ถ้าเปิดกางดูว่าตอนนี้ยางพาราไม่ได้ปลูกแต่เพียงภาคใต้เท่านั้นแล้ว ภาคเหนือและภาคอีสานก็ปลูกยางพารางเพื่อกรีดยางขายเหมือนกัน
ยางพาราเป็นคอมมูนิติ้ตัวหนึ่ง โดยที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมน้ำมันและผลิตภัณฑ์ของน้ำมัน
ซึ่งสินค้าบ้างตัวใช้แทนกันได้ แต่ บ้างตัวก็ใช้แทนกันไม่ได้ โดยที่ใช้แทนกันได้ไม่สมบูรณ์กันร้อยเปอร์เซ็นต์
อย่างไงก็ตามก็ถือว่าไปในทิศทางเดียวกันละครับ ทั้งราคายางและราคาน้ำมัน (มีผลการศึกษา ลองไปหาดูละกันว่าเป็นเช่นไร)
สิ่งต่อมาคือ ตัวที่สามารถชี้ชัดว่าราคายางขึ้นหรือลง มีตลาดสินค้าล่วงหน้าที่สำคัญคือ ที่ตลาด TOCOM ประเทศญี่ปุ่น เป็นตลาดสินค้าล่วงหน้า ที่สำคัญของยางพารา และในเมืองไทยก็มีตอน สินค้าล่วงหน้าทางการเกษตรเหมือนกัน (แต่ทำไมหนอ ตลาดสินค้าล่วงหน้าทางการเกษตรกับตลาดล่วงหน้า ไม่ยอมรวมกัน น่าจะมีสาเหตุในเบื้องลึก ซึ่งผู้เล่นในตลาดสินค้าเกษตรคือผู้ที่มีสินค้าอยู่ในมือ นั้นคือมีอิทธิพลในการกำหนดตลาดอยู่เหมือนกัน ทำให้การเกร็งกำไรเกิดขึ้นได้ยาก ก็มันคือนิสัยของพ่อค้านั้นเอง)
ย้อนภาำพกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ที่ราคายางเริ่มสูงขึ้น ในประเทศไทย ก็มีโครงการในสมัยนายกที่ไม่ยอมกลับเมืองไทย อยู่แต่เมืองนอก ได้ทำโครงการกล้ายางเกิดขึ้น ให้เกษตรกรปลูกยางพารามากขึ้น ขยายไปภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งตอนนี้ก็ถ้าหากกรีดยางก็สามารถดำเนินทำได้แล้ว แต่คุณภาพยางยังไม่สู้จะดีเป็นที่ยอมรับในตลาด แล้วในเวลาเดียวกัน ก็มีข่าวคราวว่าประเทศอื่นๆก็สนใจในการปลูกยางพารา คือ จีน ลาว เวียดนาม ที่สนใจปลูกแต่ไม่รู้ว่าปลูกจริงหรือเปล่า (ใครมีข้อมูลช่วยแชร์ด้วยในประเทศเหล่านี้)
ตัดภาพต่อมา ผู้ผลิตส่วนใหญ่ มีสามประเทศคือ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นผู้ที่ปลูกยางพารามากที่สุดในโลก เริ่มจับมือกันในการทำให้ราคายางเพิ่มขึ้น โดยการแก้ไขทำให้ราคายางเพิ่มขึ้นนั้นเป็นการโค่นต้นยางพาราลง เพื่อลดพื้นที่ในการปลูกลดลง เมื่อออกข่าวมาปุ๊บ ตลาดยางพาราก็สะท้อนข่าวทันที ราคายางก็เพิ่มสูงขึ้น ทั้งราคารับซื้อยางและราคายางในตลาดสินค้าล่วงหน้าทั้งในประเทศไทย และ ตลาด Tocom แต่จริงๆแล้ว การโค่นยางพารา เกษตรกรต้องให้ความร่วมมือในการโค่นยางพาราด้วย และตลาดที่รองรับในการใช้ไม้ยางพารา นอกเหนือจากการทำฟอนิเจอร์ตกแต่งบ้านเท่านั้น
ภาพต่อมาคือตอนนี้อุตสาหกรรมรถยนต์ มีการเติบโตที่สูงขึ้น ส่วนประกอบที่รถยนต์ต้องใช้ทุกคันไม่ว่ารถจักรยานยนต์หรือรถยนต์คือ ยาง (ยางในรถจักรยานยนต์ใช้จำนวน 2 เส้นต่อรถ 1 คัน และ ยางสำหรับรถยนต์ใช้สี่เส้น อายุการใช้งาน 3-5 ปี หรือมากกว่านั้นแล้วแต่สภาพการใช้งาน สภาพของดอกยางที่ยังดีอยู่หรือไม่) ดังนั้นเมื่ออุตสาหกรรมรถยนต์เติบโตจากมาตราการรถยนต์คันแรกก็ทำให้บริษัทที่ผลิตยางในและยางเส้นสำหรับรถยนต์พลอยได้ผลประโยชน์ไปด้วย แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้พยุงราคายางพาราให้สูงขึ้นได้เท่าไร (ซึ่งเป็นคำถามต่อในใจว่า เมื่อราคายางพาราเิ่พิ่มขึ้น ทำให้บริษัทที่ผลิตยางในและยางเส้น พวกนี้มีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นหรือไม่)
ตัวต่อมาคือ ถุงมือยาง มีอยู่สองประเภทใหญ่คือ ทำมาจากยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ อันนี้พิจารณากันเอาเองล่ะกัน เพราะทดแทนกันไม่ได้ 100% ในส่วนนี้ โดยเฉพาะถุงมือทางการแพทย์ (ถ้าคนที่แพ้แล้ว ถึงเสียชีวิตเลย)
สิ่งต่อมาคือ เรื่องของสภาพอากาศทางภาคใต้ที่เปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ ถ้าหากปกติแล้วช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝนในภาคใต้ แต่กลับกลายเป็นฝนทิ้งช่วง ทำให้เกิดไฟป่าในเขตป่าพลุแทน
ถ้าหากมองภาพการเมืองในการแก้ไขปัญหา คือ ตอนนี้ให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับยาง เข้าไปซื้อยางจากมือเกษตรกร แต่อย่างไงก็ตาม ก็เริ่มมีข่าวเรื่องการสวมสิทธิ์ในการขายยางพารากันแล้ว (ราคายางที่รับซื้อจากหน่วยงานรัฐนั้นราคาสูงกว่าราคาตลาดอย่างมาก ทำให้เอาเงินจากประชาชนไปช่วยเหลือเกษตรกร ปัญหาดังกล่าว อาจจะหมกเม็ดเหมือนกรณีของการจำนำข้าวก็เป็นไปได้)
น่าจะเห็นภาพในเรื่องของยางพาราไม่มากก็น้อย
แต่อย่างไงก็ตาม ยางพาราคือคอมมูนิติ้ มาเป็นรอบ มีการขึ้นและมีลง ดังนั้น
ควรดูตาม้าและตาเรือในการลงทุน เดี๋ยวนอนดอย K2 หรือ ได้กำไรเป็นร้อยเด้ง ก็เป็นไปได้เสมอ
จงโปรดตรึกตรองไว้ว่า "การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาก่อนการลงทุน"
อะไรที่ไม่รู้ไม่ควรไปยุ่งกับมัน ขนาดที่รู้ๆอยู่ก็ยังโดนกันเลย (ชิมิ)
