ขอคำปรึกษาครับ
- harry
- Verified User
- โพสต์: 4200
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 3
ตอบแบบกำปั้นทุบดินเลยครับ
1. ลองไปถามสำนักงานเขต หรือที่ว่าการอำเภอดูว่า สร้างได้หรือไม่ อย่างไร มีข้อจำกัดอะไรบ้าง
2. มีงบเท่าไหร่ ต้องเอาที่ค้ำประกันเงินกู้หรือไม่ แล้วจากข้อ 1. ก็ออกแบบแล้วเอาไปให้ทางอำเภอดู ถ้าอนุมัติ ก็สร้างเลยครับ
1. ลองไปถามสำนักงานเขต หรือที่ว่าการอำเภอดูว่า สร้างได้หรือไม่ อย่างไร มีข้อจำกัดอะไรบ้าง
2. มีงบเท่าไหร่ ต้องเอาที่ค้ำประกันเงินกู้หรือไม่ แล้วจากข้อ 1. ก็ออกแบบแล้วเอาไปให้ทางอำเภอดู ถ้าอนุมัติ ก็สร้างเลยครับ
Expecto Patronum!!!!!!
-
- Verified User
- โพสต์: 314
- ผู้ติดตาม: 0
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 6
การทำโครงการบ้านให้เช่า หรืออพาร์ทเม้น ที่ se-ed รู้สึกมีหนังสือสอนวิธีทำนะครับ
อืม ถ้าอยากทำจริงๆ จุดเริ่มต้นน่าจะเริ่มจาก ไปหาเพื่อนครับ หรือไปลงเรียนเกี่ยวกับการทำโครงการ อะไรทำนองนี้ เพื่อเจอเพื่อน
แล้วก็แวะไปดูบ่อยๆว่าเขาทำกันอย่างไรครับ
อันนี้แบบว่า อยากทำจริงๆนะ
หลังจากนั้น ก็ควรหาประสบการณ์บ้าง เช่นอาจจะไปสมัครเป็นผู้บริหารโครงการบ้านให้เช่าไปเลย ดูซิ ความคิดในการบริหารของเราจะผ่านหรือไม่
มีคนอยู่เยอะเหมือนกัน ที่ลงทุนไปแล้ว แต่ไม่มีเวลาที่จะไปบริหาร เราก็ขอเข้าไปบริหารดูนะครับ
เรื่องการมีแต่ที่ดิน ไม่มีเงินทุน ก็เป็นอุปสรรคใหญ่แล้ว เพราะเวลาไปขอกู้ค้าก่อสร้าง เราต้องเสนอ project ซึ่งการเสนอ project ให้ผ่านแบงค์ เราก็ต้องอธิบาย ให้แบงค์เข้าใจ ว่าเงินของเขาที่ปล่อยกู้ให้เราจะไม่ศูนย์ได้อย่างไร
ซึ่ง ถ้าเราเคยไปบริหารที่ไหนก็ตาม เราก็จะมีประวัติที่ดีในการบริหารกิจการแบบนี้
ประมาณว่า จากการที่เคยบริหารอสังหาริมทรัพย์ให้เช่ามา 5 ปี เข้าใจตลาดนี้อย่างดี ว่าเวลา ลูกค้าหายจะแก้อย่างไร การหารายได้เสริม ทำอย่างไร เป็นต้น
จะทำให้การขอกู้เพื่อสร้างง่ายขึ้นครับ
อย่าใจร้อนนะครับ มีหลายคนครับ คิดจะทำ พอทำจริงๆก็ได้แต่นั่งคิดว่า ไม่น่าเลย อยู่เฉยๆ หรือไม่ก็ประกาศขายไปเลยจะดีกว่า
อืม ถ้าอยากทำจริงๆ จุดเริ่มต้นน่าจะเริ่มจาก ไปหาเพื่อนครับ หรือไปลงเรียนเกี่ยวกับการทำโครงการ อะไรทำนองนี้ เพื่อเจอเพื่อน
แล้วก็แวะไปดูบ่อยๆว่าเขาทำกันอย่างไรครับ
อันนี้แบบว่า อยากทำจริงๆนะ
หลังจากนั้น ก็ควรหาประสบการณ์บ้าง เช่นอาจจะไปสมัครเป็นผู้บริหารโครงการบ้านให้เช่าไปเลย ดูซิ ความคิดในการบริหารของเราจะผ่านหรือไม่
มีคนอยู่เยอะเหมือนกัน ที่ลงทุนไปแล้ว แต่ไม่มีเวลาที่จะไปบริหาร เราก็ขอเข้าไปบริหารดูนะครับ
เรื่องการมีแต่ที่ดิน ไม่มีเงินทุน ก็เป็นอุปสรรคใหญ่แล้ว เพราะเวลาไปขอกู้ค้าก่อสร้าง เราต้องเสนอ project ซึ่งการเสนอ project ให้ผ่านแบงค์ เราก็ต้องอธิบาย ให้แบงค์เข้าใจ ว่าเงินของเขาที่ปล่อยกู้ให้เราจะไม่ศูนย์ได้อย่างไร
ซึ่ง ถ้าเราเคยไปบริหารที่ไหนก็ตาม เราก็จะมีประวัติที่ดีในการบริหารกิจการแบบนี้
ประมาณว่า จากการที่เคยบริหารอสังหาริมทรัพย์ให้เช่ามา 5 ปี เข้าใจตลาดนี้อย่างดี ว่าเวลา ลูกค้าหายจะแก้อย่างไร การหารายได้เสริม ทำอย่างไร เป็นต้น
จะทำให้การขอกู้เพื่อสร้างง่ายขึ้นครับ
อย่าใจร้อนนะครับ มีหลายคนครับ คิดจะทำ พอทำจริงๆก็ได้แต่นั่งคิดว่า ไม่น่าเลย อยู่เฉยๆ หรือไม่ก็ประกาศขายไปเลยจะดีกว่า
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 7
ตามความคิดของผมนะครับ มีขั้นตอนคร่าวๆดังนี้
1. เซอร์เวย์ดูตลาดแถวนั้น ว่ากิจการที่เขาทำๆกัน เป็นอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าแบบไหน เช่น อพาร์ทเม้นระดับไหน หรือ เป็นเซอร์วิสอพาร์ทเม้นระดับไหน และพยายามวิเคราะห์ให้ออกว่า ราคาที่เขาตั้งไว้ น่าจะมีคนมาพักประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วก็ประมาณรายได้ออกมาว่า ถ้าได้เท่านั้นเปอร์เซ็นต์ หักค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เช่น ค่ายาม ค่าแม่บ้าน ค่าบำรุงรักษา เช่น สีใหม่ ท่อน้ำทิ้ง ท่อน้ำประปา ค่าดูแลสวน ค่าทิ้งขยะ เป็นต้น กำไรขั้นต้นก่อนจ่ายดอกเบี้ยอยู่ที่เท่าไร
2. กลับมาดูที่ดินของเราเอง มีจุดแข็งตรงไหน เช่นใกล้กว่า แล้วก็นั่งคิดกลับกัน ใกล้กว่าดีจริงมั๊ย เพราะถ้ากลุ่มลูกค้ามีรถกันหมดเลย ใกล้อาจจะไม่ดี แต่ถ้าเราเล่นราคาระดับล่าง ใกล้ๆถนนอาจจะดีก็ได้ หาจุดแข็งให้เจอ แล้วมาดูต่อว่า เราจะสร้างอะไรออกมาให้คนเช่า ต้องหา คอนเซ็บก่อน เช่น อพาร์ทเม้นหรูทีสุดในย่านนี้ หรือ เซอร์วิสอพาร์ทเม้นระดับกลาง ราคาย่อมเยาว์ เป็นต้น
3. ประมาณการ ประมาณการค่าก่อสร้าง ประมาณการเงินสดสำรองในกรณีที่ยังไม่มีผู้มาพักตามจำนวนที่ถึงจุดคุ้มทุน เราอาจจะมีจุดคุ้มทุนอยู่ที่ยอดผู้พัก 70 % แต่ก่อนจะถึงจุดคุ้มทุน มันจะกินเงินเราไปหมดนะ
4. ประมาณการว่า แย่สุด ทีเราจะเจอคืออะไร จะรับได้หรือไม่ เช่น ถ้ามีผู้มาพัก 50 % ทำให้ขาดทุนทุกเดือนเป็นเงิน เท่ากับ XXXX บาท เราจะทำอย่างไร เรามีทางถอยหรือไม่ เช่นการลดราคา หรือการส่งเสริมการขายอะไรที่เราจะทำ เราไม่เคยทำเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ลดราคาแล้วจะมีคนมา
5. กลับไปตั้งต้นใหม่ ลองหามืออาชีพ ตีสนิท แล้วให้เขามาดูที่ดินของเรา ควรจะทำอะไร ควรทำทีเดียวหรือแบ่งส่วนทำไปก่อน
แล้วอย่าไปชวนเขาหุ้นนะ อย่าชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน แทนที่จะมาตั้งหน้าตั้งตาทำโครงการ กับต้องมานั่งทะเลาะกับหุ้นส่วนอีกต่างหาก ด้วยความไม่รู้ ไม่มีประสบการณ์ของทั้งสองฝ่าย คือเราเป็นเจ้าของที่ แต่เพื่อนเราอาจจะบริหารเก่ง แต่ไม่ได้แปลว่าเป็นหุ้นส่วนที่เก่ง
6. สรุป เมื่อจะทำแน่ๆแล้วก็เตรียมใจไว้เลย ว่าแย่สุดๆ เป็นอย่างไร คือไปดูว่าที่เขาเจ๊งๆกันเขาทำเป็นอย่างไร คือต้องรู้ไว้ก่อน เช่นแย่สุด แบงค์ยึด แบงค์ยึดเป็นอย่างไร ถ้าแบงค์ขายทอดตลาดแล้ว ยังเหลือหนี้อยู่ เขามาตามเอาจากเราได้อีกนะ แสดงว่าไม่ใช่ที่แปลงนี้อย่างเดียว เรามีภาระผูกพันธ์แล้วนะครับ
7. ลงมือทำ
1. ก็เริ่มต้นด้วยจากการเขียน project กู้เงินแบงค์ ซึ่งสถาปนิกจะเป็นคนเขียนให้นะเรื่องนี้ แต่ตอนไปกู้แบงค์เราเป็นคน present เอง
2. ลงมือก่อสร้าง การก่อสร้าง มีสองส่วนคือ โครงสร้างกับ ตกแต่งภายใน ถ้าเราเป็นคนละเอียด และสามารถคุมงานได้ ก็ควรแยกนะ โครงสร้าง ก็โครงสร้าง ส่วนตกแต่งเราก็ไปหา sub contract มาทำเอง ราคาจะถูกและดีกว่า แต่ต้องคุมงานดีๆ เช่นเมื่อโครงสร้างเสร็จแล้ว เราจะปูกระเบื้องก็ไปเลือกกระเบื้องที่ร้านที่ใหญ่ที่สุดในภูเก็ต ซึ่งเขาจะมีช่างปูมาให้ หน้าที่ของเราเพียงแต่ต้องรู้ว่าอะไรก่อนหลัง เช่น ปูกระเบื้องก่อน หรือเดินไฟก่อน
แต่ถ้าไม่ชอบเรื่องแบบนี้คงต้องให้เหมาให้หมด ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมาอาจจะไม่สวยอย่างใจ เพราะผู้รับเหมามีหน้าที่ประหยัดนะครับ
3. เปิดให้เช่า ตรงนี้ก็แล้วแต่นะครับ ว่าจะบริหารเองหรือจะให้คนอื่นมาบริหาร
โดยส่วนตัวของผม ถ้าไม่มีเงินเลย อย่าทำครับ ความเสี่ยงจากการขาดประสบการณ์จะทำให้เจ็บตัวหนักมาก
1. เซอร์เวย์ดูตลาดแถวนั้น ว่ากิจการที่เขาทำๆกัน เป็นอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าแบบไหน เช่น อพาร์ทเม้นระดับไหน หรือ เป็นเซอร์วิสอพาร์ทเม้นระดับไหน และพยายามวิเคราะห์ให้ออกว่า ราคาที่เขาตั้งไว้ น่าจะมีคนมาพักประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วก็ประมาณรายได้ออกมาว่า ถ้าได้เท่านั้นเปอร์เซ็นต์ หักค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เช่น ค่ายาม ค่าแม่บ้าน ค่าบำรุงรักษา เช่น สีใหม่ ท่อน้ำทิ้ง ท่อน้ำประปา ค่าดูแลสวน ค่าทิ้งขยะ เป็นต้น กำไรขั้นต้นก่อนจ่ายดอกเบี้ยอยู่ที่เท่าไร
2. กลับมาดูที่ดินของเราเอง มีจุดแข็งตรงไหน เช่นใกล้กว่า แล้วก็นั่งคิดกลับกัน ใกล้กว่าดีจริงมั๊ย เพราะถ้ากลุ่มลูกค้ามีรถกันหมดเลย ใกล้อาจจะไม่ดี แต่ถ้าเราเล่นราคาระดับล่าง ใกล้ๆถนนอาจจะดีก็ได้ หาจุดแข็งให้เจอ แล้วมาดูต่อว่า เราจะสร้างอะไรออกมาให้คนเช่า ต้องหา คอนเซ็บก่อน เช่น อพาร์ทเม้นหรูทีสุดในย่านนี้ หรือ เซอร์วิสอพาร์ทเม้นระดับกลาง ราคาย่อมเยาว์ เป็นต้น
3. ประมาณการ ประมาณการค่าก่อสร้าง ประมาณการเงินสดสำรองในกรณีที่ยังไม่มีผู้มาพักตามจำนวนที่ถึงจุดคุ้มทุน เราอาจจะมีจุดคุ้มทุนอยู่ที่ยอดผู้พัก 70 % แต่ก่อนจะถึงจุดคุ้มทุน มันจะกินเงินเราไปหมดนะ
4. ประมาณการว่า แย่สุด ทีเราจะเจอคืออะไร จะรับได้หรือไม่ เช่น ถ้ามีผู้มาพัก 50 % ทำให้ขาดทุนทุกเดือนเป็นเงิน เท่ากับ XXXX บาท เราจะทำอย่างไร เรามีทางถอยหรือไม่ เช่นการลดราคา หรือการส่งเสริมการขายอะไรที่เราจะทำ เราไม่เคยทำเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ลดราคาแล้วจะมีคนมา
5. กลับไปตั้งต้นใหม่ ลองหามืออาชีพ ตีสนิท แล้วให้เขามาดูที่ดินของเรา ควรจะทำอะไร ควรทำทีเดียวหรือแบ่งส่วนทำไปก่อน
แล้วอย่าไปชวนเขาหุ้นนะ อย่าชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน แทนที่จะมาตั้งหน้าตั้งตาทำโครงการ กับต้องมานั่งทะเลาะกับหุ้นส่วนอีกต่างหาก ด้วยความไม่รู้ ไม่มีประสบการณ์ของทั้งสองฝ่าย คือเราเป็นเจ้าของที่ แต่เพื่อนเราอาจจะบริหารเก่ง แต่ไม่ได้แปลว่าเป็นหุ้นส่วนที่เก่ง
6. สรุป เมื่อจะทำแน่ๆแล้วก็เตรียมใจไว้เลย ว่าแย่สุดๆ เป็นอย่างไร คือไปดูว่าที่เขาเจ๊งๆกันเขาทำเป็นอย่างไร คือต้องรู้ไว้ก่อน เช่นแย่สุด แบงค์ยึด แบงค์ยึดเป็นอย่างไร ถ้าแบงค์ขายทอดตลาดแล้ว ยังเหลือหนี้อยู่ เขามาตามเอาจากเราได้อีกนะ แสดงว่าไม่ใช่ที่แปลงนี้อย่างเดียว เรามีภาระผูกพันธ์แล้วนะครับ
7. ลงมือทำ
1. ก็เริ่มต้นด้วยจากการเขียน project กู้เงินแบงค์ ซึ่งสถาปนิกจะเป็นคนเขียนให้นะเรื่องนี้ แต่ตอนไปกู้แบงค์เราเป็นคน present เอง
2. ลงมือก่อสร้าง การก่อสร้าง มีสองส่วนคือ โครงสร้างกับ ตกแต่งภายใน ถ้าเราเป็นคนละเอียด และสามารถคุมงานได้ ก็ควรแยกนะ โครงสร้าง ก็โครงสร้าง ส่วนตกแต่งเราก็ไปหา sub contract มาทำเอง ราคาจะถูกและดีกว่า แต่ต้องคุมงานดีๆ เช่นเมื่อโครงสร้างเสร็จแล้ว เราจะปูกระเบื้องก็ไปเลือกกระเบื้องที่ร้านที่ใหญ่ที่สุดในภูเก็ต ซึ่งเขาจะมีช่างปูมาให้ หน้าที่ของเราเพียงแต่ต้องรู้ว่าอะไรก่อนหลัง เช่น ปูกระเบื้องก่อน หรือเดินไฟก่อน
แต่ถ้าไม่ชอบเรื่องแบบนี้คงต้องให้เหมาให้หมด ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมาอาจจะไม่สวยอย่างใจ เพราะผู้รับเหมามีหน้าที่ประหยัดนะครับ
3. เปิดให้เช่า ตรงนี้ก็แล้วแต่นะครับ ว่าจะบริหารเองหรือจะให้คนอื่นมาบริหาร
โดยส่วนตัวของผม ถ้าไม่มีเงินเลย อย่าทำครับ ความเสี่ยงจากการขาดประสบการณ์จะทำให้เจ็บตัวหนักมาก
-
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 8
จากที่เขียนมา เดาว่าตัวพี่สาวคุณยังน่าจะขาดทักษะและประสบการณ์ในการบริหารอยู่(จากที่เขียนว่าทำแต่สวนยาง) แต่มีแต่ที่ดิน(ซึ่งถือเป็นทุนอย่างหนึ่ง) ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีทั้งทีมบริหาร และทุนดำเนินการ+ทุนตั้งต้นบางส่วน ซึ่งตรงนี้ผมเลยคิดว่าน่าจะลองปรึกษาSME bankดูก่อนเพราะรู้สึกว่าจะมีพวกโครงการจับคู่ทางธุรกิจอะไรประมาณนี้ด้วย ซึ่งอาจจะจดจัดตั้งเป็นบริษัทและจัดสรรสัดส่วนการถือหุ้นกันไป เพราะถ้าเปิดเองโอกาสเจ้งมีมากถ้าบริหารไม่ดี เพราะการมีกิจการค่าใช้จ่ายกินหางตลอดส่วนรายได้ย่อมมาจากทักษะเป็นสำคัญ ขอให้โชคดีนะครับ :)
- neelajee
- Verified User
- โพสต์: 126
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 9
ควรสละเวลาไปศึกษาหาความรู้ก่อนลงทุนจริง(เหมือนลงทุนในหลักทรัพย์เป๊ะเลย ต้องมีความรู้ก่อนจะได้ไม่เสียใจภายหลัง แล้วมาคร่ำครวญว่า รู้งี๊......)
มีสถาบันหลายแห่งจัดอบรม (ฟรีหรือเสียเงินไม่มาก)เช่น
สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
สถาบันส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
สภาอุตสาหกรรมแห่ง ปท.ไทย
สมาคมธนาคารไทย
สถาบันคีนันแห่งเอเซีย ฯลฯ
อบรมในเรื่องต่างๆ เช่น การเป็นผู้ประกอบการใหม่ การเขียนแผนธุรกิจ การตลาด การผลิต การบริหารจัดการ ฯลฯ
ขอให้โชคดีและประสบความสำเร็จ :lol:
มีสถาบันหลายแห่งจัดอบรม (ฟรีหรือเสียเงินไม่มาก)เช่น
สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
สถาบันส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
สภาอุตสาหกรรมแห่ง ปท.ไทย
สมาคมธนาคารไทย
สถาบันคีนันแห่งเอเซีย ฯลฯ
อบรมในเรื่องต่างๆ เช่น การเป็นผู้ประกอบการใหม่ การเขียนแผนธุรกิจ การตลาด การผลิต การบริหารจัดการ ฯลฯ
ขอให้โชคดีและประสบความสำเร็จ :lol:
- neelajee
- Verified User
- โพสต์: 126
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 10
[quote]1. ก็เริ่มต้นด้วยจากการเขียน project กู้เงินแบงค์ ซึ่งสถาปนิกจะเป็นคนเขียนให้นะเรื่องนี้ แต่ตอนไปกู้แบงค์เราเป็นคน present เอง
[quote]
สถาปนิกน่าจะแค่ออกแบบและเขียนแบบอาคารนะ
การเขียน project หรือโครงการ ใครก็ได้ที่มีความรู้ในด้านการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อขอสินเชื่อ
สถาปนิกอาจจะให้ข้อมูลเรื่องราคาต้นทุนอสังหาฯ (ค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง ค่าปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ ค่าตกแต่งภายใน ฯลฯ)ของโครงการได้อย่างละเอียด นอกจากว่า สถาปนิกคนนี้จะมีความรู้ด้านการตลาด การบริหารจัดการ การเงิน ดีด้วย ก็สามารถเขียนโครงการฯได้
ผิดถูกอย่างไร ขออภัยด้วย (ร่วมด้วยช่วยแบ่งปันความคิดเห็น)
[quote]
สถาปนิกน่าจะแค่ออกแบบและเขียนแบบอาคารนะ
การเขียน project หรือโครงการ ใครก็ได้ที่มีความรู้ในด้านการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อขอสินเชื่อ
สถาปนิกอาจจะให้ข้อมูลเรื่องราคาต้นทุนอสังหาฯ (ค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง ค่าปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ ค่าตกแต่งภายใน ฯลฯ)ของโครงการได้อย่างละเอียด นอกจากว่า สถาปนิกคนนี้จะมีความรู้ด้านการตลาด การบริหารจัดการ การเงิน ดีด้วย ก็สามารถเขียนโครงการฯได้
ผิดถูกอย่างไร ขออภัยด้วย (ร่วมด้วยช่วยแบ่งปันความคิดเห็น)
- Tao Investor
- Verified User
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 12
ขอแสดงความคิดเห็นด้วยคนนะครับ
1) ลูกค้าคือใครครับ? ลูกค้ามีตัวเลือกอย่างอื่นหรือเปล่า
2) มูลค่าที่ดิน เท่าไหร่ครับ?
3) มูลค่าตัวอาคารเท่าไหร่ครับ? ห้องหนึ่งประมาณ สอง-สามแสนบาทครับ
4)ถ้ามูลค่า ที่ดินน้อยมาก ตัวอาคารก็จะสร้างได้เล็กตามนะครับ รายได้ก็จะน้อย และเมื่อถึงจุดหนึ่งจะไม่คุ้มค่ากับการดูแลและการจัดการครับ
5) โดยทั่วๆ ไปแล้ว ธุรกิจประเภทนี้ ในตอนนี้จะมีกำไรประมาณ 7-9 เปอร์เซนต์นะครับ ถ้ากู้มาสร้าง ก็เสียดอกเบี้ยไปแล้ว 6-7 เปอร์เซนต์นะครับ
สรุปแล้วถ้ากู้มาสร้างจะได้กำไรประมาณ ไม่เกิน 3-5เปอร์เซนต์นะครับ
6) ตอนนี้ดอกเบี้ยกำลังขึ้นนะครับ ถ้าดอกเบี้ยขึ้นเงินฝากขึ้นไป ถึง 4-5เปอร์เซนต์ ดอกเบี้ยเงินกู้ ก็จะขึ้นไปที่ 9-11 เปอร์เซนต์นะครับ
ในกรณีนี้ ถ้าฝากเงินไว้กับธนาคาร จะได้กำไร 4-5 เปอร์เซนต์
ถ้าสร้างตึก จะเท่าทุน (ทุนจม) นะครับ อาจบางทีขาดทุนกำไรได้นะครับ
7) การสร้างตึก สภาพคล่องต่ำมากๆ เหมาะกับผู้ทีมีเงินเย็น หรือว่ามีเงินเหลือๆแล้วนะครับ ไม่เหมาะสำหรับเป็นธุรกิจที่หวังจะเอาไว้พึ่งพานะครับ
8 ) โดยการมองภาพรวมตอนนี้ การสร้างตึกกำลังเป็นที่นิยมสำหรับคนที่มีทุนทรัพย์ นะครับ แต่อย่าลืม ว่า ราคาห้องพักมันขึ้นกับ ความต้องการของตลาด
ถ้าเรา สร้างตึกกันคนละหลัง แล้ว จะเอาลูกค้ามาจากไหนกันล่ะครับ
9) จากกรณีศึกษา ใน ประเทศอเมริกา
โดยมากแล้ว วงจรสังคมของประเทศเขาจะล้ำหน้าเราไปประมาณ 30 ปีนะครับ
ใน ขณะนี้ ตึกสูงๆ ในอเมริกา เทียบได้กับ สลัม ในบ้านเรานะครับ
คนรวยจะย้ายไปอยู่ชานเมือง เพราะมีรถ+มีกำลังทรัพย์ในการขนส่ง
คนที่ไม่มีเงิน จึงต้อง แออัดกันอยู่ในเมือง ที่มีแต่มลพิษ ครับ
สังเกตุดูในหนัง ฮอลลีวู๊ด คนรวย บ้านจะอยู่ชานเมืองมากๆ
ปริมาณประชากรต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่น้อยมากๆ
ปล. สำหรับ ทำเล เกาะภูเก็ต อันนี้ ผมไม่ทราบตื้นลึกหนาบางนะครับ
เป็นหนึ่งในความคิดเห็นนะครับ
การตัดสินใจต้องอยู่ที่ตัวคุณนะครับ
ขอบคุณที่อ่านครับผม
1) ลูกค้าคือใครครับ? ลูกค้ามีตัวเลือกอย่างอื่นหรือเปล่า
2) มูลค่าที่ดิน เท่าไหร่ครับ?
3) มูลค่าตัวอาคารเท่าไหร่ครับ? ห้องหนึ่งประมาณ สอง-สามแสนบาทครับ
4)ถ้ามูลค่า ที่ดินน้อยมาก ตัวอาคารก็จะสร้างได้เล็กตามนะครับ รายได้ก็จะน้อย และเมื่อถึงจุดหนึ่งจะไม่คุ้มค่ากับการดูแลและการจัดการครับ
5) โดยทั่วๆ ไปแล้ว ธุรกิจประเภทนี้ ในตอนนี้จะมีกำไรประมาณ 7-9 เปอร์เซนต์นะครับ ถ้ากู้มาสร้าง ก็เสียดอกเบี้ยไปแล้ว 6-7 เปอร์เซนต์นะครับ
สรุปแล้วถ้ากู้มาสร้างจะได้กำไรประมาณ ไม่เกิน 3-5เปอร์เซนต์นะครับ
6) ตอนนี้ดอกเบี้ยกำลังขึ้นนะครับ ถ้าดอกเบี้ยขึ้นเงินฝากขึ้นไป ถึง 4-5เปอร์เซนต์ ดอกเบี้ยเงินกู้ ก็จะขึ้นไปที่ 9-11 เปอร์เซนต์นะครับ
ในกรณีนี้ ถ้าฝากเงินไว้กับธนาคาร จะได้กำไร 4-5 เปอร์เซนต์
ถ้าสร้างตึก จะเท่าทุน (ทุนจม) นะครับ อาจบางทีขาดทุนกำไรได้นะครับ
7) การสร้างตึก สภาพคล่องต่ำมากๆ เหมาะกับผู้ทีมีเงินเย็น หรือว่ามีเงินเหลือๆแล้วนะครับ ไม่เหมาะสำหรับเป็นธุรกิจที่หวังจะเอาไว้พึ่งพานะครับ
8 ) โดยการมองภาพรวมตอนนี้ การสร้างตึกกำลังเป็นที่นิยมสำหรับคนที่มีทุนทรัพย์ นะครับ แต่อย่าลืม ว่า ราคาห้องพักมันขึ้นกับ ความต้องการของตลาด
ถ้าเรา สร้างตึกกันคนละหลัง แล้ว จะเอาลูกค้ามาจากไหนกันล่ะครับ
9) จากกรณีศึกษา ใน ประเทศอเมริกา
โดยมากแล้ว วงจรสังคมของประเทศเขาจะล้ำหน้าเราไปประมาณ 30 ปีนะครับ
ใน ขณะนี้ ตึกสูงๆ ในอเมริกา เทียบได้กับ สลัม ในบ้านเรานะครับ
คนรวยจะย้ายไปอยู่ชานเมือง เพราะมีรถ+มีกำลังทรัพย์ในการขนส่ง
คนที่ไม่มีเงิน จึงต้อง แออัดกันอยู่ในเมือง ที่มีแต่มลพิษ ครับ
สังเกตุดูในหนัง ฮอลลีวู๊ด คนรวย บ้านจะอยู่ชานเมืองมากๆ
ปริมาณประชากรต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่น้อยมากๆ
ปล. สำหรับ ทำเล เกาะภูเก็ต อันนี้ ผมไม่ทราบตื้นลึกหนาบางนะครับ
เป็นหนึ่งในความคิดเห็นนะครับ
การตัดสินใจต้องอยู่ที่ตัวคุณนะครับ
ขอบคุณที่อ่านครับผม
Inmagination is more importan than knowledge
- neelajee
- Verified User
- โพสต์: 126
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 13
ลองค้นหาในเวบดู ง่ายที่สุดขอขอบคุณทุกคำแนะนำครับ
ถ้าตอนนี้มีการอบรมที่ไหนแนะนำด้วยครับ
yamyen
อีกคำแนะนำ คือ เดินเข้าร้านหนังสือไปที่หมวดการบริหาร
มีหนังสือสำหรับมือใหม่หัดทำธุรกิจเพียบ
เกี่ยวกับการลงทุนในอสังหาฯก็เห็นอยู่หลายเล่ม
การตลาดสำหรับธุรกิจอสังหาฯโดยเฉพาะก็มี
- neelajee
- Verified User
- โพสต์: 126
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 14
ลองค้นหาในเวบดู ง่ายที่สุดขอขอบคุณทุกคำแนะนำครับ
ถ้าตอนนี้มีการอบรมที่ไหนแนะนำด้วยครับ
yamyen
อีกคำแนะนำ คือ เดินเข้าร้านหนังสือไปที่หมวดการบริหาร
มีหนังสือสำหรับมือใหม่หัดทำธุรกิจเพียบ
เกี่ยวกับการลงทุนในอสังหาฯก็เห็นอยู่หลายเล่ม
การตลาดสำหรับธุรกิจอสังหาฯโดยเฉพาะก็มี
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 15
โค้ด: เลือกทั้งหมด
สถาปนิกน่าจะแค่ออกแบบและเขียนแบบอาคารนะ
การเขียน project หรือโครงการ ใครก็ได้ที่มีความรู้ในด้านการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อขอสินเชื่อ
สถาปนิกอาจจะให้ข้อมูลเรื่องราคาต้นทุนอสังหาฯ (ค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง ค่าปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ ค่าตกแต่งภายใน ฯลฯ)ของโครงการได้อย่างละเอียด นอกจากว่า สถาปนิกคนนี้จะมีความรู้ด้านการตลาด การบริหารจัดการ การเงิน ดีด้วย ก็สามารถเขียนโครงการฯได้
ผิดถูกอย่างไร ขออภัยด้วย (ร่วมด้วยช่วยแบ่งปันความคิดเห็น)
เหมือนกรณี ติดต่อสถาปนิกแล้ว สถาปนิกไปติดต่อเขตก็ได้
หรือ ติดต่อเขตเพื่อขออนุญาติ แล้วให้เขตช่วยหาแบบให้ ( อาจจะเอาแบบเดิมมาดัดแปลง ค่าแบบจะถูก หรือ การออกแบบใหม่ โดยเขตมีสถาปนิกให้ครับ )
-
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 16
จริงๆแล้วผมอาจจะมองต่างออกไปนะครับ คือถ้าจะอบรมแล้วสามารถดำเนินการบริหารและจัดการได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่...ประเด็นปัญหาคือการที่จะสามารถบริหารและจัดการได้ขนาดนั้น
1.คุณต้องใช้เวลาขนาดไหนในการฝึกอบรมเพื่อที่จะ"เข้าใจ"ได้
2.การบริหาร+จัดการ ใช้ศาสตร์30%กับศิลป70% ซึ่งในส่วนหลังต้องอาศัยทั้ง ประสบการณ์ ความชำนาญ know how และ know who ซึ่งผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องง่ายๆเลยที่จะไปนั่งเรียนไม่กี่สิบชั่วโมงแล้วมาทำธุรกิจ โอกาสเสียน่าจะมากกว่าได้ เพราะผมเชื่อว่าการทำธุรกิจไม่ใช่เส้นตรง
ดังนั้นวิธีที่น่าจะง่ายกว่าคือหาพัธมิตรทางธุรกิจ และเลือกที่จะทำความเข้าใจในส่วนที่จำเป็นน่าจะเป็นวิธีที่efficientกว่าและconsumeเวลาน้อยกว่า
ทั้งหมดนี้เผป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ
1.คุณต้องใช้เวลาขนาดไหนในการฝึกอบรมเพื่อที่จะ"เข้าใจ"ได้
2.การบริหาร+จัดการ ใช้ศาสตร์30%กับศิลป70% ซึ่งในส่วนหลังต้องอาศัยทั้ง ประสบการณ์ ความชำนาญ know how และ know who ซึ่งผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องง่ายๆเลยที่จะไปนั่งเรียนไม่กี่สิบชั่วโมงแล้วมาทำธุรกิจ โอกาสเสียน่าจะมากกว่าได้ เพราะผมเชื่อว่าการทำธุรกิจไม่ใช่เส้นตรง
ดังนั้นวิธีที่น่าจะง่ายกว่าคือหาพัธมิตรทางธุรกิจ และเลือกที่จะทำความเข้าใจในส่วนที่จำเป็นน่าจะเป็นวิธีที่efficientกว่าและconsumeเวลาน้อยกว่า
ทั้งหมดนี้เผป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ
- worapong
- Verified User
- โพสต์: 929
- ผู้ติดตาม: 0
ออกไปหาลูกค้าครับ
โพสต์ที่ 17
ผมเองก็ไม่เคยเป็น developer นะครับ แต่การทำธุรกิจควรเริ่มจากการหาลูกค้าครับ ถ้าไม่มีทุนก็ไม่เป็นไร ถ้าโครงการดีการหาทุนก็เป็นไปได้ครับ คุณลองพยายามหาลูกค้าดูก่อนบอกเค้าว่ามีที่ดินแปลงนึงอยากหาคนเช่า เค้าจะบอกคุณเองแหละว่าเค้าจะเอาไปทำอะไร แล้วถ้าคิดไม่ออกจริงๆคุณก็สร้างบ้านแล้วเซ้งระยะยาว 20-25 ปีก็ได้ ผมเห็นแถวบ้านผม เค้ามีที่อยู่ หาคนมาเซ้ง ตัวเองไม่ต้องออกสักบาท เรื่องเงินไปปรึกษาแบงค์เอา ถ้าเกี่ยวกับบ้านลองดูที่ ธอส. กับไทยพาณิชย์นะครับ เค้าชอบปล่อยกู้บ้านครับ แล้วถ้าไม่แน่ใจก็อย่าทำเกินตัว ค่อยๆทำทีละนิดก็ได้ ไม่ต้องทำหมดทั้งแปลง หรืออาจขายบางส่วนเพื่อเอาเงินมาพัฒนาส่วนที่เหลือ แต่อย่าลืมนะครับว่าต้องหาลูกค้าก่อน :twisted: :twisted: :twisted:
margin of safety
circle of competence
waiting for the perfect pitch
circle of competence
waiting for the perfect pitch
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 18
ผมเชื่อแนวคิด ดร.นิเวศน์นะ
ขนาดท่านจบ ป.เอก ด้านธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ + ภรรยาอยากจะให้ทำธุรกิจเองใจจะขาด ท่านยังไม่เสี่ยงแต่กลับมาเล่นหุ้นครับ
สถิติของผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่ประสบผลสำเร็จยังอยู่ที่ 5 % เท่านั้นเอง อีก 90+ % ล้มเหลว น่ากลัวนะ
ขนาดท่านจบ ป.เอก ด้านธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ + ภรรยาอยากจะให้ทำธุรกิจเองใจจะขาด ท่านยังไม่เสี่ยงแต่กลับมาเล่นหุ้นครับ
สถิติของผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่ประสบผลสำเร็จยังอยู่ที่ 5 % เท่านั้นเอง อีก 90+ % ล้มเหลว น่ากลัวนะ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 19
การทำธุรกิจของตัวเอง ต้องใช้ประสบการณ์สูงครับ
โดยเฉพาะต้องใช้ประสบการณ์ในการเป็นเจ้าของธุรกิจครับ
แปลว่า
คนที่จะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจส่วนใหญ่ ต้องเจ๊งมาก่อน
เพราะฉะนั้นคนที่ล้มเหลวครั้งแรก จะสูงก็จริง จากสถิติ คนที่ทำธุรกิจครั้งแรก เจ๊ง 95 % ใน 3 ปี และเจ๊ง 98 % ใน 5 ปี
ถ้ามีการทำต่อว่า เมื่อทำครั้งที่สอง สถิติอาจจะออกมาเป็น เจ๊ง 90 % ใน 3 ปี และเจ๊ง 95 % ใน 5 ปี
เมื่อทำรอบที่สาม เจ๊ง 85 % ใน 3 ปี และเจ๊ง 90% ใน 5 ปี
พอมาถึงรอบที่สี่ และผ่านการเจ๊งมาประมาณ 9-15 ปีแล้ว คนส่วนใหญ่ จะไปเป็นลูกจ้างแล้ว เพราะเสียไปหมด ทั้งเพื่อน ทั้งเครดิต ความน่าเชื่อถือ ตลอดจน อาจจะติดคุก หนีไปจีน หรือ นั่งเมื่อมอง แล้วคิดว่าโลกไม่เห็นน่าอยู่อีกต่อไป หรือคิดไปประมาณว่า พวกที่รวยๆขึ้นมาก็โกงๆกันทั้งนั้น
เมื่อทำรอบที่สี่ สถิติอาจจะออกมาประมาณว่า เจ๊ง 50 % สำเร็จ 50 %
และท้ามีการทำรอบที่ 5 เริ่มแก่แล้วครับ
อัตราการเจ๊ง เหลือ 20 % สำเร็จ 80 %
อิอิ เพื่อนๆคิดว่าไง
ลองมองไปรอบตัวดูซิว่าคุณมีเพื่อนที่ทำธุรกิจครั้งแรกในชีวิต สำเร็จกี่คน
และเพื่อนคุณทีร่ำรวยขึ้นมาจากการทำเอง ไม่ใช่รับกิจการ คนที่ทำสำเร็จ ทำเคยเจ๊งมาแล้วกี่รอบ
..............................................................................................
หมอสามัญชนครับ พี่คิดว่า สำหรับคนที่อยากเป็นเจ้าของกิจการ ควรทำแบบนี้ครับ คือเรียนรู้การเป็นเจ้าของกิจการทางอ้อมคือ ซื้อเฟรนไชน์ครับ เพื่อจะได้เรียนรู้ และลดอัตราการเจ๊ง
อีกทาง คือตั้งงบมาให้เจ๊งให้น้อยที่สุด เช่น ลงทุนครั้งแรกหัดทำการค้า ก็นิดหน่อย ครั้งสองเพิ่มขึ้น ครั้งสามเพิ่มขึนอีก ครั้งที่ก็ลงเยอะเลย อืม ใครจะทำได้ส่วนใหญ่ ครั้งแรกก็ลากซะเกือบหมดตัวแล้ว
สถติคือ การซื้อเฟรนไชน์ จะมีความสำเร็จสูงถึง 50 % ล้มเหลว 25 % ล้มเลิก อีก 25 %
และอีกเรื่องคือ ถามตัวเองก่อนว่าทำไมต้องเป็นเจ้าของกิจการ คุณยอมรับ ความพ่ายแพ้ได้นานแค่ไหน
..............................................................................................
ทำไมเราไม่มาเป้นเจ้าของกิจการในรูปผู้ถือหุ้น ในบริษัทที่ผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาอย่างยาวนาน ว่า มีกำไรต่อเนื่อง มีหนี้น้อย มีอัตราการเติบโต ที่รับได้
น่าจะดีกว่าการเป็นเจ้าของกิจการเอง ซึ่งต้องเจอสารพัด สารพัดจริงๆ
.................................................................................................
มีผู้ใหญ่ท่านนึง สอนไว้ว่า จะเจ๊งกี่รอบก็แล้วแต่ การค้าก็ยังคุ้มที่จะทำ เช่น เจ๊งมาแล้ว 10 รอบ เขาขอสำเร็จ รอบเดียว
เพราะรอบเดียวที่สำเร็จ มีกินไปตลอดชีวิต ( หมายถึง สำเร็จรอบเดียวจะคืนกำไร 10 รอบ ที่เคยเจ๊งมาอย่างคุ้มค่า )
โดยเฉพาะต้องใช้ประสบการณ์ในการเป็นเจ้าของธุรกิจครับ
แปลว่า
คนที่จะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจส่วนใหญ่ ต้องเจ๊งมาก่อน
เพราะฉะนั้นคนที่ล้มเหลวครั้งแรก จะสูงก็จริง จากสถิติ คนที่ทำธุรกิจครั้งแรก เจ๊ง 95 % ใน 3 ปี และเจ๊ง 98 % ใน 5 ปี
ถ้ามีการทำต่อว่า เมื่อทำครั้งที่สอง สถิติอาจจะออกมาเป็น เจ๊ง 90 % ใน 3 ปี และเจ๊ง 95 % ใน 5 ปี
เมื่อทำรอบที่สาม เจ๊ง 85 % ใน 3 ปี และเจ๊ง 90% ใน 5 ปี
พอมาถึงรอบที่สี่ และผ่านการเจ๊งมาประมาณ 9-15 ปีแล้ว คนส่วนใหญ่ จะไปเป็นลูกจ้างแล้ว เพราะเสียไปหมด ทั้งเพื่อน ทั้งเครดิต ความน่าเชื่อถือ ตลอดจน อาจจะติดคุก หนีไปจีน หรือ นั่งเมื่อมอง แล้วคิดว่าโลกไม่เห็นน่าอยู่อีกต่อไป หรือคิดไปประมาณว่า พวกที่รวยๆขึ้นมาก็โกงๆกันทั้งนั้น
เมื่อทำรอบที่สี่ สถิติอาจจะออกมาประมาณว่า เจ๊ง 50 % สำเร็จ 50 %
และท้ามีการทำรอบที่ 5 เริ่มแก่แล้วครับ
อัตราการเจ๊ง เหลือ 20 % สำเร็จ 80 %
อิอิ เพื่อนๆคิดว่าไง
ลองมองไปรอบตัวดูซิว่าคุณมีเพื่อนที่ทำธุรกิจครั้งแรกในชีวิต สำเร็จกี่คน
และเพื่อนคุณทีร่ำรวยขึ้นมาจากการทำเอง ไม่ใช่รับกิจการ คนที่ทำสำเร็จ ทำเคยเจ๊งมาแล้วกี่รอบ
..............................................................................................
หมอสามัญชนครับ พี่คิดว่า สำหรับคนที่อยากเป็นเจ้าของกิจการ ควรทำแบบนี้ครับ คือเรียนรู้การเป็นเจ้าของกิจการทางอ้อมคือ ซื้อเฟรนไชน์ครับ เพื่อจะได้เรียนรู้ และลดอัตราการเจ๊ง
อีกทาง คือตั้งงบมาให้เจ๊งให้น้อยที่สุด เช่น ลงทุนครั้งแรกหัดทำการค้า ก็นิดหน่อย ครั้งสองเพิ่มขึ้น ครั้งสามเพิ่มขึนอีก ครั้งที่ก็ลงเยอะเลย อืม ใครจะทำได้ส่วนใหญ่ ครั้งแรกก็ลากซะเกือบหมดตัวแล้ว
สถติคือ การซื้อเฟรนไชน์ จะมีความสำเร็จสูงถึง 50 % ล้มเหลว 25 % ล้มเลิก อีก 25 %
และอีกเรื่องคือ ถามตัวเองก่อนว่าทำไมต้องเป็นเจ้าของกิจการ คุณยอมรับ ความพ่ายแพ้ได้นานแค่ไหน
..............................................................................................
ทำไมเราไม่มาเป้นเจ้าของกิจการในรูปผู้ถือหุ้น ในบริษัทที่ผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาอย่างยาวนาน ว่า มีกำไรต่อเนื่อง มีหนี้น้อย มีอัตราการเติบโต ที่รับได้
น่าจะดีกว่าการเป็นเจ้าของกิจการเอง ซึ่งต้องเจอสารพัด สารพัดจริงๆ
.................................................................................................
มีผู้ใหญ่ท่านนึง สอนไว้ว่า จะเจ๊งกี่รอบก็แล้วแต่ การค้าก็ยังคุ้มที่จะทำ เช่น เจ๊งมาแล้ว 10 รอบ เขาขอสำเร็จ รอบเดียว
เพราะรอบเดียวที่สำเร็จ มีกินไปตลอดชีวิต ( หมายถึง สำเร็จรอบเดียวจะคืนกำไร 10 รอบ ที่เคยเจ๊งมาอย่างคุ้มค่า )
- Tao Investor
- Verified User
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 20
[quote="สามัญชน"]ผมเชื่อแนวคิด ดร.นิเวศน์นะ
ขนาดท่านจบ ป.เอก ด้านธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ + ภรรยาอยากจะให้ทำธุรกิจเองใจจะขาด
ขนาดท่านจบ ป.เอก ด้านธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ + ภรรยาอยากจะให้ทำธุรกิจเองใจจะขาด
Inmagination is more importan than knowledge
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 22
ท่านเต๋าถามว่า
ส่วน ดร.นิเวศน์อ้างอิงต่อมาจากไหน หรือว่าทำวิจัยเองในหนังสือไม่ได้บอกไว้ครับ
สาเหตุหลักก็น่าจะเป็นเรื่องประสบการณ์(ความรู้) เรื่องทุน เรื่องคู่แข่ง และอื่นๆมั้งครับ ในหนังสือไม่ได้บอกรายละเอียดไว้ว่าได้แก่อะไรบ้าง
พี่เจ๋งบอกว่าอันดับหนึ่งคือ ทำใหญ่เกินตัว มี reference จากงานวิจัยไหนไหมครับ
อ้างอิงจากในหนังสือตีแตกของ ดร.นิเวศน์ครับพี่สามัญชนครับ
ผมเคยเอา คำพูดที่เป็นสถิติอันนี้ไปอ้างอิง แต่ถูกถามกลับมาว่า เอามาจากไหน มีเหตุผลอย่างไร ....??
ส่วน ดร.นิเวศน์อ้างอิงต่อมาจากไหน หรือว่าทำวิจัยเองในหนังสือไม่ได้บอกไว้ครับ
สาเหตุหลักก็น่าจะเป็นเรื่องประสบการณ์(ความรู้) เรื่องทุน เรื่องคู่แข่ง และอื่นๆมั้งครับ ในหนังสือไม่ได้บอกรายละเอียดไว้ว่าได้แก่อะไรบ้าง
พี่เจ๋งบอกว่าอันดับหนึ่งคือ ทำใหญ่เกินตัว มี reference จากงานวิจัยไหนไหมครับ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- neelajee
- Verified User
- โพสต์: 126
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 26
แนะนำเข้าไปที่ห้องสมุด(อาจเจาะจงเกี่ยวกับพวกบริหารธุรกิจ ง่ายดี), ร้านหนังสือ,หาจากเวบ (คงพอได้แบบฟอร์มหรือหัวข้อสำหรับการเขียนแผนธุรกิจ)สวัสดีครับ
ผมอยากรบกวนท่านที่มีหรือที่เคยเขียนแผนธุรกิจ
ส่งตัวอย่างเป็น Case Study หน่อยนะครับ
(ผมคิดว่ามันเรียนรู้ง่ายกว่า)
ขอบคุณครับ
ลองค้นด้วยตัวเองดูบ้าง บางที่อาจพบหลายอย่างที่ดีๆโดยไม่คาดคิด
ธุรกิจแต่ละธูรกิจมันแตกต่างกัน แค่ 4 p ก็ต่างกันแล้ว
ขอให้ประสบความสำเร็จ
- Tao Investor
- Verified User
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
ขอคำปรึกษาครับ
โพสต์ที่ 27
สวัสดีครับผม มาส่งการบ้านนะครับ(เด็กน้อยกลับใจ)สวัสดีครับ
ผมอยากรบกวนท่านที่มีหรือที่เคยเขียนแผนธุรกิจ
ส่งตัวอย่างเป็น Case Study หน่อยนะครับ
(ผมคิดว่ามันเรียนรู้ง่ายกว่า)
ขอบคุณครับ
ผมว่า ข้อมูล ที่ คุณ yamyen ให้มานั้น ไม่น่าจะพอเพียง สำหรับ เขียนแผนธรุกิจนะครับ
ผมคิดว่าแผนธรุกิจ มันน่าจะยืดหยุ่น โดยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ เจ้าของโครงการ มากกว่า
ข้อมูลที่น่าจะต้องมีให้
1) ที่ดิน 7 ไร่ อยู่บริเวณไหนของเกาะภูเก็ต ครับ?
2) ลักษณะโดยรอบ ของที่ดินเป็นอย่างไรครับ
กว้าง*ยาวเท่าไหร่ ด้านหน้ากว้างเท่าไหร่ เป็นที่ตาบอดหรือไม่ มีถนนตัดผ่านหรือไม่ ห่างจากถนนใหญ่เท่าไหร่ ครับ เป็นพื้นที่ ที่สามารถสร้างอาคาร พักอาศัยได้หรือไม่ ???
3) ราคาประเมินของที่ดิน มีมูลค่าประมาณเท่าไหร่ครับ?
4) ขนาดของโครงการ มูลค่าของโครงการ จำนวนห้องพัก ฯลฯ ??
5) ไม่ในใจว่าที่ภูเก็ตมีสนามบินหรือไม่ ถ้าอยู่ใกล้ ก็มีข้อดีข้อเสีย ถ้าอยู่ใกล้มาก อาจกีดขวางเครืองบินได้(air offstruction) ถ้าความสูงมากเกินไป เสียงเครื่องบินรบกวนหรือไม่??
6)คาดว่าจะมีลูกค้ามาใช้บริการ ประมาณกี่เปอร์เซ็น ครับ เพราะเหตุใดจึงประเมินเช่นนั้น ?
7)กลุ่มลูกค้าเป็นใครครับ ขาจร ขาประจำ ขาใหญ่ ฯลฯ จะสร้างประมาณเกรดไหน ครับ??
8)มีเรื่องของผลประโยชน์ เรื่องกลุ่มอิทธิพลหรือไม่ ฯลฯ มีคู่แข่งหรือไม่ คู่แข่งมากไหม คู่แข่งแข็งแรงไหม แย่งลูกค้ากลุ่มเดียวกันหรือไม่ ?
9)ถ้าไม่มีลูกค้ามาใช้บริการ สายป่านที่เหลือ จะประคองไปได้ไกลแค่ไหนครับ??
คำถามที่ถามมาข้างต้น คือ คำถามในกรณีที่ไม่ คิดเรื่องสำคัญๆ อีกหลายๆ เรื่อง
เช่น
1)เรื่องดอกเบี้ย ทำแล้วกำไร หรือขาดทุนกำไร หรือ ขาดทุนจริง
2)ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับนำเงินไปทำอย่างอื่น
3)เปรียบเทียบความคล่องตัว ความยืดหยุ่น
4)ความสามารถในการ จัดการ+การบริหาร
ซึ่ง
1)การสร้างอพาทเม้นหรือห้องพักต่างๆ ความยืดหยุ่นมันน้อยมาก เมื่อเทียบกับกิจการอื่นๆ
2)ดูกระแส ก็เป็นสิ่งสำคัญ คล้ายๆ กับ ชาวสวน ปลูก ลำไย ล้นตลาด นะครับ ที่ดิน+ตึกหลังนึกก็หลายเงินอยู่ ไม่ใช่ลำไยนะครับ จะได้จัดงานเทศการได้ ^^
3)แนวโน้มของดอกเบี้ย เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาควบคู่กันไป เพราะมันจะผกผันกัน ระหว่าง ฝากธนาคาร กับ กู้ธนาคารครับ
4) ถ้าไม่รีบร้อน ก็ ควรชะลอโครงการ เพื่อความแน่ใจ เพราะความมั่นใจมันจะมาพร้อมๆ กับ ความรู้ ที่ ได้ศึกษา ครับผม
ปล. โดยส่วนตัวแล้ว การทำธรุกิจ ก็ คล้ายๆ กับการลงทุนครับผม
ถ้าเราสามารถปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม ก็จะเกิดประโยชน์มากมายครับ
ปล.2 พอจะนึกภาพออกไหมครับ
ปล.3 ผมเขียนแผนธุรกิจไม่เป็นนะครับ
Inmagination is more importan than knowledge