http://www.bangkokbiznews.com/jud/wan/พระราชอำนาจ ประมวล รุจนเสรี ผมภูมิใจในการเขียนหนังสือเล่มนี้...
พรชัย จันทโสก / [email protected]
กระแสความแรงของหนังสือ 'พระราชอำนาจ' นอกจากจะร้อนแรงชนิดฉุดไม่ยั้งรั้งไม่อยู่แล้ว....ยังกลายเป็นหนังสือที่ขึ้นอับดับขายดีที่ 1 หรือเบสท์เซลเลอร์อันดับ 1 ในร้านหนังสือที่มีชื่อแทบทุกแห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอีกด้วย โดยล่าสุดได้รับการพิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่ 5 อย่างรวดเร็ว รวมยอดพิมพ์สูงเกือบห้าหมื่นเล่ม แซงหน้าหนังสือดังเล่มอื่นๆ ไปอย่างชนิดไม่เห็นฝุ่น นอกจากนี้แล้วยังมีฉบับพิมพ์แจกตามห้องสมุดและหน่วยงานราชการอีกจำนวนมาก รวมถึงลงเผยแพร่ทางเวบไซต์ซึ่งมีคนเข้าอ่านวันละหลายพันคนเลยทีเดียว
ขณะที่ความแรงของหนังสือยังไม่มีทีท่าว่าจะเบาบางลง อีกด้านหนึ่งกลับสร้างอุณหภูมิทางการเมืองที่ร้อนแรงให้กับสมาชิกพรรคไทยรักไทยที่พยายามออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเขียนของ ประมวล รุจนเสรี จนกลายเป็นประเด็นร้อนตามสื่อต่างๆ ตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
และที่สำคัญที่สุดคือหนังสือเล่มนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีกระแสพระราชดำรัสที่ตรัสกับ ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา และรับสั่งให้เชิญกระแสพระราชดำรัสนี้มาแจ้งกับผู้เขียนว่า "เราอ่านแล้ว เราชอบมาก เขียนได้ดี เขียนได้ถูกต้อง" ก็ยิ่งทำให้คนทั่วไปที่ต้องการอ่านหนังสือเล่มนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นที่มาของคำถามว่าหนังสือเล่มนี้มีความพิเศษอย่างไร และทำไมคนไทยทุกคนจึงสมควรต้องอ่าน...
ดังนั้น ประมวล รุจนเสรี ผู้เขียนหนังสือ 'พระราชอำนาจ' น่าจะให้คำตอบนี้ได้ดีที่สุด โดยจุดประกายวรรณกรรมยินดีอย่างยิ่งสำหรับเป็นสื่อกลางในการเปิดเผยความในใจของผู้เขียนถึงผู้อ่านหนังสือ 'พระราชอำนาจ' ครั้งนี้
0รู้สึกอย่างไรกับการที่ประชาชนให้ความสำคัญกับหนังสือเล่มนี้?
ตรงนี้ผมดีใจ ผมพูดในงานสัมมนาวิชาการที่ธรรมศาสตร์ว่า ผมเขียนหนังสือเพื่อต้องการเช็คกระแส 3 อย่าง คือ 1.คนรู้สึกอย่างไรกับพระราชอำนาจ 2.คนยังหวังพระราชอำนาจเป็นที่พึ่งอยู่หรือเปล่า และ 3.จะปฏิบัติต่อพระราชอำนาจอย่างไร กระแสแรกออกมาชัดเจนแล้ว กระแสที่สองผมคิดว่าคงไม่ยาก แต่กระแสที่สามต้องรอดูว่าปีหน้าประชาชนจะมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรต่อปัญหาคอร์รัปชันของบ้านเมือง ต่อปัญหาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ต่อปัญหาเรื่องการปฏิบัติตนต่างๆ
0คาดหวังไว้หรือเปล่าว่าหนังสือจะได้รับกระแสตอบรับจากประชาชนมากมายขนาดนี้?
ผมไม่คาดหวังมากนัก แต่สิ่งที่เขียนมีเรื่องราวของมันเอง ว่าทำไมต้องเขียน เขียนเพราะได้เห็นอะไรที่แปลกๆ พิกลพิการในสังคมของเรา ก็หยิบขึ้นมาเขียนทีละเรื่องๆ เป็นจังหวะ ช่วงเกือบสองปีที่ผ่านมา ผมเขียนหนังสือมา 3 เรื่อง คือ 'สมดุลประเทศไทย' จริงๆ เขียนหนังสือโดยไม่ได้กะว่าจะให้เป็นหนังสือขายดี เพียงแต่ต้องการสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยขาดความสมดุลอย่างไร การโฆษณาที่ทุ่มแต่เรื่องเศรษฐกิจ แต่ปัญหาการเมือง ปัญหาศีลธรรม ปัญหาสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อมกลับทรุดลงไป สะท้อนออกมาให้ดู และอีกเรื่องคือ 'การใช้อำนาจเป็นธรรมชาติของมนุษย์' สะท้อนปัญหาของการใช้อำนาจของคน แน่นอนว่ามันไปกระทบกับพรรคการเมืองบ้าง แต่ผมไม่ได้ตั้งใจให้ไปกระทบหรอก แต่เมื่อข้อเท็จจริงของพรรคการเมืองเป็นอย่างนี้ ผมก็สะท้อนออกมาอย่างนี้
0รวมถึงเรื่อง"พระราชอำนาจ"ด้วย?
เล่มนี้ผมสะท้อนให้เห็นว่าอำนาจสูงสุดที่เราเคารพเทิดทูน เริ่มเบี่ยงเบน พอเห็นความเบี่ยงเบนแล้วเรายิ่งตกใจ รุ่นเราอายุ 60 ปี อยู่ในประชาธิปไตยมานิดเดียว ถ้าอยู่ในประชาธิปไตยอีก 200-300 ปี สถาบันพระมหากษัตริย์จะเป็นอย่างไร เกิดความวิตก เมื่อเกิดความวิตกก็อยากจะสะท้อนออกมา โชคดีที่เป็นคนช่างเขียนและช่างสังเกตอยู่พอสมควร และเป็นคนช่างเก็บข้อมูล (เพราะผมชื่อประมวล) ไปศึกษาแล้วนำมาถ่ายทอดจากความรู้สึก ฉะนั้นหนังสือ 'พระราชอำนาจ' เป็นหนังสือที่ถ่ายทอดจากความรู้สึก อยากจะสะท้อนอะไรก็เขียน เมื่อก่อนตอนเป็นอธิบดีกรมการปกครองผมเขียนเรื่อง 'นายอำเภอในฝัน' เพื่อต้องการสะท้อนชีวิตของเด็กคนหนึ่ง แต่เล่มนี้เกิดจากแรงบันดาลใจ ความกังวลใจ และข้อเท็จจริงที่ปรากฏด้วย
0'พระราชอำนาจ'ตามคำจำกัดความของผู้เขียนมีความหมายว่าอย่างไร?
'พระราชอำนาจ' เป็นคำที่คนไทยรุ่นพ่อรุ่นแม่และจนถึงรุ่นปัจจุบัน ต่างทราบว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงมีอยู่เหนือเจ้าเหนือชีวิตของพวกเรา บอกไม่ได้ว่าจริงๆ หมายถึงอำนาจอะไรกันแน่ แต่เป็นอำนาจที่คนโบราณเรียกว่า 'เจ้าชีวิต เจ้าแผ่นดิน' คือเป็นทั้งพ่อเรา เป็นทั้งผู้ปกครองดูแลเรา เป็นผู้บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้เรา เป็นผู้ปกป้องรักษาชีวิต เอกราช อธิปไตยให้แก่เรา เจ้าแผ่นดิน หมายความว่า แผ่นดินทุกตารางนิ้วพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสละเอาชีวิตหยาดเหงื่อเลือดเนื้อของบรรพบุรุษปกป้องรักษาไว้ให้เรามีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน และที่ดินทุกแปลงในสมัยโบราณก็ถือว่าเป็นของพระมหากษัตริย์ทั้งหมด ฉะนั้นคำว่าพระราชอำนาจไม่ใช่อำนาจตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ทรงมีมาโดยจารีตประเพณี ทรงฝังลึกในหัวใจคนไทยเรา และเป็นสิ่งที่เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมยิ่งกว่าใดๆ ผมกังวลว่าวันหนึ่งคนไทยจะไม่เข้าใจ ผมมองไปถึงอนาคต
0ในฐานะที่เป็นคนเขียนคิดอย่างไรกับหนังสือเล่มนี้?
ชีวิตผมไม่เคยคิดว่าจะเขียนหนังสือเล่มนี้เลย แต่บังเอิญว่าชีวิตส่วนใหญ่ของผมเป็นข้าราชการ เป็นข้าแผ่นดิน เป็นอธิบดีกรมการปกครอง เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทยมาตลอดชีวิต คุ้นเคยการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีประสบการณ์ทั้งทางการเมืองและการบริหารการปกครองมามากอีกคนหนึ่ง เมื่อมาอยู่ในพรรคไทยรักไทยก็ได้ศึกษาเรื่องการเมืองมากขึ้น เรียนรู้พฤติกรรมต่างๆ ทางการเมือง ทั้งจากเพื่อน ส.ส.จากรัฐบาล จากฝ่ายค้าน จากสมาชิกวุฒิสภา และองค์กรอิสระต่างๆ เมื่อผมมีเวลาผมชอบเขียนหนังสือ เพราะเขียนมาตั้งแต่สมัยเป็นอธิบดีกรมการปกครอง เขียนบ้าง แจกบ้าง ขายบ้าง พอเป็นอธิบดีกรมการปกครอง ผมฝันอยากให้นายอำเภอของผมเป็นอย่างไร ก็เขียนเรื่อง 'นายอำเภอในฝัน' ขึ้นมา และสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ประสบการณ์ และความมุ่งมาดปรารถนาที่อยากจะเห็นนายอำเภอในอนาคตเป็นอย่างไร พอได้มีโอกาสมาทำงานด้านการเมืองทั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (เกือบ 2 ปี) รองประธานวิป และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งผมเห็นอยู่อย่างหนึ่งว่าประเทศไทยของเรากำลังเป็นไปด้วยความไม่สมดุล เลยเขียนหนังสือเรื่อง 'สมดุลประเทศไทย' ขึ้นมา ระหว่างที่เขียนอยู่นั้นมีน้องๆ ที่เป็น ส.ส.บอกว่า ทำไมกระทรวงนั้นใช้อำนาจอย่างนี้ รัฐมนตรีนี้ใช้อำนาจอย่างนั้น ทำไมตำรวจใช้อำนาจกับประชาชนอย่างนั้น ดูเหมือนประหนึ่งว่าจะขาดความเป็นธรรม ดูเหมือนประหนึ่งว่าจะขาดความเอื้ออาทรต่อพี่น้องประชาชน
0จึงเกิดคำถามเกี่ยวกับเรื่องอำนาจ?
ผมเลยต้องหยิบปากกาขึ้นมาเขียน 'การใช้อำนาจเป็นธรรมชาติของมนุษย์' ความจริงจะไม่มีปัญหาเลยถ้าไม่มีใครช่วยกันทำให้มันดังขึ้นมา โดยการขอแจกในที่ประชุม ส.ส.และถูกยับยั้งไม่ให้แจก พอดีมีคนเอาเนื้อหานี้ไปบอกกับท่านนายกฯ ทักษิณ ว่า 'ผมสาวไส้ให้กากิน' เอาเรื่องพรรคไทยรักไทยไปเขียนไว้ในหนังสือนี้หมด เลยถูกตำหนิติเตียน กลายเป็นว่าหนังสือดังขึ้นมา ระหว่างเขียนหนังสือเล่มนี้ก็มีเหตุการณ์ของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา เรื่องของผู้ว่าการ สตง.ที่กำลังฉาวโฉ่อยู่ในขณะนี้ เพราะว่าตอนนั้นถ้าจำกันได้ ท่านเสนาะ เทียนทอง กับพวกผม 60 คน ส.ส.ไทยรักไทย ได้เข้าชื่อทำหนังสือเรียนท่านประธานวุฒิสภา สุชน ชาลีเครือ ถามว่ายับยั้งได้ไหม เมื่อสถานภาพของคุณหญิงจารุวรรณยังไม่ชัดเจนว่าพ้นหรือไม่พ้น จะเสนอคนใหม่ซ้อนเข้าไปได้อย่างไร คุณคิดถึงพระบรมราชโองการหรือเปล่า ในที่สุดก็มีผู้หลักผู้ใหญ่ออกมาตำหนิติเตียนอีกว่าไปยุ่งเกี่ยวกับ ส.ว.เขาทำไม และลูกน้องผมถูกบังคับให้ถอนชื่อออกจากการเสนอ ผมเลยคิดว่าถึงเวลาที่ผมจะต้องสะท้อนเรื่องพระราชอำนาจขึ้นมาเอง เบื้องแรกต้องการที่จะบอกคนไทยว่า 'พระราชอำนาจ' ของพระเจ้าอยู่หัวเรา หรือของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างไร เนื้อหาเล่าตั้งแต่อดีต
0ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยสุโขทัยเลยหรือ?
ย้อนกลับไปเพื่อจะให้คนไทยมีความสบายใจอย่างหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ไทยเรานั้น เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ไม่เคยกดขี่ข่มเหงรังแกพี่น้องประชาชน ปกครองราษฎรเหมือนพ่อปกครองลูก ใช้ธรรมะคือทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตรราชสำนักเป็นเครื่องกำกับ จะลงโทษประชาชนแต่ละครั้ง คิดแล้วคิดอีก จะออกกฎหมายมาบังคับประชาชนแต่ละฉบับก็ขอโทษขอโพยประชาชน ต่างกับยุคสมัยนี้ พอได้เสียงข้างมาก คิดว่าดีแล้ว ออกกฎหมายมาตูม ตูม ตูม!!! เป็นพระราชกำหนดบ้าง เป็นอะไรบ้าง โดยคนอื่นค้านไม่ได้เลย ตรงนี้เริ่มเปรียบเทียบให้ดูว่าระหว่างพระมหากษัตริย์กับการปกครองระบอบประชาธิปไตย ความแตกต่างในเรื่องการใช้อำนาจเริ่มมี เมื่อผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ผมก็จะสะท้อนต่อไปว่าคนไทยในยุคปัจจุบันนี้รู้สึกอย่างไรต่อการมีพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ รู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร เห็นอย่างไร พยายามจะสะท้อนออกมาว่าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ของเราเป็นอย่างไร อำนาจตามรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร อำนาจที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นอย่างไร และทรงแก้วิกฤตการณ์บ้านเมืองมากี่ครั้งกี่คราวเป็นอย่างไร และท้ายที่สุดคนไทยหวังพึ่งอะไร ก็หวังพึ่งพระเจ้าอยู่หัวของเรา ประเทศไทยก็ดำเนินมาอย่างนี้
0ถ้ามอง'พระราชอำนาจ'ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?
ความจริงมันเปลี่ยนโดยความรู้สึกนึกคิดของคน ถ้าเราบอกว่าระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จะมองรูปแบบว่าพระเจ้าอยู่หัวมีอำนาจสมบูรณ์ พอมองประชาธิปไตยบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวมีอำนาจไม่สมบูรณ์แล้ว มีอำนาจจำกัด ความรู้สึกตรงนี้เปลี่ยนไป และกระบวนการใช้อำนาจ เมื่อก่อนพระเจ้าอยู่หัวทรงสั่งอะไรได้เอง แต่วันนี้ต้องใช้อำนาจผ่านคนนั้นผ่านคนนี้ แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุด ผมคิดว่าพี่น้องประชาชนเอง ไม่ได้มีความรู้สึกต่อพระเจ้าอยู่หัวเปลี่ยนแปลงไปเลย ความรู้สึกของคนไทยตรงนี้ไปถามที่ไหนก็ได้ ไปบ้านนอกจะเห็นว่ายกมือท่วมหัวเลย ความรู้สึกยังเหมือนเดิม ยังเห็นพระเจ้าอยู่หัวเป็นเจ้าชีวิตเจ้าแผ่นดินเหมือนเดิม แน่นอนว่าเราพยายามจะไปเลียนแบบของประเทศตะวันตกเข้ามาใช้ บางครั้งเหมาะบ้างไม่เหมาะบ้าง ก็เกิดปัญหาขึ้น สำคัญคือขอให้คนไทยพยายามคิดถึงความเป็นคนไทยที่มีมรดกมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง
0คนไทยจำเป็นต้องรู้เรื่องพระราชอำนาจมากน้อยแค่ไหน?
รู้เรื่องพระราชอำนาจก็คือรู้เรื่องของเรานั่นแหละ เพราะอำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดในประเทศ สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ 600 กว่าปี พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นเจ้าของอำนาจโดยแท้จริง มาเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 พระเจ้าอยู่หัวของเราก็ต่างจากพระเจ้าอยู่หัวของประเทศอื่น เพราะได้เตรียมการพระราชทานรัฐธรรมนูญให้คนไทยมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4, 5, 6 และรัชกาลที่ 7 ถึงกับร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญให้คนไทยแล้ว แต่ยังไม่ทันพระราชทานถูกคณะราษฎรยึดอำนาจเสียก่อน จะเห็นว่าการยึดอำนาจนั้นไม่ได้เสียเลือดเสียเนื้อเลย เพราะพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริพระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว
0จริงๆแล้วคนไทยเรายังเข้าใจเรื่องอำนาจอธิปไตยน้อยมาก?
ผมอยากจะเรียนว่าอำนาจอธิปไตยในเมื่อมันอยู่กับคนไทยแล้ว คนไทยเข้าใจกันน้อยเกินไป ยุคแรกอำนาจยังอยู่ในมือกลุ่มทหาร-ข้าราชการมากกว่าประชาชน เราเริ่มจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เมื่อปี 2540 โดยรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้ในปัจจุบัน ที่เรียกว่าเป็นฉบับประชาชน แต่เราก็วางโครงสร้างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผิดอีก เพราะไปป้องกันไม่ให้ ส.ส.ขายตัว ป้องกันไม่ให้มีการย้ายพรรค ป้องกันไม่ให้มีการล้มรัฐบาลโดยการอภิปราย กลายเป็นจุดแข็งเกินไป ทำให้วันนี้เรามีรัฐบาลที่ไม่สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจได้เลย แม้กระทั่งรัฐมนตรีคนหนึ่ง หรือนายกรัฐมนตรี ทีนี้เรื่องพระเจ้าอยู่หัวถ้าพูดกันจริงๆ แล้วเราได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ท่านเยอะ ทรงแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่เราก็ยังไม่รู้สึกว่าท่านเป็นประมุข เป็นองค์อธิปไตย ที่จะทำอะไรให้บ้านเมืองได้ ถ้าเราเจอรัฐบาลที่เป็นอธรรม บริหารไม่ชอบ เราจะแก้อย่างไร จะเรียกร้องให้ปฏิวัติอย่างเก่าก็เรียกร้องไม่ได้ เพราะหมดสมัยปฏิวัติแล้ว จะแก้ปัญหาโดยขอพระราชทานรัฐธรรมนูญจากพระองค์ได้หรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วรัฐธรรมนูญทุกฉบับพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน ตรงนี้คนไทยไม่เข้าใจ
0หมายถึงคนไทยถูกชี้นำให้เข้าใจว่าอำนาจพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ?
ตอนนี้เราใช้รัฐธรรมนูญมา 16 ฉบับ และ 15 ฉบับต้องขอพระราชทาน แต่วิธีร่างอาจจะมีคนโน้นร่างคนนี้ร่าง ร่างเสร็จก็นำขึ้นทูลเกล้าฯ ขอพระราชทาน สองฉบับหลังนี้พิเศษ ต้องขอพระบรมราชานุมัติก่อน หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวต้องอนุมัติก่อนถึงจะประกาศใช้ได้ นั่นแสดงว่าสถานภาพของพระเจ้าอยู่หัวเหนือกว่ารัฐธรรมนูญ ให้เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่กำหนดกลไกการทำงานไว้เท่านั้นเอง แต่เหนือกว่ารัฐธรรมนูญคือพระเจ้าอยู่หัว ท่านยังทรงมีข้อกำหนดที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่าท่านต้องทรงทำอย่างนั้นๆ ข้อกำหนดเหล่านั้นเองที่ทำให้คนคิดว่าพระเจ้าอยู่หัวอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียน คือ นิติประเพณี เมื่อไม่ได้เขียนไว้ ตรงนี้เราไม่เข้าใจ เรามองไม่ออกว่าที่ไม่ได้เขียนมีอะไรบ้าง พระมหากษัตริย์ทรงเป็นศาสนูปถัมภก ทรงเป็นจอมทัพไทย สั้นๆ แค่นี้คนไทยไม่เข้าใจ เพราะไม่ได้อธิบายไว้ ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราอยากจะทำความเข้าใจว่าอำนาจตามนิติราชประเพณีสำคัญ
อย่างกรณีของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการสรรหาไม่ชอบ แต่วินิจฉัยไม่จบกระบวนความว่าพ้นตำแหน่งหรือไม่พ้นตำแหน่ง ทาง คตง.ก็มาตีความว่าคุณหญิงจารุวรรณพ้นตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ ต้องสรรหาและให้วุฒิสภากลั่นกรองและนำเสนอ ตรงนี้ทำตามรัฐธรรมนูญ และหวังว่าเมื่อส่งขึ้นไปแล้ว พระเจ้าอยู่หัวจะทรงลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งคุณวิสุทธิ์ มนตริวัต ประเด็นปัญหาเกิดจากว่า 90 วัน ท่านยังไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย อันนี้เป็นข้อยืนยันว่าพระเจ้าอยู่หัวมีอำนาจ ต้องเข้าใจว่าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทรงเป็นประมุขที่เหนืออำนาจอธิปไตย ทรงเป็นประมุขที่มีอำนาจอันบริสุทธิ์ด้วย พระองค์ไม่เคยใช้อำนาจของพระองค์เพื่อการทุจริตคอร์รัปชัน เราไม่เคยได้ยิน ไม่เคยใช้เพื่อพวกพ้อง เป็นการใช้เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวสยามโดยแท้
0ต้องปฏิบัติอย่างไรถึงจะเรียกได้ว่าเป็นการเคารพในพระราชอำนาจของพระองค์?
บทสุดท้ายผมเขียนข้อพึงปฏิบัติต่อพระราชอำนาจ ปกติถ้ามีวาระสำคัญเราจะออกมายกย่องเชิดชูกันด้วยการแสดงออกต่างๆ เช่น วาระครองราชย์ 50 ปี หรือ 60 ปีที่กำลังจะมาถึง มีการเฉลิมฉลอง อันนี้เป็นการแสดงความจงรักภักดีอีกวิธีหนึ่ง แต่เป็นเพียงรูปแบบของพิธีกรรมเท่านั้นเอง แต่ที่ลึกลงไปมีอยู่ 4 อย่างที่คนไทยน่าจะทำ คือผู้ที่มีหน้าที่ถวายสัตย์ปฏิญาณ รักษาคำสัตย์ปฏิญาณจริงๆ ได้ไหม ใครที่ถวายสัตย์ปฏิญาณ ทั้ง ส.ส. ส.ว. นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี องค์กรอิสระ ทหาร นอกจากสัตย์ปฏิญาณแล้วมาดูว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติให้ถูกต้องให้สมควร อย่างกรณีการรับสนองพระบรมราชโองการ คำว่ารับสนองพระบรมราชโองการ หมายความว่ารับเอาคำสั่งของพระเจ้าอยู่หัวมาประกาศให้คนไทยได้รับรู้ ประกาศเป็นกฎหมายต่างๆ คนรับสนองพระบรมราชโองการสำคัญ ต้องดูให้ถูกต้องทั้งกฎหมาย ถูกต้องทั้งข้อเท็จจริง กาลเทศะ และความสมควร บางคนยึดแต่กฎหมาย แต่ไม่ได้คิดถึงความควรไม่ควร พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่ากฎหมายคือเครื่องมือของความยุติธรรม มิใช่ตัวความยุติธรรม
0สำหรับประชาชนทั่วไป?
หน้าที่ของพวกเราต้องคอยดูว่าผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องได้ทำการประหนึ่งล่วงละเมิดพระราชอำนาจหรือเปล่า เราต้องแสดงออกซึ่งความไม่พอใจ การแสดงความไม่พอใจ เช่น เข้าชื่อคัดค้านก็ได้ รัฐธรรมนูญให้สิทธิ แม้แต่วันนี้สิทธิเดินขบวนก็ยังสามารถทำได้ เป็นสิทธิตามกฎหมาย ฉะนั้นวันนี้สิ่งที่เราอยากจะเชิดชูพระเจ้าอยู่หัว เราใช้ชีวิตหรือดำรงชีวิตแบบพอเพียงตามที่พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งได้ไหม คือไม่ฟุ่มเฟือย เพราะปัจจุบันคนไทยเป็นหนี้ล้นพ้นตัว หนี้ทั่วประเทศเป็นแสนๆ ล้าน ยิ่งนับวันครัวเรือนหนึ่งๆ ยิ่งมีหนี้เพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนมากมาย นั่นแสดงว่าเราใช้ชีวิตแบบไม่พอเพียงอย่างที่พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งแล้ว ฉะนั้นสิ่งแรกที่ทำได้คือตัวเราและครอบครัว ท่านตรัสถึงเรื่องการศึกษาอบรม เรื่องการปกครอง เรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน เรื่องการดำรงชีวิตไว้เยอะ กรุณาทำตามที่พ่อของแผ่นดินรับสั่งได้ไหม
0ตอนนี้ถือว่าบรรลุความตั้งใจหรือยัง?
ยังตอบไม่ได้ แต่กระแสอันหนึ่งที่ผมเห็นแล้วผมดีใจ กระแสความตื่นตัวของพี่น้องคนไทยต่อหนังสือเล่มนี้ แสดงว่าคนไทยเริ่มจะสนใจ แต่ผมยังต้องดูต่อไปอีกสักระยะหนึ่งว่าหลังจากปีหน้าเป็นปีที่ครบ 60 ปีของการทรงครองราชย์พระเจ้าอยู่หัว คนไทยจะตื่นตัวเรื่องคอร์รัปชันอย่างไร หรือว่าปล่อยให้เป็นกระแสพระราชดำรัสที่ลอยตามลม คนไทยจะตื่นตัวเรื่องความพอเพียงในการดำรงชีวิตอย่างไร ถ้าพร้อมใจกันทำถวาย 60 ปี มีปณิธานร่วมกันว่าบ้านเมืองเราจะมีคอร์รัปชันกันระดับไหนก็ไม่ได้แล้ว เราจะอยู่อย่างพอเพียง ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หวังเอากำไรเอารายได้ให้ประเทศชาติอย่างเดียว ให้มีความสุขถ้วนหน้ากัน ช่วยกันสร้างขึ้นมาถวายในปีหน้า 60 ปี นั่นแหละคือสิ่งที่ผมคาดหวังและอยากจะเห็นมากที่สุด
0นอกเหนือจากเรื่องพระราชอำนาจแล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่อยากจะชี้แจงให้ประชาชนได้เข้าใจบ้าง?
เรื่องของพระปฐมบรมราชโองการของพระเจ้าอยู่หัว ที่ตรัสว่า 'เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม' ผมถือว่าเรื่องนี้เป็นธงชัยอันยิ่งใหญ่ของคนไทย ของรัฐบาล ของวุฒิสมาชิก ของ ส.ส. ขององค์กรอิสระ จะต้องเชิดชูขึ้นมาให้เห็นและทำตามให้ได้ เพราะไม่ได้หมายความว่าธรรมะตัวนี้เป็นคำลอยๆ คำว่าปกครองโดยธรรมคือทศพิธราชธรรม ปกครองด้วยความถูกต้องดีงามจริงๆ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของพวกหรือของใครเท่านั้น อยากเห็นคนไทยพร้อมที่จะมาเป็นธรรมาธิปไตยหรือเปล่า ถ้าปกครองแล้วต้องเอาประโยชน์สุขของมหาชนเท่านั้น วันนี้คนแข็งแรงกว่าได้ประโยชน์มากกว่าคนอ่อนแอ คนมีตังค์ได้ประโยชน์เพราะซื้อหุ้นได้ ได้กำไรจากหุ้น คนจนซื้อหุ้นไม่ได้ ก็ต้องแบกซื้อน้ำมันแพงๆ นี่คือสิ่งที่อยากจะฝากบอกคนไทยไว้
0สิ่งที่อยากให้คนอ่านนำไปคิดต่อคืออะไร?
จริงๆ แล้วหนังสือเป็นเพียงการบอกกล่าว เป็นลายลักษณ์อักษร มันจะโลดแล่นออกมาเป็นชีวิตจริงไม่ได้ ถ้าจะให้โลดแล่นออกมาเป็นชีวิตจริงก็หมายความว่าสิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวตรัส กระแสพระราชดำรัส กระแสพระบรมราชโองการ กระแสพระราชดำริต่างๆ เอามาทำเสีย ซึ่ง 59 ปีที่ท่านทรงครองราชย์ ท่านรับสั่งไว้เยอะแยะ ท่านทรงตรากตรำพระวรกายเพื่อคนไทย หวังให้ประชาชนนำมาปฏิบัติและดำรงประเทศชาติบ้านเมืองตามที่ท่านทรงตั้งปณิธานไว้คือ ปกครองแผ่นดินโดยธรรม โดยใช้ธรรมาธิปไตยความถูกต้องดีงามเป็นหลัก อย่าใช้พวกพ้องหรือการทุจริตคอร์รัปชันเป็นตัวนำ อย่าใช้เงินตราหรือรายได้มาเป็นตัวชี้ขาด นั่นคือสิ่งที่อยากจะบอกในหนังสือเล่มนี้
0หนังสือเล่มนี้ได้รับกระแสพระราชดำรัสชื่นชมด้วย?
บางคนมองว่าผมเขียนหนังสือเล่มนี้ เพราะผมไม่ได้เป็นรัฐมนตรี จริงๆ หนังสือเล่มนี้ทำความภาคภูมิใจให้ผมมากกว่าได้เป็นรัฐมนตรีเสียอีก เพราะคนเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนหรอกว่าพระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัว จะโปรด จะทรงพระเมตตาถึงขนาดนี้ คือวันหนึ่งผมได้รับข้อมูลจากผู้ใหญ่ที่น่าเชื่อถือว่าโปรดหนังสือเล่มนี้ ผมถือว่าเป็นพระมหากรุณาอันล้นพ้น ทำให้ผมมั่นใจว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันเหนือกว่า และไม่ต้องไปแก้ข้อกล่าวหาว่าผิดหวังจากการเป็นรัฐมนตรี ระหว่างการเป็นรัฐมนตรีกับการเขียนหนังสือเล่มนี้ ผมภูมิใจในการเขียนหนังสือเล่มนี้มากกว่าการได้เป็นรัฐมนตรีเสียอีก ผมถือว่าเป็นมิ่งมงคลสูงสุดในชีวิต
0กระแสการเมืองเวลานี้ถือว่ากดดันไหม?
สำหรับผมเขาจะกดดันอย่างไรก็ไม่มีความหมายสำหรับผม เพราะจุดยืนของผมมีอยู่ชัดเจน ตอนนี้จะมาบอกว่าผมทำลายพรรค ถ้ามองว่าผมทำลายพรรค ผมก็บอกว่าผมรักษาประเทศมากกว่า จะมองอย่างไรก็ตามแต่ ไม่จำเป็นต้องไปแก้ตัว จะขับผมออกก็ขับ แต่จะให้ลาออกจากการเป็น ส.ส.ผมไม่ลาออก ผมเขียนหนังสือผมไม่ได้คิดถึงพรรคหรอก คิดถึงบ้านเมืองมากกว่า คิดถึงประเทศชาติมากกว่า และการคิดการเขียนของผมนั้นมันเป็นผลโดยตรงกับบ้านเมือง โดยไม่มีความอคติหรือเคียดแค้นกับพรรคเลย ผมเข้าใจระบบพรรคไทยรักไทยดี ว่าระบบสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมันเป็นระบบที่ต้องทำ สับเปลี่ยนหมุนเวียนแล้วก็จบกัน ผมไม่ได้ออกมาในจังหวะเพราะความเคียดแค้นหรอก สิ่งที่ผมทำ ผมดีใจที่สุดที่หนังสือเล่มนี้ของผมมีคนสนใจ และกระตุ้นประชาชนได้
0ต่อจากนี้อนาคตการเมืองจะเดินไปอย่างไร?
พูดแบบกำปั้นทุบดิน อนาคตการเมืองผมก็ต้องหยุด แต่หยุดตรงไหน ผมยังไม่รู้ เพราะผมอายุ 66 ปีแล้ว ผมคงจะอยู่ในวงการเมืองไปได้อีกไม่นาน ไม่น่าจะถึงสิบปี ร่างกายก็ไม่ไหวแล้ว สังขารก็ไม่ให้แล้ว
แต่ในช่วงสิบปีนี้จะหยุดเมื่อไหร่ อาจจะหยุดเร็วๆ นี้ก็ได้ เป็นเรื่องนอกเหนืออำนาจผมที่จะไปกำหนด 0
อ่านแล้วรู้สึกดีครับ เอามาให้อ่านเล่นช่วงวันหยุดครับ
ไม่ได้มีจุดประสงค์จะว่าใคร เพียงแต่ เวลาอ่านแล้ว เรารู้สึกลืมอะไรบางอย่างไปหรือเปล่า เราทำงานเพื่อเงินมากไปหรือเปล่า


