้น ปธ.บอร์ด
โพสต์ที่ 8
ปั้นมากับมือ
นายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย หัวหน้ากลุ่มวังน้ำเย็น “เสนาะ” เปิดบ้านเมืองทองรับกำลังใจ ชี้เวลานี้บ้านเมืองอยู่ใน “ยุคเงาดำทมิฬ” เป็นยุคมืดที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะเวลานี้เป็นเผด็จการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถอดใจหมดปัญญาสู้รบปรบมือแล้ว รวมทั้งไม่มีทางล่าชื่อได้ให้ครบ 200 เสียงร่วมกับฝ่ายค้านยื่นซักฟอกนายกฯ
วันนี้ (7 ก.พ.) ที่บ้านเมืองทองธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 จำนวน 5 คน ได้นำดอกไม้มามอบให้กับ นายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย หัวหน้ากลุ่มวังน้ำเย็น พร้อมออกแถลงการณ์ตำหนิ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าไร้จริยธรรมอย่างรุนแรง กรณีมีพฤติกรรมอำพรางขายหุ้นให้ต่างชาติที่เกี่ยวพันกับความมั่นคงของชาติ พร้อมทั้งสนับสนุนให้กำลังใจในการต่อสู้ของนายเสนาะ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และทรัพย์สมบัติของประเทศไทย
นายเสนาะ ได้กล่าวตอบว่า อยู่มาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ก็ยืนเคียงข้างประชาชนมาตลอด ตนไม่ถือว่าการมาครั้งนี้เป็นการมาให้กำลังใจ แต่ถือว่าเรามีความรู้สึกร่วมกันของความสำนึกในส่วนรวมของประเทศ เพราะการต่อสู้ที่สูญเสียก็อยู่ในวิกฤตแบบนี้ ที่ต้องต่อสู้ให้บ้านเมือง โดยจากแถลงการณ์ของกลุ่มญาติวีรชนพฤษภา คำพูดแต่ละคำก็ตรงกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ตนในฐานะผู้อาวุโสของพรรคไทยรักไทย และยังมีสติสัมปชัญญะพร้อม ทั้งตัวเองและภรรยาก็ถือว่าได้รับเกียรติที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นรัฐมนตรีหลายยุค จนในที่สุดแม่บ้านก็ตัดสินใจลาออก จึงอยากฝากเป็นอุทาหรณ์ว่าทุกอย่างในวันนี้มันมืดเหลือเกิน มืดไปหมดจนกลายเป็นเงาทมิฬยิ่งกว่ายุคใดๆ
นายเสนาะ กล่าวต่อว่า แต่ก่อนเราต่อสู้กับระบบเผด็จการ แต่นี่กลายเป็นเผด็จการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งน่ากลัวมาก และเผด็จการของคนที่มีวุฒิสูงๆ ที่มีวิธีการต่างๆ ทั้งสร้างภาพหลอกลวงประชาชน ซึ่งตนคลุกคลีประชาชน 30 กว่าปีมาแล้ว ก็ไม่เห็นอะไรเช่นนี้ และยืนยันว่า ตนเองไม่มีปัญหาอะไรกับทักษิณ แม้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้เป็นนายกฯ แต่ถึงจุดนี้ตนรู้สึกเสียดาย เสียใจ และผิดหวังอย่างที่สุดของชีวิต
นายเสนาะ กล่าวว่า ตอนนี้ที่มืดเพราะมีการทำอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากรัฐธรรมนูญเขียนบังคับผู้แทนว่าจะเอาอะไรก็ออกกฎหมาย โดยอ้างว่าทำถูกต้องตามกฎหมาย เพราะไปออกกฎหมายและตั้งกระทรวงเฉพาะกิจขึ้นมา เช่น กรณีสัมปทานโทรคมนาคมก็เปลี่ยนให้เป็นธุรกิจโทรคมนาคม และออก พ.ร.ก.ให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้น จาก 25 เปอร์เซ็นต์ เป็น 49 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก่อนหน้านี้อย่างบริษัท ยูคอม ก็วิ่งขายหุ้น 24 เปอร์เซ็นต์ของต่างชาติ ทำให้ล้มกันระเนระนาด พอตัวเองจะขายก็แก้กฎหมายให้ต่างชาติมาถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยขายให้ต่างชาติ
“ผมไม่มีอคติกับน้องทักษิณ แต่ได้พูดกันแล้วก็ไม่ฟัง และยังมีอคติอย่างรุนแรงหลายครั้ง จนในที่สุดก็ต้องพูดกันตรงๆ ว่า ก็ต้องปล่อยไป เพราะเดี๋ยวจะเปิดสภา และที่บอกว่ามีเงาดำทมิฬเพราะสภาไม่มีความหมาย คอยแต่เสียงนกหวีด สั่งให้ซ้ายหันขวาหัน แล้ววันนี้ผมไม่มีปัญญาต่อสู้ และไม่มีพรรควังน้ำเย็น มีแต่พรรคไทยรักไทย แต่จนถึงวันนี้ลูกศิษย์ของผมก็ไม่กล้าแม้แต่มาบ้าน เพราะโดนทุกอย่าง แต่ผมไม่ละวางความรับผิดชอบ แม้ว่าการเสียลูกหลานถือเป็นเรื่องหฤโหดของชีวิตครอบครัว แต่เชื่อว่าในวันข้างหน้าจะหฤโหดยิ่งกว่านี้ จะมีการสูญเสียมากกว่านี้ ซึ่งวันนี้เราเสียไปมากแล้ว มันมืดยิ่งกว่าสีดำ เพราะสภาไม่มีความหมาย แต่คนยังหลงเสียงในสภาอยู่ การต่อสู้ในระบบสภาก็ทำไม่ได้ เพราะเสียงข้างมากไม่มีคุณธรรมและถูกกฎหมายด้วย” หัวหน้ากลุ่มวังน้ำเย็น กล่าว
นายเสนาะให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ฝ่ายค้านขอเสียงจากกลุ่มวังน้ำเย็น เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขณะนี้มีเพียง 124 เสียงว่า ก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะตนต่อสู้กับรัฐธรรมนูญฉบับนี้มา นอกจากประเด็น 90 วัน แล้วยังรวมถึงกรณีการตรวจสอบนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เพราะต้องมีเสียง 2 ใน 5 ซึ่งตนได้เคยต่อสู้ในหลักการมานาน ตั้งแต่ก่อนที่จะมี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ และการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่จะต้องใช้เสียง 1 ใน 4 หรือ 125 เสียง ตอนนี้ฝ่ายค้านได้แค่ 124 เสียง ในจำนวนดังกล่าวก็อาจมีคนไม่ร่วมลงชื่อ หรือโดนใบเหลือง ซึ่งไม่พออยู่แล้วในการอภิปราย ดังนั้นก็ไม่มีสิทธิที่จะยื่นซักฟอกรัฐมนตรีในการกล่าวหาว่าทุจริตคอร์รัปชัน รวมถึงการยื่นถอดถอน ดังนั้น แม้จะมีความเห็นตรงกันก็ไม่สามารถเอาเสียง 200 เสียงมาให้ได้
“ผมยอมรับว่าศักยภาพของผมตอนนี้ไม่มีปัญญาไปต่อสู้ เพราะอำนาจรัฐอยู่กับทางพรรค อยู่กับคนคนเดียว พูดตรงๆ ว่ามันไม่ใช่รัฐบาลพรรคเดียว เพราะหากเป็นรัฐบาลพรรคเดียวก็ยังออกเสียงได้ แต่นี่มันสั่งกันได้จากคนคนเดียว ซึ่งผมไม่สามารถหาเสียงได้อีก 75 เสียงได้ คงลำบาก” นายเสนาะ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มวังน้ำเย็นจะร่วมลงชื่อในการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ นายเสนาะ กล่าวว่า ถึงตนลงชื่อก็ไม่มีความหมาย และการบังคับ ส.ส.ที่มีอยู่ให้ลงชื่อ แล้วใครจะรับผิดชอบตัวเขา ในเมื่อพูดกันขนาดนี้ก็ยังไม่เห็นมีองค์กรไหนมาช่วยกู้บ้านเมือง แล้วตนจะบ้าคนเดียวได้อย่างไร เพราะทุกวันนี้สื่อมวลชนก็ถูกครอบไปหมดแล้ว แม้แต่ทีวีที่อีกฝ่ายเสียงไม่ออก แต่อีกฝ่ายกลับมีเสียงออก แถมยังรายงานว่าการชุมนุมของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินการเมืองไทยรายสัปดาห์ ว่ามาแค่หมื่นคน แต่ที่จริงมาเป็นแสน ในเมื่อถูกปิดหูปิดตาก็ปล่อยให้เป็นตามยถากรรม
ด้าน นายประมวล รุจนเสรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย กลุ่มวังน้ำเย็น กล่าวถึงกรณีการร่วมลงชื่อกับฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่า ยังไม่ได้คุยกันในกลุ่ม จะรีบร้อนไปทำไม ต้องดูเหตุผลว่าฝ่ายค้านมีข้อมูลเพียงพอหรือไม่ หากมีข้อมูลเพียงพอก็ค่อยมาพิจารณาอีกที เพราะแค่เขาเผยอปากจะร่วมเลยไม่ได้ ต้องขอดูข้อมูลก่อน ซึ่งการอภิปรายถือเป็นเรื่องปกติในการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน แต่การที่เสียงไม่พอถือเป็นเรื่องของอนาคตที่ต้องดูกันต่อไป เพราะการทำการเมืองไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ แต่เป็นเรื่องของเหตุผลและข้อมูล ซึ่งวันนี้ฝ่ายค้านยังไม่เสนอข้อมูล เราจะกระโดดใส่มันก็ไม่ถูกต้อง
นายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย หัวหน้ากลุ่มวังน้ำเย็น “เสนาะ” เปิดบ้านเมืองทองรับกำลังใจ ชี้เวลานี้บ้านเมืองอยู่ใน “ยุคเงาดำทมิฬ” เป็นยุคมืดที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะเวลานี้เป็นเผด็จการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถอดใจหมดปัญญาสู้รบปรบมือแล้ว รวมทั้งไม่มีทางล่าชื่อได้ให้ครบ 200 เสียงร่วมกับฝ่ายค้านยื่นซักฟอกนายกฯ
วันนี้ (7 ก.พ.) ที่บ้านเมืองทองธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 จำนวน 5 คน ได้นำดอกไม้มามอบให้กับ นายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย หัวหน้ากลุ่มวังน้ำเย็น พร้อมออกแถลงการณ์ตำหนิ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าไร้จริยธรรมอย่างรุนแรง กรณีมีพฤติกรรมอำพรางขายหุ้นให้ต่างชาติที่เกี่ยวพันกับความมั่นคงของชาติ พร้อมทั้งสนับสนุนให้กำลังใจในการต่อสู้ของนายเสนาะ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และทรัพย์สมบัติของประเทศไทย
นายเสนาะ ได้กล่าวตอบว่า อยู่มาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ก็ยืนเคียงข้างประชาชนมาตลอด ตนไม่ถือว่าการมาครั้งนี้เป็นการมาให้กำลังใจ แต่ถือว่าเรามีความรู้สึกร่วมกันของความสำนึกในส่วนรวมของประเทศ เพราะการต่อสู้ที่สูญเสียก็อยู่ในวิกฤตแบบนี้ ที่ต้องต่อสู้ให้บ้านเมือง โดยจากแถลงการณ์ของกลุ่มญาติวีรชนพฤษภา คำพูดแต่ละคำก็ตรงกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ตนในฐานะผู้อาวุโสของพรรคไทยรักไทย และยังมีสติสัมปชัญญะพร้อม ทั้งตัวเองและภรรยาก็ถือว่าได้รับเกียรติที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นรัฐมนตรีหลายยุค จนในที่สุดแม่บ้านก็ตัดสินใจลาออก จึงอยากฝากเป็นอุทาหรณ์ว่าทุกอย่างในวันนี้มันมืดเหลือเกิน มืดไปหมดจนกลายเป็นเงาทมิฬยิ่งกว่ายุคใดๆ
นายเสนาะ กล่าวต่อว่า แต่ก่อนเราต่อสู้กับระบบเผด็จการ แต่นี่กลายเป็นเผด็จการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งน่ากลัวมาก และเผด็จการของคนที่มีวุฒิสูงๆ ที่มีวิธีการต่างๆ ทั้งสร้างภาพหลอกลวงประชาชน ซึ่งตนคลุกคลีประชาชน 30 กว่าปีมาแล้ว ก็ไม่เห็นอะไรเช่นนี้ และยืนยันว่า ตนเองไม่มีปัญหาอะไรกับทักษิณ แม้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้เป็นนายกฯ แต่ถึงจุดนี้ตนรู้สึกเสียดาย เสียใจ และผิดหวังอย่างที่สุดของชีวิต
นายเสนาะ กล่าวว่า ตอนนี้ที่มืดเพราะมีการทำอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากรัฐธรรมนูญเขียนบังคับผู้แทนว่าจะเอาอะไรก็ออกกฎหมาย โดยอ้างว่าทำถูกต้องตามกฎหมาย เพราะไปออกกฎหมายและตั้งกระทรวงเฉพาะกิจขึ้นมา เช่น กรณีสัมปทานโทรคมนาคมก็เปลี่ยนให้เป็นธุรกิจโทรคมนาคม และออก พ.ร.ก.ให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้น จาก 25 เปอร์เซ็นต์ เป็น 49 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก่อนหน้านี้อย่างบริษัท ยูคอม ก็วิ่งขายหุ้น 24 เปอร์เซ็นต์ของต่างชาติ ทำให้ล้มกันระเนระนาด พอตัวเองจะขายก็แก้กฎหมายให้ต่างชาติมาถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยขายให้ต่างชาติ
“ผมไม่มีอคติกับน้องทักษิณ แต่ได้พูดกันแล้วก็ไม่ฟัง และยังมีอคติอย่างรุนแรงหลายครั้ง จนในที่สุดก็ต้องพูดกันตรงๆ ว่า ก็ต้องปล่อยไป เพราะเดี๋ยวจะเปิดสภา และที่บอกว่ามีเงาดำทมิฬเพราะสภาไม่มีความหมาย คอยแต่เสียงนกหวีด สั่งให้ซ้ายหันขวาหัน แล้ววันนี้ผมไม่มีปัญญาต่อสู้ และไม่มีพรรควังน้ำเย็น มีแต่พรรคไทยรักไทย แต่จนถึงวันนี้ลูกศิษย์ของผมก็ไม่กล้าแม้แต่มาบ้าน เพราะโดนทุกอย่าง แต่ผมไม่ละวางความรับผิดชอบ แม้ว่าการเสียลูกหลานถือเป็นเรื่องหฤโหดของชีวิตครอบครัว แต่เชื่อว่าในวันข้างหน้าจะหฤโหดยิ่งกว่านี้ จะมีการสูญเสียมากกว่านี้ ซึ่งวันนี้เราเสียไปมากแล้ว มันมืดยิ่งกว่าสีดำ เพราะสภาไม่มีความหมาย แต่คนยังหลงเสียงในสภาอยู่ การต่อสู้ในระบบสภาก็ทำไม่ได้ เพราะเสียงข้างมากไม่มีคุณธรรมและถูกกฎหมายด้วย” หัวหน้ากลุ่มวังน้ำเย็น กล่าว
นายเสนาะให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ฝ่ายค้านขอเสียงจากกลุ่มวังน้ำเย็น เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขณะนี้มีเพียง 124 เสียงว่า ก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะตนต่อสู้กับรัฐธรรมนูญฉบับนี้มา นอกจากประเด็น 90 วัน แล้วยังรวมถึงกรณีการตรวจสอบนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เพราะต้องมีเสียง 2 ใน 5 ซึ่งตนได้เคยต่อสู้ในหลักการมานาน ตั้งแต่ก่อนที่จะมี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ และการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่จะต้องใช้เสียง 1 ใน 4 หรือ 125 เสียง ตอนนี้ฝ่ายค้านได้แค่ 124 เสียง ในจำนวนดังกล่าวก็อาจมีคนไม่ร่วมลงชื่อ หรือโดนใบเหลือง ซึ่งไม่พออยู่แล้วในการอภิปราย ดังนั้นก็ไม่มีสิทธิที่จะยื่นซักฟอกรัฐมนตรีในการกล่าวหาว่าทุจริตคอร์รัปชัน รวมถึงการยื่นถอดถอน ดังนั้น แม้จะมีความเห็นตรงกันก็ไม่สามารถเอาเสียง 200 เสียงมาให้ได้
“ผมยอมรับว่าศักยภาพของผมตอนนี้ไม่มีปัญญาไปต่อสู้ เพราะอำนาจรัฐอยู่กับทางพรรค อยู่กับคนคนเดียว พูดตรงๆ ว่ามันไม่ใช่รัฐบาลพรรคเดียว เพราะหากเป็นรัฐบาลพรรคเดียวก็ยังออกเสียงได้ แต่นี่มันสั่งกันได้จากคนคนเดียว ซึ่งผมไม่สามารถหาเสียงได้อีก 75 เสียงได้ คงลำบาก” นายเสนาะ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มวังน้ำเย็นจะร่วมลงชื่อในการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ นายเสนาะ กล่าวว่า ถึงตนลงชื่อก็ไม่มีความหมาย และการบังคับ ส.ส.ที่มีอยู่ให้ลงชื่อ แล้วใครจะรับผิดชอบตัวเขา ในเมื่อพูดกันขนาดนี้ก็ยังไม่เห็นมีองค์กรไหนมาช่วยกู้บ้านเมือง แล้วตนจะบ้าคนเดียวได้อย่างไร เพราะทุกวันนี้สื่อมวลชนก็ถูกครอบไปหมดแล้ว แม้แต่ทีวีที่อีกฝ่ายเสียงไม่ออก แต่อีกฝ่ายกลับมีเสียงออก แถมยังรายงานว่าการชุมนุมของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินการเมืองไทยรายสัปดาห์ ว่ามาแค่หมื่นคน แต่ที่จริงมาเป็นแสน ในเมื่อถูกปิดหูปิดตาก็ปล่อยให้เป็นตามยถากรรม
ด้าน นายประมวล รุจนเสรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย กลุ่มวังน้ำเย็น กล่าวถึงกรณีการร่วมลงชื่อกับฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่า ยังไม่ได้คุยกันในกลุ่ม จะรีบร้อนไปทำไม ต้องดูเหตุผลว่าฝ่ายค้านมีข้อมูลเพียงพอหรือไม่ หากมีข้อมูลเพียงพอก็ค่อยมาพิจารณาอีกที เพราะแค่เขาเผยอปากจะร่วมเลยไม่ได้ ต้องขอดูข้อมูลก่อน ซึ่งการอภิปรายถือเป็นเรื่องปกติในการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน แต่การที่เสียงไม่พอถือเป็นเรื่องของอนาคตที่ต้องดูกันต่อไป เพราะการทำการเมืองไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ แต่เป็นเรื่องของเหตุผลและข้อมูล ซึ่งวันนี้ฝ่ายค้านยังไม่เสนอข้อมูล เราจะกระโดดใส่มันก็ไม่ถูกต้อง