ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 2
ไม่ทราบว่าคุณ SOI มองว่า ผลการดำเนินงานแย่เพราะอะไร และมันแค่ชั่วคราว หรือ จะแย่ลงเรื่อยๆถาวรครับsoi เขียน:1. ราคาหุ้นสะท้อนผลการดำเนินการ
2. ไม่ควรซื้อหุ้นถั่วเฉลี่ยขาลง ในกรณีที่ราคาลงเพราะผลประกอบการไม่ดี เพราะจะขาดทุนมากขึ้น
3. ควร cut loss ให้เร็ว ถ้าผลการดำเนินการเปลี่ยน อย่าคิดว่าไม่ขายไม่ขาดทุน
ถ้ามันแย่ชั่วคราว เป็นผม ผมจะซื้อหุ้นครับ
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 381
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 3
ที่มันยากคือบางครั้งผลประกอบการแย่ลง1-2ไตรมาส
เรายังไม่รู้ว่ามันจะแย่แค่ระยะสั้นหรือมีผลระยะยาว
พอเราแน่ใจว่าพื้นฐานเปลี่ยนจริงๆ
ราคามันก็ลงจนเราทําใจcut lossได้ยาก
ในขณะเดียวกันถ้าเราcut lossเร็วไป
และมันเป็นปัญหาที่มีเป็นระยะสั้น
เราก็อาจขาดทุนและเสียโอกาสไปฟรีๆ
นี่คือความยากในการลงทุนหุ้น
เพราะฉะนั้นเวลาที่ราคาเริ่มตกผิดปกติ
เราต้องทําการบ้านหาเหตุผลอย่างหนัก
และตัดสินใจอย่างรวดร็วและถูกต้อง
ซึ่งในบางครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
เรายังไม่รู้ว่ามันจะแย่แค่ระยะสั้นหรือมีผลระยะยาว
พอเราแน่ใจว่าพื้นฐานเปลี่ยนจริงๆ
ราคามันก็ลงจนเราทําใจcut lossได้ยาก
ในขณะเดียวกันถ้าเราcut lossเร็วไป
และมันเป็นปัญหาที่มีเป็นระยะสั้น
เราก็อาจขาดทุนและเสียโอกาสไปฟรีๆ
นี่คือความยากในการลงทุนหุ้น
เพราะฉะนั้นเวลาที่ราคาเริ่มตกผิดปกติ
เราต้องทําการบ้านหาเหตุผลอย่างหนัก
และตัดสินใจอย่างรวดร็วและถูกต้อง
ซึ่งในบางครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 229
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 4
ไอทีเป็นตัวอย่างคลาสสิคในอนาคตของหุ้นที่เริ่มสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งผมจะสรุปเป็นประเด็นดังนี้
1. ย้อนกลับไปประมาณยี่สิบกว่าปีก่อนตอนคอมพ์เข้ามาใหม่ๆ คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักคอมพ์และคุณค่าของมัน หลังจากนั้นทุกคนก็ค่อยๆซึมซับความสำคัญ ธุรกิจขายคอมพ์ก็เริ่มเฟื่ิองฟู แต่คอมพ์ยังไม่มีหลายแบรนด์ คนซื้อมีไม่มาก ผมยังจำได้คอมพ์สมัยก่อนราคาสูงมาก เกือบๆห้าหมื่นบาท และแน่นอนกำไรขั้นต้นบริษัทย่อมสูงมากเช่นกันจากการที่มีไม่กี่บริษัททำคอมพ์ขาย แต่ในปัจจุบัน คอมพ์นั้นมีหลายเจ้ามาก แข่งขันสูงจนราคาพีซีถูกมากไม่ถึงสองหมื่นก็ซื้อได้ นั้นทำให้อัตรากำไรบริษัทลดลงโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องไปง้างดูข้อมูลเก่าก็พอเดาได้
2.เมื่อคอมพ์เริ่มเข้ามาขายใหม่ๆ แน่นอนผู้ขายก็มีไม่กี่เจ้า ที่มีฐานเงินมากพอที่จะสั่งของเข้ามาขายได้ คิดง่ายๆถ้าต้องสั่งรุ่นละ 100 เครื่อง เมื่อก่อนคุณต้องใช้เงินประมาณ5ล้านต่อรุ่น มีสักสิบรุ่นก็เกินห้าสิบล้านแล้ว จะมีสักกี่เจ้าที่มีอำนาจเงินมากเกือบร้อยล้านที่จะสั่งคอมพ์มาขายนี่คิดเฉพาะค่าของที่สั่ง ไม่นับค่าใช้จ่ายในการเปิดสาขาอีกต่างหาก และอย่าลืมว่าสินค้าพวกนี้ตกรุ่นง่ายมากขายไม่ทันเจ๊งเอาง่ายๆ สมัยก่อนที่ยังมีคนไม่มั่นใจในตลาดคอมพ์จึงมีมากและไม่กล้าเสี่ยง แต่ปัจจุบันทุกคนรู้แล้วว่าคอมพ์ขายได้ ถ้าคุณมีสักยี่สิบล้านคุณก็สั่งของมาขายได้10รุ่นรุ่นละ100ตัวได้สบายๆ ผู้ค้าย่อมเพิ่มขึ้น และนั้นทำให้ส่วนแบ่งการตลาดหรือ มาร์เก็ตแชร์ลดลง ยอดขายที่ไม่เพิ่มหรือเพิ่มไม่มากจนน่าพอใจนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เราคาดได้เช่นกัน
3.มาถึงข้อสำคัญที่สุดข้อหนึ่ง ผมยังจำวันที่ผมไปเดินซื้อของในไอทีชั้นบนสุดของพันธ์ทิพย์ ทั้งๆที่มันไปยากสุดแต่ก็ซื้อ ด้วยเหตุผลสำคัญที่สุดในตอนนั้นคือ บริการหลังการขายดี ยี่สิบปีที่แล้วถ้าใครบ้าเล่นเกมส์cm93เหมือนผม (cm93เป็นเกมส์ผู้จัดการฟุตบอลออกตอนปี 1993) ก็จะเข้าใจ ไอ้คำว่าคอมพ์เจ๊งแล้วต้องมานั่งเล่นใหม่นี้มันสร้างความน่าโมโหขนาดไหน ร้านทั่วไปสมัยนั้นไม่ค่อยมีคนมาคอยดูแลให้ ก็ด้วยเหตุผลเดียวกันกับข้ออื่นๆคือเงินไม่ถึง พวกนั้นจึงใช้ยุทธวิธีขายถูกกว่าไอที แต่ถ้าคอมพี่เจ๊งก็เชิญไปซ่อมตามมีตามเกิดเอาเอง ไอทีมีแผนกนี้แม้เราอาจต้องเสียค่าบริการแต่อย่างน้อยก็อุ่นใจ และนี้คืออีกหนึ่งข้อได้เปรียบที่สำคัญที่ทำให้เขากล้าขายแพงกว่าคนอื่นๆเล็กน้อย แต่ปัจจุบัน คอมพ์เจ๊งพวกน้องๆที่มีความสามารถมากพอก็ลงโปรแกรมใหม่เองยังได้เลย ภาพที่ผมเคยเห็นเมื่อยี่สิบปีก่อนที่ผมและคนเล่นคอมพ์สมัยนั้นต้องแบกไอ้พีซีที่ใหญ่ยังกะตู้ใบหนึ่งเข้าออกพันธ์ทิพย์เป็นว่าเล่น เดี๋ยวนี้ผมแทบไม่เห็นเลยถ้าไม่จนปัญญากันจริงๆ ไอทีจึงไม่สามารถต่อรองแบบเดิมได้อีกต่อไป ผมเองไม่เคยเข้าไปถามไอทีจริงๆจังๆสักที แต่ผมว่าแผนกบริการของเขาถ้ายังมีอยู่ก็ไม่น่าจะใหญ่เพราะดูแล้วคงไม่จำเป็นในปัจจุบัน และน่าจะทำให้ต้นทุนของเขาสูงขึ้นโดยไม่จำเป็นมากกว่า
4. การเพิ่มสาขา โดยมากนักลงทุนหน้าใหม่มักเข้าใจกันว่ายิ่งเพิ่มสาขามากยิ่งกำไรเพิ่ม คำตอบคือไม่จำเป็นครับ เวลาผมอธิบายให้คนในบ้านฟัง ผมจะสมมุติว่าถ้าบริษัทหนึ่งกำไรสาขาละ หนึ่งล้าน มีสัก10สาขาก็กำไรสิบล้าน และถ้ามีสัก200สาขาจะมีกำไร 200ล้านใช่ไหม ที่บ้านผมซึ่งไม่เข้าใจโมเดลธุรกิจก็จะตอบว่าใช่ คำตอบคือไม่ใช่เสมอไปครับ บางธุรกิจมีสาขาเป็นพันได้เช่นร้านเซเว่น บางธุรกิจมีเป็นร้อยสาขาได้เช่นบิ๊กซี แต่ถ้าบิ๊กซีมีสาขาในไทยสักหกพันสาขาเหมือนเซเว่นคุณคงบอกว่าบ้าไปแล้วแน่นอน (ผมหมายถึงสาขาแบบสาขาใหญ่ ไม่ใช่แบบมินิบิ๊กซีนะครับ) ส่วนไอทีควรจะมีกี่สาขานั้น คุณต้องไปลองคิดเอาเอง การเพิ่มสาขามากไปจนไม่คุ้มกับการลงทุนนั้นมีในทุกธุรกิจ ดังนั้นเมื่อถึงจุดๆหนึ่งการเพิ่มสาขาไม่ได้เพิ่มกำไรแบบบัญญัติไตรยางค์อีกต่อไป ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นๆการเพิ่มสาขามีจุดประสงค์เพื่อคงส่วนแบ่งการตลาดและคงความเป็นเจ้าตลาดมากกว่าที่จะมุ่งหวังกำไรแบบเพิ่มมากมาย ดังนั้นหากคุณลองย้อนกลับไปดูในงบบัญชี รายงาน56-1 หรือรายงานประจำปี คุณย่อมพบสาเหตุของการเติบโตของกำไรที่ไม่มากได้ไม่ยาก
สรุปในประเด็นหุ้นไอทีนั้น ผมอยากให้คุณลองย้อนกลับไปดูสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามารถในการแข่งขันหรือความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนของธุรกิจนั้นๆเป็นสำคัญ หากคุณประเมินว่าความสามารถนั้นมิได้ตกไปอย่างถาวรแต่เป็นชั่วคราว การลงมาของราคาหุ้นคือโอกาสทองที่ไม่ควรทิ้งอย่างมาก แต่ในทางกลับกันเมื่อบริษัทสูญเสียความสามารถนี้แล้วหรือกำลังลดลงในอนาคต คุณก็ควรจะปล่อยหุ้นนั้นมากกว่าที่จะรอคัทลอส
สุดท้ายการลงทุนเป็นอำนาจสิทธ์ขาดของผู้ลงทุนทุกท่าน ความคิดของผมก็เป็นความคิดส่วนตัวเท่านั้นและเป็นเพียงผู้เล่นหุ้นที่มีประสบการณ์เพียงสามปีเท่านั้น จึงไม่ควรเอามาเป็นสาระสำคัญเท่ากับการตัดสินใจของคุณเอง ผมขออวยพรให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ
วีไอหัดคลาน
1. ย้อนกลับไปประมาณยี่สิบกว่าปีก่อนตอนคอมพ์เข้ามาใหม่ๆ คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักคอมพ์และคุณค่าของมัน หลังจากนั้นทุกคนก็ค่อยๆซึมซับความสำคัญ ธุรกิจขายคอมพ์ก็เริ่มเฟื่ิองฟู แต่คอมพ์ยังไม่มีหลายแบรนด์ คนซื้อมีไม่มาก ผมยังจำได้คอมพ์สมัยก่อนราคาสูงมาก เกือบๆห้าหมื่นบาท และแน่นอนกำไรขั้นต้นบริษัทย่อมสูงมากเช่นกันจากการที่มีไม่กี่บริษัททำคอมพ์ขาย แต่ในปัจจุบัน คอมพ์นั้นมีหลายเจ้ามาก แข่งขันสูงจนราคาพีซีถูกมากไม่ถึงสองหมื่นก็ซื้อได้ นั้นทำให้อัตรากำไรบริษัทลดลงโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องไปง้างดูข้อมูลเก่าก็พอเดาได้
2.เมื่อคอมพ์เริ่มเข้ามาขายใหม่ๆ แน่นอนผู้ขายก็มีไม่กี่เจ้า ที่มีฐานเงินมากพอที่จะสั่งของเข้ามาขายได้ คิดง่ายๆถ้าต้องสั่งรุ่นละ 100 เครื่อง เมื่อก่อนคุณต้องใช้เงินประมาณ5ล้านต่อรุ่น มีสักสิบรุ่นก็เกินห้าสิบล้านแล้ว จะมีสักกี่เจ้าที่มีอำนาจเงินมากเกือบร้อยล้านที่จะสั่งคอมพ์มาขายนี่คิดเฉพาะค่าของที่สั่ง ไม่นับค่าใช้จ่ายในการเปิดสาขาอีกต่างหาก และอย่าลืมว่าสินค้าพวกนี้ตกรุ่นง่ายมากขายไม่ทันเจ๊งเอาง่ายๆ สมัยก่อนที่ยังมีคนไม่มั่นใจในตลาดคอมพ์จึงมีมากและไม่กล้าเสี่ยง แต่ปัจจุบันทุกคนรู้แล้วว่าคอมพ์ขายได้ ถ้าคุณมีสักยี่สิบล้านคุณก็สั่งของมาขายได้10รุ่นรุ่นละ100ตัวได้สบายๆ ผู้ค้าย่อมเพิ่มขึ้น และนั้นทำให้ส่วนแบ่งการตลาดหรือ มาร์เก็ตแชร์ลดลง ยอดขายที่ไม่เพิ่มหรือเพิ่มไม่มากจนน่าพอใจนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เราคาดได้เช่นกัน
3.มาถึงข้อสำคัญที่สุดข้อหนึ่ง ผมยังจำวันที่ผมไปเดินซื้อของในไอทีชั้นบนสุดของพันธ์ทิพย์ ทั้งๆที่มันไปยากสุดแต่ก็ซื้อ ด้วยเหตุผลสำคัญที่สุดในตอนนั้นคือ บริการหลังการขายดี ยี่สิบปีที่แล้วถ้าใครบ้าเล่นเกมส์cm93เหมือนผม (cm93เป็นเกมส์ผู้จัดการฟุตบอลออกตอนปี 1993) ก็จะเข้าใจ ไอ้คำว่าคอมพ์เจ๊งแล้วต้องมานั่งเล่นใหม่นี้มันสร้างความน่าโมโหขนาดไหน ร้านทั่วไปสมัยนั้นไม่ค่อยมีคนมาคอยดูแลให้ ก็ด้วยเหตุผลเดียวกันกับข้ออื่นๆคือเงินไม่ถึง พวกนั้นจึงใช้ยุทธวิธีขายถูกกว่าไอที แต่ถ้าคอมพี่เจ๊งก็เชิญไปซ่อมตามมีตามเกิดเอาเอง ไอทีมีแผนกนี้แม้เราอาจต้องเสียค่าบริการแต่อย่างน้อยก็อุ่นใจ และนี้คืออีกหนึ่งข้อได้เปรียบที่สำคัญที่ทำให้เขากล้าขายแพงกว่าคนอื่นๆเล็กน้อย แต่ปัจจุบัน คอมพ์เจ๊งพวกน้องๆที่มีความสามารถมากพอก็ลงโปรแกรมใหม่เองยังได้เลย ภาพที่ผมเคยเห็นเมื่อยี่สิบปีก่อนที่ผมและคนเล่นคอมพ์สมัยนั้นต้องแบกไอ้พีซีที่ใหญ่ยังกะตู้ใบหนึ่งเข้าออกพันธ์ทิพย์เป็นว่าเล่น เดี๋ยวนี้ผมแทบไม่เห็นเลยถ้าไม่จนปัญญากันจริงๆ ไอทีจึงไม่สามารถต่อรองแบบเดิมได้อีกต่อไป ผมเองไม่เคยเข้าไปถามไอทีจริงๆจังๆสักที แต่ผมว่าแผนกบริการของเขาถ้ายังมีอยู่ก็ไม่น่าจะใหญ่เพราะดูแล้วคงไม่จำเป็นในปัจจุบัน และน่าจะทำให้ต้นทุนของเขาสูงขึ้นโดยไม่จำเป็นมากกว่า
4. การเพิ่มสาขา โดยมากนักลงทุนหน้าใหม่มักเข้าใจกันว่ายิ่งเพิ่มสาขามากยิ่งกำไรเพิ่ม คำตอบคือไม่จำเป็นครับ เวลาผมอธิบายให้คนในบ้านฟัง ผมจะสมมุติว่าถ้าบริษัทหนึ่งกำไรสาขาละ หนึ่งล้าน มีสัก10สาขาก็กำไรสิบล้าน และถ้ามีสัก200สาขาจะมีกำไร 200ล้านใช่ไหม ที่บ้านผมซึ่งไม่เข้าใจโมเดลธุรกิจก็จะตอบว่าใช่ คำตอบคือไม่ใช่เสมอไปครับ บางธุรกิจมีสาขาเป็นพันได้เช่นร้านเซเว่น บางธุรกิจมีเป็นร้อยสาขาได้เช่นบิ๊กซี แต่ถ้าบิ๊กซีมีสาขาในไทยสักหกพันสาขาเหมือนเซเว่นคุณคงบอกว่าบ้าไปแล้วแน่นอน (ผมหมายถึงสาขาแบบสาขาใหญ่ ไม่ใช่แบบมินิบิ๊กซีนะครับ) ส่วนไอทีควรจะมีกี่สาขานั้น คุณต้องไปลองคิดเอาเอง การเพิ่มสาขามากไปจนไม่คุ้มกับการลงทุนนั้นมีในทุกธุรกิจ ดังนั้นเมื่อถึงจุดๆหนึ่งการเพิ่มสาขาไม่ได้เพิ่มกำไรแบบบัญญัติไตรยางค์อีกต่อไป ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นๆการเพิ่มสาขามีจุดประสงค์เพื่อคงส่วนแบ่งการตลาดและคงความเป็นเจ้าตลาดมากกว่าที่จะมุ่งหวังกำไรแบบเพิ่มมากมาย ดังนั้นหากคุณลองย้อนกลับไปดูในงบบัญชี รายงาน56-1 หรือรายงานประจำปี คุณย่อมพบสาเหตุของการเติบโตของกำไรที่ไม่มากได้ไม่ยาก
สรุปในประเด็นหุ้นไอทีนั้น ผมอยากให้คุณลองย้อนกลับไปดูสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามารถในการแข่งขันหรือความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนของธุรกิจนั้นๆเป็นสำคัญ หากคุณประเมินว่าความสามารถนั้นมิได้ตกไปอย่างถาวรแต่เป็นชั่วคราว การลงมาของราคาหุ้นคือโอกาสทองที่ไม่ควรทิ้งอย่างมาก แต่ในทางกลับกันเมื่อบริษัทสูญเสียความสามารถนี้แล้วหรือกำลังลดลงในอนาคต คุณก็ควรจะปล่อยหุ้นนั้นมากกว่าที่จะรอคัทลอส
สุดท้ายการลงทุนเป็นอำนาจสิทธ์ขาดของผู้ลงทุนทุกท่าน ความคิดของผมก็เป็นความคิดส่วนตัวเท่านั้นและเป็นเพียงผู้เล่นหุ้นที่มีประสบการณ์เพียงสามปีเท่านั้น จึงไม่ควรเอามาเป็นสาระสำคัญเท่ากับการตัดสินใจของคุณเอง ผมขออวยพรให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ
วีไอหัดคลาน
-
- Verified User
- โพสต์: 34
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 5
เราไปเดินดูร้าน it ที่เมกาบางนา ในช่วงที่เริ่มเปิดใหม่ๆ คนเดินน้อยมาก ร้าน it ใหญ่ แต่จัดร้านไม่สวยไม่น่าเข้า เหมือนห้องแถว แล้วก็ไปดู isocity ที่เซ็นทรัลพระรามเก้า คนน้อยมากอีกเช่นกัน ไม่มีคนเดินไปถึง isocity เลยมั้ง เห็นแต่พนักงานขาย เราเลยไม่มั่นใจในหุ้น it แล้วคะ
-
- Verified User
- โพสต์: 46
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 6
เราว่า it ยังดีกว่า mcs ในแง่การรับฟังความเห็นของผู้อื่น
mcs เป็นที่นิยมมาก และนักลงทุนไม่เปิดใจรับความเห็นรอบด้านทางลบ เพื่อเชื่อมั่นในผู้ถือหุ้นใหญ่
mcs นั้นน่าจะทำความเสียหายให้แก่นักลงทุนมากกว่า it เพราะคนเข้ามาเล่นมาก และดูจะเชื่อมั่นสูงซะด้วย
การซื้อหุ้นเมื่อวิกฤติ ไม่ใช่ซื้อขณะราคาไม่ลงสอดรับกับผลประกอบการมีทิศทางแย่ อย่างที่ mcs ราคา 10-12 บาท
การซื้อหุ้นเมื่อวิกฤติ ต้องพิจารณาว่า หุ้นมันเป็นลักษณะไหน รับเหมาลงเพราะไม่มีงานหรือmargin ลดต่ำลง, วัฎจักรขาลง อะไรก็แล้วแต่
สิ่งที่ต้องทำคือ มันจะอยู่นานหรือไม่ และมันจะฟื้นเมื่อไหร่ วิกฤตินั้นไม่ใช่ไตรมาสสองไตรมาสก็แก้ได้ และสำคัญมันจะแก้ได้จริงๆหรือไม่ บวกกับว่า ราคาที่เราซื้อจะมีผลตอบแทนเท่าไหร่หากมันฟื้นตัวได้
ถ้าติดสูง เมื่อมันฟื้นตัว อย่างมากคุณก็แค่ได้ทุนคืน ต่างกับคนที่เข้าใจว่าควรจะซื้อที่เท่าไหร่ ถึงจะได้ผลตอบแทนที่ดี
สำคัญสุดคือการเรียนรู้ความผิดพลาดในการลงทุนของตัวเอง และจะประสบความสำเร็จระยะยาว เป็นกำลังใจแก่ทุกท่าน
mcs เป็นที่นิยมมาก และนักลงทุนไม่เปิดใจรับความเห็นรอบด้านทางลบ เพื่อเชื่อมั่นในผู้ถือหุ้นใหญ่
mcs นั้นน่าจะทำความเสียหายให้แก่นักลงทุนมากกว่า it เพราะคนเข้ามาเล่นมาก และดูจะเชื่อมั่นสูงซะด้วย
การซื้อหุ้นเมื่อวิกฤติ ไม่ใช่ซื้อขณะราคาไม่ลงสอดรับกับผลประกอบการมีทิศทางแย่ อย่างที่ mcs ราคา 10-12 บาท
การซื้อหุ้นเมื่อวิกฤติ ต้องพิจารณาว่า หุ้นมันเป็นลักษณะไหน รับเหมาลงเพราะไม่มีงานหรือmargin ลดต่ำลง, วัฎจักรขาลง อะไรก็แล้วแต่
สิ่งที่ต้องทำคือ มันจะอยู่นานหรือไม่ และมันจะฟื้นเมื่อไหร่ วิกฤตินั้นไม่ใช่ไตรมาสสองไตรมาสก็แก้ได้ และสำคัญมันจะแก้ได้จริงๆหรือไม่ บวกกับว่า ราคาที่เราซื้อจะมีผลตอบแทนเท่าไหร่หากมันฟื้นตัวได้
ถ้าติดสูง เมื่อมันฟื้นตัว อย่างมากคุณก็แค่ได้ทุนคืน ต่างกับคนที่เข้าใจว่าควรจะซื้อที่เท่าไหร่ ถึงจะได้ผลตอบแทนที่ดี
สำคัญสุดคือการเรียนรู้ความผิดพลาดในการลงทุนของตัวเอง และจะประสบความสำเร็จระยะยาว เป็นกำลังใจแก่ทุกท่าน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3653
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 7
ไม่มีใครรู้อนาคตหรอกครับ
การตัดสินใจช้าหรือเร็ว
ไม่ใช่เรื่องสำคัญไปกว่าการใช้เหตุผล
สำหรับผม เหตุผล
สำคัญกว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น
ในการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
สิ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงให้กับนักลงทุน
คือ margin of safety
mos ไม่ใช่กำไร
แต่มันช่วยสร้างเกราะป้องกันบางอย่าง
ทั้งในสิ่งที่นักลงทุนไม่คาดฝัน
การวิเคราะห์ หรือประเมินที่ผิดพลาด
หรือการ bias ของตัวนักลงทุนเอง
แม้ว่า mos จะไม่ได้ช่วย
ลดความเสี่ยงนักลงทุนจนเหลือ 0
แต่อย่างน้อย
mos ก็ช่วยลดความเสียหายของพอร์ตได้
ถ้าผมอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
(ผมไม่มีหุ้น it นะครับ)
เมื่องบออก ผมจะตรวจสอบก่อน
ว่างบเป็นอย่างไร ดีกว่า หรือแย่กว่า
ที่เคยคาดการณ์ไว้หรือไม่
ถ้าสถานะการณ์แย่กว่าคาด
ผมจะประเมินบริษัทใหม่อีกครั้ง
ปกติผมจะไม่ซื้อหุ้นถัวเฉลี่ยขาลงครับ
ถ้าไม่มั่นใจว่าราคาหุ้น
จะยังต่ำกว่าราคาที่ประเมินไว้หรือไม่
และที่สำคัญ
ขณะนั้นมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าหรือไม่
หลายครั้ง ผมก็เลือกที่จะไม่ทำอะไร
ถ้าไม่เข้าข่ายตีแตกจริง
ก็จะไม่ใส่เงินเต็มเหนี่ยวครับ
ถ้ายังมั่นใจมากอยู่
คนพอร์ตเล็กจะรู้ว่า
ทยอยซื้อไม่กี่ไม้เงินก็หมด
ผมก็เป็นเหมือนกัน
ส่วนตัวจะคอยเตือนตัวเองบ่อยๆ ครับ
ว่าไม่ต้องรีบ
เปลี่ยนกิจกรรมไปทำอย่างอื่นบ้าง
เช่น หาหนังสือมาอ่านให้จบสักเล่ม
หาความรู้ไปเรื่อยๆ
หรือจะหยิบเอาเรื่องเก่าๆ มาทบทวน
อย่าไปจำกัดทางเลือกตัวเองครับ
เช่น ตามหุ้นอยู่ตัวเดียว และต้องซื้อหุ้นตัวเดิม
ผมว่าชีวิตออกแบบให้ง่ายๆ
ชีวิตก็จะสบายๆ ครับ
การตัดสินใจช้าหรือเร็ว
ไม่ใช่เรื่องสำคัญไปกว่าการใช้เหตุผล
สำหรับผม เหตุผล
สำคัญกว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น
ในการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
สิ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงให้กับนักลงทุน
คือ margin of safety
mos ไม่ใช่กำไร
แต่มันช่วยสร้างเกราะป้องกันบางอย่าง
ทั้งในสิ่งที่นักลงทุนไม่คาดฝัน
การวิเคราะห์ หรือประเมินที่ผิดพลาด
หรือการ bias ของตัวนักลงทุนเอง
แม้ว่า mos จะไม่ได้ช่วย
ลดความเสี่ยงนักลงทุนจนเหลือ 0
แต่อย่างน้อย
mos ก็ช่วยลดความเสียหายของพอร์ตได้
ถ้าผมอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
(ผมไม่มีหุ้น it นะครับ)
เมื่องบออก ผมจะตรวจสอบก่อน
ว่างบเป็นอย่างไร ดีกว่า หรือแย่กว่า
ที่เคยคาดการณ์ไว้หรือไม่
ถ้าสถานะการณ์แย่กว่าคาด
ผมจะประเมินบริษัทใหม่อีกครั้ง
ปกติผมจะไม่ซื้อหุ้นถัวเฉลี่ยขาลงครับ
ถ้าไม่มั่นใจว่าราคาหุ้น
จะยังต่ำกว่าราคาที่ประเมินไว้หรือไม่
และที่สำคัญ
ขณะนั้นมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าหรือไม่
หลายครั้ง ผมก็เลือกที่จะไม่ทำอะไร
ถ้าไม่เข้าข่ายตีแตกจริง
ก็จะไม่ใส่เงินเต็มเหนี่ยวครับ
ถ้ายังมั่นใจมากอยู่
คนพอร์ตเล็กจะรู้ว่า
ทยอยซื้อไม่กี่ไม้เงินก็หมด
ผมก็เป็นเหมือนกัน
ส่วนตัวจะคอยเตือนตัวเองบ่อยๆ ครับ
ว่าไม่ต้องรีบ
เปลี่ยนกิจกรรมไปทำอย่างอื่นบ้าง
เช่น หาหนังสือมาอ่านให้จบสักเล่ม
หาความรู้ไปเรื่อยๆ
หรือจะหยิบเอาเรื่องเก่าๆ มาทบทวน
อย่าไปจำกัดทางเลือกตัวเองครับ
เช่น ตามหุ้นอยู่ตัวเดียว และต้องซื้อหุ้นตัวเดิม
ผมว่าชีวิตออกแบบให้ง่ายๆ
ชีวิตก็จะสบายๆ ครับ
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 522
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 8
สำหรับ IT คงมีนักลงทุนหลายท่านติดดอยกันเยอะ จาก 12 เหลือ 7 กว่าๆ
เคยลงมาต่ำสุดๆตอนซัพไพรมที่ 3 นิดๆ แล้วก็ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ
สังเกตุไหมคับ พอช่วงขึ้นๆซักปีที่แล้วก็มีข่าวว่าหุ้นดี มีเซียนหุ้นออกข่าว
หนังสือพิมพ์ฉบับนึงเลย พูดชื่อหุ้นกันโต้งๆว่าราคาน่าจะไปได้อีก น่ากลัวคับ
กับเซียนหุ้นทั้งหลายที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ชอบทำข่าว เป็นที่น่าสังเกตุว่า
เซียนเหล่านี้ อาจจะมีวาระแอบแฝง ลองเปรียบเทียบคับ จะมีกลุ่มนึงชอบเชียร์ชื่อหุ้น
กับอีกกลุ่มจะไม่บอกชื่อหุ้นเลย บอกเพียงกว้างๆและความน่าสนใจในอุตสาหกรรมต่างๆ
(เหล่านี้เป็นข้อสังเกตุส่วนตัว ไม่ได้มาดิสเครดิตอะไร สาวกเซเลบถ้าไม่พอใจก็ขอโทษด้วยคับ)
การรับข่าวสารสมัยจากนี้ ต้องระวังอย่างมากเลยล่ะคับ ทำการบ้านเองเยอะๆก่อน
อ่านเยอะๆ ข่าวในอุตสาหกรรมต่างๆ ใครขยันๆก็อ่านข่าวต่างประเทศบ้าง
ถ้าอ่านข่าวต่างประเทศจะทราบเลยว่ายอดขาย PC มันตกจริงๆในหลายประเทศ
ไม่ว่าญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป เพราะผู้บริโภคหันมาใช้ Smart Phone กับ Tablet มากขึ้น
และมากขึ้นๆ ผู้ผลิต PC Notebook อย่าง HP Dell ก็ยอดขายลดลง แต่ทางจีน Lenovo ยังได้พอใช้
ทาง IDC ก็เสนอรายงานการส่งสินค้าไอทีประเภทโน้ตบุ๊ก พีซี ลดลงอย่างชัดเจน
ในช่วงที่สินค้าอย่างสมาร์ทโฟน และแท็ปเล็ตเร่งตัวขึ้น มันไปกินส่วนแบ่งใครละคับ และมันจะ
เป็นสินค้าทดแทนพีซี และโน้ตบุ๊ตได้หรือเปล่าอันนี้ต้องรอดู สำหรับพีซี คงยังต้องใช้ทำงานกันอยู่
แต่ยอดขายคงไม่แรงแล้วไปตามเศรษฐกิจกับตอนปรับเปลี่ยนซอฟแวร์ ซึ่งปัจจุบัน
พีซีมีสเปคที่แรงเพียงพอรองรับงานต่างๆแล้ว ยกเว้นฮาร์ดคอร์เกมคอมสามมิติ
ซึ่งพวกเกมก็ยอดขายลดลงมากมาย นินเทนโด DS ก็ยอดขายตก Play Station ก็ยอดขายตก
มันบอกอะไรเราได้หรือเปล่า
สำหรับโน้ตบุ๊ค ซึ่งฮิตมากมายจะโดนสมาร์ทโฟน กับแท็ปเล็ตแย่งส่วนแบ่งตลาด
และเป็นสินค้าทดแทนได้หรือเปล่า อันนี้ลองมองรอบๆตัวคับ ปีที่แล้ว กับปีนี้
หลังจากการเปิดตัวของไอโฟน และ ไอแพด
ส่วนอัลตร้าบุ๊ค จะโดนไหม อันนี้ตอบยาก แต่ช่วงแรกมันต้องแพงแน่นอน
มาพร้อมระบบใหม่ Window8 รวมถึง Serface ของไมโครซอฟ จะมาไหม
ผู้บริโภคจะเอาไหม
ผมว่าตอนนี้นวัตกรรมทางไอที ขึ้นกับความง่าย และสะดวกของผู้บริโภค แอพต่างๆ
การเชื่อต่อเวบไซด์ โซเชียลมีเดีย อีเมล msn เองกับ yahoo mail ก็ปรับตัว
โดยการเชื่อต่อกับเวบไซด์โซเชียลมีเดียมากขึ้น และมากขึ้น รวมไปถึงกิจการ
จากรีลเซ็กเตอร์ ธนาคาร สินค้าต่างๆก็เข้ามาใช้เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการ
ติดต่อกับลูกค้า
รวมถึงเทคโนโลยีด้านเน็ตไร้สาย ไม่ว่า 3G 4G ผู้ผลิตเจ้าไหนตอบสนอง
สิ่งเหล่านี้ และผลิตสินค้าได้ตรงใจจะประสบความสำเร็จ สตีฟ จ๊อบ สุดยอดมาก
ที่มองเทรนเหล่านี้ออกก่อนเลยมองไปถึง iCloud ต่อมาก็ Samsung พวกที่ปรับตัวช้า เช่น โนเกีย โมโต รวมถึง RIM
เละคับ ตัวแทนขาย BB อย่าง SIS ก็ลำบาก อย่าง SYNEX ก็จะพยายามเพิ่มสัดส่วน
สมาร์ทโฟน และแท็ปเล็ตมากขึ้น มันก็บอกอะไรได้บางอย่างว่าผู้ค่าส่งเริ่มเปลี่ยนตัวสินค้าแล้ว
ผู้ค้าปลีก เช่น IT ล่ะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ต้องติดตามดูให้ดีคับ
เรื่องสำคัญของ VI คือเรื่อง
1 การเข้าใจธุรกิจ
2 ประเมินมูลค่า
3 MoS
และ 4 อารมณ์และพฤติกรรม
สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราใช้ประโยชน์จาก Mr.Market ได้เสมอ
ทำให้การลงทุนของเราสมเหตุสมผล ได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ
และอยู่รอดได้ในทุกสภาวะตลาด
เคยลงมาต่ำสุดๆตอนซัพไพรมที่ 3 นิดๆ แล้วก็ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ
สังเกตุไหมคับ พอช่วงขึ้นๆซักปีที่แล้วก็มีข่าวว่าหุ้นดี มีเซียนหุ้นออกข่าว
หนังสือพิมพ์ฉบับนึงเลย พูดชื่อหุ้นกันโต้งๆว่าราคาน่าจะไปได้อีก น่ากลัวคับ
กับเซียนหุ้นทั้งหลายที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ชอบทำข่าว เป็นที่น่าสังเกตุว่า
เซียนเหล่านี้ อาจจะมีวาระแอบแฝง ลองเปรียบเทียบคับ จะมีกลุ่มนึงชอบเชียร์ชื่อหุ้น
กับอีกกลุ่มจะไม่บอกชื่อหุ้นเลย บอกเพียงกว้างๆและความน่าสนใจในอุตสาหกรรมต่างๆ
(เหล่านี้เป็นข้อสังเกตุส่วนตัว ไม่ได้มาดิสเครดิตอะไร สาวกเซเลบถ้าไม่พอใจก็ขอโทษด้วยคับ)
การรับข่าวสารสมัยจากนี้ ต้องระวังอย่างมากเลยล่ะคับ ทำการบ้านเองเยอะๆก่อน
อ่านเยอะๆ ข่าวในอุตสาหกรรมต่างๆ ใครขยันๆก็อ่านข่าวต่างประเทศบ้าง
ถ้าอ่านข่าวต่างประเทศจะทราบเลยว่ายอดขาย PC มันตกจริงๆในหลายประเทศ
ไม่ว่าญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป เพราะผู้บริโภคหันมาใช้ Smart Phone กับ Tablet มากขึ้น
และมากขึ้นๆ ผู้ผลิต PC Notebook อย่าง HP Dell ก็ยอดขายลดลง แต่ทางจีน Lenovo ยังได้พอใช้
ทาง IDC ก็เสนอรายงานการส่งสินค้าไอทีประเภทโน้ตบุ๊ก พีซี ลดลงอย่างชัดเจน
ในช่วงที่สินค้าอย่างสมาร์ทโฟน และแท็ปเล็ตเร่งตัวขึ้น มันไปกินส่วนแบ่งใครละคับ และมันจะ
เป็นสินค้าทดแทนพีซี และโน้ตบุ๊ตได้หรือเปล่าอันนี้ต้องรอดู สำหรับพีซี คงยังต้องใช้ทำงานกันอยู่
แต่ยอดขายคงไม่แรงแล้วไปตามเศรษฐกิจกับตอนปรับเปลี่ยนซอฟแวร์ ซึ่งปัจจุบัน
พีซีมีสเปคที่แรงเพียงพอรองรับงานต่างๆแล้ว ยกเว้นฮาร์ดคอร์เกมคอมสามมิติ
ซึ่งพวกเกมก็ยอดขายลดลงมากมาย นินเทนโด DS ก็ยอดขายตก Play Station ก็ยอดขายตก
มันบอกอะไรเราได้หรือเปล่า
สำหรับโน้ตบุ๊ค ซึ่งฮิตมากมายจะโดนสมาร์ทโฟน กับแท็ปเล็ตแย่งส่วนแบ่งตลาด
และเป็นสินค้าทดแทนได้หรือเปล่า อันนี้ลองมองรอบๆตัวคับ ปีที่แล้ว กับปีนี้
หลังจากการเปิดตัวของไอโฟน และ ไอแพด
ส่วนอัลตร้าบุ๊ค จะโดนไหม อันนี้ตอบยาก แต่ช่วงแรกมันต้องแพงแน่นอน
มาพร้อมระบบใหม่ Window8 รวมถึง Serface ของไมโครซอฟ จะมาไหม
ผู้บริโภคจะเอาไหม
ผมว่าตอนนี้นวัตกรรมทางไอที ขึ้นกับความง่าย และสะดวกของผู้บริโภค แอพต่างๆ
การเชื่อต่อเวบไซด์ โซเชียลมีเดีย อีเมล msn เองกับ yahoo mail ก็ปรับตัว
โดยการเชื่อต่อกับเวบไซด์โซเชียลมีเดียมากขึ้น และมากขึ้น รวมไปถึงกิจการ
จากรีลเซ็กเตอร์ ธนาคาร สินค้าต่างๆก็เข้ามาใช้เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการ
ติดต่อกับลูกค้า
รวมถึงเทคโนโลยีด้านเน็ตไร้สาย ไม่ว่า 3G 4G ผู้ผลิตเจ้าไหนตอบสนอง
สิ่งเหล่านี้ และผลิตสินค้าได้ตรงใจจะประสบความสำเร็จ สตีฟ จ๊อบ สุดยอดมาก
ที่มองเทรนเหล่านี้ออกก่อนเลยมองไปถึง iCloud ต่อมาก็ Samsung พวกที่ปรับตัวช้า เช่น โนเกีย โมโต รวมถึง RIM
เละคับ ตัวแทนขาย BB อย่าง SIS ก็ลำบาก อย่าง SYNEX ก็จะพยายามเพิ่มสัดส่วน
สมาร์ทโฟน และแท็ปเล็ตมากขึ้น มันก็บอกอะไรได้บางอย่างว่าผู้ค่าส่งเริ่มเปลี่ยนตัวสินค้าแล้ว
ผู้ค้าปลีก เช่น IT ล่ะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ต้องติดตามดูให้ดีคับ
เรื่องสำคัญของ VI คือเรื่อง
1 การเข้าใจธุรกิจ
2 ประเมินมูลค่า
3 MoS
และ 4 อารมณ์และพฤติกรรม
สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราใช้ประโยชน์จาก Mr.Market ได้เสมอ
ทำให้การลงทุนของเราสมเหตุสมผล ได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ
และอยู่รอดได้ในทุกสภาวะตลาด
- luangrit
- Verified User
- โพสต์: 376
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 12
ขออนุญาตแชร์นะครับ
สำหรับหุ้น IT แล้ว
ผมในฐานะผู้บริโภค ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องไปใช้บริการกับ mall แห่งนี้เลย
เพราะเมื่อเวลาที่จะซื้อสินค้าอะไรสักอย่าง
ขอแค่มีการประกันที่ดี เชื่อถือได้ ผมก็ตัดสินซื้อสินค้าแล้ว
ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นร้านนี้ร้านเดียว
ดังนั้นหุ้นตัวนี้อาจจะไม่มี DCA ที่แข็งแกร่ง
Bissiness model อาจจะโตได้ด้วยการขยายสาขา
แต่การโตของ IT ก็ยังคงเป็นคำถาม
เพราะเท่าที่ไปเดินสำรวจ ก็ไม่พบว่ามีลูกค้าไปใช้บริการมากนัก
เรื่องนี้ อย่างที่หลายๆท่านได้กล่าวไว้นะครับ
ว่าเป็นกรณีศึกษาที่ดีเกี่ยวกับ DCA ของบริษัท
ถ้าบริษัทไหน มีความสามารถที่จะดึงดูดลูกค้าได้น้อย
กำไรของบริษัทเหล่าก็จะไม่มั่นคง
ผมเองพอจะเข้าใจเรื่องนี้บ้าง
ก็เพราะผมเองทำงานในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการรับจ้างผลิต (และก็อยู่ในตลาดหุ้น)
ซึ่งแน่นอนว่าตัวบริษัทนั้นไม่มี DCA ใครจะเข้ามาในธุรกิจก็ได้ ถ้าทุนหนาพอ
ดังนั้นลูกค้่าก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะให้บริษัทไหนทำการผลิต
แม้ว่าตัวเลข Financial statement ต่างๆจะออกมาดีมาก
แต่ก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นคง เพราะทางบริษัทจะปลดคนออกเมื่อไหร่ก็ได้
ถ้าไม่มีงาน ไม่มีลูกค้า
จึงทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าเราลงทุนกับบริษัทที่มีตราสินค้าที่โดดเด่น
ผู้บริโภคเลือกใช้อย่างสม่ำเสมอ น่าจะเหมาะสมกว่าในการเลือกลงทุน
เพราะรายได้จะมีความแน่นอน สม่ำเสมอ
สมัยก่อนผมมักจะให้ความสำคัญกับข้อมูลทางตัวเลข
มากกว่าเรื่องของ DCA และ Bissiness model
และก็พลาดครับ
เพราะไปเลือกลงทุนกับบริษัทที่พึ่งพากับลูกค้าเพียงไม่กี่เจ้า
จริงๆแล้ว บริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงการผลิตอะไรเลย และไม่ได้ทำผิดอะไรเลย
แต่หลังจากน้ำท่วมบริษัท ลูกค้าเพียงไม่กี่เจ้านั้น ก็ยกเลิกออเดอร์ไปเยอะมาก
ทำให้ราคาหุ้นร่วงจากมาเกือบ 50%
ตรงนี้จึงเป็นกรณีศึกของผม ที่อยากให้เพื่อนๆได้รับฟังเอาไว้
เกี่ยวกับการให้น้ำหนักในเลือกวิเคราะห์หุ้น
ว่าควรจะเลือกหุ้นในเชิงของคุณภาพก่อนที่จะมาลงเรื่องของตัวเลขต่างๆครับ
สำหรับหุ้น IT แล้ว
ผมในฐานะผู้บริโภค ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องไปใช้บริการกับ mall แห่งนี้เลย
เพราะเมื่อเวลาที่จะซื้อสินค้าอะไรสักอย่าง
ขอแค่มีการประกันที่ดี เชื่อถือได้ ผมก็ตัดสินซื้อสินค้าแล้ว
ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นร้านนี้ร้านเดียว
ดังนั้นหุ้นตัวนี้อาจจะไม่มี DCA ที่แข็งแกร่ง
Bissiness model อาจจะโตได้ด้วยการขยายสาขา
แต่การโตของ IT ก็ยังคงเป็นคำถาม
เพราะเท่าที่ไปเดินสำรวจ ก็ไม่พบว่ามีลูกค้าไปใช้บริการมากนัก
เรื่องนี้ อย่างที่หลายๆท่านได้กล่าวไว้นะครับ
ว่าเป็นกรณีศึกษาที่ดีเกี่ยวกับ DCA ของบริษัท
ถ้าบริษัทไหน มีความสามารถที่จะดึงดูดลูกค้าได้น้อย
กำไรของบริษัทเหล่าก็จะไม่มั่นคง
ผมเองพอจะเข้าใจเรื่องนี้บ้าง
ก็เพราะผมเองทำงานในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการรับจ้างผลิต (และก็อยู่ในตลาดหุ้น)
ซึ่งแน่นอนว่าตัวบริษัทนั้นไม่มี DCA ใครจะเข้ามาในธุรกิจก็ได้ ถ้าทุนหนาพอ
ดังนั้นลูกค้่าก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะให้บริษัทไหนทำการผลิต
แม้ว่าตัวเลข Financial statement ต่างๆจะออกมาดีมาก
แต่ก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นคง เพราะทางบริษัทจะปลดคนออกเมื่อไหร่ก็ได้
ถ้าไม่มีงาน ไม่มีลูกค้า
จึงทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าเราลงทุนกับบริษัทที่มีตราสินค้าที่โดดเด่น
ผู้บริโภคเลือกใช้อย่างสม่ำเสมอ น่าจะเหมาะสมกว่าในการเลือกลงทุน
เพราะรายได้จะมีความแน่นอน สม่ำเสมอ
สมัยก่อนผมมักจะให้ความสำคัญกับข้อมูลทางตัวเลข
มากกว่าเรื่องของ DCA และ Bissiness model
และก็พลาดครับ
เพราะไปเลือกลงทุนกับบริษัทที่พึ่งพากับลูกค้าเพียงไม่กี่เจ้า
จริงๆแล้ว บริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงการผลิตอะไรเลย และไม่ได้ทำผิดอะไรเลย
แต่หลังจากน้ำท่วมบริษัท ลูกค้าเพียงไม่กี่เจ้านั้น ก็ยกเลิกออเดอร์ไปเยอะมาก
ทำให้ราคาหุ้นร่วงจากมาเกือบ 50%
ตรงนี้จึงเป็นกรณีศึกของผม ที่อยากให้เพื่อนๆได้รับฟังเอาไว้
เกี่ยวกับการให้น้ำหนักในเลือกวิเคราะห์หุ้น
ว่าควรจะเลือกหุ้นในเชิงของคุณภาพก่อนที่จะมาลงเรื่องของตัวเลขต่างๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 535
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 13
สินค้าใน IT แพง
วันก่อนไปซื้อตลับหมึก ของ HP ถามในร้าน IT มีราคาติดไว้ 320 บาท
ผมจำได้เคยซื้อที่ร้าน 290บาท ที่พันทิพย์ประตูน้ำ ร้านค้าทั่วไป หมึกแท้น่ะครับ ของ HP
ผมเลยเดินออกมา ซื้อร้านข้างนอก 300 บาท ถึงแม้จะไปเท่าพันทิพย์แต่ก็ถูกกว่า IT เยอะ สินค้า คอมพิวเตอร์ ซื้อที่ไหนก็ได้ ดูประกันให้ดีแค่นั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องซื้อร้านใหญ่ๆ เลย
ร้าน advice ก็ถูกน่ะ ขายแค่ 280 บาทเอง
แต่พอดีไม่มีเวลาไปซื้อ
วันก่อนไปซื้อตลับหมึก ของ HP ถามในร้าน IT มีราคาติดไว้ 320 บาท
ผมจำได้เคยซื้อที่ร้าน 290บาท ที่พันทิพย์ประตูน้ำ ร้านค้าทั่วไป หมึกแท้น่ะครับ ของ HP
ผมเลยเดินออกมา ซื้อร้านข้างนอก 300 บาท ถึงแม้จะไปเท่าพันทิพย์แต่ก็ถูกกว่า IT เยอะ สินค้า คอมพิวเตอร์ ซื้อที่ไหนก็ได้ ดูประกันให้ดีแค่นั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องซื้อร้านใหญ่ๆ เลย
ร้าน advice ก็ถูกน่ะ ขายแค่ 280 บาทเอง
แต่พอดีไม่มีเวลาไปซื้อ
-
- Verified User
- โพสต์: 390
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณทุก ๆ ท่านทั้ง จขกท และ ผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นครับ
โดยส่วนตัว ผมไม่แตะหุ้นไอทีเลยครับ
เข็ดฝังใจตั้งกะสมัยซื้อ มือถือ ราคาสี่หมื่นกว่าบาท ที่มีระบบ อินฟราเรด เป็นรุ่นแรก ๆ ซึ่งปัจจุบันนี้ ราคาสองหมื่กว่า ก็ซื้อมือถืออย่างดี ๆ ได้แล้ว
นอกจากนี้ก็ยังเข็ดกับ โน้ตบุ้ค สมัยก่อน ราคาแสนห้าหมื่นบาท แต่หน่วยความจำเพียง 10 G
ทำให้ผมฝังใจว่า ไอที เป็นความฉาบฉวย ที่เห็นเจิดจรัสในวันนี้ืพรุ่งนี้อาจเป็นแค่ ความทรงจำ
โดยส่วนตัว ผมไม่แตะหุ้นไอทีเลยครับ
เข็ดฝังใจตั้งกะสมัยซื้อ มือถือ ราคาสี่หมื่นกว่าบาท ที่มีระบบ อินฟราเรด เป็นรุ่นแรก ๆ ซึ่งปัจจุบันนี้ ราคาสองหมื่กว่า ก็ซื้อมือถืออย่างดี ๆ ได้แล้ว
นอกจากนี้ก็ยังเข็ดกับ โน้ตบุ้ค สมัยก่อน ราคาแสนห้าหมื่นบาท แต่หน่วยความจำเพียง 10 G
ทำให้ผมฝังใจว่า ไอที เป็นความฉาบฉวย ที่เห็นเจิดจรัสในวันนี้ืพรุ่งนี้อาจเป็นแค่ ความทรงจำ
- sorawut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2455
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 15
ผมก็กำลังคิดโจทย์นี้เหมือนกันครับส.สลึง เขียน:แหม่ พอดีเลยครับ
กำลังลังเล
ว่าจะซื้อ ultrabook ดี
หรือว่า tablet ใช้ดี
ต้องลองคิดถึงการใช้งานครับ เช่นถ้าเวลาไปข้างนอกบ้าน ชอบนั่งเป็นที่ชิวๆ ประมาณเล่นเน็ตไปจิบกาแฟไป ผมว่า ultrabook ดีกว่า
แต่ถ้าไม่ค่อยได้นั่งที่ไหนนานๆ เดินทางตลอด เดินไป ระหว่างรอก็เล่นไป ผมว่า tablet ดีกว่าครับ
ตัดสินใจว่า ธุรกิจไหนที่คุณต้องการจะเป็นเจ้าของ
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
และซื้อเมื่อราคาสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่เข้าท่าสำหรับการร่วมทำธุรกิจเท่านั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 18
PC ยังไม่ตายไปซักทีเดียว
เนื่องจากในมุมมองของผม
มันขึ้นกับการใช้งานต่างหาก
เพราะตอนนี้ Tablet PC หรือ Smart Phone ตอบโจทย์ในแง่ของผู้ใช้งานทั่วไป เป็นการใช้งานพื้นฐานเท่านั้น
เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมที่ใช้ Graphic และความซับซ้อนไม่มากมาย อ่านหนังสือ เล่นอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
ส่วน PC และ Notebook นั้นทำงานในด้านที่หนักกว่าข้างต้น เช่น การทำงานทางด้านฐานข้อมูล งานทางด้านการตัิดต่อ graphic ตัดต่อ VDO ออกมาเป็น Clip ที่เราได้เห็นกัน เป็นต้น ซึ่งเป็นงานเฉพาะด้านมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ส่วนที่น่าสนใจคือ ตัว Application ที่มากับตัวอุปกรณ์
สังเกตได้ว่า ทุกครั้งสร้าง App store ของตัวเอง แต่ concept ของ Microsoft (ขอเรียกว่า MS ง่ายละกัน) เป็นตัวที่ท้าทายกว่า App Store ของ Apply และ GOOGLE คือ App Store ที่เดียว ใช้งานได้หมดทั้ง PC Smartphone และ tablet เลย อันนี้คือสิ่งที่ต้องพิสูจน์ต่อไปว่า Application ที่ App Store ไหนเจ๋งกว่ากัน
แต่ด้านคนพัฒนาก็ทำให้มันมีให้หมดทุก Platform
ส่วนด้านของธุรกิจนั้น
ตอนนี้ที่เป็นปัญหาเจอกันบ่อยๆในแวดดวงการดูแลนั้นคือการใช้อุปกรณ์ส่วนตัว (iphone ipad ซัมซุงกาแล็คซี่) มาเพื่อเชื่อมต่อระบบของบริษัท ไล่ตั้งแต่ E-mail การแชร์ข้อมูลรวมกับอุปกรณ์อื่นๆ การนำเสนอ (Presentation) เป็นต้น ทำให้ เป็นภาระของผู้ดูแลระบบที่มากยิ่งขึ้น และเป็นช่องโหว่งในการโดยเจาะมากขึ้น
Update Trend ด้านนี้หน่อย จะเห็นว่า ตัวผลิตภัณฑ์ในด้านนี้ ก็ออกมาในรูปของ smartphone ,tablet มากขึ้นกว่าเดิม
แสดงให้เห็นว่า รูโหว่งมันยังมี ต้องรอการอุดรูเหล่านี้ซักระยะหนึ่ง
มาฉายภาพแ่ค่นี้ก่อนละกัน
เนื่องจากในมุมมองของผม
มันขึ้นกับการใช้งานต่างหาก
เพราะตอนนี้ Tablet PC หรือ Smart Phone ตอบโจทย์ในแง่ของผู้ใช้งานทั่วไป เป็นการใช้งานพื้นฐานเท่านั้น
เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมที่ใช้ Graphic และความซับซ้อนไม่มากมาย อ่านหนังสือ เล่นอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
ส่วน PC และ Notebook นั้นทำงานในด้านที่หนักกว่าข้างต้น เช่น การทำงานทางด้านฐานข้อมูล งานทางด้านการตัิดต่อ graphic ตัดต่อ VDO ออกมาเป็น Clip ที่เราได้เห็นกัน เป็นต้น ซึ่งเป็นงานเฉพาะด้านมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ส่วนที่น่าสนใจคือ ตัว Application ที่มากับตัวอุปกรณ์
สังเกตได้ว่า ทุกครั้งสร้าง App store ของตัวเอง แต่ concept ของ Microsoft (ขอเรียกว่า MS ง่ายละกัน) เป็นตัวที่ท้าทายกว่า App Store ของ Apply และ GOOGLE คือ App Store ที่เดียว ใช้งานได้หมดทั้ง PC Smartphone และ tablet เลย อันนี้คือสิ่งที่ต้องพิสูจน์ต่อไปว่า Application ที่ App Store ไหนเจ๋งกว่ากัน
แต่ด้านคนพัฒนาก็ทำให้มันมีให้หมดทุก Platform
ส่วนด้านของธุรกิจนั้น
ตอนนี้ที่เป็นปัญหาเจอกันบ่อยๆในแวดดวงการดูแลนั้นคือการใช้อุปกรณ์ส่วนตัว (iphone ipad ซัมซุงกาแล็คซี่) มาเพื่อเชื่อมต่อระบบของบริษัท ไล่ตั้งแต่ E-mail การแชร์ข้อมูลรวมกับอุปกรณ์อื่นๆ การนำเสนอ (Presentation) เป็นต้น ทำให้ เป็นภาระของผู้ดูแลระบบที่มากยิ่งขึ้น และเป็นช่องโหว่งในการโดยเจาะมากขึ้น
Update Trend ด้านนี้หน่อย จะเห็นว่า ตัวผลิตภัณฑ์ในด้านนี้ ก็ออกมาในรูปของ smartphone ,tablet มากขึ้นกว่าเดิม
แสดงให้เห็นว่า รูโหว่งมันยังมี ต้องรอการอุดรูเหล่านี้ซักระยะหนึ่ง
มาฉายภาพแ่ค่นี้ก่อนละกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 19
ขอเพิ่มเติมนิดหน่อยว่า
ทุกกิจการมีช่วงเวลาที่ยากลำบากอยู่ด้วยเสมอมา
อย่างเช่นกิจการ IBM ที่ผ่านทุกข์ผ่านร้อนมานานมากมาย ไล่ตั้งแต่ยุคที่เป็นบัตรเจาะรู สำหรับการทำสัมโนประชากรของ US เมื่อ 100+ ปีทีแ่ล้ว ต่อด้วยยุคของหลอกสูญญากาศ ที่ใช้พลังงานมากมายมหาศาล ความเร็วในการประมวลผลที่น้อยมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน และ ได้เกิดคำว่า Bug เพราะแมลงไปสร้างรังที่หลอดสูญญากาศทำให้การคำนวณผิดพลาดเกิดขึ้นมา
ยุคของ Main frame ต่อด้วย Mini Computer สู่ยุคของ PC และ Compatible IBM PC เข้าสู่ยุคของ Microsoft ไล่ตั้งแต่ MS DOS ใน version ต่างๆ นาๆ (ในยุคนี้ IBM เซเหมือนกันเพราะ OS/2 ที่ซุ่มพัฒนาต่อสู้กับ MS DOS และ MS Windows 3.1 ไม่ได้)
ดังที่เห็นว่า IBM ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวจาก ผู้ผลิตอุปกรณ์ แต่ตอนนี้กลายเป็นผู้บริหารมากกว่าผู้ผลิตแล้วละ
ดังนั้นการที่กิจการตกต่ำนั้น นักลงทุนควรตั้งคำถามว่า ที่ตกต่ำเป็นสิ่งที่ชั่วคราวหรือถาวร สิ่งที่เป็นต้องเห็นของความตกต่ำนั้นมาจากไหน และ สุดท้ายคือ การเปลี่ยนแปลงหลังกิจการที่ตกต่ำไปแล้วสามารถฟื้นคืนชีพได้หรือไม่ ระยะเวลาในการใช้ในการฟื้นตัวนานแค่ไหน
ทุกกิจการมีช่วงเวลาที่ยากลำบากอยู่ด้วยเสมอมา
อย่างเช่นกิจการ IBM ที่ผ่านทุกข์ผ่านร้อนมานานมากมาย ไล่ตั้งแต่ยุคที่เป็นบัตรเจาะรู สำหรับการทำสัมโนประชากรของ US เมื่อ 100+ ปีทีแ่ล้ว ต่อด้วยยุคของหลอกสูญญากาศ ที่ใช้พลังงานมากมายมหาศาล ความเร็วในการประมวลผลที่น้อยมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน และ ได้เกิดคำว่า Bug เพราะแมลงไปสร้างรังที่หลอดสูญญากาศทำให้การคำนวณผิดพลาดเกิดขึ้นมา
ยุคของ Main frame ต่อด้วย Mini Computer สู่ยุคของ PC และ Compatible IBM PC เข้าสู่ยุคของ Microsoft ไล่ตั้งแต่ MS DOS ใน version ต่างๆ นาๆ (ในยุคนี้ IBM เซเหมือนกันเพราะ OS/2 ที่ซุ่มพัฒนาต่อสู้กับ MS DOS และ MS Windows 3.1 ไม่ได้)
ดังที่เห็นว่า IBM ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวจาก ผู้ผลิตอุปกรณ์ แต่ตอนนี้กลายเป็นผู้บริหารมากกว่าผู้ผลิตแล้วละ
ดังนั้นการที่กิจการตกต่ำนั้น นักลงทุนควรตั้งคำถามว่า ที่ตกต่ำเป็นสิ่งที่ชั่วคราวหรือถาวร สิ่งที่เป็นต้องเห็นของความตกต่ำนั้นมาจากไหน และ สุดท้ายคือ การเปลี่ยนแปลงหลังกิจการที่ตกต่ำไปแล้วสามารถฟื้นคืนชีพได้หรือไม่ ระยะเวลาในการใช้ในการฟื้นตัวนานแค่ไหน
-
- Verified User
- โพสต์: 249
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 20
ชัดเจนครับท่านviหัดคลาน เขียน:ไอทีเป็นตัวอย่างคลาสสิคในอนาคตของหุ้นที่เริ่มสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งผมจะสรุปเป็นประเด็นดังนี้
1. ย้อนกลับไปประมาณยี่สิบกว่าปีก่อนตอนคอมพ์เข้ามาใหม่ๆ คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักคอมพ์และคุณค่าของมัน หลังจากนั้นทุกคนก็ค่อยๆซึมซับความสำคัญ ธุรกิจขายคอมพ์ก็เริ่มเฟื่ิองฟู แต่คอมพ์ยังไม่มีหลายแบรนด์ คนซื้อมีไม่มาก ผมยังจำได้คอมพ์สมัยก่อนราคาสูงมาก เกือบๆห้าหมื่นบาท และแน่นอนกำไรขั้นต้นบริษัทย่อมสูงมากเช่นกันจากการที่มีไม่กี่บริษัททำคอมพ์ขาย แต่ในปัจจุบัน คอมพ์นั้นมีหลายเจ้ามาก แข่งขันสูงจนราคาพีซีถูกมากไม่ถึงสองหมื่นก็ซื้อได้ นั้นทำให้อัตรากำไรบริษัทลดลงโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องไปง้างดูข้อมูลเก่าก็พอเดาได้
2.เมื่อคอมพ์เริ่มเข้ามาขายใหม่ๆ แน่นอนผู้ขายก็มีไม่กี่เจ้า ที่มีฐานเงินมากพอที่จะสั่งของเข้ามาขายได้ คิดง่ายๆถ้าต้องสั่งรุ่นละ 100 เครื่อง เมื่อก่อนคุณต้องใช้เงินประมาณ5ล้านต่อรุ่น มีสักสิบรุ่นก็เกินห้าสิบล้านแล้ว จะมีสักกี่เจ้าที่มีอำนาจเงินมากเกือบร้อยล้านที่จะสั่งคอมพ์มาขายนี่คิดเฉพาะค่าของที่สั่ง ไม่นับค่าใช้จ่ายในการเปิดสาขาอีกต่างหาก และอย่าลืมว่าสินค้าพวกนี้ตกรุ่นง่ายมากขายไม่ทันเจ๊งเอาง่ายๆ สมัยก่อนที่ยังมีคนไม่มั่นใจในตลาดคอมพ์จึงมีมากและไม่กล้าเสี่ยง แต่ปัจจุบันทุกคนรู้แล้วว่าคอมพ์ขายได้ ถ้าคุณมีสักยี่สิบล้านคุณก็สั่งของมาขายได้10รุ่นรุ่นละ100ตัวได้สบายๆ ผู้ค้าย่อมเพิ่มขึ้น และนั้นทำให้ส่วนแบ่งการตลาดหรือ มาร์เก็ตแชร์ลดลง ยอดขายที่ไม่เพิ่มหรือเพิ่มไม่มากจนน่าพอใจนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เราคาดได้เช่นกัน
3.มาถึงข้อสำคัญที่สุดข้อหนึ่ง ผมยังจำวันที่ผมไปเดินซื้อของในไอทีชั้นบนสุดของพันธ์ทิพย์ ทั้งๆที่มันไปยากสุดแต่ก็ซื้อ ด้วยเหตุผลสำคัญที่สุดในตอนนั้นคือ บริการหลังการขายดี ยี่สิบปีที่แล้วถ้าใครบ้าเล่นเกมส์cm93เหมือนผม (cm93เป็นเกมส์ผู้จัดการฟุตบอลออกตอนปี 1993) ก็จะเข้าใจ ไอ้คำว่าคอมพ์เจ๊งแล้วต้องมานั่งเล่นใหม่นี้มันสร้างความน่าโมโหขนาดไหน ร้านทั่วไปสมัยนั้นไม่ค่อยมีคนมาคอยดูแลให้ ก็ด้วยเหตุผลเดียวกันกับข้ออื่นๆคือเงินไม่ถึง พวกนั้นจึงใช้ยุทธวิธีขายถูกกว่าไอที แต่ถ้าคอมพี่เจ๊งก็เชิญไปซ่อมตามมีตามเกิดเอาเอง ไอทีมีแผนกนี้แม้เราอาจต้องเสียค่าบริการแต่อย่างน้อยก็อุ่นใจ และนี้คืออีกหนึ่งข้อได้เปรียบที่สำคัญที่ทำให้เขากล้าขายแพงกว่าคนอื่นๆเล็กน้อย แต่ปัจจุบัน คอมพ์เจ๊งพวกน้องๆที่มีความสามารถมากพอก็ลงโปรแกรมใหม่เองยังได้เลย ภาพที่ผมเคยเห็นเมื่อยี่สิบปีก่อนที่ผมและคนเล่นคอมพ์สมัยนั้นต้องแบกไอ้พีซีที่ใหญ่ยังกะตู้ใบหนึ่งเข้าออกพันธ์ทิพย์เป็นว่าเล่น เดี๋ยวนี้ผมแทบไม่เห็นเลยถ้าไม่จนปัญญากันจริงๆ ไอทีจึงไม่สามารถต่อรองแบบเดิมได้อีกต่อไป ผมเองไม่เคยเข้าไปถามไอทีจริงๆจังๆสักที แต่ผมว่าแผนกบริการของเขาถ้ายังมีอยู่ก็ไม่น่าจะใหญ่เพราะดูแล้วคงไม่จำเป็นในปัจจุบัน และน่าจะทำให้ต้นทุนของเขาสูงขึ้นโดยไม่จำเป็นมากกว่า
4. การเพิ่มสาขา โดยมากนักลงทุนหน้าใหม่มักเข้าใจกันว่ายิ่งเพิ่มสาขามากยิ่งกำไรเพิ่ม คำตอบคือไม่จำเป็นครับ เวลาผมอธิบายให้คนในบ้านฟัง ผมจะสมมุติว่าถ้าบริษัทหนึ่งกำไรสาขาละ หนึ่งล้าน มีสัก10สาขาก็กำไรสิบล้าน และถ้ามีสัก200สาขาจะมีกำไร 200ล้านใช่ไหม ที่บ้านผมซึ่งไม่เข้าใจโมเดลธุรกิจก็จะตอบว่าใช่ คำตอบคือไม่ใช่เสมอไปครับ บางธุรกิจมีสาขาเป็นพันได้เช่นร้านเซเว่น บางธุรกิจมีเป็นร้อยสาขาได้เช่นบิ๊กซี แต่ถ้าบิ๊กซีมีสาขาในไทยสักหกพันสาขาเหมือนเซเว่นคุณคงบอกว่าบ้าไปแล้วแน่นอน (ผมหมายถึงสาขาแบบสาขาใหญ่ ไม่ใช่แบบมินิบิ๊กซีนะครับ) ส่วนไอทีควรจะมีกี่สาขานั้น คุณต้องไปลองคิดเอาเอง การเพิ่มสาขามากไปจนไม่คุ้มกับการลงทุนนั้นมีในทุกธุรกิจ ดังนั้นเมื่อถึงจุดๆหนึ่งการเพิ่มสาขาไม่ได้เพิ่มกำไรแบบบัญญัติไตรยางค์อีกต่อไป ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นๆการเพิ่มสาขามีจุดประสงค์เพื่อคงส่วนแบ่งการตลาดและคงความเป็นเจ้าตลาดมากกว่าที่จะมุ่งหวังกำไรแบบเพิ่มมากมาย ดังนั้นหากคุณลองย้อนกลับไปดูในงบบัญชี รายงาน56-1 หรือรายงานประจำปี คุณย่อมพบสาเหตุของการเติบโตของกำไรที่ไม่มากได้ไม่ยาก
สรุปในประเด็นหุ้นไอทีนั้น ผมอยากให้คุณลองย้อนกลับไปดูสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามารถในการแข่งขันหรือความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนของธุรกิจนั้นๆเป็นสำคัญ หากคุณประเมินว่าความสามารถนั้นมิได้ตกไปอย่างถาวรแต่เป็นชั่วคราว การลงมาของราคาหุ้นคือโอกาสทองที่ไม่ควรทิ้งอย่างมาก แต่ในทางกลับกันเมื่อบริษัทสูญเสียความสามารถนี้แล้วหรือกำลังลดลงในอนาคต คุณก็ควรจะปล่อยหุ้นนั้นมากกว่าที่จะรอคัทลอส
สุดท้ายการลงทุนเป็นอำนาจสิทธ์ขาดของผู้ลงทุนทุกท่าน ความคิดของผมก็เป็นความคิดส่วนตัวเท่านั้นและเป็นเพียงผู้เล่นหุ้นที่มีประสบการณ์เพียงสามปีเท่านั้น จึงไม่ควรเอามาเป็นสาระสำคัญเท่ากับการตัดสินใจของคุณเอง ผมขออวยพรให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ
วีไอหัดคลาน
-
- Verified User
- โพสต์: 368
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 21
ที่ขาดทุนอาจจะเพราะไม่เข้าใจธุรกิจของ it city อย่างแท้จริงๆ ก็ได้
คิดแค่ว่าขายสินค้า it แล้วน่าจะดี คิดน้อยไปหน่อยครับ
ลองมาดูยุคของคอมพิวเตอร์กัน pc ---> notebook ----> smart phone & tablet
ยุคที่เป็นเครื่องคอมแบบตั้งโต๊ะ เราซื้อคอมกันที่ไหนครับ
ตอบ ซื้อที่ร้านทั่วๆไปสั่งประกอบ เลือกสเปคเองจะร้านไหนก็ได้ขอให้ถูกไว้ก่อน เพราะแต่ละชิ้นส่วนมันก็มียี่ห้อแล้วแต่เราจะเลือก ชิ้นไหนมีปัญหาก็เครมได้
ถัดมายุคของ note book เราซื้อกันที่ไหนครับ
ตอบ ซื้อจากร้านที่ดูน่าเชื่อถือหน่อย เช่นร้าน it city เพราะไรครับ เพราะเราไม่เห็นข้างใน เราคิดว่าร้านพวกนี้สินค้าน่าจะมีคุณภาพมากกว่า เราไม่อยากเสี่ยงไปซื้อร้านข้างนอกเพราะถูกกว่านิดหน่อย แต่อาจจะไม่คุ้มถ้ามีปัญหา แล้วยุคนี้คือยุคที่รุ่งเรื่องที่สุดของ it city
ยุคปัจจุบันคือ smart phone และ tablet เราซื้อจากร้านไหนกันครับ
ตอบ ซื้อจาก ais dtac true และร้านขายมือถือ jay mart ,TG phone เพราะสินค้าพวกนี้ต้องใช้ควบคู่กันกับซิม
สรุป คือ it city มันได้ผ่านช่วงที่ดีที่สุดมาแล้ว smart phone กับ tablet มันจะทำให้ note book ไม่กลับมาเติบโตอีกเลย เหมือนกับครั้งนึงที่ note book ทำกับ pc
คิดแค่ว่าขายสินค้า it แล้วน่าจะดี คิดน้อยไปหน่อยครับ
ลองมาดูยุคของคอมพิวเตอร์กัน pc ---> notebook ----> smart phone & tablet
ยุคที่เป็นเครื่องคอมแบบตั้งโต๊ะ เราซื้อคอมกันที่ไหนครับ
ตอบ ซื้อที่ร้านทั่วๆไปสั่งประกอบ เลือกสเปคเองจะร้านไหนก็ได้ขอให้ถูกไว้ก่อน เพราะแต่ละชิ้นส่วนมันก็มียี่ห้อแล้วแต่เราจะเลือก ชิ้นไหนมีปัญหาก็เครมได้
ถัดมายุคของ note book เราซื้อกันที่ไหนครับ
ตอบ ซื้อจากร้านที่ดูน่าเชื่อถือหน่อย เช่นร้าน it city เพราะไรครับ เพราะเราไม่เห็นข้างใน เราคิดว่าร้านพวกนี้สินค้าน่าจะมีคุณภาพมากกว่า เราไม่อยากเสี่ยงไปซื้อร้านข้างนอกเพราะถูกกว่านิดหน่อย แต่อาจจะไม่คุ้มถ้ามีปัญหา แล้วยุคนี้คือยุคที่รุ่งเรื่องที่สุดของ it city
ยุคปัจจุบันคือ smart phone และ tablet เราซื้อจากร้านไหนกันครับ
ตอบ ซื้อจาก ais dtac true และร้านขายมือถือ jay mart ,TG phone เพราะสินค้าพวกนี้ต้องใช้ควบคู่กันกับซิม
สรุป คือ it city มันได้ผ่านช่วงที่ดีที่สุดมาแล้ว smart phone กับ tablet มันจะทำให้ note book ไม่กลับมาเติบโตอีกเลย เหมือนกับครั้งนึงที่ note book ทำกับ pc
-
- Verified User
- โพสต์: 2595
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 22
-เป็นไปได้เหรอครับที่พื้นฐานเปลี่ยนเเล้วกำไรตกภายในปีเดียว? ทำไมปีที่เเล้วITยังมีกำไรโตขึ้น?
-เเล้วIT เปลี่ยนมาขายสินค้าตามผู้บริโภคต้องการไม่ได้เหรอครับ สิ่งที่เราเห็น ผบห.ไม่เห็นเหรอ?
ไม่มีหุ้นนะครับ เเต่ผมเเค่รู้สึกว่าITยังไม่ได้เเย่คือมุมมองผมคิดว่าธุรกิจมันปรับตัวได้ ไม่จำเป็นต้อง"เเถ"ขายNote Bookตลอดถ้ารสนิยมของคนเปลี่ยน ITอาจขายTablat+Smartทั้งร้านก็ได้ใครจะไปรู้
อื่นๆเห็นด้วยมากครับ Barrier to entryของธุรกิจเเบบนี้ดูต่ำ
-เเล้วIT เปลี่ยนมาขายสินค้าตามผู้บริโภคต้องการไม่ได้เหรอครับ สิ่งที่เราเห็น ผบห.ไม่เห็นเหรอ?
ไม่มีหุ้นนะครับ เเต่ผมเเค่รู้สึกว่าITยังไม่ได้เเย่คือมุมมองผมคิดว่าธุรกิจมันปรับตัวได้ ไม่จำเป็นต้อง"เเถ"ขายNote Bookตลอดถ้ารสนิยมของคนเปลี่ยน ITอาจขายTablat+Smartทั้งร้านก็ได้ใครจะไปรู้
อื่นๆเห็นด้วยมากครับ Barrier to entryของธุรกิจเเบบนี้ดูต่ำ
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 522
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 23
เห็นด้วยคับworapot_ta เขียน:ที่ขาดทุนอาจจะเพราะไม่เข้าใจธุรกิจของ it city อย่างแท้จริงๆ ก็ได้
คิดแค่ว่าขายสินค้า it แล้วน่าจะดี คิดน้อยไปหน่อยครับ
ลองมาดูยุคของคอมพิวเตอร์กัน pc ---> notebook ----> smart phone & tablet
ยุคที่เป็นเครื่องคอมแบบตั้งโต๊ะ เราซื้อคอมกันที่ไหนครับ
ตอบ ซื้อที่ร้านทั่วๆไปสั่งประกอบ เลือกสเปคเองจะร้านไหนก็ได้ขอให้ถูกไว้ก่อน เพราะแต่ละชิ้นส่วนมันก็มียี่ห้อแล้วแต่เราจะเลือก ชิ้นไหนมีปัญหาก็เครมได้
ถัดมายุคของ note book เราซื้อกันที่ไหนครับ
ตอบ ซื้อจากร้านที่ดูน่าเชื่อถือหน่อย เช่นร้าน it city เพราะไรครับ เพราะเราไม่เห็นข้างใน เราคิดว่าร้านพวกนี้สินค้าน่าจะมีคุณภาพมากกว่า เราไม่อยากเสี่ยงไปซื้อร้านข้างนอกเพราะถูกกว่านิดหน่อย แต่อาจจะไม่คุ้มถ้ามีปัญหา แล้วยุคนี้คือยุคที่รุ่งเรื่องที่สุดของ it city
ยุคปัจจุบันคือ smart phone และ tablet เราซื้อจากร้านไหนกันครับ
ตอบ ซื้อจาก ais dtac true และร้านขายมือถือ jay mart ,TG phone เพราะสินค้าพวกนี้ต้องใช้ควบคู่กันกับซิม
สรุป คือ it city มันได้ผ่านช่วงที่ดีที่สุดมาแล้ว smart phone กับ tablet มันจะทำให้ note book ไม่กลับมาเติบโตอีกเลย เหมือนกับครั้งนึงที่ note book ทำกับ pc
-
- Verified User
- โพสต์: 571
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 24
ลองใช้ SWOT analysis แบบง่ายๆ ตามความคิดเห็นส่วนตัว
Strength
-IT มีเงินทุน ที่ค่อนข้างพร้อม ฐานะทางการเงิน แข็งแกร่ง
-IT มีแบรนด์ ที่หากพูดถึง สินค้า IT ก็ต้องนึกถึง IT City หากอยากเดินดูสินค้า IT
ที่หลากหลาย และ มากที่สุด คงไปดูที่ IT City ก่อน
Weaknesses
-วิสัยทัศน์ ผบห ที่ในระยะเวลาที่ผ่านมายังคงดำเนินนโยบายแบบ conservative
การขยายสาขา การออกแบบตบแต่งภายในร้านค้า ที่ยังคงเหมือนเดิม
-IT มี ยี่ห้อ มีแบรนด์ แต่ Brand Value ของ IT ขายไม่ได้ เพราะ Perception
ของลูกค้า IT City คือ แหล่งสินค้า IT ครบวงจร เท่านั้นเอง = เรียกให้ลูกค้ามาชม
มาดู แต่ไม่ได้ให้ลูกค้า จับจ่าย ซื้อของ ซึ่งไม่ตรงกับพฤติกรรมของผู้ซื้อ สินค้า IT
ที่ต้องการราคาถูก
Opportunities
-การที่นวัตกรรมสินค้า IT เกิดการแยกตลาดอย่างชัดเจน
Smart Phone และ Tablet เป็นสินค้าที่จับตลาด Mass และ Life Style ของผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบัน
แยกตัวออกจากกลุ่มผู้ใช้ PC และ Notebook
-การเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่กลุ่มผู้ใช้งาน Softwares เพื่อการทำงาน และ กลุ่ม Mass
ที่มีการใช้งานผ่าน Applications ต่างๆ ทางมือถือ
Threats
-การเติบโตของ คู่แข่ง JIB, Banana IT, Hardware House ซึ่ง IT ไม่้มี Barrier of New Entries
-การเกิดขึ้นของ Alternative Channels of Distributionในขณะที่ Service Providers เช่น True DTAC AIS
กลายเป็น ช่องทางจำหน่ายสินค้า ซึ่งมีศักยภาพในการทำ Promotion ได้โดยตรงกับลูกค้า
-ธรรมชาติของสินค้า IT ที่มีอายุสั้น ตกรุ่นอย่างรวดเร็ว และ ง่าย ทำให้บริษัทต้องออก Promotion มากระตุ้นอยู่เสมอ
ความคิดเห็นส่วนตัว ผมคิดว่า IT ต้องปรับตัว ใช้วิกฤตเป็นโอกาส ทำการ Re-Branding ตัวเองให้ได้
เข้าใจตลาด IT และ ความต้องการของผู้บริโภคที่แยกออกเป็น 2 ตลาด ชัดเจนแล้ว ยังไม่รวม Nitch Market
อย่างตลาด Hardcore Gamers การปรับช่องทางการจำหน่ายสินค้า โดยเฉพาะ สินค้า House Brand และ สินค้า
ที่รับมาจำหน่าย จาก ผู้ผลิต
Strength
-IT มีเงินทุน ที่ค่อนข้างพร้อม ฐานะทางการเงิน แข็งแกร่ง
-IT มีแบรนด์ ที่หากพูดถึง สินค้า IT ก็ต้องนึกถึง IT City หากอยากเดินดูสินค้า IT
ที่หลากหลาย และ มากที่สุด คงไปดูที่ IT City ก่อน
Weaknesses
-วิสัยทัศน์ ผบห ที่ในระยะเวลาที่ผ่านมายังคงดำเนินนโยบายแบบ conservative
การขยายสาขา การออกแบบตบแต่งภายในร้านค้า ที่ยังคงเหมือนเดิม
-IT มี ยี่ห้อ มีแบรนด์ แต่ Brand Value ของ IT ขายไม่ได้ เพราะ Perception
ของลูกค้า IT City คือ แหล่งสินค้า IT ครบวงจร เท่านั้นเอง = เรียกให้ลูกค้ามาชม
มาดู แต่ไม่ได้ให้ลูกค้า จับจ่าย ซื้อของ ซึ่งไม่ตรงกับพฤติกรรมของผู้ซื้อ สินค้า IT
ที่ต้องการราคาถูก
Opportunities
-การที่นวัตกรรมสินค้า IT เกิดการแยกตลาดอย่างชัดเจน
Smart Phone และ Tablet เป็นสินค้าที่จับตลาด Mass และ Life Style ของผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบัน
แยกตัวออกจากกลุ่มผู้ใช้ PC และ Notebook
-การเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่กลุ่มผู้ใช้งาน Softwares เพื่อการทำงาน และ กลุ่ม Mass
ที่มีการใช้งานผ่าน Applications ต่างๆ ทางมือถือ
Threats
-การเติบโตของ คู่แข่ง JIB, Banana IT, Hardware House ซึ่ง IT ไม่้มี Barrier of New Entries
-การเกิดขึ้นของ Alternative Channels of Distributionในขณะที่ Service Providers เช่น True DTAC AIS
กลายเป็น ช่องทางจำหน่ายสินค้า ซึ่งมีศักยภาพในการทำ Promotion ได้โดยตรงกับลูกค้า
-ธรรมชาติของสินค้า IT ที่มีอายุสั้น ตกรุ่นอย่างรวดเร็ว และ ง่าย ทำให้บริษัทต้องออก Promotion มากระตุ้นอยู่เสมอ
ความคิดเห็นส่วนตัว ผมคิดว่า IT ต้องปรับตัว ใช้วิกฤตเป็นโอกาส ทำการ Re-Branding ตัวเองให้ได้
เข้าใจตลาด IT และ ความต้องการของผู้บริโภคที่แยกออกเป็น 2 ตลาด ชัดเจนแล้ว ยังไม่รวม Nitch Market
อย่างตลาด Hardcore Gamers การปรับช่องทางการจำหน่ายสินค้า โดยเฉพาะ สินค้า House Brand และ สินค้า
ที่รับมาจำหน่าย จาก ผู้ผลิต
-
- Verified User
- โพสต์: 2595
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 25
ขอบคุณมากครับ ใช้swotมาจับเห็นชัดขึ้น
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
Re: ประสบการณ์ที่ได้รับจากหุ้น it
โพสต์ที่ 26
แนะนำบทความใหม่ ของ ท่าน อ. ครับ น่าสนใจ
เล่นหุ้นตามผลประกอบการ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=53098
เล่นหุ้นตามผลประกอบการ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=53098
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530