UMS กำไร 0.53 บาท

[CK]

ดีกว่าที่คิดมากเลยครับ

แต่ไม่ได้ดีมาก

[CK]

แต่ต้องยอมรับว่าพวกโบร๊กคำนวณได้เก่งจริงๆ ครับ on target เป๊ะเลย

ผมประเมินไว้ในช่วง 33 ล้านบาทถึง 42 ล้านบาท นี่ทำได้ 36 ล้านบาท
เท่าที่ KGI ประเมินเลย

เงินสดติดลบครับ สองไตรมาสรวมกัน ลบไป 75 ลบ. หลักๆ มาจากปันผล
(105) ซื้อที่ดิน (74) และสินค้าคงเหลือ (156)

สินค้าคงเหลือตั้ง 156 ลบ. นี่ ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีนะครับ ถ้าไตรมาส 3-4 ขาย
ได้มากๆ และปรับราคาขึ้นได้ 5% ตามที่ผู้บริหารว่าจริงๆ กระแสเงินสด
ในครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นมาก แต่จะมีงบก่อสร้างราวๆ 170 ลบ. เข้ามา

เห็นผู้บริหารบอกว่าจะกู้ด้วย และมีแผนการจะคืนเงินกู้ทั้งหมดในสองปี ถ้า
คิด D/E ที่ 0.5x ตอนนี้สินทรัพย์รวม 565 ลบ. มีหนี้อยู่ 233 ลบ. ก็น่าจะ
กู้อีกราวๆ 50 ลบ.

ถ้าครึ่งปีหลังทำเงินสดจากการดำเนินงานได้สักไตรมาสละ 60 ลบ. ก็น่า
จะโอเคนะ

ส่วนปันผล คิดว่าอาจจะจ่ายออกมาเพียง 70 ลบ. ซึ่งจะมาจากเงินสดรับ
ในไตรมาส 1 ปีหน้า

[smartfan]

สินค้าคงเหลือตั้ง 156 ลบ. นี่ ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีนะครับ ถ้าไตรมาส 3-4 ขาย
ได้มากๆ และปรับราคาขึ้นได้ 5% ตามที่ผู้บริหารว่าจริงๆ กระแสเงินสด
ในครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นมาก แต่จะมีงบก่อสร้างราวๆ 170 ลบ. เข้ามา

เหลือสินค้ามาก(กักตุน) ในราคาที่ค่าเงินบาทอ่อนตัว  ไม่น่าจะดีนะคะ  เพราะเงินบาทมีแนวโน้มแข็งขึ้น  แสดงว่าราคาต้นทุนเดิมที่กักตุนไว้แพงกว่าราคาปัจจุบัน ???  แล้วถ้าปรับราคาขึ้นไม่ได้ตามเป้า  น่าจะทำให้ margin ลดลง

ยกเว้นว่า  ราคาซื้อปัจจุบันแพงขึ้น จากการลอยตัวน้ำมันของอินโดนีเซีย  การกักตุนสินค้าเดิมก็อาจจะจะทำให้ margin ยังสูงอยู่  แต่อย่างไรก็ตามยังไงก็ตุนไว้ได้เพียง 1 เดือน เพราะข้อจำกัดด้านขนาดของโกดังเก็บสินค้าเดิม

ประเด็นสำคัญน่าจะอยู่ที่ความสามารถในการปรับราคาขึ้นของ UMS ว่าจะทำได้จริงเพียงใด  เพราะหากรัฐฯสั่งควบคุมราคาโดยการที่รัฐอยากจะสนับสนุนให้มาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น  UMS ก็คงจะแย่

[ปรัชญา]

หลักทรัพย์ UMS  
 หัวข้อข่าว ชี้แจงสาเหตุกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 48 เพิ่มขึ้น  
 วันที่/เวลา 08 ส.ค. 2548 09:19:35  
 
 
 
 ที่ UMS./EXS./021-48

                                8 สิงหาคม 2548

เรื่อง  ชี้แจงสาเหตุที่กำไรสุทธิ ไตรมาสที่ 2 ปี 2548 เพิ่มขึ้น
     เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2547
เรียน  กรรมการและผู้จัดการ
     ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

     บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) ชี้แจงสาเหตุที่กำไรสุทธิ ไตรมาสที่ 2 ปี 2548
เพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2547 เนื่องจาก

     ผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสที่ 2 ของปี 2548  มีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 36.88 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจำนวน 8.83 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.46  เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนมีผลมาจาก
บริษัทฯ มีรายได้จากการขยายตลาดเพิ่ม ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
จึงส่งผลให้กำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้น

     จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

                                    ขอแสดงความนับถือ



                                (นายสมบูรณ์  สิริไพบูลย์พงศ์)
                                     กรรมการผู้จัดการ

สำเนาเรียน   เลขาธิการ
           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

[woody]

แต่จะมีงบก่อสร้างราวๆ 170 ลบ.

อันนี้นับค่าที่ไปแล้วหรือยังครับพี่ ck

[CK]

พลาดครับ

ดูเหมือนผู้บริหารจะประเมินเฉพาะงบก่อสร้างไว้ราวๆ 120 ลบ.ครับ แต่ยังไม่แน่ใจ
ว่าจะอยู่หรือไม่ เพราะช่วงหลังค่าวัสดุก่อสร้างและขนส่งพุ่งขึ้นมาพอควร

ถ้าจะประเมินให้ปลอดภัย ผมว่าน่าจะราวๆ 150 ลบ.ครับ

[woody]

ประหยัดไปยี่สิบกว่าล้านก็ยังดีครับเอามาปันผลละกัน

[tom]

กิมเอ็ง
ก็ประมาณไว้ 36 ล้านเหมือนกันครับ
ประมาณกันเก่งจริงๆ

[Jeng]

kgi kimeng เขาก็ไปถามผู้บริหารทั้งนั้นแหละ

ก่อนจะมาประมาณการ การที่ออกมาใกล้เคียง ผมว่า ผู้บริหารเขาโปร่งใสนะ

แต่ผมก็ยังคิดว่า ums อยู่ในช่วงขยายงานนะ เพราะจากไม่ได้กู้เงินก็ต้องไปกู้เงิน 90 ล้าน

[Jeng]

อืม ลองมาดูงบใหม่ มีหนี้เพิ่มเป็น 163.95 ล้านบาท ( ไม่รวมหนี้จากการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งไม่ค่อยเข้าใจ )

[Stock Broker]

แต่ต้องยอมรับว่าพวกโบร๊กคำนวณได้เก่งจริงๆ ครับ on target เป๊ะเลย

อาจเป็นเพราะผู้บริหารให้ข้อมูลตามจริงก็ได้ แล้วโบรกฯ ก็เอาตัวเลขที่ได้รับมาลงต่ออีกที

[visanuu]

UMSเจอพิษบาทอ่อนดันต้นทุนพุ่ง

โดย นสพ.กระแสหุ้น


"ยูนิค ไมนิ่ง" ยอมรับค่าเงินบาท-ราคาน้ำมันแพง ส่งผลต้นทุนการผลิตเพิ่ม ความล่าช้าการติดตั้งเครื่องจักรของลูกค้า ฉุดผลดำเนินไตรมาส 2 หด เหลือ 267 ล้านบาท ส่วนงวดครึ่งปีแรกกำไรสุทธิ โต 82.56% มั่นใจทั้งปียอดขายขยายตัว 30%

นายสมบูรณ์ สิริไพบูลย์พงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) หรือ UMS เปิดเผยถึงผลประกอบการในไตรมาส 2 ของบริษัทว่า บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 โดยมีรายได้ 267 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59% และมีกำไรสุทธิ 36.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.46% ถึงแม้ว่าจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับผลประกอบการไตรมาส1 ของปีนี้ โดยมีรายได้ 309 ล้านบาท ลดลง 13.37% และมีกำไรสุทธิ 53.94 ล้านบาท ลดลง 31.63% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่อ่อน และ ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นส่งผลต่อต้นทุนค่าสินค้าและค่าขนส่งของบริษัท ประกอบกับลูกค้ารายใหม่ที่คาดว่าจะเข้ามา 2-3 ราย ได้มีการติดขัดเรื่องของการติดตั้งเครื่องจักร ส่งผลให้ไม่มีการสั่งสินค้ากับทางบริษัทตามที่ได้ตั้งเป้าไว้


ส่วนผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2548 นั้นบริษัทฯ มีผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยมีรายได้จากการขาย 576 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2547 ที่มีรายได้ 346 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 66.48% และมีกำไรสุทธิ 90.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 41.07 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 82.56% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 49.75 ล้านบาท สาเหตุหลักที่ทำให้ผลประกอบการเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ถ่านหินของลูกค้าที่อยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆ มีมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้บริษัทมีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 12 ราย ที่หันมาใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตแทนน้ำมัน ประกอบกับราคาเฉลี่ยของถ่านหินก็มีการปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2547 ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญทำให้ผลประกอบการปรับตัวเพิ่มขึ้น


"อย่างไรก็ตาม ผลดำเนินงานในไตรมาส 3 และ 4 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน จากการที่บริษัทมีนโยบายปรับขึ้นราคาถ่านหินกับลูกค้าอีก 3 - 5% เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทไทย โดยที่ผ่านมาค่าเงินบาทไทยมีการอ่อนค่าลง เกินกว่าเกณฑ์ที่บริษัทตั้งไว้ ทั้งนี้บริษัทมั่นใจผลการดำเนินงานทั้งปีจะยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยยอดขายจะมีการขยายตัว 30 % " นายสมบูรณ์ กล่าว



ทั้งนี้ บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์สวิสเซส จำกัด (มหาชน) ได้รับ 2 รางวัลจากงาน SET AWARDS 2005 ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยร่วมกับวารสารการเงินการธนาคาร ได้แก่ รางวัล MAI NEWLY LISTED STAR สำหรับบริษัทจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ในปี 2547 โดยพิจารณาจากความสำเร็จในการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน ประกอบกับฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน และรางวัล MAI BEST RETURN STAR สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้กับผู้ถือหุ้นในปี 2547