แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Guiman
Verified User
โพสต์: 320
ผู้ติดตาม: 0

แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 1

โพสต์

นักลงทุนหน้าใหม่ในตลาดมักสงสัยว่า ทุกๆวันนี้ ราคาหุ้นมันขึ้นลงตามปัจจัยอะไร แม้กระทั่งเรา ซึ่งลงทุนอยู่ในตลาดมาซักพัก เราก็อาจลืมหลักการ หรือจุดยืนที่ตัวเองเคยเชื่อ จนทำให้บางคน หลงทางไปในโลกแห่งการลงทุนใบนี้ สุดท้ายเราต้องการอะไรจากมัน สุดท้ายเราต้องทำอย่างไรถึงจะอยู่รอดไปถึงฝั่งฝัน วันนี้ผมจะพาทุกท่านย้อนกลับมาคิดกันให้ดีๆอีกครั้งนะครับ

ตามหลักสูตรที่เรียนกันมาเลย เรารู้กันมาตั้งแต่แรก (หวังว่าทุกๆคนรู้เหมือนผมนะ) ว่า ราคาหุ้น วิ่งตามปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ถ้าบริษัทมีแนวโน้มกำไรในอนาคตดี ราคาหุ้นก็จะวิ่งทางขึ้น ถ้ากลับกัน บริษัทวิ่งทางลง ราคาหุ้นก็มักจะลงตาม พอเราทราบอย่างนี้ เราก็รอให้งบของบริษัทออก หรือไม่ก็เก็งกันไปก่อนว่างบจะออกมายังไง แต่ผลจากการเก็งแบบนี้ สิ่งที่เราเจอก็คือ หลายครั้งเลย ที่พองบออกมาดี แต่หุ้นกลับลง (Sell On Fact) หรือบางครั้งงบออกมาแย่ บางทีหุ้นกลับยืนนิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไร

พอเจอเหตุการณ์อย่างนี้ เราก็สรุปในใจทันทีว่า สงสัย หุ้นไม่ได้วิ่งตามปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียวซะละมั้ง มันต้องมีปัจจัยอื่นด้วยเป็นแน่แท้

ว่าแล้ว เราก็สังเกตุเห็นว่า หลายครั้งที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้น หุ้นก็มักจะขึ้นตาม และเมื่อไหร่ที่ตลาดโดยเทขายด้วยนักลงทุนกลุ่มนี้ หุ้นก็มักจะลงตาม ซึ่งเมื่อดูจากสถิติในระยะยาว เราก็พบว่า มันเป็นอย่างที่เราคิดจริงๆด้วย ลองดูข้อมูลสถิติย้อนหลังตั้งแต่ปี 43 จะเห็นว่า เมื่อไหร่ที่นักลงทุนต่างชาติซื้อ หุ้นก็วิ่งขึ้นจริงๆ และเมื่อเขาขาย หุ้นเราก็ดิ่งลงตามแรงโน้มถ่วง ดังนั้น เราจึงเห็นนักลงทุนหลายกลุ่ม ที่ให้ความสำคัญกับการซื้อ/ขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติเป็นอันดับต้นๆ

แต่ปัญหาก็ยังมีอยู่ครับ ผมว่าทุกคนที่ดูยอดซื้อขายนักลงทุนต่างชาติเป็นเกณฑ์ประกอบการตัดสินใจ น่าจะเคยเจอปัญหาเดียวกัน นั้นก็คือ หุ้นที่เราเลือกลงทุน มันไม่เห็นวิ่งทางเดียวกันกับการซื้อขายสุทธิของฝรั่งพวกนี้เลย แบบนี้ก็ดูไม่ได้แล้วสิ แล้วจะดูอะไรดีละทีนี้

นักลงทุนที่พยายามต่อสู้เพื่อเอาชนะตลาดในระยะสั้นก็เกิดขึ้น ในเมื่อดูปัจจัยพื้นฐาน มันก็บอกยากว่าหุ้นจะขึ้นหรือไม่ขึ้น แถมพอไปดูยอดซื้อขายสุทธิของฝรั่งก็ดันมีช่วงที่มันผันผวน และบางที หุ้นที่เราถือ มันก็ไม่ได้วิ่งตามฝรั่งซื้อขายด้วยสิ ถ้าอย่างนั้น เอากราฟมาพล็อต แล้วหาสัญญาณซื้อขาย ตัดปัจจัยภายนอกทิ้ง แล้วดูแต่ราคามันไปเลย ถึงตรงนี้ นักวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ก็เกิดขึ้นแล้วครับ

แต่ใช่ว่า การวิเคราะห์ทางเทคนิค มันก็ถูกต้อง 100% ซะเมื่อไหร่ มันอยู่ที่ผู้ใช้ อยู่ที่จินตนาการ อยู่ที่เงื่อนเวลาของสภาวะตลาด และอีกหลายๆอย่างรวมกัน (ปวดหัวกว่าความเชื่อแรกๆที่เรารู้จักเสียอีก เหอๆ) ว่าแล้วเราก็เลยคิดว่า การลงทุน มันเป็นเรื่องของสไตล์ใครสไตล์มัน ทุกคนมีทางเดินเป็นของตัวเอง งั้นเราก็ใช้ทุกอย่างมันรวมกันนี้ล่ะ รู้อะไร ก็เอามาใช้ให้หมด … ทุกวันนี้ ก็เลยออกมา เป็นแนวทางการลงทุนที่ผมขอใช้ชื่อว่า “แมงเม่า” (ไม่ได้ว่าใครนะ ผมก็เป็น 555+)

จะเห็นว่าประสบการณ์การลงทุน การลองถูกลองผิดในตลาด มีโอกาสที่จะทำให้เราพลาด และหลงทางจากสิ่งที่เราเคยเรียนรู้มา

แล้วจริงๆ หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

คำตอบคือ เคลื่อนไหวด้วยกิเลสมนุษย์ครับ ความต้องการซื้อ ความต้องการขาย ความโลภ ความกลัว สิ่งเหล่านี้ ไม่มีเหตุผลอธิบายได้ 100% ที่เราโดนลากไปลากมา ขาดทุน ติดดอย ขายหมู อยู่เรื่อยๆ ก็เพราะเราอยู่ในกระแสแห่งความคาดหวังซึ่งมันประกอบไปด้วยกลุ่มคนมากหน้าหลายตา ไม่มีทางที่เราจะเดาล่วงหน้าได้ถูกเป๊ะๆว่าอนาคตอันใกล้จะเกิดอะไรกับหุ้นที่เราลงทุน

แต่อยากให้ดูกราฟนี้ครับ

เส้นสีเชียวคือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ส่วนเส้นสีน้ำเงินคือ กำไรของบริษัทจดเบียน เส้นสีแดงคืออัตราการเติบโตของ GDP ประเทศไทย

เจ้า GDP นี่ เอามาเป็นตัววัดดัชนีหุ้นอาจลำบากนิดหน่อย ไม่ตรง 100% สาเหตุเพราะตลาดหุ้นไทยมีขนาด Market Cap. คิดเป็นแค่ 79% ของ GDP ทั้งประเทศ ในขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆอย่าง ฮ่องกง สิงค์โปร์ ไต้หวัน มาเลฯ มี Market Cap. สัดส่วนสูงกว่า GDP ของประเทศ ดังนั้นตลาดหุ้นของประเทศเหล่านี้ก็จะมีแนวโน้มสะท้อนภาพของเศรษฐกิจของประเทศได้มากกว่าอยู่แล้ว

แต่สำหรับ Earnings หรือกำไรบริษัทจดทะเบียน ถ้าดูจากกราฟ จะเห็นว่าเป็นตัวชี้ตลาดหุ้นได้ดีมากๆในระยะยาว จากข้อมูลนี้ ทำให้เห็นว่า ระยะสั้น ให้หุ้นแกว่งด้วยปัจจัยอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าระยะยาวกำไรของตัวหุ้นยังออกมาดี ราคาของมันก็ต้องสะท้อนภาพนั้นออกมาไม่ช้าก็เร็ว

สุดท้าย นิทานเรื่องนี้ ก็พาเรากลับมาสู่จุดเริ่มต้นครับ เราไม่เชื่อปัจจัยพื้นฐานในตอนแรก ก็เพื่อที่จะรู้ว่า ไม่มีอะไรในโลกแห่งการลงทุนมันเชื่อถือได้มากเท่ากับปัจจัยพื้นฐาน สิ่งที่เราต้องทำหลังจากรู้แล้วก็คือ “อดทน” รอวันที่ราคาจะสะท้อนปัจจัยนั้น

สำหรับใครที่ไม่เชื่อในการลงทุนสไตล์นี้ ผมไม่ได้บอกว่า มันมีทางเดียวจะได้เงินจากตลาดหุ้นนะ เพียงแต่ ถ้าคุณมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ด้านไหนมากพอ หรือเกิดลังเลสงสัย ไม่แน่ใจกับกลยุทธ์ตัวเองขึ้น คุณลองมองย้อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นจะดีกว่าไหม?

--------------------------------------------------------------------------------

เอามาฝากจากคุณพี่ mr.messenger ผู้โด่งดังจากห้องสินธร ครับ
เครดิต http://www.iammrmessenger.com

ปล. ที่พี่เมสเซนเจอร์เค้าว่า หุ้นมันวิ่งไปวิ่งมาด้วยกิเลสคน ผมเห็นด้วย แ่ต่สงสัยพี่เค้าลืมนึกไปว่ามันมีแรงกระทำของพวกโรบอทอยู่ด้วย (พวก High Frequency Trading, Algorithm, โปรแกรมเทรดอัตโนมัติต่างๆ, Force Sell ฯลฯ) อาาา ตลาดหุ้นนี่มันอันตรายจริงๆแฮะ ขอไว้อาลัยให้เผ่าแมงเม่าที่เข้ามาหาเงินง่ายๆในสมรภูมิอันโหดเหี้ยมนี้นะครับ T^T ฮือๆๆๆ
http://guimanstock.blogspot.com/
บันทึกการลงทุน & รีวิวหนังสือ
dragonrider
Verified User
โพสต์: 571
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ราคาหุ้น ในระยะยาวจะขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐาน
ใจความสำคัญจากบทความไม่ครบถ้วน นะครับ
บอกแค่ว่า ราคาหุ้นขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐาน นั้น ผิด นะครับ
กำไรต่อหุ้น เป็น 1 ในปัจจัยพื้นฐาน แต่ ปัจจัยพื้นฐาน ไม่ใช่กำไรต่อหุ้น
เช่น กำไร อาจสูงขึ้น แต่เป็นกำไรจากการขายสินทรัพย์ หรือไม่
เป็นกำไรที่รับรู้แล้วหรือไม่ เช่น ชนะคดี ต่างๆ เป็นต้น
ถ้า เข้าใจ คำว่า ระยะยาว กับ ปัจจัยพื้นฐาน อย่างถูกต้อง
ไม่น่าจะสับสน ครับ
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 3

โพสต์

Guiman เขียน:นักลงทุนหน้าใหม่ในตลาดมักสงสัยว่า ทุกๆวันนี้ ราคาหุ้นมันขึ้นลงตามปัจจัยอะไร แม้กระทั่งเรา ซึ่งลงทุนอยู่ในตลาดมาซักพัก เราก็อาจลืมหลักการ หรือจุดยืนที่ตัวเองเคยเชื่อ จนทำให้บางคน หลงทางไปในโลกแห่งการลงทุนใบนี้ สุดท้ายเราต้องการอะไรจากมัน สุดท้ายเราต้องทำอย่างไรถึงจะอยู่รอดไปถึงฝั่งฝัน วันนี้ผมจะพาทุกท่านย้อนกลับมาคิดกันให้ดีๆอีกครั้งนะครับ

ตามหลักสูตรที่เรียนกันมาเลย เรารู้กันมาตั้งแต่แรก (หวังว่าทุกๆคนรู้เหมือนผมนะ) ว่า ราคาหุ้น วิ่งตามปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ถ้าบริษัทมีแนวโน้มกำไรในอนาคตดี ราคาหุ้นก็จะวิ่งทางขึ้น ถ้ากลับกัน บริษัทวิ่งทางลง ราคาหุ้นก็มักจะลงตาม พอเราทราบอย่างนี้ เราก็รอให้งบของบริษัทออก หรือไม่ก็เก็งกันไปก่อนว่างบจะออกมายังไง แต่ผลจากการเก็งแบบนี้ สิ่งที่เราเจอก็คือ หลายครั้งเลย ที่พองบออกมาดี แต่หุ้นกลับลง (Sell On Fact) หรือบางครั้งงบออกมาแย่ บางทีหุ้นกลับยืนนิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไร

พอเจอเหตุการณ์อย่างนี้ เราก็สรุปในใจทันทีว่า สงสัย หุ้นไม่ได้วิ่งตามปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียวซะละมั้ง มันต้องมีปัจจัยอื่นด้วยเป็นแน่แท้
จากข้อมูลข้างบน เป็นตัวอย่างของนักเล่นหุ้นเก็งกำไรตามข่าวดีข่าวร้ายที่คาดว่าจะเกิดในอนาคต

ความเสี่ยงของนักเล่นหุ้นกลุ่มนี้ต้องเผชิญ คือ การคาดการณ์เหตุการณ์ผิด ซึ่งแน่นอนว่าผลตอบแทนก็คงไม่เป็นดังที่คาดหวัง

และถึงแม้ เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงดังคาด เช่น กำไรดีตามคาด FED ออก QE3 แต่บางครั้งราคาหุ้นก็ไม่ได้มีทิศทางเดียวกับที่เราคาด คำอธิบายแทบจะทุกครั้งที่เราได้ยินได้ฟัง คือ ราคาหุ้นขึ้นมารับข่าวเรียบร้อยแล้ว ก็เกิดการขายที่เรียกว่า Sell on Fact

อะไร คือ สิ่งที่แตกต่างจาก นักลงทุนเน้นคุณค่า กับ นักเก็งกำไรตามข่าว

สิ่งที่ขาดหายไป ก็คือ มูลค่าพื้นฐานของกิจการ หรือ มุลค่าพื้นฐานของหุ้น นั้นเอง

นักเก็งกำไร ไม่เคยมี มูลค่าพื้นฐานไว้เป็นหลักยึดเหนี่ยว การตัดสินใจแต่ละครั้งก็ขึ้นอยู่กับกระแสของมวลชน
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 4

โพสต์

เกรแฮม เคยบอกไว้ในหนังสือ Intelligent Investor ว่า ราคาหุ้นเป็นเพียงเครื่องโหวตของมวลชนเท่านั้น

ราคาหุ้น = พื้นฐานของกิจการ + ความนิยมของมวลชน

ค่าความนิยมของมวลชนก็แกว่งขึ้นลงแล้วแต่ละช่วงเวลา

ถ้าเรายึดแค่ พื้นฐานของกิจการเป็นหลัก เราก็จะได้หลักยึดที่มั่นคง ไม่ผันผวนมาก
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
picklife
Verified User
โพสต์: 2565
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 5

โพสต์

chatchai เขียน:เกรแฮม เคยบอกไว้ในหนังสือ Intelligent Investor ว่า ราคาหุ้นเป็นเพียงเครื่องโหวตของมวลชนเท่านั้น

ราคาหุ้น = พื้นฐานของกิจการ + ความนิยมของมวลชน

ค่าความนิยมของมวลชนก็แกว่งขึ้นลงแล้วแต่ละช่วงเวลา

ถ้าเรายึดแค่ พื้นฐานของกิจการเป็นหลัก เราก็จะได้หลักยึดที่มั่นคง ไม่ผันผวนมาก
พี่ฉัตรครับ ถ้าเราให้เป็น%ด้วยได้ไหมครับ
สมมุติ ราคาหุ้น=พื้นฐาน100%+-ความนิยม30%
ซึ่งความนิยมนี้ทำให้บางช่วงราคาถูกไปหรือแพงไป30%ได้
ชึ่งในเมื่อเราไม่รู้ว่า30%นี้เป็นยังไง เราก็มาใส่ใจแค่พื้นฐานพอ
มองแบบนี้จะได้ไหมครับ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
ภาพประจำตัวสมาชิก
nonation
Verified User
โพสต์: 70
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 6

โพสต์

อะไรที่มีผลกับราคาหุ้นมากกว่ากันระหว่าง
- สูตรทางวิศวกรรม ข้อมูลทางเทคนิค ตรรกะทางคณิตศาสตร์ หรือ
- จิตวิทยาชุมชน หรือ
- สิ่งที่แน่นอนคือความไม่แน่นอน หรือ
- อจินไตย ( โลกจินไตย ) คิดไปก็แค่นั้น ทำในสิ่งที่ควรทำก็แล้วกัน
sipoonya
Verified User
โพสต์: 469
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ถ้า ราคาหุ้น เคลื่อนไหวด้วยข้อมูลทุกอย่างที่ปรากฏออกมา
พื้นฐานกิจการ + จิตวิทยามวลชน
(มูลค่าที่แท้จริง + MR.Market ความคาดหวัง ความกลัว ข่าวดี ข่าวร้าย)
แล้ว มูลค่าของหุ้น ล่ะเคลื่อนไหวด้วยอะไร
การไปเดาว่าตลาดจะคิดอย่างไร เท่ากับไปเดาใจนายตลาด
ไม่จำเป็นต้องไปเดา เพราะไม่มีใครเดาได้ถูกตลอด
เราเรียนรู้ที่จะหา มูลค่าที่แท้จริง ซึ่งเป็นพื้นฐานกิจการ
ส่วนเรื่องจิตวิทยามวลชน (ความผันผวนของนายตลาด) เราใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาสเท่านั้น
จริงอย่างที่ ฟิชเชอร์(มั๊ง)ที่ว่า "พวกเขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับราคา แต่ไม่รู้ซักอย่างเกี่ยวกับมูลค่า"
จำที่ปู่บัฟว่าไว้ "หากคุณซื้อธุรกิจที่ต่ำกว่ามูลค่า คุณจะำทำเงินได้
หากคุณรู้ว่าธุรกิจไหนสร้างมูลค่า ไม่สร้างมูลค่า คุณจะทำเงินได้"
สุดท้าย กลยุทธ์ที่เราควรใช้ ไม่ใช่ buy and hold แต่ควรจะเป็น wait and see นะครับ

ป.ล. อาจไม่เกี่ยวกับ กระทู้เท่าไหร่ ก็ขออภัยด้วยครับ
ปัจจุบันมีนักลงทุนพันธุ์ผสมเยอะมาก เครื่องมือไม่ใช่สิ่งที่วัดว่าใครเป็นอะไร
แต่ทัศนคติ แนวคิดในการลงทุนต่างหากที่จะบอกได้ว่า เรากำลังคิดลงทุนหรือคิดเก็งกำไร ไฟท์ติ้ง :mrgreen:
Sixth Sense Investor
ภาพประจำตัวสมาชิก
chukieat30
Verified User
โพสต์: 3531
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ป.ล. อาจไม่เกี่ยวกับ กระทู้เท่าไหร่ ก็ขออภัยด้วยครับ
ปัจจุบันมีนักลงทุนพันธุ์ผสมเยอะมาก เครื่องมือไม่ใช่สิ่งที่วัดว่าใครเป็นอะไร
แต่ทัศนคติ แนวคิดในการลงทุนต่างหากที่จะบอกได้ว่า เรากำลังคิดลงทุนหรือคิดเก็งกำไร ไฟท์ติ้ง

ขออนุญาตินะครับ

หลายท่านคงเคยได้ยินเรื่องมวยหวิ่งชุน หรือ หย่งชุน

ประวัติ ของมวยหย่งชุนหรือหวิ่งชุน

ตามตำนาน หวิงชุน (หย่งชุน) เกิดขึ้นในยุคราชวงศ์ชิง หลังจากวัดเส้าหลินถูกเพลิงเผาไหม้จนวอดวาย 5 ปรมาจารย์อาวุโส (五祖) และบรรดาลูกศิษย์ (เช่น หง ซีกวน และ ปึง ซีเง็ก) ต่างแยกย้ายกระจัดกระจายออกไปตามเส้นทางของตนเอง แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งอุดมการณ์ต้านชิงกู้หมิงอยู่
แม่ชีอื่อหมุ่ย (อู่เหมย) หนึ่งใน 5 ปรมาจารย์อาวุโส ได้อพยพไปจำศีลบนเขาไทซาน และที่นั่นนางได้คิดค้นศิลปะการต่อสู้แบบใหม่ขึ้น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการเห็นการต่อสู้ระหว่างนกกระเรียนกับสุนัขจิ้งจอก โดยสุนัขจิ้งจอกได้พยายามโจมตีนกกระเรียนเป็นเส้นตรง แต่นกกระเรียนได้ป้องกันตัวเป็นวงกลม ทำให้สุนัขจิ้งจอกไม่อาจทำอะไรนกกระเรียนได้ (บางข้อมูลระบุว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างนกกระเรียนกับงู) [1] นางได้นำเอารูปแบบการต่อสู้แบบนี้มาพัฒนาจนเป็นรูปแบบใหม่ของกังฟูซึ่งแตกต่างจากกังฟูวัดเส้าหลินหรือเสี้ยวลิ้มยี่
จนกระทั่ง นางได้พบกับ หยี่ม เหว๋งช๊น (เหยียน หย่งชุน) สาวงามที่หนีภัยอันธพาลมาอาศัยอยู่ ณ เขาไทซานเช่นเดียวกัน นางได้สอนวิทยายุทธแบบใหม่นี้แก่เธอจนชำนาญ จนกระทั่งได้นำเอาวิทยายุทธนี้ไปจัดการปราบอันธพาลได้สำเร็จ และสามารถชนะ เหลียง ปอกเชา สามีของเธอซึ่งเป็นกังฟูวัดเส้าหลินได้อย่างราบคาบ ซึ่งสามีของเธอได้ตั้งชื่อนี้วิทยายุทธนี้ว่า "หวิงชุน" ตามชื่อของภรรยาตัวเอง
จากนั้น เหลียง ปอกเชา ได้ฝึกฝนหย่งชุนจากภรรยาจนเชี่ยวชาญ และนำไปสอนแก่ เหลียง หล่านไกว ซึ่งต่อมา เหลียงหล่านไกว ก็เป็นผู้ที่เผยแพร่หวิงชุนนี้ให้กว้างขวางออกไป

แต่เดิมแล้ว มวยหวิ่งชุน ไม่ใช้เท้า

ยิปมัน ผู้สืบทอดมวยหวิ่งชุน ได้เรียนรู้การใช้เท้า และได้คิดค้น

เพลงดาบและเพลงกระบองขึ้นมาจนชื่อเสียงโด่งดัง จากลูกศิษย์ คือ บรู๊ซ ลี

คำถามคือ มวยหวิ่งชุน อ.ยิปมัน ไม่ใช่ มวยหวิ่งชุน ???

หรือ อ.ยิปมัน ได้ประยุกต์ หวิ่งชุน ให้เป็นหวิ่งชุนที่ ตัวเองถนัด

ถ้า วอเรนท์บัฟเฟต และปีเตอร์ ลินซ์ ทำตามเกรแฮมทุกอย่าง

ก้คงมีเกรแฮม2 และ3 คงไม่มีคนชื่อ ปีเตอร์ ลินซ์ และวอเรนท์บัฟเฟต

ผมว่า แก่นของ VI มีแค่หนึ่ง แต่ใครจะเอาแก่นอันนั้นมาทำให้แตกฉานจนเป็นวิธีใหม่

หรือวิธีที่ตัวเองถนัด ก้สุดแล้วแต่ ความสามารถและพรสวรรค์

นอกจากมวย บ๊อกเซอร์ ไฟเตอร์แล้ว มวยหวิ่งชุน คงมองว่าเป็นมวยวัด หรือ มวยจีน

ซึ่งการต่อสู้อาจจะไม่เหมือนกัน และไม่ค่อยมีคนใช้นัก

แต่วิธี ที่คนไม่รู้ ย่อมจะเปรียบได้กับ ศาสตร์ใหม่ ที่คนยังไม่รู้


คำคมจาก ฟงอวิ๋น ตอนนึงที่ผมประทับใจ คือ

เพลงกระบี่ที่เจ้าใช้นั้นแม้จะแฝงด้วยพลังแห่งฟงและอวิ๋น แต่พื้นฐานเพลงดาบ

ก้ยังเป็นเพลงดาบสะท้านเดียวดาย กระทั่งสำนึกขอเพลงดาบก้ยังเป็นสะท้านเดียวดาย

อย่า ยึด ติด กับรูปลักษณ์ ว่ามวยแบบนี้ไม่ใช่ มวยVI
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ

หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
iruma
Verified User
โพสต์: 60
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ที่มาของราคาหุ้น
17 มิถุนายน 2545 หนังสือ เซียนหุ้นมือทอง
คอลัมน์ โลกในมุมมองของ Value Investor ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ราคาหุ้นที่เราเห็นเสนอซื้อเสนอขายกันทุกวันมีราคาขึ้นลงจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือมูลค่าของธุรกิจหรือบริษัทมหาชนที่ผลิตและขายสินค้าตามปกติทุกเมื่อเชื่อวัน



เป็นไปได้อย่างไรว่าธุรกิจที่ดำเนินการมาอย่างมั่นคง มียอดขายและกำไรสม่ำเสมอ จะมี ”ราคา” เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งลดลงจนมีราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ภายในเวลาไม่กี่เดือนราคากลับเปลี่ยนเป็นแพงจนไม่น่าเป็นไปได้



ราคาหุ้นมาจากอะไรกันแน่ ?





เบน เกรแฮม ปรมาจารย์เจ้าตำรับ Value Investing บอกไว้ว่าราคาหุ้นนั้นมาจากองค์ประกอบสามประการ องค์ประกอบแต่ละด้านมีผลต่อราคาหุ้นที่เราเห็นและทำให้ราคาหุ้นขึ้นลงไม่สอดคล้องกับมูลค่าที่มันควรจะเป็นในระยะสั้น องค์ประกอบเหล่านี้ ได้แก่

องค์ประกอบของมูลค่าที่แท้จริง หรือที่นักวิชาการการเงินเรียกว่า Intrinsic Value องค์ประกอบเหล่านี้ที่สำคัญได้แก่กำไรของกิจการซึ่งถือว่าเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนราคาหุ้น เซียนหุ้นแนว Value หลายคนถึงกับบอกว่าในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นกับกำไรของกิจการต้องไปด้วยกันเสมอ ไม่มีทางเป็นอื่น เพราะฉะนั้น ถ้าท่านมั่นใจว่าบริษัทไหนจะมีกำไรมากขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต ก็ซื้อหุ้นของบริษัทนั้นได้เพราะในระยะยาว ราคาหุ้นต้องขึ้นไปเสมอ แม้ว่าในระยะสั้นราคาอาจจะไม่ขยับหรือบางทีอาจจะลดลงด้วยซ้ำ



องค์ประกอบของมูลค่าที่แท้จริงที่สำคัญตัวต่อมาก็คือ ด้านของฐานะการเงินนั้นก็คือเรื่องของทรัพย์สินและหนี้สินของบริษัท หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ ทรัพย์สินที่หักด้วยหนี้สินแล้วทรัพย์สินสุทธินี้เป็นพื้นฐานหรือราคาขั้นต่ำของราคาหุ้น นั่นก็คือราคาหุ้นที่ซื้อขายกันไม่ควรจะต่ำกว่านี้ ถ้าเราเห็นหุ้นตัวไหนราคาตกลงมามากเหลือเกินจนต่ำกว่าทรัพย์สินทุทธิ เราสามารถเข้าไปซื้อหุ้นได้โดยไม่ต้องสนใจว่ากิจการจะดีหรือไม่เพราะในที่สุดราคาจะต้องปรับตัวขึ้นมา อย่างไรก็ตาม เซียนหุ้นน้อยคนจะใช้แนวทางนี้ ยกเว้นว่าราคาจะต่ำกว่าทรัพย์สินสุทธิมากจริงๆ จนคุ้มที่จะรอ



องค์ประกอบด้านพื้นฐานตัวสุดท้ายที่จะพูดถึงในที่นี้ก็คือเรื่องของปันผลซึ่งก็เป็นตัวสำคัญในการกำหนดราคาหุ้นในสายตาของ Value Investor เพราะปันผลนั้นเป็นผลตอบแทนที่มีความแน่นอนกว่าการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น กฏง่ายๆของผมก็คือ ถ้าเรามั่นใจว่าปันผลของบริษัทไม่น่าจะลดลงและคิดแล้วเท่ากับ 5% ต่อปีขึ้นไป การซื้อหุ้นตัวนั้นก็น่าจะปลอดภัยเพราะเป็นผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากธนาคารมาก ราคาของหุ้นน่าจะยืนอยู่ได้





องค์ประกอบกลุ่มที่สองที่เป็นตัวกำหนดราคาหุ้น ก็คือองค์ประกอบของมูลค่าในอนาคต หรือ Future Value ซึ่งหลายคนอาจจะเรียกว่า Growth หรือการเจริญเติบโตของธุรกิจในอนาคต



องค์ประกอบในกลุ่มของมูลค่าในอนาคตนี้ ตัวสำคัญได้แก่โอกาสที่ธุรกิจจะมียอดขายสินค้ามากขึ้น ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นหรือต้นทุนในการดำเนินงานลดลง ซึ่งจะมีผลทำให้กำไรในอนาคตปรับตัวสูงขึ้นกว่าพื้นฐานเดิมหรือเรียกว่ากิจการมีการเจริญเติบโตขึ้น



นอกจากการเจริญเติบโตแล้ว องค์ประกอบของมูลค่าในอนาคตของกิจการยังประกอบด้วยภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมและอนาคตของบริษัทด้วยว่ามีความสดใสมากน้อยเพียงใด ถ้าเป็นธุรกิจที่อิ่มตัวหรือการแข่งขันจากทั้งภายในประเทศและจากต่างประเทศรุนแรงมาก มูลค่าในอนาคตของบริษัทก็ลดลง ตรงกันข้ามถ้าภาวะธุรกิจยอดเยี่ยม คู่แข่งน้อยลง ความต้องการสินค้าในตลาดสูงขึ้น และบริษัทอยู่ในฐานะได้เปรียบคู่แข่งขัน มูลค่าในอนาคตก็มากขึ้น



ตัวสุดท้ายของมูลค่าในอนาคตที่น่าสนใจมากก็คือเรื่องของผู้บริหารของบริษัทว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงดีมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะในด้านของการดูแลบริษัทและผู้ถือหุ้นรายย่อยที่เรียกว่าบรรษัทภิบาล



มีการศึกษาและพูดกันว่าบรรษัทภิบาลที่ดีสามารถเพิ่มราคาหุ้นได้ถึง 20 หรือ 25 % ข้อเท็จจริงคงพิสูจน์ได้ยากแต่ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นตืว่าผู้บริหารที่ซื่อสัตย์สุจริตมีค่ามหาศาลต่อมูลค่าหุ้นของบริษัท และโดยส่วนตัวผมจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ผู้บริหารไม่น่าไว้วางใจ

องค์ประกอบกลุ่มสุดท้ายที่มีส่วนในการกำหนดราคาหุ้นค่อนข้างมากโดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยก็คือ องค์ประกอบทางด้านตลาดหรือ Market Factor นี่คือองค์ประกอบที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวกิจการหรือพื้นฐานของธุรกิจแต่เป็นเรื่องของภายนอกที่ขับเคลื่อนราคาหุ้นให้ขึ้นลงได้อย่างรุนแรงและรวดเร็วคล้ายๆ กับคลื่นในทะเล และในบางครั้งเหมือนฟองสบู่



องค์ประกอบด้านตลาดตัวแรกที่จะพูดถึงก็คือเรื่องของจิตวิทยาของนักลงทุน ถ้านักลงทุนมีความรู้สึกมั่นใจว่าตลาดหุ้นกำลังขึ้นก็จะเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น แต่เมื่อไรที่นักลงทุนรู้สึกว่าตลาดกำลังตก คนก็จะเทขายหุ้นทำให้ราคาตกลงมาทั้งๆ ที่หุ้นจำนวนมากมีพื้นฐานเหมือนเดิมเช่นเดียวกัน การวิเคราะห์ทางเทคนิคก็มีส่วนกำหนดราคาหุ้นได้เช่นเดียวกัน เช่น เวลาที่หุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงอย่างรวดเร็วมาก บางทีนักลงทุนก็มองว่าราคาหุ้นในขณะนั้นจะยืนอยู่ไม่ได้ต้องปรับตัวลงมา “ทางเทคนิค” หรือในกรณีหุ้นหรือตลาดปรับตัวลงมาต่ำมาก จนต่ำกว่า “แนวรับทางเทคนิค” หุ้นนั้นก็น่าจะปรับตัวขึ้น



สุดท้ายขององค์ประกอบทางด้านการตลาดที่มีส่วนในการกำหนดราคาหุ้นมหาศาลก็คือเรื่องของการปั่นหุ้นซึ่งเป็นวิธีที่นักเล่นหุ้นรายใหญ่ใช้ในการ “ปั่น” ให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นไปอย่างผิดธรรมชาติ เพื่อขายหุ้นราคาต่ำที่ตนเองซื้อไว้ก่อนหน้านั้น การปั่นหุ้นเป็นเรื่องที่ผิดกฏหมาย แต่โดยทั่วไปแล้วการที่จะจับคนปั่นหุ้นนั้นเป็นเรื่องที่ยากจนแทบเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าคนที่ปั่นได้ศึกษากฏหมายและรู้เรื่องของการซื้อขายหุ้นเป็นอย่างดี หุ้นที่ขึ้นไปจากการปั่นราคานั้นในไม่ช้าราคาก็จะตกกลับมาอยู่ที่เดิมเช่นเดียวกับหุ้นที่ขึ้นลงตามเทคนิคและจิตวิทยา แม้ว่าระยะเวลาจะแตกต่างกันไป



ในทัศนะของเบน เกรแฮม แล้ว การลงทุนจะต้องพิจารณาจากองค์ประกอบทางด้านพื้นฐานและองค์ประกอบของมูลค่าในอนาคตในขณะที่การเก็งกำไรจะพิจารณาจากองค์ประกอบด้านมูลค่าในอนาคตและองค์ประกอบด้านตลาดเป็นหลัก



ถ้าจะสรุปให้ชัดเจนก็คือ องค์ประกอบของมูลค่าที่แท้จริงหรือทางด้านพื้นฐานนั้นเป็นสิ่งที่มั่นคง โอกาสผิดพลาดน้อย คนที่ลงทุนด้วยองค์ประกอบนี้ขาดทุนยาก องค์ประกอบด้านมูลค่าในอนาคตหรือการเจริญเติบโตนั้นถึงจะมีส่วนในการกำหนดราคาหุ้นมาก แต่ความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ถ้าสามารถคาดการณ์ได้หรือมีวิสัยทัศน์ที่แหลมคม โอกาสทำกำไรก็สูง และสุดท้ายคือองค์ประกอบด้านตลาดซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงมาก และต้องการการติดตามใกล้ชิด โอกาสที่จะทำกำไรในบางขณะก็มีสูงมาก แต่โดยเฉลี่ยแล้วนักเล่นหุ้นจะไม่ได้กำไรจากวิธีการนี้ยกเว้นว่าจะเป็น “เจ้ามือ” คือคนปั่นหุ้นเอง
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 10

โพสต์

chukieat30 เขียน:ผมว่า แก่นของ VI มีแค่หนึ่ง แต่ใครจะเอาแก่นอันนั้นมาทำให้แตกฉานจนเป็นวิธีใหม่

หรือวิธีที่ตัวเองถนัด ก้สุดแล้วแต่ ความสามารถและพรสวรรค์
อาจเป็นเพราะ ปัจจุบันแนวทางการลงทุนแนว VI ได้รับการยอมรับมากขึ้น ทำให้หลายๆคนก็มักจะแอบอ้างตัวเองว่าลงทุนแนว VI แต่มีการประยุกต์แนวทางอื่นๆมาร่วมใช้ด้วย

ซึ่งถ้าการประยุกต์นั้นยังยึดแก่นของ VI เป็นเสาหลัก ก็ยังยอมรับได้ว่าเป็น VI แต่หลายคนไม่ใช่ มีการใช้หลักการ VI อย่างผิวเผินมากกว่า

ผมว่าเราลองย้อนคิดว่า เรายึดหลักของ VI เข้มข้นมากน้อยแค่ไหน

คุณซื้อหุ้น เพราะคุณอยากเป็นเจ้าของกิจการนั้น หรือเพียงซื้อกระดาษใบหนึ่ง เพื่อหวังจะขายต่อให้คนอื่นในราคาที่สูงกว่าที่คุณซื้อมา

ซึ่งจริงๆแล้ว จะเป็น VI หรือ แนวทางอื่นๆ ก็ไม่เห็นจะผิดตรงไหน
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ii'8N
Verified User
โพสต์: 3682
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 11

โพสต์

อาจารย์เบน แกร์หม เคยสรุปเรื่อง Intrinsic Value และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ "ราคาตลาด" ไว้ ใน security analysis ข้างล่างนี้
"ราคา" ที่ถูกชักนำ "manipulative" ก็จัดแสดงแยกหัวข้อไว้ข้อหนึ่ง


หัวใจสำคัญคือ อย่าลืมว่า "value กับ price คือคนละค่ากัน"
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
chukieat30
Verified User
โพสต์: 3531
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ซึ่งถ้าการประยุกต์นั้นยังยึดแก่นของ VI เป็นเสาหลัก ก็ยังยอมรับได้ว่าเป็น VI แต่หลายคนไม่ใช่ มีการใช้หลักการ VI อย่างผิวเผินมากกว่า

อะไรคือเสาหลักในสายตาพี่ฉัตรชัยครับ

-การวิเคราะห์เชิงปริมาณ หรือ ตะแกรงร่อน

-การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ หรือ แบบที่ท่านอาจารย์มองเป็นส่วนใหญ่

-KISS

ผมมองว่า เสาหลักของ VI คือ Undervalue (ซื้อหุ้นดีในราคาที่ถูก)

ซึ่งก้อาจจะเกิดจากการวิเคราะห์ได้ทั้ง 3 แบบ

ก้คงไม่ต่างจากเราไปเดินคลองถม เมื่อเราเดินเลือกของมือสอง เราต้องมีทั้งความรู้

และเข้าใจ+ดวง จึงจะได้ของดีราคาถูก

ผมเคยเห็นหุ้นแบรนด์บ้านๆ ที่ไม่เคยมี DCA แต่ราคาก้วิ่งขึ้นไปแบบไร้เหตุผล

คนที่ถือหุ้นตัวนั้น อาจจะไม่ใช่ VI แต่ก้อาจจะหลงตัวเรียกตัวเองว่า VI

เพราะ แบรนด์ของเค้าไม่ใช่แบรนด์ที่ติดอันดับ1หรือ 2 เลย

ถ้าแบรนด์นี้ไปเทรดที่ ดาวโจนส์ ผมว่า คงไม่มีใครมอง

ปล ผมไม่ได้ว่าใคร แค่ยกเปรียบเทียบ

ของบางอย่าง ไม่ต้องมองให้ยาก ก้ลงทุนได้ มองแบบ KISS ก้คงถูกมองว่าไม่ใช่VI

ทั้งๆที่ KISS เป็นหลักที่ง่าย แต่หลายคนโยนมันทิ้งไปแล้ว เรียกมันว่า ไม่ใช่ หลักVI

นักลงทุนมีหลายประเภท

1.ลงทุนและวิเคราะห์ด้วยปัจจัยเชิงปริมาณ คำนวน PE PBV PEG etc

2.ลงทุนและวิเคราะห์ด้วยปัจจัยเชิงคุณภาพ เช่นดู ขนาดของบริษัท แบรนด์เป็นผู้ชนะหรือไม่

3.ลงทุนด้วยหลัก EQ IQ หรือ KISS มองด้วยประสบการณ์และมองผู้ได้ประโยชน์เสียประโยชน์


นักลงทุนประเภทแรกจะเยอะ ประเภทสองและสาม จะหายากกว่า

ดังนั้นอย่าเอาแ่ค่ตัวเลข มาคิดว่า

คนนั้นไม่ได้ลงทุนด้วยสไตล์ VI เพราะแก่น VI คือ undervalue ครับ
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ

หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
chukieat30
Verified User
โพสต์: 3531
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ให้ดูคำนิยาม มวยหวิ่งชุนครับ มวยหวิ่งชุนถือกำเนิดจาก การที่คน มองสุนัขจิ้งจอกสู้กับ

กระเรียน และนำมาคิดค้นเพลงยุทธ์

KISS ก้เป็นการมองธรรมชาติของหุ้นและบริษัทว่า ถ้าเหตุการณ์แบบนี้ ใครจะได้ใครจะเสีย

ซึ่งเป็นหลักความจริงตามหลัก พุทธศาสนา

ปลูกถั่วก้ได้ถั่ว ปลูกงาก้ได้งา

ถ้ามวยแบบ VI ต้องมองแค่ปัจจัยเชิงปริมาณ และคุณภาพ

KISS ก้อาจจะเป็นมวยจีนหรือมวยวัดครับ

มองแบบให้ดูง่ายๆและโง่ๆเข้าไว้ครับ แล้วจะดีเอง
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ

หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
pat4310
Verified User
โพสต์: 732
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ดูไม้ท่อนนี้ซิ...สั้นหรือยาว ?
สมมุติว่า คุณอยากได้ไม้ที่ยาวกว่านี้
ไม้ท่อนนี้มันก็สั้น แต่ถ้าคุณอยากได้
ไม้สั้นกว่านี้ ไม้ท่อนนี้มันก็ยาว

หมายความว่า "ตัณหา" ของคุณต่างหาก ที่ทำให้
มีสั้น มียาว มีดี มีชั่ว มีทุกข์ มีสุข ขึ้นมา.
ลงทุนหุ้นดี มีสตอรี่ ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
SawScofield
Verified User
โพสต์: 236
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 15

โพสต์

chatchai เขียน:
chukieat30 เขียน:ผมว่า แก่นของ VI มีแค่หนึ่ง แต่ใครจะเอาแก่นอันนั้นมาทำให้แตกฉานจนเป็นวิธีใหม่

หรือวิธีที่ตัวเองถนัด ก้สุดแล้วแต่ ความสามารถและพรสวรรค์
อาจเป็นเพราะ ปัจจุบันแนวทางการลงทุนแนว VI ได้รับการยอมรับมากขึ้น ทำให้หลายๆคนก็มักจะแอบอ้างตัวเองว่าลงทุนแนว VI แต่มีการประยุกต์แนวทางอื่นๆมาร่วมใช้ด้วย

ซึ่งถ้าการประยุกต์นั้นยังยึดแก่นของ VI เป็นเสาหลัก ก็ยังยอมรับได้ว่าเป็น VI แต่หลายคนไม่ใช่ มีการใช้หลักการ VI อย่างผิวเผินมากกว่า

ผมว่าเราลองย้อนคิดว่า เรายึดหลักของ VI เข้มข้นมากน้อยแค่ไหน

คุณซื้อหุ้น เพราะคุณอยากเป็นเจ้าของกิจการนั้น หรือเพียงซื้อกระดาษใบหนึ่ง เพื่อหวังจะขายต่อให้คนอื่นในราคาที่สูงกว่าที่คุณซื้อมา

ซึ่งจริงๆแล้ว จะเป็น VI หรือ แนวทางอื่นๆ ก็ไม่เห็นจะผิดตรงไหน
สุดยอดครับพี่ :)
Respect, Persistence then Deserve
ภาพประจำตัวสมาชิก
todsapon
Verified User
โพสต์: 1137
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของแต่ละคน ว่าคนทั่วไปตกลงจะซื้อหุ้นนี้ในราคาที่เท่าไร แต่สุดท้ายแล้ว ๆ ราคาก็มุ่งเข้าสู่ความามารถในการทำประโยชน์แก่นักลงทุน บริษัทไหนทำประโยชน์ให้แก่ผู้ถือหุ้นมาก ที่สุดถึงที่สุดแล้วเมื่อนักลงทุนรู้และเข้าใจราคาก็จะขึ้นไปเอง
ผลตอบแทน 15% ต่อปีก็พอ
กำไรเมื่อซื้อ มิใช่กำไรเมื่อขาย
การได้ทำอะไรที่ตนเองชอบและมีปัจจัยสี่พร้อมเพียงคือสุดยอดแห่งความสุข
ขอยืมเงินหน่อยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Linzhi
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1464
ผู้ติดตาม: 1

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 17

โพสต์

มีอีกวิธีที่ปวดหัวน้อยกว่าคือแทนที่สนใจว่าหุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร

มาสนใจว่ากิจการมันโตหรือทำกำไรยังไงครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
เบี้ยว
Verified User
โพสต์: 403
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 18

โพสต์

ราคาหุ้น เคลื่อนไหวจากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยที่มีอานุภาพมากที่สุดในระยะยาวๆคือ พื้นฐานของกิจการ คำว่าพื้นฐานของกิจการ ก็คือ ความสามารถในการทำกำไรและความสามารถในการสร้างการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็จะเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย เช่น ทีมแม่ทัพของกิจการ วัฒนธรรมองค์กร สินค้า biz. model ลักษณะการประกอบธุรกิจ และแก่นของ VI คือ การที่เราสามารถมองปัจจัยหลายๆตัวรวมกันนำมาต่อเป็นจิ๊กซอเพื่อสรุปให้ได้ว่าพื้นฐานของกิจการที่เรากำลังจะลงทุนมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นเรื่อยๆหรือไม่ ถ้ามีแนวโน้มดีขึ้น ราคาหุ้นต้องวิ่งขึ้นแน่ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่พื้นฐานที่ว่าต้องยั่งยืนและแข็งแกร่ง ไม่ใช่ชั่วคราว
saichon
Verified User
โพสต์: 1219
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 19

โพสต์

Linzhi เขียน:มีอีกวิธีที่ปวดหัวน้อยกว่าคือแทนที่สนใจว่าหุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร

มาสนใจว่ากิจการมันโตหรือทำกำไรยังไงครับ
ผมเห็นด้วยกับพี่ Linzhi ครับ

"มีปัจจัยที่กำหนดให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น จิตวิทยามวลชน ภาวะเศรษฐกิจ
การเมือง จ้าว ฯลฯ แต่ละสิ่งเราไม่สามารถคาดการได้เลย
ยกเว้นเพียงสิ่งเดียวที่เราคาดการได้ นั่นคือผลประกอบการของบริษัท
ฉะนั้นหากอยากลงทุนให้ประสบความสำเร็จ จงให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราคาดการได้"


(แฮ่...ผมไม่ได้คิดเองหรอกครับ ผมจำคำคมจากพี่โจมาครับ
เห็นแกกำลังดังเลยเอามาอ้างซักหน่อย ฮ่า... :mrgreen: )
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
simplelife
Verified User
โพสต์: 756
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 20

โพสต์

หุ้นเคลื่อนไหวด้วย "surprise" ของนักลงทุนครับ

หุ้นของบริษัทที่ดีแค่ไหน ผลประกอบการดีแค่ไหน ถ้านักลงทุน expect ว่ามันจะดีแค่นั้นอยู่แล้ว ราคามันมักจะสะท้อนขึ้นไปตรงนั้นอยู่แล้วเสมอ คือถ้านักลงทุนคิดว่าจะดี เขาอาจจะให้ P/E สูงแต่แรกด้วยซ้ำ การที่ผลประกอบการจะดีเท่ากับที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดไว้ ก็ไม่ได้ช่วยให้คุณกำไรหรอกครับ

กลับกัน หากนักลงทุน surprise คาดหวังว่าผลประกอบการจะทรงๆ แต่กลับก้าวกระโดด คาดผลว่าผลประกอบการจะดี แต่ผลประกอบการกลับทรุด ราคาหุ้นก็จะ move ไปตามความ surprise ครับ surprise ดีมากๆ ราคาก็ขึ้นมาก, ห่วยจน surprise มากๆ ราคาก็จะลงมากๆ
"I believe what I said yesterday. I don't know what I said, but I know what I think... and I assume it's what I said." -- Donald Rumsfeld
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 21

โพสต์

แต่ผมว่าเซียนส่วนใหญ่ไม่น่าจะชอบ surprise รึเปล่า
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 22

โพสต์

simplelife เขียน:หุ้นเคลื่อนไหวด้วย "surprise" ของนักลงทุนครับ

หุ้นของบริษัทที่ดีแค่ไหน ผลประกอบการดีแค่ไหน ถ้านักลงทุน expect ว่ามันจะดีแค่นั้นอยู่แล้ว ราคามันมักจะสะท้อนขึ้นไปตรงนั้นอยู่แล้วเสมอ คือถ้านักลงทุนคิดว่าจะดี เขาอาจจะให้ P/E สูงแต่แรกด้วยซ้ำ การที่ผลประกอบการจะดีเท่ากับที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดไว้ ก็ไม่ได้ช่วยให้คุณกำไรหรอกครับ

กลับกัน หากนักลงทุน surprise คาดหวังว่าผลประกอบการจะทรงๆ แต่กลับก้าวกระโดด คาดผลว่าผลประกอบการจะดี แต่ผลประกอบการกลับทรุด ราคาหุ้นก็จะ move ไปตามความ surprise ครับ surprise ดีมากๆ ราคาก็ขึ้นมาก, ห่วยจน surprise มากๆ ราคาก็จะลงมากๆ
เราคงต้องเข้าใจก่อนว่า ความรู้ ความเข้าใจ ของนักลงทุนแต่ละคนไม่เท่ากัน

ความแม่นยำของการคาดการณ์ผลประกอบการของแต่ละคนก็เท่ากัน

ดังนั้นการที่บริษัทประกาศผลประกอบการดีหรือแย่ นักลงทุนบางคนอาจ surprise แต่บางคนก็คาดการณ์มาก่อนแล้ว

รวมทั้งทัศนคติของนักลงทุนแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ผลตอบแทนที่คาดหวังของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
เบี้ยว
Verified User
โพสต์: 403
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ระยะสั้น ราคาวิ่งตามหลายอย่าง กำไร ข่าว ความคาดหวัง การ manipulate แต่ระยะยาวๆที่เพียงพอ ราคาจะวิ่งตามกำไรหรือผลประกอบการ ถ้าผลประกอบการดี ราคาก็ดี ถ้าผลประกอบการแย่ ราคาก็ลงตาม เพื่อรักษาไว้ซึ่ง PE ที่เหมาะสมของมัน ส่วน PE เท่าไหร่ก็แล้วแต่ ไม่แน่นอน PE จะมากถ้าเป็นกิจการที่มั่นคง คาดการณ์ได้ หนี้ทีมีภาระดอกเบี้ยน้อย outlook ในอนาคตดี ตลาดมั่นใจ ในทางกลับกัน PE จะน้อยลง ถ้าเป็นกิจการที่กำไรไม่แน่ไม่นอน งบดุลอ่อนแอ กระแสเงินสดฝืดๆ ผู้บริหารไม่มีไฟ outlook คาดการณ์ยาก และที่สำคัญบางคนใช้ ผลตอบแทนของ long-term bond เป็นจุดอ้างอิงเทียบกับ PE เช่น PE = 15 คิดเป็นผลตอบแทน (ไม่ใช่ปันผลนะ คนละเรื่อง) E/P = 1/15 หรือประมาณ 6.xx% ถ้าปัจจุบันเงินฝากประจำหรือ bond yield สัก 3-4% ก็มีส่วนต่างประมาณ 3% ก็อาจจะพอลงทุนได้ แล้วแต่ความพอใจของแต่ละคน บริษัทหนึ่งๆใช่ว่า PE จะเป็นค่าเดิมเสมอไป PE สามารถปรับได้ท้งทางขึ้นและทางลงในช่วงเวลาหนึ่งๆขึ้นกับหลายปัจจัย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 24

โพสต์

ระยะสั้น Participant Bias
ระยะยาว Underlying Value

ถ้า Participant Bias ควบกับ Underlying Value หุ้นจะวิ่ง (ขึ้น/ลง) อย่างรุนแรงกว่าปกติ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 25

โพสต์

เรื่องนี้เขียนไว้นานพอควร ลองอ่านดูครับ

Mr. Market นายป่วยหรือเราป่วย

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... A2#p723614
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
เบี้ยว
Verified User
โพสต์: 403
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 26

โพสต์

ขอบคุณครับพี่ nevercry.boy
แมงเม่าสายลม
Verified User
โพสต์: 164
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 27

โพสต์

พื้นฐานตัวหุ้น +- ความคาดหวัง + การเติบโต - ความเสี่ยง +- สภาพตลาด +- พื้นฐานโดยรวมของอุตสาหกรม ครับ
555+

ถ้าวัดกันพื้นฐานหุ้น ณ ปัจจุบัน พอเกินขาย ต่ำซื้อ คงเหลือแต่เงินสดแล้วหรือเปล่าครับตอนนี้

ผมเห็นหลายคนมองไปในอนาคต เพราะฉะนั้นมันขับเคลื่อนด้วยความคาดหวังการเติบโต กับพื้นฐานครับ
เรียกอย่างหรูๆ น่าจะเรียกว่าพื้นฐานในอนาคต ได้หรือเปล่าครับ

ผมว่าถ้าจะบอกว่าความคาดหวังการเติบโต ไม่เกี่ยวไม่น่าจะใช่ฮะ :mrgreen:

ความคิดของเม่านะฮะ
รูปภาพ
วันนึงผมจะเป็นแมงเม่าที่ยิ่งใหญ่ฮะ !!!
blueplanet
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 28

โพสต์

หุ้นเคลื่อนไหวด้วย 2 สิ่ง
1.ปริมาณเงิน (เพิ่มขึ้นเรื่อยในโลกนี้)
2.ผลประกอบการของธุรกิจ ที่ดีมั่งแย่มั่ง แต่ถ้าธุรกิจดีผลประกอบการก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น การถือหุ้น 100% จึงเป็นสิ่งที่ควรทำ
Blueplanet
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 29

โพสต์

"7 ลักษณะหุ้นในตลาดฯสำหรับคนส่วนใหญ่...คุณเห็นด้วยไหม?"
By pak ThaiVI, 22 Aug 12

1) Bid ไว้หนาๆ แล้วอยู่เฉยๆ => หุ้นนิ่งๆแต่ไม่ลง แต่อาจมีบางคนเคาะซื้อบ้างประปราย

2) Offer ไว้หนาๆ แล้วอยู่เฉยๆ => หุ้นนิ่งๆแต่ไม่ขึ้น และอาจมีบางคนเคาะขายบ้างประปราย

3) ลุยซื้อเคาะขวาแบบยกแถว แล้วเติม Bid ให้แน่นๆ => เม่าแตกตื่นซื้อตามแล้วกอดหุ้นไว้แน่น เพราะมั่นใจว่าไปต่อแน่ๆ

4) ถล่มเคาะขายแบบยกแถว แล้วเติม Offer ให้หนาๆ => เม่าแตกตื่น Cut Lost ขายหนีตายกันแบบจ้าละหวั่น

5) Bid หนาๆ แล้วตั้ง Offer บางๆ => อันนี้น่ากลัว มันหลอกให้เราเคาะซื้อ แล้วติดดอยนะ

6) Bid บางๆ แต่ตั้ง Offer หนาๆ(เหมือนเอารถถังมาขวาง) => อันนี้เจ้ามืออาจกำลังเก็บหุ้นอยู่นะ

7) หุ้นอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยมี Bid และ Offer => มรึงก็เล่นไปคนเดียวเถอะ!!!

^ ^
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
ภาพประจำตัวสมาชิก
blizzard78
Verified User
โพสต์: 317
ผู้ติดตาม: 0

Re: แท้จริงแล้ว หุ้นเคลื่อนไหวด้วยอะไร?

โพสต์ที่ 30

โพสต์

เห็นคอมเมนท์ของคุณ pak แล้วอดที่จะขำไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่ผมวิเคราะห์ในด้านต่างๆตามความสามารถอันพึงมี ถ้าผมเจอโวลุ่มแบบข้อ 6. ที่มี offer หนาๆ ผมจะไม่ลังเลที่จจะจัดเข้าพอร์ตเลยครับ เพราะผมก็คิดว่าในเมื่อเราวิเคราะห์มาดีแล้ว ราคาแถวนี้น่าลงทุน เคาะทีเดียวได้ของครบเลยครับ
โพสต์โพสต์