Margin of Safety ครับ
- drchatri
- Verified User
- โพสต์: 767
- ผู้ติดตาม: 0
Margin of Safety ครับ
โพสต์ที่ 2
เดาเอานะครับคิดว่าอย่างนี้ครับ
สมมติว่าเราตรวจสอบหามูลค่าของหุ้นหรือทรัพย์สินนั้นๆ เช่น มูลค่าน่าจะอยู่ที่ 120 บาท(คือถ้าเราซื้อมาแล้วขายไปอย่างน้อยต้องได้ไม่ต่ำกว่า 120บ. หรืออาจจะขายได้ราคามากกว่านั้น) แต่ถ้าเราสามารถซื้อหุ้นตัวนั้นมาได้ในราคาแค่ 100บ. ก็หมายความว่าเราซื้อมาได้ในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน ตั้ง 20บ. เพราะฉะนั้น เท่ากับเราซื้อถูกกว่าความเป็นจริง 20%( 120-100=20/100=20%) นั่นหมายความว่าถ้าเราซื้อหุ้นตัวนี้มาแล้ว หากเราเลือกหุ้นถูกตัว ในที่สุดหุ้นมันจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงออกมา หรืออย่างมากถ้าธุรกิจของหุ้นตัวนี้เจ๊งหรือเลิกกิจการ เราก็จะขาดทุนไม่มากเพราะเราซื้อหุ้นมาได้ราคาถูก (ทรัพย์สินที่เหลืออยู่หลังการหักชำระหนี้หมดแล้ว แบ่งคืนผู้ถือหุ้น ต้องเท่ากับหรือมากกว่าราคาที่เราซื้อมา) นั่นคือเรามี margin of safety 20%
รอผู้รู้ช่วยตอบอีกทีครับ ขอบคุณครับ
สมมติว่าเราตรวจสอบหามูลค่าของหุ้นหรือทรัพย์สินนั้นๆ เช่น มูลค่าน่าจะอยู่ที่ 120 บาท(คือถ้าเราซื้อมาแล้วขายไปอย่างน้อยต้องได้ไม่ต่ำกว่า 120บ. หรืออาจจะขายได้ราคามากกว่านั้น) แต่ถ้าเราสามารถซื้อหุ้นตัวนั้นมาได้ในราคาแค่ 100บ. ก็หมายความว่าเราซื้อมาได้ในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน ตั้ง 20บ. เพราะฉะนั้น เท่ากับเราซื้อถูกกว่าความเป็นจริง 20%( 120-100=20/100=20%) นั่นหมายความว่าถ้าเราซื้อหุ้นตัวนี้มาแล้ว หากเราเลือกหุ้นถูกตัว ในที่สุดหุ้นมันจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงออกมา หรืออย่างมากถ้าธุรกิจของหุ้นตัวนี้เจ๊งหรือเลิกกิจการ เราก็จะขาดทุนไม่มากเพราะเราซื้อหุ้นมาได้ราคาถูก (ทรัพย์สินที่เหลืออยู่หลังการหักชำระหนี้หมดแล้ว แบ่งคืนผู้ถือหุ้น ต้องเท่ากับหรือมากกว่าราคาที่เราซื้อมา) นั่นคือเรามี margin of safety 20%
รอผู้รู้ช่วยตอบอีกทีครับ ขอบคุณครับ

- ksnk
- Verified User
- โพสต์: 414
- ผู้ติดตาม: 0
Margin of Safety ครับ
โพสต์ที่ 4
ประกอบด้วย
การวิเคราะห์บริษัท
การกระจายความเสี่ยง
การซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
การวิเคราะห์บริษัท
การกระจายความเสี่ยง
การซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
ในกรณีนี้ผมว่าน่าจะเป็น 120-100/120 = 16.66%สมมติว่าเราตรวจสอบหามูลค่าของหุ้นหรือทรัพย์สินนั้นๆ เช่น มูลค่าน่าจะอยู่ที่ 120 บาท(คือถ้าเราซื้อมาแล้วขายไปอย่างน้อยต้องได้ไม่ต่ำกว่า 120บ. หรืออาจจะขายได้ราคามากกว่านั้น) แต่ถ้าเราสามารถซื้อหุ้นตัวนั้นมาได้ในราคาแค่ 100บ. ก็หมายความว่าเราซื้อมาได้ในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน ตั้ง 20บ. เพราะฉะนั้น เท่ากับเราซื้อถูกกว่าความเป็นจริง 20%( 120-100=20/100=20%
- Rocker
- Verified User
- โพสต์: 4526
- ผู้ติดตาม: 0
Margin of Safety ครับ
โพสต์ที่ 5
Margins of Safety
ในภาวะที่ตลาดผันผวน นักลงทุนอาจจะยึดหลักการของ Margins of Safety เป็นหลักการในการลงทุน สำหรับนักลงทุนที่เป็น Value Investors ต้องคุ้นชื่อกับการลงทุนที่มี Margins of Safety ซึ่งหมายถึง มีการลงทุนที่มีช่องว่างระหว่างราคาที่ซื้อกับมูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของบริษัท
Concept ของ Margins of Safety นี้เป็นหลักการที่ปรมาจารย์ทาง Value Investing ซึ่งได้แก่ Graham and Dodd ได้คิดค้นมานานแล้ว จากนั้นนักลงทุนชื่อก้องอย่าง Warren Buffet ได้ปรับนำมาใช้ ปกติ Margins of Safety จะต้องไม่ต่ำกว่า 15%
หมายความว่า ราคาหุ้นจะต้องต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้นอย่างน้อย 15% จึงจะเป็นหุ้นที่น่าสนใจในการเข้าซื้อ ในทางกลับถ้าราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงประมาณ 15% ขึ้นไป หุ้นตัวนั้นอาจจะถูกขายหรือทำกำไร ถึงแม้ว่าการใช้หลัก Margins of Safety จะไม่ guarantee หรือมีการรับประกันว่าจะไม่ขาดทุน แต่จะเป็นวิธีลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้ดีวิธีหนึ่งเลยทีเดียว เนื่องจากเป็น Concept ของ Buying a dollar for a fifty cents
การลงทุนสไตล์ Value investing ไม่ได้หมายความว่าจะต้องถือหุ้นตัวนั้นตลอดไปตราบใดที่มี Margins of Safety อยู่
แต่การลงทุนที่ Graham และ Dodd ได้แนะนำไว้ คือ นักลงทุนจะต้องมองหาโอกาสลงทุนในหุ้นที่มี Margins of Safety สูงสุด นั้นคือหุ้นที่มี Margins of Safety ในระดับรองๆ ลงมาจะไม่ถูกคัดเลือก ผมมีโอกาสพบนักลงทุนประเภทเน้นมูลค่า (Value Investor) บ่อยครั้ง สิ่งที่นักลงทุนประเภท value Investor มีเหมือนกันคือ จะไม่ลงทุนในธุรกิจที่ไม่เข้าใจหรือเข้าใจยาก เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร หรือกลุ่มเทคโนโลยี ที่มีสินทรัพย์ที่ยากจะวิเคราะห์ ในขณะที่กลุ่มธนาคารนั้น การตั้งสำรองหนี้เสียต่างๆ ค่อนข้างขึ้นอยู่กับความเห็น (Judgments) ของผู้บริหาร และตัวเลขทางบัญชี
หลักสำคัญของ Margins of Safety คือ เราจะประเมินมูลค่าหุ้นนั้นให้เหมาะสมกับราคาอย่างไร และราคานั้นจะต้องคุ้มค่าและให้ผลตอบแทนที่สูงในแง่ Reward to risk ratio ซึ่งการประเมินมูลค่าหุ้นเป็นศิลปะที่สำคัญ ซึ่งสามารถหาได้จากหลายวิธี เช่น ส่วนลดกระแสเงินสด (Discounted cash flow) หรืออาจจะเป็นมูลค่าเลิกกิจการ (Liquidation Value) หรืออาจจะเป็น P/E ทั่วๆ ไป
สิ่งที่ผมค้นพบคือ หุ้นตัวไหนที่ซื้อขาย "ต่ำกว่า" มูลค่าเลิกกิจการ (Liquidation Value) มากๆ จะให้ผลตอบแทน (Upside) สูงมากในแง่ของ Rewards risk ratio หรือในแง่ของผลตอบแทนเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยง
ตัวอย่างการลงทุนที่มี Margin of Safety สูง ได้แก่ บริษัทที่ผลิตพัดลมแห่งหนึ่ง สมมติว่าชื่อบริษัท C ได้สูงเสียลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่ง ซึ่งประกอบส่วนใหญ่ของยอดขายทั้งหมดของบริษัท หมายความว่า ยอดขายและรายได้ของบริษัทอาจเหลือไม่ถึง 10-20% ของยอดขายในอดีต ราคาหุ้นของบริษัท C ได้ตกอย่าง Free fall จาก 10 บาทเศษ มาที่ 1 บาทเศษๆ ในขณะที่บริษัทมีมูลค่าเลิกกิจการอยู่ที่ 3-4 บาทต่อหุ้น และไม่มีหนี้เลย หมายความว่า ถ้าบริษัทสามารถหาลูกค้าใหม่แทนที่ลูกค้ารายเดิม หุ้นจะ Rebound ขึ้นอย่างรวดเร็ว และในที่สุดหุ้นนั้นก็สามารถฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดได้เกือบ 2-3 เท่าตัวเลยทีเดียว
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง บริษัทที่ผลิตสินค้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกชื่อว่า K ประสบการขาดทุนอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว การขาดทุนอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายปีทำให้ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงจาก 100 บาทเศษๆ เหลือแค่ 2 บาทเศษ ในขณะที่มูลค่าเลิกกิจการ หรือมูลค่าชำแหละจะอยู่ที่ 3 บาท ในขณะที่บริษัทไม่มีหนี้เลย ในที่สุดเมื่อบริษัทสามารถที่จะเริ่มจับกระแสเทคโนโลยีได้และเริ่มผลิต หุ้นตัวนั้นก็เกิด Rebound ในที่สุด
ตัวอย่างต่างๆ เหล่านี้ ถ้าบริษัทไม่มีหนี้ ถึงแม้จะขาดทุนเท่าใดก็ตาม ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารและเทคโนโลยี หุ้นตัวนั้นจะ Rebound ในที่สุด...
ทีนี้ชัดยังครับ
_________________
กระบี่อยู่ที่ใจ
ในภาวะที่ตลาดผันผวน นักลงทุนอาจจะยึดหลักการของ Margins of Safety เป็นหลักการในการลงทุน สำหรับนักลงทุนที่เป็น Value Investors ต้องคุ้นชื่อกับการลงทุนที่มี Margins of Safety ซึ่งหมายถึง มีการลงทุนที่มีช่องว่างระหว่างราคาที่ซื้อกับมูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของบริษัท
Concept ของ Margins of Safety นี้เป็นหลักการที่ปรมาจารย์ทาง Value Investing ซึ่งได้แก่ Graham and Dodd ได้คิดค้นมานานแล้ว จากนั้นนักลงทุนชื่อก้องอย่าง Warren Buffet ได้ปรับนำมาใช้ ปกติ Margins of Safety จะต้องไม่ต่ำกว่า 15%
หมายความว่า ราคาหุ้นจะต้องต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้นอย่างน้อย 15% จึงจะเป็นหุ้นที่น่าสนใจในการเข้าซื้อ ในทางกลับถ้าราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงประมาณ 15% ขึ้นไป หุ้นตัวนั้นอาจจะถูกขายหรือทำกำไร ถึงแม้ว่าการใช้หลัก Margins of Safety จะไม่ guarantee หรือมีการรับประกันว่าจะไม่ขาดทุน แต่จะเป็นวิธีลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้ดีวิธีหนึ่งเลยทีเดียว เนื่องจากเป็น Concept ของ Buying a dollar for a fifty cents
การลงทุนสไตล์ Value investing ไม่ได้หมายความว่าจะต้องถือหุ้นตัวนั้นตลอดไปตราบใดที่มี Margins of Safety อยู่
แต่การลงทุนที่ Graham และ Dodd ได้แนะนำไว้ คือ นักลงทุนจะต้องมองหาโอกาสลงทุนในหุ้นที่มี Margins of Safety สูงสุด นั้นคือหุ้นที่มี Margins of Safety ในระดับรองๆ ลงมาจะไม่ถูกคัดเลือก ผมมีโอกาสพบนักลงทุนประเภทเน้นมูลค่า (Value Investor) บ่อยครั้ง สิ่งที่นักลงทุนประเภท value Investor มีเหมือนกันคือ จะไม่ลงทุนในธุรกิจที่ไม่เข้าใจหรือเข้าใจยาก เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร หรือกลุ่มเทคโนโลยี ที่มีสินทรัพย์ที่ยากจะวิเคราะห์ ในขณะที่กลุ่มธนาคารนั้น การตั้งสำรองหนี้เสียต่างๆ ค่อนข้างขึ้นอยู่กับความเห็น (Judgments) ของผู้บริหาร และตัวเลขทางบัญชี
หลักสำคัญของ Margins of Safety คือ เราจะประเมินมูลค่าหุ้นนั้นให้เหมาะสมกับราคาอย่างไร และราคานั้นจะต้องคุ้มค่าและให้ผลตอบแทนที่สูงในแง่ Reward to risk ratio ซึ่งการประเมินมูลค่าหุ้นเป็นศิลปะที่สำคัญ ซึ่งสามารถหาได้จากหลายวิธี เช่น ส่วนลดกระแสเงินสด (Discounted cash flow) หรืออาจจะเป็นมูลค่าเลิกกิจการ (Liquidation Value) หรืออาจจะเป็น P/E ทั่วๆ ไป
สิ่งที่ผมค้นพบคือ หุ้นตัวไหนที่ซื้อขาย "ต่ำกว่า" มูลค่าเลิกกิจการ (Liquidation Value) มากๆ จะให้ผลตอบแทน (Upside) สูงมากในแง่ของ Rewards risk ratio หรือในแง่ของผลตอบแทนเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยง
ตัวอย่างการลงทุนที่มี Margin of Safety สูง ได้แก่ บริษัทที่ผลิตพัดลมแห่งหนึ่ง สมมติว่าชื่อบริษัท C ได้สูงเสียลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่ง ซึ่งประกอบส่วนใหญ่ของยอดขายทั้งหมดของบริษัท หมายความว่า ยอดขายและรายได้ของบริษัทอาจเหลือไม่ถึง 10-20% ของยอดขายในอดีต ราคาหุ้นของบริษัท C ได้ตกอย่าง Free fall จาก 10 บาทเศษ มาที่ 1 บาทเศษๆ ในขณะที่บริษัทมีมูลค่าเลิกกิจการอยู่ที่ 3-4 บาทต่อหุ้น และไม่มีหนี้เลย หมายความว่า ถ้าบริษัทสามารถหาลูกค้าใหม่แทนที่ลูกค้ารายเดิม หุ้นจะ Rebound ขึ้นอย่างรวดเร็ว และในที่สุดหุ้นนั้นก็สามารถฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดได้เกือบ 2-3 เท่าตัวเลยทีเดียว
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง บริษัทที่ผลิตสินค้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกชื่อว่า K ประสบการขาดทุนอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว การขาดทุนอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายปีทำให้ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงจาก 100 บาทเศษๆ เหลือแค่ 2 บาทเศษ ในขณะที่มูลค่าเลิกกิจการ หรือมูลค่าชำแหละจะอยู่ที่ 3 บาท ในขณะที่บริษัทไม่มีหนี้เลย ในที่สุดเมื่อบริษัทสามารถที่จะเริ่มจับกระแสเทคโนโลยีได้และเริ่มผลิต หุ้นตัวนั้นก็เกิด Rebound ในที่สุด
ตัวอย่างต่างๆ เหล่านี้ ถ้าบริษัทไม่มีหนี้ ถึงแม้จะขาดทุนเท่าใดก็ตาม ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารและเทคโนโลยี หุ้นตัวนั้นจะ Rebound ในที่สุด...
ทีนี้ชัดยังครับ
_________________
กระบี่อยู่ที่ใจ
- Rocker
- Verified User
- โพสต์: 4526
- ผู้ติดตาม: 0
Margin of Safety ครับ
โพสต์ที่ 9
คุณหมอชาตรีครับ ฝีมือผมยังแค่ baby baby นะครับ 555+ :lol:
มีอะไร post และ discussได้ครับด้วยความยินดีครับพี่หมอ
เออว่าแต่พี่หมอไม่ลอง สมัคร msnหละครับ
จะได้ addคุยกันได้ เพราะมีหลายคนในเว็บที่กําลัง chatกันทาง msnครับผม
มีอะไร post และ discussได้ครับด้วยความยินดีครับพี่หมอ
เออว่าแต่พี่หมอไม่ลอง สมัคร msnหละครับ
จะได้ addคุยกันได้ เพราะมีหลายคนในเว็บที่กําลัง chatกันทาง msnครับผม